PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562

เสร็จศึกเลือกตั้ง 2 ขั้วชิง “เสียงข้างมาก” ตั้งรัฐบาล

เข้าโหมดสงบ จบตามกติกา

สงครามจบ แต่ยังนับศพทหารไม่ได้

โดยสถานการณ์เลือกตั้งทั่วไปครั้งประวัติศาสตร์เปลี่ยนผ่านประเทศไทยวันที่ 24 มีนาคม ผ่านพ้นไป รู้ผลแพ้ชนะกันแล้วในมุมของภาพรวม

ตามปรากฏการณ์ที่เรียกได้ว่า ล็อกถล่มแผ่นดินทลาย

กับความร้อนแรงของค่ายอนาคตใหม่ ภายใต้การนำของ “ไพร่หมื่นล้าน” อย่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่กระแสติดลมบน ได้รับคะแนนโหวตอย่างท่วมท้น จากคนรุ่นใหม่และคนที่อยากเปลี่ยนแปลงการเมืองเก่า

โกย ส.ส.ได้ทะลุเป้ากว่า 80 คน ทั้ง ส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์

และก็ผิดจากที่เซียนหลายสำนักคาดหมาย กับความแรงของพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้จุดขายอย่าง “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หัวหน้า คสช.

กวาดไป 116 เก้าอี้ ทั้งปาร์ตี้ลิสต์และ ส.ส.เขต

ครองแชมป์กรุงเทพฯ เจาะผู้แทนฯได้ทั่วทุกภาคอีสาน กลาง เหนือ แม้แต่ปักษ์ใต้ ทีมหนุน “ลุงตู่” ก็แจ้งเกิดที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา เหมาจังหวัดภูเก็ต

ไม่เว้นจังหวัดตรัง ป้อมปราการของคนชื่อ “ชวน หลีกภัย”

ในมุมตรงกันข้าม กับความเสียหายย่อยยับในระดับ “สึนามิถล่ม” พรรคประชาธิปัตย์ต้องพ่ายแพ้ยับเยิน ได้ ส.ส.น้อยสุดในประวัติศาสตร์พรรครอบ 40 ปี

กรุงเทพมหานครสูญพันธุ์ ฐานใต้โดนเจาะพรุน

นั่นก็หนีความรับผิดชอบไม่พ้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคทันที หลังรู้คะแนนในช่วงค่ำของวันเลือกตั้ง

ส่วนแชมป์เก่าอย่างพรรคเพื่อไทยยังรักษาอันดับหนึ่งไว้ได้ ครอง ส.ส.เขตมากสุด 137 ที่นั่ง แต่ก็ต้องผิดหวังกับ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ไม่ได้แม้แต่คนเดียว

ตามการคิดคำนวณสูตรเลือกตั้งระบบจัดสรรปันส่วนผสม

ส่วนพรรคขนาดกลาง ขนาดเล็ก ก็สั่นสะเทือนกันไปตามแรง “ความฮอตลุงตู่” และ “ธนาธรเอฟเฟกต์”

อย่างไรก็ตาม โดยตัวเลขขั้นต้นที่ออกมา ตามคะแนนดิบพรรคพลังประชารัฐได้อันดับหนึ่งประมาณ 8.4 ล้านเสียง ตามด้วยพรรคเพื่อไทย 7.9 ล้านเสียง อันดับสามพรรคอนาคตใหม่ 6.2 ล้านเสียง ฯลฯ

ส่วนตัวเลขชัวร์ๆจะต้องรอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศจำนวนที่นั่ง ส.ส.เขตและ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์อย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พฤษภาคม ตามไทม์ไลน์ 60 วัน ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ในการคำนวณผลได้ตรงมากที่สุด

โดยเฉพาะในจุดที่ กกต.ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ “ตำบลกระสุนตก” เป็นเป้าโดนถล่มหนัก ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องมาตรฐานการทำงานที่ไม่พร้อม จัดเลือกตั้งขลุกขลัก ส่อไปทางไม่โปร่งใส

ในสภาพที่ตกเป็นจำเลยสังคม ถูกโลกโซเชียลฯล่าชื่อถอดถอน

แน่นอนส่วนหนึ่งก็คือ “มือใหม่หัดขับ” เพิ่งเข้ามาเป็น กกต.ไม่กี่เดือน ก็ต้องรับมือศึกเลือกตั้งใหญ่ ความผิดพลาดก็ต้องมีเป็นธรรมดา ทั้งในมุมของเครื่องมือดิจิทัลประมวลผล และความผิดพลาดโดยบุคคล

ทำให้การรายงานผลผิดๆถูกๆ ตัวเลขขาดๆเกินๆ

ทำให้ภาพออกมาน่ากังขา พฤติการณ์น่าสงสัย

แต่อีกมุมก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับสภาพของ กกต.ที่ตกเป็นเหยื่อของยุทธศาสตร์ชิงกระแส ตามเหลี่ยมแห่ตีปี๊บดักทางการพิจารณาของ กกต.

ในมุมที่จะออกมาเป็นลบกับฝ่ายตรงข้ามฝ่ายคุมอำนาจ

แบบที่จับจังหวะได้ เป้าของพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ เครือ-ข่ายฝ่ายต้าน คสช.พยายามเล่นกระแสในโซเชียลมีเดีย ปลุกพลังการตรวจสอบสังคมออนไลน์ กดดันการทำหน้าที่แบบน่ากังขาของ กกต.

ตามโปรแกรมที่ 7 เสือ กกต.จ่อแจกใบแดง ใบเหลือง ใบดำ

อาการแบบที่มีคนของพรรคประชาชาติแชร์ข่าว ปลอม ปล่อยโพย กกต.แจกใบแดงว่าที่ ส.ส.45 เขต พรรคเพื่อไทย 28 เขต พรรคอนาคตใหม่ 15 เขต พรรคพลังประชารัฐ 2 เขต

กกต.ออกมาปฏิเสธ พร้อมดำเนินการเอาผิดทางกฎหมาย

เครือข่าย “ทักษิณ” ฝ่ายต้าน คสช.โยนระเบิดถล่ม กกต. พร้อมๆกับชิงความชอบธรรม

ตามจังหวะที่พรรคเพื่อไทยทีมงานดูไบเป็นฝ่ายเล่นเกมเร็ว ด้วยการประกาศจับขั้วกับพรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคพลังปวงชนไทย เป็นรัฐบาลผสมอ้างเสียงเกิน 250 ที่นั่ง เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร

ชิงกระแส ปิดสวิตช์ 250 ส.ว. ให้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีโดยเคารพเสียง ส.ส.

ทั้งนี้ทั้งนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นเครือข่ายพรรคแนวร่วมที่ประกาศจุดยืนต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์มาตั้งแต่ตอนหาเสียงเลือกตั้ง

มีเพียงนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่ไม่ได้แสดงตัวแสดงตนชัดเจน และไม่ได้เข้าร่วมฉากแถลงร่วมลงสัตยาบันกับพรรคเพื่อไทย

แค่มานั่งแถลงยืนยันในภายหลัง แต่ฟังดูก็ยังออกลูกแทงกั๊ก

สมการตัวเลขยังพลิกไปพลิกมา ไม่ชัวร์แต่อย่างใด

แต่อาการ “หงายไพ่” ตั้งแต่ยังไม่รู้ผลตัวเลข ส.ส.อย่างเป็นทางการ อีกทั้งตามข่าววงในจากพรรคเพื่อไทยที่กลายเป็นพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันที่ 25 มีนาคม หลังรู้ผลเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยชิงจับขั้วจัดรัฐบาล

เชิด “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี

มันสะท้อนไต๋ “นายใหญ่” ยอมหมดทุกเงื่อนไข

เดิมพันขอแค่ให้ล้มขั้วอำนาจ คสช. ชิงการบริหารราชการแผ่นดินกลับมาอยู่ในกำมือให้ได้

เพราะมันคือโอกาสเดียวที่จะนิรโทษกรรม กลับประเทศไทย

ในสถานการณ์ที่ขั้วคู่แข่งอย่างพรรคพลังประชารัฐใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว โดยแกนนำพรรคย้ำให้รอ กกต.ประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ

รู้ตัวเลขชัดเจนก่อน ค่อยดำเนินการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาล

แต่ก็เน้นเดินหมากใต้ดิน ดีลกับพรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็กกันบ้างแล้ว

ตามแนวโน้มสถานการณ์ของฝั่งที่กุมความได้เปรียบ จากเงื่อนไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 บทเฉพาะกาลที่กำหนดให้การเลือกนายกรัฐมนตรี

ทำในที่ประชุมรัฐสภา นั่นคือ ส.ส. 500 คน กับ ส.ว. 250 คน รวมเป็น 750 คน

ผู้ได้รับเสียงโหวตเป็นนายกฯต้องได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งคือ 376 เสียง

นั่นหมายถึงทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” ที่มีเสียง ส.ว. 250 เสียงเป็นต้นทุนหน้าตัก บวกกับเสียงของพรรคพลัง-ประชารัฐและแนวร่วมอีกแค่ 126 เสียง

ก็ดัน พล.อ.ประยุทธ์เข้าป้ายนายกฯรอบสองได้แล้ว

แต่โจทย์สถานการณ์ของพรรคพลังประชารัฐและทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” มันอยู่ที่การระดมเสียง ส.ส.ให้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ เพื่อการบริหารงานที่ต้องผ่านมติสภา

ด้วยตัวเลขกลมๆ ณ วันนี้ ในส่วนขั้วของพรรคพลังประชารัฐที่ดีลกันไว้น่าชัวร์แล้วก็คือพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา พรรครวมพลังประชาชาติไทย และเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านพรรคเล็กๆที่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ 1–2 ที่นั่ง

ส่วนตัวแปรขนาดกลางอย่างพรรคภูมิใจไทย ที่ตามรูปการณ์ “เสี่ยหนู” เป็นตัวแปรเนื้อหอม แต่ในทางลึก

ว่ากันว่าดีลกันมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง

พลังประชารัฐกับทีมของ “เนวิน ชิดชอบ” แทบจะแยกกันไม่ออก

ที่ต้องลุ้นกันจริงๆสำหรับทีมหนุน “ลุงตู่” ก็คือเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยังติดขัดบรรดาผู้อาวุโส โดยเฉพาะอารมณ์ของนายชวน หลีกภัย ที่ยังค้างคาใจกับความพ่ายแพ้แบบหมดรูป

จะไม่ยอมไปซ้ายไปขวา ไม่เอาทั้งเพื่อไทยและไม่หนุนพลังประชารัฐ

และนั่นก็น่าจะขัดกันกับธงของทีมงานสาย กปปส.ที่นำโดยนายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรค และพวกที่เป็น ส.ส.สอบได้ แสดงเจตจำนงชัดเจน พร้อมหนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี

งานนี้ถ้าไม่เคลียร์กันดีๆมีหวังได้เห็น “งูเห่า” ปชป.

ตามรูปการณ์ที่ส่อให้เห็นเค้างูเห่าจะเลื้อยกันเพ่นพ่าน ในสถานการณ์ 2 ขั้วขึงพืด รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ

แต่ทั้งหมดทั้งปวง ไม่ว่าจะซิกแซ็ก ชิงเหลี่ยมชิงเสียงกันยังไง ตราบใดที่อยู่ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ นั่นหมายถึงเป็นสิ่งที่ดำเนินการได้

แต่อย่างใด

แต่ที่ชัดเจนเลยก็คือปรากฏการณ์ที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพนำโดย พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด ตบเท้าแถลงจุดยืนของกองทัพต่อบทบาทและหน้าที่ในการปกป้องสถาบันหลักของชาติ

ยกพระบรมราโชวาท ร.9 เปิดโอกาสให้คนดีบริหารบ้านเมือง

คสช.รอสลาย หลังกระบวนการเลือกตั้งเดินตามโรดแม็ป ใกล้จบตามกติกา

ตามเงื่อนเวลาเข้าสู่โหมดสงบ กับสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงความเป็นห่วงสภาพจิตใจของพี่น้องประชาชนที่เฝ้าติดตามข่าวการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคการเมือง ขอความร่วมมือสื่อมวลชนนำเสนอข่าวในระดับที่เหมาะสม เพื่อลดความเครียดหรือความวิตกกังวลของประชาชน

เนื่องจากขณะนี้ใกล้เข้าสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่จะเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนนี้

อยากให้ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่คนไทยมีความสุข ความสามัคคี ประเทศชาติมีความสงบ

เรื่องของเรื่อง การเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาล ผ่านมาแล้วหลายสิบครั้ง

แต่พระราชพิธีสำคัญที่จะสะท้อนความยิ่งใหญ่

ไปสู่สายตาชาวโลก บ่งบอกความผูกพันของคนไทยกับสถาบันกษัตริย์ ความสวยงามของโบราณราชประเพณีของเมืองไทยในรอบกว่า 70 ปี

บางคนชั่วชีวิตอาจได้เห็นแค่ครั้งเดียว.

"ทีมการเมือง"





ไม่มีความคิดเห็น: