PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2562

รับพระบรมราชโองการนายกฯ "บิ๊กตู่" รู้ตัว บอกใจเย็นอยู่แล้ว


นัดจัดโผครม.ทันที! ทั้ง2ป.-สมคิด-วิษณุ รวม 4 กุมารแบเบอร์ สามมิตร-แห้วหมด อดเกษตรคมนาคม ได้แค่พลังงาน-ยธ.

“บิ๊กตู่” รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกฯ ประกาศจะทุ่มเททำงานซื่อสัตย์สุจริต ใช้งบฯโปร่งใสป้องกันทุจริตคอร์รัปชัน พรรคร่วมเตือนใจเย็นลงบ้าง ลุยจัดโผต้องพูดคุยหาจุดลงตัวให้ได้ พปชร.เขย่าโผใกล้ลงล็อก 4 กุมารมาครบ “อุตตม” คุมคลัง “สนธิรัตน์” อุตสาหกรรม “กอบศักดิ์” ดีอี “สุวิทย์” อุดมศึกษา ปลอบใจ “สามมิตร” “สุริยะ” ฮุบพลังงาน “สมศักดิ์” ไปยุติธรรม “สันติ-อนุชา” ช่วยคลัง ก๊วน กปปส.ก็เฮ “ณัฏฐพล” นั่งศึกษาฯ “พุทธิพงษ์” รมต.สำนักนายกฯ ตกรางวัล “ธรรมนัส” เจ้าพ่อแรงงาน “กษิต” ไขก๊อกออกจาก ปชป.อีกคน “จุรินทร์” ย้ำนโยบายรัฐบาลต้องมีแก้จน สร้างคน สร้างชาติ-ประกันพืชผล หมดยุคโละสติกเกอร์ “มาร์ค” ทิ้ง “วราวุธ” เชื่อ ครม.คลอดหลังเวทีอาเซียน พท.-อนค.บี้หนัก เปิดชื่อ กก.สรรหา ส.ว. “วิษณุ” ยอมรับมี กก.ถูกเสนอชื่อเป็น ส.ว. จับตา ม.44 เลิกคำสั่ง คสช.คุมสื่อ

รัฐบาล “ประยุทธ์ 2” เริ่มเดินเครื่อง หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศจะทุ่มเททำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จะใช้จ่ายงบประมาณด้วยความโปร่งใส และป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน


“บิ๊กตู่” รับพระบรมราชโองการ

เมื่อเวลา 11.40 น. วันที่ 11 มิ.ย. ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล บรรดาตัวแทนพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลที่ได้รับเชิญมาร่วมพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ทั้ง 19 พรรค ทยอยเดินทางมาร่วมพิธี มีนายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ มาถึงเป็นคนแรก สำหรับตัวแทนจากพรรคต่างๆ อาทิ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นายวราวุธ ศิลปอาชา ประธานยุทธศาสตร์และนโยบายพรรคชาติไทยพัฒนา ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย นายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา นายชัชวาลย์ คงอุดม หัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไท มีเพียงนายดำรงค์ พิเดช หัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทยเท่านั้น ที่ไม่ได้มาร่วมพิธี ทำให้มีตัวแทนพรรคการเมืองเหลือ 18 พรรค

จะทุ่มเททำงานซื่อสัตย์สุจริต

ต่อมาเวลา 13.35 น. นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้เชิญพระบรมราชโองการ มายังห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทำพิธีรับพระบรมราชโองการ มีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา ร่วมในพิธี เมื่อเสร็จพิธี พล.อ.ประยุทธ์และตัวแทนพรรคการเมืองเดินมายังห้องสีม่วงตึกไทยคู่ฟ้า นายกฯกล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณว่า “ในวาระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นับเป็นเกียรติยศและเป็นสิริมงคลอย่างสูงสุดแก่ชีวิตอย่างหาที่สุดมิได้ ผมและครอบครัวรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นล้นพ้น และขอเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ทั้งจักปฏิบัติงานสนองพระราชปณิธานตามพระปฐมบรมราชโองการ ผมขอยืนยันว่าจะทุ่มเททำงานตามมาตรฐานจริยธรรมด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ จะเพียรพยายามมุ่งมั่นทำงาน พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นของทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทุกสาขาอาชีพ ทุกช่วงวัย ขับเคลื่อนประเทศในทุกด้าน”


ยึดโปร่งใสป้องทุจริตคอร์รัปชัน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า จะป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้ สร้างความเข้มแข็ง ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้มีรายได้น้อย ด้วยการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐอย่างโปร่งใส ตาม พ.ร.บ.การเงินการคลัง และเอกชนมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้เยาวชนคนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก สร้างสรรค์สังคมให้มีความรัก ความสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ เกื้อกูลกันในทุกโอกาสเพื่อความกินดี อยู่ดี และความมั่นคงปลอดภัยของประชาชน พร้อมจะปกป้องรักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิแห่งสถาบันชาติ ศาสนา ตลอดจนจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของประชาชนชาวไทย ขอบคุณ ส.ส. และ ส.ว. ที่ทำหน้าที่อย่างเต็มความรู้ความสามารถ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ ขอบคุณพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลที่สนับสนุนและให้โอกาสทำหน้าที่นายกฯอีกวาระหนึ่ง เพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างที่ทุกท่านตั้งใจไว้ ขอบคุณประชาชนชาวไทย ข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร และหน่วยงานทุกภาคส่วน ที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และหวังว่าทุกท่านจะเป็นพลังคอยเกื้อหนุน นำพาประเทศไทยให้สงบร่มเย็น มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนตลอดไป

ขอทุกฝ่ายร่วมมือทำชาติมั่นคง

จากนั้นนายกฯได้เข้ามาขอบคุณแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล และเชิญไปถ่ายรูปพร้อมกันที่เชิงบันไดทางขึ้นห้องทำงานในตึกไทยคู่ฟ้า และเดินมายังตึกภักดีบดินทร์ นายกฯกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ขอบคุณสื่อทุกคนทั้งคนไทยและต่างประเทศ ที่ให้เกียรติมาร่วมพิธีสำคัญวันนี้ ให้คำมั่นสัญญาไปแล้วว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ร่วมกับ ส.ส. และ ครม.ที่จะมีการจัดตั้งขึ้น ขอให้ทุกคนร่วมมือกันทำให้ประเทศมั่นคง ปลอดภัย ยั่งยืน ต่อไปเราจะมีแต่รอยยิ้มให้กัน เมื่อถามว่ารายชื่อ ครม.จะสามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายได้เมื่อใด พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสว่า “ยังไม่ได้รับรายงานนะจ๊ะ ยังไม่ได้คุยกัน เพิ่งเป็นนายกฯวันนี้”

ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศ

วันเดียวกัน เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีว่า พระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาลงมติ เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2562 เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา จึงแต่งตั้งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 9 มิ.ย.2562 เป็นปีที่ 4 ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้รับสนองพระบรมราช โองการ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร


พรรคร่วมเตือนให้ใจเย็นทำงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์เดินพูดคุยทักทาย พร้อมกล่าวขอบคุณตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาลที่สนับสนุนให้ได้เป็นนายกฯสมัยที่ 2 จากนี้จะทำงานอย่างเต็มที่ ขอให้ทุกคนช่วยกัน และยินดีที่จะทำงานร่วมกับทุกคน มีหนึ่งในตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาลกล่าวให้กำลังใจ พร้อมขอให้นายกฯใช้ความใจเย็นในการทำงานหลังจากนี้ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ตอบกลับว่า “รู้อยู่แล้ว ตัวเองใจเย็นอยู่แล้ว”

ต้องหาทางพูดคุยจุดลงตัวให้ได้

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 08.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามปกติ โดยก่อนเข้าประชุม ผู้สื่อข่าวถามว่ารู้สึกตื่นเต้นหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “เป็นปกติก็เหมือนทุกวันนั่นแหละ” ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์แถลงหลังการประชุมถึงความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาล ว่า หลังพิธีรับพระบรมราชโองการฯ จะคุยกับพรรคต่างๆได้ตามกฎหมาย ที่ผ่านมาเห็นแต่ในสื่อที่เขียนเชิงวิเคราะห์ วันนี้ต้องหาทางพูดคุยกัน โดยคำนึงถึงความเหมาะสม หาจุดลงตัวให้ได้ คำนึงถึงผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นสำคัญ ส่วนนโยบายที่พรรคต่างๆเสนอขึ้นมา ล้วนเป็นประโยชน์ต่อประเทศทั้งสิ้น ในฐานะที่เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ต้องเป็นรัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ การนำเอานโยบายมาปรับให้สอดคล้องกับงบประมาณ ต้องดูทั้งแผนงานเดิมและแผนงานใหม่ คิดว่าคงเรียบร้อยโดยเร็ว

โยน “วิษณุ” แจงปมสรรหา ส.ว.

พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงการเตรียมยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. และประกาศ คสช. ตามมาตรา 44 ว่า คำสั่งมาตรา 44 ไม่ได้อยากจะมีเอาไว้ อันไหนที่ไม่จำเป็นต้องยกเลิก กำลังเร่งรัดฝ่ายกฎหมายดำเนินการให้เร็วที่สุด ส่วนที่กังวลว่าหากไม่ยกเลิก อำนาจ คสช.บางส่วนยังคงอยู่นั้น ตรงนี้ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างจะเสร็จก่อนมีรัฐบาลใหม่ และรัฐบาลใหม่จะมีผลต่อเมื่อมีการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วเท่านั้น รัฐบาลชุดนี้ยังมีอำนาจในการทำหน้าที่อยู่ ส่วนคำสั่ง คสช.ไม่ให้เปิดเผยรายชื่อคณะกรรมการสรรหา ส.ว. อาจส่งผลให้การแต่งตั้ง ส.ว.เป็นโมฆะนั้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงแล้ว ส่วนรายชื่อสำรอง ส.ว.อีก 50 คน ส่งไปที่ประธานวุฒิสภาแล้ว จะประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป เมื่อถามถึงกระแสข่าวจะเชิญพรรคประชาชาติมาร่วมรัฐบาลด้วย พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธที่จะตอบ เดินส่ายหัวกลับขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าทันที

“ป้อม-ป๊อก” ออกตัวไม่รู้ได้ไปต่อ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ได้แสดงความยินดีเป็นการส่วนตัวกับ พล.อ.ประยุทธ์ที่ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกฯอีกสมัย ต้องทำหน้าที่ต่อไป ส่วนตนจะได้ทำหน้าที่ต่อหรือไม่ยังไม่รู้ เพราะขณะนี้เดินไม่ค่อยไหวแล้ว เมื่อถามว่านายกฯอาจเชิญมาร่วมงานอีกครั้ง พล.อ.ประวิตรตอบว่า ไม่รู้ สื่อก็คิดกันไปเอง เมื่อถามย้ำว่ามีข่าว พล.อ.ประยุทธ์ทาบทามพรรคประชาชาติให้มาร่วมรัฐบาล พล.อ.ประวิตรตอบว่า ไม่รู้ ส่วนการเปิดเผยชื่อคณะกรรมการสรรหา ส.ว. เดี๋ยวคงเปิดเผย แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นเมื่อไหร่ แต่ยืนยันว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญแน่นอน

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวเพียงสั้นๆก่อนเข้าประชุม ครม.ว่า ยังไม่ได้รับการทาบทามให้มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลหน้า การพูดคุยก็ยังไม่มี

“ธนกร” ปัดขัดแย้ง “ธรรมนัส”

ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า เป็นเด็กที่เคารพผู้ใหญ่เสมอมา แต่มีหน้าที่ตามที่พรรคมอบหมายให้ด้วย การแสดงความเห็นเรื่องการจัด ครม.ด้วยความหวังดี และห่วงใย อยากให้ทุกฝ่ายยึดประโยชน์ประเทศและประชาชนเป็นหลัก เชื่อว่าประชาชนเข้าใจดี ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บริหารพรรค สุดท้ายนายกฯจะเป็นผู้พิจารณาคนที่เหมาะสมตามอำนาจของท่าน ส่วนกรณีที่นายธรรมนัส พรมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ ออกมาเบรกนั้น ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคตนเคารพนับถือเป็นพี่ ท่านมีหน้าที่ของท่านแบบหนึ่ง ตนก็มีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอีกแบบหนึ่ง ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ที่ผ่านมาคอยปกป้องพรรคและ พล.อ.ประยุทธ์มาตลอด เพราะมั่นใจว่าตั้งใจทำงานให้ประเทศและประชาชน

“อุตตม” แง้มอีกไม่กี่วันเห็นโฉม

จากนั้นเวลา 17.15 น. นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊กชี้แจงความคืบหน้าการจัดโผ ครม. ระบุว่า มั่นใจว่านับจากวันนี้ประเทศไทยจะเดินหน้าอย่างรวดเร็วและมั่นคง เชื่อมั่นในความเป็นผู้นำของนายกฯ จะสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้มีประสิทธิภาพ อีกไม่กี่วันประชาชนจะทราบรายชื่อบุคคลที่ดำรงตำแหน่งในแต่ละกระทรวง พรรคร่วมรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯจะดำเนินการสรรหาบุคคลที่เหมาะสมกับแต่ละตำแหน่ง ภารกิจสำคัญของชาติมีมากมาย งบประมาณปี 2563 ต้องได้รับการพิจารณาอย่างเร่งด่วน โครงการสำคัญๆต้องได้รับการสานต่อ เศรษฐกิจประเทศต้องขับเคลื่อน ประชาชนต้องได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียม “ผมยืนยันครับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดใหม่นี้ คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ ไม่ใช่เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง”

“ลุงตู่” ลงเคลียร์ปัญหาจัดทัพเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคพลังประชารัฐว่า หลังการแบ่งโควตาเก้าอี้รัฐมนตรีไม่ลงตัว ล่าสุดทันทีที่ พล.อ.ประยุทธ์รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกฯ ได้ลงมาแก้ปัญหาทันที เริ่มต้นเคลียร์ปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐเป็นอันดับแรก มีรายงานว่าหลังเสร็จพิธีฯ พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลเมื่อเวลา 15.40 น. ซึ่งเร็วกว่าปกติทุกวัน โดยได้เรียกแกนนำพลังประชา-รัฐหารือเคลียร์เก้าอี้รัฐมนตรีภายในพรรค ณ สถานที่แห่งหนึ่ง นำโดยนายอุตตม นายสนธิรัตน์ แกนนำกลุ่มสามมิตร และแกนนำกลุ่มต่างๆภายในพรรค

4 กุมารมาครบ–“สุริยะ” คุมพลังงาน

สำหรับ 4 อดีตรัฐมนตรี เบื้องต้น นายอุตตมได้เก้าอี้ รมว.คลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค จะดำรงตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรม นาย สุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค ได้เก้าอี้ รมว.การอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรค ได้เป็น รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ขณะที่กลุ่มสามมิตร หลังพยายามเดินเกมดึงเก้าอี้ รมว.คมนาคม และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ คืนมาจากพรรคร่วม แต่ หลัง พล.อ.ประยุทธ์ลงมาเคลียร์เอง เบื้องต้นนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จะไปนั่ง รมว.พลังงาน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็น รมว.ยุติธรรม นายอนุชา นาคาศัย รมช.คลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ขณะที่กลุ่ม กทม.นำโดยนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ จะไปนั่งเป็น รมว.ศึกษาธิการ ส่วนนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะที่นายอิทธิพล คุณปลื้ม รองหัวหน้าพรรค กลุ่มชลบุรี จะไปเป็น รมว.วัฒนธรรม และนายธรรมนัส พรหมเผ่า แกนนำภาคเหนือ ไปนั่งเป็น รมว.แรงงาน

“พี่ใหญ่–พี่รอง–สมคิด–วิษณุ” ไปต่อ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนแกนนำคนอื่นในรัฐบาลนี้ยังอยู่กันครบ ทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายกฯขอให้อยู่ช่วยงานต่อ นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวว่า พรรครวมพลังประชาชาติไทย จะได้เก้าอี้ รมว.ต่างประเทศ โดยนายกฯย้ำให้หาคนที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่ง ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนา ได้รับจัดสรร 2 ตำแหน่ง โดยยังเป็นโควตาเดิม คือ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีนายวราวุธ ศิลปอาชา กำกับดูแล ขณะที่ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ยังเป็นของนายประภัตร โพธสุธน ส่วนพรรคชาติพัฒนา จะได้ 1 เก้าอี้ คือ รมช.อุตสาหกรรม

ภท.ยังฝุ่นตลบแย่งเก้าอี้ 4 รมช.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยยังคงเป็นดีลเดิม โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค จะนั่งรองนายกฯควบ รมว.สาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ไปนั่ง รมว.คมนาคม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ สามีนางนาที รัชกิจประการ เหรัญญิกพรรค จะไปนั่ง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ส่วนอีก 4 ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยที่ได้คือ รมช.ศึกษาธิการ รมช.มหาดไทย รมช.เกษตรและสหกรณ์ และ รมช.พาณิชย์นั้น ขณะนี้ยังไม่นิ่ง เบื้องต้นมีชื่อนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรค อาจได้นั่ง รมช.มหาดไทย หรือ รมช.เกษตรฯ ขณะที่กลุ่มอื่น เช่น กลุ่มปราจีนบุรี ของนายสุนทร วิลาวัลย์ มีความพยายามต่อรองเก้าอี้ รมช.กระทรวงใดกระทรวงหนึ่งให้กับบุตรสาว คือนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ ด้านนายวีระศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล หรือกำนันป้อ ก็ต้องการโควตาให้กลุ่มโคราชเช่นกัน หลังทำคะแนนเข้าเป้า และผู้ใหญ่ในพรรคเคยตกลงว่าถ้าทำคะแนนเข้าเป้าจะมีเก้าอี้รัฐมนตรีตอบแทนให้

“กษิต” ไขก๊อกออกจาก ปชป.อีกคน

เมื่อเวลา 08.50 น.ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ นายกษิต กล่าวว่า มองว่าพรรคขับเคลื่อนในทิศทางที่ต่างกับตนเอง ตัดสินใจอยู่หลายวันก่อนมายื่น และแจ้งต่อผู้ใหญ่ในพรรคทั้งทางวาจาและเป็นหนังสือ 4 หน้า ถึงมุมมองและอุดมการณ์ในฐานะนักเสรีประชาธิปไตย เนื้อหาในหนังสือระบุถึง 3 เรื่อง คือทำไมพรรคถึงแพ้การเลือกตั้ง แนวทางการปฏิรูปพรรค และทิศทางการเมืองของพรรค ยอมรับว่าที่ตัดสินใจลาออกเพราะมติพรรคที่ให้ไปร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ แต่ยืนยันว่าแม้จะลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ยังสามารถทำงานร่วมกันได้เพราะเป็นเพื่อนกัน ยืนยันว่าจะยังคงทำงานขับเคลื่อนแนวคิดเสรีประชาธิปไตยต่อไป เพื่อให้มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ ไม่เอากับประชานิยม เผด็จการ และการทุจริตประพฤติมิชอบ ขอขอบคุณนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ให้โอกาสเข้ามาสู่เวทีการเมือง และชักชวนให้เข้ามาทำงานกับพรรคประชาธิปัตย์จนได้ตำแหน่งทางการเมือง

เดินหน้าขับเคลื่อน “กลุ่มพลังที่ 3”

นายกษิตกล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้มีสมาชิกพรรคทยอยลาออก จึงเชิญทุกคนที่มีแนวคิดเดียวกันมาร่วม “กลุ่มพลังที่ 3” ทางการเมือง ที่มีธรรมาภิบาลกำกับ โดยมีการพูดคุยกับกลุ่มเอ็นจีโอ และนักวิชาการ แต่คงยังไม่ตั้งพรรคการเมืองเพราะไม่ใช่เรื่องง่าย จึงเริ่มต้นด้วยการหาแนวร่วมกลุ่มคนที่มีแนวคิดเดียวกัน และยังไม่มีการชักชวนนายอภิสิทธิ์ให้มาร่วม แต่พูดคุยกับนายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือ “นัทไฮโซ” อดีตกลุ่มนิวเดม เพราะมองเห็นว่าสามารถทำงานการเมืองได้ แม้จะไม่ใช่ ส.ส.ก็ตาม

บ่นเสียดายคน ปชป.ทยอยออก

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ไม่ประสงค์จะเห็นใครลาออกจากพรรค แต่ต้องเคารพความเห็นแต่ละคน แต่ยังมีผู้ปรารถนามาทำงานร่วมกับพรรคในอนาคตอีกหลายคน ทั้งนี้มติพรรคที่เข้าร่วมรัฐบาลเป็นความเห็นของคนส่วนใหญ่ ต้องเคารพและต้องฟันฝ่าอุปสรรคปัญหาทั้งปวง รู้อยู่ว่าเมื่อตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งไปจะมีผลกระทบทั้งทางบวกทางลบ มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการพิสูจน์ด้วยการสร้างผลงานในรัฐบาลให้ประชาชนเห็นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้พรรคเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในอนาคต ตนจะพยายามทำให้ดีที่สุดและทำให้เต็มที่

ย้ำนโยบายรัฐบาลต้องมีแก้จนฯ

นายจุรินทร์ยังกล่าวถึงการจัดทำนโยบายร่วมกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ยังยืนยันนโยบายแก้จน สร้างคน สร้างชาติ นโยบายการประกันรายได้พืชผลการเกษตร ที่พูดไม่ได้ประสงค์จะกดดัน เพียงแต่เป็นเงื่อนไขที่พรรคแกนนำรับไปแล้ว เป็นหัวใจสำคัญที่พรรคมองเห็นว่าปัญหาใหญ่ไม่ใช่เศรษฐกิจไม่เจริญเติบโต แต่ยังไม่ลงไปสู่รากหญ้า เพราะราคาพืชผลการเกษตรและเศรษฐกิจฐานรากยังมีปัญหาอยู่ จึงเป็นที่มาและหัวใจสำคัญที่พรรคเข้าไปมีส่วนร่วมคลี่คลายปัญหานี้ นโยบายแก้จน สร้างคน สร้างชาติ และการประกันรายได้เกษตรกรจะเป็นหัวใจสำคัญ มั่นใจว่าจะเป็นนโยบายร่วมของรัฐบาล ส่วนนโยบาย สปก.ที่มีข่าวว่าพรรคพลังประชารัฐจะผลักดันเรื่องที่ดินทองคำ ยังไม่ทราบรายละเอียด ทั้งหมดก็ต้องหารือกัน

โควตา รมต.ต้องยุติในที่ประชุม

เมื่อถามถึงหลักเกณฑ์การพิจารณาวางตัวคนเป็นรัฐมนตรี นายจุรินทร์ตอบว่า ยังไม่ได้กำหนดขั้นตอนและหลักเกณฑ์การพิจารณา คงต้องเริ่มจากพิจารณาคุณสมบัติบุคคลที่เข้าข่าย โดยที่ประชุมร่วม ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคจะเป็นผู้พิจารณาขั้นตอนสุดท้ายว่าบุคคลใดเหมาะสม ส่วนจะใช้หลักเกณฑ์ตามสัดส่วน ส.ส.แต่ละภาคหรือไม่นั้น ต้องหารือและรับฟังว่าควรใช้หลักเกณฑ์อะไร เมื่อถามย้ำว่าจะมีปัญหาภายในพรรคหรือไม่ นายจุรินทร์ตอบว่า ปัญหายังไม่เกิดขึ้น จะหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ต้องมีการประสานงานจากพรรคร่วมมาว่าต้องการให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ อย่างไร พรรคก็ดำเนินการตามนั้น

หมดยุค “มาร์ค” โละสติกเกอร์ทิ้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า หลังมีการเปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์เป็นชุดใหม่ เริ่มมีการทยอยปรับปรุงสถานที่ภายในพรรค อาทิ ห้องทำงานในอาคารควงอภัยวงศ์ โดยเฉพาะห้องทำงานเดิมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ห้องแถลงข่าว และห้องทำงานสื่อมวลชน ล่าสุดเจ้าหน้าที่พรรคได้ทำการลอกสติกเกอร์รูปนายอภิสิทธิ์ ที่ติดมาตั้งแต่ปี 2556 ในอิริยาบถต่างๆ ไว้บนกระจกทั้งด้านหน้าอาคารสำนักงานพรรค อาคารควงอภัยวงศ์ และอาคาร 100 ปี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ออก

เชื่อ ครม.คลอดหลังเวทีอาเซียน

ขณะที่นายวราวุธ ศิลปอาชา ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์และนโยบายพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า พรรคชาติไทยพัฒนาพร้อมส่งตัวแทนเข้าประชุมร่วมกับพรรคแกนนำ นำเสนอนโยบายเพื่อพิจารณายกร่างนโยบายของรัฐบาล สำหรับนโยบายที่พรรคเตรียมเสนอคือประเด็นที่พรรคได้หาเสียงไว้กับประชาชน อาทิ ด้านการเกษตร การศึกษา การสาธารณสุข สังคม รวมถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะนำเสนอในภาพรวม ไม่ได้ยึดติดว่าพรรคจะได้รับเก้าอี้กระทรวงใด เพราะนโยบายต้องได้รับการสานต่อ และยังไม่ได้รับการประสานให้ส่งชื่อบุคคลที่จะเสนอให้เป็นรัฐมนตรีเช่นกัน เชื่อว่าต้องรอให้พ้นการจัดประชุมสุดยอดอาเซียน ระหว่างวันที่ 22-23 มิ.ย.ไปก่อน ให้ ครม.ชุดปัจจุบันประชุมไปก่อน ให้เกิดความต่อเนื่อง

มองแง่ดีแก้ รธน.ทำหันหน้าหากัน

นายวราวุธกล่าวอีกว่า การเมืองหลังจากนี้โดยเฉพาะการเมืองในสภาฯจะเป็นไปอย่างกระตือรือร้น เพราะเสียงของสองฝ่ายใกล้เคียงกัน การประชุมหรือลงคะแนนแต่ละครั้ง ส.ส.ต้องมีวินัย ไม่ขาดประชุม ส่วน ส.ส.ที่อาจต้องไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เชื่อว่าจะไม่เป็นปัญหากับจำนวนสมาชิกในห้องประชุม หรือการลงมติ หากการลงมติในร่างกฎหมายใดรัฐมนตรีที่มีส่วนได้ส่วนเสีย เสียงอาจจะหายไป ในส่วนของพรรคไม่มีปัญหา เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายค้านเตรียมยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 มาตรา นายวราวุธตอบว่า เพื่อให้เกิดความร่วมมือทุกฝ่าย มองว่าประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจเป็นโอกาสที่ดี ที่ ส.ส.ทุกฝ่ายจะร่วมหารือกันและทำงานให้เดินหน้า ไม่ใช่แบ่งฝ่าย หากยังยึดติดการแบ่งฝ่าย วังวนปัญหาเก่าจะกลับมาไม่รู้จบ

ภท.สงสัยผู้ใหญ่ให้ท้าย “ธนกร”

นายประมวล เอมเปีย อดีตผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรี พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า จากกรณีที่รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐกล่าวพาดพิงถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ตามมารยาททางการเมือง การเจรจาเชิญพรรคอื่นเข้าร่วมรัฐบาล ผู้ใหญ่ของแต่ละพรรคจะเจรจากันเองเพื่อแบ่งงาน และเขียนนโยบายรัฐบาลร่วมกัน แต่กลุ่มก๊วนในพลังประชารัฐยังงอแง จะกลับคำพูดขอเปลี่ยนกระทรวงตามที่ตกลงกัน ไม่มีใครเขาทำกัน การปล่อยเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมออกมาแขวะหัวหน้าพรรคอื่นแบบนี้ ต้องมีคนให้ท้ายหรือหลิ่วตาให้ ถ้าไม่มีคนหนุน เด็กมันคงไม่กล้าออกเองแน่ หากยังเล่นเกมตีสองหน้าแบบนี้ ถือว่าไม่ให้เกียรติกัน แค่เริ่มต้นยังไม่ทันตั้งรัฐบาลก็ออกลายกันแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้จะร่วมงานกันสนิทใจได้อย่างไร แม้จะตั้งรัฐบาลได้ก็คงอยู่ได้ไม่ครบเทอม

พท.จี้ถกคำสั่งสรรหา ส.ว.ล่องหน

ที่พรรคเพื่อไทย นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากกรณีเกิดเรื่องผิดปกติที่ในราชกิจจานุเบกษาไม่ลงคำสั่ง คสช.ที่ 1/2562 ว่าด้วยเรื่องคณะกรรมการสรรหา ส.ว. นอกจากนี้ คำสั่ง คสช.ที่ 2/2562 ล่องหนหายไปจากราชกิจจาฯ นั้นอาจทำให้การโหวตนายกฯ เป็นโมฆะ เห็นว่าปัญหานี้ควรนำไปพิจารณาในที่ประชุมสภาฯ อย่างเร่งด่วน เพราะเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงประธานสภาฯ ควรยกเลิกคำสั่งงดประชุมแล้วเรียกประชุมด่วนในวันที่ 12-13 มิ.ย.นี้ เพื่อหาทางออกของประเทศร่วมกันทุกพรรค และการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลควรหยุดไว้ก่อน เพื่อรอผลการพิจารณาจากที่ประชุมสภาฯ น่าสงสัยว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือใคร ที่ทำไปเพราะไม่ต้องการให้มี ครม.ใช่หรือไม่ อาจเป็นเกมถ่วงเพื่อให้ คสช.อยู่ต่อ เพราะเมื่อ ครม.ใหม่เข้ารับหน้าที่แล้ว คสช.จะหมดอำนาจทันที


เย้ยพรรคร่วมเปิดศึกแย่งชามข้าว

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงปัญหาการขบเกลียวระหว่างพรรคแกนนำและพรรคร่วมในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลว่า อาจเพราะเกลี่ยโควตากันไม่ลงตัว การแย่งชิงอำนาจครั้งนี้หนักหนาสาหัส ไม่รู้ใครเป็นใคร ตั้งทีมมาวิ่งเต้นต่อรองทวงเก้าอี้ให้กลุ่มตัวเอง ถึงขั้นหัวหน้าพรรคหนึ่งจะเอาตะกร้อไปครอบปากคนจากอีกพรรค ปกติสถานการณ์ขู่คำรามแย่งชามข้าวทะเลาะกัน จะไม่เกิดกับกลุ่มที่มีความสามัคคีกัน และอีกไม่กี่วันจะเลือกตั้งครบ 90 วันแล้ว แต่ประชาชนยังไม่ได้รัฐบาลใหม่ จึงขอเรียกร้องให้เร่งจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว อย่าไปคิดว่าตั้งชุดใหม่ไม่ได้จะใช้ชุดเก่าทำงานไปเรื่อยๆ ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง นอกจากนี้ คำสั่งแต่งตั้งกรรมการสรรหา ส.ว.ที่ล่องหนไป เสี่ยงทำให้ ส.ว.เป็นโมฆะ ลามให้เกิดความสงสัยว่าเสียง ส.ว.ที่มาโหวต พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯจะเป็นโมฆะด้วยหรือไม่

ซัดอาจหาญกระทำการมิบังควร

นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ที่ไม่ปรากฏคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสรรหา ส.ว.ในราชกิจจานุเบกษา สันนิษฐานได้ 2 ทาง คือ คสช.ไม่เคยแต่งตั้งกรรมการชุดนี้ หรือมีการแต่งตั้งแล้วแต่เมื่อมีคนทักท้วงจึงไปลบออก หากเป็นเช่นนั้นเท่ากับ คสช.ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ทำให้ ส.ว. 250 คน เป็น ส.ว.เถื่อน ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญการปฏิบัติหน้าที่ใดๆถือว่าไม่ชอบโดยการโหวตเลือกนายกฯที่ผ่านมา หรือเท่ากับว่าเป็นนายกฯ เถื่อนด้วย กระบวนการนี้จะถือว่ามีการทูลเกล้าฯเรื่องเท็จ 2 ครั้ง 2 ขั้นตอน คือทูลเกล้าฯแต่งตั้ง ส.ว.ด้วยข้อมูลเท็จ และทูลเกล้าฯแต่งตั้งนายกฯด้วยข้อมูลเท็จอีกครั้ง ส.ว.ชุดนี้จึงเหมือนลูกไม่มีพ่อแม่ ส่วนนายกฯเหมือนลูกที่พ่อแม่ที่ลักลอบอยู่กินกัน ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นการกระทำที่อาจหาญไม่เคารพประชาชน และกระทำการมิบังควร

บี้ส่งศาล รธน. 41 ส.ส.ถือหุ้นสื่อ

ที่พรรคอนาคตใหม่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงความคืบหน้าการส่งเรื่องให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตรวจสอบสมาชิกภาพของ 41 ส.ส. ที่ถือหุ้นสื่อว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ประธานสภาฯ ไม่มีอำนาจใช้ดุลพินิจใดทั้งสิ้น มีหน้าที่เพียงตรวจสอบว่า ลายเซ็นของ ส.ส.ที่เข้าชื่อครบหรือไม่ ในทางกฎหมายไม่น่ามีอะไรติดขัด ไม่มีเหตุให้เหนี่ยวรั้งได้ ตอนนี้ครบ 7 วันแล้ว อยากเรียกร้องไปยังประธานสภาฯ ให้ยื่นเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และหากยึดตามกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จะใช้เวลาเพียง 7 วันเท่านั้น จะรู้ว่ารับไว้พิจารณาหรือไม่ และจะมีคำสั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวหรือไม่ คิดว่าเมื่อเทียบกันแล้วเป็นกรณีไม่ต่างกัน

เดินปลุกกระแสหวังรื้อ รธน.ทั้งฉบับ

นายปิยบุตรยังกล่าวถึงความคืบหน้าการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า พรรคอนาคตใหม่รณรงค์ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งว่า มีนโยบายจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จะนำรูปแบบการแก้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2534 มาใช้ การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับอาศัยเสียงในสภาอย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้ฉันทามติร่วมกันของประชาชนและพรรคการเมือง แต่ระหว่างที่ต้องสะสมพลังทางสังคม จะปล่อยเวลาไปเฉยๆไม่ได้ ต้องผลักดันประเด็นเข้าใจง่ายๆ ที่ทุกคนเห็นร่วมกันก่อน คือเรื่องอำนาจของ ส.ว. ในการลงมติเลือกนายกฯ จึงเป็นภารกิจที่ต้องผลักดันทุกช่องทางทั้งในและนอกสภา ทุกกลไก ให้สังคมเห็นตรงกันว่า รัฐธรรมนูญคือระเบิดเวลา จำเป็นต้องช่วยกันถอดสลัก ช่วงนี้อยู่ระหว่างเตรียมการสื่อสาร เชื่อว่าในสภาผู้แทนราษฎรน่าจะสะดวกโยธิน เพราะพรรคร่วมไม่เอาหลายพรรค ส่วน ส.ว.อีก 80 กว่าเสียงไม่ผ่านไม่เป็นไร แต่จะ ส่งผลให้ ส.ส.ได้มีโอกาสพูดเรื่องนี้ในสภา คนไหนที่ไม่ยอมให้แก้ ย่อมถูกกระชากหน้ากากว่าปกป้อง อำนาจของเขาอยู่

หนุน “ช่อ” คนคุณภาพไร้กังวล

เมื่อถามถึงกรณีของ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค ที่กำลังถูกโจมตีเรื่องสถาบันฯ นายปิยบุตรตอบว่า ไม่กังวล อนาคตใหม่มีจุดยืนชัดเจน ผ่านมรสุมแบบนี้มาหลายครั้ง นี่จะเป็นบทพิสูจน์ของการสร้างพรรคว่าเมื่อมีอุปสรรคจะผ่านไปได้ ยืนยันว่า น.ส. พรรณิการ์มีความสามารถ มีคุณภาพ รู้เรื่องการต่างประเทศ น่าจะเป็น ส.ส.ที่มีคุณภาพคนหนึ่ง เชื่อว่า การโจมตีทำลายล้างกันไม่เกิดประโยชน์ ส่วนคดีที่ดำเนินการก็ว่าไปตามกระบวนการ ล่าสุด น.ส.พรรณิการ์ได้รับการเชิญจากมูลนิธิคอนราร์ดฯ ไปร่วมเสวนาหัวข้อ “อิทธิพลของทหารและกองทัพกับการเมืองไทย” ด้วย

“วิษณุ” อาสาเปิดชื่อ กก.สรรหา ส.ว.

อีกเรื่อง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการตั้งข้อสังเกตกรณี คสช.ยังไม่เปิดเผยรายชื่อคณะกรรมการสรรหา ส.ว. อาจส่งผลให้การแต่งตั้ง ส.ว.เป็นโมฆะ ว่า รายชื่อกรรมการสรรหา ส.ว.ไม่จำเป็นต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา รัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้ มาตรา 269 เขียนไว้เพียงให้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาเท่านั้น ที่ คสช.ยังไม่เปิดเผยเพราะเกรงว่าจะเกิดการวิ่งเต้น เนื่องจากไม่ได้ใช้ระบบสมัคร แต่ คสช.จะเปิดเผยรายชื่อหลังจากนี้ ไม่ได้มีอะไรปกปิด หาก คสช.ไม่เปิดเผย ตนจะขอเปิดเองก็ได้ ไม่ใช่เรื่องลำบาก ไม่เป็นปัญหาและไม่ทำให้การแต่งตั้ง ส.ว.และการโหวตนายกฯเป็นโมฆะ

ยอมรับมี กก.ถูกเสนอชื่อเป็น ส.ว.

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่ากรรมการสรรหา ส.ว.ได้สรรหาตัวเองเป็น ส.ว. นายวิษณุตอบว่า ยืนยันว่าไม่มี ตนอยู่ในคณะกรรมการสรรหา ส.ว. ไม่พบว่ามีการสรรหาตัวเองเป็น ส.ว. กรรมการสรรหาแต่ละคนไม่ได้เสนอตัวเอง แต่เมื่อที่ประชุมพิจารณารายชื่อแล้วพบว่ามีกรรมการสรรหา ส.ว.ถูกเสนอชื่อให้เป็น ส.ว.เข้ามาด้วย คนที่ถูกเสนอชื่อต้องออกจากที่ประชุม โดยคณะกรรมการสรรหา ส.ว.ได้รวบรวมรายชื่อทั้งหมด 395 รายชื่อส่งให้หัวหน้า คสช. และรายงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดินแล้วตั้งแต่ต้น

จับตา ม.44 เลิกคำสั่ง คสช.คุมสื่อ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อน คสช.จะหมดอำนาจหลังมี ครม.ชุดใหม่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ฝ่ายกฎหมาย คสช.กำลังเร่งยกร่างคำสั่งหัวหน้า คสช. โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 เพื่อยกเลิกประกาศและคำสั่ง คสช.ที่เกี่ยวกับการการควบคุมการทำงานสื่อภายใน 1-2 วันนี้ อาทิ ประกาศ คสช.ฉบับที่ 97/2557 เรื่องการห้ามเสนอข่าวสารที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคง ความลับของหน่วยราชการ ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง ประกาศ คสช.ที่ 103/2557 แก้ไขเพิ่มเติมประกาศ คสช.ฉบับที่ 97/2557 ห้ามวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของ คสช. คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 (ข้อ 5) ให้อำนาจเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยมีอำนาจออกคำสั่งห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือสิ่งพิมพ์หรือสื่ออื่นใด คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 41/2559 เรื่องการกำกับดูแลการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ และเร็วๆนี้จะยกเลิกประกาศและคำสั่ง คสช. โดยโอนคดีที่อยู่ศาลทหารไปอยู่ในศาลพลเรือน

“พรเพชร” ตั้ง 28 ส.ว.ร่างข้อบังคับ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการยกร่างข้อบังคับการประชุมวุฒิสภาจำนวน 28 คน เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. มี พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา เป็นประธาน นายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภา และนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรรธนะ ส.ว. เป็นรองประธาน มีกรรมการ อาทิ นางกาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์ นายเสรี สุวรรณภานนท์ นายคำนูณ สิทธิสมาน พล.อ.ดนัย มีชูเวช นายอนุศักดิ์ คงมาลัย นายอำพล จินดาวัฒนะ และเป็นต้น กำหนดเวลายกร่างข้อบังคับให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ ก่อนนำเข้าที่ประชุมวุฒิสภาวันที่ 25 มิ.ย. เพื่อตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาข้อบังคับการประชุม

เปิดชื่อ 50 ส.ว.สำรองล้วนหน้าเดิม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ คสช.ที่ 2/2562 เรื่อง ประกาศรายชื่อบุคคลสำรองสำหรับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่ง ส.ว. ดังนี้ 1.นายดอน ปรมัตถ์วินัย 2.นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ 3.นายประสิทธิ์ ปทุมารักษ์ 4.นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร 5.นายวิชัย ทิตตภักดี 6.นายสุวัฒน์ จิราพันธุ์ 7.พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล 8.พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา 9.นายลือชา การณ์เมือง 10.นายอนุสิษฐ คุณากร 11.พล.อ.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล 12.นายประพันธุ์ คูณมี 13.พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน 14.นายอนุพร อรุณรัตน์ 15.พล.อ.พหล สง่าเนตร 16.พล.ร.อ.ประสาน สุขเกษตร 17.พล.อ.สุนทร ขำคมกุล 18.นายเพิ่มพงษ์ เชาวลิต 19.นายโสภณ เมฆธน 20. พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ 21.นายสมชาย มีเสน 22.นางถวิลวดี บุรีกุล 23.นายวรรณธรรม กาญจนสุวรรณ 24.นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ 25.นายอโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์

26.พล.อ.ภาณุวัชร นาควงษม์ 27.นายสุรชัย ภู่ประเสริฐ 28.พล.ร.อ.อภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ 29.พล.อ.เอกชัย จันทร์ศรี 30.นายนพปฎล สุนทรนนท์ 31.นายภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล 32.พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ 33.นายวันชัย ศารทูลทัต 34.นางเสาวณี สุวรรณชีพ 35.พล.ต.อนุศิษฐ์ ศุภธนิต 36.นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน 37. พล.ร.อ.ธนะกาญจน์ ใคร่ครวญ 38.นายสัญชัย จงวิศาล 39.พล.ร.อ.จักรชัย ภู่เจริญยศ 40.นายนำชัย พรหมมีชัย 41.พล.อ.อ.เพิ่มเกียรติ ลวณะมาลย์ 42.พล.อ.อ.ชนะ อยู่สถาพร 43.พล.อ.องอาจ พงษ์ศักดิ์ 44.นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ 45. นายบุญเลิศ คชายุทธเดช 46.นางพิไลพรรณ สมบัติศิริ 47.นายไชยา ยิ้มวิไล 48.นายไพฑูรย์ รักษ์ประเทศ 49.นายธวัชชัย ฟักอังกูร และ 50.นายบัณฑิตย์ เทวีทิวารักษ์

“ชิดชัย-ไอ้หนุ่มรถไถ” ก็ติดโผ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า รายชื่อข้างต้นมีทั้งรัฐมนตรีในรัฐบาล ข้าราชการ อดีตนายทหาร อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปประเทศ (สปช.) และอดีตข้าราชการ อาทิ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รมช.เกษตรและสหกรณ์ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ อดีตรองนายกฯในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร นายภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ซินแสชื่อดัง นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน อดีต สนช. รวมถึงนายสมชาย มีเสน สื่อชื่อดังเจ้าของฉายา “ไอ้หนุ่มรถไถในอดีต”

“ดอน” เมินวอชิงตันโพสต์ซัดไทย

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณี นสพ.เดอะวอชิงตันโพสต์ เผยแพร่บทความชี้นำให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาไม่ควรฟื้นฟูความสัมพันธ์ กับไทยอย่างเต็มรูปแบบ แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะกลายเป็นนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ประชาธิปไตยจอมปลอมของไทยไม่คู่ควรกับความช่วยเหลือ ว่า เรื่องนี้ไม่ต้องชี้แจง เป็นเพียงความเห็น ของสื่อ คนต่างประเทศที่เขียนส่วนใหญ่เอาข้อมูลจากในบ้านเราที่ถ่ายทอดไป เดอะวอชิงตันโพสต์แม้จะเป็นสื่อดัง แต่จะเรียกว่าเป็นผู้มีอิทธิพลคงไม่ใช่ ทางการสหรัฐฯก็ไม่ได้สะท้อนความเห็นมา หลายประเทศมีแต่ยินดีกับเรา ไม่ได้สะท้อนความเห็นแง่ลบ เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีแต่เสียงสะท้อนเชิงสร้างสรรค์ ต้องขอความร่วมมือจากสื่อในประเทศด้วย สื่อในโลกมีมาก อย่าไปคิดว่าสื่อเดียวจะตัดสิน หรือมีอิทธิพลเหนือความคิดคนทั้งหลาย

แซะรัฐบาลอย่าไปฝืนความจริง

ด้าน ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรไปโกรธที่วอชิงตันโพสต์กล้าพูดความจริงว่า ประเทศไทยมีประชาธิปไตยแบบจอมปลอม สมควรที่สื่อต่างชาติช่วยกันกระตุกต่อมจิตสำนึกของผู้นำเผด็จการ เหตุที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯรอบสอง ไม่ใช่เพราะทำงานดีเข้าตาประชาชน แต่เป็นเพราะกติกาเลือกตั้งที่บิดเบี้ยว เมื่อได้ตำแหน่งนายกฯมาแบบขาดความ ชอบธรรม ต่อให้ได้เป็นประธานอาเซียนย่อมไม่มี ความสง่างามเช่นกัน อย่าไปโกรธที่สื่อพูดความจริง แต่รัฐบาลควรจับมือกับฝ่ายนิติบัญญัติร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่เพื่อแก้ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตย โลกจะได้เลิกวิจารณ์ไทยว่าเป็นประชาธิปไตยปลอมๆ ดีกว่าการแก้ตัวด้วยคำโกหกแบบไม่เนียน

ร้องสอบ ศม.เบี้ยวเงินหาเสียง

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร.ท.ลานบุญ สีลา ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 และนายวัน สุวรรณพงษ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 ขอนแก่น พรรคเศรษฐกิจใหม่ ยื่นหนังสือถึงประธาน กกต.ให้สอบสวนคณะกรรมการบริหารพรรคเศรษฐกิจใหม่ กรณีให้บุคคลอื่นครอบงำการบริหารงานพรรค และไม่ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายหาเสียงให้กับผู้สมัคร ส.ส. นายวันกล่าวว่า ตนใช้เงินส่วนตัวหาเสียงได้คะแนนมาเกือบ 1 พันคะแนน ทำให้คะแนนรวมทั้งประเทศคำนวณได้ ส.ส. 6 คน เมื่อเป็น ส.ส.ครบ 1 ปี พรรค ยังสามารถนำคะแนนไปเป็นฐานคำนวณขอรับเงินจากกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองได้อีก แต่กลับไม่เหลียวแลผู้สมัคร ส.ส.หลังการเลือกตั้ง พยายามติดต่อทวงถามติดต่อใครไม่ได้ แถมหัวหน้าพรรคยังมาชิงลาออก


สนิมเนื้อใน


สถานการณ์จัดตั้งรัฐบาล “ลุงตู่เฟส 2” ยังอยู่ในอาการชุลมุน แย่งโควตารัฐมนตรี ซัดกันนัวเนียไปหมด

หลังจากแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ประกาศขอดึงเรื่องการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีและการแบ่งกระทรวงให้พรรคร่วมรัฐบาล กลับเข้าสู่ระบบพรรค

หวังล้มดีลเดิมที่ผู้มีบารมีขาใหญ่นอกพรรค แบ่งชิ้นปลามันให้ 2 พรรคตัวแปร ภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์

โดยพรรคภูมิใจไทย ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับประเคน 3 กระทรวงบิ๊กเบิ้ม คือ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ของ “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รับพานถวาย 3 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

สมใจนึกบางลำพู แลกกับการโหวตหนุน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เบิ้ลเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ

แต่การดีลแบ่งโควตากระทรวงโดยขาใหญ่ผู้มีบารมีครั้งนี้ สร้างความกระอักกระอ่วนปั่นป่วนคลื่นไส้ ให้กับบรรดาแกนนำกลุ่มก๊วน ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐเป็นอย่างยิ่ง

เพราะแกนนำทุกก๊ก กดเครื่องคิดเลขบวกลบคูณหารแล้ว ทุบโต๊ะเปรี้ยง ดีลนี้ “พลังประชารัฐ” ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลขาดทุนยับเยิน

มองเป็นความอ่อนด้อยประสบการณ์ต่อรองทางการเมือง ทำให้ 2 พรรคตัวแปรปั่นราคาโก่งค่าตัวแพงเกินเหตุ คว้าพุงปลา เนื้อปลา ไข่ปลา ไปกินกันสบายแฮ

เหลือแต่หัวกับก้าง ประเภทกระทรวงรองๆ เกรดบี เกรดซี ให้พรรคพลังประชารัฐ ไม่สมศักดิ์ศรีพรรคแกนนำ ที่ควรจะต้องได้ดูแลกระทรวงหลักด้านเศรษฐกิจเป็นแพ็กเกจ

เพื่อความราบรื่นในการเดินหน้าสานต่อนโยบายของทีมเศรษฐกิจ ที่มี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ลูกพี่ใหญ่ ของ อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค นำร่องเอาไว้ ให้เกิดความต่อเนื่องและบรรลุผลในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ

ยกเหตุผล กระทรวงคมนาคม เกษตรฯ และพาณิชย์ ถือเป็นกระทรวงหลักที่จะนำนโยบายของพรรคที่หาเสียงไว้กับประชาชนไปปฏิบัติให้เกิดผลงานเป็นรูปธรรม

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ากระทรวงใหญ่เบิ้ม โดนพรรคร่วมรัฐบาลฮุบไปหมด แกนนำกลุ่มก๊วน ส.ส.พลังประชารัฐ ก็คงไม่มีที่นั่งที่ยืน ได้ดูแลแต่กระทรวงจิ๊บจ๊อย กระทบสภาพคล่องในการสะสมเสบียงกรังไว้สู้ศึกเลือกตั้งรอบหน้า

แต่งานนี้ดูเหมือนสัญญาณที่ต้องการเปิดดีลใหม่เพื่อขอแลกเก้าอี้กับ 2 พรรคตัวแปร ไม่ได้รับการตอบสนอง แถมทั้ง 2 พรรคยังประกาศเสียงแข็งทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อตกลงเดิมสถานเดียว

ไม่ยอมคายกระทรวงหลักคืน พร้อมขู่กลับ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงโควตา อาจต้องทบทวนการร่วมรัฐบาล

เหตุลึกๆที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์กล้าซ่าขนาดนี้ ก็เพราะ “2 ขาใหญ่” ผู้มีบารมีนอกพรรค ดันไปตกปากรับคำไว้แบบดีลลับ โดยไม่ผ่านระบบพรรค

กลายเป็นประเด็นสร้างความร้าวฉานกับกลุ่มก๊วนในพรรคพลังประชารัฐ ส่อเค้ากลายเป็นสนิมเนื้อใน

ที่แน่ๆเพลานี้ “2 ขาใหญ่” กำลังมึนตึ้บคลำหาทางออก เมื่อเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้กันเองนะโยม!!!

“พ่อลูกอิน”

การเมืองไม่มีลิ้นไม่มีเอ็น

การเมืองไม่มีลิ้นไม่มีเอ็น

สมัย 2 แล้วก็ยังอดเขิน ประหม่า ไม่ได้อยู่ดี

ตามอาการของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่โดนนักข่าวลอบสังเกตอากัปกิริยา ก่อนพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี คนที่ 29 สมัย 2 ที่จัดขึ้น ณ ทำเนียบรัฐบาล
โดยผลงานสร้างสรรค์ของทีม “อีเวนต์” ฝ่าย เสธ.ตึกไทย “บี กปปส.” และสื่อขาใหญ่ ต่อสายเรียกหัวหน้าและแกนนำ 18 พรรคร่วมรัฐบาล ยืนประกอบฉากยิ่งใหญ่
เป็นไม้ประดับ “นายกฯลุงตู่ ภาค 2” ดูแน่นปึ้ก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าเพิ่งทึกทัก “ตีขลุม” ว่าโควตา ครม.ปิดกล่องเรียบร้อย ตามร่องรอยที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย แบะท่าแล้ว “นายกฯลุงตู่” และ ครม.ชุดเดิมยังต้องทำหน้าที่เป็นประธานจัดประชุมอาเซียนในวันที่ 22-23 มิถุนายนไปก่อน นั่นหมายถึง ครม.ชุดใหม่ยังคลอดไม่ทัน
ล้อตามเงื่อนไขสถานการณ์แบบที่ “อุลตร้าอุตตม” นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ระบุการเจรจาจัดโผ ครม.ลงตัวแค่บางส่วน ยังต้องคุยกันอีกยก ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ พูดชัด โควตากระทรวงเศรษฐกิจสำคัญจำเป็นต้องอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ
ขณะที่ประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทย แผ่นเสียงตกร่อง “ยึดดีลเดิม”
กอดเก้าอี้หุ้มทองฝังเพชรแน่น ไม่ยอมคายอ้อยออกจากปากช้าง
ตามรูปการณ์ที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ชูธงตามหลักการ “ชงลูก” ให้เป็นหน้าที่ของ “นายกฯลุงตู่” ในการเลือกคนดีที่สุดมาทำงานให้บ้านเมือง
โควตารัฐมนตรีไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ส่วนบุคคลหรือพรรคการเมือง
โดยเงื่อนไขไฟต์บังคับ “ลุงตู่” หนีไม่พ้นแบกภาระในฐานะหัวหน้าทีมบริหารผู้รับผิดและรับชอบ ครม. แบกความคาดหวังของประชาชนคนไทยที่อยากเห็นการเมืองยุคปฏิรูป
จะหวังได้แค่ไหน ในอารมณ์แบบที่ส่อเค้าขอแค่ “ตีตั๋วต่อ” ก็ทิ้งทุกอย่างหมด
แกะรอยตามฟอร์มแปร่งๆ แบบที่ผู้มีอำนาจสายท็อปบูตปล่อย “ล็อบบี้ยิสต์ขาใหญ่” ในพลังประชารัฐ ประสานเสียงโทนเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย
ดีลจบแล้ว ตามคำพูดของผู้ใหญ่ได้ตกลงกันไม่มีการเปลี่ยนแปลง
นัยว่า ยึดสัจจะชายชาติทหารคำไหนคำนั้น ตามสถานการณ์ได้สมใจ “3 ป.” แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ เบิ้ลเก้าอี้นายกฯ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปต่อบนเก้าอี้รองนายกฯและ รมว.กลาโหม “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ล็อกคิวยาวเก้าอี้ รมว.มหาดไทย
สไตล์ทหารกับ “กรอบเหลี่ยม” ในค่ายทหาร แต่นี่มันสถานการณ์จับขั้วรัฐบาลเลือกตั้ง
ในดงนักการเมือง “ลิ้น” ไม่มีเอ็น
ตัวอย่างตรงหน้าชัดๆทีมงานพรรคประชาธิปัตย์ ไล่ตั้งแต่ปรมาจารย์ชวน หลีกภัย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช รวมถึงคนประชาธิปัตย์ครึ่งพรรค
ไม่เคยหนุน พล.อ.ประยุทธ์ พูดชัดๆถึงขั้นต่อต้านสืบทอดอำนาจ
รวมทั้งบทบาทของ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่พลิ้วไปพลิ้วมา ทั้งๆที่ทางลึกวงในรู้กันทั่วดีลอยู่กับ 3 ป. แต่พอเผลอก็ด่าทหาร คสช. หันไปแอบอิงกับนายใหญ่ทีมดูไบ
กระตุกต่อมหมั่นไส้ “นายกฯลุงตู่” เขม่นหูเขม่นตาตลอด
แต่สุดท้ายทั้งภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ก็ “พลิกลิ้น” แบบ 180 องศา จับขั้วรัฐบาลพลังประชารัฐ ด้วยเหตุผลหรูๆตามสคริปต์ เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้า ยึดประโยชน์ประชาชน
แน่นอน ว่ากันตามเหลี่ยมลีลา เหตุผลของคนยี่ห้อภูมิใจไทยกับประชาธิปัตย์ ยึดประโยชน์ประเทศและประชาชน วัด “ความจำเป็น” กับสถานการณ์หาก พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับลำเพื่อชาติ
ในการเปลี่ยนดีลเดิมที่ผู้มีอำนาจเผลอเสีย “ค่าโง่” แอบไปตกลงลับหลังกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ยกกระทรวงเศรษฐกิจเกรดเอให้พรรคร่วมหมด เพื่อแลกกับตั๋วสืบทอดอำนาจ
ขณะที่แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ความจำเป็นที่กัปตันทีมเศรษฐกิจอย่างนายสมคิด ต้องมีเครื่องมือ คุมกระทรวงสำคัญอย่างคลัง คมนาคม พาณิชย์ อุตสาหกรรม ในการเดินเนื้องานต่อเนื่องจากที่รัฐบาล “ลุงตู่” ภาคแรก ที่ได้ปักหมุดลงเสาเข็มสารพัดเมกะโปรเจกต์ ทั้งโครงการอีอีซี รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รถไฟความเร็วสูงเส้นทางไทย-จีน การขยายท่าเรือน้ำลึก ศูนย์กลางเมืองการบินอู่ตะเภา ฯลฯ
งานคืบไปกว่า 60-70 เปอร์เซ็นต์ รองรับการพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
ถ้าเอากระทรวงคมนาคมประเคนให้ภูมิใจไทย งานสะดุดแน่นอน
เช่นเดียวกับกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องดีลข้อตกลงการค้ากับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ องค์กรระดับโลก สนธิสัญญานานาชาติ ตามยุทธศาสตร์ต่อเนื่องจากรัฐบาล “ลุงตู่ ภาค 1”
ถ้าเปลี่ยนไปอยู่ในมือประชาธิปัตย์ ต้องติดๆขัดๆเริ่มตั้งต้นใหม่
เหตุผลความจำเป็นเบื้องต้นแค่นี้ มันเกินพอรองรับความชอบธรรมในการล้มดีลผู้มีอำนาจ
ถ้ายังคิดไม่ได้ ช่วงรอเปลี่ยนจากนายกฯอำนาจพิเศษไปสู่นายกฯจากเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ต้องไปนั่งเรียนหลักสูตร “อนุบาลทางการเมือง” เริ่มจากแบบฝึกหัดขั้นต้นก่อนอื่นใด
ท่องให้ขึ้นใจ การเมือง “1 บวก 1 ไม่เท่ากับ 2” เสมอไป.
ทีมข่าวการเมือง