PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ผลงานผลคดี ชี้อนาคตคสช. : จับกระแสเกมมวลชน “ปะทุ” วิกฤติลากยาว 12 ปี

ผลงานผลคดี ชี้อนาคตคสช. : จับกระแสเกมมวลชน “ปะทุ” วิกฤติลากยาว 12 ปี

ฝนกลางฤดูตกชุกเกือบทั่วทุกภูมิภาค

โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือเจอฤทธิ์พายุ “เซินกา” ทำให้น้ำท่วมหลายจังหวัดในแถบอีสานตอนล่าง จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครราชสีมา ฯลฯ

ระดับน้ำสูงเป็นเมตร ประชาชนต้องขนของหนีน้ำกันจ้าละหวั่น

ตั้งรับปรากฏการณ์ธรรมชาติกันไม่ทัน

ขณะเดียวกันปฏิทินก็ย่างเข้าสู่กลางไตรมาส 3 ของปี

และที่ต้องจับตากันให้ดี เดือนสิงหาคมถึงกำหนดชี้ชะตาคดีสำคัญทางการเมือง

3 คดีใหญ่ๆภายในเดือนเดียวกัน

ไล่ตั้งแต่ต้นเดือน วันที่ 2 สิงหาคม ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปี 2551

โดยผู้ถูกฟ้องประกอบด้วยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายก รัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นจำเลยที่ 1-4

และในช่วงปลายเดือน วันที่ 25 สิงหาคม ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยมิชอบ
ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ และพวก รวม 28 ราย ในเวลา 09.00 น.

วันเดียวกัน เวลาไล่เลี่ยกัน 09.30 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัดฟังคำพิพากษาคดีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

ตามที่อัยการสูงสุดได้ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว สร้างความเสียหายแก่รัฐกว่า 5 แสนล้านบาท

โดยเงื่อนสถานการณ์ไม่ได้เหนือการคาดหมาย

เพราะทุกคดีล้วนแต่เป็นผลพวงจากวิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองที่ตกค้างมาในรอบกว่า 10 ปี เป็นเงื่อนเวลาตามกระบวนการยุติธรรม

และนั่นก็เลี่ยงไม่พ้น กระตุก “หัวเชื้อเก่า” ให้ปะทุขึ้นมา

ตามสถานการณ์แบบที่เห็นทันทีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดอ่านคำพิพากษาคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวในวันที่ 25 สิงหาคม

ปฏิบัติการชิงกระแสก็เกิดขึ้นทันทีทันควัน

ปรากฏการณ์อย่างที่นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อ้างมีข้อมูลการเคลื่อนไหว ระดมมวลชนในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจังหวัดในเขตปริมณฑล ผ่านทางอดีต ส.ส. แกนนำกลุ่มการเมืองในพื้นที่ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.จ.)

ให้นำประชาชนเดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ 2 รอบ คือ รอบวันที่ 1 สิงหาคม ที่ศาลฎีกาฯ นัดการแถลงปิดคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรอบวันพิพากษาคดีวันที่ 25 สิงหาคม โดยในรอบสองนั้นมี

ข่าวระบุว่า จะระดมประชาชนให้ เข้ากรุงเทพฯ เพื่อชุมนุมบริเวณ หน้าศาลในจำนวนหลักหมื่นคน
รับลูกกับข้อมูลของนายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี ประจำ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่เปิดตัวเลข 30 ล้านบาทในการระดมมวลชนมาเคลื่อนไหว
นัยว่าดักคอ ดักทางกันตามเหลี่ยมของฝ่ายโหนอำนาจพิเศษ

แต่นั่นก็บังเอิญล้อไปกับฉากบู๊ เกมท้าวัดใจของฝ่ายโหนทักษิณ

ตามบทเฮี้ยวของนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีคนดังของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ประชาชนหลายสิบล้านคนจะทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาเช่นกัน

จะไม่ปล่อยให้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ “ตายเดี่ยว”

ต่างฝ่ายต่างปั่นกระแสเกมมวลชน ปลุกเร้าสถานการณ์ม็อบ

ขณะเดียวกันก็เป็นนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ปรมาจารย์กฎหมายที่ร่างกติกาประเทศไทย ออกมาชี้ช่องเอง คดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ยังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์และประกันตัวได้ ตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญปัจจุบัน

นั่นหมายถึงอดีตผู้นำหญิงยังมีโอกาสหายใจหายคออยู่

แต่โดยเงื่อนสถานการณ์ต่อเนื่องกัน ก็เป็นประเด็นร้อนๆที่ฝ่ายของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ที่โอดครวญ
กรณีถูกเดินหน้าอายัดและยึดทรัพย์ตามคำสั่งกระทรวงการคลังทันที

โดยไม่รอการตัดสินของศาลก่อน

ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หัวหน้า คสช. ต้องชี้แจงเองเลยว่า เรื่องการบังคับ หรือ การยึดทรัพย์ต่างๆนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้มีการไปยึดทรัพย์ใคร เป็นแต่เพียงการเตรียมการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่เท่านั้น ยังยึดทรัพย์ใครไม่ได้ เพราะยังไม่มีคำตัดสินของศาล แต่หากศาลตัดสินไม่ผิดก็ไม่สามารถไปยึดได้

และในทันทีทันควัน ก็เป็นอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ที่โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ตอบโต้อีกฝ่าย “ไม่ใช่แค่อยู่ขั้นตอนการเตรียมการนะคะ แต่ได้ยึดและถอนเงินในบัญชีดิฉันไปแล้วค่ะ”

เปิดฉากตอบโต้กันแบบช็อตต่อช็อต

ก่อนที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ต้องออกหน้าเคลียร์ความชัดเจน การยึดทรัพย์เป็นเรื่องในส่วนของการบังคับคดีทางปกครอง เป็นคนละส่วนกับคดีอาญาของศาลฎีกาฯ

ที่สุดเลยก็เป็น พล.อ.ประยุทธ์ที่ต้องตัดบท ขู่เสียงเขียวออกอากาศ อย่าบิดเบือนเรื่องโดนรังแกยึดทรัพย์เป็นประเด็นปลุกระดม

ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมตกเป็นรองในการชิงกระแสความชอบธรรม

ตามเหลี่ยมถนัดของฝั่งพรรคเพื่อไทยที่ใช้การตลาดนำการเมือง ขณะที่ฝ่ายทหาร คสช.ก็ใช้ยุทธวิธี “ไอโอ” หรือการปฏิบัติการข่าวสารในการเปิดสงคราม “ความเชื่อ”
โน้มน้าวแนวร่วม ชิงมวลชนสนับสนุน
ภายใต้ท้องเรื่องเดิม เนื้อหาเก่า ตัวละครซ้ำๆ แต่เพิ่มยุทธศาสตร์ใหม่ในการใช้สื่อโซเชียลมีเดียที่เข้าถึงมวลชนกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดและไวกว่าสื่อกระแสหลัก
อัดเนื้อหา “โฆษณาชวนเชื่อ” ได้ตรงตามเจตนา
“ความจริง” อยู่ตรงไหน ก็แล้วแต่ประชาชนจะเลือกเชื่อใคร
แต่แน่นอน ถึงที่สุดเลยก็ต้องจบที่ศาล
ยึดบรรทัดฐานขื่อแปของบ้านเมือง
ส่วนจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ต้องเก็บไว้ในใจ เป็นอารมณ์ที่ห้ามกันไม่ได้
และเชื่อว่าความสงสารหรืออาการสะใจ จะเป็นปรากฏการณ์ “ฝังใจ” ของประชาชนแต่ละฝ่าย ซึ่งจะไปสะท้อนในการหย่อนบัตรในคูหาเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้า
ว่ากันในทางยาวๆคะแนนสงสารในชะตากรรม “ยิ่งลักษณ์” ไม่ว่าคดีจะออกหน้าไหน มันหนีไม่พ้นเข้าทางพี่ชายอย่างอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร และทีมงานพรรคเพื่อไทย
เอาไปใช้ดันเรตติ้งในสนามเลือกตั้งได้ถล่มทลายแน่
แต่ในจังหวะนี้ ถือว่าเกมอำนาจยังอยู่ในกำมือรัฐบาล คสช. กุมความได้เปรียบทุกประตู
ดูแล้วรัฐบาลไม่ได้กลัวม็อบแต่อย่างใด เพราะถ้าสถานการณ์วุ่นวายก็ยิ่งเข้าทางเกมลากอำนาจต่อ
ไม่ต้องพูดถึงการเลือกตั้งต้องเลื่อนอีกยาว
โจทย์ก็คือเมื่อประเมินแล้วว่า “ผลทางคดี” ยังไงก็เข้าทาง “ทักษิณ” ก็เหลือมุมเดียวที่ คสช.จะดึงกระแสสู้
นั่นคือเรื่องของ “ผลงาน” ที่อำนาจพิเศษสามารถเดินหน้าได้อย่างได้น้ำได้เนื้อ อาทิ มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอย่างยั่งยืน เมกะโปรเจกต์ รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ โครงการเศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี) การแก้ปมการค้ามนุษย์ การปรับสถานการณ์แรงงานต่างด้าว การยกระดับมาตรฐานการบินพลเรือน ทำให้นานาชาติเห็นถึงความพยายามในการเคลียร์ปัญหา
สางปมที่ “หมักหมม” แบบที่รัฐบาลจากการเลือกตั้งทำไม่ได้
เหนืออื่นใดคือเรื่องของการคุมสถานการณ์ความสงบได้ ไร้ม็อบป่วนเมือง
เหล่านี้ ถ้ารัฐบาลทำให้ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก และมีความหวัง ก็เท่ากับยกระดับความชอบธรรมในเส้นทางอำนาจของ คสช.หลังการเลือกตั้ง
ผู้คนอยากหนีวังวนฝันร้ายในอดีตอยู่แล้ว.
“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: