PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สถานการณ์ข่าว6พ.ค.58

Jab06May15

-รัฐธรรมนูญ

"เทียนฉาย" นัดสมาชิกพิจารณาวาระการปฏิรูป ขณะ วิป สปช. ถกคำขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ

นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ มีคำสั่งนัดสมาชิกประชุมในเวลา 10.00 น. เพื่อพิจารณาเรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว ในรายงานการพิจารณาของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน วาระที่ 3 : การปรับโครงสร้างอำนาจส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น วาระที่ 5 : การเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการบริหารงานภาครัฐ

ขณะที่การประชุมคณะกรรมาธิการกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ วิป สปช. จะพิจารณาทำคำขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะมีความชัดเจนในวันนี้ ส่วนการลงพื้นที่นำร่างรัฐธรรมนูญ ไปทำความเข้าใจกับประชาชนและรับฟังความคิดเห็นนั้น วันนี้ เวลา 09.30 น. คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชุดอนุกรรมาธิการรับฟังความเห็นฯ จะไปที่มหาวิทยาลัยราชมงคลสุวรรณภูมิ ถ.สายเอเชีย จ.พระนครศรีอยุธยา
--------------------
"บวรศักดิ์" ร่วมถก กกร.แจงร่างรัฐธรรมนูญ ขณะเอกชนจัดเวทีสะท้อนความเห็น พ.ค.นี้

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ที่ประชุมได้รับฟังการชี้แจงแนวทางในเรื่องของหลักการร่างรัฐธรรมนูญจาก นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีกรอบสาระสำคัญ คือ การสร้างการเมืองให้ใสสะอาดปรับสมดุลในเรื่องของการถ่วงดุลอำนาจยกระดับสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งหลังจากนี้ทางภาคเอกชนจะมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น
และจะมีการจัดเสวนาในเรื่องของการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในช่วงเดือนพฤษภาคม นี้ เพื่อสะท้อนมุมมองของภาคธุรกิจที่ต้องการเห็นรัฐธรรมนูญ ที่ไม่สร้างความขัดแย้งเป็นธรรมสนับสนุนการทำธุรกิจของภาคเอกชน
--------------
"โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี" เผย 19 พ.ค. ครม. - คสช. ประชุมหารือความคิดเห็นร่างรัฐธรรมนูญ ย้ำทำประชามติต้องแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราว

ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกับ INN ถึงความคืบหน้าการชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญโดย นายกรัฐมนตรี ผ่านทางรายการโทรทัศน์ ว่า ในขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดวันและเวลาที่ชัดเจน เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงไปรวบรวมความคิดเห็นของแต่ละกระทรวงแล้วให้ส่ง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ภายในวันที่ 14 พ.ค. เพื่อรวบรวมนำสู่ที่ประชุมร่วมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 19 พ.ค. ก่อนที่จะนำส่งต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ภายในวันที่ 24 พ.ค. ทั้งนี้ ร.อ.นพ.ยงยุทธ กล่าวถึงเรื่องของการประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ว่า เรื่องนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องมีการพิจารณา ซึ่งจะต้องรอต้องดูความคิดเห็นของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาปฏิรูปแห่งชาติ ก่อน แต่สุดท้ายหากมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดช่องทางให้มีการทำประชามติ ก็จะต้องไปดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว เนื่องจากรัฐธรรมนูญชั่วคราวไม่ได้ระบุในเรื่องของการทำประชามติไว้ รวมถึงยังมีโรดแมปที่เป็นตัวกำหนดกรอบเวลาในการทำงานที่ชัดเจนอยู่อีกด้วย
---------------------
"ดิเรก" นัดประชุมสรุปประเด็นบ่ายนี้ก่อนส่ง กมธ.ยกร่างฯ เห็นด้วย หากทำประชามติให้ทุกฝ่ายพอใจ

นายดิเรก ถึงฝั่ง สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า เวลา 13.00 น. ของวันนี้ จะมีการนัดประชุมสรุปประเด็นให้เสร็จถึงสิ่งที่ต้องการแก้ไขและเมื่อรวบรวมประเด็นเสร็จแล้ว ต้องมาดูแต่ละมาตราว่าตรงกับประเด็นที่จะแก้ไขอย่างไรและจะแก้ไขใหม่อย่างไร โดยประเด็นหลักคือ เรื่องของที่มานายกฯ คนนอก ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม ที่มา ส.ว. - ส.ส. แล้ว จึงส่งให้คณะกรรมาธิการยกร่างพิจารณาอีกครั้ง

ขณะที่ ประกาศ คสช. ห้ามพรรคการเมือง ทำกิจกรรมทางการเมืองนั้น เห็นว่าเป็นอำนาจของ คสช. และไม่ถือเป็นประเด็นสำคัญ ส่วนการทำประชามตินั้น มีความจำเป็น ถ้ารัฐบาลทำตามโรดแมป แต่หากเลือกตั้งแล้วเกิดความขัดแย้งกัน ยืดเวลาอีก 2-3 เดือน เพื่อทำประชามติให้ทุกฝ่ายพอใจจะดีกว่าสร้างความขัดแย้ง
------------------------
"ผศ.วุฒิศักดิ์" ย้ำทำประชามติต้องใช้มาตรา 46 ชี้ ประชามติรายมาตราเป็นปัญหาและทำได้ยาก เนื่องจากรัฐธรรมนูญเชื่อมโยงกันหลายมาตรา 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และในฐานะคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยกับ INN ถึงเรื่องของการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ก่อนหน้านี้เคยมีกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติคือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ปี 2552 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกโดยอาศัยอำนาจของรัฐธรรมนูญ ปี 2550 เมื่อรัฐธรรมนูญปี 2550 สิ้นสภาพไปพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ก็ต้องสิ้นสภาพไปด้วย ยกเว้นว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งทางกฎหมายในขณะนี้ ก็ไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติและในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ก็ไม่ได้มีการบัญญัติไว้ ซึ่งหากมีการทำประชามติจริง จะต้องไปอาศัยมาตรา 46 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว

ทั้งนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วุฒิศักดิ์ กล่าวว่า ในขณะนี้หลายฝ่ายกำลังตื่นตระหนกกลัวว่า รัฐธรรมนูญจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ไม่เห็นด้วย จึงออกมารณรงค์ให้มีการลงประชามติ ซึ่งส่วนตัวมองว่าอย่าเพิ่งคิดไปถึงจุดนั้น เพราะในขณะนี้ยังมีสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) และ คสช. ที่จะเสนอความคิดเห็นไปยังคณะกรรมาธิการยกร่างฯ เพื่อขอแก้ไขได้ จนถึงวันที่ 28 พ.ค.

นอกจากนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วุฒิศักดิ์ ยังกล่าวถึงการทำประชามติรายมาตรา ว่า หากเป็นเช่นนั้น จะทำให้เกิดปัญหาตามมา เนื่องจากรัฐธรรมนูญนั้น มีส่วนที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันหลายมาตรา ซึ่งถือเป็นเรื่องยากลำบากและเป็นไปได้ยากมาก
------------------------
"ดิเรก" เตรียมถก คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาจัดทำประเด็นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ คาดส่ง 15 พ.ค. นี้

นายดิเรก ถึงฝั่ง สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาจัดทำประเด็นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง และคณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ระบุว่า ช่วงบ่ายวันนี้ คณะอนุกรรมาธิการฯ จะมีการประชุมเพื่อรวบรวมประเด็นความเห็นในการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากสมาชิกทั้งในกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง และกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งประเด็นหลัก คือ เรื่องที่มานายกรัฐมนตรี การได้มาซึ่ง ส.ว. โดยเบื้องต้นจะเป็นการวางกรอบในการดำเนินการจัดทำคำขอแก้ไข และคาดว่าจะส่งคำขอแก้ไขทุกประเด็นให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 15 พ.ค.นี้

นอกจากนี้ นายดิเรก กล่าวอีกว่า การประชุมวันนี้ จะยังไม่มีการหารือเรื่องการทำประชามติ โดยจะทำคำขอให้เสร็จก่อน
-------------------------
สปช.รับความเห็นจากปชช.จำนวน 73 จังหวัดแล้ว-กมธ.ลงพื้นที่เพื่อรับฟังความเห็นประชาชนต่อร่าง รธน. จ.พระนครศรีอยุธยา

บรรยากาศการประชุมคณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมและรับฟังความเห็นของประชาชน สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ล่าสุด มีการประชุมเพื่อรับฟังรายงานการรับฟังความเห็นประชาชน ซึ่งขณะนี้

ได้ความรับความเห็นจากประชาชนจำนวน 73 จังหวัดแล้ว และยังเหลืออีก 4 จังหวัด ที่ยังไม่ส่งรายงานมายังกรรมธิการฯ

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ จะมีการทำแบบสอบถามเพิ่มเติม เพื่อถามความเห็นของประชาชนต่อการทำประชามติ ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้ทำหรือไม่ โดยจะกระจายไปยังมหาวิทยาลัย

ราชภัฏทุกแห่งทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการฯ บางส่วนได้ลงพื้นที่เพื่อรับฟังความเห็นประชาชนต่อร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแล้ว
----------------------------
ธีรยุทธ์ ชี้แจงหลักปฏิรูปบริหารราชการแผ่นดิน ยันต้องกำหนดหน้าที่ชัดใน ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น

การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ ที่มี นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ทำหน้าที่ประธานการประชุม ล่าสุด เข้าสู่การพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน วาระที่ 3 : การ

ปรับโครงสร้างอำนาจส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โดย นายธีรยุทธ์ หล่อเลิศรัตน์ ประธานกรรมาธิการ ได้ชี้แจงหลักการและเหตุว่า ในปัจจุบันการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
ยังเป็นอุปสรรคต่อการบริหาร จึงต้องกำหนดบทบาทภารกิจของภาครัฐให้ชัดเจนและการจัดรูปแบบองค์กรภาครัฐให้เหมาะสมกับภารกิจที่หลากหลาย รวมถึงการกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่และ

ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ตลอดจนการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อการสร้างศักยภาพในการแข่งขันในเวทีโลก การสร้าง
ความแข็งแกร่งในสังคมที่เน้นการพึ่งพาตนเองและการพัฒนาคุณภาพชีวิต
--------------------------
พล.อ.ประวิตร แจงพรรคการเมืองขอผ่อนประกาศ คสช. เพื่อหารือ หาก รธน.เสร็จจะเดินหน้าตามกระบวนการ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่พรรคการเมืองขอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผ่อนคลายประกาศ คสช.เพื่อให้

พรรคการเมืองประชุมหารือเรื่องรัฐธรรมนูญได้ว่า ในเรื่องรัฐธรรมนูญนั้น คสช. และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้ดำเนินการอยู่แล้ว และหากเปิดให้พรรคการเมืองประชุมหารือทันทีจะเป็น

เรื่องการเมืองทั้งหมดไม่ใช่เพียงแค่รัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ รัฐบาลพยายามไม่ให้นำการเมืองเข้ามาเกี่ยว และหากร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นบ้านเมืองจะเดินหน้าไปได้ตามกระบวนการ
------------------------
"บัณฑูร" แจงทำประชามตินั้น ต้องแก้ รธน. ก่อนเปิดการรับฟังความคิดเห็นของหลายฝ่าย ครม. - คสช. ต้องตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่

นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ในกระบวนการทำประชามตินั้น จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 ก่อน ซึ่งขณะนี้ได้เปิดการรับฟังความคิด

เห็นของหลายฝ่าย ทั้งจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ และประชาชนว่ามีความเห็นอย่างไร ทั้งนี้ เห็นว่า ครม. และ คสช. จะต้องตัดสินใจแล้วว่า จะมีการทำประชามติหรือไม่
ซึ่งคาดว่า ในการประชุมแม่น้ำ 5 สาย ในครั้งนี้ จะนำประเด็นดังกล่าวเข้าหารือกัน เพราะไม่ใช่เรื่องเสียหาย และหากมีการทำประชามติ ต้องใช้ระยะเวลา 90 วัน ซึ่งเป็นช่วงระยะที่เข้มข้น และไม่

ควรให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นผู้จัดการเรื่องนี้โดยตรง ควรที่จะให้บุคคลที่ 3 เข้ามาดำเนินการ
------------------------------
"บัณฑูร" ชี้ ควรทำประชามติถามความเห็น ปชช. - จัดเวทีเสวนาข้อหัว "พลเมืองเสวนา" เพื่อฟังเสียง ปชช. ก่อนนำไปพิจารณาทำประชามติ

นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ควรทำประชามติเพื่อถามความเห็นของประชาชน ว่าเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่ และกรรมาธิการยกร่างรัฐ

ธรรมนูญ ส่วนใหญ่ได้แสดงความเห็นส่วนตัว ว่า ต้องการให้ประชามติ แต่ไม่มีการพูดกันในเรื่องนี้ในที่ประชุมแต่อย่างใด และไม่ใช่เป็นมติของคณะกรรมาธิการยกร่างฯพร้อมกันนี้ ส่วนตัวเห็นว่า

คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี ต้องการให้มีการเสนอในเรื่องการทำประชามติเข้าอย่างเป็นทางการมากกว่า

นอกจากนี้ นายบัณฑูร ยังกล่าวว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการจัดเวทีเสวนาข้อหัว "พลเมืองเสวนา" เพื่อฟังเสียงของประชาชนก่อนที่จะนำไปพิจารณาในการทำประชามติต่อไป โดยหลายเวทีผ่านมา ก็มี

เสียงเรียกร้องให้ทำประชามติ แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลสถิติที่ชัดเจน ซึ่งต้องพิจารณาให้ละเอียดว่าจะต้องทำประชามติทำทั้งฉบับ หรือในเฉพาะรายมาตรา
-----------------------
สมบัติ จ่อเชิญ 74 พรรค ถกแก้ไขรัฐธรรมนูญ 15 พ.ค. ปัดยืมมือคนนอกกดดัน กมธ.ยกร่าง

นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สปช. กล่าวภายหลังการประชุม ว่า กรรมาธิการจะจัดทำคำข้อแก้ไขเพิ่มให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ จากนั้นจะเชิญ 74 พรรคการเมือง

เข้าร่วมสัมมนาเพื่อแสดงความคิดเห็น เสนอแนะ ปรับแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 15 พ.ค. นี้ พร้อมเตรียมเชิญคณบดี นักวิชาการ ด้านนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ จากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ

เข้าให้ข้อเสนอแนะที่รอบด้านมากขึ้น โดยคำขอแก้ไขเพิ่มเติมทั้งหมดจะแล้วเสร็จ พร้อมส่งให้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 25 พ.ค. ทั้งนี้ ยืนยันว่าการสัมมนาครั้งนี้ ไม่ได้ทำเพื่อกดดันให้

กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ รับข้อเสนอแนะ แต่เป็นการเพิ่มน้ำหนักให้กับข้อเสนอเท่านั้น

ส่วนเรื่องการทำประชามติ เห็นว่า เป็นเรื่องที่ดีหากประชาชนเห็นด้วยก็จะสร้างความชอบธรรมให้เกิดขึ้น และจะเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชนอย่างแท้จริง แต่ต้องให้ความรู้กับประชาชนก่อน

เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งตามมาอีกครั้ง
----------------------
ดิเรกแจงประเด็นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมให้เสร็จภายในวันที่ 15 พ.ค.ยื่นมาแล้ว 5 คน

คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาจัดทำประเด็นคำข้อแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี นายดิเรก ถึงฝั่ง เป็นประธาน ทำการประชุมเป็นทางการครั้งแรก เพื่อพิจารณาแนวทางและจัดทำประเด็นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดย นายดิเรก กล่าวในที่ประชุมว่า จะต้องจัดทำประเด็นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 พ.ค. และหลังจากนั้นอีก 1 สัปดาห์ อนุกรรมาธิการฯ จะต้องรายงานผลและรวบรวมคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ ให้คณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง
ทราบเป็นระยะ ซึ่งจะต้องดำเนินการทุกอย่างให้แล้วเสร็จในวันที่ 25 พ.ค. เพื่อส่งให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาแนวทางการดำเนินการของคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาจัดทำประเด็นคำข้อแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ
ขณะนี้มีผู้แสดงความประสงค์ขอแก้ไขเพิ่มแล้ว จำนวน 5 ราย ซึ่งคาดว่า ในช่วงเย็นวันนี้จะทราบประเด็นคำข้อแก้ไขชัดเจนขึ้น

///////////
-ถอดถอน
"เจตน์" เผย พรุ่งนี้ "บุญทรง-ภูมิ" แถลงปิดคดีข้าวจีทูจี ด้วยตนเอง ขณะ "มนัส" ส่งเอกสารแจง ขณะการลงมติใช้วิธีลับ

นายแพทย์เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ วิป สนช. เปิดเผยถึงการพิจารณาถอดถอน นายบุญทรง เตริยาภิรมณ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวง

พาณิชย์, นายภูมิ สาระภูมิ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ออกจากตำแหน่ง ในคดีการทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ

แบบจีทูจี ในวันพรุ่งนี้ ว่า จะเป็นขั้นตอนของการแถลงปิดสำนวนคดี ซึ่ง สนช. ได้รับแจ้งว่า นายบุญทรง และ นายภูมิ จะเดินมาชี้แจงด้วยตนเอง ส่วน นายมนัส นั้น จะใช้เอกสารในการชี้แจง

นอกจากนี้ นายแพทย์เจตน์ ยังกล่าวว่า ในการลงมติวันที่ 8 พ.ค.นี้ จะใช้วิธีการลงคะแนนในคูหา ซึ่งคาดว่า จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม จะต้องหารือกันในที่ประชุมอีกครั้ง
---------------------
“วัชระ”อดีต ส.ส. ปชป. จี้ ป.ป.ช.ยื่นสอบ “ธาริต” เพิ่ม 3 คดี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมายืนหนังสือถึงประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอให้สอบสวนการปฏิบัติหน้าที่ของ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กับพวก เนื่องจาก ขณะที่ นายธาริต ดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดี DSI ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการไม่เที่ยงธรรม ไม่สุจริต จาก 3 กรณี ได้แก่ กรณีไม่เรียกตัว นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่ม นปช. เป็นผู้ต้องหา เกี่ยวกับกรณีมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมของ นปช. มารับทราบข้อกล่าวหา กรณีที่ DSI สรุปสำนวนของ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เป็นผู้ต้องหา จากการขึ้นปราศรัยยุยงให้คนเสื้อแดงจัดหาขวดแล้วเติมน้ำมันจนกรุงเทพฯ เป็นทะเลเพลิง ซึ่งศาลได้ออกหมายจับแล้ว และกรณีที่ DSI ไม่ดำเนินคดีฃกับ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ อดีตส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย กับพวก เป็นผู้ต้องหา เนื่องจาก จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ครอบครองเสื้อเกาะ (ข้อความระบุว่าสังกัดทุ่งสง) หมวกนิรภัยปราบจลาจล (ข้อความระบุว่า ทภ.1)
//////////
-โรฮิงญา/ประมง/ค้ามนุษย์

ศปมผ.เตรียมความพร้อมนำผู้แทนอียูตรวจการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย พร้อมขอแนวทางขจัด "ใบเหลือง"

พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานการประชุมศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ติดตามความคืบหน้าแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะวันนี้ที่ได้เปิดศูนย์ควบคุมการเข้าออก ท่าของเรือประมง (PIPO) อย่างเป็นทางการ ทั้ง 28 ศูนย์ ใน 22 จังหวัดชายทะเล เพื่อตรวจสอบการเข้า-ออกเรือประมง และเป็นไปตามแนวทางของสหภาพยุโรปให้เร่งดำเนินการแก้ไข

ขณะที่ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวว่า วันนี้เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนที่คณะทำงานของสหภาพยุโรป หรือ อียู จะมาติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา อีกทั้งต้องการได้ข้อยุติที่ชัดเจนว่า ไทยจะสามารถแก้ปัญหาใบเหลืองได้อย่างไร ซึ่งคิดว่า การตรวจความพร้อมของอียูจะมีผลต่อการพิจารณาใบเหลืองของไทย ดังนั้น จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมความพร้อมและแก้ไขปัญหาที่
เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน เพื่อให้ความมั่นใจว่า ไทยจะไม่กลับไปเป็นเช่นเดิม
----------------------
กสม.เตรียมเสนอนายกฯ ใช้ ม.44 ช่วยแก้ปัญหาค้ามนุษย์ ลงพื้นที่ 13 พ.ค. เชิญหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูล

น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ประชุมคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กล่าวว่า กสม.ได้ตรวจสอบกรณีชาวโรฮิงยามาตั้งแต่ปี 2552 หลังพบการเสียชีวิตของชาวโรฮิงยา ที่ จ.ระนอง และพบต่อเนื่องในปี 2553-2554 จึงเตรียมเสนอข้อมูลให้รัฐบาลเพื่อกำหนดเป็นแนวทางบริหารจัดการผู้อพยพ และเสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อให้การตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างเข้มข้นและจริงจัง

ทั้งนี้  กสม.จะลงพื้นที่ติดตามปัญหาการค้ามนุษย์ วันที่ 13 พ.ค. และวันที่ 20 พ.ค. นี้ โดยจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ และเครือข่ายช่วยเหลือชาวโรฮิงยา ในพื้นที่เข้าให้ข้อมูลด้วย

นอกจากนี้ น.พ.นิรันดร์ ยังกล่าวด้วยว่า จากหลักฐานทั้งหมดที่ปรากฏแสดงให้เห็นว่ามีขบวนการค้ามนุษย์ชัดเจน โดยมีข้าราชการและนักการเมืองท้องถิ่นมีส่วนเกี่ยวข้อง จึงขอสนับสนุนให้ ล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ เพื่อให้การทำงานเป็นไปด้วยความรวดเร็วด้วย
----------------
มท.1 แจงศพโรฮิงยาแนวชายแดนสั่งการตรวจสอบป้องกันเกิดเหตุซ้ำรอย ผวจ.-นายอำเภอขอเวลาตรวจสอบหากไม่สามารถชี้แจงได้ต้องถูกลงโทษทางวินัย

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่พบหลุมศพชาวโรฮิงยารวมถึงที่พักพิงในพื้นที่แนวชายแดน ว่า กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการไปยังพื้นที่สุ่มเสี่ยงที่อาจ
จะพบปัญหาเดียวกับ ที่ จ.สงขลา ให้ดำเนินการตรวจสอบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย โดยบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเครือข่ายการค้ามนุษย์จะต้องถูกลงโทษทางกฎหมาย ส่วนผู้รับผิดชอบใน

พื้นที่ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ ขอเวลาในการสอบสวนอีกระยะหนึ่ง เพื่อความชัดเจนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ และหากไม่สามารถชี้แจงได้จะต้องถูกลงโทษทางวินัย
------------------------
พล.ต.สรรเสริญแจงนายกฯสั่งให้เวลา 10 วันตรวจสอบแหล่งค้ามนุษย์ พร้อมให้จังหวัดประชุม จนท.เพื่อรับทราบนโยบาย

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์โรงฮิงยาว่า จากกรณีที่นายกรัฐมนตรีสั่งการให้มีการตรวจสอบในทุกพื้นที่ที่อาจมีแหล่งควบคุมและรวบรวมเพื่อค้ามนุษย์ และดำเนินการลงโทษแก่ผู้เกี่ยวข้อง อีกทั้งให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบการกระทำที่ผิดกฎหมายต่าง ๆ ไม่เฉพาะแต่เรื่องการค้ามนุษย์นั้น นายกรัฐมนตรียังได้สั่งการเพิ่มเติมว่า ให้เวลา 10 วันในการตรวจสอบในทุกพื้นที่ให้เรียบร้อย โดยให้กรมการปกครองเป็นผู้รวบรวมข้อมูล พร้อมให้ทางจังหวัดจัดการประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อรับทราบนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ หากมีข้อมูลพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องจนในพื้นที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ให้รายงานมาที่อธิบดีกรมการปกครอง ซึ่งส่วนกลางจะเข้าไปดำเนินการแก้ไขให้
-----------------------------
รอง ผบ.ตร. เผย คืบคดีศพโรฮิงยา เจอแหล่งพักจุดที่ 3 เพิ่ม เตรียมเข้าตรวจสอบ ผุดศูนย์อำนวยการ สกัดขบวนการทั้งระบบวันนี้ ยัน นาย ตร.ที่ถูกเด้ง รอผลจเรตำรวจ

พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. เปิดเผย สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า ความคืบหน้าหลังจากตนเองได้ลงตรวจสอบพื้นที่เขาแก้ว อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเป็นแหล่งพักพิงจุดที่ 2 เพิ่มเติมวานนี้ ยังไม่พบหลักฐานอะไรเพิ่มเติม แต่ทางการข่าวของทางทหารระบุว่า มีการพบแหล่งพักพิง แหล่งที่ 3 ซึ่งอยู่แนวตะเข็บชายแดนเขาแก้ว โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ และคาดว่าจะเข้าไปตรวจพื้นที่ได้เร็ว ๆ นี้ ส่วนจะเป็นแหล่งพักพิงแหล่งใหญ่หรือไม่นั้น ต้อวรอข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้ง นอกจากนี้ รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า ในวันนี้จะตั้งศูนย์อำนวยการร่วมในการปราบการค้ามนุษย์โรฮิงยา ที่ อ.หาดใหญ่ สงขลา โดยเป็นการบูรณาการร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ก็เพื่อจะสกัดการเข้ามาของขบวนการค้าทนุษย์กลุ่มนี้ ซึ่งทราบว่า ใช่แนวชายแดน จังหวัดระนอง พังงา สตูล และ 3 จว.ภาคใต้ รวมถึงสงขลา เป็นจุดพัก ศูนย์นี้จะมีหน้าที่ ติดตามความคืบหน้าทางคดี ที่ได้ออกหมายจับไปแล้วหลายคน รวมถึงสกัดการค้ามนุษย์ตั้งแต้ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ที่สงขลา เชื่อว่าจะสามารถกวาดล้างขบวนการนี้ได้อย่างแน่นอน ส่วนการสอบปากคำชาวโรฮิงยา ที่บาดเจ็บอยู่ ถือว่ามีประโยชน์มาก แต่ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ และเชื่อว่าจะสามารถจับกุมคนบงการใหญ่ในขบวนการนี้ได้แน่อนอน
-------------------------
"ประวิตร" เผยนายกรัฐมนตรีสั่งสางปมโรฮิงยาใน 10 วัน ย้ำยอมรับต้องมีการปรับแก้กฎหมายการค้ามนุษย์ 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ถึงกรณีการพบศพชาวโรฮิงยา ในสถานกักกันบนเขาติดกับชายแดนไทย-มาเลเชีย จ.สงขลา ว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้เร่งรัดการดำเนินคดีดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน โดยส่วนตัวพอใจกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ในขณะนี้ซึ่งขบวนการสืบสวนสอบสวนคืบหน้าไปมาก

ส่วนกรณีที่พบข้าราชการทหารมีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้ พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ในส่วนของเรื่องนี้ทางผู้บัญชาการทหารบกได้ดูแลอยู่แล้ว ซึ่งหากพบว่าเชื่อมโยงไปถึงข้าราชการทหารคนใด สามารถดำเนินการสั่งย้ายได้ทันที

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ระบุว่า หากการสืบสวนพบว่ามีบุคคลใดเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว พนักงานสอบสวนสามารถเชิญตัวมาให้ปากคำได้ทันที ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำแล้วหลายราย

ขณะเดียวกัน ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการเสนอเพิ่มบทลงโทษในตัวกฎหมายเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ให้เทียบเท่ากับกฎหมายแรงงานประมง เพื่อให้เทียบเท่ากับหลักสากล
--------------------------
กก.กสม. หารือคดีพบศพโรฮิงยาที่สงขลา ชี้เป็นขบวนการค้ามนุษย์ตั้งแต่ปี 2552 จ่อรวมข้อมูลชาวโรฮิงยาที่ถูกกักในไทย

นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เพื่อหารือการลงพื้นที่หลังพบหลุมศพชาวโรฮิงยาที่อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา กว่า 26 ศพ นั้น กล่าวยืนยันว่า เป็นผลมาจากการกระบวนการค้ามนุษย์ หลังลงตรวจสอบตั้งแต่ปี 2552 โดยปัญหานี้ยังดำเนินอยู่แบบภูเขาน้ำแข็ง และการพบหลุมฝังศพนี้เหมือนฝีที่แตก

ทั้งนี้ ขอชื่นชมรัฐบาลที่ลงพื้นที่ตรวจสอบทันที โดย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก และ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่สำคัญได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ หลังถูกลดจากเทียร์ 2 เป็นเทียร์ 3

นอกจากนี้ ทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะทำหนังสือถึงสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อขอจำนวนชาวโรฮิงยาในปัจจุบัน เพื่อบ่งบอกสถานะทั้งในประเทศไทยและระหว่างประเทศต่อไป โดยตัวเลขจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 28 เมษายน ที่ผ่านมา มีรวม 363 คน ที่อยู่กับด่านตรวจคนเข้าเมืองและกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
---------------------------
รอง ผบ.ตร. เผยสั่งเร่งติดตามตัวสุพจน์ มือฆ่าโรฮิงยา เป็นตัวการสาวไปถึงคนบงการได้แน่

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงการติดตามตัว นายสุพจน์ หมื่นซิ่ว ผู้ต้องหารายสำคัญ ซึ่งคาดว่าเป็นผู้ลงมือยิงชาวโรฮิงยา โดยระบุว่า ผบ.ตร. มีคำสั่งให้เร่งติดตามตัว เพราะจากการข่าวคาดว่าจะเป็นตัวการสำคัญในการคลี่คลายคดี และสาวไปถึงตัวการใหญ่

อย่างไรก็ตาม ตนเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องความเชื่อมโยงกับอาชญากรรมข้ามชาติและเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ส่วนในทางสืบสวนสอบสวนเป็นหน้าที่ของ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

นอกจากนี้ จะมีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการร่วม ในการปราบการค้ามนุษย์โรฮิงยา ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยเป็นการบูรณาการร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะสกัดการเข้ามาของขบวนการค้ามนุษย์กลุ่มนี้ ซึ่งทราบว่าใช้แนวชายแดนจังหวัดระนอง พังงา สตูล และ 3 จังหวัดภาคใต้ รวมถึงสงขลาเป็นจุดพัก ศูนย์นี้จะมีหน้าที่ติดตามความคืบหน้าทางคดี ที่ได้ออกหมายจับไปแล้วหลายคน รวมถึงสกัดการค้ามนุษย์ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง
------------------------------
รอง ผบ.ตร. เผย คืบศพโรฮิงยา ประสาน ตร.มาเลเซีย และเมียนมา สกัดการค้ามนุษย์ ออกหมายจับทหารโยง ระหว่างรวมข้อมูล 

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีพบศพชาวโรฮิงยา ในสถานกักกันบนเขาติดกับชายแดนไทย-มาเลเชีย จ.สงขลา ว่า ในวันนี้จะมีการให้ข้อมูลกับตำรวจมาเลเซีย ทั้งเรื่องการพบศพชาวโรฮิงยา และเรื่องคดีแชร์ลูกโซ่ยูฟัน แต่จะเป็นการหารือนอกรอบ เบื้องต้นได้มีการคุยกับทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประเทศมาเลเซียบ้างแล้ว

ส่วนการประสานกับประเทศเมียนมา ได้สั่งการให้ ผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค 8 ประสานงานกับประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นประเทศต้นทางและประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศปลายทางแล้ว และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ในส่วนของการออกหมายจับนายทหารยศพันตรี ที่เป็นบุคคลเรียกค่าไถ่นั้น อยู่ในขั้นตอนของการสอบสวน ซึ่งทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เน้นย้ำว่า หากการสืบสวนสอบสวนเชื่อมโยงไปถึงบุคคลใด ให้ดำเนินคดีทันที

ส่วนการโยกย้ายตำรวจเพิ่มเติมที่ก่อนหน้านี้ มีการโยกย้ายไปแล้ว 15 คนหรือไม่นั้น รอง ผบ.ตร. ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งเพิ่มเติม แต่คาดว่าจะมีคำสั่งย้ายในอนาคต ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกโยกย้ายไปก่อนหน้านี้ ต้องดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม
///////////
-หวย
/////////////////
-เนปาล

ม.ล.ปนัดดา รับมอบเงินบริจาคโครงการ "หัวใจไทยส่งไปเนปาล" 4.5 ล้านบาทของกระทรวงพลังงาน 

ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคจาก นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ที่ร่วมกับบริษัทภาคเอกชน บริจาคเงินเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่ประเทศเนปาล ผ่านโครงการ "หัวใจไทยส่งไปเนปาล" จำนวน 4.5 ล้านบาท ขณะที่ตัวแทนจากบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส มอบเงินบริจาค จำนวน  2 ล้านบาท และ พล.อ.ธีระ ไกรพานนท์

เลขาธิการลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูถัมภ์ เป็นผู้แทนสมาคมมอบเงินบริจาค จำนวน 1 แสนบาท

ทั้งนี้ ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า ขณะนี้ยอดเงินบริจาคในโครงการอยู่ที่ 111 ล้านบาทเศษ ซึ่งจะทยอยส่งมอบให้รัฐบาลเนปาลต่อไป ส่วนเงินที่อนุมัติจากคณะรัฐมนตรีจำนวน 100 ล้านบาทนั้น ได้ทำการส่งมอบเรียบร้อยแล้ว
--------------------
ผบ.สส. แจงกองทัพปฏิบัติการชุดแรก ประสบความสำเร็จกลับถึงไทยเย็นนี้ รัฐวางแผนจัดส่งของทางเรือประสานความช่วยเหลือกับ ตปท.

พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวถึงชุดปฏิบัติของกองทัพที่ส่งไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว ที่ประเทศเนปาล ว่า การทำหน้าที่ของชุดปฏิบัติการชุดแรก ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างรวดเร็วทันเวลา และยังสามารปฏิบัติตามขั้นตอนที่รับการฝึกมาได้จบภารกิจการค้นหาและช่วยชีวิต เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ที่ผ่านมา และจะเดินทางกลับพร้อมกับชุดปฏิบัติการของนานาประเทศในวันนี้ โดยจะถึงไทยวันนี้ เวลาประมาณ 19.00 น. ซึ่งจะมีพิธีต้อนรับที่สนามบินดอนเมือง

ส่วนกรณีที่ประชุมกองทัพไทย มีการระงับการลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยของหน่วยแพทย์ชุดที่ 2 นั้น เนื่องจากทางเนปาล ได้แจ้งว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือแล้ว หลังชุดปฏิบัติการชุดแรกจบภารกิจ ซึ่งจากนี้ต้องรอในช่วงการฟื้นฟูว่า ทางเนปาล จะร้องขอหน่วยแพทย์หรือความช่วยเหลืออื่นๆ จึงจะจัดส่งไปใหม่ แต่ตอนนี้ยังไม่มีการ้องขอ ส่วนของที่เตรียมไว้ส่งไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยนั้น รัฐบาลได้วางแผนว่าจะจัดส่งทางเรือ ซึ่งอาจจะมีการประสานความช่วยเหลือกับต่างประเทศ
----------------------
พล.ต.สรรเสริญ เผย ทีมแพทย์ช่วยเนปาล จะหยุดการปฏิบัติงานวันที่ 10 พ.ค. เข้าสู่ในช่วงของการฟื้นฟูประเทศ การรับบริจาคเงินรัฐ ยังเปิดรับเพื่อช่วยเหลือต่อไป

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมร่วมกันระหว่างศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล กับสถานทูตที่ประเทศเนปาล และหน่วย

งานที่เกี่ยวข้องวันนี้ ได้มีการรายงานถึงสถานการณ์ต่างๆ โดยทีมแพทย์จะหยุดการปฏิบัติงาน ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.นี้ และหน่วยทหารจากประเทศต่างๆ จะออกจากพื้นที่ในวันที่ 15 พ.ค.นี้ เนื่องจาก

ต่อไปนี้จะเข้าสู่ในช่วงของการบูรณะฟื้นฟูประเทศ ซึ่งเบื้องต้นทางเนปาล จะมีการตั้งกองทุนบูรณะฟื้นฟูเนปาล โดยในวันศุกร์ที่ 8 พ.ค.นี้ ทางกระทรวงการต่างๆ ประเทศของไทย จะมีการประชุม

หารือกับฝ่ายต่างๆ ถึงแนวทางการช่วยบูรณะฟื้นฟูประเทศเนปาล ทั้งการพิจารณาชุดให้ความช่วยเหลือ และการบริจาคต่างๆ โดยจะต้องสอดคล้องกับประเทศต่างๆ ด้วย ส่วนเรื่องการรับบริจาค

เงินนั้น รัฐบาลยังคงเปิดบัญชีรับบริจาคก่อนจะพิจารณาแนวทางการส่งเงินไปให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสมต่อไป
-----------------
เหยื่อดินไหวเนปาล ยังไม่นิ่ง ล่าสุดพุ่ง 7,557 ราย ขณะ อาฟเตอร์ช็อก ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง

สำนักข่าวอินเดีย รายงาน ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง แมกนิจูด 7.9 เมื่อวันที่ 25 เมษายน ขณะนี้ ยอดผู้เสียชีวิต เพิ่มขึ้นเป็น 7,557 ราย และยอดผู้บาดเจ็บอยู่ที่ 14,536 ราย พร้อมกับรายงานเกิดเหตุแผ่นดินไหว แรงสั่นสะเทือน แมกนิจูด 4.0 บริเวณเขตชายแดนเชื่อมต่อระหว่าง อำเภอตาดิง และนูวาโคท เมื่อวานนี้ หลังจากนั้น เกิดอาฟเตอร์ช็อก ตามมาอีกหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เกิดอาฟเตอร์ช็อก แรงสั่นกว่า แมกนิจูด 4.0 เกิดขึ้นตามหลังเหตุภัยพิบัติรุนแรง เมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งมีโอกาสทำให้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงได้ ขณะที่การสำรวจโดยตัวแทนองค์การสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ระบุว่า เหตุแผ่นดินที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พบว่าบ้านเรือนในพื้นที่ประสบภัย ถูกทำลาย 191,058 หลังคาเรือน เสียหายบางส่วนอีก 175,162 หลังคาเรือน

http://www.mumbaimirror.com/articleshow/47169019.cms?
--------------
องค์การอาหารโลกร่วมมือรัฐบาลเนปาลสร้างคลังเก็บรองรับอาหารที่จะจัดส่งไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว

สำนักข่าว เฟิร์ท โพสต์ รายงาน องค์การอาหารโลก หรือ WFP ทำงานร่วมกับรัฐบาลเนปาล เจ้าหน้าที่ต่างชาติอย่างประเทศจีนและองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ NGO ในการเยียวยาผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในเนปาลอย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้กำลังสร้างความมั่นคงด้านจริยธรรมในพื้นที่ประสบภัย โดยกำลังสร้างคลังขนาดใหญ่เพื่อไว้กักเก็บของที่ได้รับบริจาค เพื่อส่งต่อไปยังพื้นที่ที่กำลังได้รับความลำบาก ทั้งนี้ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า เนปาลมีทำเลที่ดีสำหรับกักตุนอาหารเพื่อใช้ในการบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัย
ขณะเดียวกันคลังเก็บอาหารเป็นสถานที่ที่จัดตั้งโดยความช่วยเหลือจากสหราชอาณาจักรและรัฐบาลเนปาล ในพื้นที่สนามบินนานาชาติทิบพูวาน ขณะที่อาหารจะใช้สิ่งของที่จีนเป็นผู้จัดส่งความช่วยเหลือมาให้ และจะใช้เฮลิคอปเตอร์ 3 ลำในการจัดส่งอาหารและสิ่งของช่วยเหลือไปยังพื้นที่ประสบภัย นอกจากนี้ ยังเตรียมที่จะเพิ่มเฮลิคอปเตอร์ขนส่งเพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย

http://en.people.cn/n/2015/0506/c90777-8887984.html?
------------------------------
ผู้ว่าราชการภูเก็ต เผย เกิดเหตุแผ่นดินไหว ขนาด   4.1 ลึก 10กม. บริเวณ ทิศตะวันออก ของเกาะภูเก็ต เบื้องต้นยังไม่ได้รับรายงานความเสียหาย สั่งเฝ้าระวังแล้ว 

นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 04.18 น. เกิดเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 4.1   ลึก 10 เมตร  มีศูนย์กลางอยู่บริเวณ ตอนใต้เกาะยาว ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ประมาณ 18 กม.   โดยประชาชนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นไหวหลายพื้นที่ ของจังหวัด ภูเก็ตและพังงา  นานประมาณ 2-3วินาที ขณะที่ระดับน้ำทะเลยังอยู่ในระดับปกติ และอยู่ในขั้นของการเฝ้าระวัง โดยยังไม่มีการเตือนภัยใดๆจากศูนย์เตือนภัยพิบัติ

  แต่อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ตนได้สั่งการให้เครือข่ายผู้ปฏิบัติงานทำการตรวจสอบและเฝ้าระวังเหตุอย่างใกล้ชิดแล้ว   ซึ่งเบื้องต้น ยังไม่พบรายงานความเสียหาย  ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูล ข่าวสารอย่างใกล้ชิด หากมีสถานการณ์จะแจ้งให้ทราบทันที
--------------
กต. สรุปสถานการณ์แผ่นดินไหวเนปาล วันนี้ ทอ. ส่งสิ่งของจำเป็น 2 ตันให้ แพทย์ชุดที่ 2 เตรียมเดินทางไปวันพรุ่งนี้

กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ สรุปสถานการณ์แผ่นดินไหวและการช่วยเหลือคนไทยในประเทศเนปาล ว่า วันนี้ (6 พ.ค.) กองทัพอากาศจะนำสิ่งของจำเป็น จำนวน 2 ตัน บรรทุกเครื่องบิน C-130 อีก 2 ลำ ไปช่วยเหลือประเทศเนปาล และยังไม่มีนักท่องเที่ยวคนไทยมาขอความช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ เพิ่มเติม

ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขจะส่งทีมแพทย์ชุดที่ 2 ไปประเทศเนปาลในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ เพื่อผลัดเปลี่ยนกับทีมแพทย์ชุดแรก ที่โรงพยาบาลสนาม ตำบลซิปปะกัต โดยเน้นสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแลสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม การป้องกันควบคุมโรค สุขภาพจิต และการฟื้นฟูโครงสร้างบริการสาธารณสุขพื้นฐานให้กลับมาเปิดบริการได้โดยเร็ว

/////////////////////
-จักรยาน

ผกก.สน.โคกคราม เผยความคืบหน้าคดีหนุ่มขับแจ๊ส พุ่งชน กลุ่มนักปั่นจักรยานรัชดา เสียชีวิต ล่าสุดมอบหมายพนักงานสอบสวนดำเนินการขอหมายจับแล้วในวันนี้  พร้อมเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าสอบปากคำ  ขณะระบุ ผบชน.สั่งเร่งรัดจับกุมตัว

พันตำรวจเอกกิตติเชษฐ์ ศักยภาพวิชานนท์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลโคกคราม เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณี รถเก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า  แจ๊ส ทะเบียน 3 กฎ 8938 กทม.  พุ่งชนกลุ่มนักปั่นรถจักรยาน บริเวณด้านหน้าหมู่บ้านบางกอกบูเลอวาร์ด ถนนรัชดา-รามอินทรา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ เมื่อวานที่ผ่านมาว่า ล่าสุดในวันนี้ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนดำเนินการขออนุมัติศาลศาลแขวงมีนบุรีออกหมายจับผู้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าว  ในข้อหาชนแล้วหนี ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย   ภายหลังที่เจ้าหน้าที่ได้ข้อมูลเป็นภาพถ่ายจากกลุ่มนักปั่นจักรยาน ที่สามารถบันทึกไว้ได้และพยานยืนยันว่าเป็นผู้ขับขี่รถคันดังกล่าว  นอกจากนี้ยังได้เรียกผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู ที่นำผู้ก่อเหตุส่งรักษาอาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาลก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะอาศัยโอกาสหลบหนีไป และหญิงสาวที่นั่งมากับรถผู้ก่อเหตุ เพื่อมาสอบปากคำในวันนี้ ด้วย

ส่วนกรณีที่ เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ แจ้งว่า ผู้ก่อเหตุ ชื่อ นายศรันย์ อินทนนท์ อายุ 23 ปี นั้นจากการตรวจสอบข้อมูลตามทะเบียนราษฎร์ พบว่ารายชื่อกับผู้ที่ก่อเหตุนั้น ไม่ตรงกัน คาดว่าน่าจะเป็นการแจ้งชื่อผิดให้กับเจ้าหน้าที่
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีนี้ ทาง พลตำรวจโทศรีวรา รังสิพรามณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้สั่งการให้เร่งรัดจับกุมผู้ที่ผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็วที่สุด
----------------
"ลุงอู๊ด" นักปั่นมือเดียวถูก จยย. ชนบาดเจ็บเล็กน้อย อาการปลอดภัยแล้ว

เกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชน นายวิเชียร ปิ่นเกษร หรือ ลุงอู๊ด นักปั่นจักรยานมือเดียว บริเวณถนนเลียบมอเตอร์เวย์ แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย อาการปลอดภัยแล้ว ส่วนคู่กรณีได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ลุงอุ๊ด หรือ นายวิเชียร ปิ่นเกษร นักปั่นจักรยานฉายากระบี่มือเดียว มีแขนเพียงข้างเดียวหลังประสบอุบัติเหตุโดนระเบิดทำให้ข้อมือขวาขาดตั้งแต่อายุ 15 ปีที่มักออกปั่นจักรยานพร้อมกับสุนัขคู่ใจ และเป็นผู้เคยปั่นจักรยานรอบโลกมาแล้ว โดยเริ่มเดินทางจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2543 ใช้ชื่อโครงการว่า "ขี่จักรยาน มือเดียว ข้ามโลก เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช" ปั่นจักรยานผ่าน 72 ประเทศทั่วโลก เดินทางกลับถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2547 ทางด่านตรวจคนเข้าเมือง อ.สะเดา จ.สงขลา และกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2547

นอกจากนี้ ลุงอู๊ด วิเชียร ปิ่นเกษร ยังเป็นนักกีฬาไตรกีฬา ว่ายน้ำ และนักวิ่งทีมชาติไทย ไปแข่งขันกีฬาเฟสปิกเกมส์
---------------------
หนุ่มซิ่งชนนักปั่นรัชดาตายมอบตัว อ้างหลบตั้งสติปัดเมา มีรถตัดหน้า


พ.ต.อ.กิตติเชษฐ์ ศักยภาพวิชานนท์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลโคกคราม เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีรถเก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า แจ๊ส ทะเบียน 3กฎ 8938 กทม. พุ่งชนกลุ่มนักปั่นรถจักรยานบริเวณด้านหน้าหมู่บ้านบางกอกบูเลอวาร์ด ถนนรัชดา-รามอินทรา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ว่า ล่าสุด นายศรัณย์ อินทนิล อายุ 23 ปี คนขับรถพร้อมทนายความได้เดินทางเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เบื้องต้น นายศรัณย์ให้การรับสารภาพว่าขับรถชนจริงและที่ต้องหนี
ไปก่อนเนื่องจากเกรงว่าพ่อแม่จะเสียใจจึงต้องขับหลบหนี ก่อนที่จะสำนึกได้ จึงขอให้ทนายประสานพาเข้ามอบตัว พร้อมระบุจากการตรวจสอบนายศรัณย์ไม่ได้ดื่มสุราหรือของมึนเมาขณะขับรถแต่อย่างใด

ซึ่งขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างสอบปากคำก่อนแจ้งข้อหาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
/////////////////////
ครม./ศก.

ครม.เศรษฐกิจ ถก แก้ปัญหาปาล์ม, การทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม เพื่อให้สหภาพยุโรป ปลดล็อกใบเหลืองสินค้าประมง

หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุม คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยรัฐมนตรี

กระทรวงเศรษฐกิจ ว่า การประชุมวันนี้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม หรือ IUU ตามข้อกำหนดของสหภาพยุโรป หรือ อียู เพื่อ

ปลดล็อกการให้ใบเหลืองสินค้าประมงไทย โดยได้ติดตามความคืบหน้าผลการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงานที่เป็นเรื่องสำคัญคือ การจดทะเบียนเรือประมง การจัดทำมาตรการเสริมในการติดตั้ง

ระบบติดตามเส้นทางการเดินเรือประมงนอกน่านน้ำ หรือ VMS การปรับปรุงข้อกฎหมาย พระราชบัญญัติประมง ที่อยู่ระหว่างรอประกาศใช้ และการติดตั้งระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าประมง

ซึ่งนายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกหน่วยงานต้องรายงานความคืบหน้าผลการแก้ปัญหาทุกเดือน และแผนงานต่าง ๆ ต้องแล้วเสร็จภายใน 180 วันตามที่ อียู กำหนดไว้ พร้อมติดตามการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมัน
----------------------
กกร.มอง เศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง แต่เชื่อว่าผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ชี้ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้อีก 

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ที่ประชุมได้มีการสรุปภาวะเศรษฐกิจไทยใน

ช่วงเดือนมีนาคม พบว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอยู่ในภาวะเปราะบางโดยการใช้จ่ายภาคเอกชนทั้งการบริโภคและการลงทุนแผ่วลงแม้มีปัจจัยบวกจากการเบิกจ่ายภาครัฐคืบหน้ามากขึ้น
โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบลงทุนและภาคการท่องเที่ยวยังคงรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่ภาคการส่งออกยังคงหดตัว

ทั้งนี้ ทางภาคเอกชนจะมีการติดตามสถานการณ์การส่งออกอย่างใกล้ชิดจากความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจคู่ค้ารวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนที่มองว่าสามารถอ่อนค่าลงได้อีก แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย

(ธปท.) จะต้องดูแลให้การอ่อนค่าไม่แกว่งตัวมากเกินไปเพราะจะกระทบต่อเศรษฐกิจได้ ซึ่งในขณะนี้ทางภาคเอกชนมองว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
-----------------------
สศอ. แนะรัฐให้ข้อมูลนักลงทุน ขยายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน ชี้ ขึ้นค่าแรงเป็น 360 บาท/วัน ต้องพิจารณารอบด้าน 

นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม หรือ สศอ. กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ยังไม่กล้าตัดสินใจขยายฐานการลงทุนไปประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากยังไม่มีความรู้ และเงินทุนเพียงพอ ดังนั้น ภาครัฐจึงควรเข้ามาสนับสนุน โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ และสถานทูตไทย ในประเทศที่จะไปลงทุน ต้องนำเสนอข้อมูลสำคัญเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน รวมถึง ธนาคารของรัฐ ควรมีมาตรการสนับสนุน อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และสินเชื่อในอัตราปกติ พร้อมผลักดันจัดตั้งหน่วยงานบริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One-Stop Service) เพื่อให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการลงทุน รวมถึงอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ  พัฒนาเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ทั้งในประเทศ และโครงข่ายที่เชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน

นอกจากนี้ นายอุดม กล่าวถึง กรณีที่แรงงานเรียกร้องให้รัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 360 บาทต่อวันนั้น จะต้องพิจารณาหลายปัจจัย และรายละเอียด เนื่องจากค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ในบางพื้นที่อาจประสบปัญหาภาระค่าครองชีพ และในบางพื้นที่สามารถดำรงอยู่ได้ รวมถึงต้องพิจารณาถึงการแข่งขันของประเทศคู่แข่งด้วย
------------------------
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร ยันเศรษฐกิจไทยไม่เข้าภาวะเงินฝืด รอดู 5-6 เดือนจึงบอกได้ ไม่ห่วงหนี้ครัวเรือน

หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้หารือกับทางกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในการติดตามเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด และจากภาวะเงินเฟ้อติดลบยืนยันว่าไม่ได้มาจากปัญหาเงินฝืด แต่มีสาเหตุจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง จนมีผลกระทบต่อการส่งออกโลหะมีค่าทำให้ขายได้ราคาลดลง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัวประกอบกับราคาพืชผลทางการเกษตรปรับตัวลดลง จนทำให้อัตราเงินเฟ้อติดลบ แต่อย่างไรก็ตาม จะรู้ว่าใช่ภาวะเงินฝืดหรือไม่คงต้องติดตามสถานการณ์อีก 5 ถึง 6 เดือนจึงจะสามารถบอกได้ ส่วนปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 87 ต่อจีดีพี ในขณะนี้ถือว่าไม่น่ากังวลเนื่องจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล ไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้น

ใครคือไอ้โม่งตัวจริงในกองสลาก

ตลอดเวลาหลายสิบปีประชาชนเกือบทุกคนที่ซื้อสลากกินแบ่งเกินราคาจะด่ากลุ่มห้าเสือโควต้าสลากกินแบ่งว่าเป็นสาเหตุของการขายสลากกินแบ่งเกินราคา จนถึงวันนี้ที่สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าได้ยื่นคำร้องขอให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเปิดเผยรายชื่อตัวแทนจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ซึ่งในตอนแรกสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลไม่ยอมเปิดเผยจนเรื่องเข้าสู่ชั้นศาลและถูกศาลสั่งให้เปิดเผยจนความจริงเผยออกมาว่าผู้ที่ได้รับโควต้ามากอันดับหนึ่งคือ มูลนิธิสำนักงานสลากกินแบ่งฯ นั่นเองที่ได้โควต้าถึง 14 ล้านฉบับต่องวด ขณะที่กลุ่มห้าเสือที่โดนประชาชนด่าว่าฮั้วฉลากมาหลายสิบปีได้ไปคนละไม่ถึง 2 ล้านฉบับ

ตามกฎหมายนั้น เงินรายได้จากสำนักงานสลากกินแบ่งนั้นต้องนำส่งคลังตามกฎหมาย 60% จ่ายเป็นเงินรางวัล ไม่น้อยกว่า 28% ส่งเป็นรายได้แผ่นดิน และไม่เกิน 12% เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของสำนักงานสลากฯ ซึ่งไม่อาจจะซิกแซกอะไรได้เลย 

ดังนั้นการที่สำนักงานสลากกินแบ่งฯ จึงได้ตั้งมูลนิธิสำนักงานสลากกินแบ่งฯ ขึ้นมาเพื่อหารายได้จากการเป็นยี่ปั้วฉลากนั้น จะเป็นการสร้างรายได้นอกบัญชีที่จะต้องนำส่งคลังได้แบบนิ่มๆง่ายๆ ซึ่งการตั้งมูลนิธิสำนักงานสลากกินแบ่งฯ ขึ้นมานั้นได้ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อปี 2545 ในยุครัฐบาลทักษิณ ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมาการคัดเลือกคนไปนั่งเป็นประธานบอร์ดของกองสลากนั้นเป็นคนที่ไว้วางใจได้ทั้งนั้นสลับสับเปลี่ยนหน้าเข้ามานั่งจนถึงปัจจุบัน

สลากจำนวน 14 ล้านฉบับต่องวด นี่แหละคือสาเหตุที่ใครก็ตามที่เข้ามาแก้ปัญหาสลากเกินราคาทำไม่สำเร็จสักราย พิมพ์เองขายเอง แถมยังรับจากมือซ้ายไปออกมือขวาเป็นยี่ปั้วเองด้วย ไม่ต่างกับโรงหนังฉายเองขายตั๋วผีเอง ใครคิดจะปราบเรื่องฉลากเกินราคาอีกสิบชาติก็แก้ไม่ได้เพราะมันมาจากเนื้อในของสำนักงานสลากนี่เอง

ผมมองไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ผมอยากให้ ผู้การแดง พลตรีอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่เข้ามาจัดการเรื่องสลากเกินราคารับไม้ต่อในการขุดเรื่องขึ้นมาว่า รายได้จากการที่สำนักงานสลากเป็นยี่ปั้วเสียเองนั้น ทำรายได้ตามบัญชีเท่าไร และเอารายได้ไปใช้จ่ายอย่างไรบ้าง รวมถึงรายได้นอกบัญชีที่ขายออกไปยังยี่ปั้วเกินราคาที่ซ่อนดำมืดเอาไว้ว่าตลอดเวลาสิบกว่าปีนั้นมีเท่าไร ซึ่งเรื่องรายได้นอกบัญชีนั้นเชื่อว่าคงสืบสาวหาข้อมูลได้ลำบากมาก เพราะราคาที่ขายออกจริงกับราคาที่ลงในใบเสร็จของมูลนิธิฯ น่าจะไม่ใช่ราคาเดียวกันถ้ามีการขายเกินราคา ไม่อย่างนั้นซาปั้วที่รับสลากมาถึงบอกว่าราคาที่รับมาจากยี่ปั้วก็เกินแปดสิบบาทแแล้ว

ถ้าเงินนอกบัญชีเพียงงวดละห้าบาทต่อฉบับก็เจ็ดสิบล้านบาทแล้ว ถ้าสิบบาทก็ร้อยสี่สิบล้านบาท มันคือราคาได้เป็นกอบเป็นกำทุกสิบห้าวัน ที่ไม่ต้องเหนื่อยแต่ประการใดเลย เพียงจัดสรรจำนวนสลากที่จะสู่ซาปั้วทางบัญชีทุกครึ่งเดือนเท่านั้น และเมื่อเรื่องการที่สำนักงานสลากทำตัวเป็นยี่ปั้วเสียเองตีแผ่ออกมาจนถึงสาธารณะชนขนาดนี้ ผมเชื่อว่าบันทึกของการกระจายเงินนอกบัญชีของสลากเกินราคานั้นอาจจะสาบสูญไปแล้วก็ได้
เครดิตภาพ สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า


จากมูลนิธิกองสลากถึงสุรสิทธิ์และ ทักษิณ

จากกรณีเปิดโปงเรื่องเปิดไอ้โม่ง ต้นเหตุ “สลากเกินราคา” โควตา 74 ล้านฉบับ “มูลนิธิสำนักงานสลากฯ” กวาด14 ล้านฉบับ
หลายคนคงไม่รู้ว่ามูลนิธิสำนักงานสลากฯก่อตั้งในสมยทักษิณ ที่มีเพื่อนปึ๊ก ตท10 อย่างพล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ เป็นผู้ก่อตั่ง และบางคนอาจจะนึกไม่ออกว่า พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ หน้าตาเป็นอย่างไร ก็คือคนที่โดนคดีออกหวยบนดินสองตัว สามตัว แล้วโดนจับได้คาสนามบินเมื่อสองปีก่อน กรณี พลเอกชัยสิทธิ์ ชินวัตร จัดมวยที่มาเก๊า แล้วมีปัญหาเรื่องถ้วยพระราชทานที่แอบอ้าง แล้วอยู่ๆช่อง 11ถ่ายทอดสดสัญญาณมาตรงจากสนาม ปรากฏว่าเค้าเตี๊ยมกันเรียบร้อย เอาแม้วมาเป็นพ่องาน จุดเทียนขัยถวายพระพรพร้อมงานนั้นพล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ก็อยู่ที่นั่น เลยอยากให้ย้อนรอยความทรงจำสมัยไทยรักไทยเรืองอำนาจ ประชานิยมต้องใช้เงิน กองสลากก็เปรียบเสมือนกระเป๋าที่ควักจากเพื่อนหยิบยืมเพื่อนเมื่อไรก็ได้ ลองไปย้อนข้อมูลกันอีกที

พลิกปูม“มูลนิธิสลากกินแบ่งฯ”เบอร์1 โควตาหวย-“อดีตบิ๊กสลากฯ”นั่งเพียบ

พลิกปูม“มูลนิธิสลากกินแบ่งฯ”เบอร์1 โควตาหวย-“อดีตบิ๊กสลากฯ”นั่งเพียบ

เขียนวันที่
วันพุธ ที่ 06 พฤษภาคม 2558 เวลา 11:17 น.
เขียนโดย
isranews
พลิกปูม “มูลนิธิสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล” หัวหน้าเสือโกยโควตาหวยเบอร์หนึ่งกว่า 14 ล้านฉบับ/งวด ตั้งเมื่อปี’45 “ชัยวัฒน์” อดีต ผอ.กองสลากฯ นั่งประธาน “บิ๊กกองสลากฯ-ปธ.สหภาพแรงงานฯ” ร่วมด้วย ฮือฮา! เพิ่มทุนเงินสด 200 ล้านช่วงปี’50 เปลี่ยนชื่อ “LOT THAILAND” ปี’52 หากแจ้งเลิกมูลนิธิให้ทรัพย์สินตกแก่กองสลาก
PIC lot 6 5 58 1
ชื่อของ “มูลนิธิสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล” ถูกจับตามองจากสาธารณชนอีกครั้ง!
ภายหลังปรากฏเป็นผู้ครอบครอง “โควตา” สลากกินแบ่งรัฐบาลล็อตใหญ่ที่สุดในปัจจุบันมากกว่า 14 ล้านฉบับต่องวด ถือว่าเป็นอันดับหนึ่ง ในบรรดาตัวแทนที่ได้รับโควตาจากสำนักงานสลากฯนับ 10 ราย จากปริมาณสลากทั้งหมด 74 ล้านฉบับ 
แต่ใครหลายคนอาจจะสงสัยว่า “มูลนิธิสำนักงานสลากกินแบ่งฯ” แห่งนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร ใครเป็นเจ้าของ ?
เพื่อไขข้อเท็จจริงให้กระจ่างขึ้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org มีคำตอบ ดังนี้
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2545 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศนายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร จดทะเบียนจัดตั้ง “มูลนิธิสสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล”
ปรากฏชื่อ “นายชัยวัฒน์ พสกภักดี” (อดีต ผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล) เป็นผู้ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อช่วยเหลือสนับสนุนให้ความอนุเคราะห์ด้านการกุศล การศาสนา ศิลปวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ การศึกษา การวิจัย การกีฬา สาธารณประโยชน์ และสังคมสงเคราะห์ 
สนับสนุนกิจกรรมและการดำเนินงานของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและสังคม และเพื่อดำเนินกิจกรรมตามที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลมอบให้
นอกจากนี้ยังดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือร่วมมือกับองค์การการกุศลอื่น ๆ เพื่อสาธารณประโยชน์ และไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด
ที่ตั้ง (ในช่วงก่อตั้ง) ของมูลนิธิอยู่ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล อาคาร 2 สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
ทรัพย์สินของมูลนิธิมีทุนเริ่มแรก คือ เงินสดจำนวน 500,000 บาท
มีคณะกรรมการทั้งหมด 5 ราย ได้แก่ 1.นายชัยวัฒน์ เป็นประธานกรรมการ 2.นายเจริญ ชุมแสงศรี เป็นรองประธานฯ 3.นายธงชัย เล็กบำรุง รองประธานฯ (อดีต ผอ.สำนักงานสลากฯ) 4.นายเจริญชัย งามกิจไพบูลย์ (อดีตหัวหน้าสำนักสลากรูปแบบใหม่ สำนักงานสลากฯ) กรรมการและเหรัญญิก 5.นายอนุพร กล่อมเกลา (อดีตประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสลากกินแบ่งรัฐบาล) กรรมการและเลขานุการ
โดยนายทะเบียนได้อนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิแห่งนี้ มีเลขทะเบียนลำดับที่ กท 1088 ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. 2545
ต่อมาวันที่ 5 เม.ย. 2547 นายชัยวัฒน์ ได้ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของมูลนิธิ เพิ่มชื่อย่อว่า “มูลนิธิสลากฯ” และเรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “The Government Lottery Office Foundation (G.L.O.F.)” รวมถึงกำหนดเครื่องหมายของมูลนิธิอีกด้วย
หลังจากนั้นประมาณ 3 ปี เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2550 นายธงชัย เป็นผู้รับมอบอำนาจได้ยื่นคำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมทุนในการดำเนินการของมูลนิธิ จากเดิม 5 แสนบาท เป็นเงินสด จำนวน 200 ล้านบาท
ต่อมาเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2552 นายชัยวัฒน์ ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของมูลนิธิ เปลี่ยนชื่อมูลนิธิแห่งนี้ว่า “มูลนิธิลอตไทย” เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “LOT THAILAND FOUNDATION (LOT)” และกำหนดเครื่องหมายขึ้นมาใหม่
พร้อมทั้งกำหนดวัตถุประสงค์ใหม่ มีใจความสำคัญคือ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมและการดำเนินงานของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ด้านสาธารณประโยชน์และสาธารณกุศล รวมถึงช่วยเหลือให้การสงเคราะห์พนักงานและลูกจ้างสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2555 นายชัยวัฒน์ ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของมูลนิธิ โดยมีใจความสำคัญคือ
“ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการบริหารมูลนิธิ หรือโดยเหตุใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลือให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อสาธารณประโยชน์และสาธารณกุศล และเพื่อสวัสดิการพนักงานสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล”
ทั้งหมดนี้คือที่มาที่ไปของ “มูลนิธิสำนักงานสลากกินแบ่งฯ” เจ้าของตำแหน่ง “เสือตัวจริง” ในวงการ “หวย” ที่ได้โควตาเป็นอันดับหนึ่งในขณะนี้
ก่อนหน้าที่ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะใช้อำนาจตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 สางปัญหาในสำนักงานสลากกินแบ่งฯ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งบอร์ดชุดใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่แทนชุดเดิม หรือกำหนดบทลงโทษสำคัญผู้ที่ฝ่าฝืนขายลอตเตอรี่แพงเกินราคากำหนด มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน ปรับหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เป็นต้น
รวมถึงแต่งตั้ง “พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” รองแม่ทัพภาคที่ 1 เข้ามาทำหน้าที่เป็นประธานบอร์ด พร้อมระบุสาเหตุที่สลากแพงมาจากกองสลากฯเอง โดยกำหนดให้กลุ่มบุคคลที่มารับช่วงไปในราคาที่กำหนดกันเอง ดังนั้นขอให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้อย่างเคลื่อนไหว ที่ผ่านมาก็ให้ผ่านไป
“ผมไม่อยากกระชากหน้ากากหรือเปิดเผยขบวนการทั้งหมด มิเช่นนั้นจะอยู่ประเทศไทยไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใกล้ชิด ลูก เมีย คนขับรถ หรือใครก็ตาม” พล.ต.อภิรัชต์ ระบุ
พร้อมทั้งได้นัดบอร์ดกองสลากฯชุดใหม่ ประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวในช่วงกลางเดือน พ.ค. นี้แล้วด้วย
ส่วนจะแก้ไขได้หรือไม่ ประการใด ต้องจับตาด้วยใจระทึก!

เจาะลึกโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาล

Date: 6 พฤษภาคม 2015
สูตรสำเร็จในการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาที่นิยมนำมาใช้ในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมามี 2 แนวทาง คือ สั่งการให้ตำรวจไล่จับกุมคนขายหวยตัวจริงที่ไม่มีโควตา กับเพิ่มปริมาณการพิมพ์สลากแล้วจัดสรรโควตาให้ยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว เมื่อกระแสเริ่มซา ก็กลับมาขายหวยเกินราคากันต่อ เป็นวงจรการผูกขาดที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปล้างบาง อย่างไรก็ตามจากที่สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้านำเสนอข่าวเปิดตัว “ไอ้โม่ง” ต้นเหตุ ปัญหาสลากเกินราคา เป็นการเปิดเผยข้อมูลรายชือผู้ที่ได้โควตาสลากกินแบ่งที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนด้วยการใช้พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการพ.ศ. 2542
จากข้อมูลดังกล่าวทำให้เห็นว่าโครงสร้างการจัดสรรโควตาอยู่ในมือใครมากที่สุด และที่ผ่านมาสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นที่หมายปองของนักการเมืองทุกยุคทุกสมัยด้วยผลประโยชน์มูลค่านับแสนล้านบาท ปัจจุบันสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลพิมพ์สลากออกขายงวดละ 74 ล้านฉบับ แต่เนื่องจากสำนักงานสลากฯ พิมพ์สลากออกขายเป็นคู่ และในทางปฏิบัติจริงไม่มีผู้ค้ารายใดตัดแบ่งสลากหรือแยกขายเป็นรายฉบับ คอหวยต้องซื้อสลากเป็นคู่ ดังนั้น แต่ละงวดจึงมีพิมพ์วางขายแค่ 37 ล้านคู่ หรือ 37 ล้านใบเท่านั้น
สำหรับตัวแทนจำหน่ายประเภทบุคคลทั่วไป คนพิการที่ได้รับการจัดสรรโควตา สำนักงานสลากฯ มอบส่วนลด 7% ของราคาสลาก สมมติ ราคาสลากคู่ละ 80 บาท ตัวแทนจำหน่ายประเภทนี้ได้ส่วนลด 5.6 บาท สำนักงานสลากฯ ได้เงิน 74.40 บาท แต่ถ้าเป็นตัวแทนจำหน่ายประเภทมูลนิธิ สมาคม องค์การการกุศล นิติบุคคล ได้ส่วนลด 9% หรือ 7.20 บาท สำนักงานสลากฯ ได้เงิน 72.80 บาท
สำนักงานสลากฯ พิมพ์สลากพิมพ์ออกขายงวดละ 37 ล้านคู่ แบ่งเป็นสลากกินแบ่งรัฐบาล 26 ล้านคู่ และสลากการกุศล 11 ล้านคู่ ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ประเภท แตกต่างกันตรงที่สลากกินแบ่งรัฐบาลต้องนำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน 28% ของรายได้จากการจำหน่าย ส่วนสลากการกุศลไม่ต้องนำเงินส่งคลัง หน่วยงานหรือองค์กรที่ขออนุญาตออกสลาก ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 โดยหน่วยงานหรือองค์กรที่ได้รับอนุญาต นำเงินรายได้จากการจำหน่ายสลากฯ ไปใช้จ่ายได้ตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต
แต่ข้อเท็จจริงของการขายสลากแต่ละงวด แหล่งข่าวจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลกล่าวว่า สลากแต่ละเล่มมีเลขไม่สวย ขายไม่ได้อยู่ประมาณ 1.27% ของสลากทั้งหมด เช่น เลขที่เคยถูกรางวัลไปแล้ว เลขเบิ้ล เลขตอง 000000 เป็นต้น ในการคำนวณหาผลประโยชน์จากการจำหน่ายสลากต้องหักเลขกลุ่มนี้ออกไป ดังนั้นสลากที่พิมพ์ออกมาทั้งหมด 37 ล้านคู่ เหลือสลากขายได้จริงประมาณ 36 ล้านคู่ ออกจากสำนักงานสลากฯ ต้นทุนคู่ละ 72.80-74.40 บาท ถึงมือผู้บริโภคคู่ละ 100 บาท ยี่ปั๊ว-ซาปั๊วได้กำไรเฉลี่ยงวดละ 964 ล้านบาท สำนักงานสลากฯ พิมพ์สลากออกจาก 24 งวด/ปี กลุ่มยี่ปั๊ว-ซาปั๊วมีรายได้จากการขายเกินราคา 23,145 ล้านบาทต่อปี แต่ถ้าหากขายคู่ 120 บาท ยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว ได้กำไรส่วนต่างเฉลี่ยงวดละ 1,695 ล้านบาท หรือปีละ 40,680 ล้านบาท(คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)
ขุมทรัพย์กองสลาก
ขณะที่ในระบบ สำนักงานสลากฯ มีรายได้จากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล 37 ล้านคู่ (ขายเหมา) ปีละ 65,357 ล้านบาท จ่ายให้คนที่ถูกรางวัล(ุ60%) 39,214 ล้านบาท ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน 12,859 ล้านบาท ส่งให้หน่วยงานที่ได้รับอนุญาตให้ออกสลากการกุศล 5,441 ล้านบาท กันไว้ให้สำนักงานสลากฯ ใช้ในการบริหารและค่าจัดจำหน่ายสลาก 7,843 ล้านบาท รวมผลประโยชน์จากการจำหน่ายสลากทั้งในระบบและนอกระบบขายสลากเกินมีเงินสะพัดปีละ 106,037 ล้านบาท
หากนำข้อมูลตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการจัดสรรโควตามากที่สุด 10 อันดับแรก มาทำการวิเคราะห์ตามหลักการที่กล่าวมาในข้างต้น อันดับ 1 มูลนิธิสำนักงานสลากกินแบ่ง คาดว่าน่าจะมีรายได้จากส่วนลด 9% ปีละ 1,212 ล้านบาท อันดับ 2 สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ คาดว่าน่าจะมีรายได้จากส่วนลด 230 บาท/ปี อันดับ 3 องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก คาดว่าน่าจะมีรายได้จากส่วนลด 200 บาท/ปี อันดับ 4 สมาคมพนักงานผู้เกษียณอายุสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล คาดว่าน่าจะมีรายได้จากส่วนลด 170 บาท/ปี อันดับ 5 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ขวัญฤดี ,อันดับ 6 บริษัท สลากมหาลาภ จำกัด และอันดับ 7 บริษัท หยาดน้ำเพชร จำกัด คาดว่าน่าจะมีรายได้จากส่วนลดรายละ 136 บาท/ปี อันดับ 8 สมาคมผู้ค้าย่อยสลากกินแบ่งรัฐบาล (คนพิการ) อันดับ 9 สมาคมคนพิการผู้ค้าสลาก (ประเทศไทย) คาดว่าน่าจะมีรายได้จากส่วนลดรายละ 43 บาท/ปี และอันดับ 10 มูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว คาดว่าน่าจะมีรายได้จากส่วนลดรายละ 42 บาท/ปี รวมตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการจัดสรรโควตาสูงสุด 10 อันดับแรก คาดว่าน่าจะมีรายได้ประมาณ 2,367 ล้านบาทต่อไป หากยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว นำโควตาสลากลอตนี้มาบวกกำไรคู่ละ 20 บาท นอกระบบจะมีรายได้หมุนเวียน 3,368 ล้านบาท/ปี
ล่าสุด “สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล” ทำข้อเสนอถึงสำนักงานสลากฯ ให้ปรับราคาขายสลากจากคู่ละ 80 บาท เป็น 100 บาท เป้าหมายเพื่อโยกเม็ดรายได้ที่อยู่นอกระบบจากการขายสลากเกินราคา กลับเข้ามาอยู่ในระบบ ประกอบมาตรการแก้ปัญหาสลากเกินราคาตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 11/2558 ในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในขณะนี้ ยี่ปั๊ว-ซาปั๊วไม่น่าจะตั้งราคาขายได้เกินกว่า 120 บาทต่อคู่ หากสำนักงานสลากฯ ทำตามข้อเสนอของ “สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล” ปรับราคาเป็นคู่ละ 100 บาท ก็จะทำให้กลุ่มที่อยู่ในระบบมีรายได้เพิ่มทันที รวมทั้ง “ไอ้โม่ง” ก็ได้รับอานิสงส์จากมาตรการนี้ด้วย

ที่มา : http://thaipublica.org/2015/05/government-lottery-office-act-4/

เทศบาลหมูสีแจ้งจับ“คีรีมายา-มูนแดนซ์”บ้าน"สรยุทธ" บุกรุกปิดกั้นทาง-ลำรางสาธารณะ

เทศบาลหมูสีแจ้งจับ“คีรีมายา-มูนแดนซ์”บ้าน"สรยุทธ" บุกรุกปิดกั้นทาง-ลำรางสาธารณะ
Cr:ผู้จัดการ
ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - เทศบาลหมูสี อ.ปากช่องโคราช เตรียมเข้าแจ้งความดำเนินคดี “คีรีมายา” รุกล้ำลำรางและปิดกั้นทางสาธารณะกว่า 200 ไร่ ภายในสัปดาห์นี้ รอเพียงข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจนจากที่ดินจังหวัด เผย ประเดิมหอบหลักฐานเข้าแจ้งจับโครงการมูนแดนซ์-บ้านพักพิธีกรข่าวชื่อดังบุกรุกและสร้างฝ่ายปิดกั้นลำน้ำสาธารณะ พรุ่งนี้ (7 พ.ค.) ที่สภ.หมูสี
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี ชุดปฏิบัติการพิเศษกระทรวงยุติธรรม นำโดย พ.ต.อ.ดุษฏี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.อ.สมหมาย บุษบา หัวหน้าคณะทำงานเพื่อความมั่นคงกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองทัพภาคที่ 2 และคณะ เข้าตรวจสอบพื้นที่ปฏิรูปที่ดินของ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ถูกเจ้าหน้าที่รัฐนำไปออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบกว่า 130 ไร่ และ กรณีโครงการบริษัท คีรีมายา จำกัด ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา บนเนื้อที่กว่า 1,639 ไร่ บุกรุกพื้นที่ส.ป.ก. ลำรางและทางสาธารณประโยชน์ เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งนำเสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่อง นั้น
ล่าสุดวันนี้ (6 พ.ค.58) นายไพโรจน์ สุคนธสาคร ปลัดเทศบาลตำบลหมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางเทศบาลตำบลหมูสี ได้ประสานไปยังสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขา ปากช่องให้ระบุระวางแผนที่เพื่อประกอบการแจ้งความดำเนินคดีกับโครงการคีรีมายา เพราะจากการลงพื้นที่ตรวจสอบพบชัดเจนว่าโครงการคีรีมายามีการรุกล้ำเปลี่ยนสภาพลำรางสาธารณะ (จำนวน163 ไร่ ) และปิดกั้นเส้นทางสาธารณะ (จำนวน 48 ไร่ )ซึ่งผู้ใหญ่บ้านในท้องที่เองก็ระบุว่า ก่อนหน้านี้ชาวบ้านที่เคยมีที่ดินอยู่ด้านในโครงการคีรีมายาและเคยใช้เส้นทางดังกล่าว แต่หลังจากทางโครงการทำการปิดกั้นเส้นทางชาวบ้านก็ไม่สามารถเดินทางเข้าออกได้อีก
ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอข้อมูลจากทางที่ดินจังหวัดฯ หลังจากได้หลักฐานครบถ้วนแล้วทางเทศบาลตำบลหมูสี จะเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนังงานสอบสวน สภ.หมูสี เพื่อให้ดำเนินคดีกับทางโครงการคีรีมายาในข้อหา บุกรุกลำรางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และปิดกั้นเส้นทางสาธารณประโยชน์ คาดว่าจะเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนได้ภายในสัปดาห์นี้
นายไพโรจน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ในวันพรุ่งนี้ (7 พ.ค.) ตนจะเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.หมูสี ให้ดำเนินคดีในกรณีการบุกรุกและเปลี่ยนแปลงสภาพลำรางสาธารณะในโครงการมูนแดนซ์ ถ.ธนะรัชต์ ทางขึ้นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ต.หมู สี อ.ปากช่อง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ลำรางสาธารณะดังกล่าวมีขอบเขตติดกับโฉนดที่ดินของ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรข่าวชื่อดัง และอยู่ห่างจากตัวบ้านประมาณ 30 เมตร ซึ่งเป็นจุดชมวิวส่วนตัวของบ้านพักตากอากาศนายสรยุทธ
แต่ในเบื้องต้นยังไม่ทราบชัดเจนว่าใครเป็นผู้เปลี่ยนสภาพลำรางและสร้างฝายปิดกั้นรวมถึงการขุดลำรางดังกล่าว ซึ่งเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะได้สืบสวนสอบสวนหาผู้กระทำผิดว่า เป็นการกระทำของเจ้าของโครงการหรือเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว
ด้าน พ.ต.อ.บัณฑิต เส็งประชา ผู้กำกับการ(ผกก.) สภ.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาแจ้งความเพิ่มเติมกรณีการบุกรุกป่าไม้ บุกรุกพื้นที่ ส.ป.ก.และลำราง -ทางสาธารณประโยชน์ ในท้องที่ ต.หมูสี มีเพียงคดีเดียวที่ ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้แจ้งความดำเนินคดีบ้าน 3 หลังที่บุกรุกพื้นที่ป่าไม้ และต่อมา น.ส.ภัคมล กิจศิริกุล อายุ 34 ปี มาแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งพนักงานสอบสวนได้แจ้งกล่าวข้อหาไปแล้ว และขณะนี้ อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานพร้อมหาความเชื่อมโยงกับ นางพรทวี สุตันติราษฏร์ นายช่างรังวัด ส.ป.ก.นครราชสีมา ซึ่ง น.ส.ภัคมล ยังให้การปฏิเสธว่า ไม่รู้จักกับนางพรทวี โดยจากการสอบปากคำผู้ใหญ่บ้าน ทราบว่าที่ดินของนางภัคมล ได้รับมรดกมาจากนางแก่น มารดา ซึ่งเคยทำกินมาก่อน
ส่วนกรณีการบุกรุกที่ดิน ส.ป.ก. โดยมีการระบุว่า นางพรทวี สุตันติราษฏร์ นายช่างรังวัด ส.ป.ก.นครราชสีมา ได้นำ ส.ค. 1 จำนวนเนื้อที่ 30 ไร่ ไปออกโฉนดที่ดินกว่า 155 ไร่ และเป็นการบุกรุกพื้นที่ที่ ส.ป.ก. จำนวนกว่า 130 ไร่นั้น ในวันนี้ ( 6 พ.ค.) ตนได้ทำหนังสือทวงถามไปยังสำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดนครราชสีมาแล้ว เพื่อให้เกิดความชัดเจน หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุไปแล้วในวันที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ กระทรวงยุติธรรมนำโดย พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ ( 28 เม.ย.) ซึ่งหากส.ป.ก. จะเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุกก็ให้เร่งดำเนินการเพื่อจะได้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบทางกฎหมายต่อไป


จับตา! พลังโซเชียลฯ สั่งสอนเจ้าสัว รณรงค์ไม่เข้าเซเว่น งดใช้สินค้าซีพี

จับตา! พลังโซเชียลฯ สั่งสอนเจ้าสัว รณรงค์ไม่เข้าเซเว่น งดใช้สินค้าซีพี

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน
5 พฤษภาคม 2558 21:25 น. (แก้ไขล่าสุด 5 พฤษภาคม 2558 21:36 น.)
จับตา! พลังโซเชียลฯ สั่งสอนเจ้าสัว รณรงค์ไม่เข้าเซเว่น งดใช้สินค้าซีพี
        จากกระแสดรามาเอาเปรียบบริษัทขนาดเล็กโดยนำสินค้าไปลอกเลียนแบบจนได้รับความเสียหายทางธุรกิจ และอีกหลายกรณี ปลุกกระแสโซเชียลฯ ตื่นตัว รณรงค์ไม่เข้า 7-eleven ไม่ใช้สินค้าซีพี 5 วัน (7-11 พ.ค.58) หวังสั่งสอนบริษัทยักษ์ใหญ่หยุดเอาเปรียบสังคม ในขณะที่บางกลุ่มเรียกร้องกฎหมายควบคุมการผูกขาดเพื่อปกป้องการทุ่ม หรือครอบงำตลาดของผู้ประกอบการที่นับวันยิ่งอำมหิตมากขึ้นทุกที
       

        เกาะกระแสโซเชียลฯ สั่งสอนเจ้าสัว!
       
       ตกเป็นเป้าหมายโจมตีของผู้ใช้สังคมออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง สำหรับกลุ่มธุรกิจในเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะกรณีมีการเผยแพร่บทความ "แบ่งปัน SIAM BANANA โตเกียวบานาน่าไทย แบบมีกล้วยอยู่จริงๆ ที่แลกมาด้วยน้ำตา" ที่กล่าวถึงเรื่องราวของขนมเค้กสอดไส้คัสตาร์ดรสกล้วยยี่ห้อ "สยาม บานาน่า" ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกผู้บริหารบริษัทร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งแสดงความสนใจจะสั่งซื้อเพื่อวางขายในร้าน ก่อนจะบอกเลิก และหันมาผลิตพร้อมจัดจำหน่ายเอง กลายเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจพร้อมวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย

       
       แม้ทางฝั่ง บมจ.ซีพี ออลล์ ได้ออกมาชี้แจงรายละเอียดในประเด็นดังกล่าวไปแล้วว่าได้มีการเจรจาธุรกิจจริง แต่อยู่ระหว่างการเจรจา และพัฒนาสินค้าร่วมกัน ส่วนขนมปังรสกล้วยของบริษัท นั่นก็คือ เลอแปงก็ไม่ได้ลอกเลียนแบบ แต่มีกรรมวิธีผลิตเฉพาะที่แตกต่าง และพัฒนาโดยทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทเองซึ่งมีอยู่กว่า 200 คน

        ทว่า ชาวสังคมออนไลน์ก็ยังคงคลางแคลงใจกับการตอบข้อสงสัยของร้านสะดวกซื้อเจ้านี้ โดยเฉพาะในประเด็นที่อ้างว่ามีทีมวิจัยพัฒนาสินค้าโดยมิได้ลอกเลียนแบบ 
       
       ทีมข่าว ASTVผู้จัดการ จึงลงพื้นที่สำรวจในร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ในเขตพระนคร และเขตบางกอกน้อย กทม.รวม 7 สาขา พบ *สินค้าตราห้างในเครือของบริษัทฯ หลายชนิด มีความคล้ายคลึงกันกับสินค้าอีกยี่ห้อหนึ่ง อาทิ เซเว่น ซีเล็ค แลคติก ดริ้งค์, เลอ แปง พ็อกเก็ต แซนด์วิช ไส้ทูน่า, เลอ แปง ขนมปังหน้าสังขยาใบเตย, เซเว่น ซีเลคชั่น มิลค์ แทบเล็ต แคนดี้, เซเว่น ซีเล็คท์ เจลลี่ แบร์ และ เซเว่น ซีเลคท์ - นิชชิน รสซุปเปอร์ต้มยำกุ้ง (คลิกดูรูปเปรียบเทียบได้ที่นี่ > ส่อง 7-Eleven ปั้นเฮาส์แบรนด์ตีคู่สินค้าต้นตำรับ ไม่เว้นแม้จอลลี่แบร์!

       
       *เฮาส์แบรนด์ หรือ สินค้าตราห้าง (House Brand) คือ สินค้าที่ผลิตและจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ซูเปอร์มาร์เกตนั้นๆ โดย สินค้าตราห้างจะเป็นสินค้าที่มีคุณลักษณะและคุณสมบัติเหมือนหรือใกล้เคียงกับสินค้าจากผู้ผลิตต้นตำรับหรือผู้ผลิตอื่นในท้องตลาด แต่มักจะมีข้อได้เปรียบด้านราคา

       
       กระทั่งล่าสุด เกิดปฏิกริยาอย่างกว้างขวางจากผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ โดยมีการรณรงค์ไม่เข้า 7-eleven และไม่ใช้สินค้าของซีพีในระหว่างวันที่ 7-11 พฤษภาคม 2558 เพื่อเป็นการสั่งสอนบริษัทยักษ์ไม่ให้เอาเปรียบสังคม
      
       
     
       ด้าน เพจ Drama-addict ก็ได้นำไปแชร์ต่อ พร้อมระบุข้อความแสดงทัศนะส่วนตัวไว้ดังนี้

       
       "มีคนรณรงค์ให้ต่อต้านเจ้าสัวด้วยการงดเข้าเซเว่นว่ะ ถถถถถถถถถถ สายป่านเขายาวมากๆ แค่นี้ไม่กระเทือนซางหรอก แล้วไปประท้วงเขาเรื่องอะไรล่ะนั่น มันก็ทำธุรกิจไปตามกฎหมาย ไม่มีคำว่าจริยธรรมในแวดวงธุรกิจอยู่แล้ว ประเด็นคือรัฐควรจะออกกฎหมายมาควบคุมการ monopoly เป็นชาติแล้ว 

       
       ไม่ใช่มาเรียกร้องกันตอนที่ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแบบเน้ มันสายเกินไปแล้วว้อยแต่เชื่อหรือไม่ว่าเมืองไทยมี พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 แต่จวบจนถึงบัดนี้ กว่า 16 ปี ที่มีกฏหมายฉบับนี้มา ยังไม่มีธุรกิจใดที่ถูกดำเนินคดีว่าด้วยการทำ "การค้าที่ไม่เป็นธรรม" ได้แม้แต่รายเดียว 

       
       แล้วมี พ.ร.บ. นี้ไว้ทำเกลืออะไรวะ?"

       
       พลังโซเชียลฯ บอยคอตสินค้าซีพี 

       
       ต่อกรณีเดียวกันก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ใช้เฟซบุ๊กเข้ามาอย่างหลากหลาย โดยส่วนใหญ่มองว่า เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ในขณะที่บางความเห็นบอกว่า แม้จะไม่ได้ผล อย่างน้อยๆ ก็ได้สั่งสอนบริษัทยักษ์ใหญ่รายนี้ให้ฉุกคิดถึงการทำธุรกิจที่นับวันยิ่งสุ่มเสี่ยงโดนถล่มจากผู้บริโภคมากขึ้น
       

        "มันก็เป็นการแสดงออกเพื่อให้อย่างน้อย CP ก็ตระหนักถึงว่าผู้บริโภคในประเทศไม่เห็นด้วยกับวิธีการของ CP ต่อให้มันจะได้ผลไม่ได้ผล เค้าก็ดีแล้วที่ทำอะไรที่เป็นเชิงสัญลักษณ์" โอ๋ เดอะสเมิร์ฟ 
       
       "ถ้าภาคประชาชนไม่ตื่นตัวออกมาทำอะไรไห้เกิดเป็นกระแสสังคม แล้วคิดว่าภาครัฐจะไปกล้างัดเหรอ อย่าอ่อนต่อโลกนักเลย ประชาชนต้องสู้ด้วยตัวเองก่อน ดูอย่างการปฏิวัติครั้งล่าสุดสิ ประชาชนออกมาก่อนข้าราชการเสมอ" Nan Bkk 

       
       "อย่างน้อยก็ได้กระตุกต่อมสำนึก" Pornwilai Sanemuang 

       
       นอกจากนั้น ยังมีบางความเห็นหยิบยกเรื่องของกฎหมาย "ควบคุมการผูกขาด" ขึ้นมาพูด ซึ่งเป็นกฎหมายที่ควรมีมานานแล้ว เนื่องจากช่วยลดพฤติกรรมในการสร้างสินค้าเพื่อแข่งขันกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในลักษณะการช่วงชิงตลาดการขาย หรือที่เรียกว่าปลาเล็กกินปลาใหญ่ 
ปัจจุบันกฎหมายที่ดูแลเรื่องการแข่งขันที่เป็นธรรม ปกป้องการทุ่ม/ครอบงำตลาดของผู้ประกอบการอยู่ในความดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งคุ้มครองไม่ให้เกิดการผูกขาดภายในประเทศ หรือจากต่างประเทศ 
       
       สำหรับกฎหมายการป้องกันการผูกขาด ดร.วินัย ดะห์ลัน สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อเมื่อเร็วๆ นี้ ถึงการหารือกันเรื่องการป้องกันการผูกขาด การมีอำนาจเหนือตลาด ว่า ในส่วนของคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภคได้มีการประชุมกันอย่างน้อยสิบครั้ง รวมทั้งได้เดินสายหลายจังหวัดเพื่อรับฟังความเห็นเรื่องซีพี ซึ่งในร่างรัฐธรรมนูญมีเรื่องการป้องกันการผูกขาดอยู่ในหลายภาค

       
       "สมาชิกสปช.ได้ขอแปรญัตติเพิ่มเติมอีกหลายข้อ และผลักดันกฎหมายการป้องกันการผูกขาด การสร้างอำนาจเหนือตลาด การชดเชยความเสียหาย การชดเชยสินค้าชำรุดบกพร่อง ในกลุ่มสปช. มีการก่อกระแสต่อต้านซีพีในหลายกรรมาธิการ ทุกคนห่วงใยกรณีซีพีไม่น้อยกว่าคนภายนอก" ดร.วินัยกล่าว

       
       ชำแหละ! ซีพี สะเทือนถึงรัฐบาลไทย

       
       เมื่อพูดถึงการครอบงำกิจการ และการผูกขาด พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยตั้งหัวข้อว่า "ซีพี กับ ก้าวที่สุ่มเสี่ยง" ก่อนแสดงความคิดเห็นไว้อย่างตรงไปตรงมา

       
       "ความเป็นทุนมหึมาของซีพีนั้น ไม่มีใครจะหนีอิทธิพลได้ กล่าวได้ว่า ในทุกวงการต้องมีคนของซีพีแทรกอยู่ด้วย ดังนั้น ซีพีจึงเดินหน้า ทั้งขาย และเป็นนายหน้าสินค้า ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน ได้กำไร โดยอาศัยทุนที่เหนือกว่า ความพร้อมขององค์กร วัตถุดิบที่ผลิตได้เอง แบบไม่เกรงใจใคร พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยจึงยับเยินตามไปหมด ถามว่าซีพีผิดหรือไม่ ไม่ผิดหรอกครับ พ่อค้าต้องทำอะไรก็ได้ เพื่อให้มีกำไร เป็นเรื่องปกติ แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า

       
       (1) สมควรทำกันถึงขนาดนี้หรือไม่ ถ้าซีพีทำได้ นายทุนอื่นๆ ก็จะทำตามแบบบ้าง คนจนจะไปทำมาหากินอะไรกันละ
      
       (2) ประเทศที่เจริญแล้วมีการผูกขาดการค้าแบบนี้ ตามซอย มีเซเว่นทุก 200 เมตรหรือไม่ เอาง่ายๆ ในจีน ซีพีทำแบบนี้ได้หรือไม่
      
       (3) ถ้าการค้าปลีก ขายข้าวแกง การค้าเล็กๆ ริมถนนพังทลายไปหมด คนพวกนี้ และครอบครัวจะไปทำอะไร สิ่งที่พวกเขาจะทำเรื่องแรกคือ ลุกมาต่อต้านซีพีครับ
       

        เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ของซีพีนะครับ ใครที่ถ่ายภาพกับผู้ใหญ่ของซีพี หรือเข้าร่วมกิจกรรมของซีพี เริ่มถูกนำมาโพสต์ข้อความไปในทางลบบ้างแล้ว ดังนั้น ถ้าซีพีไม่ทำอะไรให้ชัดเจน คิดว่าไม่น่าจะเกิน 3 เดือนจะมีการต่อต้านซีพีมากขึ้น รัฐบาลจึงต้องระมัดระวัง การเข้ามาช่วยเหลือ รัฐบาลของซีพีต้องระวังให้อยู่ในกรอบที่พอดีๆ ไม่เช่นนั้นจะพลอยฟ้าพลอยฝนโดนไปด้วยแน่ๆ ครับ"
       
       สอดรับกับ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้เคยพูดถึง "ซีพี" ไว้ในรายการ มองโลก มองเรา โดยตั้งชื่อตอนว่า "ชำแหละ! "CP ครอบงำกิจการ ผูกขาดครบวงจรในไทย" ว่า ทุกวันนี้ขายส่งก็ผูกขาด ขายปลีกก็ผูกขาด ทุกอย่างซีพีผูกขาดหมด ส่งผลให้พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยไม่ได้เกิด แถมค่อยๆ หายไป เนื่องจากอยู่ไม่ได้
   
       

   
       "...คณะกรรมการป้องกันการผูกขาดมีอยู่แล้วในกระทรวงพาณิชย์ แต่มันไม่เวิร์กเพราะอะไร เพราะกรรมการเกินครึ่งเป็นพวกบริษัทใหญ่ๆ หมดเลย รวมทั้งซีพีด้วย ใครทำลายชาติกันแน่ ใครทำลายคนไทย อย่างข่าวที่ออกมาว่าเดี๋ยวนี้ปลาชายฝั่งที่เคยจับได้ เปอร์เซ็นต์ลดน้อยลงมาหมดละ เพราะมันโดนจับไปหมดเลยจากการใช้อวนใหญ่ลาก เพื่ออะไร เพื่อทำอาหารสัตว์ แล้วใครล่ะเป็นคนซื้ออาหารสัตว์พวกนี้...
       
       "ผมอยากจะถามหน่อย ใครที่มีอำนาจในวันนี้ จะชื่ออะไรก็ตาม จะเข้ามาด้วยวิธีการที่มีอำนาจอะไรก็ตาม คุณอายบ้างไหม คุณสงสารประชาชนบ้างไหม สงสารนี่คุณต้องสงสารจริงๆ นะ คุณรู้ไหมว่า ธุรกิจผูกขาดแบบนี้กำลังจะฆ่าคนไทยส่วนใหญ่ คุณอย่าทำเป็นเล่นไปนะ คนที่มีร้านเล็กๆ มีแผงลอยเล็กๆ นัยะความผูกพัน ความรับผิดชอบที่เขามีต่อหน่วยครอบครัวหน่วยหนึ่ง มันสำคัญมากสำหรับเขา แล้วลองเอาหน่วยพวกนี้คูณแสน คูณล้านเข้าไป กี่คน กี่ล้านคน เผลอๆ เป็น 10 ล้านที่ต้องฉิบหายเพราะการผูกขาดในลักษณะแบบนี้

       
       ดังนั้น 1. คุณมีหน้าที่ไม่ให้พวกเขาผูกขาด คุณมีหน้าที่ให้ SMEs ได้โตขึ้นมา และคุณต้องบอกเลยว่า ต่อจากนี้ไป เซเว่น อีเลฟเว่นขยายไม่ได้แล้ว เพราะว่ามันเต็มมากเกินไป มีส่วนแบ่งการตลาดที่อยู่ในลักษณะครอบงำการตลาดแล้ว 2. คุณต้องออกกฎหมายให้ชัดเจนว่าถ้าเป็นร้านสะดวกซื้อหน้าที่ต้องเป็นตัวกลางให้คนเอาของมาขาย ให้คนเดินเข้ามาซื้อ โดยกินส่วนต่างตรงราคา เจ้าของเครือข่ายร้านสะดวกซื้อ ถ้ามีเกินกว่าเท่านี้ร้าน ห้ามไม่ให้ผลิตสินค้าตัวเองขาย เพราะเป็นการรังแกคนทำมาค้าขาย แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครทำอะไรเลย"

       
       นับเป็นปัญหาใหญ่ของชาติบ้านเมืองที่หากยังตกหลุมพรางทุนสามานย์ของกลุ่มคนที่คุณก็รู้ว่าใคร ไม่เร็วก็ช้า ความฉิบหายได้มาเยือนแน่นอน