PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562

จรัญ พงษ์จีน : ผลลัพธ์ชวนกังขาหลังเลือกตั้ง จาก รธน.ปราบโกง

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 “ฉบับปราบโกง” ปราบได้กิ๊บเก๋อย่างมาก “ศึกเลือกตั้ง 62” แค่เปิดฉาก มีเสียงสะท้อนเถื่อนกระโจนออกมาว่า “โกง” กันสะเทือนเลื่อนลั่น มากกว่าการเลือกตั้งครั้งไหนๆ

ก่นด่ารัฐธรรมนูญกันเสียงขรม และพาลไปเจริญพร “ผู้ยกร่าง” ด้วยความเมามันในอารมณ์ บ้างก็เปรียบเปรยว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่ห่วยแตก ขี้เหร่มากกว่าฉบับไหนๆ เท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา “อ้วน ต่ำ ดำ เหม็น” อยู่ในตัวพร้อมทุกสรรพสิ่ง

ยังนับคะแนนไม่ทันแล้วสะเด็ดน้ำ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” หรือ “กกต.” ถูกประชาชนลงชื่อถอดถอน กดปุ่มปลดรัวๆ แค่ประเดี๋ยวประด๋าว ยอดยาวเป็นหางว่าว เกือบแตะหลักล้านคน

มีโอกาสเสียมวยไม่เป็นท่า และอาจจะโดนฟ้องติดคุกกันหัวโต แถมด้วยคดีอีกบานตะเกียง

เข้าสู่โหมดสีสันและบรรยากาศศึกเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 เหลือเชื่อมากๆ คือ จำนวนประชาชนพลเมืองผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ที่ “นายอิทธิพร บุญประคอง” ประธาน กกต.แถลงว่าเพียง 65.96 เปอร์เซ็นต์ ต่ำกว่าตัวเลขประมาณการที่ตั้งธงไว้ก่อนหน้านั้น วัดเรตติ้งจากสภาพกระแสแห่งความตื่นตัว

ไปๆ มาๆ ผู้ออกมาใช้สิทธิน้อยกว่าศึกเลือกตั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ.2554 ที่มีผู้มาใช้สิทธิถึงร้อยละ 75.03

“ผล” ของศึกเลือกตั้ง ทั้ง ส.ส.เขตและป๊อปปูลาร์โหวต “พรรคเพื่อไทย” ชนะเขตเลือกตั้ง กวาดที่นั่งมากที่สุด 137 เสียง ปาร์ตี้ลิสต์ 0 เนื่องจากฐานคะแนนพึงมีเต็มตุ่ม ยอด ส.ส.รวม 2 ระบบ 137 ป๊อปปูลาร์โหวต 7,920,561 เสียง

ขณะที่ “พลังประชารัฐ” ได้ ส.ส.เขต 97 ที่นั่ง บัญชีรายชื่อ 19 เสียง รวม 116 ที่นั่ง แต่กลับชนะป๊อปปูลาร์โหวต 8,433,060 แต้ม

“พรรรคอนาคตใหม่” ของ “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” น้องใหม่แห่งวงการ ทุบสถิติศึกเลือกตั้งกระเจิดกระเจิงหลายบริบท เบียดเข้าป้ายคว้าที่ 3 ด้วยคะแนนเสียงจากเขตเลือกตั้ง 30 ที่นั่ง ปาร์ตี้ลิสต์สูงที่สุด 50 เสียง รวม 2 ระบบ 80 ที่นั่ง ด้วยพื้นฐานคะแนนรวม 6,265,918 เสียง

ขณะที่ “ภูมิใจไทย” ที่ “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” ถูกวางตัวให้เป็นกัปตัน หัวหน้าพรรค ไม่มีอะไรพลิกล็อก เสียงที่ได้รับเลือกเข้าสภาตรงตามจุดคาดการณ์คือ เขตเลือกตั้ง 39 เสียง ปาร์ตี้ลิสต์อีก 12 ที่นั่ง รวมเป็น 51 ที่นั่ง ป๊อปปูลาร์โหวต 3,732,940 คะแนน

 

ที่พลิกล็อกวินาศสันตะโร น่าน้ำตาไหลมากที่สุด สำหรับศึกเลือกตั้งคาบนี้คือ ซุป’ตาร์ขาประจำ ยี่ห้อ “ประชาธิปัตย์” พรรคการเมืองเก่าแก่ ที่มีโครงการเข้มแข็งดุจผนังทองแดงกำแพงเหล็ก มีสมาชิกมากที่สุด เกิด “สลัมบอมเบย์” หมายถึง “ตกต่ำสุดขีด”

เข้าป้ายมาลำดับที่ 4 จากเขตเลือกตั้ง 33 ที่นั่ง กับบัญชีรายชื่ออีก 19 ที่นั่ง รวม 52 เสียง

ป๊อปปูลาร์โหวต 3,947,702 แต้ม ใจหายแว้บเลย เมื่อเทียบกับศึกเลือกตั้งใหญ่ปี 2554 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาเป็นอันดับ 2 ด้วยฐานคะแนนรวม 11 ล้านเสียง

บริหารกันแน่มาก ฐานคะแนนพรรคตีจากไปเกือบ 7 ล้านเสียง สนามเลือกตั้งเมืองหลวง “กทม.”ซึ่งครองแชมป์ตลอดกาล เป็นไปได้ไง ถูกถอนรากถอนโคน ไม่หลงเหลือเลยแม้แต่เก้าอี้เดียว

30 ที่นั่งกลายเป็นสมบัติผลัดกันชม ของ “พลังประชารัฐ-เพื่อไทย-อนาคตใหม่” ไปซะงั้น

อย่าว่าแต่สนาม กทม. ที่เป็นใครก็ต้องตกใจเกือบเสียสติ แม้กระทั่ง “สนามปักษ์ใต้บ้านเรา”พรรคประชาธิปัตย์ผูกขาดเก้าอี้มาตลอดเวลาอันยาวนานตั้งแต่ปี 2518 ย้อนยุคไปสมัย “เงินผัน” “พรรคกิจสังคม” ของ “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” ก็เนิ่นนานมามากแล้ว

ประชาธิปัตย์ตีตราจอง ส.ส.ภาคใต้มาทุกยุคทุกสมัย เอาใครลงสมัครก็ได้รับชัยชนะ จนพรรคคู่แข่งเข็ดขยาด ถึงกับแอบประชดประชันว่า “ภาคใต้ประชาธิปัตย์เอาเสาไฟฟ้าลงก็ยังชนะ”

แต่ครั้งนี้หนังคนละม้วน “เสาไฟฟ้าปักษ์ใต้ล้มระเนระนาด” ถูกพรรคพลังประชารัฐบุกทะลวงลำไส้แย่งไป 13 ที่นั่ง หัวไม่วางหางไม่เว้น แม้กระทั่งจังหวัดตรัง ถิ่นของ “นายหัวชวน หลีกภัย” ยังไปหยิบชิ้นปลามันมา 1 ที่นั่ง

 

มองข้ามช็อตไปถึง “ศึกจัดตั้งรัฐบาล” ถึงตอนนี้ ยังไม่เที่ยงว่าขั้วไหนจะเข้าป้าย

ฝ่ายที่ประกาศตัวเองอย่างเท่ๆ ว่า “ซีกประชาธิปไตย” มี “พรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำ แม้ชิงประกาศฟอร์มรัฐบาล พร้อมกับลงสัตยาบัน จับมือกัน 6 พรรค ซึ่งประกอบไปด้วย “เพื่อไทย” 137 เสียง อนาคตใหม่ 88 เสียง เสรีรวมไทย 11 เสียง ประชาชาติ 6 เสียง และพลังปวงชนไทย 1 เสียง

ขณะที่อีกฝ่าย ไม่รู้จะใช้สรรพนามเรียกขานตัวเองว่าอะไร แต่สนับสนุน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกรัฐมนตรี ประกอบไปด้วย “พลังประชารัฐ” 120 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์ 56 ที่นั่ง ภูมิใจไทย 53 ที่นั่ง ชาติไทยพัฒนา 10 ที่นั่ง และจับพรรคเล็กพรรคน้อยทั้งหมดมัดรวมเข่งเข้าด้วยกัน เสียงสนับสนุนก็ออกมาสูสีใกล้เคียงกัน

แต่ดูทุกองคาพยพแล้ว ไม่หมูทั้งสองฝ่าย “ขั้วประชาธิปไตย” รวมเสียงได้เกิน 250 เสียงก็จริง

แต่ขั้นตอนต่อไปคือการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เดินตามบทเฉพาะกาลแห่งมาตรา 272 ซึ่งกำหนดคำจำกัดความไว้ว่า ดำเนินการโดย “รัฐสภา” คือ 2 สภารวมกัน เท่ากับว่า วุฒิสมาชิก 250 คน เข้าร่วมวงไพบูลย์ได้ด้วย

