PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559

นายกปรี๊ดสื่อ

แจง ความจำเป็นใช้กฎอัยการศึก – ม.44 เหน็บ พิชัย จบอะไรมา วิจารณ์ ศก.เยอะไปหมด ลั่น พร้อมอยู่ต่อหากบ้านเมืองยังไม่สงบ
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 1 มิถุนายน ที่โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมประเทศสมาชิก กลุ่ม 77 เพื่อนำเสนอการใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สำหรับภาคธุรกิจ
โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า บางครั้งมีคนต้องการตัดเสื้อตัวเดียวให้กับเรา ซึ่งในประเทศ G 77 จะต้องดูว่าควรเลือกเสื้อแบบใดจึงจะเหมาะกับประชาชนของตัวเอง ตนคิดแบบทหาร ซึ่งต้องมีเป้าหมายระหว่างทาง หาหนทางปฏิบัติในสิ่งที่ไปได้ ไม่ใช่ตีกันไปตีกันมาจนติดแบบนี้ ส่วนปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นเรื่องที่เสียหายอย่างร้ายแรง ประเทศไทยกำลังแก้ไขปัญหาดังกล่าวอยู่ ไม่ใช่เป็นการรังแกทางการเมือง เพราะกฎหมายคือกฎหมาย ทุกเรื่องคือกฎหมายทั้งหมด และต้องเข้าใจว่าการใช้กฎอัยการศึกและมาตรา 44 ประเทศไทยมีความจำเป็นเพื่อให้เกิดความสงบ เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ดังนั้น วันนี้ที่มีการเรียกตัวบุคคลเข้ามาแล้วติดคุก นั่นเป็นเพราะมีคดีอาญาที่ทำผิดแต่เดิมอยู่แล้ว นอกจากนี้สถานการณ์ในประเทศยังไม่ปกติ หากปกติต้องเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง สื่อมวลชนเองก็ไม่ปกติ จึงต้องมีกฎหมายพิเศษออกมา เพื่อให้เขาหยุด แต่ก็ปล่อยให้มีการพูด หากเปิดดูหนังสือพิมพ์ของไทยวันนี้จะเห็นว่าหนักขึ้นเรื่อยๆ
“เช่น หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ไม่รู้ไปเอาความคิดมาจากไหน เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้ พอเปลี่ยนบรรณาธิการจึงเป็นแบบนี้ นี่คือคนที่เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนหลักการของตัวเอง ผมรับไม่ค่อยได้ แต่ก็คุมไม่ค่อยได้ เขาเป็นพ่อผมมั้ง ขอโทษที่พูดแรง ฝรั่งอาจฟังไม่รู้เรื่อง เอาแค่คนไทยรู้ก็แล้วกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อยากให้ภาคธุรกิจศึกษาให้ดี อะไรที่เสียประโยชน์ต้องต่อรองให้มากที่สุด ส่วนปัญหาการท่องเที่ยว แม้ไทยมีนักท่องเที่ยวเข้ามากว่า 30 ล้านคน แต่ก็ไม่ได้มีความสุข ตราบใดที่ยังดูแลนักท่องเที่ยวไม่ได้ ต่อให้มีกว่า 50 หรือ 60 ล้านคน ก็พร้อมจะรับ และต้องดูเรื่องมิติของสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยและไกด์ ซึ่งตนรื้อทุกระบบ และเชื่อว่าหลายประเทศก็มีปัญหานี้
“ส่วนการจัดอันดับของไอเอ็มดีที่เราถูกปรับให้ขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องง่ายใน 2 ปีที่ผ่านมา แต่บางคนบอกว่า ไอเอ็มดีเชื่อมั่นได้แค่ไหน ผมก็ปวดหัวเหมือนกัน แล้วจะเชื่อใคร ไปเชื่อนายพิชัย (นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน)เหรอ นายพิชัยเคยทำอะไรมา เรียนจบอะไรมา วิจารณ์เศรษฐกิจไทยเยอะแยะไปหมด เก่งเศรษฐกิจเหลือเกิน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อยากให้ประเทศสมาชิก G 77 อยู่กับเราด้วย ให้เป็นยุทธศาสตร์ของกลุ่ม G 77 และแต่ละประเทศก็ไปทำกันเอง ต่อไปตนก็ไม่ได้อยู่แล้ว และไม่ได้เป็นประธานกลุ่มแล้ว จะอยู่ถึงหรือไม่ยังไม่รู้เลย แต่ถึงแน่นอน ไม่ต้องกลัว ตนไม่ไปไหนอยู่แล้ว ตราบใดยังไม่สงบก็จะอยู่
“พูดไปตรงนี้เดี๋ยวจะขวัญเสีย รัฐบาลไปแน่ เลิกดีกว่า แบบนี้ไม่ได้ บอกตรงนี้ ไม่สงบไม่เรียบร้อยก็ไม่ไป ไปว่ากันมา นักข่าวก็รอแค่นี้แหละ จะได้กลับบ้าน ส่วนที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้ลงหรอกเชื่อผมสิ”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ต้องเข้าใจว่า เป็นการต่อสู้ของสื่อสิ่งพิมพ์กับสื่อออนไลน์ หนังสือพิมพ์คนไม่ค่อยซื้อแล้ว เพราะอ่านโซเชียลมากขึ้น ฉะนั้นตนก็จะไปช่วยเรทให้หนังสือพิมพ์ ภาพนายกฯขึ้นปกทุกวัน ชี้โน่นชี้นี่ ไม่ใช่ชี้เพราะใช้อำนาจ แต่เพราะติดนิสัยเป็นทหาร ชี้ถามว่าเสร็จหรือยัง มาบอกว่าผมบ้าอำนาจ ผมกลุ้มใจ แต่ไม่เป็นไร ถ้าไม่บ้าคงไม่มายืนตรงนี้ ฝรั่งอาจไม่เข้าใจ แต่ผมพูดเพราะไม่ให้เครียด

DSIรถคำตอบให้แพทย์กลางเข้าไปตรวจสุขภาพพระธัมมชโย

1 มิ.ย.59 พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงความคืบหน้าของดีเอสไอ ในการดำเนินการกับ พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อให้เป็นไปตามหมายจับในข้อหาสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจรนั้น ล่าสุดภายหลังจากที่ดีเอสไอได้เข้าพบ พระเทพรัตนสุธี เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เมื่อค่ำวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ก็ได้รับความร่วมมือประสานกันอยู่ตลอดเวลา แต่ท่านบอกว่าขอเวลาอีกเล็กน้อย ซึ่งดีเอสไอก็ต้องให้เวลา เพราะเราก็ต้องการให้ถูกต้องตามขั้นตอนพระวินัยสงฆ์ด้วย

เมื่อถามว่า ทางทีมวัดพระธรรมกายมีปัญหาไม่ยอมรับเงื่อนไขดีเอสไอ จะนำแพทย์จากส่วนกลางไปตรวจอาการเจ็บป่วยของพระธัมมชโยนั้น พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ดีเอสไอยืนยันเงื่อนไข จะต้องนำแพทย์ไปตรวจพระธัมมชโย เพราะการจะแจ้งผู้ต้องหารับทราบข้อกล่าวหากำหนดสิทธิผู้เจ็บป่วยว่าต้องนำแพทย์กลางเข้าไปตรวจในวัดด้วย ซึ่งหากพระธัมมชโย ยอมรับเงื่อนไขนี้ ดีเอสไอก็พร้อมจะนำแพทย์เข้าไปตรวจในวัดพระธรรมกาย ซึ่งติดปัญหาว่าวัดยอมรับเงื่อนไขนี้หรือไม่ โดยขณะนี้ยังไม่ได้รับคำตอบ และอยู่ระหว่างให้เจ้าคณะจังหวัดดำเนินการอยู่ จึงต้องขอให้รอกันหน่อย

เมื่อถามว่า หากพระธัมมชโย ยอมรับเงื่อนไขนี้ ให้แพทย์ส่วนกลางตรวจร่างกายแล้ว จะให้ประกันตัวเลยใช่หรือไม่ พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ยังตอบขณะนี้ไม่ได้ ขอให้รอคำตอบจากฝ่ายพระธัมมชโยก่อนว่าจะยอมตามนี้หรือไม่ เพราะดีเอสไอกำหนดเงื่อนไขว่า เมื่อพระธัมมชโยบอกว่าเจ็บป่วย ทางดีเอสไอก็ต้องการนำแพทย์จากส่วนกลางเข้าไปตรวจอาการ เพื่อพิสูจน์ว่าเจ็บป่วยจริง ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ หลังจากนั้นก็จะได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ทางวัดพระธรรมกาย กำหนดเงื่อนไขว่าแพทย์ส่วนกลางที่เข้าไปตรวจอาการของพระธัมมชโย จะต้องได้รับความยินยอมจากแพทย์รักษาพระธัมมชโย ที่อยู่ภายในวัดพระธรรมกายนั้น พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นรายละเอียดที่ต้องคุยกันด้วย ดังนั้น ตนจึงบอกว่าอยู่ในขั้นตอนระหว่างเจ้าคณะจังหวัดฯ กำลังประสานงาน ซึ่งเราได้ขอให้เร็วหน่อย เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน

ส่วนที่มีผู้กังวลว่าระยะเวลาการประสานนาน ซึ่งเมื่อเข้าไปในวัด พระธัมมชโยอาจจะไม่อยู่ภายในวัดแล้วนั้น พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ทุกอย่างต้องมีขั้นตอนการดำเนินการ รวมทั้งเราต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.สงฆ์ด้วย แต่ระหว่างนี้ในส่วนอื่นๆ ยังคงเดินหน้าดำเนินคดีกับทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องคดียักยอกและฉ้อโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด

ทั้งนี้ การที่จะให้ดีเอสไอตัดสินใจเข้าจับกุมตัวพระธัมมชโย ภายในวัดโดยเร็วนั้น ก็ต้องพิจารณาว่าคุ้มหรือไม่ เพราะหากเกิดการปะทะกันกับทางฝ่ายวัดพระธรรมกาย หรือมีความรุนแรงเกิดขึ้น ก็ถามว่าคุ้มหรือไม่ ทั้งที่สามารถส่งสำนวนการสอบสวนได้อยู่แล้ว โดยหากพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนคดีเสร็จแล้ว สามารถส่งอัยการได้ทันที ซึ่งการสอบสวนก็ไม่ต้องรอ เพราะมีหมายจับอยู่แล้ว แต่ขณะนี้ในส่วนทางสงฆ์ก็คงต้องรอเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ที่ประสานกับพระธัมมชโย เพื่อเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอนกฎหมาย

จับล่าม “อาเด็ม คาราดัก” ในคดีระเบิดราชประสงค์-สาทร ตำรวจระบุพบยาเสพติด

จับล่าม “อาเด็ม คาราดัก” ในคดีระเบิดราชประสงค์-สาทร ตำรวจระบุพบยาเสพติด ด้านทนายเผยเคยถูกข่มขู่มาแล้ว ชี้ผลกระทบคดีแทบเดินหน้าไม่ได้หากไม่มีล่าม
เย็นวันนี้ 1 มิ.ย. ล่ามภาษาอุยกูร์-อังกฤษในคดีวางระเบิดราชประสงค์ และสะพานสาทร นายบันคาดีรอค ซีโรจิดินได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินีจับกุมตัว และกล่าวหาว่ามียาเสพติดในครอบครอง หลังจากที่ทำหน้าที่ในศาลในช่วงเช้า โดย พ.ต.อ. พรชัย ชลอเดช ผู้กำกับการ สน.ลุมพินี ยืนยันกับบีบีซีไทยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมนายซีโรจิดิน โดยบอกว่าเพิ่งทราบว่าเป็นล่ามในคดีวางระเบิดราชประสงค์และสะพานสาทร หลังจากที่พบว่ามีผู้สื่อข่าวให้ความสนใจกับการจับกุม แต่ไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติมใดๆ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นายซีโรจิดินถูกจับเมื่อเวลาประมาณ 16.30 น. ที่ซอยสุขุมวิท 3 เพราะเจ้าหน้าที่ค้นพบว่ามียาไอซ์ในครอบครอง 0.80 กรัม กัญชา 1 ห่อ 7.2 กรัมอยู่ในซองบุหรี่ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของนายซีโรจิดิน เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาครอบครองยาเสพติดโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่นายซีโรจิดินยังมีปัญหาว่าอยู่ในประเทศเกินกว่าที่ได้รับอนุญาตอีกด้วย

นายซีโรจิดิน ทำหน้าที่แปลภาษาอังกฤษ-อุยกูร์ให้กับคดีระเบิดราชประสงค์ ซึ่งมีการจับกุมดำเนินคดีผู้ต้องหาสองคน คือ นายอาเด็ม คาราดัก และนายไมไรลี ยูซุฟู ซึ่งถูกควบคุมตัวที่เรือนจำชั่วคราว มทบ. 11 ตั้งแต่ปลายเดือน ส.ค. 2557 และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินคดีที่ศาลทหาร ผู้ต้องหาทั้งสองคนใช้ภาษาอุยกูร์เป็นหลัก คดีนี้จึงมีล่าม 2 คน คือ พ.ต.ท. ทวยเทพ เดวิด วิบุลศิลป์ ทำหน้าที่แปลภาษาไทย-อังกฤษ และนายซีโรจิดินแปลภาษาอังกฤษ-อุยกูร์

ด้านนายชูชาติ กันภัย ทนายความของนายอาเด็ม ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่ สน.ลุมพินีว่า ก่อนหน้าที่จะถูกจับ นายซีโรจิดินได้ไปทำหน้าที่ล่ามในศาลทหารในช่วงเช้าซึ่งมีการสอบปากคำพยานฝ่ายโจทก์ ทีมทนายความฝ่ายจำเลย รวมทั้งล่าม ได้ไปรับประทานอาหารกลางวันแล้วจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่นายซีโรจิดินถูกจับ 

นายชูชาติชี้ว่า การจับกุมล่ามส่งผลกระทบต่อการดำเนินคดีอย่างแน่นอน และในวันพรุ่งนี้ตนจะไปยื่นเรื่องแจ้งกับศาลว่าทนายความไม่อาจทำหน้าที่ได้เนื่องจากไม่มีล่ามที่ดีพอ ขณะที่คดีนี้มีการนัดสอบพยานล่วงหน้าไปแล้วจนถึงเดือน พ.ย. อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตนกำลังรอให้เจ้าหน้าที่สอบปากคำนายซีโรจิดิน หากเจ้าหน้าที่สอบปากคำและส่งไปฝากขัง อาจจะสามารถขอประกันตัวได้

สำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ที่ผ่านมา นายอาเด็มได้ร้องเรียนต่อผู้สื่อข่าวขณะที่เขาถูกควบคุมตัวไปยังศาลทหารว่าเขาถูกทำร้ายร่างกาย และตะโกนว่า “ผมเป็นคน ผมไม่ใช่สัตว์” อย่างไรก็ตาม วันต่อมา รักษาการอธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้แถลงข่าวว่าไม่มีการซ้อมทรมานแต่อย่างใด

นายชูชาติเปิดเผยด้วยว่า ในช่วงเช้าวันนี้ ทีมทนายความและล่ามได้แจ้งกับศาลไปว่า หลังจากที่นายอาเด็มได้ร้องเรียนดังกล่าวไปแล้ว ได้เกิดเหตุการณ์ที่ล่ามถูกข่มขู่ โดยมีคนข่มขู่ไม่ให้ทำหน้าที่ล่าม และสอบถามข้อมูลต่างๆ แต่ทั้งนี้ยังไม่ชัดเจนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอย่างไรหรือไม่ หลังจากนำเรื่องดังกล่าวร้องเรียนต่อศาลแล้ว ศาลได้สั่งให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวด้วย

ก่อนหน้านั้นนายอาเด็มก็มีปัญหาในเรื่องล่าม โดยได้เคยร้องเรียนต่อศาลเมื่อ 22 ม.ค.ว่าถูกล่ามภาษาไทย-อังกฤษ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและร่วมอยู่ในกระบวนการสอบสวนต่อยที่ท้องระหว่างให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ และได้ร้องขอให้เปลี่ยนล่าม แต่ต่อมาได้แถลงยอมรับล่ามคนเดิม ขณะที่นาย ซีโรจิดินซึ่งทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาอุยกูร์-อังกฤษนั้น เพิ่งเข้ามาทำหน้าที่ล่ามในวันที่ศาลนัดแถลงคดีต่อคู่ความ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ฮือฮา.....นายกฯบิ๊กตู่ ลั่น ถ้าไม่สงบ อยู่ต่อ....

ฮือฮา.....นายกฯบิ๊กตู่ ลั่น ถ้าไม่สงบ อยู่ต่อ....
บอก ยิ่งเกลียดผม ก็ยิ่งอยู่"....ไม่ต้องกลัว ผมไม่ไปไหนอยู่แล้ว ตราบใดยังไม่สงบก็จะอยู่...บอกตรงนี้ ไม่สงบไม่เรียบร้อยก็ไม่ไป....ลั่น ผมไม่มีคะแนนนิยมอยู่แล้ว เกลียดผมเท่าไหร่ ผมก็อยู่แก้สิ่งเหล่านี้ให้ทุกคนตามโรดแมพ อย่าถามอีกว่าเมื่อไหร่......"บิ๊กตู่ เผยนสพ.มีภาพนายกฯขึ้นปกทุกวัน ชี้โน้นชี้นี่ ไม่ใช่ชี้เพราะใช้อำนาจ แต่เพราะติดนิสัยเป็นทหาร ชี้ถามว่าเสร็จหรือยัง แต่บอกว่าผมบ้าอำนาจ ..กลุ้มใจ แต่ไม่เป็นไร ถ้าไม่บ้าคงไม่มายืนตรงนี้ ฝรั่งอาจไม่เข้าใจ แต่ผมพูดเพราะไม่ให้เครียด
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมประเทศสมาชิก กลุ่ม 77 ที่โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ ในตอนหนึ่งว่า สำหรับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อยากให้ประเทศสมาชิก G 77 อยู่กับเราด้วย ให้เป็นยุทธศาสตร์ของกลุ่ม G 77 และแต่ละประเทศก็ไปทำกันเอง ต่อไปผมก็ไม่ได้อยู่แล้ว และไม่ได้เป็นประธานกลุ่มแล้ว
"ปมจะอยู่ถึงหรือไม่ยังไม่รู้เลย แต่ถึงแน่นอน ไม่ต้องกลัว ผมไม่ไปไหนอยู่แล้ว ตราบใดยังไม่สงบก็จะอยู่"
“พูดไปตรงนี้เดี๋ยวจะขวัญเสีย รัฐบาลไปแน่ เลิกดีกว่า แบบนี้ไม่ได้ บอกตรงนี้ ไม่สงบไม่เรียบร้อยก็ไม่ไป ไปว่ากันมา "
ก่อนตบท้ายประเด็นว่านักข่าวก็รอแค่นี้แหละ จะได้กลับบ้าน ส่วนที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้ลงหรอกเชื่อผมสิ”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ต้องเข้าใจว่า เป็นการต่อสู้ของสื่อสิ่งพิมพ์กับสื่อออนไลน์ หนังสือพิมพ์คนไม่ค่อยซื้อแล้ว เพราะอ่านโซเซียลฯ มากขึ้น ฉะนั้นผมก็จะไปช่วยเรตติ้ง ให้หนังสือพิมพ์
" ภาพนายกฯขึ้นปกทุกวัน ชี้โน้นชี้นี่ ไม่ใช่ชี้เพราะใช้อำนาจ แต่เพราะติดนิสัยเป็นทหาร ชี้ถามว่าเสร็จหรือยัง มาบอกว่าผมบ้าอำนาจ ผมกลุ้มใจ"
"แต่ไม่เป็นไร ถ้าไม่บ้าคงไม่มายืนตรงนี้ ฝรั่งอาจไม่เข้าใจ แต่ผมพูดเพราะไม่ให้เครียด"
ในช่วงหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ขันเมื่อเห็นสคริปเขียนคำว่า ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ในหัวข้อการสร้างมูลค่าร่วมกัน
"บอกแล้วอย่าใช้คำนี้ แต่ควรใช้คำว่าต้นทาง กลางทาง และปลายทางแทน เพราะคำดังกล่าวเป็นของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา น้ำถึงได้ขาด และท่วมอยู่อย่างนี้ไง"

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ประเทศไทย 4.0 ต้องเตรียมการรับปัญหาสังคมผู้สูงอายุในอนาคตต ทุกประเทศที่มีรายได้น้อยก็อยากให้รัฐบาลสนับสนุน ทั้งคนชราที่มีการขอเงินรายเดือน
"หากการเมืองเข้ามาก็จะไม่ได้สร้างความเข้มแข็งในส่วนนี้ แต่จะไปช่วยตรงโน้น และก็จะเกิดเป็นคะแนนนิยม ผมไม่มีคะแนนนิยมอยู่แล้ว เกลียดผมเท่าไหร่ ผมก็อยู่แก้สิ่งเหล่านี้ให้ทุกคนตามโรดแมพ อย่าถามอีกว่าเมื่อไหร่"

นายกฯลั่น ถ้าไม่มีทหาร ประเทศไทยไปไม่ได้




นายกฯลั่น ถ้าไม่มีทหาร ประเทศไทยไปไม่ได้ ผมไม่ได้มีทหารเพื่อไว้รบกับใครหรือจับกุมใคร รบทุกวัน จนหน้ายับ..... เหน็บBangkok Post เปลี่ยนไป
"นายกฯ"เปิดประชุม G77 ย้ำความร่วมมือจากทุกฝ่าย สร้างความเข้มแข็งกลุ่มประเทศสมาชิก ระบุประเทศไทยมีทหารเพื่อใช้ขับเคลื่อน ไม่ได้มีไว้ รบจับกุมดำเนินคดีนักการเมือง แจง ความจำเป็นใช้กฎอัยการศึก - ม.44 เหน็บ "พิชัย" จบอะไรมาวิจารณ์ ศก. ลั่นวันนี้การแก้ปัญหาผมไม่ได้แก้เพื่อประเทศไทยหรือตัวผมเอง จะขึ้นจะลงผมไม่ได้ต้องการอำนาจอะไรทั้งสิ้น เพราะผมมีอำนาจมาพอเพียงแล้ว 30 กว่าปีเกือบ 40 ปีในกองทัพ แล้วผมจะต้องใช้อีกทำไม ประเทศไทยวันนี้จะต้องเดินหน้าโดยผมเป็นผู้ปฏิบัติมาตั้งแต่เป็น ผบ.ทบ.ดูแลทหาร 2 แสนกว่าคน ดูแลประชาชน ลั่น ถ้าไม่มีทหารประเทศไทยไปไม่ได้ ในทุกวันนี้เราใช้ทหารในการขับเคลื่อน และขอให้เข้าใจว่า ผมไม่ได้มีทหารเพื่อไว้รบกับใครหรือจับกุมดำเนินคดีนักการเมือง เผยผมต้องรบทุกวัน จนหน้ายับมาถึงทุกวันนี เผย ทุกวันนี้ใช้อำนาจเพื่อการพัฒนาต่างๆให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ผมจะได้ไปๆเสียที ผมก็เบื่อหน้าตัวเองในจอโทรทัศน์ เบื่อจะตายอยู่แล้ว"
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมประเทศสมาชิก กลุ่ม G77 ที่โรงแรมสยาม เคมปินสกี้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขอต้อนรับผู้แทนสมาชิกกลุ่มประเทศG77 ซึ่งนับเป็นเกียรติที่ได้ทำหน้าที่ประธานในครั้งนี้ แต่ถือว่าทุกคนเป็นประธานร่วมกัน ถือว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันทั้งสิ้น
เราจะต้องเจริญเติบโตและแข็งแรงไปพร้อมพร้อมกัน โดยทุกคนจะต้องร่วมกันพาทั้ง 134 ประเทศไปพร้อมพร้อมกัน เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง และสถานการณ์โลกในปัจจุบัน
ประเทศไทยมีความพร้อมและมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับทุกประเทศ ร่วมมือและเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือทางด้านความมั่นคงในทุกระดับ ซึ่งความจริงประเทศไทยน่าจะรวยมานานแล้วเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้นตั้งแต่ 10 ปีที่ผ่านมา แต่วันนี้ก็ยังไปได้ช้า
วันนี้ทุกอย่างมีพร้อมทั้งหมด แต่ขาดการบริหารจัดการที่ดี วันนี้ทุกฝ่ายต้องหาความร่วมมือกันให้ได้ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นรูปธรรม เราต้องเร่งทำงานให้เกิดขึ้นโดยเร็วเพื่อประเทศประชาชนและประชาคมของเรา อย่าลืมว่าวันนี้ปัญหาของประเทศกำลังพัฒนามีทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ำความไม่เป็นธรรมและการเข้าถึงทรัพยากรที่ไม่สมดุลย์
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลเป็นแกนหลักสำคัญในการพัฒนาทุกๆด้าน 167 เป้าหมาย รัฐบาลไทยจึงได้วางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและดำเนินการตามแผนปฏิรูป ถ้าประชาชนไม่รู้อนาคตก่อนก็จะเกิดความขัดแย้งเพราะโลกไร้พรมแดนมีระบบสื่อสารที่รวดเร็ว รัฐไม่ใช่ผู้ที่จะกำหนดทุกอย่าง เราต้องพัฒนาที่ตัวบุคคลก่อน ต้องปฏิรูป ว่าเราจะทำงานเพื่อใคร ต้นทราบดีว่าทุกคนมีความรู้และประสบการณ์มากกว่าผม แต่ต้นเป็นทหารเก่าหลายคนคิดว่าผมไม่รู้เรื่อง
แต่ก็ยอมรับว่าไม่รู้เรื่องจริงๆแต่ก็ใช้เวลาสองปีในการอ่านและเรียนรู้ก็พอจะรู้เรื่อง แต่ตนจะทำทุกอย่างในสิ่งที่ทุกคนเก่งอยู่แล้วเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ลดความขัดแย้งในอนาคต แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไปกีดกันใคร แต่เราต้องมองอนาคตโดยประชาชนจะต้องเป็นผู้กำหนดอนาคตตัวเองบ้าง แต่ต้องผ่านช่องทางที่ถูกต้อง แล้วแต่ว่าประเทศนั้นนั้นมีการปกครองแบบใด ถ้าเป็นประชาธิปไตยก็คือประชาธิปไตย
"ทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมแต่ไม่ใช่รวมหัวกันเพื่อสร้างความขัดแย้ง ต้องรวมตัวกันเพื่อหาทางช่วยภาครัฐ การทำงานต้องมีการวางแผนและตั้งเป้าหมาย ไม่จะคิดจะทำอะไรก็ทำจากนั้นก็จะติดไปหมด เพราะหนึ่งไม่เคยเรียนรู้และประชาชนเองก็ไม่รับรู้มีการต่อต้านตลอดเมื่อมีคนชักนำไปในทิศทางหนึ่งทางใด เพราะเขาไม่รู้ว่าจะเสียประโยชน์หรือได้ประโยชน์จากอะไรบ้าง เพราะส่วนใหญ่จะมองกันไม่พ้นตัวเอง ดังนั้นเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องทำให้เขามองทั้งตัวเองและส่วนรวมต้องช่วยกันสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้เกิดขึ้น
ทั้งนี้ไม่มีทางทำอะไรได้สำเร็จแต่หาประชาชนไม่ให้ความร่วมมือเพราะเค้าจะเกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจหวาดระแวงและกลัวว่าจะได้รับผลประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียมปัญหาทั้งหมดอยู่ที่คนทั้งสิ้น แต่ถ้าเราสามารถสร้างคนที่มีธรรมาธิบาล มีคุณธรรม จริยธรรมได้ก็จะไม่เกิดปัญหาเหล่านี้
ประเทศไทยวันนี้จะต้องเดินหน้าโดยผมเป็นผู้ปฏิบัติมาตั้งแต่เป็น ผบ.ทบ.ดูแลทหาร 2 แสนกว่าคน ดูแลประชาชน
" ถ้าไม่มีทหารประเทศไทยไปไม่ได้ ในทุกวันนี้เราใช้ทหารในการขับเคลื่อน และขอให้เข้าใจว่า ผมไม่ได้มีทหารเพื่อไว้รบกับใครหรือจับกุมดำเนินคดีนักการเมือง
ซึ่งความจริงการดำเนินคดีเรานั้นตำรวจก็สามารถดำเนินการได้แต่ก็พยายามต่อต้านโดยใช้กลไกในด้านอื่นๆซึ่งผมไม่อยากจะพูดตรงนี้
เพราะผมต้องรบทุกวัน จนหน้ายับมาถึงทุกวันนี
เมื่อคืนก็สะดุ้งตื่นตอนตีหนึ่งครึ่ง เพราะตื่นเต้นที่จะได้มางานนี้และเจอปัญหาและคิดว่าวันนี้จะต้องสั่งการอะไรวันนี้ก็จะต้องสั่งอีกประมาณ 50 เรื่อง ที่ผ่านมาเกือบสามปีสั่งไปแล้ว 8,500 เรื่อง
แต่ก็ยังไม่เสร็จนี่คือตัวอย่างของประเทศไทยถ้าเราปล่อยประละเลยทั้งหมดระบบบริหารราชการแผ่นดินและการเลือกตั้งล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้น
วันนี้การแก้ปัญหาผมไม่ได้แก้เพื่อประเทศไทยหรือตัวผมเอง จะขึ้นจะลงผมไม่ได้ต้องการอำนาจอะไรทั้งสิ้น เพราะผมมีอำนาจมาพอเพียงแล้ว 30 กว่าปีเกือบ 40 ปีในกองทัพ แล้วผมจะต้องใช้อีกทำไม
ทุกวันนี้ใช้อำนาจเพื่อการพัฒนาต่างๆให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ผมจะได้ไปๆเสียที ผมก็เบื่อหน้าตัวเองในจอโทรทัศน์ เบื่อจะตายอยู่แล้ว"พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลายอย่างอาจจะถูกบิดเบือนทำให้เกิดความไม่เข้าใจ เพราะกลไกทางการเมือง ก็มีทั้งดีและไม่ดี ทำให้ความเข้าใจผิดเพี้ยนไปจนทำให้เกิดความขัดแย้งภายในประเทศและลามไปถึงต่างประเทศก็จะทำให้ยุ่งกันไปหมด ภาคประชาชนไม่ควรมุ่งแต่กำไรสูงสุดเพียงอย่างเดียว รัฐเองก็ต้องอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ
ทั้งการเปิดตลาดการออกกฏหมายการสร้างความเป็นธรรมซึ่งประเทศไทยแก้ปัญหาเหล่านี้เยอะมาก ซึ่งวันนี้ทุกคนเริ่มพอใจ วันนี้เราถูกกำหนดหลักเกณฑ์ด้วยโลกและขั้วต่างๆ จึงต้องพยายามเอาสิ่งเหล่านี้มาทำให้เกิดประโยชน์โดยการรวมกลุ่มให้เกิดความแข็งแรงไม่ใช่รวม กันเพื่อสร้างความขัดแย้ง แต่ต้องรวมตัวเพื่อให้มีการรับฟัง ต้องพูดในภาษาเดียวกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่น

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า บางครั้งมีคนต้องการตัดเสื้อตัวเดียวให้กับเรา ซึ่งในประเทศ G 77 จะต้องดูว่าควรเลือกเสื้อแบบใดจึงจะเหมาะกับประชาชนของตัวเอง ตนคิดแบบทหาร ซึ่งต้องมีเป้าหมายระหว่างทาง หาหนทางปฏิบัติในสิ่งที่ไปไม่ได้ ไม่ใช่ตีกันไปตีกันมาจนติดแบบนี้ ส่วนปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นเรื่องที่เสียหายอย่างร้ายแรง ประเทศไทยกำลังแก้ไขปัญหาดังกล่าวอยู่ ไม่ใช่เป็นการรังแกทางการเมือง เพราะกฎหมายคือกฎหมาย ทุกเรื่องคือกฎหมายทั้งหมด และต้องเข้าใจว่าการใช้กฎอัยการศึกและมาตรา 44 ประเทศไทยมีความจำเป็นเพื่อให้เกิดความสงบ เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ดังนั้น วันนี้ที่มีการเรียกตัวบุคคลเข้ามาแล้วติดคุก นั่นเป็นเพราะมีคดีอาญาที่ทำผิดแต่เดิมอยู่แล้ว
นอกจากนี้สถานการณ์ในประเทศยังไม่ปกติ หากปกติต้องเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง สื่อมวลชนเองก็ไม่ปกติ จึงต้องมีกฎหมายพิเศษออกมา เพื่อให้เขาหยุด แต่ก็ปล่อยให้มีการพูด หากเปิดดูหนังสือพิมพ์ของไทยวันนี้จะเห็นว่าหนักขึ้นเรื่อยๆ
“เช่น หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ไม่รู้ไปเอาความคิดมาจากไหน เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้ พอเปลี่ยนบรรณาธิการจึงเป็นแบบนี้ นี่คือคนที่เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนหลักการของตัวเอง ผมรับไม่ค่อยได้ แต่ก็คุมไม่ค่อยได้ เขาเป็นพ่อผมมั๊ง ขอโทษที่พูดแรง ฝรั่งอาจฟังไม่รู้เรื่อง เอาแค่คนไทยรู้ก็แล้วกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อยากให้ภาคธุรกิจศึกษาให้ดี อะไรที่เสียประโยชน์ต้องต่อรองให้มากที่สุด ส่วนปัญหาการท่องเที่ยว แม้ไทยมีนักท่องเที่ยวเข้ามากว่า 30 ล้านคน แต่ก็ไม่ได้มีความสุข ตราบใดที่ยังดูแลนักท่องเที่ยวไม่ได้ ต่อให้มีกว่า 50 หรือ 60 ล้านคน ก็พร้อมจะรับ และต้องดูเรื่องมิติของสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยและไกด์ ซึ่งตนรื้อทุกระบบ และเชื่อว่าหลายประเทศก็มีปัญหานี้
“ส่วนการจัดอันดับของไอเอ็มดีที่เราถูกปรับให้ขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องง่ายใน 2 ปีที่ผ่านมา แต่บางคนบอกว่า ไอเอ็มดีเชื่อมั่นได้แค่ไหน ผมก็ปวดหัวเหมือนกัน แล้วจะเชื่อใคร ไปเชื่อนายพิชัย (นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน)เหรอ นายพิชัยเคยทำอะไรมา เรียนจบอะไรมา วิจารณ์เศรษฐกิจไทยเยอะแยะไปหมด เก่งเศรษฐกิจเหลือเกิน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคสช.ยกเลิกการห้ามบุคคลเดินทางออกนอกประเทศแล้ว

เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคสช.ยกเลิกการห้ามบุคคลเดินทางออกนอกประเทศแล้ว

1 มิ.ย.2559 จากเมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เรียกประชุมฝ่ายความมั่นคง ซึ่งหลังการประชุมแล้วเสร็จ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติ ที่จะยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ห้ามบุคคลเดินทางออกนอกประเทศ โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก คสช. ซึ่งหากบุคคลใดมีคดีความในชั้นศาล ก็จะให้ไปยื่นคำร้องให้ศาลพิจารณา ซึ่งคำสั่งยกเลิกนี้ จะมีประกาศในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ ทั้งนี้ถือเป็นการผ่อนคลายสถานการณ์ทางการเมืองเพิ่มมากขึ้น แต่ทั้งนี้จะยังไม่ผ่อนคลายเรื่องอนุญาตให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ เพราะที่ประชุมหารือแล้ว ยังไม่เหมาะสม และขอเวลาสักระยะหนึ่ง
โดย เมื่อวันที่ 31 พ.ค.59 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 25/2559 เรื่อง ยกเลิกการห้ามบุคคลเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ออกมาแล้ว

"โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์"ประธานบอร์ดบริหาร BBL ถึงแก่อนิจกรรมบ่ายวันนี่


นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ถึงแก่อนิจกรรมอย่างสงบที่โรงพยาบาลในช่วงบ่ายวันนี้ ด้วยวัย 73 ปี หลังป่วยด้วยโรคมะเร็ง

สำหรับประวัติของนายโฆสิต ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการบริหารของธนาคารกรุงเทพตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 หลังจากร่วมงานกับธนาคารกรุงเทพในตำแหน่งประธานกรรมการบริหารในปี 2542 และในตำแหน่งกรรมการบริหารในปี 2537
ก่อนหน้านั้น นายโฆสิตเคยดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ของประเทศหลายตำแหน่ง อาทิ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในด้านประวัติการรับราชการ นายโฆสิตเคยเป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และยังมีประสบการณ์ทำงานระดับนานาชาติในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ ประจำธนาคารโลก ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี
นายโฆสิตสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี สาขาการคลัง (เกียรตินิยม) จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2506 และปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ (University of Maryland) ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 2508 และได้จบจากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรในปี 2531
นายโฆสิตเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากการทำงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งในธนาคารกรุงเทพ ก็ได้จัดตั้งโครงการเกษตรก้าวหน้า เพื่อสนับสนุนเกษตรกรให้ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพผลผลิตการเกษตร นอกจากนั้น ยังได้ริเริ่มโครงการสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาธุรกิจขนาดและขนาดย่อม (SMEs) หลายโครงการ

//////////////
ผู้สื่อข่าวรายงาน นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ ถึงแก่อนิจกรรมด้วยวัย73 จากโรคมะเร็ง 

ประวัตินายโฆสิต เคยอดีตรองนายกรัฐมนตรี, อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา จากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2506 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการคลัง (เกียรตินิยม) จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2508 จบปริญญาโท ด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา และเข้ารับการอบรมหลักสูตรของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ในปี พ.ศ. 2531 

เริ่มทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ประจำธนาคารโลก ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ต่อมาจึงกลับมารับราชการจนได้รับตำแหน่งสูงสุดคือ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) 

และเข้าสู่งานการเมืองโดยการรับตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (พลเอกสุจินดา คราประยูร) ในปี พ.ศ. 2535 และรับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลของนายอานันท์ ปันยารชุน และรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีกครั้ง ในรัฐบาลของนายอานันท์ พ.ศ. 2535 

ต่อมาในปี พ.ศ. 2537 ได้เข้ารับตำแหน่งกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2538 จึงได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลของนายบรรหาร ศิลปอาชา แทนนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ แทนนายทนง พิทยะ ยังเคยได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา เมื่อปี พ.ศ. 2539 หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2542 จึงได้เข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ 

โดยกลับเข้าสู่งานการเมืองอีกครั้ง ในรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และได้รับแต่งตั้งให้รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) แทนนายสิทธิชัย โภไคยอุดม ซึ่งลาออกจากตำแหน่งจากกรณีการถือหุ้นเกินร้อยละ 5 ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2550

ว่าที่ ปธน.ฟิลิปปินส์ประกาศเลิกพึ่งสหรัฐฯ หวังคลี่คลายข้อพิพาทกับจีนเอง

ว่าที่ ปธน.ฟิลิปปินส์ประกาศเลิกพึ่งสหรัฐฯ หวังคลี่คลายข้อพิพาทกับจีนเอง
โรดริโก ดูเตอร์เต ว่าที่ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวระหว่างการแถลงข่าวในเมืองดาเวา ทางภาคใต้ของฟิลิปปินส์เมื่อวันอังคาร(31พ.ค.)
        รอยเตอร์ - โรดริโก ดูเตอร์เต ว่าที่ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ระบุในวันอังคาร (31 พ.ค.) ว่าประเทศของเขาจะไม่พึ่งพิงพันธมิตรด้านความมั่นคงที่ยาวนานอย่างสหรัฐฯ ส่งสัญญาณเป็นเอกเทศจากวอชิงตันมากขึ้นในการจัดการปัญหาต่างๆ กับจีนและประเด็นข้อพิพาททะเลจีนใต้
       
       ฟิลิปปินส์มักเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนที่แข็งขันที่สุดของวอชิงตัน ในการเผชิญหน้ากับปักกิ่งเกี่ยวกับประเด็นทะเลจีนใต้ เส้นทางการค้าอันสำคัญที่ทางจีนได้สร้างเกาะเทียม รันเวย์ และฐานทัพทหารในพื้นที่พิพาท
       
       ดูเตอร์เต นายกเทศมนตรีเมืองดาเวา ซึ่งได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม เคยสนับสนุนการเจรจาพหุภาคีเพื่อคลี่คลายข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ ซึ่งรวมถึงสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เช่นเดียวกับเหล่าชาติผู้เรียกร้องสิทธิ์อื่นๆ
       
       นอกจากนี้แล้วเขายังเคยเรียกร้องจีน ซึ่งอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่เกือบทั้งหมดของทะเลจีนใต้ ให้ความเคารพต่อเขตเศรษฐกิจจำเพาะ 200 ไมล์ทะเล สิทธิและเขตอำนาจของรัฐชายฝั่งภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
       
       ในวันอังคาร (31 พ.ค.) เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่าเขาจะผลักดันให้มีการเจรจาทวิภาคีกับจีนหรือไม่ นายดูเตอร์เตตอบว่า “เรามีสัญญากับตะวันตก แต่ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าเราจะสร้างเส้นทางของเราเอง เราจะไม่พึ่งอเมริกา และมันจะเป็นแนวทางที่ไม่ตั้งใจสร้างความพึงพอใจแก่ใครหน้าไหน ยกเว้นแต่เพื่อผลประโยชน์ของชาวฟิลิปปินส์เอง”
       
       นายดูเตอร์เตได้เผยโฉมคณะรัฐบาลชุดใหม่หนึ่งวันหลังจากที่ประชุมร่วมของรัฐสภาประกาศให้เขาเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม เขาจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์อย่างเป็นทางการในวันที่ 30 มิถุนายน
       
       รัฐมนตรีสำคัญๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งส่วนใหญ่แล้วเป็นตัวเลือกซึ่งเป็นที่นิยม การตัดสินใจที่ดูเหมือนเป็นการบรรเทาความกังวลของเหล่านักลงทุนทั้งต่างชาติและภายในประเทศ เกี่ยวกับการเดินซวนเซหนีไปจากการปฏิรูปที่ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างกำยำ และบางทีรายชื่อของคณะรัฐมนตรีชุดนี้อาจบ่งชี้ถึงความพยายามคลี่คลายความขัดแย้งในประเด็นทะเลจีนใต้ด้วย
       
       ฟิลิปปินส์ บรูไน เวียดนาม มาเลเซีย และไต้หวัน ต่างกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่บางส่วนของทะเลจีนใต้ ซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากรน้ำมันและก๊าซ รวมถึงเป็นเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ที่สำคัญมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
       
       ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ เปอร์เฟคโต ยาซาย ว่าที่รัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของนายดูเตอร์เต ได้ส่งสัญญาณประนีประนอม โดยให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า “ผมไม่คิดว่าจะมีทางเลือกอื่นในการคลี่คลายข้อพิพาทนี้ ยกเว้นแต่การพูดคุยซึ่งกันและกัน เราอยากทำให้มั่นใจว่าเราจะสามารถรื้อฟื้นการเจรจาแบบทวิภาคี เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็น”