PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

น้ำท่วมคราวนี้ฝีมือใคร ภัยธรรมชาติ หรือการจัดการ


-ดร. สุทัศน์ วีสกุล มองว่าในปัจจุบันมีการรายงานสถานการณ์น้ำจากหลากหลายหน่วยงาน แต่สิ่งที่ขาด
อยู่ตอนนี้คือ ทีมวิเคราะห์ท้องถิ่น ที่จะนำข้อมูลจากส่วนกลางไปเสริมกับข้อมูลท้องถิ่นแล้ววิเคราะห์ ประ
เมิน เพื่อขยายไปสู่การเตือนภัยในพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างเฉพาะเจาะจง
-ดร. ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ มองว่าเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงระบบการเตือนภัยที่ล้มเหลว
ของกรมชลประทาน เนื่องจากไม่มีแผนรับมือภัยพิบัติจากเขื่อนที่ชัดเจน ขณะที่ประเทศไทยมีเขื่อนกว่า 
4,000 แห่งทั่วประเทศ
-ดร. อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา มองว่ายังเร็วไปที่จะวิเคราะห์และถอดบทเรียนจากน้ำท่วมคราวนี้ พร้อม
ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีสมาธิในการทำงานแก้ไขปัญหาก่อนดีกว่า
     3 วันมาแล้วที่สถานการณ์น้ำท่วมภาคอีสานยังคงเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างต่อเนื่อง แม้ปริมาณ
น้ำฝนจะลดลงแล้ว แต่ในหลายพื้นที่ยังคงได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะใน 12 จังหวัด ที่ยังคงมีปริมาณน้ำ
ท่วมขังรอการระบายลงแม่น้ำอีกเป็นจำนวนมาก
     ในช่วงที่ผ่านมาเราได้เห็นความพยายามช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้จาก
หน่วยงานต่างๆ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ขอบคุณทุกภาคส่วนทั้งเจ้าหน้าที่ของ
รัฐ และภาคเอกชน ที่ร่วมมือร่วมใจกันอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำ
ท่วมครั้งนี้


     ขณะเดียวกันก็ออกตัวอย่างชัดเจนว่าสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นเป็นภัยธรรมชาติอย่างแท้จริง ต่าง
จากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 2554 ที่เกิดจากการบริหารจัดการที่ผิดพลาด
     นำมาสู่คำถามว่า จริงหรือไม่ที่น้ำท่วมครั้งนี้เป็นฝีมือของภัยธรรมชาติเพียงอย่างเดียว หรือแท้จริงแล้ว
การบริหารจัดการก็อาจจะมีส่วนเช่นกัน



ภัยธรรมชาติที่เกินรับมือ
     สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมล่าสุดจากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ระบุว่าจากพื้นที่
เกิดอุทกภัยและน้ำไหลหลาก รวม 42 จังหวัด ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว 30 จังหวัด ยังคงมีสถาน
การณ์ 12 จังหวัด ได้แก่ สกลนคร ร้อยเอ็ด เพชรบูรณ์ นครราชสีมา กาฬสินธุ์ ยโสธร มุกดาหาร พิจิตร 
พระนครศรีอยุธยา อำนาจเจริญ อุบลราชธานี และหนองคาย
     ส่วนในรายงานสรุปสถานการณ์น้ำประจำวันของกรมชลประทานระบุว่า สกลนครยังคงมีน้ำท่วมขังใน
อำเภอเมือง ระดับน้ำสูง 1.50 เมตร ขณะที่กาฬสินธุ์ยังมีน้ำท่วมในอำเภอเมือง ยางตลาด กมลาไสย 
ฆ้องชัย และร่องคำ รวมพื้นที่ประมาณ 59,000 ไร่ เช่นเดียวกับมหาสารคามที่มีน้ำท่วมในเขตชลประทาน
 33,000 ไร่ และร้อยเอ็ด ใน อ.เสลภูมิ ที่มีน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มต่ำติดริมน้ำอีก 15,000 ไร่ ซึ่งขณะนี้กำลัง
เร่งติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำเพิ่มเติมเพื่อเร่งระบายน้ำ


     ดร. สุทัศน์ วีสกุล ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) 
กล่าวถึงภาพรวมของสถานการณ์น้ำท่วมในเวลานี้ว่า ผลจากพายุเซินกาทำให้เกิดฝนตกหนักอย่างต่อ
เนื่อง 2-3 วัน โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 ลุ่มแม่น้ำหลักของประเทศ คือ ลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำโขง และลุ่มน้ำชี 
ที่มีปริมาณฝนเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมที่ตัวเมืองเพชรบูรณ์ สกลนคร และอีกหลายจังหวัดที่
อยู่ในลุ่มน้ำโขง
     โดยเฉพาะสกลนครที่มีน้ำท่วมหนักมีสาเหตุมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือปริมาณน้ำฝนที่ตกหนักถึง 254
 มิลลิเมตร ประกอบกับมีน้ำจากเทือกเขาภูพาน ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือไปประมาณ 15 กิโลเมตร 
และมีฝนตกหนักถึง 100 มิลลิเมตร ทำให้สกลนครกลายเป็นพื้นที่รับน้ำไปเต็มๆ เมื่อบวกกับการที่ตัวเมือง
มีการพัฒนา ส่งผลให้เส้นทางน้ำตามธรรมชาติไม่ชัดเจน สุดท้ายจึงไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน
     แต่ปัจจุบันสถานการณ์ในสกลนครถือว่าดีขึ้นมากแล้ว เพราะระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ฝนเริ่ม
ลดปริมาณลงเรื่อยๆ ที่ต้องทำตอนนี้คือเร่งระบายน้ำจากปริมาณฝนเมื่อ 2-3 วันก่อนเท่านั้น ส่วนหลังจาก
นี้ไปจนถึงกลางเดือนสิงหาคมยังไม่มีสัญญาณของพายุที่จะเข้าสู่ประเทศไทย คาดว่าสถานการณ์น่าจะ
คล้ายกับปี 2542 ที่มีดีเปรสชัน 2 ลูก แต่ไม่เข้าไทย


     “ประเด็นหลักคือพายุเซินกา ถือเป็นพายุลูกแรกในรอบ 2-3 ปีนี้ที่เข้ามาถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ
ประเทศไทย และสลายพลังงานที่ประเทศไทย เพราะฉะนั้นถึงแม้พายุลูกนี้จะสลายพลังงานไปแล้ว แต่ก็
วนเวียนอยู่ในประเทศไทยนาน เพราะมีขนาดใหญ่ และเคลื่อนที่ช้า ทำให้ปริมาณฝนสะสมมีสูง”
     ดังนั้นเมื่อให้วิเคราะห์ว่าปัจจัยไหนมีผลมากกว่ากันระหว่างภัยธรรมชาติ กับการบริหารจัดการ
ดร. สุทัศน์ จึงมองว่าภัยธรรมชาติครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ยากจะรับมือ
     “โดยสรุปคือครั้งนี้ฝนตกเยอะมาก 254 มิลลิเมตรถือว่าไม่ใช่เรื่องปกติ ถึงแม้จะออกแบบระบบป้องกัน
หรือระบายน้ำ แต่ก็คงไม่ได้ใช้ค่านี้ในการออกแบบ ยังไงก็ต้องท่วม เพียงแต่อาจจะท่วมและระบายเร็ว
ขึ้นเท่านั้น”
     แต่ถึงอย่างนั้นจะโทษภัยธรรมชาติอย่างเดียวก็คงไม่ถูกต้อง เพราะการบริหารจัดการที่ดีก็สามารถ
ช่วยบรรเทาสถานการณ์ลงไปได้เช่นกัน
เท่าที่เข้าใจ ผมไม่เคยเห็นเขื่อนไหนมีแผนรับมือกับภัยพิบัติจากเขื่อน ไม่ว่าจะเป็นน้ำล้นสันเขื่อน หรือเขื่อนวิบัติ อย่าลืมว่าประเทศไทยมีเขื่อนขนาดใหญ่ 33 แห่ง เขื่อนขนาดกลาง 367 แห่ง และเขื่อนขนาดเล็กอีก 4,000 แห่ง ต่อไปมีพายุเกิดขึ้นที่ไหน เขื่อนเหล่านี้ก็จะมีความเสี่ยงทั้งหมด

มีข้อมูล แต่ขาดการวิเคราะห์ จุดอ่อนการจัดการที่ต้องแก้ไข
     ในปัจจุบันมีการรายงานสถานการณ์น้ำจากหลากหลายหน่วยงาน เช่น กรมชลประทาน กรมทรัพยากร
น้ำ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การ
มหาชน) หรือ GISTDA หรือแม้แต่สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตรเอง แสดงให้เห็นว่ามี
ข้อมูลจากส่วนกลางเป็นจำนวนมากที่จะนำไปสู่การเตือนภัยอย่างทันท่วงทีกับประชาชนได้
     แต่สิ่งที่ขาดอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่ ดร. สุทัศน์เรียกว่า ‘ทีมวิเคราะห์ท้องถิ่น’ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากใน
การป้องกันสถานการณ์น้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นครั้งต่อๆ ไป
     “ปัจจุบันเรามีข้อมูลจากส่วนกลางที่ส่งไปยังภูมิภาคหรือจังหวัดต่างๆ เป็นจำนวนมาก อย่าง สสนก. 
เองก็มีการวิเคราะห์ภาพรวมในทุกๆ เช้า และมีการเตือนภัยไปในระดับจังหวัด แต่สิ่งที่ยังขาดคือทีม
วิเคราะห์ท้องถิ่นที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นไปวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ต่อ เพราะนอกจากจะมีความ
รู้เรื่องสภาพพื้นที่แบบเฉพาะเจาะจงแล้ว คนในท้องถิ่นยังจะให้ความเชื่อถือมากกว่าข้อมูลส่วนกลางด้วย 
เหมือนคนในบ้านเตือนกันเอง”
     โดยทีมวิเคราะห์ท้องถิ่นดังกล่าวควรเป็นการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงาน เช่น ปกครองจังหวัด 
โยธาธิการจังหวัด ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ซึ่งแต่ละหน่วยงานจะมีข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจ
ทำให้การประเมินสถานการณ์ทำได้อย่างชัดเจนมากกว่าการรอข้อมูลจากส่วนกลางเพียงอย่างเดียว
     ซึ่งเมื่อท้องถิ่นทราบข้อมูลจากส่วนกลางแล้วนำไปเสริมด้วยข้อมูลของท้องถิ่นเอง ก็จะทำให้ความ
เข้มข้นในการเตือนภัยมีมากขึ้น นอกจากนี้ทีมวิเคราะห์ดังกล่าวยังสามารถทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อ
เพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตในการทำการเกษตรของแต่ละพื้นที่ได้อีกด้วย
     นอกเหนือไปจากการวิเคราะห์ข้อมูลและเตือนภัยแล้ว ดร. สุทัศน์ ยังแนะนำว่าสิ่งที่ควรทำอย่างเร่งด่วน
หลังน้ำลดคือการฟื้นฟูลำน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นระบบการระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว
     “ลำน้ำเหล่านี้เนื่องจากเป็นลำน้ำสาธารณะ บางครั้งอาจจะมีชาวบ้านที่ถือโฉนดพื้นที่ใกล้เคียงก่อสร้าง
บ้านเรือนรุกล้ำเข้าไปจนทำให้ลำน้ำสาธารณะมีขนาดแคบลง ทำให้การระบายน้ำทำได้ไม่ดี ทางที่ดีหลัง
น้ำลดก็ควรมีการสำรวจว่าลำน้ำที่มีอยู่มีจำนวนเท่าไหร่ ใช้ได้ดีเท่าไหร่ มีการรุกล้ำเท่าไหร่ แล้วปรับปรุง
ให้มีสภาพใช้งานได้ เรื่องนี้สามารถทำได้ทันที ใช้เงินน้อย แต่ต้องเหนื่อยหน่อย เพราะต้องไปรบกับชาว
บ้าน”


ระบบเตือนภัยที่ล้มเหลว
     นอกจากปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าปกติแล้ว วิกฤตน้ำท่วมสกลนครส่วนหนึ่งยังเกิดมาจากคันกั้นนำ้ใน
เขื่อนห้วยทรายขมิ้นที่ชำรุดเสียหาย ทำให้มีปริมาณน้ำบางส่วนไหลลงมาสมทบเข้าท่วมบ้านเรือนของ
ประชาชนด้วย
     สำหรับกรณีนี้ ดร.สุทัศน์ มองว่าปริมาณน้ำในเขื่อนที่ไหลทะลักออกมาอาจมีส่วนที่ทำให้น้ำท่วมสูงขึ้น 
แต่ไม่น่ามากนักเมื่อเทียบกับปริมาณฝนที่ตกลงมา หลังจากนี้คงต้องวิเคราะห์และคำนวณตัวเลขต่อไปว่า
มีผลมากน้อยแค่ไหน
     ขณะที่ ดร. ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม ในฐานะผู้เรียกร้องให้มีการจัดทำแผนรับมือความเสี่ยงภัยพิบัติจากเขื่อนมาโดยตลอดระบุว่า
เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงระบบการเตือนภัยที่ล้มเหลวของกรมชลประทาน
     “ในกรณีนี้คนในท้องถิ่นยืนยันว่าไม่มีการแจ้งเตือนภัยใดๆ ทั้งสิ้น ขนาดเขื่อนชำรุดไปแล้ว น้ำท่วมหนัก กรมชลประทานยังแถลงว่าเขื่อนแค่มีน้ำกัดเซาะ ซึ่งถ้ามีการแจ้งเตือนก่อน ถึงน้ำจะยังท่วมก็จริง แต่ทรัพย์
สิน หรือรถยนต์ของประชาชนก็คงไม่ได้รับความเสียหายขนาดนี้เพราะสามารถขนย้ายได้ทัน”


     นอกจากนี้ ดร. ไชยณรงค์ ยังเปรียบเทียบกับกรณีที่เกิดขึ้นกับเขื่อนโอโรวิลล์ ในสหรัฐอเมริกา เมื่อ
เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบว่าทางน้ำล้น หรือสปิลล์เวย์ของเขื่อนแตกเป็นรูโหว่ขนาด
ใหญ่ และเสี่ยงต่อการพังทลาย ทำให้มีการแจ้งเตือน และอพยพคนอย่างทันท่วงที
     “เหตุการณ์นั้นเราจะเห็นเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบเต็มถนน ปิดถนนหลวง ปิดเส้นทางสัญจร สั่งอพยพคน
ไปอยู่ในที่ปลอดภัย บอกว่ามีเส้นทางไหนบ้างที่จะสัญจรได้โดยไม่เป็นอันตราย จนกว่าจะมั่นใจว่าแก้
ปัญหาได้แล้ว จึงอพยพคนกลับ แต่เราไม่ได้ทำแบบนั้น ถ้าทำแบบนั้นเราคงไม่เห็นรถยนต์จมอยู่ใต้น้ำเยอ
ขนาดนี้แน่นอน
     “เท่าที่เข้าใจ ผมไม่เคยเห็นเขื่อนไหนมีแผนรับมือกับภัยพิบัติจากเขื่อน ไม่ว่าจะเป็นน้ำล้นสันเขื่อน 
หรือเขื่อนวิบัติ อย่าลืมว่าประเทศไทยมีเขื่อนขนาดใหญ่ 33 แห่ง เขื่อนขนาดกลาง 367 แห่ง และเขื่อน
ขนาดเล็กอีก 4,000 แห่ง ต่อไปมีพายุเกิดขึ้นที่ไหน เขื่อนเหล่านี้ก็จะมีความเสี่ยงทั้งหมด แล้วมันจะเกิด
อะไรขึ้นถ้าไม่มีแผนการรับมือที่ถูกต้อง” ดร. ไชยณรงค์ ตั้งคำถามต่อกรมชลประทานในฐานะผู้มีหน้าที่
ดูแลเขื่อนเป็นจำนวนมาก



     ขณะที่ ดร. อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและ
ภูมิสารสนเทศ (องค์กรมหาชน) หรือ GISTDA มองว่าสถานการณ์ขณะนี้ยังเร็วไปที่จะวิเคราะห์ถึงปัญหา
และบทเรียน เพราะสิ่งที่ต้องเร่งทำตอนนี้คือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับ
ความเดือดร้อน
     “ตอนนี้หน่วยงานต่างๆ เขากำลังทำงานกันอยู่ เราจะไปวิจารณ์หรือออกความเห็นตอนนี้คงไม่เหมาะ
 เพราะพูดไปก็ยังทำอะไรไม่ได้ ต้องรอให้เหตุการณ์จบก่อน ถึงจะมาวิเคราะห์บทเรียนในระยะยาว ไม่ต้อ
งห่วง เราเก็บข้อมูลต่างๆ ไว้หมดแล้วว่าน้ำมายังไง ไปยังไง วิเคราะห์ตอนนี้มันผิดที่ ผิดทาง ผิดเวลา 
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเขาได้มีสมาธิในการทำงานแก้ไขปัญหาก่อนดีกว่า”
     หลังน้ำลดคราวนี้ยังมีสิ่งที่เราต้องทำอีกมาก นอกจากจะฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย และเยียวยา
ผู้ได้รับผลกระทบแล้ว การหันหน้ามาช่วยกันถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน
 โดยเฉพาะถ้าบทเรียนนั้นจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตลักษณะนี้ในอนาคตได้อีก

"จอม"โพสFB บอกโกตี๋ โดนชายชุดดำช็อตด้วยไฟฟ้าและอุ้มพาเข้าไทยแล้ว

Jom Petchpradab ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 4 ภาพ
11 ชม.
"โกตี๋"ถูกอุ้มหายจากประเทศเพื่อนบ้านอาจข้ามฝั่งเข้าไทยแล้ว
ผมได้รับคำยืนยันจากคนที่ใกล้ชิดกับ โกตี๋ ( วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ ) หรือ สหายหมาน้อยว่า โกตี๋ ได้ถูก กลุ่มชายชุดดำ ประมาณ 10 คน หลุมหน้าด้วยหมวกไหมพรหม พร้อมอาวุธครบมือ บุกเข้าจับตัวไป เมื่อเวลา 9.45 ตามเวลาท้องถิ่นในประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ขณะที่ โกตี๋ กำลังจะลงจากรถ เพื่อจะเข้าบ้านพร้อมเพื่อนอีก 2 คน โดยกลุ่มชายชุดดำดังกล่าว ได้แอบซุ่มตัวอยู่ข้างบ้านก่อนที่ โกตี๋จะมาถึง และเมื่อโกตี๋ กำลังจะก้าวลงจากรถ พร้อมเพื่อนอีก 2 คน กลุ่มชายชุดดำดังกล่าวก็ได้กระจายกำลังกัน เข้าจับกุมทั้ง 3 คน โดยเอาผ้าคลุมหน้าทุกคน พร้อมเอาผ้ายัดปาก และมัดมือไพล่หลัง จากนั้นก็แยก โกตี่ พาไปขึ้นรถที่เตรียมไว้ ส่วนเพื่อนโกตี๋อีก 2 คน ถูกลากมาขังไว้รวมกันไว้ภายในบ้าน จากนั้น กลุ่มชายชุดดำก็ออกจากบ้านไป
หลังจากเพื่อนโกตี๋ทั้ง 2 คน ดิ้นหลุดจากการถูกมัด ก็ได้เรียกให้เพื่อนบ้านใกล้เคียงช่วย โดยแจ้งให้ตำรวจในพื้นที่ทราบแล้ว
เพื่อนโกตี๋ที่ถูกจับ เล่าให้ฟังว่า ชายชุดดำที่เข้ามาจับกุมพวกตนนั้น พูดภาษาไทย และใช้ที่ช๊อตไฟฟ้า ช๊อคเข้าที่ต้นคอตน จากนั้นก็ซ้อมแต่ละคน พร้อมขู่ไม่ให้พูด ไม่ให้ร้อง ขณะเดียวกันเขาบอกว่า ยังได้ยินเสียง โกตี๋ พูดว่า "โอ้ย หายใจไม่ออก" จากนั้น เสียงโกตี๋ ก็เงียบไป
ซึ่งตอนนี้เพื่อนทั้งสองคนได้แจ้งความกับตำรวจในพื้นที่แล้ว แต่ยังไม่มีใครทราบว่า ถึงตอนนี้โกตี๋ อยู่ที่ไหน และยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่จากคำบอกเล่าของคนใกล้ชิดโกตี๋เชื่อว่า ตอนนี้ โกตี๋ น่าจะยังมีชีวิตอยู่และน่าจะถูกนำตัวข้ามไปฝั่งไทยเรียบร้อยแล้ว
( ภาพประกอบ - เป็นอุปกรณ์ที่กลุ่มชายชุดดำใช้ในการอุดปาก ปิดหน้า และมัดมือ )
ปล..แม้ว่าหลายกลุ่มในขบวนที่กำลังต่อสุ้กับอำนาจเผด็จการในประเทศไทย จะไม่เห็นด้วยกับแนวทางการต่อสุ้ของ โกตี๋ แต่สำหรับผม ผมชื่นชมในความกล้าด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก เพื่อต่อสู้ในสิ่งที่เขาคิดและเขาเชื่อ ... ขอให้ปลอดภัยนะครับ

ผลงานผลคดี ชี้อนาคตคสช. : จับกระแสเกมมวลชน “ปะทุ” วิกฤติลากยาว 12 ปี

ผลงานผลคดี ชี้อนาคตคสช. : จับกระแสเกมมวลชน “ปะทุ” วิกฤติลากยาว 12 ปี

ฝนกลางฤดูตกชุกเกือบทั่วทุกภูมิภาค

โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือเจอฤทธิ์พายุ “เซินกา” ทำให้น้ำท่วมหลายจังหวัดในแถบอีสานตอนล่าง จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครราชสีมา ฯลฯ

ระดับน้ำสูงเป็นเมตร ประชาชนต้องขนของหนีน้ำกันจ้าละหวั่น

ตั้งรับปรากฏการณ์ธรรมชาติกันไม่ทัน

ขณะเดียวกันปฏิทินก็ย่างเข้าสู่กลางไตรมาส 3 ของปี

และที่ต้องจับตากันให้ดี เดือนสิงหาคมถึงกำหนดชี้ชะตาคดีสำคัญทางการเมือง

3 คดีใหญ่ๆภายในเดือนเดียวกัน

ไล่ตั้งแต่ต้นเดือน วันที่ 2 สิงหาคม ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปี 2551

โดยผู้ถูกฟ้องประกอบด้วยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายก รัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นจำเลยที่ 1-4

และในช่วงปลายเดือน วันที่ 25 สิงหาคม ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยมิชอบ
ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ และพวก รวม 28 ราย ในเวลา 09.00 น.

วันเดียวกัน เวลาไล่เลี่ยกัน 09.30 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัดฟังคำพิพากษาคดีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

ตามที่อัยการสูงสุดได้ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว สร้างความเสียหายแก่รัฐกว่า 5 แสนล้านบาท

โดยเงื่อนสถานการณ์ไม่ได้เหนือการคาดหมาย

เพราะทุกคดีล้วนแต่เป็นผลพวงจากวิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองที่ตกค้างมาในรอบกว่า 10 ปี เป็นเงื่อนเวลาตามกระบวนการยุติธรรม

และนั่นก็เลี่ยงไม่พ้น กระตุก “หัวเชื้อเก่า” ให้ปะทุขึ้นมา

ตามสถานการณ์แบบที่เห็นทันทีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดอ่านคำพิพากษาคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวในวันที่ 25 สิงหาคม

ปฏิบัติการชิงกระแสก็เกิดขึ้นทันทีทันควัน

ปรากฏการณ์อย่างที่นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อ้างมีข้อมูลการเคลื่อนไหว ระดมมวลชนในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจังหวัดในเขตปริมณฑล ผ่านทางอดีต ส.ส. แกนนำกลุ่มการเมืองในพื้นที่ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.จ.)

ให้นำประชาชนเดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ 2 รอบ คือ รอบวันที่ 1 สิงหาคม ที่ศาลฎีกาฯ นัดการแถลงปิดคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรอบวันพิพากษาคดีวันที่ 25 สิงหาคม โดยในรอบสองนั้นมี

ข่าวระบุว่า จะระดมประชาชนให้ เข้ากรุงเทพฯ เพื่อชุมนุมบริเวณ หน้าศาลในจำนวนหลักหมื่นคน
รับลูกกับข้อมูลของนายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี ประจำ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่เปิดตัวเลข 30 ล้านบาทในการระดมมวลชนมาเคลื่อนไหว
นัยว่าดักคอ ดักทางกันตามเหลี่ยมของฝ่ายโหนอำนาจพิเศษ

แต่นั่นก็บังเอิญล้อไปกับฉากบู๊ เกมท้าวัดใจของฝ่ายโหนทักษิณ

ตามบทเฮี้ยวของนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีคนดังของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ประชาชนหลายสิบล้านคนจะทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาเช่นกัน

จะไม่ปล่อยให้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ “ตายเดี่ยว”

ต่างฝ่ายต่างปั่นกระแสเกมมวลชน ปลุกเร้าสถานการณ์ม็อบ

ขณะเดียวกันก็เป็นนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ปรมาจารย์กฎหมายที่ร่างกติกาประเทศไทย ออกมาชี้ช่องเอง คดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ยังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์และประกันตัวได้ ตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญปัจจุบัน

นั่นหมายถึงอดีตผู้นำหญิงยังมีโอกาสหายใจหายคออยู่

แต่โดยเงื่อนสถานการณ์ต่อเนื่องกัน ก็เป็นประเด็นร้อนๆที่ฝ่ายของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ที่โอดครวญ
กรณีถูกเดินหน้าอายัดและยึดทรัพย์ตามคำสั่งกระทรวงการคลังทันที

โดยไม่รอการตัดสินของศาลก่อน

ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หัวหน้า คสช. ต้องชี้แจงเองเลยว่า เรื่องการบังคับ หรือ การยึดทรัพย์ต่างๆนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้มีการไปยึดทรัพย์ใคร เป็นแต่เพียงการเตรียมการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่เท่านั้น ยังยึดทรัพย์ใครไม่ได้ เพราะยังไม่มีคำตัดสินของศาล แต่หากศาลตัดสินไม่ผิดก็ไม่สามารถไปยึดได้

และในทันทีทันควัน ก็เป็นอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ที่โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ตอบโต้อีกฝ่าย “ไม่ใช่แค่อยู่ขั้นตอนการเตรียมการนะคะ แต่ได้ยึดและถอนเงินในบัญชีดิฉันไปแล้วค่ะ”

เปิดฉากตอบโต้กันแบบช็อตต่อช็อต

ก่อนที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ต้องออกหน้าเคลียร์ความชัดเจน การยึดทรัพย์เป็นเรื่องในส่วนของการบังคับคดีทางปกครอง เป็นคนละส่วนกับคดีอาญาของศาลฎีกาฯ

ที่สุดเลยก็เป็น พล.อ.ประยุทธ์ที่ต้องตัดบท ขู่เสียงเขียวออกอากาศ อย่าบิดเบือนเรื่องโดนรังแกยึดทรัพย์เป็นประเด็นปลุกระดม

ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมตกเป็นรองในการชิงกระแสความชอบธรรม

ตามเหลี่ยมถนัดของฝั่งพรรคเพื่อไทยที่ใช้การตลาดนำการเมือง ขณะที่ฝ่ายทหาร คสช.ก็ใช้ยุทธวิธี “ไอโอ” หรือการปฏิบัติการข่าวสารในการเปิดสงคราม “ความเชื่อ”
โน้มน้าวแนวร่วม ชิงมวลชนสนับสนุน
ภายใต้ท้องเรื่องเดิม เนื้อหาเก่า ตัวละครซ้ำๆ แต่เพิ่มยุทธศาสตร์ใหม่ในการใช้สื่อโซเชียลมีเดียที่เข้าถึงมวลชนกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดและไวกว่าสื่อกระแสหลัก
อัดเนื้อหา “โฆษณาชวนเชื่อ” ได้ตรงตามเจตนา
“ความจริง” อยู่ตรงไหน ก็แล้วแต่ประชาชนจะเลือกเชื่อใคร
แต่แน่นอน ถึงที่สุดเลยก็ต้องจบที่ศาล
ยึดบรรทัดฐานขื่อแปของบ้านเมือง
ส่วนจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ต้องเก็บไว้ในใจ เป็นอารมณ์ที่ห้ามกันไม่ได้
และเชื่อว่าความสงสารหรืออาการสะใจ จะเป็นปรากฏการณ์ “ฝังใจ” ของประชาชนแต่ละฝ่าย ซึ่งจะไปสะท้อนในการหย่อนบัตรในคูหาเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้า
ว่ากันในทางยาวๆคะแนนสงสารในชะตากรรม “ยิ่งลักษณ์” ไม่ว่าคดีจะออกหน้าไหน มันหนีไม่พ้นเข้าทางพี่ชายอย่างอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร และทีมงานพรรคเพื่อไทย
เอาไปใช้ดันเรตติ้งในสนามเลือกตั้งได้ถล่มทลายแน่
แต่ในจังหวะนี้ ถือว่าเกมอำนาจยังอยู่ในกำมือรัฐบาล คสช. กุมความได้เปรียบทุกประตู
ดูแล้วรัฐบาลไม่ได้กลัวม็อบแต่อย่างใด เพราะถ้าสถานการณ์วุ่นวายก็ยิ่งเข้าทางเกมลากอำนาจต่อ
ไม่ต้องพูดถึงการเลือกตั้งต้องเลื่อนอีกยาว
โจทย์ก็คือเมื่อประเมินแล้วว่า “ผลทางคดี” ยังไงก็เข้าทาง “ทักษิณ” ก็เหลือมุมเดียวที่ คสช.จะดึงกระแสสู้
นั่นคือเรื่องของ “ผลงาน” ที่อำนาจพิเศษสามารถเดินหน้าได้อย่างได้น้ำได้เนื้อ อาทิ มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอย่างยั่งยืน เมกะโปรเจกต์ รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ โครงการเศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี) การแก้ปมการค้ามนุษย์ การปรับสถานการณ์แรงงานต่างด้าว การยกระดับมาตรฐานการบินพลเรือน ทำให้นานาชาติเห็นถึงความพยายามในการเคลียร์ปัญหา
สางปมที่ “หมักหมม” แบบที่รัฐบาลจากการเลือกตั้งทำไม่ได้
เหนืออื่นใดคือเรื่องของการคุมสถานการณ์ความสงบได้ ไร้ม็อบป่วนเมือง
เหล่านี้ ถ้ารัฐบาลทำให้ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก และมีความหวัง ก็เท่ากับยกระดับความชอบธรรมในเส้นทางอำนาจของ คสช.หลังการเลือกตั้ง
ผู้คนอยากหนีวังวนฝันร้ายในอดีตอยู่แล้ว.
“ทีมการเมือง”

วันก่อนผมก็ฟัง รัฐบาลที่แล้ว



‪"วันก่อนผมก็ฟัง รัฐบาลที่แล้ว สั่งมาผมก็ทำตามเขานะ แต่แค่22 หน่อยเดียว ก็มันมีเรื่อง เลยตัองทำ"‬
‪นายกฯ แจงกลางสภาฯ เหตุที่ตัองรัฐประหาร 22พค.2557 ยัน ไม่ได้สืบทอดอำนาจ‬

"บิ๊กตู่"อ้าง หาคนยอมมาเป็นรมต.ยาก หนักใจ ไม่อยากปรับครม.เอาใครออก

"บิ๊กตู่"อ้าง หาคนยอมมาเป็นรมต.ยาก หนักใจ ไม่อยากปรับครม.เอาใครออก ใครอยากมา ถูกใส่ร้าย ถูกตั้งประวัติใหม่
พลเอกประยุทธ์ นายกฯเผยกลางสภาฯ บอก หนักใจ มีคนเสนอ ให้เอาใครออก ถ้าเอาออก แล้วใครจะทำงาน กว่าจะยอมมาเป็นรมต. กัน เสนอตัวมาซิ ใครจะเป็นรมต. มาแล้ว ถูกตั้งประวัติใหม่ ถูกตรวจสอบ ถูกกล่าวหา ใส่ร้ายป้ายสี ยันเป็นผู้เสียสละ รับเงินเดือนๆละ แสน เท่านั้นทไม่มีรายได้อื่น ไม่มี

"อย่าทิ้ง รัฐบาล และ คสช.ไว้ข้างหลัง"



"อย่าทิ้ง รัฐบาล และ คสช.ไว้ข้างหลัง"
นายกฯบิ๊กตู่ พูดในสภาฯ เผย ผมเป็นคนอ่านทุกอย่าง หนังสือพิมพ์ ข่าว โซเชี่ยลฯมีคนบอกว่า ผมอย่าไปสนใจมาก แต่ไม่สนใจไม่ได้ เพราะบางคนเขียนอะไรไม่รู้ อ่านแล้วโมโห ผมอ่านหมด โซเชี่ยล ใครพูดอะไร เขียนอะไร
ยัน นโยบาย รัฐบาลและคสช. จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่ ก้อย่าทิ้ง รัฐบาล คสช.ไว้ข้างหลัง แล้วกัน ไปกันหมด

"พลเอกวิชิต" เผย โทรยินดี "พลเอกเตียบันห์"เพื่อนรัก ที่ ได้รับการ สถาปนา เป็น 'สมเด็จพิชัยเสนาเตียบันห์"



"พลเอกวิชิต" เผย โทรยินดี "พลเอกเตียบันห์"เพื่อนรัก ที่ ได้รับการ สถาปนา เป็น 'สมเด็จพิชัยเสนาเตียบันห์" จาก "กษัตริย์สีหมุนี" เตรียมเดินทางไป พบ ด้วยตนเอง
พลเอกวิชิต ยาทิพย์ อดีตรอง ผบ.ทบ.และนายกสมาคมเศรษฐกิจ ไทย-กัมพูชา/ไทย-เมียนมา/ไทย-จีน ซึ่งมีความสนิทสนม กะบ ผู้นำกัมพูชา เผยว่า ได้โทรยินดี กับ พลเอกเตียบันห์ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กัมพูชา ที่ได้รับการสถาปนา เป็น 'สมเด็จพิชัยเสนาเตียบันห์' และเตรียมเดินทางไปพบ พลเอกเตียบันห์ ที่กัมพูชา เร็วๆนี้

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนา พลเอกเตีย บันห์ รองนายกฯ และ รมต.กลาโหมกัมพูชา เป็น 'สมเด็จพิชัยเสนาเตียบันห์ ซึ่งเป็นผู้นำที่ดี เป็นที่รักและเคารพของปวงประชา ได้เข้าร่วมบริหารประเทศกัมพูชาตามรัฐธรรมนูญในพระราชอาณาจักรกัมพูชา ตั้งแต่ ค.ศ.1993
โดยได้ร่วมกำหนดข้อกฎหมายเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมให้ได้รับสันติภาพ เสถียรภาพ ความเป็นเอกภาพในชาติบ้านเมือง รวมถึงการพัฒนาประเทศในทุกแขนง ดำเนินการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย สร้างชาติบ้านเมืองให้มีเสถียรภาพ ความสงบสุขในสังคมได้เป็นอย่างดี มีความร่วมมือในระดับนานาชาติ อีกทั้งรักษาไว้ซึ่งความเป็นเอกภาพชาติ บูรณภาพแห่งดินแดน ภายใต้การบริหารบ้านเมืองที่ชาญฉลาดในสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีในพระราชอาณาจักรกัมพูชา
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พลเอกเตีย บันห์ ได้ดำรงตนเป็นผู้นำที่ดี เป็นที่รักและเคารพ ของปวงประชา สวามิภักดิ์ต่อราชบัลลังก์ ปกป้องและเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ชั่วนิรันดร์
จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม สถาปนา พลเอกเตีย บันห์ เป็น สมเด็จพิชัยเสนาเตียบันห์ นับแต่วันที่ 29 ก.ค.60

ผบ.ทบ.ก็ไม่รู้ เริ่อง "โกตี๋" โดนอุ้มหาย/ไม่ขอคอมเม้นท์ หวั่นกระทบ ลาว

ผบ.ทบ.ก็ไม่รู้ เริ่อง "โกตี๋" โดนอุ้มหาย/ไม่ขอคอมเม้นท์ หวั่นกระทบ ลาว
"บิ๊กเจี๊ยบ" พล.อ.เฉลิมชัย ยัน ไม่มีรายงานยืนยัน เรื่อง"โกตี๋" แกนนำเสื้อแดง ถูกอุ้มฆ่า บอกรู้แต่จากสื่อ ยังไม่มีข่าวสารยืนยันได้ว่าจริงหรือไม่
พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.และเลขาฯ คสช. กล่าวว่า ได้พูดคุยกับ พลเอก สุรพงษ์ สถวรรณอัตถ์ ผบ.ทหารสูงสุด และ พลเอกทวีป เนตรนิยม เลขาฯสมช. ก็ยืนยัน เหมือนกันว่า ไม่ทราบเรื่อง มีแต่ข่าวจากสื่อ เรา ไม่มีการยืนยัน
ทั้งนี้ ตนไม่รู้ว่า เป็นจริงหรือเท็จ หรือที่มาที่ไป แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ ของ ทบ. เพราะในการประสานกับลาว เป็นเรื่องของ กระทรวงการต่างประเทศ
ส่วนจะเป็นการปล่อยข่าวเพื่อหวังผลหรือไม่ พลเอกเฉลิมชัย กล่าวว่า เราไม่มีข้อมูล ถ้าเราแสดงความเห็นอะไรไป จะเป็นผลกระทบเสีย มากกว่าดี กว่าดี และอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เมื่อถามว่า จะต้องตรวจสอบหรือไม่ พลเอกเฉลิมชัย กล่าวว่า หน่วยข่าว ก็คงตรวจสอบ เพราะอะไรที่เป็นเริ่อง ระหว่างประเทศ
อีกทั้ง นี่ไม่ได้อยู่ในเขตประเทศไทย ที่ผมรับผิดชอบ หากพูดไปอาจเกิดความเสียหาย อีกทั้ง แต่ละประเทศ ก็มีบูรณภาพแห่งดินแดน เรา ไม่ควรก้าวล่วง

"บิ๊กเจี๊ยบ" ยันใช้กฎหมายปกติ ดูแลมวลชนให้กำลังใจ"ยิ่งลักษณ์"

"บิ๊กเจี๊ยบ" ยันใช้กฎหมายปกติ ดูแลมวลชนให้กำลังใจ"ยิ่งลักษณ์"แถลงปิดคดีรับจำนำข้าว 1 สค.นี้ เมิน "วัฒนา"ขู่เอาคืน หลังถูกแจ้งจับขัดคำสั่งคสช. เหตุ ไม่อยากทะเลาะ

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.และเลขาธิการคสช. กล่าวถึงการดูแลความเรียบร้อยในวันที่ 1สค.ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะแถลงปิดคดีด้วยวาจาต่อศาลในคดีโครงการรับจำนำข้าวว่า เรื่องนี้ก็ใช้กฎหมายตามเกณฑ์ปกติเหมือนทุกครั้งในการดูแลความสงบเรียบร้อย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดูแลเรื่องการจัดระเบียบบริเวณศาลเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อการจราจรและดูแลเรื่องความปลอดภัย
ทั้งนี้คงไม่มีการกำหนดพื้นที่พิเศษบริเวณด้านหน้าศาล เพราะเป็นการดูแลตามกรอบปกติ ในส่วนของตนทางศาลก็ไม่ได้ประสานขอให้ดูแลเพิ่มเติมอะไรเป็นพิเศษ
เมื่อถามถึงกรณีที่ นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ระบุว่า หลังเลือกตั้งจะเอาคืน คนที่แจ้งจับข้อหาขัดคำสั่งคสช. พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า " ก็ว่าไป แต่ละคนมีความคิดเห็นได้"
"ถ้าสื่อถามซ้ายถามขวา ก็ทะเลาะกันอยู่แบบนี้ " ผบทบ.กล่าว

ผบ.ทบ. ลงพื้นที่ให้กำลังใจชาวสกลนคร ฝ่าวิกฤติน้ำท่วม



ผบ.ทบ. ลงพื้นที่ให้กำลังใจชาวสกลนคร ฝ่าวิกฤติน้ำท่วม / ทบ. ใช้กำลังทหาร 2,300 นาย ดูแลสถานการณ์น้ำท่วมอีสาน เน้น พื้นที่วิกฤติ สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์
​พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก เดินทางตรวจเยี่ยมสถานการณ์น้ำท่วมที่ อ.เมือง จ.สกลนคร เพื่อให้กำลังใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่พร้อมเยี่ยมเยียนประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
พันเอกหญิงศิริจันทร์. งาทอง รองโฆษกทบ.กล่าวว่า ที่ผ่านมาในเหตุการณ์น้ำท่วมภาคเหนือและภาคอีสานในช่วงนี้ ผู้บัญชาการทหารบกได้สั่งการให้ กองทัพภาคที่ ๒ และ ๓ เข้าดูแลประชาชนและคลี่คลายสถานการณ์น้ำให้ยุติลงเร็วที่สุด และให้ดูแลประชาชนให้มีความปลอดภัย โดยขณะนี้ กองทัพบกยังคงกำลังทหาร ๒๖ กองร้อยช่วยเหลือประชาชน ๒,๓๐๐ นาย, ชุดแพทย์เคลื่อนที่ ๘ ชุด, ชุดครัวสนามเคลื่อนที่ ๕ ชุด, พร้อมเครื่องมือบรรเทาสาธารณภัย, รถยนต์บรรทุก ๑๐๘ คัน, เรือ ๓๙ ลำ, รถโกยตัก และเครื่องมืออื่นๆ เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยในจังหวัดที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในภาคอีสาน เช่นที่ จ.สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ นครราชสีมา ขอนแก่น ยโสธร ชัยภูมิ และมุกดาหาร เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ยังสั่งการให้ส่งเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงทั่วไป แบบ MI 17 เข้าช่วยลำเลียงสิ่งของบรรเทาทุกข์และตรวจสอบพื้นที่วิกฤติ โดยขณะนี้เฮลิคอปเตอร์ฯ ปฏิบัติภารกิจอยู่ใน จ.สกลนคร และในวันนี้จะบินไปรับถุงยังชีพจาก 
จ.ขอนแก่นและนำไปแจกจ่ายในพื้นที่น้ำท่วมสูงของ อ.พรรณานิคม , อ.วานรนิวาส , อ.อากาศอำนวย และ อ.คำตากล้า จ.สกลนคร รวมทั้งจะทำการสำรวจทางอากาศ เพื่อค้นหาและช่วยเหลือในพื้นที่น้ำท่วมวิกฤติตามเส้นทางการบินด้วย
​​สำหรับการช่วยเหลือของกองทัพบกที่ร่วมกับทุกภาคส่วนในพื้นที่น้ำท่วมนั้น ในขณะนี้เน้นการเสริมแนวป้องกันน้ำท่วม อพยพประชาชน ขนย้ายสิ่งของ ดูแลประชาชนในศูนย์พักพิง อำนวยความสะดวกในการสัญจร เร่งระบายน้ำด้วยการติดตั้งเครื่องสูบน้ำ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำใช้รถครัวสนามปรุงอาหารสดแจกจ่ายให้กับประชาชน และจัดชุดแพทย์เคลื่อนที่ดูแลสุขภาพของประชาชนและดำเนินการด้านเวชกรรมป้องกันโรคที่มากับน้ำ
ที่ จ.สกลนคร เจ้าหน้าที่ทุกส่วนยังคงดูแลการดำรงชีวิตประจำวันในด้านอาหารและการสัญจร รวมทั้งการเร่งระบายน้ำ นอกจากนี้ กองทัพภาคที่ ๒ ได้เพิ่มเติมกำลังจาก กรมทหารราบที่ ๑๓ พร้อมเครื่องมือบรรเทาสาธารณภัย เข้าไปดูแลใน อ.พรรณานิคม และ อ.วานรนิวาส เนื่องจากปริมาณน้ำยังอยู่ในระดับสูงและขยายวงกว้าง นอกจากนี้ กองทัพภาคที่ ๒ ยังได้เข้าช่วยก่อสร้างสะพานแบรี่เชื่อมต่อระหว่าง จ.สกลนคร และ อุดรธานี ซึ่งเส้นทางดังกล่าวเสียหายจากน้ำท่วม คาดว่าในวันนี้จะเปิดใช้สะพานดังกล่าวได้
​ที่ จ.นครพนม การช่วยเหลือขณะนี้เร่งด่วนอยู่ที่พื้นที่วิกฤติใน อ.นาแก และ อ.นาหว้า เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำจาก จ.สกลนคร โดยขณะนี้ได้เร่งอพยพประชาชน ขนย้ายสิ่งของไปยังพื้นที่ปลอดภัยแล้ว
อย่างไรก็ตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคอีสานในขณะนี้ อาจมีน้ำล้นตลิ่งหรือน้ำเอ่อล้นในหลายพื้นที่ เนื่องจากทิศทางของน้ำจะไหลสู่แม่น้ำโขงและอาจมีการระบายนำจากเขื่อนลำปาง 
ซึ่งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก ได้มอบหมายให้หน่วยทหารประจำพื้นที่ในจังหวัดที่ต้องเฝ้าระวังและอาจได้รับผลกระทบ อาทิ จ.นครพนม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ อุบลราชธานี และ ยโสธร ได้เพิ่มเติมกำลังเพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำ และดูแลประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวให้ปลอดภัยแล้ว

"นายกฯบิ๊กตู่” เตรียมบิน"สกลนคร" ตรวจน้ำท่วม 2 ส.ค.นี้ เ

"นายกฯบิ๊กตู่” เตรียมบิน"สกลนคร" ตรวจน้ำท่วม 2 ส.ค.นี้ เยี่ยมปชช.มอบถุงยังชีพ พร้อมตรวจเยี่ยม อ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้น-สะพานBailey ทหารช่าง
มีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. จะเดินทางลงพื้นที่จ.สกลนครเพื่อตรวจราชการและปฏิบัติภารกิจ 2สค.นี้
พร้อมตรวจเยี่ยมประชาชนหลังได้รับผลกระทบจากอุทกภัยน้ำท่วม
โดยออกเดินทางออกจากกรุงเทพฯในเวลา 07.30 น. โดยเครื่องบินกองทัพอากาศ และถึงท่าอากาศยาน ค่ายกฤษณ์สีวะรา จ.สกลนคร
พร้อมรับฟังบรรยายสรุปการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเขตพื้นที่สกลนคร
โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครและอธิบดีกรมชลประทานรายงานสถานการณ์น้ำ
จากนั้นเวลา09.00 น.นายกฯและคณะจะเดินทางโดยรถตู้ไปยังศูนย์พักพิงผู้ประสบอุทกภัย (โรงยิม อบต.สน.) เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยพร้อมแจกถุงยังชีพ
ก่อนที่จะเยี่ยมชมครัวพระราชทานสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ต่อมาเวลา 09.35 น. นายกฯและคณะจะเดินทางไปเยี่ยมประชาชนในโครงการบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ “ย้อมบ้านล้างเมือง” ที่เขตเทศบาลนครสกลนคร
จากนั้นจะเดินทางไปเยี่ยมประชาชนที่ประสบอุทกภัยในเขตพื้นที่ชุมชนรอบหนองหารโดยเรือใช้เวลา 40 นาที
จากนั้น 10.35 น. นายกฯและคณะจะเดินทางไปยังจุดติดตั้งสะพานแบร์รี่ย์เพื่อตรวจสอบสะพานภายหลังถูกน้ำกัดเซาะ
จากนั้นจะเดินทางไปยังอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้นเพื่อดูสภาพพื้นที่และการซ่อมแซม รวมถึงการแก้ไขปรับปรุงอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้นที่ถูกน้ำกัดเซาะ
พร้อมรับฟังคำอธิบายจากอธิบดีกรมชลประทาน
จากนั้น 11.30 น. นายกฯและคณะออกเดินทางไปยังท่าอากาศยานค่ายกฤษณ์สีวะราเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน
และเวลา 12.30 น.นายกฯและคณะจะออกเดินทางจากท่าอากาศยานค่ายกฤษณ์สีวะราเพื่อกลับกรุงเทพฯ และถึงกรุงเทพฯประมาณ 13.40 น.

"บิ๊กเจี๊ยบ" ยันใช้กฎหมายปกติ ดูแลมวลชนให้กำลังใจ"ยิ่งลักษณ์"

"บิ๊กเจี๊ยบ" ยันใช้กฎหมายปกติ ดูแลมวลชนให้กำลังใจ"ยิ่งลักษณ์"แถลงปิดคดีรับจำนำข้าว 1 สค.นี้ เมิน "วัฒนา"ขู่เอาคืน หลังถูกแจ้งจับขัดคำสั่งคสช. เหตุ ไม่อยากทะเลาะ

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.และเลขาธิการคสช. กล่าวถึงการดูแลความเรียบร้อยในวันที่ 1สค.ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะแถลงปิดคดีด้วยวาจาต่อศาลในคดีโครงการรับจำนำข้าวว่า เรื่องนี้ก็ใช้กฎหมายตามเกณฑ์ปกติเหมือนทุกครั้งในการดูแลความสงบเรียบร้อย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดูแลเรื่องการจัดระเบียบบริเวณศาลเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อการจราจรและดูแลเรื่องความปลอดภัย
ทั้งนี้คงไม่มีการกำหนดพื้นที่พิเศษบริเวณด้านหน้าศาล เพราะเป็นการดูแลตามกรอบปกติ ในส่วนของตนทางศาลก็ไม่ได้ประสานขอให้ดูแลเพิ่มเติมอะไรเป็นพิเศษ
เมื่อถามถึงกรณีที่ นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ระบุว่า หลังเลือกตั้งจะเอาคืน คนที่แจ้งจับข้อหาขัดคำสั่งคสช. พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า " ก็ว่าไป แต่ละคนมีความคิดเห็นได้"
"ถ้าสื่อถามซ้ายถามขวา ก็ทะเลาะกันอยู่แบบนี้ " ผบทบ.กล่าว