เงื่อนไขดังกล่าว “ขั้วพลังประชารัฐ” ได้เปรียบเต็มประตู แต่พอเปิดสภา รัฐบาล “ตู่ภาค 2” แถลงนโยบายปั๊บ ก็ม้วนเสื่อปุ๊บ เพราะเสียงปริ่มๆ ยิ่งแกนนำพรรคทั้งเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ ต้องกระโดดค้ำถ่อไปเป็นรัฐมนตรี เท่ากับจอดป้ายตั้งแต่ยกแรกๆ

เหนือสิ่งอื่นใด มีข่าวคลุกวงในว่า “พรรคประชาธิปัตย์” อาจจะตีกรรเชียงลอยตัว ประกาศ “เป็นกลาง” ไม่จับขั้วฝ่ายค้าน และไม่ขอร่วมรัฐบาล จะยกมือสนับสนุนเป็นเรื่องๆ ไป มาตราไหนไม่เห็นด้วยก็คัดค้าน กฎหมายใดเห็นด้วยก็สนับสนุน

ใช้เวลาช่วงนี้ฟื้นฟูพรรค อันเป็นแนวคิดของ “นายหัวชวน หลีกภัย กับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ข่าวนี้ถ้าจริง “ซีกพลังประชารัฐ” ก็ยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่

มีข่าวอีกระแสว่า ระหว่างที่ กกต.จะประกาศผลเลือกตั้งตามกำหนดภายใน 60 วัน ครบกำหนดต้นเดือนพฤษภาคม “ระหว่างนี้ ฟากไหนอยากเป็นรัฐบาลจนตัวสั่น กกต.ประกาศสอยว่าที่ ส.ส.ที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ก็ว่ากันไป จะเกิดรายการไล่ล่าซื้อ ส.ส.ข้ามขั้ว”

เห็นว่าราคาค่างวดทำท่าจะแพงหูดับ หัวละ 20 ล้าน ธง 20 คนต้องใช้กองทุน 400 ล้านบาท

“เป็นไงครับ รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง”

กรองกระแส / เลือกตั้ง 2562 การต่อสู้ของ 2 อำนาจนำ เก่า และ ใหม่



กรองกระแส

 

เลือกตั้ง 2562

การต่อสู้ของ 2 อำนาจนำ

เก่า และ ใหม่

 

แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้รับเลือกเข้ามาผ่านระบบเขตมากเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวน 137 ขณะที่พรรคพลังประชารัฐได้รับเลือกเข้ามามากเป็นอันดับ 2 ด้วยจำนวน 97

ขณะเดียวกัน พรรคพลังประชารัฐยังได้คะแนนรวมหรือที่เรียกว่าป๊อปปูลาร์โหวตมากถึง 7.9 ล้าน

เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับจำนวนคะแนนรวมหรือที่เรียกว่าป๊อปปูลาร์โหวตที่พรรคเพื่อไทยได้มา 7.4 ล้านเสียง ก็ถือว่าพรรคพลังประชารัฐมีจำนวนมากกว่า

คล้ายกับว่าการเลือกตั้งครั้งนี้การันตีอำนาจให้กับ คสช.ผ่านพรรคพลังประชารัฐ

คล้ายกับว่ากระบวนการของการเลือกตั้งมิได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ สถานการณ์ใหม่อย่างที่คาดหวัง เพราะว่าทุกอย่างดำเนินไปตามที่พรรคพลังประชารัฐได้เคยเสนอบทสรุปอันแหลมคมยิ่งว่า “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ DESIGN มาเพื่อพวกเรา”

อย่างน้อยด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญ แม้ว่าพรรคพลังประชารัฐจะมีเพียง 119 เสียง แต่ถ้าสามารถหาพันธมิตรได้กว่า 250 เสียงเมื่อไปผนวกรวมกับ 250 ส.ว. แผนการสืบทอดอำนาจผ่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ประสบความสำเร็จ

ไม่เพียงแต่จะประสบความสำเร็จในวาระ 4 ปีข้างหน้า หากมีความเป็นไปได้ที่จะฝังรากแห่งอำนาจยาวนานไปกว่า 2 ทศวรรษ

เป็นเช่นนั้นจริงหรือ

 

ปรากฏการณ์ใหม่

จากการเลือกตั้ง

 

หากดูแต่ชัยชนะของพรรคพลังประชารัฐโดยมองข้ามความพ่ายแพ้ของพรรครวมพลังประชาชาติไทย หรือการไม่สามารถโงหัวขึ้นมา ได้ของพรรคประชาชนปฏิรูป พรรคพลังธรรมใหม่ อันล้วนอยู่ในเครือข่ายของ คสช. ก็อาจจะมองเห็นแต่ด้านที่รุ่งโรจน์

ยิ่งกว่านั้น สังคมจะมองข้ามความเสื่อมทรุดของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีส่วนสัมพันธ์กับรัฐประหารตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายน 2549 และเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ไปได้อย่างไร

โดยเฉพาะการไม่ได้รับเลือกเลยในพื้นที่ กทม. อันเคยยึดครองมาอย่างยาวนาน

ขณะเดียวกันจำนวน 137 ส.ส.ที่พรรคเพื่อไทยได้มาสามารถทำให้พรรคเพื่อไทยยึดกุมอันดับ 1 เอาไว้ได้เหนือกว่าทุกพรรคการเมืองก็เป็นชัยชนะท่ามกลางกฎกติกาของ คสช.ที่ต้องการบดขยี้ทำลายล้างพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มเรี่ยวแรง กระนั้น ก็ยังไม่สามารถทำให้พรรคเพื่อไทยแหลกละเอียดลงได้

ยิ่งกว่านั้น การทะยานขึ้นมาของพรรคอนาคตใหม่โดยมีหลักการทางการเมืองที่เข้มข้นมากยิ่งกว่าพรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำ เท่ากับเป็นเครื่องยืนยันว่า แม้ไม่ว่า คมช. ไม่ว่า คสช.จะต้องการบดขยี้พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย

แต่ไม่เพียงแต่พรรคเพื่อไทยมิได้แหลกละเอียด หากแต่ยังมีพรรคอนาคตใหม่ปรากฏขึ้นอย่างทระนงองอาจอีก

 

อำนาจการเมือง

ภายหลังเลือกตั้ง

 

การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม มีผลสะเทือนอย่างแน่นอน แม้ไม่สามารถบั่นทอนอำนาจทางการเมืองในมือของ คสช.ได้อย่างเด่นชัด แต่ก็ต้องยอมรับว่าอำนาจทางการเมืองในมือของ คสช.ก็ได้รับผลกระทบและมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น

หากไม่นำไปเทียบกับอำนาจที่ คสช.เคยมีภายหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ก็จะมองได้อย่างไม่เด่นชัด

อย่างน้อยหลังการจัดตั้งรัฐบาล อำนาจโดยมาตรา 44 ก็จะต้องหมดไป

อย่างน้อยสถานะของ คสช.อย่างเป็นทางการก็จะต้องหมดและหรือเปลี่ยนบทบาทไปอยู่ที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นวุฒิสภา ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์

แต่คำถามก็คือ อำนาจที่ว่านี้ยังคงอยู่เหมือนเดิมหรือไม่

บรรยากาศการต่อสู้ภายหลังการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะผ่านบทสรุปต่อการทำงานของ กกต. ไม่ว่าจะผ่านการแย่งชิงกันจัดตั้งรัฐบาล เด่นชัดเป็นอย่างยิ่งว่าดำเนินไปอย่างมีลักษณะท้าทายและพุ่งเป้าไปยังอำนาจของ คสช.โดยตรง

สถานะของ กกต.แทบไม่แตกต่างไปจากสถานะและเกียรติภูมิของ ป.ป.ช. และเมื่อมีการวิพากษ์โจมตี กกต. หรือ ป.ป.ช. ในที่สุดก็ไปลงเอยที่ คสช.

 

อำนาจนำ การเมือง

อำนาจเก่า อำนาจใหม่

 

การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม สะท้อนภาพการปะทะระหว่างความคิดเก่ากับความคิดใหม่ให้ปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัดผ่านพันธมิตรทางการเมือง 2 ขั้ว 2 ฝ่าย

ฝ่ายอำนาจเก่า ได้แก่ พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย

ฝ่ายอำนาจใหม่ ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักษาชาติ พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ และรวมถึงพรรคอนาคตใหม่

ความหมายหมายความว่า อำนาจเก่าต่อสู้เพื่อรักษา “อำนาจนำ” ในแบบเก่า

ความหมายหมายความว่า อำนาจใหม่ต่อสู้เพื่อนำเสนอและทำให้สถานะแห่ง “อำนาจนำ” ในแบบใหม่ได้รับการสถาปนา

ผลก็คือแม้อำนาจนำเก่าจะเป็นฝ่ายกำชัย แต่ก็มิได้หมายความว่าอำนาจนำใหม่จะไม่มีที่ยืน

รายงานพิเศษ / ปฏิบัติการ ‘ประยุทธ์’ คนดีรีเทิร์น จาก 8 ก.พ. ถึง 23 มี.ค. สัญญาณดีๆ ของ ‘บิ๊กตู่’ จับบทบาท ‘บิ๊กแดง’ ผู้ช่วยพระเอก และท่าที ‘บิ๊กป้อม’ มิสเตอร์ดีล

รายงานพิเศษ

 

ปฏิบัติการ ‘ประยุทธ์’ คนดีรีเทิร์น

จาก 8 ก.พ. ถึง 23 มี.ค.

สัญญาณดีๆ ของ ‘บิ๊กตู่’

จับบทบาท ‘บิ๊กแดง’ ผู้ช่วยพระเอก

และท่าที ‘บิ๊กป้อม’ มิสเตอร์ดีล

ปรากฏการณ์เมื่อคืนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 จนถึงปรากฏการณ์คืน 23 มีนาคม 2562 ทำให้ฝ่าย คสช.และกองทัพมั่นใจว่าบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ และพรรคพลังประชารัฐจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

แม้ว่าพรรคเพื่อไทย ที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ไม่ได้เป็น ส.ส.เลย เพราะไม่ได้ปาร์ตี้ลิสต์สักคนเดียว แต่อ้างการได้จำนวน ส.ส.เขตมากกว่าพรรคพลังประชารัฐ ในการชิงจัดตั้งรัฐบาล และถึงขั้นยอมยกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้เสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยก็ตาม

แต่ท้ายที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ คือคนดีที่ควรได้รับการสนับสนุนให้ปกครองบ้านเมือง

เพราะฝ่ายทหารเชื่อว่า นายอนุทินจะไม่ไปร่วมกับพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะเมื่อมีนายเนวิน ชิดชอบ เป็นหุ้นส่วนสำคัญ ที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ คสช.มายาวนานและแนบแน่น

โดยที่นายเนวินได้พูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร มาก่อนหน้านี้แล้ว เรียกได้ว่ามีดีลและสัญญาใจกันไว้แล้ว

แม้ว่าในใจลึกๆ แล้ว นายอนุทินอยากที่จะปลดแอกตัวเองออกจาก คสช.และกองทัพ ที่เขาเกรงใจมานานก็ตาม แต่ด้วยเหตุผลและความจำเป็นหลายประการ รวมทั้ง “สัญญาณพิเศษ”

ที่จะทำให้มีว่าที่ ส.ส.ของพรรคฝ่ายตรงข้าม คสช. อาจจะกลายเป็น “งูเห่า” ยอมย้ายข้างมาร่วมรัฐบาล เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ด้วย

อีกทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ ยังต้องผ่านด่านการร้องเรียน การตรวจสอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่อาจมีการให้ใบเหลือง ใบแดง เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

ทำให้ฝ่ายกองเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์และ คสช.อุ่นใจ

แม้ พล.อ.ประวิตรปฏิเสธข่าวการเป็นผู้จัดการรัฐบาล ยืนยันว่าไม่ได้มีการโทร.คุยหรือพบปะหารือกับนักการเมืองคนใดก็ตาม แต่วงในรู้กันดีว่า “พี่ป้อม” คือมิสเตอร์ดีล ตั้งแต่พลังดูดของพรรคพลังประชารัฐ จนมาถึงก่อนและหลังเลือกตั้ง ถึงขั้นที่นักการเมืองบางคนเอ่ยปากว่า บิ๊กป้อม “ใจถึงพึ่งได้” ตัวจริง

เป็นที่รู้กันดีว่า บ้านพัก ร.1 รอ. หรือมูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัดฯ เป็นเสมือนทำเนียบน้อย ที่ทำงานอีกแห่งของ พล.อ.ประวิตร ที่ต้องเข้ามาที่นี่ก่อนทุกวันตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง หรือ 6 โมงเช้า

โดย พล.อ.ประวิตรไปนอนบ้านย่านมีนบุรี แต่จะมาที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ นี้ทุกวัน และมีการประชุมหน่วยข่าวทุกวันจันทร์ และประชุมเตรียมการ ครม. ทุกเช้ามืดวันอังคาร ที่กองทัพและเหล่าทัพใดที่มีเรื่องเข้า ครม. ก็จะต้องมาชี้แจงกับ พล.อ.ประวิตรก่อน

ส่วนวันพุธ เป็นวันที่บรรดาเพื่อนฝูงเตรียมทหาร 6 และทีมงานมาทานข้าวกับ พล.อ.ประวิตร ก่อนที่วันพฤหัสฯ จะเป็นวันของการเมือง ที่จะมีนักการเมืองมาพบปะทานข้าวด้วย โดยเฉพาะในระยะหลายเดือนหลังๆ จะมีแกนนำกลุ่มต่างๆ ที่ต่อมาย้ายมาอยู่พรรคพลังประชารัฐ

ส่วนวันศุกร์ จะเป็นวันที่ปลัดกลาโหม ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ตร. จะมาทานข้าวกับ พล.อ.ประวิตร และเป็นการประชุมนอกรอบกันไปด้วยในตัว

มูลนิธิป่ารอยต่อฯ หรือที่ถูกเรียกว่า บ้านป่ารอยต่อฯ สีขาวหลังนี้ มีการต่อเติมและสร้างสำนักงานมูลนิธิ ห้องประชุม และห้องทำงาน ห้องพักผ่อนของ พล.อ.ประวิตรและทีมงาน เป็นเสมือนเซฟเฮาส์ แต่เป็นเซฟเฮาส์ที่เปิดเผย เพราะถ้าใครจะมาพบ พล.อ.ประวิตร ก็ต้องมาที่นี่

ด้วยเพราะอยู่ในค่ายทหาร คนภายนอกจะเข้าออกได้ยาก โดยเฉพาะการเข้ามาที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ จะต้องมีบัตรติดหน้าอก ที่ถือว่าเป็นบัตรบอกฝ่าย และเป็นบัตรที่สะท้อนว่าเป็นสายวงษ์สุวรรณ

ครั้งหนึ่ง เคยถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ว่า เป็นสถานที่ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ที่ทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นกำลังหลัก

รวมถึงเคยเป็นสถานที่ที่นายสุเทพนำกุหลาบแดงช่อโตมาทาบทาม พล.อ.ประวิตรไปเป็น รมว.กลาโหม ในรัฐบาลประชาธิปัตย์ด้วย

มาเลือกตั้งคราวนี้ ก็ถูกจับตามอง และตกเป็นข่าวอีกครั้ง ว่าเป็นที่จัดตั้งรัฐบาล

อีกทั้งเป็นศูนย์กลางของทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เพราะต่างมีบ้านพักอยู่ใน ร.1 รอ.เช่นกัน แถมอยู่ใกล้ๆ เดินมาไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว

แต่ พล.อ.ประวิตรก็ยืนยันว่า ไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารเช่นในอดีต “ผมไม่ยุ่งการเมือง ไม่มีใครมาพบมาคุย หรือโทร.มา”

ทว่า มีข่าวการพบปะกันที่สนามกอล์ฟอีกด้วย ทั้งก่อนหน้านี้ และถูกจับตามองอย่างมากในวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ พล.อ.ประยุทธ์ไปเล่นกอล์ฟที่สนามกอล์ฟย่านถนนวิภาวดีฯ สนามกอล์ฟประจำ

ครั้งหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมด้วยบิ๊กฉัตร พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ เพื่อนรัก ตท.12 และบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ก่อนที่จะเป็น ผบ.ทบ. เคยไปคุยกับนักการเมืองตระกูลสะสมทรัพย์ ที่นครปฐมมาแล้ว

เพราะโดยปกติแล้ว ทหารมักจะเจรจาความบ้านความเมืองกันในสนามกอล์ฟ

ไม่แค่นั้น ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ที่ดูไม่เครียด ไม่วิตกกังวลใดๆ แต่จะตั้งใจทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ต่อไปอย่างเต็มที่ งดการพูดเรื่องการเมือง การจัดตั้งรัฐบาล

แม้แต่การยอมยุติการจัดรายการคืนวันศุกร์ ที่จัดมากว่า 5 ปี เพื่อให้เวลากับงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทั้งๆ ที่เคยถูกเรียกร้องให้ยุติการจัดรายการ ตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือกตั้ง แต่ก็ยังจัดรายการมาตลอด

เรียกได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์วางตัวนิ่ง สุขุม ท่ามกลางการเมืองที่ร้อนแรง ในการชิงอำนาจ ชิงจัดตั้งรัฐบาลและชิงเก้าอี้นายกฯ

แต่ที่สำคัญคือ พล.อ.ประวิตรเริ่มพูดถึงอนาคตทางการเมืองของตนเองแล้วว่า  ยังไม่รู้ว่าจะกลับมาเป็น รมว.กลาโหมในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ หลังการเลือกตั้งหรือไม่ ที่อาจเป็นสัญญาณว่า มีความมั่นใจที่ พล.อ.ประยุทธ์จะได้รีเทิร์น

“ไม่รู้ ต้องให้เขามาทาบทามก่อน ถ้าไม่มาทาบทาม จะรู้ได้ยังไงว่าเขาจะให้เราทำงาน” คำพูดของ พล.อ.ประวิตรที่ถูกมองว่าแบะท่าพร้อมคัมแบ๊ก

ทั้งๆ ที่ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง มีการโหมกระแสว่า พล.อ.ประวิตรจะวางมือทางการเมือง แล้วไปช่วยงานอยู่เบื้องหลัง พล.อ.ประยุทธ์ โดยวางตัวบิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ไว้ แต่เมื่อเลือกตั้งผ่านไปแล้ว พล.อ.ประวิตรก็ดูเหมือนจะไม่อยากถอย

แต่กระนั้น ก็มีข่าวสะพัดว่า จะมีอดีตบิ๊กทหารที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญ ที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง อาจจะลาออกมาเป็น รมว.กลาโหม หรือรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อเป็น “บุคคลในเชิงสัญลักษณ์”

อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์มีภาพลักษณ์ชัดเจนในการเป็นนายทหารที่รักชาติบ้านเมือง และมีความจงรักภักดี ถึงขั้นที่ประกาศบนเวทีปราศรัยหาเสียงของพรรคพลังประชารัฐ ครั้งแรก “ที่จะยอมตายเพื่อแผ่นดินนี้” และปกป้องสถาบัน

กล่าวกันว่า นอกจากเหตุการณ์งานแต่งงานที่ฮ่องกง เมื่อ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ส่งผลให้พรรคพลังประชารัฐได้รับคะแนนมากขึ้นแล้ว พระราชโองการที่ประกาศในคืนนั้น ก็ส่งผลดีด้วยเช่นกัน

“การที่ทรงมีพระราชโองการออกมาอีกครั้ง เรียกว่าเป็นสิ่งที่ดีๆ ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเตือนจิตใจให้กับคนไทยทุกคนอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เช้านี้รู้สึกสดชื่นดี” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.และเลขาธิการ คสช. กล่าวในวันเลือกตั้ง

พล.อ.อภิรัชต์มีอีกสถานภาพหนึ่งคือ การเป็นนายทหารพิเศษประจำกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ทม.รอ.) และ ผบ.หน่วยเฉพาะกิจ ทม.รอ.904

จนเชื่อกันว่า พล.อ.อภิรัชต์ก็มีบทบาทสำคัญต่อประวัติศาสตร์ในคืนวันที่ 23 มีนาคม 2562 ที่เป็นวันเกิด อายุย่าง 59 ปีของเขาพอดี เช่นเดียวกับเมื่อคืน 8 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา ที่ทำให้สถานการณ์ยุ่งยากของ พล.อ.ประยุทธ์คลี่คลายมาแล้ว

มีการตั้งข้อสังเกตถึงการที่ พล.อ.ประยุทธ์โพสต์ในสื่อโซเชียลของตนเอง ก่อนที่จะหมดเวลาหาเสียงในเย็นวันที่ 23 มีนาคม 2562 ด้วยภาพนั่งชิลๆ อ่านหนังสือ ที่มีหน้าปกเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9

“ปฏิบัติตามพระบรมราโชวาท และพระราโชบาย ที่ออกมา บ้านเมืองเรียบร้อย” พล.อ.อภิรัชต์บอกกับประชาชน ผ่านสื่อในวันเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562

โดยไม่ตอบคำถามถึงกระแสปฏิวัติรัฐประหารหลังการเลือกตั้ง หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล หลังจากที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย และอดีตแกนนำ กปปส. ประกาศจะเป่านกหวีดชุมนุมใหญ่ รวมทั้งลูกพรรคปูดจะจบด้วยการปฏิวัติอีก

แม้ พล.อ.อภิรัชต์จะยืนยันในความเป็นกลาง แต่ด้วยความสนิทสนมใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ทำให้ถูกจับตามอง

ยิ่งตราบใดที่ยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ หรือหากมีอะไรที่ผิดแผนของ คสช. ความหวาดหวั่นว่าทหารจะขยับ หรือเกิดการปฏิวัติรัฐประหารแบบพิเศษเกิดขึ้น ก็ยังคงเข้มข้น

อีกทั้ง พล.อ.อภิรัชต์เป็น ผบ.ทบ.ที่ไม่เคยพูดผูกมัดตัวเองในเรื่องการปฏิวัติรัฐประหารหรือไม่

เพราะหากยังไม่สามารถตกลงกันได้ หรือมีการทำให้เกิดความวุ่นวาย ไม่สงบ จากการประท้วงผลการเลือกตั้ง การนับคะแนนต่างๆ

ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน และอาจเกิดสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ

หากในที่สุดแล้ว “คนดี” อาจไม่ได้มีแค่ พล.อ.ประยุทธ์เพียงคนเดียว

ปั่นโซเชียลสางแค้น เชื่อทักษิณอาฆาตเอาคืน! ปลุกระดมป่วนงานสำคัญ



    “ชูชาติ” อธิบายเป็นพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ที่จะทรงเรียกคืนเครื่องราชฯ “เด็กบิ๊กป้อม” ข้องใจทำไมที่ผ่านมาหน่วยงานไม่กราบบังคมทูลฯ “อิศรา” รวบรวมมีอีก 7 รายที่เข้าข่ายเดียวกับ “ทักษิณ” โดยเฉพาะยิ่งลักษณ์ สุวินัยเชื่อ "เหลี่ยม" สางแค้นแน่ เพราะคนอาฆาต เชื่อจะปลุกปั่นผ่านโซเชียลฯ สร้างความวุ่นวายในช่วงพระราชพิธีที่สำคัญ “เพจติ่งแม้ว” เย้ยเรื่องปกติ แต่ทำไมไปลากโยงเกี่ยวกับการเมือง
    เมื่อวันอาทิตย์ ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณีราชกิจจานุเบกษา เล่ม 136 ตอนที่ 8 ข เผยแพร่ประกาศ เรื่อง เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยนายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์เฟซบุ๊กอธิบายเรื่องดังกล่าวว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 9 บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์และพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการให้พระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ทรงใช้ดุลพินิจที่จะกระทำการดังบัญญัติในมาตรานี้ได้ตามพระราชอัธยาศัยของพระองค์เอง โดยพระราชโองการเมื่อวันที่ 30 มี.ค.2562 เป็นการใช้พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่ประชาชนชาวไทยลงมติยอมรับจำนวนกว่า 16.8 ล้านคน
    ขณะที่นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์เฟซบุ๊กเช่นกันว่า เครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้นมี 2ประเภท คือที่ทรงพระราชทานเองตามพระราชอัธยาศัย กับที่รัฐบาลขอรับพระราชทาน สำหรับข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำ ฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ขอรับพระราชทานให้ ดังนั้นจึงมีหน้าที่ต้องนำความกราบบังคมทูล เพื่อโปรดเกล้าฯ เรียกคืน และน่าแปลกใจว่าหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมาทำไมจึงไม่นำความกราบบังคมทูลเพื่อเรียกคืนตามระเบียบ ใครรับผิดชอบในการดูแลรักษาระเบียบนี้
    ด้านสำนักข่าวอิศราได้เขียนบทความเรื่อง เช็กชื่อ 'นักการเมือง-อดีต ขรก.' 7 รายที่ยังไม่ได้ถูกเรียกคืนเครื่องราชฯ เหมือน 'ทักษิณ' ระบุว่า การเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของนายทักษิณนั้น ในปี 2558 สำนักข่าวอิศราเคยนำข้อมูลมาเสนอไปแล้ว ว่าตามขั้นตอนทางกฎหมายนายทักษิณจะต้องถูกเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เนื่องจากกระทำความผิดเข้าข่ายระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ.2548 ซึ่งตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (8) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ในข้อที่ 2, 3 ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า เป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และเป็นผู้ต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ หรือเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 
ยิ่งลักษณ์เข้าข่ายเดียวกับแม้ว
    สำหรับรายชื่อนักการเมืองที่อยู่ในข่ายที่จะต้องถูกเรียกคืนเครื่องราชฯ เช่นเดียวกับนายทักษิณนั้น พบว่ามีอีกอย่างน้อย 4 รายด้วยกันคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์, นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ และนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งยึดข้อกำหนดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชฯ โดยระเบียบดังกล่าวกำหนดเหตุแห่งการเรียกคืนเครื่องราชฯ ไว้ทั้งหมด 8 ข้อด้วยกัน ซึ่งมีข้อหนึ่งที่เข้าเหตุ น.ส.ยิ่งลักษณ์, นายบุญทรง, นายภูมิ และนายมนัส คือข้อที่ 6 ระบุว่า เป็นผู้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ เพราะมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ซึ่งทั้ง 4 รายต่างถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดทั้งถอดถอนและดำเนินคดีอาญา 
    ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีกรณีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่ง ป.ป.ช.เห็นว่ามีพฤติการณ์เป็นการส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 และส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 11 (1) อันเป็นเหตุแห่งการถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 270 ซึ่งมีมูลเพียงพอที่จะดำเนินการส่งให้วุฒิสภาดำเนินการถอดถอนต่อไปได้ ต่อมาที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยมีมติเสียงข้างมาก 190 เสียงให้ถอดถอน ซึ่งคะแนนเกินกว่า 3 ใน 5 ของ สนช. ทั้งหมด 220 ราย ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง และถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ส่วนในทางอาญา มีมูลความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ จึงส่งรายงานและสำนวนให้อัยการสูงสุด (อสส.) ส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้รับพิจารณาคดีนัดแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 
    ส่วนกรณีนายบุญทรง, นายภูมิ และนายมนัส ในกรณีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยมิชอบ ป.ป.ช. เห็นว่าร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 พร้อมกับส่งรายงานและสำนวนการไต่สวนให้แก่ อสส. และส่งให้วุฒิสภาดำเนินการถอดถอน ต่อมาที่ประชุม สนช.ได้ถอดถอนนายบุญทรง, นายภูมิ และนายมนัส โดยมีมติเสียงข้างมาก 182 เสียง 180 เสียง และ 158 เสียงตามลำดับ ซึ่งคะแนนเกินกว่า 3 ใน 5 ของ สนช. ทำให้ทั้ง 3 ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง และถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ส่วนในทางอาญา มีกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.ฮั้ว และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 เช่นกัน จึงส่งรายงาน และสำนวนให้ อสส. ฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ปัจจุบันคดีทุจริตระบายข้าวจีทูจีล็อตแรก ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุกนายบุญทรง, นายภูมิ และนายมนัส ว่ามีความผิดตามกฎหมายไปแล้ว ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่ระหว่างการหลบหนีคดีในต่างประเทศ 
เครื่องราชฯ ของปูที่ต้องคืน
    สำหรับเครื่องราชฯ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ต้องถูกเรียกคืน ได้แก่ 1.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) 2.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) 3.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.) 4.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นเบญจมาภรณ์ช้างเผือก (บ.ช.) 5.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นเบญจมาภรณ์มงกุฎไทย (บ.ม.) และ 6.เหรียญลูกเสือสดุดี ชั้นที่ 1
    ส่วนของนายบุญทรงที่ต้องถูกเรียกคืนเครื่องราชฯ ได้แก่ 1.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) และ 2.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) ของนายภูมิ ได้แก่ 1.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) และ 2.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
    ทั้งนี้ ยังมีกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาจำคุกอดีตนักการเมืองใหญ่อย่างนายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย ถูกศาลตัดสินจำคุก 10 ปี ฐานร่วมสนับสนุนทุจริตการก่อสร้างโครงการบำบัดน้ำเสียคลองด่าน เมื่อปี 2551 และนายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย ถูกศาลตัดสินจำคุก 12 ปี และ พล.ต.ต.อธิรักษ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. ถูกศาลตัดสินจำคุก 10 ปี ฐานร่วมสนับสนุนทุจริตในโครงการจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง กทม. เมื่อปี 2556 ด้วย รวมไปถึงกรณีล่าสุดที่ศาลฎีกาฯ พิพากษายึดทรัพย์กว่า 68 ล้านบาทของ น.ส.นฤมล หรือณัฐกมล หรือณฐกมล หรืออินทร์ริตา นนทะโชติ หรือนนทะ วัชรศิริโชติ ข้าราชการฝ่ายการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฐานร่ำรวยผิดปกติ 
    “เมื่อนับรวมรายชื่อทั้งหมดจะอยู่ที่ 7 ราย คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์, นายบุญทรง, นายภูมิ, นายมนัส, นายวัฒนา, นายประชา และ น.ส.นฤมล ที่ยังไม่ได้ถูกเรียกคืนเครื่องราชฯ แบบเดียวกับนายทักษิณในขณะนี้” สำนักข่าวอิศราระบุ 
    ขณะที่ รศ.สุวินัย ภรณวลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อการปฏิวัติเงียบกับสัญญาณเตรียมลุกฮือของคนแดนไกล ระบุว่า ขณะนี้มีความเคลื่อนไหวลึกๆ ทั้งจากสองฝั่ง จับอาการได้ว่าเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงมาก ชนิดพร้อมแตกหักกันได้ทุกเมื่อ ประดุจช้างกำลังจะชนช้าง ระวังหญ้าแพรกจะแหลกลาญไปด้วย  ประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือของศึกช้างชนช้างในขณะนี้ โดยไม่ออกไปเคลื่อนไหวบนท้องถนนเป็นอันขาด ใครมีลูกมีหลานที่มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงจะออกไปประท้วงบนท้องถนน ควรตักเตือนให้ได้คิดด้วย
    “ผมอยากเตือนสติทุกคนทุกฝ่ายอีกครั้งว่า ไม่มีอุดมการณ์หรือลัทธิการเมืองไหนที่คู่ควรกับการอุทิศชีวิตเข้าแลก ไม่มีจริงๆ สู้กันด้วยความคิด ด้วยเหตุผลและเคารพความเห็นต่างก็พอแล้ว เพราะนี่คือเส้นทางไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง" รศ.สุวินัยโพสต์
เชื่อปลุกม็อบตอบโต้แน่
    รศ.สุวินัยยังโพสต์อีกว่า อาจารย์ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ รศ.ประจำศูนย์วิจัยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งตอนนี้ลี้ภัยไปอยู่ที่ญี่ปุ่น ได้โพสต์บทความเมื่อวันที่ 30 มี.ค. ที่ไม่รับผิดชอบต่อชีวิตของมวลชนฝ่ายตนเลยว่า เราไม่มีทางเอาชนะมันด้วยกระบวนการทางการเมืองที่เป็นอยู่ มีวิธีเดียวที่จะเอาชนะมันได้ นั่นคือการโค่นล้มจากพลังมวลชนบนท้องถนน มีความเสี่ยงอยากถูกยิงกะโหลก แต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะเอาคืนอำมาตย์ได้ ขอเรียกสั้นๆ ว่าเป็นวิธีการต่อสู้แบบบาสติล ในอีกฝั่งหนึ่ง คือปรากฏการณ์ผิดสังเกตที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพนำโดยผู้บัญชาการทหารสูงสุดตบเท้าแถลงจุดยืนของกองทัพต่อบทบาทและหน้าที่ในการปกป้องสถาบันหลักของชาติ พร้อมยกพระบรมราโชวาท ร.9 เปิดโอกาสให้คนดีบริหารบ้านเมือง คสช.กำลังรอสลายตัว หลังกระบวนการเลือกตั้งเดินตามโรดแมปใกล้จบตามกติกา ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ออกสารแสดงความเป็นห่วงสภาพจิตใจของประชาชนที่เฝ้าติดตามข่าวการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล รวมทั้งขอความร่วมมือสื่อมวลชนนำเสนอข่าวในระดับที่เหมาะสม ที่ลดความเครียดของประชาชน เนื่องจากขณะนี้ใกล้เข้าสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่จะเริ่มต้นตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนนี้
    “จะเห็นได้ชัดว่า คนแดนไกลต้องการเอาคืนที่ถูกเรียกคืนเครื่องราชฯ เมื่อคืนแน่ๆ เพราะคนอย่างเขาเป็นคนอาฆาตพยาบาท เมื่อเขาไม่มีความสุข อย่าหวังว่าบ้านเมืองจะสงบสุขด้วยเป็นอันขาด อาวุธอันทรงพลังที่คนแดนไกลยังมีอยู่ในมือตอนนี้ คือปลุกระดมมวลชนผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ออกมาก่อความไม่สงบบนท้องถนน ก่อนช่วง-ในช่วง-หลังช่วงพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั่นเอง” รศ.สุวินัยระบุ
    รศ.สุวินัยโพสต์อีกว่า สัญญาณส่งมาแล้วให้พวกหมากพวกเบี้ยในมือของคนแดนไกลขยับตามคำบัญชาการ ซึ่งขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ไม่มีอุดมการณ์หรือลัทธิการเมืองใดที่คู่ควรกับการอุทิศชีวิตเข้าแลก ไม่มีจริงๆ แค่ประชาชนทุกคนสู้กันด้วยความคิด ด้วยเหตุผล เคารพความเห็นต่างก็พอแล้ว บ้านเมืองเราจะเคลื่อนไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงได้เอง ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เลือกหนทางนี้ จุดจบแบบซีเรียจะเป็นอนาคตใหม่ของประเทศไทยแน่นอน
    ส่วนเฟซบุ๊กชื่อ ณัฐพันธุ์ กรุงเทพ กรุงเทพ ทันใจ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนและติดตามรายงานความเคลื่อนไหวของคนในตระกูลชินวัตรอย่างใกล้ชิด ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า การเรียกคืนเครื่องราชฯ เป็นเรื่องหลักเกณฑ์ปกติของการเรียกคืนเครื่องราชฯ ที่ผ่านมา ข้าราชบริพาร ข้าราชการ ทหาร-ตำรวจ เมื่อถูกตัดสินคดี ก็ถูกเรียกคืนเครื่องราชฯ ทั้งนั้น จึงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ปกติของการเรียกคืนเครื่องราชฯ 
“การเรียกคืนเครื่องราชฯ ดร.ทักษิณครั้งนี้ จึงมีคนพยายามนำเรื่องนี้มาโจมตีเพื่อหวังผลทางการเมือง ใช่หรือไม่ ส่วนคดีความต่างๆ ของ ดร.ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ประชาชนต่างรู้ดีว่า มาจากกระบวนการที่ผิดปกติหรือไม่” เพจตั้งคำถามไว้.

ยื้อโควต้ากระทรวงเศรษฐกิจตั้งรบ;สะดุด



แม้จะมีความพยายามแบ่งขั้วทางการเมืองเพื่อชิงกระแสจัดตั้งรัฐบาล แต่สถานการณ์การเมืองที่ กกต.ยังไม่รับรองผลอย่างเป็นทางการ ต้องยอมรับว่าฝ่ายนิ่งเงียบนั้นถือว่ามีความได้เปรียบ 

ส่วนฝ่ายที่ดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อหาทางชนะ อย่าง 6พรรคขั้วเพื่อไทย อาทิ พรรคเพื่อไทย 137 เสียง อนาคตใหม่ 80 เสียง พรรคเสรีรวมไทย 10 เสียง เป็นต้น ที่ร่วมสัตยาบันไม่เอาการสืบทอดอำนาจ เอาเข้าจริงความฝันเริ่มเลือนรางอาจตกเป็นฝ่ายค้านเพราะไม่ทราบว่าท้ายสุด กกต.จะรับรองให้เหลือยอด ส.ส.สุทธิกี่คน แตกต่างจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 116 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 52 เสียง พรรคภูมิใจไทย 51 เสียง และพรรคอื่นๆ ยุติความเคลื่อนไหวบนดิน พร้อมประกาศท่าทีทางการเมืองหลัง 9 พ.ค.นี้ 

ขณะที่เกมใต้ดินกับพยายามรุก โดย พปชร. ที่ได้คะแนนนิยมสูงเป็นอันดับหนึ่ง 8,433,137 เสียง สนับสนุน เริ่มคุยจัดตั้งรัฐบาลแบบลับๆ กับฝ่ายพรรคที่ไม่ได้ไปร่วมลงสัตยาบัน รวมถึงความพยายามใช้กำลังภายใน ดึงงูเห่าจากฝ่ายตรงข้าม 

หากคุยกันรู้เรื่องและผลประโยชน์ลงตัววิน-วินทุกฝ่าย 

โอกาสเห็นผู้จัดตั้งรัฐบาลพา “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งเป็นนายกฯ หลังเลือกตั้งแค่เอื้อมมือ 

แต่หากเจรจาล้มเหลว เพราะยังมีคน หวงก้าง


ลุงตู่ อาจตกสวรรค์ ในบริบทของคะแนนแต่ละฝ่ายคู่คี่สูสี เรียกว่าปริ่มน้ำ 

  • ปชป.-ภท. ไม่พอใจ คำถามตามมาอะไรจะเกิดขึ้น... 

ดังข่าวที่สะพัดออกมาว่า สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เข้ามาเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล โดยสาระสำคัญคือ “ต้องการรวบกระทรวงเศรษฐกิจไว้ดูแลในกลุ่มตัวเองทั้งหมด” 

ไม่เพียงแต่ ปชป.–ภท. รับไม่ได้ พรรคการเมืองต่างๆ ก็ไม่โอเคเช่นกัน เพราะเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไป หากยังใช้บริการทีมเดิมอยู่ รัฐบาลหน้าจะไปไม่รอด เพราะตลอด 5 ปีที่ผ่านมาทีมเศรษฐกิจชุดนี้ถือเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้รัฐบาล คสช.ถูกโจมตีมาอย่างต่อเนื่อง 

กระทั่งการหาเสียงที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทย ยังใช้วาทกรรม อยู่กับเรากระเป๋าตุง อยู่กับลุงกระเป๋าแฟบ จนได้ ส.ส.เข้ามาเป็นอันดับหนึ่งมาแล้ว 

แม้ที่ผ่านมาทีมเศรษฐกิจ คสช.จะพยายามแก้ปัญหา โดยใช้เงินงบประมาณลงไปจำนวนมหาศาล แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ชาวบ้านยากจน บวกความทุกข์ คนชั้นกลางถูกบริษัทจ้างคนออก งดสวัสดิการ และโบนัสมาแล้วหลายปีจนครอบครัวเหี่ยวเฉา 

มิพักความตั้งใจยังถูกกล่าวหาว่า นโยบายต่างๆ ผ่านประชารัฐและไทยนิยมยั่งยืน หลายแสนหลายหมื่นล้านบาท เพื่อซื้อเสียงผ่านเงินภาษีของประชาชนในช่วงใกล้เลือกตั้ง โดยมีมุดหมายเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใหญ่ใกล้ชิดฝั่งรัฐบาลจริงหรือไม่ ทำให้ประเทศตกอยู่ในสภาวะ รวยกระจุก จนกระจาย ไม่นับปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำรุนแรง 

ดังนั้น การถูกผูกขาดกระทรวงเศรษฐกิจไว้ที่ ผู้จัดการรัฐบาล นอกจากกระทบต่อประโยชน์สาธารณะแล้ว ในส่วนของพรรคต่างๆ ที่กำลังจะตัดสินใจร่วมรัฐบาลกับ พปชร. ก็อาจล้มละลายทางความเชื่อถือในไม่ช้า เพราะไม่สามารถผลักดันนโยบายตามที่หาเสียงไว้... 

อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ ต้องการเป็นรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ผ่านนโยบายหลัก ประกันรายได้คนไทย ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง, พรรคภูมิใจไทย โชว์แคมเปญ ลดอำนาจรัฐเพื่อปากท้องประชาชน, พรรคชาติไทยพัฒนา ต้องการรักษาเสถียรภาพการเงินและวินัยการคลัง หรือแม้แต่พรรค 6 เสียง เศรษฐกิจใหม่ของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ก็มีกระแสข่าวแอบดิวเข้ามามีเอี่ยวในกระทรวงเศรษฐกิจกับเขาด้วย 

ดังนั้น หาก ลุงตู่ ยังไม่เปลี่ยนตัวผู้จัดการรัฐบาล หรือทลายโควตากระทรวงเศรษฐกิจเปิดกว้างออกไปให้เกิดความเหมาะสม มั่นใจว่าจะกระทบต่อการฟอร์มทีมรัฐบาลอย่างแน่นอน 

  • พร้อมยื่นข้อเสนอแบบหมดหน้าตัก... กอบกู้สถานะจากผู้เพลี่ยงพล้ำ ให้เป็นผู้ชนะ เพราะเชื่อว่าเกมยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร.

ล๊อคเป้าถล่ม

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงผลคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. 350 เขตทั่วประเทศครบ 100% ไปแล้ว

ภาพรวมทั่วประเทศ มีผู้มาใช้สิทธิ 38,268,375 คน จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 51,239,638 คน คิดเป็น
ร้อยละ 74.69 โดยมีจำนวนบัตรดี 35,532,645 ใบ หรือ 92.85% บัตรเสีย 2,130,327 ใบ หรือ 5.57% และมีบัตรที่ไม่เลือกผู้สมัคร 605,392 ใบ หรือ 1.58%

แถมมี “บัตรเขย่ง” ให้ฮือฮาโห่ฮิ้วอีก 9 ใบ!!!

ยังไม่รวมถึงประเด็นจำนวนผู้มาใช้สิทธิ กับจำนวนบัตรเลือกตั้ง ที่ปรากฏตัวเลขออกมาลักลั่นกันในระหว่างมีการรายงานผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการแบบเรียลไทม์ ผ่านจอโทรทัศน์หลังปิดหีบลงคะแนน คืนวันที่ 24 มี.ค.

แถมตัวเลขสรุปผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ 93% เปรียบเทียบกับการแถลงผลคะแนนครบ 100% จาก กกต. จำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4.5 ล้านหัว

โดยพรรคพลังประชารัฐ ได้คะแนนรวมทั้งประเทศ 8.4 ล้านคะแนน พรรคเพื่อไทย 7.9 ล้านคะแนน

กลายเป็นปมให้บรรดาฝ่ายที่ตั้งท่าจับผิด หยิบมาเป็นประเด็นขยายผลขยายแผล โจมตีการทำงานของ 7 เสือ กกต. ส่อไปในทางไม่โปร่งใส

ผนวกกับการทำงานบริหารจัดการเลือกตั้ง ทั้งการเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต การเลือกตั้งล่วงหน้านอกราช-อาณาจักร ที่มีปัญหาขลุกขลักมาตลอดทาง

แถมยังโป๊ะแตกส่งท้าย กรณีปัญหาการส่งและรับบัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร จากประเทศนิวซีแลนด์กว่า 1,500 ใบ เกิดความล่าช้า ไม่ทันเวลานับคะแนน

จน กกต. ต้องพลิกตำรากฎหมายวินิจฉัย ใช้คำเท่ๆว่าเป็น “บัตรที่ไม่นำมา นับคะแนน” ให้งงเล่นซะอย่างงั้น ทั้งๆที่ภาษาชาวบ้านก็เรียกง่ายๆว่า “บัตรเสีย” นั่นแหละ

ด้วยปัญหาสารพันที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้ง แม้ กกต.จะขอโทษขอโพย ยอมรับความผิดพลาดในกระบวนการบางขั้นบางตอน

ที่เกิดจากตัวบุคคล และระบบรายงานผลมีปัญหารวนเป็นบางช่วง เพราะข้อมูลเข้ามาพร้อมกันเป็นจำนวนมาก ชักแม่น้ำทั้งห้า อธิบายขั้นตอนการ รายงานผลคะแนนแบบเรียลไทม์ ผ่านระบบแรพพิดรีพอร์ต

และปัญหาอุปสรรคในการประมวลผล ที่อาจนำมาสู่ความคลาดเคลื่อนในการรายงานของสื่อมวลชน จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดในข้อมูลตัวเลขที่ออกมาไม่เสถียรกัน

แต่ก็ไม่อาจต้านกระแสโหมโจมตีจากโลกออนไลน์ สื่อโซเชียลมีเดีย ที่เฮโลสาระพาถล่ม กกต.กันสนุกมือ!!!

“พ่อลูกอิน” มองการทำงานของ กกต. ในสภาวะที่พรรคการเมืองต่อสู้แข่งขันช่วงชิงคะแนนเสียงกันอย่างเข้มข้น มีสถานะไม่ต่างจาก “ตกอยู่กลางเขาควาย”

พรรคการเมืองที่คิดว่าตัวเองเสียเปรียบจากกติกาที่เอื้อต่อพรรคคู่แข่ง ระแวงเรื่องความเป็นกลางของ กกต.

จึงใช้เกม “ตีปลาหน้าไซ” ใส่ชุดข้อมูลความคิดที่เป็นลบต่อ กกต.ผ่านโลกโซเชียล จุดประเด็นโกงเลือกตั้งนำร่องมาตั้งแต่เริ่มหาเสียง แฝงยุทธศาสตร์แยกคนให้เลือกข้าง

เมื่อ กกต.มีข้อผิดพลาด บวกกับผู้คนอินกับชุดความคิดที่เป็นลบ และกระแสเลือกข้าง กกต.เลยถูกรุมยำเละ

เป็น กกต.ในยุคนักการเมืองหาคะแนนด้วยการตอกลิ่มสร้างความ แตกแยก ก็สะบักสะบอมอย่างงี้แหละ!!!

“พ่อลูกอิน”

เสร็จศึกเลือกตั้ง 2 ขั้วชิง “เสียงข้างมาก” ตั้งรัฐบาล

เข้าโหมดสงบ จบตามกติกา

สงครามจบ แต่ยังนับศพทหารไม่ได้

โดยสถานการณ์เลือกตั้งทั่วไปครั้งประวัติศาสตร์เปลี่ยนผ่านประเทศไทยวันที่ 24 มีนาคม ผ่านพ้นไป รู้ผลแพ้ชนะกันแล้วในมุมของภาพรวม

ตามปรากฏการณ์ที่เรียกได้ว่า ล็อกถล่มแผ่นดินทลาย

กับความร้อนแรงของค่ายอนาคตใหม่ ภายใต้การนำของ “ไพร่หมื่นล้าน” อย่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่กระแสติดลมบน ได้รับคะแนนโหวตอย่างท่วมท้น จากคนรุ่นใหม่และคนที่อยากเปลี่ยนแปลงการเมืองเก่า

โกย ส.ส.ได้ทะลุเป้ากว่า 80 คน ทั้ง ส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์

และก็ผิดจากที่เซียนหลายสำนักคาดหมาย กับความแรงของพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้จุดขายอย่าง “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หัวหน้า คสช.

กวาดไป 116 เก้าอี้ ทั้งปาร์ตี้ลิสต์และ ส.ส.เขต

ครองแชมป์กรุงเทพฯ เจาะผู้แทนฯได้ทั่วทุกภาคอีสาน กลาง เหนือ แม้แต่ปักษ์ใต้ ทีมหนุน “ลุงตู่” ก็แจ้งเกิดที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา เหมาจังหวัดภูเก็ต

ไม่เว้นจังหวัดตรัง ป้อมปราการของคนชื่อ “ชวน หลีกภัย”

ในมุมตรงกันข้าม กับความเสียหายย่อยยับในระดับ “สึนามิถล่ม” พรรคประชาธิปัตย์ต้องพ่ายแพ้ยับเยิน ได้ ส.ส.น้อยสุดในประวัติศาสตร์พรรครอบ 40 ปี

กรุงเทพมหานครสูญพันธุ์ ฐานใต้โดนเจาะพรุน

นั่นก็หนีความรับผิดชอบไม่พ้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคทันที หลังรู้คะแนนในช่วงค่ำของวันเลือกตั้ง

ส่วนแชมป์เก่าอย่างพรรคเพื่อไทยยังรักษาอันดับหนึ่งไว้ได้ ครอง ส.ส.เขตมากสุด 137 ที่นั่ง แต่ก็ต้องผิดหวังกับ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ไม่ได้แม้แต่คนเดียว

ตามการคิดคำนวณสูตรเลือกตั้งระบบจัดสรรปันส่วนผสม

ส่วนพรรคขนาดกลาง ขนาดเล็ก ก็สั่นสะเทือนกันไปตามแรง “ความฮอตลุงตู่” และ “ธนาธรเอฟเฟกต์”

อย่างไรก็ตาม โดยตัวเลขขั้นต้นที่ออกมา ตามคะแนนดิบพรรคพลังประชารัฐได้อันดับหนึ่งประมาณ 8.4 ล้านเสียง ตามด้วยพรรคเพื่อไทย 7.9 ล้านเสียง อันดับสามพรรคอนาคตใหม่ 6.2 ล้านเสียง ฯลฯ

ส่วนตัวเลขชัวร์ๆจะต้องรอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศจำนวนที่นั่ง ส.ส.เขตและ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์อย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พฤษภาคม ตามไทม์ไลน์ 60 วัน ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ในการคำนวณผลได้ตรงมากที่สุด

โดยเฉพาะในจุดที่ กกต.ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ “ตำบลกระสุนตก” เป็นเป้าโดนถล่มหนัก ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องมาตรฐานการทำงานที่ไม่พร้อม จัดเลือกตั้งขลุกขลัก ส่อไปทางไม่โปร่งใส

ในสภาพที่ตกเป็นจำเลยสังคม ถูกโลกโซเชียลฯล่าชื่อถอดถอน

แน่นอนส่วนหนึ่งก็คือ “มือใหม่หัดขับ” เพิ่งเข้ามาเป็น กกต.ไม่กี่เดือน ก็ต้องรับมือศึกเลือกตั้งใหญ่ ความผิดพลาดก็ต้องมีเป็นธรรมดา ทั้งในมุมของเครื่องมือดิจิทัลประมวลผล และความผิดพลาดโดยบุคคล

ทำให้การรายงานผลผิดๆถูกๆ ตัวเลขขาดๆเกินๆ

ทำให้ภาพออกมาน่ากังขา พฤติการณ์น่าสงสัย

แต่อีกมุมก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับสภาพของ กกต.ที่ตกเป็นเหยื่อของยุทธศาสตร์ชิงกระแส ตามเหลี่ยมแห่ตีปี๊บดักทางการพิจารณาของ กกต.

ในมุมที่จะออกมาเป็นลบกับฝ่ายตรงข้ามฝ่ายคุมอำนาจ

แบบที่จับจังหวะได้ เป้าของพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ เครือ-ข่ายฝ่ายต้าน คสช.พยายามเล่นกระแสในโซเชียลมีเดีย ปลุกพลังการตรวจสอบสังคมออนไลน์ กดดันการทำหน้าที่แบบน่ากังขาของ กกต.

ตามโปรแกรมที่ 7 เสือ กกต.จ่อแจกใบแดง ใบเหลือง ใบดำ

อาการแบบที่มีคนของพรรคประชาชาติแชร์ข่าว ปลอม ปล่อยโพย กกต.แจกใบแดงว่าที่ ส.ส.45 เขต พรรคเพื่อไทย 28 เขต พรรคอนาคตใหม่ 15 เขต พรรคพลังประชารัฐ 2 เขต

กกต.ออกมาปฏิเสธ พร้อมดำเนินการเอาผิดทางกฎหมาย

เครือข่าย “ทักษิณ” ฝ่ายต้าน คสช.โยนระเบิดถล่ม กกต. พร้อมๆกับชิงความชอบธรรม

ตามจังหวะที่พรรคเพื่อไทยทีมงานดูไบเป็นฝ่ายเล่นเกมเร็ว ด้วยการประกาศจับขั้วกับพรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคพลังปวงชนไทย เป็นรัฐบาลผสมอ้างเสียงเกิน 250 ที่นั่ง เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร

ชิงกระแส ปิดสวิตช์ 250 ส.ว. ให้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีโดยเคารพเสียง ส.ส.

ทั้งนี้ทั้งนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นเครือข่ายพรรคแนวร่วมที่ประกาศจุดยืนต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์มาตั้งแต่ตอนหาเสียงเลือกตั้ง

มีเพียงนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่ไม่ได้แสดงตัวแสดงตนชัดเจน และไม่ได้เข้าร่วมฉากแถลงร่วมลงสัตยาบันกับพรรคเพื่อไทย

แค่มานั่งแถลงยืนยันในภายหลัง แต่ฟังดูก็ยังออกลูกแทงกั๊ก

สมการตัวเลขยังพลิกไปพลิกมา ไม่ชัวร์แต่อย่างใด

แต่อาการ “หงายไพ่” ตั้งแต่ยังไม่รู้ผลตัวเลข ส.ส.อย่างเป็นทางการ อีกทั้งตามข่าววงในจากพรรคเพื่อไทยที่กลายเป็นพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันที่ 25 มีนาคม หลังรู้ผลเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยชิงจับขั้วจัดรัฐบาล

เชิด “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี

มันสะท้อนไต๋ “นายใหญ่” ยอมหมดทุกเงื่อนไข

เดิมพันขอแค่ให้ล้มขั้วอำนาจ คสช. ชิงการบริหารราชการแผ่นดินกลับมาอยู่ในกำมือให้ได้

เพราะมันคือโอกาสเดียวที่จะนิรโทษกรรม กลับประเทศไทย

ในสถานการณ์ที่ขั้วคู่แข่งอย่างพรรคพลังประชารัฐใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว โดยแกนนำพรรคย้ำให้รอ กกต.ประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ

รู้ตัวเลขชัดเจนก่อน ค่อยดำเนินการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาล

แต่ก็เน้นเดินหมากใต้ดิน ดีลกับพรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็กกันบ้างแล้ว

ตามแนวโน้มสถานการณ์ของฝั่งที่กุมความได้เปรียบ จากเงื่อนไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 บทเฉพาะกาลที่กำหนดให้การเลือกนายกรัฐมนตรี

ทำในที่ประชุมรัฐสภา นั่นคือ ส.ส. 500 คน กับ ส.ว. 250 คน รวมเป็น 750 คน

ผู้ได้รับเสียงโหวตเป็นนายกฯต้องได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งคือ 376 เสียง

นั่นหมายถึงทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” ที่มีเสียง ส.ว. 250 เสียงเป็นต้นทุนหน้าตัก บวกกับเสียงของพรรคพลัง-ประชารัฐและแนวร่วมอีกแค่ 126 เสียง

ก็ดัน พล.อ.ประยุทธ์เข้าป้ายนายกฯรอบสองได้แล้ว

แต่โจทย์สถานการณ์ของพรรคพลังประชารัฐและทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” มันอยู่ที่การระดมเสียง ส.ส.ให้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ เพื่อการบริหารงานที่ต้องผ่านมติสภา

ด้วยตัวเลขกลมๆ ณ วันนี้ ในส่วนขั้วของพรรคพลังประชารัฐที่ดีลกันไว้น่าชัวร์แล้วก็คือพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา พรรครวมพลังประชาชาติไทย และเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านพรรคเล็กๆที่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ 1–2 ที่นั่ง

ส่วนตัวแปรขนาดกลางอย่างพรรคภูมิใจไทย ที่ตามรูปการณ์ “เสี่ยหนู” เป็นตัวแปรเนื้อหอม แต่ในทางลึก

ว่ากันว่าดีลกันมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง

พลังประชารัฐกับทีมของ “เนวิน ชิดชอบ” แทบจะแยกกันไม่ออก

ที่ต้องลุ้นกันจริงๆสำหรับทีมหนุน “ลุงตู่” ก็คือเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยังติดขัดบรรดาผู้อาวุโส โดยเฉพาะอารมณ์ของนายชวน หลีกภัย ที่ยังค้างคาใจกับความพ่ายแพ้แบบหมดรูป

จะไม่ยอมไปซ้ายไปขวา ไม่เอาทั้งเพื่อไทยและไม่หนุนพลังประชารัฐ

และนั่นก็น่าจะขัดกันกับธงของทีมงานสาย กปปส.ที่นำโดยนายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรค และพวกที่เป็น ส.ส.สอบได้ แสดงเจตจำนงชัดเจน พร้อมหนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี

งานนี้ถ้าไม่เคลียร์กันดีๆมีหวังได้เห็น “งูเห่า” ปชป.

ตามรูปการณ์ที่ส่อให้เห็นเค้างูเห่าจะเลื้อยกันเพ่นพ่าน ในสถานการณ์ 2 ขั้วขึงพืด รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ

แต่ทั้งหมดทั้งปวง ไม่ว่าจะซิกแซ็ก ชิงเหลี่ยมชิงเสียงกันยังไง ตราบใดที่อยู่ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ นั่นหมายถึงเป็นสิ่งที่ดำเนินการได้

แต่อย่างใด

แต่ที่ชัดเจนเลยก็คือปรากฏการณ์ที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพนำโดย พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด ตบเท้าแถลงจุดยืนของกองทัพต่อบทบาทและหน้าที่ในการปกป้องสถาบันหลักของชาติ

ยกพระบรมราโชวาท ร.9 เปิดโอกาสให้คนดีบริหารบ้านเมือง

คสช.รอสลาย หลังกระบวนการเลือกตั้งเดินตามโรดแม็ป ใกล้จบตามกติกา

ตามเงื่อนเวลาเข้าสู่โหมดสงบ กับสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงความเป็นห่วงสภาพจิตใจของพี่น้องประชาชนที่เฝ้าติดตามข่าวการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคการเมือง ขอความร่วมมือสื่อมวลชนนำเสนอข่าวในระดับที่เหมาะสม เพื่อลดความเครียดหรือความวิตกกังวลของประชาชน

เนื่องจากขณะนี้ใกล้เข้าสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่จะเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนนี้

อยากให้ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่คนไทยมีความสุข ความสามัคคี ประเทศชาติมีความสงบ

เรื่องของเรื่อง การเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาล ผ่านมาแล้วหลายสิบครั้ง

แต่พระราชพิธีสำคัญที่จะสะท้อนความยิ่งใหญ่

ไปสู่สายตาชาวโลก บ่งบอกความผูกพันของคนไทยกับสถาบันกษัตริย์ ความสวยงามของโบราณราชประเพณีของเมืองไทยในรอบกว่า 70 ปี

บางคนชั่วชีวิตอาจได้เห็นแค่ครั้งเดียว.

"ทีมการเมือง"