PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559

บิ๊กป้อม -บิ๊กตู่ แจง แผน ลงนามTOR กับMarapatani 2 กย.นี้



บิ๊กป้อมเผย ทางคณะพูดคุยสันติสุข ยืนยันว่า ได้คุยกับBRNแล้ว ยืนยันว่า ไม่ได้ก่อเหตุ วางระเบิด7จ.ใต้ ยังไม่ฟันธงกลุ่มใด แต่เป็นคนหนุ่ม ชี้การหารือ 2 กย. นี้ ก็เป็นไปตามขั้นตอน เพราะคุยมาตลอด ไม่ใช่ทางการ ชี้ พลเอกประยุทธ์ ใช้ ม.44 เพื้อแก้ปัญหา ความเข้าใจผิด เพราะกลัวมองว่า เราไม่ดูแล ศาสนาอื่น มันเป็นความไม่เข้าใจ บิดเบือนร่างรธน และเป็นเพราะผลของประชามติ ที่ปชช.3 จ.ใต้ ไม่เข้าใจ. รอดูก่อนว่า จะต้องออกเป็น กม.ถาวรหรือไม
นายกฯ ยอมรับนัดคุยสันติสุข "มาราปาตานี" ต้นเดือนก.ย. นี้ ลั่นถ้าจริงใจต้องลดความรุนแรงก่อน วอนอย่าเอาความรุนแรงมาเร่งรัดการพูดคุย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. แถลงภายหลังประชุมครม.ถึงการพูดคุยสันติสุขกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐหรือกลุ่มมาราปาตานี โดยมีมาเลเซียเป็นตัวกลางว่า เป็นการพูดคุยโดยมีคณะพูดคุย Part A และPart B อยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นการพูดคุยกับรัฐบาลไทย
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากลุ่มที่จะพูดคุยกันชื่ออะไรก็แล้วแต่ แต่เราใช้กฎหมายไทยของเราเป็นหลัก เพราะมีเจตนารมณ์ต้องการสร้างความสงบสันติให้เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กับ 4 อำเภอในจ.สงขลาให้ได้
ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการหารือ อย่าไปเร่งนักเพราะจะกลายเป็นประเด็น ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งกดดันเจ้าหน้าที่ในการทำงาน เราต้องการให้ภาพการลดความรุนแรงเกิดขึ้นได้เสียก่อน มันถึงจะคุยกันต่อไปได้ แต่ระหว่างที่พูดคุยยังมีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น มันก็คุยกันต่อไม่ได้ ทั้งนี้ การแก้ปัญหามันต้องไปพร้อมกันทุกมิติ ทั้งการพัฒนา การบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงการพูดคุยสันติสุข ซึ่งอยู่ในยุทธศาสตร์อยู่แล้ว แม้จะไม่ใช่เรื่องที่แก้ได้ง่ายก็ตาม
"ตราบใดที่มีความเห็นต่าง เราก็มองว่าทำผิดกฎหมายไทยไม่ได้ แล้วเราจะไปพูดคุยกับใครในประเทศก็ยังไม่ได้เลย จึงต้องไปคุยกันที่ประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเราเป็นรัฐบาลจะไปพูดคุยกับคนทำผิดไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า การพูดคุยกับกลุ่มมาราปาตานีมีการลงนามข้อตกลงหรือ TOR เพื่อให้ความเห็นชอบในกรอบการพูดคุยแล้วหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ใครเป็นหัวหน้ารัฐบาลตอนนี้ ตนยังไม่เห็นชอบอะไรสักอย่าง เพราะยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา ส่วนขั้นตอนการพูดคุยให้ไปดำเนินการต่อกับพาร์ท A คือส่วนที่เป็นทางการ และพาร์ท B คือพวกที่เห็นต่างจากพาร์ท A ซึ่งมีกลุ่มมาราปาตานีรวมอยู่ด้วย ตนไม่ได้ต้องการให้มีหลายกลุ่มขึ้นมา ก็ขอให้ไปรวมกัน แล้วค่อยมาพูดคุย เพราะรัฐบาลก็มีรัฐบาลเดียว ก็ต้องพูดภาษาเดียวกัน
"ยืนยันว่ารัฐบาลต้องการทำให้เหตุการณ์ยุติลงให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะประชาชนเดือดร้อน การพัฒนาประเทศก็เดินหน้าไปไม่ได้เท่าที่ควร
วันนี้เปิดประชาคมอาเซียนไปแล้ว ศักยภาพในภาคใต้เยอะแยะไปหมด ก็ขอฝากประชาชนภาคใต้ อย่าไปสนับสนุนหรือให้ความร่วมมือ หรือไปหวาดกลัวผู้ใช้ความรุนแรงที่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ แต่ถ้ามีเจ้าหน้าที่ทำความเดือดร้อนให้ก็แจ้งมา ผมจะสอบสวนลงโทษให้" นายกฯกล่าว
เมื่อถามว่า แสดงว่าศักยภาพของกลุ่มมาราปาตานีก็ยังถือว่ามีบทบาทใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ไม่มี ผมไม่ถือว่าใครมีศักยภาพ เป็นเรื่องที่เราไปให้ศักยภาพเขาเอง คือไปเขียนโฆษณาให้เขา เขาถึงมีศักยภาพ ถ้าไม่เขียนก็ไม่มี เพราะชื่อนี้ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน ก็แล้วแต่เขาให้เกียรติเขา ก็คิดต่างได้ คิดที่ต่างประเทศ ไม่ได้คิดในประเทศไทย ถ้าคิดในประเทศไทยเมื่อไหร่ โดนจับเมื่อนั้น"
เมื่อถามว่า กำหนดการพูดคุยกับกลุ่มมาลาปาตานีเป็นวันที่ 2 ก.ย.นี้ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า มีการกำหนดคร่าวๆ ซึ่งตนให้ฝ่ายความมั่นคงพิจารณาอยู่ ตนไม่อยากให้ความสำคัญตรงนี้มาก มันอยู่ที่ว่าต่างฝ่ายต่างมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาหรือไม่ ถ้าจริงใจ ก็ต้องหยุดความรุนแรงให้ได้ก่อน ไม่ใช่เอาประเด็นความรุนแรง มาเร่งรัดการพูดคุย แล้วถ้าพวกเราเล่นกันแบบนี้ เราต้องไปยอมรับข้อเสนอของเขาที่บางทีก็มีปัญหากับเราใช่หรือไม่ โดยประเด็นสำคัญจะทำอย่างไรให้คนไทยพุทธและไทยมุสลิมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข รัฐบาลจะได้เดินหน้าพัฒนาตามที่มี 8-9 ยุทธศาสตร์รองรับ
"เรื่องนี้เป็นการพูดคุยสันติสุขไม่ใช่การเจรจา เพราะการเจรจามันมีการสู้รบ แต่ตรงนี้เป็นการทำผิดกฎหมายคดีอาญาฆ่าคนตาย แล้วมีคนมารับสมอ้าง อ้างนี่ อ้างโน้น จะชื่ออะไรก็ไม่รู้ ก็ไปหากันมาให้ออก ไม่เช่นนั้นมันก็แตกลูกแตกหลานไปหลายคณะ แล้วทีนี้จะพูดกับใคร รัฐบาลจะมีรัฐบาลเดียวจะไปพูดคุยกับหลายคณะไม่ได้" นายกฯ กล่าว

เตือนภัย !! ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์

เตือนภัย !! ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์
ตามที่วันนี้ มีข่าวธนาคารออมสิน ถูกชาวต่างชาติติดตั้งโปรแกรม Malware จนสามารถนำเงินออกไปได้ 12.2 ล้านบาทจากตู้ ATM 21 ตู้ ของธนาคารออมสิน โดยคนร้ายไล่ถอนเงินในตู้ ATM ของธนาคารออมสินมาตั้งแต่จังหวัดภูเก็ต จนถึงกรุงเทพมหานคร
ทางชมรมฯ ขออธิบายให้พี่น้องประชาชนทราบว่า เรื่องนี้ไม่มีผลกระทบต่อผู้ฝากเงินใด ๆ ทั้งสิ้น แต่มีผลกระทบกับธนาคารโดยตรง ตู้ ATM ที่คนร้ายสามารถติดตั้งโปรแกรม Malware (โปรแกรมถอนเงิน) เป็นตู้ ATM ยี่ห้อ NCR เท่านั้น ในประเทศไทย มีตู้ ATM ยี่ห้อนี้ 11,000 ตู้ เป็นของธนาคารออมสิน 4,000 ตู้ ส่วนที่เหลือ เท่าที่ทราบ จะเป็นของธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์
วิธีการของคนร้าย คือ จะติดตั้งโปรแกรม Malware (โปรแกรมถอนเงิน) นี้ จากนั้นจะทำบัตรอิเล็กทรอนิกส์มาเสียบในช่องเสียบบัตร จากนั้นก็ใช้โปรแกรมที่ได้ติดตั้งไว้ Cancel ให้บัตรที่เสียบไว้ออกมา เงินก็จะไหลออกมาทั้งหมด เรียกง่าย ๆ ว่า เมื่อติดตั้งโปรแกรมนี้เสร็จสิ้นแล้ว ตู้ ATM นั้น ๆ จะตกเป็นของคนร้ายแต่เพียงผู้เดียวทันที
ในประเทศไทย ชาวต่างชาติที่มากระทำผิดเกี่ยวกับตู้ ATM จะเลือกเฉพาะตู้ ATM ยี่ห้อ NCR หากวันนี้ ยังไม่สามารถแก้ระบบได้ ก็จะต้องเลิกใช้ตู้ ATM ยี่ห้อนี้ ส่วนยี่ห้ออื่นนั้น คนร้ายยังไม่สามารถทำได้
ทางชมรมฯ จึงขอเตือนภัยไปยังผู้บริหารธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ โปรดระมัดระวังตู้ ATM ของท่าน เพราะเมื่อคนร้ายติดตั้งโปรแกรมนี้แล้ว เงินจะไหลออกหมดตู้ทันที คนร้ายชาวต่างชาติ มีจำนวนหลายคน ทำกันเป็นขบวนการในการโจรกรรมเงินในตู้ ATM
Cr.ภาพจาก มติชนออนไลน์

ปฏิบัติการ “2 ยุทธ์” เมื่อ “บิ๊กตู่” จัดทัพเอง “บิ๊กเจี๊ยบ” ศิษย์ “บิ๊กแอ้ด” แซงโค้ง

ปฏิบัติการ “2 ยุทธ์” เมื่อ “บิ๊กตู่” จัดทัพเอง “บิ๊กเจี๊ยบ” ศิษย์ “บิ๊กแอ้ด” แซงโค้ง สี่เสาฯ จับตาอนาคต “บิ๊กป้อม” และบูรพาพยัคฆ์

เรื่องไม่คาดฝัน เกิดขึ้นได้เสมอ ในยุครัฐบาลทหาร ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังเรียกว่า ไม่ปกติ
โดยเฉพาะเมื่อ เกิดเหตุระเบิด 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน ที่ถูกฝ่ายรัฐบาล และ คสช. ให้น้ำหนักไปในเรื่องการเมืองมากกว่าการขยายพื้นที่ของกลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ หรือการแทรกแซงจากประเทศเพื่อนบ้าน และมหาอำนาจ

หรืออย่างมาก ก็เข้าทฤษฎี กลุ่มการเมืองยืมมือกลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ที่อยู่ในสังกัดให้มาก่อเหตุ
ทำให้ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ประเมินแล้วว่า สถานการณ์แบบนี้เขาจะต้องเลือก ผบ.ทบ. ที่จะมาเป็น เลขาธิการ คสช. มาเป็นมือเป็นไม้มาจากทหารรบพิเศษ ที่เชี่ยวชาญในเรื่องการข่าว การปฏิบัติการพิเศษ ปฏิบัติการลับ
เพราะที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะประเมินคู่ต่อสู้ และฝ่ายตรงข้ามต่ำเกินไป
นี่จึงอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การหารือกันครั้งล่าสุดของ พล.อ.ประยุทธ์ และ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม มีการตัดสินใจร่วมกันใหม่
จนมีข่าวออกมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ เคาะแล้ว ให้ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผช.ผบ.ทบ. จากสายรบพิเศษ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.คนใหม่
ด้วยหลายเหตุผลที่ทำให้ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ ก็ต้องยอมให้พลเอกประยุทธ์เป็นคนตัดสินใจ
อย่าลืมว่า หลังร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง ผ่านประชามติ ก็เป็นการสะท้อนความนิยมที่มีต่อตัว พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช.
อีกทั้ง คำถามพ่วงที่ผ่านความเห็นชอบนั้น ก็เปรียบประหนึ่ง การที่ประชาชนส่วนใหญ่ไฟเขียวให้ ส.ว. ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย และอาจหมายถึงนายกรัฐมนตรีคนนอก ที่ก็เชื่อกันว่า ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ นั่นเอง
นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ กล้าที่จะเอ่ยปากเจรจากับ พล.อ.ประวิตร แบบตรงๆ แบบเปิดอก
เมื่อ น้องตู่ กล้าพูด กล้าเสนอ พี่ป้อม ในฐานะพี่ใหญ่ และพี่ชายที่แสนดี ก็ยอมที่จะทำตามข้อเสนอของ น้องตู่ แม้ในใจพี่คนนี้ มี “งอน” บ้างก็ตาม
อีกทั้งเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้แฮปปี้ กับ พล.อ.พิสิทธิ์ เท่าใดนัก เพราะเมื่อครั้งที่เป็น ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ตั้ง พล.อ.พิสิทธิ์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 1
ไม่แค่นั้น พล.อ.พิสิทธิ์ ยังได้ชื่อว่าเป็นคนที่ บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ช่วยสนับสนุนผลักดัน ด้วยการเอาออกมาจากกรุผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. ให้มาเป็น เสธ.ทบ. จึงถูกจัดให้เป็น “สายราชภักดิ์” ไปโดยพลัน
อีกทั้งเกิดรอยร้าวใน “ราบ 11 คอนเน็กชั่น” จึงทำให้ พล.อ.พิสิทธิ์ ขาดกองหนุน เพราะแม้จะเป็นสายเลือดบูรพาพยัคฆ์ แต่ก็มาอยู่ ร.11 รอ. เพราะเคยเป็นทั้งผู้พัน ผู้การ ร.11 รอ. ก็ตาม แต่เพราะแยกขั้วกับ บิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาฯ เพื่อนรัก ตท.12 ของนายกฯ และ บิ๊กต๊อก พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม คีย์แมนรัฐประหารคนสำคัญที่บิ๊กตู่เกรงใจ
นั่นจึงทำให้ตอนที่ พล.อ.ประวิตร เลือก พล.อ.พิสิทธิ์ เป็น ผบ.ทบ. นั้น เขาจึงไม่เอา บิ๊กแดง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพน้อยที่ 1 มาเป็น แม่ทัพภาคที่ 1 ทั้งๆ ที่ อยู่ ร.11 รอ. มาด้วยกัน
แล้วอย่าลืมว่า ในช่วงรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 นั้น พล.อ.เฉลิมชัย เป็น ผบ.นสศ. ทำงานลับให้ พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ. มาตลอด โดยมี บิ๊กโชย พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผช.ผบ.ทบ. น้องรักนายกฯ ในฐานะเพื่อน ตท.16 ของ พล.อ.เฉลิมชัย ช่วยประสานอีกแรง
นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ข่าวที่ออกมาจากตึกไทยคู่ฟ้ายังคงมาแรงว่า “ยังไง นายกฯ ก็เลือกบิ๊กเจี๊ยบ”
แต่เพราะที่ผ่านมา นายกฯ ยังไม่อยากจะเอ่ยปากกับ พล.อ.ประวิตร แต่เมื่อสถานการณ์มาถึงจุดที่นายกฯ ต้องพูด ก็จึงต้องพูด
แต่ที่สำคัญกว่านั้นมันเป็นเรื่องของสมการอำนาจ เพราะแม้แผงอำนาจทหารเสือราชินีและบูรพาพยัคฆ์จะหยั่งรากลึกและแข็งแกร่งต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา และมารุ่งเรืองเฟื่องฟูที่สุดในยุคนี้
แต่ต้องไม่ลืมว่า ขั้วอำนาจบ้านสี่เสาเทเวศร์นั้นเป็นขั้วอำนาจที่แสนอมตะ และไม่มีวันตาย และยังมี “พิษสง” อยู่เสมอ อาจเรียกได้ว่าหยั่งรากลึกและแตกแขนงกว้างไกลไปในทุกวงการ
ถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่อาจปฏิเสธ…
เพราะการไม่เลือก พล.อ.เฉลิมชัย เป็น ผบ.ทบ. อาจหมายถึง การส่งสัญญาณ “ปฏิเสธ” บารมีของขั้วอำนาจสี่เสาฯ ด้วย
แล้วนั่นอาจจะส่งผลต่อทางเดินนับจากนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. ที่อาจจะต้อง “อยู่ยาว” ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใด แม้แต่ในรูปแบบนายกฯ คนนอกของรัฐบาลผสม หรือรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ ก็ย่อมต้องการ กองหนุนสายบ้านสี่เสาฯ ด้วยแน่นอน
ยิ่งหากมองย้อนประวัติศาสตร์ในหลายยุคที่ผ่านมาแล้วจะเห็นได้ถึง อำนาจบารมีของบ้านสี่เสาเทเวศร์
ไม่ว่านักการเมืองหรือแม้แต่ทหาร หากใครเดินคู่ขนานหรือสวนทางกับแผงอำนาจบ้านสี่เสาฯ ก็จะพบจุดจบที่ไม่สวยงาม เช่นที่ “ทักษิณ ชินวัตร” หรือแม้แต่ บิ๊กสุ พล.อ.สุจินดา คราประยูร และนายทหาร จปร.5 เคยพบเจอมาแล้วนั่นเอง
พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายทหารเสือราชินีที่ทำงานใกล้ชิด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มาตลอดตั้งแต่เป็นนายทหารเด็กๆ เพราะติดตามเสด็จฯ และให้ความเคารพ บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกฯ อดีต ผบ.ทบ. อย่างมาก
เมื่อครั้งเป็น ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ มักจะไปหา พล.อ.สุรยุทธ์ ในโอกาสสำคัญๆ ต่างๆ อยู่เนืองๆ
หากแต่ในการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมานั้น พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิบัติการด้วยตนเอง และทีมคีย์แมน ซึ่งแตกต่างจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ถูกพาดพิงว่ามีส่วนร่วมในการวางแผนด้วย
แต่เมื่อขึ้นมาสู่อำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร จึงต้องพบ ครม. และ ผบ.เหล่าทัพ ตบเท้าเข้าบ้านสี่เสาฯ ในทุกเทศกาลสำคัญๆ เสมอ
พล.อ.เฉลิมชัย นั้นก็ได้ชื่อว่า เป็นนายทหารรบพิเศษที่เป็นน้องรักของ พล.อ.สุรยุทธ์ เลยทีเดียว
ส่วน พล.อ.สุรยุทธ์ ก็เป็น ลูกป๋าคนโปรด ที่ถูกมองว่าเป็นทายาทอำนาจของป๋าเปรมด้วยนั่นเอง
สถานการณ์การเมืองที่เข้มข้น และสภาวการณ์แห่งขั้วอำนาจและบารมีในเวลานี้ จึงมีส่วนที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตัดสินใจ
กลายเป็นปฏิบัติการของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.สุรยุทธ์ ร่วมด้วย แรงหนุนจากในแวดวงที่ล้วนรู้จักสนิทสนมกับบิ๊กตู่ตั้งแต่สมัยเป็นทหารเสือฯ ตามเสด็จฯ
อันเป็นการมองการณ์ไกลที่ไม่ใช่แค่อนาคตทางการเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้เท่านั้น แต่ยังหมายถึง “ช่วงเปลี่ยนผ่านประเทศ” ที่ได้มีการเตรียมวางแผนรองรับได้แล้ว
พล.อ.สุรยุทธ์ นั้นเป็นนายทหารรบพิเศษที่มีความลุ่มลึก ประกอบกับบารมีของป๋าเปรมที่หยั่งรากลึกยาวนาน ก็ทำให้เป็นขั้วอำนาจที่ไม่อาจมองข้าม
ไม่แค่นั้นระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.สุรยุทธ์ ก็น่าจะมีการสื่อสารถึงกันเสมอมา
เพราะแม้แต่วันที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร นัด ครม.ทหารแต่งเครี่องแบบทหารนอกราชการไปร่วมงาน วันพระราชทานกำเนิด ร.ร.นายร้อย จปร. 129 ปี เมื่อ 5 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมานั้น พล.อ.สุรยุทธ์ก็แต่งเครื่องแบบทหารมาด้วยเช่นกัน ทั้งๆ ที่ปีที่ผ่านๆ มา พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไม่ค่อยได้มาร่วมงาน
นี่เป็นประเด็นที่สร้างความฮือฮาในกองทัพไม่น้อย เพราะทำให้ต้องลุ้นกันต่อว่า อะไรจะเกิดขึ้นนับจากนี้
หาก ผบ.ทบ. คนต่อไป เป็น ทหารรบพิเศษ อีกคราในรอบ 10 ปี หลังจากที่ บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เคยนั่งมาแล้ว ก่อนที่จะนำการรัฐประหาร
แต่คำถามที่ตามมาคือ แล้วแผงอำนาจบูรพาพยัคฆ์ จะเป็นเช่นไรต่อไป…
โดยเฉพาะ บิ๊กเข้ พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ แม่ทัพภาคที่ 1 ที่จะขึ้นมาเป็น ผช.ผบ.ทบ. นั้น ก็ถูกมองว่า จะขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ในอนาคต ในฐานะน้องรักสายบูรพาพยัคฆ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร รวมทั้ง บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย หรือ 3 ป.
แต่ พล.อ.เฉลิมชัย มีอายุราชการถึงกันยายน 2561 เกษียณพร้อม พล.ท.เทพพงศ์ ที่แม้จะเป็นรุ่นน้อง ตท.18 ก็ตาม
จึงมีข่าวออกมาจาก ร.1 รอ. ว่า พล.อ.ประวิตร จะยอมตาม พล.อ.ประยุทธ์ ให้ พล.อ.เฉลิมชัย เป็น ผบ.ทบ. แค่ปีเดียวเท่านั้น โดยโยกย้ายกันยายน ปี 2560 จะให้ขยับไปเป็น ผบ.สส.
ข่าวนี้คงทำให้นายทหารใน บก.กองทัพไทย ไม่ค่อยแฮปปี้นัก เพราะจะทำให้แผนการวางตัวนายทหารที่จะขึ้นเป็น ผบ.สส. ต้องได้รับผลกระทบ
แต่อีกคำถามที่ตามมาคือ แล้วสายรบพิเศษและบ้านสี่เสาฯ จะยอมให้มีการเปลี่ยนตัว ผบ.ทบ. ให้ย้าย พล.อ.เฉลิมชัย ข้ามไปเป็น ผบ.สส. งั้นหรือ อีกทั้งในช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่มีการเลือกตั้งในปลายปี 2560 อีกด้วย
หรือว่าถึงเวลาอำนาจเปลี่ยนมือจากบูรพาพยัคฆ์ มาสู่มือทหารรบพิเศษ สายบ้านสี่เสาฯ บ้างแล้ว
ท่ามกลางการจับตามองด้วยว่า แล้วเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 ใครจะเป็นคนตัดสินใจ เพราะในเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจเลือก พล.อ.เฉลิมชัย เป็น ผบ.ทบ. แล้ว ก็ย่อมมีโอกาสที่จะเลือก “บิ๊กแดง” พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพน้อยที่ 1 นายทหารสายวงศ์เทวัญ น้องรัก ที่เป็นนายทหารสายบู๊ มารับมือสถานการณ์นับจากนี้
แทนที่ บิ๊กตู่ พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา รองแม่ทัพภาคที่ 1 น้องรักสายบูรพาพยัคฆ์ของบิ๊กป้อมที่เป็นเต็งหนึ่งมาตลอด จนทำให้ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน ตท.20 ของทั้งคู่ ได้รับผลสะเทือนไม่น้อย
เพราะหาก พล.อ.ประยุทธ์ ทุบโต๊ะเลือกเอง ตัดสินใจเอง รับผิดชอบเอง ในการเลือกทั้ง ผบ.ทบ. และแม่ทัพภาคที่ 1 เช่นนี้แล้ว บิ๊กป้อม ยอม
จากนี้อำนาจในกองทัพก็จะขึ้นตรงกับ พล.อ.ประยุทธ์ แทนที่จะเป็นบิ๊กป้อม เพราะที่ผ่านมา ถนนทุกสายมุ่งสู่บ้าน ร.1 รอ. ของบิ๊กป้อมตลอดจนเรียกกันว่า บารมีเฟื่องฟูที่สุด
โดยเฉพาะวันเกิด 11 สิงหาคมที่ผ่านมา ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พลเรือน มาอวยพรกันแบบมือฟ้ามัวดิน ไม่นับ ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ตร. และแคนเดิเดตในทุกวงการ
จนอาจทำให้กระแสตีกลับมาจับตามองความสัมพันธ์ของบิ๊กตู่กับบิ๊กป้อมอีกครั้ง และจะถึงขั้นทำให้ พล.อ.ประวิตร ท้อใจ เหนื่อยกาย จากที่เคยบ่นทีเล่นที่จริงว่าเหนื่อย และอยากจะลาออกมาแล้วนั้น จะเอาจริงหรือไม่
แต่ก็ต้องยอมรับว่า การแต่งตั้งโยกย้ายในยุคนี้ ใครๆ ก็วิ่งเข้าหาบิ๊กป้อม จนเจ้าตัวต้องประกาศกลางงานวันเกิดว่า“ตำแหน่งมีน้อย ใครไม่ได้ ก็อย่าน้อยเนื้อต่ำใจ ขอให้นึกถึงส่วนรวม ทำงานเพื่อกองทัพ และให้กลมเกลียว กองทัพจะเข้มแข็ง และเดินหน้าประเทศ ต่อไปได้”
เพราะบิ๊กป้อมก็เกรงว่า จะเกิดความขัดแย้งกันในกองทัพจากการแต่งตั้งโยกย้ายนั่นเอง
แต่หาก พล.อ.ประวิตร ยอมถอยให้ พล.อ.ประยุทธ์ จัดแถวทหาร กุมบังเหียนกองทัพเอง ก็จะถือเป็นหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ที่ทหารเสือราชินี บูรพาพยัคฆ์ ยอมปล่อยมือจากอำนาจ ผ่องถ่ายให้ รบพิเศษ สายบ้านสี่เสาฯ
รวมทั้ง แชร์อำนาจให้วงศ์เทวัญเพื่อการรักษาดุลอำนาจในกองทัพไม่ให้เกิดความขัดแย้งแตกแยก
แล้วไปรอลุ้นเอาข้างหน้าว่า อะไรจะเกิดขึ้น…

ครม-คสช. มติเคาะเพิ่มตำแหน่งสนช.อีก30 ที่นั่ง หวังเร่งออกกม. รับ ส่วนใหญ่เป็นทหาร

ครม-คสช. มติเคาะเพิ่มตำแหน่งสนช.อีก30 ที่นั่ง หวังเร่งออกกม. รับ ส่วนใหญ่เป็นทหาร


นายกฯ เผย ประชุมวาระพิเศษ ครม.-คสช. ทำความเข้าใจ 2 ประเด็น เรื่อง รธน.และคำถามพ่วง ชี้ เสนอนายกฯรอบแรก ใช้รายชื่อจากนักการเมือง ส่นรอบสองชื่อนอกตระกร้าได้ แต่ที่มาเป็นหน้าที่กรธ.เคาะ ย้ำคนเข้ามาต้องเป็นคนมีธรรมาภิบาล และคนถูกเลือกต้องยินยอมส่วน ประเด็นสองแก้ รธน.ชั่วคราว มาตรา6 เพิ่มสนช. อีก 30 ที่นั่ง รับ ส่วนใหญ่เป็นทหาร ย้ำ ไม่เกี่ยวสืบทอดอำนาจ หรือเลือกนายกฯ มีวาระงานแค่ มีเลือกใหม่เท่านั้น
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 23 สิงหาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)กล่าวว่า วันนี้มีการประชุมทั้งครม.และประชุมวาระพิเศษของ ครม.และคสช.ซึ่งในที่ประชุมก็ครบองค์ประกอบที่เพียงพอ โดยมีการพูดถึงความเข้าใจของครม.และคสช. ในเรื่องการทำประชามติ คือการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญและคำถมพ่วง ขอย้ำอีกครั้งว่าเป็นความเข้าใจของตน ครม.และคสช.ทุกคน ว่าเข้าใจแบบนี้คือ
“5 ปีแรกในที่ประชุมร่วมของรัฐสภาฯ คือส.ส.500 คนและส.ว. 250 คน จะเป็นผู้ให้ความเห็นชอบเลือกนายกรัฐมนตรี จากเดิมให้สส.ฝ่ายเดียวเลือก เปลี่ยนไปให้ส.ส.และส.ว.รวม 750 คน เลือกตั้งแต่ต้น จากรอบแรกที่จำเป็นต้องเลือกจากรายชื่อในตะกร้าที่แต่ละพรรคเสนอมาพรรคละ 3 คน ซึ่งรอบแรกต้องเลือกจากรายชื่อนี้เท่านั้น ถ้าใครได้ถึงครึ่งคือ 376 คนจาก 750 คน ก็เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้ายังไม่ได้ก็เลือกรอบสอง คือ แก้ปัญหาเดิมที่เคยบอกว่าไปไม่ได้ก็ใช้มาตรา 7 ซึ่งแก้ตรงนี้ถ้าหากเลือกรอบแรกไม่ได้ก็เลือกใหม่ โดยคราวนี้จะสามารถเลือกจากนอกตะกร้าได้ ส่วนใครเสนอชื่อผมไม่รู้เป็นเรื่องกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ไปพิจารณา ที่ไปหารือกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสนช.ต้องไปดูมติของสนช.ด้วย และหลายอย่างที่มีการชี้แจงว่าคำถามพ่วงทำมาเพื่ออะไร ซึ่งมีรายละเอียดทั้งหมด มาพูดันไปพูดกันมาอย่างนี้อย่างโน้นไม่ได้ ต้องเป็นไปตามตัวบทอักษร และตามความมุ่งหมายที่ออกคำถามพ่วงไป ในเรื่องของ 5 ปีที่ว่าจะเลือกกี่ครั้งก็คือในระยะเวลา 5 ปี ส.ส.และส.ว.ต้องเลือกภายใน 5 ปี” นายกฯกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ประเด็นของตนถ้าได้คนดีมาและส.ส.เสนอมา ใครจะไปปฏิเสธเขาได้ เขาก็ต้องยินยอมและใช้คะแนนเสียงครึ่งหนึ่งของสองสภา นี่คือความเข้าใจของตนและครม.ทั้งหมด ซึ่งชี้แจงโดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย ซึ่งเป็นผู้เชื่อมต่อเป็นฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล ไปเชื่อมต่อกับกรธ. ซึ่งเป็นการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ต่อไปจะได้หยุดสักทีว่าจะยังไง แต่ตนยืนยันว่าเป็นไปตามที่พูดมาคือสิ่งที่เราเข้าใจ
นายกฯกล่าวต่อว่า ในการประชุมวาระพิเศษของครม.และคสช. ในวาระที่ 2 คือ เรื่องความจำเป็นในการแก้ไขมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว เดิมมีสนช.ไม่เกิน 220 คน จะเพิ่มอีก 30 คน ซึ่งต้องไม่เกิน 250 คน ทั้งนี้เหตุผลไม่เกี่ยวเรื่องนายกฯ เพราะวันนี้ต้องเร่งรัดการทำกฎหมายสำคัญของรัฐธรรมนูญที่ยังเหลืออยู่กว่า 50 ฉบับ และมีเรื่องกฎหมายอื่นตามนโยบายของรัฐบาลอีกหลายสิบฉบับ
“สนช.ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกนายกฯต่างๆ ไม่เกี่ยวข้องและจะอยู่ไปถึงก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น ไม่มีข้อผูกมัดที่จะต้องกลับมาเป็นสว. เพราะต้องมีกรรมการสรรหา มีวิธีการอีกมากและคุณสมบัติก็ต่างออกไป เช่น วันนี้สนช.เป็นข้าราชการประจำได้ สว.เป็นข้าราชการประจำไม่ได้ ไปเก็บไส้แบบนี้สิ ใส่เข้าไปจะได้เข้าใจกันสักที ที่ผ่านมาเรียนไปแล้วว่า ผมไม่เข้าไปคาบเกี่ยว มีอะไรก็เสนเข้าไป ให้กรธ.พิจารณา ถ้ากรธ.เห็นชอบก็ทำใส่ไปในร่าง ส่วนเรื่องคำถามพ่วง เป็นเรื่องของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เป็นคนเริ่มมาด้วยซ้ำไปและเสนอสนช.พิจารณาเห็นชอบ ก่อนเสนอไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้เพิ่มไปประเด็นคำถามพ่วง และคำถามพ่วงก็ต้องไปดูว่าเขากำลังตีกรอบให้อยู่แค่ไหนอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องกรธ. กรธ.คือผู้ที่จะยุติทั้งหมด อย่าไปฟังคนอื่น เพราจะตีกันไปเองหมด ประเด็นของผมคืออย่าเอาผมไปเกี่ยวข้องอะไรเลยตรงนี้ ของร้องเถอะ” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า ระยะเวลาการแต่งตั้งสนช. ให้ครบ 250 คนเมื่อไร นายกฯ กล่าวว่า ต้องแก้รัฐธรรมนูญก่อน ซึ่งการตั้งสนช.เพิ่ม เพราะบางคนก็ตายบ้าง ลาออกบ้าง แล้ววันนี้ในส่วนของความมั่นมีหลายคนกฎหมายที่ต้องทำ และวันนี้ความขัดแย้งต่างก็มีออกมาด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นทหารด้วย
”หลังการประชุมวันนี้ นายวิษณุ จะประสานไปอีกครั้งหนึ่ง และยืนยันว่า สนช.จะมีระยะเวลาในกาทำงานแต่มีการเลือกตั้งใหม่ และการตั้งสนช.เพิ่มไม่เกี่ยวข้องกับการสืบทอดอำนาจ พอได้แล้ววันนี้ใช้อำนาจที่ประชาชนมอบหมายไว้ใจผมมาทำงานต่อให้ได้” นายกฯกล่าว
เมื่อถามว่า จะมอบหมายให้ นายวิษณุ ไปหารือกับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ประธานกรธ. อีกหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เขาคุยกันอยู่แล้ว เพราะเป็นฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล จะทำงานไม่คุยกับใครได้อย่างไร และจะทำข้อเสนอขึ้นไปว่าที่ประชุม ครม. คสช.ในวาระพิเศษรับทราบแบบนี้ ดูว่าตรงกันหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่ตรงก็ให้ว่ากันมา ต้องคุยกันทุกวันนี้ตนก็ฟังกรธ.คุย และไม่ได้ไปขัดแย้งท่านจะพูดอะไรก็พูดไป คสช.พูดมาก็พูดไป
“ทั้งหมดอำนาจอยู่ที่กรธ. จะทำหรือไม่ทำอยู่ที่กรธ.และคนจะตัดสินว่าถูกหรือไม่ถูกอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ วันนี้ตีกรธ.เข้าไป ตีคสช. ตีครม. ตีผม เข้าไปแล้วประเทศชาติจะไปตรงไหนได้ อยู่ที่เดิมนั่นแหล่ะ ทำไมไม่มองว่าจะเปลี่ยนผ่านกันได้อย่างไร จะอย่างไรให้บ้านเมืองสงบสุข ทำอย่างไรให้บ้านเมืองมีการพัฒนา ให้ปัญหาเก่าๆไม่กลับมา เขาคิดกันแบบนี้อยู่ วันนี้วุ่นวายไปหมด ทุกคนหวังดี ทุกคนอยากได้นี่อยากได้โน่น เพราะเขาไม่ไว้ใจ ไว้ใจหรือยังคุณไว้ใจหรอ ไว้ใจ 100 เปอร์เซ็นต์ใช่ไหม ใครจะมาจะไปก็ช่าง ประเทศไทยเก่งอยู่แล้วหรือไง คุณไว้ใจเขาหรือเปล่า ผมไว้ในคนที่มีธรรมาภิบาล คนที่ไม่กระทำผิดกฎหมาย ผมต้องการคนเหล่านี้เข้ามา แต่ถ้าไม่ต้องการก็เรื่องของท่าน ผมต้องการแค่นั้น ไอ้ที่เขาเขียนคำถามพ่วง เพื่อต้องการแก้ปัญหาที่ทะเลาะกันแต่เดิมว่าทำอะไรไม่ได้ จะไปมาตรา 7 เขาชี้แจงมาอย่างนี้ไม่ใช่หรือ จึงมีทางออกมีรู มาให้ตรงนี้ แต่ก็สุดแล้วแต่ว่าจะมาจะไปยังไง ใครจะเลือก เลือกจะจากสวรรค์ชั้นฟ้าที่ไหนก็ไปเลือกมา” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่ว่าคนถูกเลือกยอมหรือไม่ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆจะส่งใครมาก็ได้ คนถูกเลือกก็ต้องยอมด้วย เขาจะมาหรือไม่แบบนั้น ไม่รู้เป็นเรื่องของกรธ. ให้เกียรติเขาบ้าง เขาทำงานกันแทบตาย ไปทวงบุญคุณอะไรเขาอีก เงินเดือน เบี้ยเลี้ยงใช้เปลือง ปัดโธ่ ไอ้ที่ก่อนๆทำไมไม่ทวง ใช้มากกว่านี้หรือไม่ นี่เขาทำงานงกๆทุกวัน กฎหมายออกมาเท่าไหร่ 7 ปีออกกฎหมายกัน 120 ฉบับ นี่ 2 ปี กฎหมายออกมา170 ฉบับ มันก็แตกต่างกันแล้วและกฎหมายต่างๆก็ออกมาในรัฐบาลบางอย่างที่ทำไม่ได้ก็แกะออกมาและเดินหน้าไปให้ได้ ทำให้เสร็จต้องแก้ไขทุกอย่างไม่ให้ติดเหมือนเดิม เพราะวันหน้าจะติดอยู่แบบเก่าหากไม่รื้อวันนี้ แต่ตนไม่ได้ต้องการไปรังแกใครทั้งสิ้น

ศาลยกคำร้อง ไม่ปล่อย 'ไผ่ ดาวดิน' ครอบครัวห่วงสุขภาพ-การศึกษาตัดสินใจยื่นประกัน

ศาลยกคำร้อง ไม่ปล่อย 'ไผ่ ดาวดิน' ครอบครัวห่วงสุขภาพ-การศึกษาตัดสินใจยื่นประกัน
เวลาประมาณ 15.00 น. ที่ศาลทหารขอนแก่น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลไต่สวนคำร้องและอ่านคำสั่งยกคำร้องตามที่ทนายความนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดินยื่นขอปล่อยตัวระหว่างพิจารณาคดี โดยศาลมีความเห็นว่า กระบวนการที่พนักงานสอบสวนได้ประสานเพื่อขอนำจำเลยส่งฟ้องต่อศาลมีมาในเวลา 13.00 น.ของวันที่ 20 ส.ค. และได้มีการประสานงานระหว่างกันโดยตลอด แต่ความล่าช้าเกิดจากอุปสรรคในการเดินทาง ประกอบกับไม่มีกฎหมายห้ามไม่ให้ศาลทหารพิจารณาคดีนอกเวลาราชการ ดังนั้น การพิจารณารับฟ้องคดีดังกล่าวในเวลา 19.30 น. จึงสามารถทำได้
ส่วนที่ทนายร้องขอให้ปล่อยตัวจำเลยโดยไม่ต้องใช้เงินประกันเนื่องจากเป็นคดีที่มีอัตราโทษต่ำนั้น ในการพิจารณาคดีของศาลทหาร ไม่มีแนวทางในการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยหรือผู้ต้องขังโดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ส่วนที่ทนายร้องว่าจำเลยมีอาการป่วยนั้น ทนายได้ยื่นเอกสารยืนยันการเจ็บป่วยโดยนำมาจากข่าวเท่านั้น และในเนื้อข่าวได้ระบุว่ามีการรักษาพยาบาลในเรือนจำเเล้ว ประกอบกับผู้ร้องไม่สามารถหาหลักฐานเอกสารที่สามารถยืนยันได้ว่าการคุมขังจำเลยจะมีผลกระทบถึงชีวิตของจำเลย
ด้วยเหตุผลทั้งหมดดังกล่าวศาลจึงวินิจฉัยให้ยกคำร้องของทนายจำเลย และเมื่อสอบคำให้การจำเลยแล้วจำเลยปฏิเสธข้อกล่าวหา ขอต่อสู้คดี จึงนัดพร้อมเพื่อตรวจพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยในวันที่ 27 ต.ค. 2559 เวลา 08.00 น.
อานนท์ นำภา ทนายความจำเลยกล่าวภายหลังการไต่สวนและฟังคำสั่งศาลว่า ด้วยความเป็นห่วงเรื่องสุขภาพและสถานะการศึกษาของนายจตุภัทร์ ทางครอบครัวและเพื่อนจึงตัดสินใจจะยื่นประกันตัวเขาโดยจะวางหลักทรัพย์เป็นเงินสด 10,000 บาท แม้ว่าก่อนหน้านี้ไผ่ยืนยันที่จะไม่ประกันตัวก็ตาม ขณะนี้ทนายกำลังดำเนินการยื่นประกันและรอฟังผลว่าศาลทหารจะอนุญาตหรือไม่ คาดว่าจะรู้ผลภายในช่วงเย็นนี้
ทั้งนี้ คดีนี้สืบเนื่องจากไผ่และเพื่อนกลุ่มดาวดินไปจัดกิจกรรมต่อต้านรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2558 ในวาระครบรอบ 1 ปีรัฐประหารที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยขอนแก่น เขาถูกแจ้งข้อกล่าวหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 ทำให้ตำรวจขอนแก่นอายัดตัวเขาจากเรือนจำภูเขียว(คดีประชามติ) มาส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดขอนแก่นต่อ อย่างไรก็ตาม ทนายได้ยื่นคำร้องต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 23 จังหวัดขอนแก่นเพื่อขอให้ปล่อยตัวจตุภัทร์ระหว่างพิจารณาคดีนี้ โดยระบุว่า ตำรวจได้รับตัวจตุภัทร์จากเรือนจำภูเขียวเพื่อส่งฟ้องต่อศาลนี้ในเวลา 19.30 น.เป็นการดำเนินคดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะยื่นฟ้องต่อศาลเลยเวลาราชการ จึงขอให้ศาลยกฟ้อง หากศาลเห็นว่าคำร้องนี้มีความจำเป็นต้องไต่สวนทนายประกอบและจะรอสั่งในคำพิพากษา ทนายความจำเลยขอศาลได้โปรดมีคำสั่งปล่อยตัวจำเลยในระหว่างการพิจารณาตามมาตรา 71 วรรคสาม และมาตรา 110 วรรคสองของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เนื่องจากจำเลยได้อดข้าวประท้วงในคดีของศาลจังหวัดภูเขียวอันเกิดมาจากการจับกุมดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรมและจำเลยมีอาการป่วย จากการสอบถามจำเลยจำเลยยังยืนยันการอารยะขัดขืนต่อ เพื่อสวัสดิภาพของจำเลยและหากยังคุมขังจำเลยต่ออาจเป็นอันตรายถึงชีวิตจึงเรียนมาเพื่อขอศาลปล่อยตัวจำเลยระหว่างพิจารณาโดยไม่ต้องมีหลักประกันและไม่มีประกัน