PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พระพุทธอิสระติงนายกฯเอาเงิน3ล้านค่าข้าวกล่องซีพีมาเป็นค่าให้คนเดินทางมากราบพระบรมศพดีกว่า


เอางบที่จ่ายค่าข้าวกล่องแช่เย็นมาเป็นค่าเดินทางให้ประชาชนมากราบพระบรมศพดีกว่าไหมท่านนายก
๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
หลังจากครบร้อยวัน ผู้ที่เดินทางเข้ามากราบพระบรมศพก็น้อยลง จากวันละไม่ต่ำกว่า ๕-๗ หมื่นคน โดยเฉลี่ยเวลานี้เหลือแค่ ๑-๒ หมื่นคน จากที่ท่านนายกมีเจตนาช่วยแบ่งเบาภาระแก่เต็นท์อาหารจิตอาสาทั้งหลาย มันกลายเป็นแต่ละกระทรวง ทบวง กรม ไปสั่งซื้อข้าวกล่องจากซีพีวันละ ๕ หมื่นกล่องมาได้อย่างไรก็ไม่รู้
พุทธะอิสระจำได้ว่าตอนประชุมก่อนที่จะมีการย้ายเต็นท์ พุทธะอิสระได้ขอร้องต่อที่ประชุมว่า ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณวันละ ๓ ล้านกว่าบาทจัดซื้อข้าวกล่องมาแจกประชาชนที่มาเคารพพระบรมศพดอก พวกเราเต็นท์อาหารจิตอาสาทั้งหลายพร้อมที่จะทำอาหารเลี้ยงพี่น้องประชาชนคนของพ่อทุกคนที่เข้ามากราบพระบรมศพโดยไม่ให้ขัดสนขาดแคลน เพราะพวกเราก็ได้เลี้ยงมาตั้ง ๑๐๐ วันแล้วก็ยังไม่เห็นว่าใครอดอยากเลย
เก็บงบประมาณวันละ ๓ ล้านกว่าบาทเอาไปช่วยภาคใต้ที่น้ำท่วมจะดีกว่า หรือถ้าจะทำตามนโยบายท่านนายก ที่อยากช่วยพวกเราเต็นท์อาหารทั้งหลาย ก็ขอแค่เพียงช่วยจัดหาวัตถุดิบในการปรุงอาหารมามอบให้ตามเต็นท์ต่างๆ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังดื้อรั้นดันทุรังไปสั่งข้าวกล่องมาเลี้ยงประชาชนจนได้
หนึ่งอาทิตย์ต่อมาปรากฏว่ากทม.มีขยะที่เกิดจากข้าวกล่องเพิ่มมากขึ้น ชาวบ้านไม่คุ้นชินกับข้าวปูอัด หรือข้าวไส้กรอกที่เย็นชืด จนสุดท้ายเมื่อเขารับไปก็นำไปทิ้ง จนนำมาซึ่งการนัดบรรดาเต็นท์อาหารทั้งหลายให้เข้าประชุมใหม่อีกรอบ (เต็นท์หมายเลข ๙ ไม่ได้เข้าประชุม) พร้อมกับบอกให้แต่ละเต็นท์ทำอาหารไปเลี้ยงเช้า กลางวัน ส่วนมื้อเย็นเป็นข้าวกล่องของซีพี ซึ่งกระทรวงต่างๆ เป็นเจ้าภาพ และแต่ละเต็นท์จะได้รับการอุดหนุนวัตถุดิบจากกองอำนวยการรวมที่นำมาแจกให้แต่ละเต็นท์ (มิได้แจกให้แก่เต็นท์หมายเลข ๙ เพราะไม่ได้เข้าไปเลี้ยงอาหารในเต็นท์นั่งรอคอย คือเต็นท์ ก ข ค ง จ
แต่เต็นท์หมายเลข ๙ จะเลี้ยงเฉพาะผู้ที่อยู่นอกเต็นท์รอคอย ไม่ว่าจะกำลังเดินเข้าหรือเดินออกจากพระราชวัง เต็นท์หมายเลข ๙ เราจะเลี้ยงหมดและเลี้ยงทุกเวลาที่มีคนต้องการกิน อีกทั้งก็ทำอาหารส่งเต็นท์พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ ในพระบรมมหาราชวัง
และที่ต้องเรียกร้องให้ท่านนายกสั่งระงับเงินค่าอาหารกล่องก็เพราะไม่มีความจำเป็นขนาดที่จะต้องใช้งบประมาณค่าอาหารในงานของพ่อ พวกเราคนไทยทุกคนพร้อมที่จะให้บริการพี่น้องที่เดินทางมาร่วมงานกราบพระบรมศพโดยไม่รู้สึกยากลำบาก
หากจะช่วย ท่านนายกควรจะกรุณานำงบค่าอาหารไปเป็นค่ารถค่าเดินทางของพี่น้องประชาชนคนต่างจังหวัด ที่พวกเขาต้องการจะเดินทางมากราบพระบรมศพแต่ไม่มีเงินค่ารถค่าเดินทาง เช่นนี้จะดีกว่า
เพราะเคยถามพี่น้องที่เดินทางมาจากภูมิภาคต่างๆ พวกเขาต้องใช้เงินค่าเดินทางไม่ต่ำกว่าพันบาทกันในแต่ละคน หากรัฐบาลต้องการจะให้ประชาชนเข้ามากราบพระบรมศพมากๆ ก็ควรนำเงินเหลือจ่ายจากงบประมาณในแต่ละกระทรวงไปเป็นค่าใช้จ่ายการเดินทางจะดีกว่า อย่านำมาซื้อข้าวกล่องของบริษัทที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองไทยเลย
ขอล่ะท่านนายก งานของพ่อจะได้ไม่เงียบเหงาอย่างที่เป็นอยู่ และถ้าหากจักต้องการช่วยพวกเราจริงๆ ก็ไปสั่งอาหารตามร้านสหกรณ์หรือร้านแม่บ้านทหารบก ร้านค้าที่ทำจากมือชาวบ้านที่เขามีความสามารถทำตามเมนูที่กองอำนวยการกำหนด เงินจะได้สะพัดอยู่ในหมู่ประชาชนโดยทั่วไป ไม่ใช่ไปอยู่แต่ในกระเป๋าของนายทุนอย่างที่เป็นอยู่ ท่านนายกควรจะต้องส่งคนลงมาสืบค้นหาความจริงในเรื่องนี้ เพื่อให้งานของพ่อไม่มีอะไรมาระคายเคืองพระเกียรติยศได้
พุทธะอิสระ

ว่าด้วย รัฐถังแตก

รมว.คลัง ยืนยันรัฐบาลยังไม่ “ถังแตก”

รมว.คลัง ยืนยันรัฐบาลยังไม่ถังแตก เหตุที่มีเงินคงคลังเหลือแค่ 7.49 หมื่นล้าน เพื่อให้เสียดอกเบี้ยน้อย เผยยังมีช่องทางหารายได้เพิ่มอีกมาก

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวชี้แจงเรื่องสถานการณ์เงินคงคลังที่หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่าอยู่ในฐานะถังแตก ว่า สื่อและประชาชนอย่าตกใจ วันนี้ ต้องดูว่ารัฐบาลเอาเงินไปลงทุนถูกต้องและทำได้หรือไม่ กฎการลงทุนเป็นอย่างไร หนี้สาธารณะเกินหรือไม่ มีการทุจริตหรือไม่ ต้องดูปลายทางด้วย ไม่ใช่แตะอะไรไม่ได้สักอย่าง แต่ต้องการให้ประเทศพัฒนา และการพิจารณาโครงการต่างๆ ฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายควบคุมหนี้สาธารณะ และกระทรวงการคลัง พร้อมสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยว ว่าที่สั่งออกไปหรือใช้ไปมีปัญหาหรือไม่ ก่อนที่จะนำเข้ามาให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ ซึ่งผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว วันนี้อยากให้ไปดูการใช้เงินว่ามีโครงการอะไรบ้าง เอาโครงการมาเปรียบเทียบกัน จากนั้นมาไล่ดูว่าผิดกฎระเบียบการเงินการคลังในการใช้เงินงบประมาณหรือไม่

"ปัญหาของประเทศเช่น น้ำท่วม ช่วยเหลือเกษตรกร ช่วยเหลือชาวนา ช่วยเหลือทุกอย่าง แล้วการพัฒนาการลงทุนจะเอาเงินที่ไหนลงไป หรือให้แค่นั้นพอจบ การเงินการคลังเติมล้น จะเอาอย่างไร
เลือกมา ปัญหาอยู่ที่ว่าท่านเลือกอย่างไร ถ้าจะเอาแบบนั้นก็จบหยุดไม่ต้องปฏิรูป ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า เหตุที่ระดับเงินคงคลังเหลือเพียง 7.49 หมื่นล้านบาท ไม่ถือว่าต่ำ เพราะกระทรวงการคลังไม่ต้องการกู้เงินมากองไว้ จะได้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตรา 2% โดยมีการประเมินว่าระดับเงินคงคลังควรอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท ถึง 1 แสนล้านบาท การมีเงินคงคลังอยู่ที่ 3 - 5 แสนล้านบาท ถือว่ามากเกินไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นก็ยังมีวงเงินกู้ฉุกเฉินเพื่อรักษาสภาพคล่องอีก 8 หมื่นล้านบาท

นายอภิศักดิ์กล่าวว่า ช่วงต้นปี เงินคงคลังจะต่ำ เนื่องจากภาษียังไม่เข้ามา ยิ่งปี 2559 จะต่ำกว่าทุกปี เพราะกระทรวงการคลังเพื่อระบบวิธีบริหารจัดการเงินคงคลังใหม่ และเร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อนำไปใช้ในโครงการต่างๆ

"ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ถังแตก เพราะยังมีเงินอีกมาก ไม่ใช่แค่เงินคงคลัง แต่ยังสามารถกู้มาใช้ได้อีกจากการทำงบประมาณขาดดุล" นายอภิศักดิ์กล่าว

ก่อนหน้านี้ นายเดชรัต สุขกำเนิด อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรกร ออกมาระบุผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เงินคงคลังของประเทศไทย เมื่อเดือน ก.ย. 2557 ภายหลังจากที่ คสช. ยึดอำนาจ มีอยู่ราว 4.95 แสนล้านบาท แต่พอถึงเดือน ธ.ค.2559 กลับเหลืออยู่เพียง 7.49 หมื่นล้านบาทเท่านั้น
/////////////////
(ข้อมูลเพิ่มเติม-ข้อสังเกต)

Vinij Tansakul

"เงินคงคลัง คือเงินออมของประเทศที่เหลือจากการใช้จ่ายสะสมเอาไว้
ในยุคยิ่งลักษณ์ มีเงินออมอยู่ 5 แสนล้านบาท และก่อหนี้ของรัฐบาลในอดีตรวมกัน 4 ล้านล้านบาท
พอลุงตู่เข้ามาแค่ 2 ปี เงินออมหายวับเหลือ 7 หมื่นล้านบาท ส่วนหนี้รัฐเพิ่มจาก 4 ล้านเป็น 6 ล้านล้าน หรือเพิ่มมาอีก 2 ล้านล้านบาทแค่ในเวลา 2 ปี

สรุปคือ ลุงตู่ใช้เงินเกินจากงบประมาณที่จัดเก็บได้ = เงินคงคลังที่หายไป + หนี้ใหม่ ก็ราวๆ 2.4 ล้านล้านบาทหมดไปกับอะไรเราก็เห็นๆ กันอยู่ แต่ไม่เห็นมีอะไรจับต้องได้ ไม่มีรถไฟฟ้าความเร็วสูง และที่สำคัญไม่มีโครงการจำนำข้าว สถานการณ์มันอาจแย่กว่าที่คิด ใครมีหุ้นให้รีบทยอยขายเมื่อหุ้นถึงจุดสูงสุดแล้ววกกลับในแต่ละรอบ เพราะอาการแบบนี้อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นพังครืนลงมาได้ในที่สุด ตราบใดที่การหายรายได้ภาค รัฐยังไม่เพิ่มขึ้น แถมตอนนี้กู้เงินต่างประเทศ ก็ไม่มีประเทศไหนให้กู้อีกด้วย...มาลุ้นกับลุงตู่หากยังไม่ถังแตก..."

ม.หอการค้าจัดเสวนา’กฎหมายคุ้มครองหรือควบคุมสื่อ’ นักวิชาการห่วงประเด็นเงิน100ล้าน


เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดเสวนา “กฎหมาย กฎ(ด) สื่อ คุ้มครอง หรือควบคุม” โดย นายเทพชัย หย่อง นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ในฐานะประธานคณะทำงานสื่อเพื่อการปฏิรูป กล่าวว่า กลไกที่เกิดขึ้นภายใต้กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นสภาวิชาชีพที่เหมาะสม เพราะสภาวิชาชีพที่ถูกต้อง สังคมต้องมีส่วนร่วม โดยไม่มีอำนาจรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากบทบาทของสื่อมวลชนกับอำนาจรัฐต้องแยกกัน แต่กลไกที่ปล่อยให้อำนาจรัฐเข้าไปแทรกแซง ความเป็นกลางก็จะหายไป เห็นจากสภาวิชาชีพสื่อนี้ถูกออกแบบให้มีกรรมการ 13 คน แต่ 4 คนมีตัวแทนจากปลัดของกระทรวง 4 กระทรวง ซึ่งถือเป็นข้าราชการที่มีตำแหน่งสูงสุด และหากบ้านเมืองกลับสู่ยุคปกติ ปลัดที่ถูกเลือกมาก็ต้องถูกเลือกมาจากฝ่ายการเมือง เวลาจะถูกตรวจสอบก็คงยากมาก และถือเป็นเรื่องประหลาดมากหากหน่วยงานรัฐถูกตรวจสอบ แต่กรรมการกลับมีตัวแทนรัฐไปตรวจสอบด้วย
รศ.จุมพล รอดคำดี อดีตประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาปฏิรูปประเทศ (สปช.) กล่าวว่า หากจะมีการปฏิรูป เราก็ต้องยึดหลักความมีอิสระ เสรีภาพของผู้ทำงานด้านสื่อ และประชาชน โดยการทำงานก็ต้องอยู่ในกรอบจริยธรรม กรอบวิชาชีพของตนเอง ด้วยเหตุผลนี้ จึงเห็นว่าต้องทำให้คนทำงานในวิชาชีพมีความคล่องตัว มีอิสระเสรีภาพ แต่กำกับด้วยความรับผิดชอบ จึงต้องมามองว่าจะทำอย่างไรให้ความรับผิดชอบเกิดขึ้น จริงๆ แล้ว โดยหลักการเกิดสภาวิชาชีพสื่อมวลชนไม่ได้ต้องการเพื่อควบคุม แต่เกิดขึ้นเพื่อช่วยส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพสื่อ ส่วนเรื่องการจดทะเบียน ในสภาปฏิรูปแห่งชาติในตอนนั้นแค่ต้องการให้คนทำวิชาชีพมีสังกัดชัดเจน ต้องแสดงตัวได้ว่า เป็นใคร อยู่องค์กรไหน ไม่ใช่ว่ามาแบบลอยๆ แต่บางคนก็จะบอกว่าพวกนักข่าวอิสระจะทำอย่างไร ก็นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่สภาวิชาชีพจะเป็นคนช่วยดูแลกำกับ แค่มาจดแจ้งมาขออนุญาตเท่านั้น
นายวันชัย วงศ์มีชัย นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้ขณะนี้จะมีการถอนเรื่องนี้ออกไปก่อน แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะจากข้อมูลที่ได้รับมา ยังมีแนวความคิดทั้งเรื่องอำนาจการออกใบอนุญาต และโครงสร้างคณะกรรมการ โดยคนผลักดันยังยืนยันเดินต่อพอสมควร เพียงแต่เมื่อกระแสสังคมสูงก็อาจนำกลับไปปรับแก้ก่อน และลดทอนบางส่วน โดยในส่วน 4 ปลัดกระทรวงอาจยอมถอน แต่ในเรื่องใบอนุญาตก็ยังเป็นประเด็นหลักที่จะคงไว้ต่อไป เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะนำมาควบคุมการประกอบวิชาชีพสื่อ อย่างไรก็ตาม องค์กรสื่อจะมีการหารือกันเพื่อรับมือสถานการณ์ต่อไป
รศ.มาลี บุญศิริพันธ์ นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน กล่าวว่า ประเด็นเรื่องเงินปีละ 100 ล้านบาทที่จะได้รับการสนับสนุนตั้งสภาวิชาชีพจะเป็นตัวทำลายสื่อได้ เพราะถึงเวลานั้น อย่าลืมว่า สื่อก็เป็นปุถุชน และมีความเป็นไปได้ที่จะต้องวิ่งไปเป็นกรรมการ เป็นการล่อเลย เรียกว่าเป็นโครงสร้างที่แข็งกระด้างมาก และอึดอัดว่า คนที่มาร่างกฎหมาย ส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของสื่อเลย นอกจากนี้ การจะมีกฎหมายมาดูแล เราขอแค่ว่า กำหนดว่าคนที่จะมาทำอาชีพสื่อมวลชนต้องจัดการกันเอง เพราะขณะนี้ก็มีสภาหนังสือพิมพ์ เรามีกฎหมายอันเดียวก็พอว่า ใครก็ตามที่จะเข้ามาทำงานก็ต้องเป็นสมาชิกของสภาองค์กรสื่อ โดยองค์กรที่มีอยู่แล้วก็ทำให้เข้มแข็ง และส่งเสริมให้เขามีการกำกับดูแลอย่างชัดเจน ปัจจุบันเรายังไม่มีพลังอำนาจในการดึงทุกองค์กรมาเป็นสมาชิก
thumbnail_IMG_7016
16558519_848506405291564_1236455153_n

ข้าราชการท้องถิ่นกว่า 6 แสนกุมขมับ! งบรักษาพยาบาลจ่อหมด เม.ย.นี้ สปสช.เร่งช่วยเหลือ

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช. ) นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ดสปสช.)
โดย นพ.ประจักษวิช เล็บนาค รองเลขาธิการ สปสช. นำเสนอเรื่องงบประมาณค่ารักษาพยาบาลสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลของพนักงานหรือลูกจ้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ปีงบประมาณ 2559 -2560 ที่ไม่เพียงพอว่า ตามที่ สปสช.ได้บันทึกข้อตกลงร่วมกับ อปท.ในการบริหารจัดการกองทุนสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลของพนักงาน/ลูกจ้าง อปท.นั้น โดยปัจจุบันพบว่า อปท.มีจำนวน 7,851 แห่ง มีผู้ใช้สิทธิ 613,650 คน ซึ่งสถานการณ์ข้อมูลรับบริการสิทธิ อปท.ปีงบประมาณ 2557-2559 พบว่า ปี 2557 มีจำนวนเงินจ่าย 3,421 ล้านบาท เฉลี่ยคนละ 5,913 บาท ปี 2558 มีจำนวนเงินจ่าย 4,659 ล้านบาท เฉลี่ยคนละ 7,612 บาท และปี 2559 มีจำนวนเงินจ่าย 5,596 ล้านบาท เฉลี่ยคนละ 9,096 บาท แต่ในปีงบประมาณ 2560 พบว่ามีปัญหาการใช้จ่ายเงิน โดยมีจำนวนเงินเหลือ 3,403 ล้านบาท หากเบิกจ่ายเฉลี่ยเดือนละ 466 ล้านบาท งบนี้จะใช้ได้ถึงเดือนเมษายน 2560 เท่านั้น จากการประมาณการปี 2560 จะขาดเงินสำหรับจ่ายค่ารักษาพยาบาลของ อปท.  2,648 ล้านบาท ดังนั้น ปีงบประมาณ 2561 ต้องใช้เงิน 9,046 ล้านบาท
นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา รักษาการแทนเลขาธิการ สปสช. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ในกรณีที่งบประมาณจะหมดลงเดือนเมษายนนี้  สปสช.ก็จะต้องหยุดการบริหารจัดการจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิดังกล่าว ส่วนการวางแผนในระยะยาวตนจะขอเข้าหารือกับคณะกรรมการกระจายอำนาจ และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเกี่ยวกับงบประมาณที่จะมาสนับสนุนสิทธินี้ต่อไป ซึ่งจะดำเนินการให้ทราบรายละเอียดว่ามีแนวทางการดำเนินการอย่างไรก่อนเดือนเมษายน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้รับบริการ
นพ.ปิยะสกลกล่าวว่า ตนจะหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับบันทึกความร่วมมือระหว่าง สปสช.กับท้องถิ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น รวมทั้งให้ สปสช.จัดทำหลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการเงินค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของพนักงาน/ลูกจ้าง อปท.ใหม่ด้วย

ว่าด้วยข่าวขบวนการลาว

ล่าแก๊งหมิ่นฯในลาวไม่คืบ ระวัง “พี่ป้อม” จะเสียคนเอง
4ก.พ.2560
ป้อมพระสุเมรุ
                                             
     
       ไม่รู้พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กำลังทำอะไรกันแน่ หลังล่าสุดมอบหมายให้ พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่น

คงแห่งชาติ (สมช.) เดินทางไปประเทศลาว เพื่อขอความร่วมมือในการแก้ไขปัญหากรณีที่มีสถานีวิทยุเผยแพร่ข้อมูลกระทบสถาบันอีกระลอก
     
       ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ครั้งหนึ่งเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน ทางการลาวเอาจริงกับผู้ต้องหาคดีประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 112 ของไทย ด้วยการไล่ปิดคลื่นวิทยุที่คนกลุ่มดังกล่าวสื่อสาร ก่อนที่ “บิ๊ก

ป้อม” จะออกมาเชิดหน้าชูตาตัวเองว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเพราะตัวเองไปขอความร่วมมือเอาไว้ เมื่อครั้งบินไปเยือนประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ ดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ก็ออกมาขอบอกขอบ

ใจประเทศลาวที่ช่วยแก้ไขปัญหานี้
     
       ทว่าหลังจากออกมาโชว์ว่า เป็นฝีมือของ “บิ๊กป้อม” ที่อยู่เบื้องหลังการกวาดล้างกับลาวครั้งนั้น อีกไม่กี่วันต่อมาปรากฎว่า ผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ประเทศลาวก็ออก

มาอาละวาดอีก จนประชาชนงงเป็นไก่ตาแตก ตกลงว่า “บิ๊กป้อม” ไปขอความร่วมมือจริงหรือไม่
     
       แถมยังมีข่าวลือกันให้แซ่ดว่า แท้จริงแล้วที่ผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ยอมสงบปากสงบคำตามคำขอของทางการลาวในครั้งนั้น ไม่ใช่เพราะการขอความร่วมมือจาก “บิ๊ก

ป้อม” เลย หากแต่เป็น “ตัวเป้ง” ที่คอยเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้ส่งสัญญาณให้สงบปากสงบคำก่อนเพื่อต้องการต่อรองอะไรบางอย่าง
     
       ทว่าท่ามกลางความคลุมเครือในครั้งนั้นว่า ตกลงเป็นฝีมือใคร การออกมามอบหมายให้ เลขาฯสมช.ไปประสานขอความร่วมมือกับลาวอีกครั้งในครั้งนี้ มันก็ชวนสงสัยว่า ตกลงครั้งแรกตัวเอง

ไม่ได้ขอความร่วมมือแบบเป็นกิจลักษณะใช่หรือไม่ แต่พอมีอะไรที่เกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบก็เลยเด้งเอาไว้ก่อน
     
       แต่พอมาถึงครั้งนี้ที่เทกแอ็กชั่นแรงๆ มอบหมายให้ สมช.กุลีกุจอไปที่นู่น เพราะเพิ่งจะทำจริงจังใช่หรือไม่?
     
       ส่วนครั้งนี้จะเป็นอย่างไรต้องรอติดตาม แต่ดูอาการออกตัวแรงๆ เที่ยวนี้มีลุ้นเหมือนกัน เพราะอย่างที่รู้กัน สถานการณ์ของ “บิ๊กป้อม” เองก็ยังไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ ถึงได้มุ่งมั่นจริงจังกับการ

สร้างความปรองดองให้สำเร็จแบบขมีขมัน แบบไม่เคยปรากฏมาก่อน
     
       แล้วก็อย่างที่รู้กันช่วงนี้เป็นช่วงที่พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ต้องปั้มผลงานที่เป็นระดับเกรดเอออกมาให้ได้มากที่สุด เพื่อเซฟสถานะของตัวเอง การออกมากร้าวจะขอความร่วมมือกับลาวเพื่อสกัดกั้น

แถวนี้จึงน่าสนใจ แถมดูออกตัวยังเหมือนตอนออกตัวเรื่องการสร้างความปรองดองอีกด้วยว่า มั่นใจจะสำเร็จ
     
       “ทุก ๆ เรื่องที่เราร้องขอไปทางลาวตอบรับอย่างดี เพื่อให้ทั้งสองประเทศอยู่อย่างสงบ และแลกเปลี่ยนผู้ร้ายอย่างชัดเจน โดยผู้บุคคลที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของลาวที่อาศัยในประเทศไทย หาก

พบเราก็พร้อมดำเนินการให้ ขณะเดียวกันในส่วนกลุ่มคนที่หมิ่นสถาบันที่อาศัยในประเทศลาวเราได้ให้ข้อมูลไปแล้ว ซึ่งก็ต้องแลกเปลี่ยนงานด้านการข่าวต่อไป”
     
       งานนี้จึงต้องลุ้นดูผลงาน “พี่ป้อม” ของ “น้องตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าจะสำเร็จหรือไม่ เพราะช่วงนี้ทำอะไรต้องทำ

เต็มที่ โดยเฉพาะช่วงนี้งานใหญ่ งานเกรดเอที่ได้หน้า ต้องโยนให้พี่ใหญ่สร้างผลงานหมด
     
       ต้องรอดูฟีดแบ็ก แล้วไม่ได้ดูระยะสั้นๆ ต้องดูระยะยาวๆ ด้วย ไม่เช่นนั้นจะเสี่ยงเป็นแบบคราวที่แล้วที่ตอนแรกเหมือนจะได้ผล แต่สุดท้ายกลับมาเหมือนเดิม
     
       อย่าลืมว่า มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากถ้าจะทำจริงจัง เพราะงานนี้ทำดีกว่าไม่ทำ เนื่องจากถือเป็นหน้าที่สำคัญที่ต้องทำเพื่อปกป้องหัวใจคนไทยที่หวงแหนสิ่งที่เทิดทูน
     
       แล้วพวกที่ไปอาศัยอยู่ในประเทศลาววันนี้ต้องยอมรับว่า ที่รู้ก็เยอะแล้ว แต่ที่ไม่รู้ยังมีอีกเยอะมาก เพราะถ้าไล่รายชื่อตามที่ปรากฎออกมาถือว่า เยอะเอาตัวทีเดียว
     
       เท่าที่ปรากฎๆ กันว่า แอบไปซุกลาวอยู่ก็ กลุ่มลุงสนามหลวง หรือ ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ นักธุรกิจที่หลบหนีคดี มาตรา 112 ไปอาศัยอยู่ประเทศจีน เมื่อหลายปีก่อน หลังรัฐประหาร 2557 และย้ายจาก

จีนมาเช่าอพาร์ทเมนต์ อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นคนวางแผนทำ “วิทยุออนไลน์ใต้ดิน” และมีกลุ่มไฟเย็นเป็นฐานกำลังสำคัญ นำโดย ไตรรงค์ สินสืบผล หรือ “ขุนทอง ไฟเย็น” รมย์ชลี สมบูรณ์

รัตนกูล หรือ “แยมมี่ ไฟเย็น” แล้วยังมี สหายร้อยสิบสอง ซึ่งเป็นนักเขียนชื่อดัง และสหายยังบลัด
     
       อีกกลุ่มที่ป่วนๆ เหมือนกัน ก็มีกลุ่มสหายหมาน้อย หรือ “โกตี๋ เรดการ์ด”แกนนำแดงวิทยุชุมชน ที่หนีคดี 112 หลังทำซ่าเมื่อหลายปีก่อน ไปเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่เมืองหลวงเก่า ซึ่งกลุ่มนี้มี

ความสนิทสนมกับกลุ่มลุงสนามหลวงของชูชีพ
     
       ส่วนอีกกลุ่มคุ้นชื่อเสียงเรียงนามกันดีคือ กลุ่มของ สุรชัย แซ่ด่าน ประธานกลุ่มแดงสยาม ที่ยังซ่าอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งหนีไปเปิดสถานีวิทยุออนไลน์ เพื่อออกอากาศรายการปฏิวัติประเทศ มาตั้งแต่

ปลายปี 2558
     
       กระนั้นก็ไม่ใช่ว่า ทุกกลุ่มในลาวจะถูกกัน เพราะกลุ่มของ “สุรชัยด่านฯ” ก็ไม่ลงรอยกับกลุ่มลุงสนามหลวง และของกลุ่มของโกตี๋ หลังหักกันเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ไม่เข้าใครออกใคร
     
       แค่เห็นรายชื่อคนไทยทั้งประเทศก็อยากจะให้ภารกิจของ “บิ๊กป้อม” สำเร็จแล้วโดยเร็ววัน เพราะคนพวกนี้เหยียบหัวใจคนไทยทั้งประเทศมานานนมเกินไปแล้ว
                   
         ดังนั้น อย่าว่าจะกวาดให้หมดแล้วลากคอมาเลย ได้ตัวเป้งๆ ไม่กี่คนก็ยังดี หรือทำให้คนพวกนี้สงบปากสงบคำก็น่าจะพอใจได้
                 
            ขอแค่อย่าหายเงียบแล้วกัน ไม่ใช่อะไรหรอกกลัว “บิ๊กป้อม” จะเสียทรงเอา!!!
//////////
ถ้าพูดแบบนี้.."แก๊งแดง 112 ข้ามโขง" เดือดร้อนแน่..." พล.อ.ทวีป เนตรนิยม" เลขาฯ สมช. จ่อบุกลาว-รอการประสานนิดหน่อย ระบุหากได้รับแจ้งกลับมาตนก็จะเดินทางไปทันที ยันคนกลุ่มนี้ ผิด

ม.112 แม้ไทยกับลาวจะไม่มีกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่เราก็จะทำในเชิงขอร้อง หรือต้องแลกผู้ต้องหาก็ยินดี


วันนี้ (31 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทำเนียบรัฐบาลวานนี้ พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ

รมว.กลาโหม สั่งการให้ประสานกับทางสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเพื่อติดตามคนไทยที่ทำผิดกฎหมายมาตรา 112 โดยใช้สถานีวิทยุออนไลน์ในลาวเผยแพร่ข้อมูลที่กระทบต่อสถาบัน

พระมหากษัตริย์ ของไทยว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการประสานกับทางการลาว หากได้รับแจ้งกลับมาตนก็จะเดินทางไปทันที ซึ่งก่อนหน้านี้ทางประชาคมข่าวกรองได้รายงานมาให้ทราบเป็น

ระยะ ๆ และตนได้รายงานให้พล.อ.ประวิตร ทราบทุกสัปดาห์ จนกระทั่งได้มอบหมายให้ตนเองเดินทางไปประสานกับทางรัฐมนตรีกระทรวงป้องกันความสงบของลาวเพื่อติดตามคนกลุ่มนี้


เมื่อถามว่าทางการไทยมีข้อมูลที่จะส่งให้ทางการลาวด้วยหรือไม่ เลขาฯสมช.กล่าวว่า ความจริงข้อมูลระหว่าง 2 ประเทศได้มีการประสานกันตลอดเวลา และครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ตนจะนำข้อมูล

นี้ไปคุยกับทางรัฐมนตรีกระทรวงป้องกันความสงบของลาวโดยตรง โดยจะเป็นข้อมูลของคนไทยที่มีหมายจับของเราแล้วไปอาศัยอยู่ที่ลาวและไปใช้โซเชียลฯดำเนินการในลักษณะที่หมิ่น

สถาบันฯของไทย ซึ่งมีอยู่ประมาณ 5-6 คน



"ความผิดของกลุ่มคนเหล่านี้คือการโจมตีสถาบันฯ ไม่ใช่การโจมตีรัฐบาล ซึ่งเป็นการทำผิดตามมาตรา 112 ของไทย แต่ไทยกับลาวไม่มีกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ดังนั้นเราก็จะทำในเชิงขอร้อง ใน

ลักษณะต่างตอบแทนคือหากทางการลาวต้องการใครที่ทำผิดกฎหมายในลาวและหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ลาวก็อาจจะขอร้องไทยในลักษณะเดียวกันนี้ได้ เราก็จะส่งไปให้" เลขาฯ สมช. ระบุ



"คนคลองเดื่อ" สำนักข่าว Tnews

ข่าว6/2/60

กรธ.รธน.

"พรเพชร" เผย กฤษฎีกาชุดพิเศษปรับแก้ ร่าง รธน. เรียบร้อยแล้ว รอ "วิษณุ" ชี้แจงรายละเอียดทั้งหมด - ไม่รู้เนื้อหาร่าง พ.ร.บ.อำนวยความยุติธรรมทางอาญา

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. กล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญว่า ขณะนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษ ได้พิจารณาฉบับแก้ไขเสร็จเรียบร้อย

แล้วตามข้อสังเกต ซึ่งความคืบหน้า และรายละเอียดการปรับแก้ไขนั้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้ชี้แจง โดยจะนัดประชุมคณะกรรมการฯ อีกครั้งในสัปดาห์นี้  ส่วนจะมีการเปิด

เผยรายละเอียดเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญที่ได้แก้ไข ก่อนกำหนดวันนำร่างฯ ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เพื่อทรงมีพระราชวินิจฉัยในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ นี้ ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับทางสำนัก

เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นฝ่ายดำเนินการ

ประธาน สนช. ยังกล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติอำนวยความยุติธรรมทางอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ว่ายังไม่ทราบรายละเอียด เพราะกรรมาธิการทางการเมืองของ สนช. ยังไม่ได้มี

การเสนออย่างเป็นทางการ
--------
"ชาติชาย"ยื่นยัน ปชช.ให้ความสนใจแสดงความคิดเห็น พรป.สส.-สว.ที่ จ.อุดรธานีคึกคัก สนับสนุน บัตรใบเดียว อยากมีส่วนร่วมกำหนดเขตเลือกตั้ง 

นายชาติชาย ณ เชียงใหม่ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็น เปิดเผยว่าจากการลงพื้นที่ จ.อุดรธานี ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา

ประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยในประเด็น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย ส.ส. ส่วนใหญ่สนับสนุนเรื่องการใช้บัตรใบเดียว เพราะจะทำให้สะดวกและง่ายขึ้น และเห็นด้วย

ที่จะให้ผู้สมัครเป็น ส.ส. แสดงบัญชีเสียภาษีย้อนหลัง  ส่วนเรื่องแบ่งเขตเลือกตั้งก็อยากให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น และ อยากให้ พรรคเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทำบัญชีผู้

สมัครด้วย รวมถึงให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมระหว่างชาย-หญิงด้วย ส่วน พรป.ว่าด้วย ส.ว. ประชาชน แสดงความเป็นห่วงเรื่องการเลือกไขว้ ที่อาจจะเกิดการฮั้วกัน หรือการล็อกสเปก เพราะ

ในอดีตเคยมี จึงอยากให้แก้ปัญหาให้ได้มากที่สุดรวมถึง สนใจเรื่องของการแบ่งกลุ่มอาชีพ เพื่อสมัครเป็น ส.ว.ด้วย

ทั้งนี้ ในส่วนของการประชุมในวันนี้ ก็จะพิจารณาเนื้อหาของ พรป. ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ในเรื่องของวิธีการทำงาน และบทบาท
ของ ปปช.เพื่อให้ ผู้ปฏิบัติงานได้ทำงานอย่างสะดวก และราบรื่นที่สุด
-------------
กมธ.ปฏิรูปสื่อ พร้อมปรับแก้ร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพสื่อ ให้ปลัด 4 กระทรวง มาเป็นการสรรหาจากภาครัฐ 

พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน กล่าวภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมได้มีการทำข้อสังเกตเพื่อแก้ไขร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิ

เสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ... โดยมีข้อเสนอว่า ชื่อร่างกฎหมาย แม้จะระบุเป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพสื่อ แต่เนื้อหากลับเน้นไปที่มาตรการกำกับ
ดูแลควบคุมสื่อ ซึ่งควรเพิ่มบทบัญญัติในการควบคุมประชาชนที่บริโภคสื่อที่ได้รับผลกระทบ

ทั้งนี้ พล.อ.อ.คณิต กล่าว่า ที่ประชุมเห็นควรให้ลดจำนวนกรรมการที่เป็นตัวแทนของภาครัฐ และเพิ่มตัวแทนจากภาคสื่อมวลชน โดยปรับปรุงจากปลัด 4 กระทรวง มาเป็นการสรรหาจากภาครัฐ

เพื่อลดการแทรกแซงจากผู้มีอำนาจ ในส่วนของการถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพนั้น ให้ทางคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนประเทศด้านสื่อมวลชน ไปพิจารณาใหม่ว่าจะนำมาใช้หรือไม่ หรือ
จะเป็นในรูปแบบอื่น เพราะสื่อมีลักษณะเฉพาะ ไม่เหมือนกับองค์กรวิชาชีพอื่น และข้อสุดท้าย บทบัญญัติต่าง ๆ ใน ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ควรระวังว่าอาจจะไปขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญด้วย
///////////////
ถังแตก

นายกฯ ขออย่าตกใจ ให้รอ ก.คลัง ชี้แจง ปมถูกฝ่ายการเมืองโจมตีรัฐบาลถังแตก ถามกลับจะเรียกคืนความเชื่อมั่นได้อย่างไร

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวกรณีที่ถูกฝ่ายการเมืองโจมตี ว่า สถานะการเงินการคลังไม่มั่นคง ภายหลังการขึ้นภาษีสรรพ

สามิตน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับเครื่องบินภายในประเทศว่า รอฟังกระทรวงการคลังชี้แจง ขออย่าตกใจกับเรื่องดังกล่าว พร้อมถามกลับว่า หรืออยากอยู่แบบเดิมที่ไม่ต้องใช้เงินอะไรเลย ใช้เพียง
เงินอุดหนุนอย่างเดียวในการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยเท่านั้น ดังนั้น ทั้งหมดจะต้องมองถึงกฎการลงทุน หนี้สาธารณะ และจะเกิดการทุจริตหรือไม่ด้วย ไม่ใช่วันนี้ทำอะไรไม่ได้แต่ยังมี

ความต้องการ หรือทุกคนไม่รู้ว่าปัญหาประเทศอยู่ตรงไหน เพราะส่วนตัวมีหน้าที่ในการขับเคลื่อนประเทศ ซึ่งฝ่ายกฎหมาย กระทรวงการคลัง และฝ่ายควบคุมหนี้สาธารณะกำลังพิจารณาการสั่งการ
ต่าง ๆ ที่นำเข้าไปอนุมัติและกลั่นกรองมา และขอนำโครงการที่ผ่านมา มาเปรียบเทียบว่าผิดกฎระเบียบการเงินการคลังในการใช้เงินงบประมาณหรือไม่

ทั้งนี้ จะเรียกความเชื่อมั่นอย่างไร เพราะมีการตีความว่ารัฐบาลถังแตกนั้น นายกรัฐมนตรี ถามกลับว่า ใครตีความแบบนั้น ซึ่งขณะนี้ประชาชนต่างเรียกร้องในการช่วยเหลือน้ำท่วม ช่วยเหลือ

เกษตรกร ช่วยเหลือชาวนา และช่วยเหลือทุกอย่าง ดังนั้น การพัฒนาจะเอาเงินที่ไหนไปลงทุนหรือให้เพียงเท่านั้นพอ ถ้าจะเอาแบบนั้นก็ไม่ต้องปฏิรูป
-----------------
"สมคิด" ยัน เงินคงคลัง มีมากน้อยขึ้นอยู่กับนโยบาย ยัน ไม่น่ากังวลรัฐ ปัดถังแตก

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันถึงสถานะเงินคงคลัง ว่า การที่เงินคงคลังเหลือน้อยไม่ได้หมายถึงรัฐบาลไม่มีเงิน แต่วงเงินดังกล่าว สามารถปรับขึ้นลงได้ขึ้นอยู่กับการ

กำกับดูแล ซึ่งเรื่องนี้ทางกระทรวงการคลังกำกับดูแลโดยเน้นเรื่องประสิทธิภาพอยู่แล้ว สามารถปรับเปลี่ยนเงินคงคลังได้ตามการดำเนินนโยบายในแต่ละช่วง และการที่เงินคงคลังเหลือในระดับ

74,907 ล้านบาท เป็นเพราะกระทรวงการคลังต้องการให้เป็นแบบนี้เพื่อให้การเบิกจ่ายมีประสิทธิภาพ และที่ผ่านมาในการดำเนินนโยบายของบางรัฐบาลมีเงินคงคลังเหลือน้อยกว่าวงเงินดังกล่าว

ด้วย

อย่างไรก็ตาม การที่เงินคงคลังอยู่ในระดับสูงมาก ไม่ใช่เรื่องที่ดี และการที่มีบุคคลออกมาวิจารณ์เงินคงคลังเหลือน้อยเป็นเพราะไม่มีความเข้าใจ ซึ่งการดูแลสภาพคล่องเงินคงคลัง ทางกระทรวง

การคลัง สามารถปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ในระยะเวลาเพียง 2 วัน
------------
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แจงสถานะการคลังของรัฐบาลยังดีอยู่ ล่าสุดเดือนธันวาคม 2559 มีเงินคลัง 74,907 ล้านบาท ชี้เหมาะสม

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าว ชี้แจงสถานะการคลังของรัฐบาล โดยระบุว่า สถานะทางการคลังของประเทศ ขณะนี้ถือว่ายังอยู่ในสถานะที่ดี โดยการคลังของ

รัฐบาล ล่าสุดในเดือนธันวาคมปี 2559 ที่ผ่านมา ยังมีเงินคงคลัง ที่หักลบรายได้และรายจ่ายแล้ว คงเหลือประมาณ 74,907 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขการจัดเก็บรายได้สูงกว่าที่กระทรวงฯ ประมาณการ

ไว้ ถึง 27,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ นโยบายการบริการหารจัดการเงินสดของรัฐบาลนั้น ไม่ต้องการที่จะถือครองเงินสดมากเกินความจำเป็น เนื่องจากต้องการประหยัดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐ สำหรับในอดีตที่ผ่านมานั้นเคยมี

การเก็บเงินคงคลังไว้ได้ถึง 400,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้ต้องเสียภาระในเรื่องของดอกเบี้ยปีละหลายพันล้านบาท ซึ่งรัฐบาลมองว่าไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด ขณะที่รายได้ของรัฐบาลมาจากสอง

ส่วนหลัก คือ รายได้จากการจัดเก็บภาษี และเงินกู้ ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินนโยบายเรื่องของการกู้เงินตามความจำเป็นจะไม่มีการกู้มาเพื่อเก็บเอาไว้ซึ่งจะทำให้เสียดอกเบี้ยโดยไม่จำเป็น

อย่างไรก็ตาม ยืนยันรัฐบาลยังมีความสามารถในการกู้เงินได้อีกกว่า 390,000 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสถานะความมั่นคงของประเทศที่ยังมีความมั่นคงและแข็งแกร่งอยู่ ส่วนประเด็นการปรับ

ขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินภายในประเทศปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในการจัดเก็บภาษีน้ำมันชนิดอื่น ๆ ด้วย ส่วนการปรับขึ้นราคาค่าโดยสาร

นั้นเป็นดุลยพินิจของแต่ละสายการบินที่จะทำการแข็งขันทางด้านตลาด
-----------
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผย ดัชนีเชื่อมันนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า ปรับสูงขึ้น ครั้งแรกในรอบ 5 เดือน อยู่ที่ระดับ 120.59

นายคเณศ วังส์ไพจิตร เลขาธิการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงข่าวดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2560 โดยระบุว่า
ภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับเพิ่มสูงขึ้น สู่ระดับร้อนแรงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน อยู่ที่ระดับ 120.59
ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.09 จากเดือนที่ผ่านมาที่ระดับ 102.99 โดยตลาดทุนทั่วโลกยังคงต้องเผชิญความผันผวนสูงของกระแสเงินทุน
ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศยังคงเติบโตได้ดีจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

ทั้งนี้ ในไตรมาส1/2560 ภาพรวมเศรษฐกิจโลกเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ต้องคอยจับตามอง ยังคงเป็นท่าทีของสหรัฐฯ
ต่อการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจและการค้ากับหลายประเทศทั่วโลกที่สวนทางกับแนวนโยบายการค้าเสรี ผลพวงจากเหตุการณ์ Brexit
ที่เริ่มจะเห็นความคืบหน้าชัดเจนภายในไตรมาสนี้ รวมถึงความผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจสำคัญ

อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง แต่เศรษฐกิจไทยถือว่ายังได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลัง
ซื้อของรัฐบาลอีกทั้งความชัดเจนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐที่จะมาช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้น

//////////////
ปรองดอง

นายกฯ เป็นประธานสรุปผลการปฏิบัติงานปี 59 พร้อมแผนปฏิบัติงานปี 60 ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในงานสรุปผลการปฏิบัติงาน ประจำปี 2559 และแถลงแผนการปฏิบัติงาน ประจำปี 2560

ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) แล้ว โดยมีหน่วยงานความมั่นคง ผู้ว่าราชการจังหวัดต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานดังกล่าว ซึ่งการจัดงานดัง

กล่าวเพื่อให้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงได้รับทราบผลการปฏิบัติงานรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรของ กอ.รมน. ประจำปี 2559 รวมถึง รับทราบกรอบการดำเนินงานรักษา

ความมั่นคงภายในราชอาณาจักรของ กอ.รมน. ประจำปี 2560 และแนวทางการปฏิบัติงานร่วมกับ กอ.รมน. การบูรณาการ ประสานงานและพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างส่วนราชการ เพื่อตอบสนอง

นโยบายของรัฐบาล รวมถึงนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2558 - 2564

สำหรับการปฏิบัติงานของ กอ.รมน. ในปีงบประมาณ 2559 หน่วยงานด้านความมั่นคงและภาคประชาชน ได้ร่วมกันเฝ้าระวัง ติดตาม ตรวจสอบ และแจ้งเตือนภัยคุกคามด้านความมั่นคง และได้

เข้าปฏิบัติงานรวมถึงสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากภัยคุกคามในรูปแบบต่าง ๆ ให้ลุล่วงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังสามารถสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการขับ

เคลื่อนยุทธศาสตร์ในการสร้างความรักความสามัคคีของคนในชาติผ่านทางศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป และป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาใหม่ระหว่างประชาชนในชาติ
----------
นายกฯ กำชับ กอ.รมน. บูรณาการกับท้องถิ่นให้สอดคล้องวาระการปฏิรูป มอบกระทรวงศึกษาแนวทางต่างประเทศ หลัง ก.คลัง เสนอใช้ ม.44 ลดโทษผู้ให้สินบน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการสรุปผลการปฏิบัติงานประจำปี 2559 และแผนการปฏิบัติงาน

ประจำปี 2560 ของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ว่า การประชุมในวันนี้เพื่อรับฟังผลงานการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาและแผนงานหลังจากนี้ เนื่องจากแผน

งานของ กอ.รมน. จะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งส่วนตัวได้มอบหมายให้หน่วยงานภายใต้สังกัด กอ.รมน. วางแผนงานการทำงานบูรณาการกับท้องถิ่นให้สอดคล้องกับ 36+1 วาระ

การปฏิรูป เพื่อแก้ไขปัญหาในกรอบเวลา 20 ปี โดยให้ใช้อำนาจตามขั้นตอนปกติ จะไม่มีการออกกฎหมายใหม่แต่อย่างใด

ส่วนการณีที่กระทรวงการคลังเสนอให้ใช้ ม.44 ลดโทษผู้ให้สินบนที่ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้มอบหมายให้กระทรวงฯ ไปพิจารณาว่า แนวทางของต่างประเทศว่า

เหมาะสมกับไทยหรือไม่ เพราะมีหลายวิธี ทั้งอีกกระบวนดังกล่าวจะต้องมีทั้งผู้ให้และผู้รับ
----------
นายกฯ ย้ำ พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพสื่อ ยึดขั้นตอนความเหมาะสม ชี้ที่ผ่านมามีการบิดเบือนข้อมูล องค์กรกำกับดูแลไม่สามารถจัดการได้ 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการเสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพ

สื่อมวลชน ของกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ว่า อยู่ในระหว่างการพิจารณาดูตามความเหมาะสมว่าจำเป็นต้องมีหรือไม่ โดยอ้างอิง
จากประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ส่วนกรณีที่มีการกำหนดปลัดกระทรวง 4 กระทรวง ในสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาตินั้น เพื่อเข้าไปตรวจสอบสิ่งที่ไม่เหมาะสม เช่น ภาพโป๊ ก่อนการตีพิมพ์

เพราะแม้ว่าปัจจุบันจะมีกฎหมายควบคุม แต่ก็ไม่สามารถหยุดการเผยแพร่ได้ แต่หากไม่เห็นด้วยสื่อมวลชนก็ต้องหามาตรการควบคุมกันเองให้ได้ เพราะที่ผ่านมาสื่อมีการบิดเบือนข้อมูลในบางเรื่อง

จนเกิดความปั่นป่วน และองค์กรที่กำกับดูแลไม่มีอำนาจที่จะไปจัดการ
----------
นายกฯ ยืนยัน การแต่งตั้งพระสังฆราช ยึดตามขั้นตอนของกฎหมาย - อาวุโส - ความเหมาะสม รับหมอดูทักดวงตก อย่าโยงถูกขู่ลอบสังหาร

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ว่า อยู่ในระหว่างขั้นตอนการพิจารณารายชื่อของนายกรัฐมนตรี

และคณะรัฐมนตรี ตามขั้นตอนกฎหมายให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.คณะสงค์ โดยพิจารณารายชื่อตามอาวุโส ประกอบกับความเหมาะสม ความแข็งแรงของร่างกายในการพร้อมปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งจะมีการ

คัดกรองตามลำดับที่เสนอมาทั้งหมดทั้งสองนิกายเพื่อเสนอขึ้นไป

ส่วนกรณีที่หมอดูชื่อดังมีการทักว่านายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ดวงตก นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ก็รับฟังไว้ ส่วนจะเกี่ยวกับกระแสข่าวลอบขู่ฆ่าหรือไม่ นายก

รัฐมนตรี ระบุว่าพูดเช่นนี้ก็เปรียบเหมือนดูถูกผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งดูแลเรื่องรักษาความปลอดภัยอยู่
------
โฆษก กอ.รมน. เผย นายกฯ กำชับยึดนโยบายความมั่นคงปี 2558 - 64 พร้อมให้เป็นสื่อกลางสร้างความเข้าใจให้ประชาชน

พ.อ.พีรวัชฌ์ แสงทอง โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้เปิดเผย ว่า กอ.รมน. ได้จัดให้มีการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงานประจำปี 2559 และแถลงแผนงาน

ประจำปี 2560 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.) เป็นประธาน โดยได้มอบนโยบายในการปฏิบัติงานในระดับ

นโยบายให้ยึดถือตามการนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ.2558 - 2564 และสนับสนุนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ.2560 - 2564 พร้อมให้ กอ.รมน. ต้องเป็นสื่อกลางใน

การสร้างความเข้าใจให้ประชาชน

ทั้งนี้ ในการแก้ไขปัญหาการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องทุกระดับสนับสนุนในการดำเนินการ ปัญหาข้อขัดข้องที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินการ ต้อง

รายงานให้ทราบในข้อเท็จจริงโดยเร็ว โดยที่ กอ.รมน. จะต้องเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ และ ศอ.บต. ให้การสนับสนุน โดยทั้งหมดต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
------
เลขาฯ สมช. ยัน คนโพสต์ข่มขู่ปองร้ายนายกฯ- ประวิตร เป็นกลุ่มหมิ่นสถานบันซุกในลาว เร่งประสานจัดการ พร้อมดูข้อกฎหมายฟ้องเพิ่ม

พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงกรณีการโพสต์โซเชียลมีเดีย ขู่ฆ่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (

คสช.) และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า จากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มที่โพสต์ข้อความในลักษณะดังกล่าวเป็นกลุ่มเดียวกับที่
โพสต์หมิ่นสถาบันผ่านโซเชียลมีเดียในประเทศลาว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับทางการลาว และส่วนตัวได้สั่งการให้มีการตรวจสอบด้านข้อกฎหมาย ว่ามีกฎหมายอาญาเกี่ยวกับการ

ข่มขู่ ทำร้ายกับบุคคลสำคัญว่าอาจฟ้องร้องได้อีกข้อหาหนึ่งหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดเป็นกลุ่มบุคคลที่มีรายชื่ออยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ทวีป กล่าวว่า ส่วนตัวแน่ใจว่าการขู่เอาชีวิตกับบุคคลระดับผู้นำประเทศมีข้อกฎหมายควบคุมและเป็นความผิดทางอาญา ส่วนสาเหตุที่ทำให้กลุ่มบุคคลนี้กระทำการดังกล่าว

เชื่อว่าเป็นผลจากการที่ไทยเร่งรัดทางการลาวให้ช่วยติดตามกลุ่มบุคคลที่หมิ่นสถาบันผ่านโซเชียลมีเดียในประเทศลาว และเป็นกลุ่มบุคคลที่กระทำความผิดและทางการไทยต้องการตัว จึงได้มีการ
ตอบโต้กลับผ่านทางโซเชียลมีเดีย
------------
ผบ.ทบ. เป็นประธานประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก ท่ามกลางกระแสข่าวขู่ลอบสังหาร

บรรยากาศที่ กองบัญชาการกองทัพบก ในช่วงบ่ายวันนี้ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.) ณ หอประชุมกิตติขจร ท่ามกลางกระแสข่าว มีการโพสต์ขู่ลอบสังหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ทั้งนี้ ภายหลังจากที่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ผู้บัญชาการทหารบก ได้เข้าร่วมการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงานประจำปี 2559 และแถลงแผนงานประจำปี 2560 ที่มี นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.) เป็นประธานการประชุม ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งคาดว่าจะมีการสั่งการให้เข้มงวดด้านการข่าวในการดูแลรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญของประเทศ เนื่องจากเป็นหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง รวมถึงการให้ความช่วยเหลือประชาชน ฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วมภาคใต้ หลังสถานการณ์คลี่คลายลง และการเตรียมให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบกับอากาศหนาวเย็นในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
-------------
พล.อ.สนธิ เข้าให้ข้อมูลอนุฯ ปรองดอง ชี้ต้องการคนที่ความเข้าใจ เป็นกลาง มีความตั้งใจสูง เข้ามาดำเนินการ 

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ เข้าให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างความปรองดอง และข้อเสนอแนะเพิ่มเติมกับคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษา รวบรวมความเห็น วิเคาระห์ และสังเคราะห์ ประเด็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และการสร้างความปรองดองทางการเมือง ในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร โดย พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ส่วนตัวมีความตั้งใจเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาเอก ซึ่งสมัยที่เข้ามารับดูในเรื่องนี้ในช่วงที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูงมาก ประชาชนกว่า 30% รับได้กับการทุจริตคอร์รัปชั่น ทำให้ต้องแบกรับภาระสูงมาก ดังนั้น จึงเห็นว่า งานสร้างความปรองดองจึงต้องการคนที่ความเข้าใจ เป็นกลาง และความตั้งใจสูง

ขณะที่ในวันนี้ พล.อ.สสิน ทองภักดี, พล.อ.ธนเกียรติ ชอบชื่นชม และ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. เดินทางมารายงานตัวเป็นสมาชิก สนช. หลังมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิก สนช. เพิ่มเติม ตามมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ครบทั้ง 3 คน แล้ว และทั้งหมดจะปฏิญาณตนก่อนทำหน้าที่ และจะร่วมประชุม สนช. ครั้งแรก ในวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ นี้
--------
แกนนำ นปช. FB หากยังมีอคติ ใส่ร้ายป้ายสี ไร้ความยุติธรรม ความสามัคคีปรองดองในชาติไม่เกิด ชี้กองทัพต้องเป็นกลาง ย้ำคนเสื้อแดงไม่มีกองกำลังติดอาวุธ

นายธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "ธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ" ว่า ถ้ายังมีอคติ ใส่ร้ายป้ายสี ความยุติธรรมยังไม่มี

ความจริงยังไม่รู้ ไม่มีหรอกความสามัคคีปรองดอง ที่ผ่านมาหลายปีในหลายรัฐบาล ใช้งบประมาณเป็นพันล้านก็ไม่สำเร็จ เรื่องความปรองดอง เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น ผู้มีอำนาจย่อมรู้ดี ส่วนตัว

เองและประชาชน พอจะมองออกว่าที่ไม่สำเร็จเพราะผู้มีอำนาจเกี่ยวข้อง และมีส่วนทำให้เกิดความขัดแย้ง วันนี้ คสช. มีอำนาจอย่างแท้จริง จะเข้ามาแก้ไขสร้างความปรองดองมันสำเร็จได้อย่างไร

เพราะยังเลือกข้างและเอนเอียง ความรู้สึกส่วนตัว ความปรองดองความสามัคคีของประเทศนี้ไม่จำเป็นต้องใช้คนใช้เงินให้มากมาย ไม่ต้องใช้ปืนจี้ให้มาดีกัน เพียงแต่ทำให้บ้านเมืองเป็น

ประชาธิปไตยที่แท้จริงให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม สิ่งสำคัญที่สุดคือ "กองทัพ" ต้องมีความเป็นกลาง ไม่เล่นการเมือง คอยช่วยเหลือดูแลการเลือกตั้ง ให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ แค่นี้

ก็น่าจะเกินพอ แต่สำหรับวันนี้ ปัญหามันซับซ้อน เพราะการสืบทอดอำนาจหรือกลุ่มที่จะมีอำนาจโดยไม่อยากเลือกตั้งยังไม่ต้องการให้บ้านเมืองสงบเพราะผลประโยชน์ของตัวเอง

สิ่งสำคัญที่จะทำให้มีปัญหาหรือขัดแย้งในอนาคตน่าจะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. แต่เพื่อประเทศไทยที่เป็นของทุกคนมันต้องช่วยกัน และร่วมไม้ร่วมมือกัน ประชาชนต้องไม่มีอคติต่อกันให้อภัย

กัน และประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ ส่วนตัวยังเชื่อมั่นว่ากองกำลังติดอาวุธของเสื้อแดงไม่มีจริง เป็นการใส่ร้ายแล้วล้อมฆ่าของผู้มีอำนาจ และวันนี้พอจะทำเรื่องปรองดองให้

เป็นจริงก็เริ่มใส่ร้ายเรื่องชายชุดดำเรื่องลอบยิงลอบฆ่า กล่าวหาว่าคนไกล ๆ ที่อยู่ต่างประเทศ คนไกล ๆ ฆ่าใครไม่ได้หรอก ให้ระวังคนใกล้ ๆ ไว้เถอะ แล้วจะปลอดภัย
------
"จาตุรนต์ "FB แนะ รบ.อยากปฏิรูป - ยุทธศาสตร์ชาติ - ปรองดอง สำเร็จ ต้องรับฟังความเห็นฝ่ายต่าง ๆ ให้มากขึ้น 

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Chaturon Chaisang" ว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วง 1 - 2 สัปดาห์มานี้

แสดงให้เห็นว่าทั้งการปฏิรูป การกำหนดยุทธศาสตร์ชาติและการปรองดอง ในช่วงเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา ไปไม่ถึงไหนเลย และยังส่อเค้าว่าจะล้มเหลวอีกด้วย และการการที่องค์การเพื่อความโปร่งใส

จัดอันดับประเทศไทยมาอยู่ในอันดับที่ 101 ในปี 2559 ลดลงจากอันดับที่ 76 ในปี 2558 แสดงให้เห็นว่าที่ คสช. อวดอ้างว่าจะเข้ามาปราบการคอร์รัปชั่นนั้น แต่ไม่ได้สร้างระบบการต่อต้านการ

คอร์รัปชั่นที่มีประสิทธิภาพขึ้นได้เลย เป็นความล้มเหลวในการปฏิรูปแบบหนึ่ง

นายจาตุรนต์ ระบุว่า การปรองดองที่ดูเหมือนจะมาแรงแบบไม่ทราบสาเหตุ เพราะแม่น้ำหลายสายประสานเสียงกัน แต่ความจริงอาจเป็นเพียงว่าตัว ป. ปรองดอง นี้ เป็นส่วนหนึ่งของชื่อคณะ

กรรมการ ป.ย.ป. ที่จะต้องตั้งขึ้นตามโรดแมปและรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการและอนุกรรมการต่าง ๆ เกี่ยวกับการปรองดองก็เลยต้องเกิดขึ้นแต่กระบวนการปรองดองยังไปถึงไหน กระบวนการ

ปรองดองที่กำลังจะทำกันนี้ จุดอ่อนสำคัญอยู่ที่ผู้มีอำนาจจริง ๆ ไม่เข้าใจหรือแกล้งไม่เข้าใจความหมายของคำว่า "ปรองดอง" ไม่มีคนกลาง ๆ และผู้รู้เข้าร่วมอย่างเพียงพอ หรือเกือบไม่มีเลย และไม่

มีการพูดจาหารืออย่างเท่าเทียมกันของทุกฝ่าย

ทิ้งท้ายว่า การปฏิรูปต่าง ๆ การกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ควรมีผลทำให้ประเทศไทยอยู่ได้โดยสงบ แต่ผู้มีอำนาจ กลับพูดแบบมีเงื่อนไขอยู่ตลอดว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ก็อาจจำเป็นต้องทำรัฐ

ประหารอีก การพูดแบบนี้นอกจากแสดงว่า การปฏิรูปต่าง ๆ ล้มเหลวแล้ว ยังแสดงว่า ป. ตัวหลังหรือการปรองดองก็ไม่ได้เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย แม้ในอนาคตจะมีการเลือกตั้งขึ้น แต่มีเลือกตั้งแล้วก็

อาจเกิดการรัฐประหารอีกกลายเป็นความเสี่ยงสูงกว่าในประเทศอื่น ๆ ย่อมส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาล

ที่ลำดับความมาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ไม่ยากกว่า ทั้ง ป. ปฏิรูป ย. ยุทธศาสตร์ชาติ และ ป. ปรองดอง ไม่มีวี่แววว่า จะเกิดผลอะไรเลย ถ้าอยากให้เกิดผล มีทางเดียว คือ ผู้มีอำนาจต้องรับฟังความเห็น

ฝ่ายต่าง ๆ ให้มากขึ้น
--------------
"ภูมิธรรม" ชี้ สร้างปรองดองสังคมต้องกลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตยก่อน พร้อมยึดหลักนิติธรรมไม่มี 2 มาตรฐาน

นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเดินหน้าสร้างความปรองดองของรัฐบาลว่า หากอยากให้เกิดความปรองดอง และชีวิตของคนไทยดีขึ้น สังคมไทยต้องช่วยกัน

ผลักดันให้ 2 อย่างเกิดขึ้นอย่างจริงจัง เป็นรูปธรรมก่อน คือ สังคมนี้ต้องพร้อมกลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะความเป็นประชาธิปไตย คือ หลักประกันสำคัญที่จะสร้างการยอม

รับให้สังคมที่มีความแตกต่างกันสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขและสันติ เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น และเป็นวิถีทางสำคัญที่จะอำนวยให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและ

การดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นได้

ส่วนประการที่ 2 สังคมต้องยึดหลักนิติธรรม ต้องมีหลักประกันที่จะอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ไม่มีอภิสิทธิ์ชน ไม่มีสองมาตรฐาน ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันที่ยุติธรรมอย่างเท่า

เทียมกัน แต่หากคนในสังคมที่อยู่ร่วมกันไม่รู้สึก หรือไม่มั่นใจว่ากระบวนการยุติธรรมมีหลักประกัน ความสามัคคีปรองดองก็จะเกิดขึ้นในสังคมได้ยากเช่นกัน
---------
ทีม ศก. เพื่อไทย แนะรัฐศึกษาข้อมูลเศรษฐกิจให้ชัดก่อนพูด ชี้ กระทบความมั่นใจนักลงทุน จี้ยกเลิกขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบิน เพราะเป็นการซ้ำเติม ปชช.

น.ส.อนุตตมา อมรวิวัฒน์ รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนมาโดยตลอดว่าการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนจากต่างประเทศ

หดหายไป ตั้งแต่มีการรัฐประหาร แต่รัฐบาลปฏิเสธ โดยอ้างว่ามีการลงทุนมากขึ้น ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ยืนยันแล้วว่าการลงทุนจากต่างประเทศในปี 2559 ลดลงถึง 63% เมื่อเปรียบ

เทียบกับปี 2558 มียอดรวมเพียง 1.15 แสนล้านบาท เท่านั้น ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลตรวจเช็กข้อมูลก่อนที่จะพูด เพราะจะยิ่งทำให้ความมั่นใจนักลงทุนหดหายไป เพราะเห็นว่ารัฐบาลไม่ได้สนใจ

ข้อมูลเศรษฐกิจอย่างจริงจัง นอกจากนี้ยังมีเงินไหลออกสุทธิต่อเนื่อง อีกทั้งเงินคงคลังก็ลดลงอย่างรวดเร็ว จากสี่แสนกว่าล้านบาทเหลือเพียง 7.5 หมื่นล้านบาท รวมถึงรัฐบาลมีแผนจะใช้งบ

ประมาณขาดดุลเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้มียอดขาดดุลกว่า 2.33 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขาดดุลงบประมาณมากที่สุดในทุกรัฐบาลที่ผ่านมา จึงเป็นสาเหตุให้รัฐบาลต้องเร่งเก็บภาษีต่าง ๆ เพิ่ม

อาทิ ภาษีที่ดิน, ทรัพย์สิน และภาษีอื่น ๆ โดยล่าสุดมีการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบิน ซึ่งทำให้ตั๋วเครื่องบินโลว์คอสเพิ่มขึ้น

คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เห็นว่า มีผลกระทบต่อประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันการเดินทางโดยเครื่องบินโลว์คอส มีราคาไม่สูงนัก มีประชาชนทุกระดับรายได้ใช้กันอย่างมาก และ

ไม่ได้เป็นเรื่องฟุ่มเฟือยแต่อย่างใด การเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบินทำให้ค่าตั๋วเพิ่มขึ้น เท่ากับเป็นการซ้ำเติมค่าครองชีพของประชาชนโดยในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ รัฐบาลไม่ควรเพิ่มภาษี
เพราะจะเป็นการเพิ่มภาระแก่ประชาชนและยิ่งทำให้เศรษฐกิจฟื้นยาก และควรจะต้องลดภาษี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนหลาย ๆ ประเทศ เช่น สหรัฐฯ ที่ประกาศจะลดภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
---------
"นพ.วรงค์" FB ติง รบ. ผิดพลาด ชี้แจงทำความเข้าใจ ปชช. เรื่องข้าวเสื่อม ส่งมอบหลังประมูลไม่ได้น้อยเกินไป จี้เร่งดำเนินการ ชี้จำนำข้าวมีการทุจริต

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Warong Dechgitvigrom" ว่า ช่วงนี้มีข่าวกรณีผู้ชนะการประมูลข้าว ไม่สามารถรับข้าวจากโกดัง

รัฐบาลได้ เนื่องจากข้าวที่อยู่ในโกดังไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนด เช่น ซื้อข้าวเกรดบี ที่ผ่านมาตรฐาน แต่เวลาจะขนข้าวออกจากโกดัง กลับพบข้าวเกรดซี ที่เป็นข้าวเสื่อมปะปนอยู่ด้วย รวมทั้ง

ประมูลข้าวชนิดหนึ่ง กลับกลายเป็นข้าวอีกชนิดซุกอยู่ภายใน การรับมอบข้าวไม่ได้ เพราะข้าวคุณภาพไม่ดี หรือข้าวผิดประเภทซุกภายในกอง เป็นปัญหาอันดับหนึ่ง ที่พบบ่อยมากในการซื้อข้าว

สารในสต๊อกรัฐบาล ซึ่งหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบ ได้แก้ปัญหา มีทั้งให้เอกชนเจรจากันเอง หรือถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็จะดำเนินการฟ้องร้องเจ้าของโกดัง และเซอร์เวย์ ที่ไม่รักษาคุณภาพข้าวตามที่

ระบุไว้ในสัญญาเช่าโกดัง แต่สิ่งหนึ่งที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผิดพลาด และไม่ได้ทำเลย คือการนำข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมาเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบ เพราะ
การที่มีข่าวเสื่อมคุณภาพ และข้าวผิดประเภทนั้น เป็นผลพวงจากการทุจริตของโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งในระหว่างดำเนินโครงการที่ผ่านมา ฝ่ายค้านในขณะนั้นได้ท้วงติงเรื่องเหล่านี้มาตลอด แต่

แทนที่รัฐบาลจะใส่ใจ กลับจะดำเนินคดีผู้ให้ข้อมูลในสภา จึงขอเรียกร้องรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ว่า ควรใส่ใจที่จะนำข้อเท็จจริงเหล่านี้ ให้ประชาชนได้รับทราบ ตลอดจนชี้ให้เห็นถึงปัญหาของการ

ทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว โดยเฉพาะการเวียนเทียนข้าวที่ไม่ได้คุณภาพมาเก็บในโกดังในอดีต จะสร้างปัญหาต่อการระบายข้าวของรัฐบาลในปัจจุบัน
/////////
ก๊วน112ลาว

พล.อ.ประวิตร เชื่อกลุ่มคนหนีคดีหมิ่นสถาบันในลาวขู่ฆ่า มั่นใจทีมรักษาความปลอดภัย ไม่ขอเพิ่มจำนวน 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่มีการตรวจสอบผู้ที่โพสต์ขู่ลอบสังหาร ตนเอง และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยส่วนตัวเชื่อว่า เป็นกลุ่มเดียวกันที่โพสต์หมิ่นสถาบันผ่านโซเชียลมีเดียในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งก็เป็นไปตาม

ที่ทาง พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ยังระบุว่า ไม่ต้องเป็นห่วง เนื่องจากมีระบบการรักษาความปลอดภัยดีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นจะต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ให้กับบุคคลสำคัญของประเทศ
------------
รองเลขาฯ คสช. กำชับทุกหน่วยเร่งปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมาย ช่วยเหลือประชาชนฟื้นฟูพื้นที่ได้รับความเสียหายน้ำท่วม

พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร รองผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะรองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการ คสช. โดยที่ประชุมมีการรายงานผลการป้อง

ปรามการกระทำผิดกฎหมาย การช่วยเหลือประชาชนจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ และอากาศหนาวเย็นในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งการแก้ปัญหาการบุกรุกพื้นที่อุทยาน
แห่งชาติสิรินาถ โดย พล.อ.พิสิทธิ์ กล่าวว่า การทำงานของทุกส่วนงาน ต้องปฏิบัติงานแบบบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อแก้ปัญหาและการปฏิบัติงานตามนโยบายเฉพาะของรัฐบาล และ คสช.

ซึ่งการสร้างการรับรู้ในความคืบหน้าของโครงการหรือมาตรการที่ทางภาครัฐจัดทำขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นข้อมูลให้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่อไป ในขณะเดียวกัน หากหน่วยงานใดมีการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกบิดเบือน หรือไม่ตรงกับความเป็นจริง ต้องรีบชี้แจงต่อสังคม เพื่อ

ป้องกันความสับสน

นอกจากนี้ พล.อ.พิสิทธิ์ ยังได้เน้นย้ำให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย เข้มงวดในการปฏิบัติตามภารกิจหลักในเรื่องการดูแลความปลอดภัย การบังคับใช้กฎหมายภายใต้การประสานงานร่วม

กับส่วนงานที่รับผิดชอบโดยตรง การติดตามสถานการณ์ในทุกมิติ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้ประชาชน
///////
ดีเอสไอ อายัดคฤหาสน์หรู และที่ดินกว่า 800 ไร่ ในจังหวัดอุทัยธานี ของเครือข่ายปล่อยเงินกู้นอกระบบรายใหญ่ “เสี่ยวิชัย” มูลค่ารวมกว่า 400 ล้านบาท

พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ร่วมกับ เจ้าหน้าที่กรมทหารราบที่ 4 เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจังหวัดอุทัยธานี นำกำลังเข้าตรวจค้น บ้านพักและที่ดิน เครือข่าย

นายวิชัย ปั้นงาม หรือ เสี่ยวิชัย นายทุนเจ้าของธุรกิจปล่อยเงินกู้รายใหญ่ในพื้นที่ภาคกลาง ที่ ต.ท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี พร้อมอายัด บ้านพัก 10 หลัง และที่ดินกว่า 800 ไร่ มูลค่ารวมกว่า 400
ล้านบาท

โดยหนึ่งในนั้นเป็นบ้านที่ นายวิชัย เคยพักอาศัยในสมัยเด็ก ก่อนปรับปรุงพื้นที่และปลูกสร้างคฤหาสน์ขนาดใหญ่บนเนื้อที่กว่า 20 ไร่ ภายในบ้านตกแต่งอย่างหรูหรา แต่ภายในบ้านพบเพียงบิดา

และมารดาของนายวิชัย พร้อมคนงาน และแม่บ้านอาศัยอยู่กว่า 10 คน

พ.ต.ต.สุริยา เปิดเผยว่า จากข้อมูลพบว่าญาติของนายวิชัย มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล่อยเงินกู้นอกระบบ เนื่องจากตรวจพบว่ามีฐานะร่ำรวยผิดปกติ แต่ไม่มีการประกอบอาชีพที่ชัดเจน และจากข้อมูล

ยังพบว่า มีผู้มีอิทธิพล และนักการเมืองท้องถิ่นอยู่เบื้องหลัง และเกี่ยวข้องกับขบวนการปล่อยเงินกู้นอกระบบในจังหวัดอุทัยธานี

นอกจากนี้ ได้สอบถามแม่บ้าน ทราบว่า นายวิชัย ได้ย้ายไปอยู่บ้านที่จังหวัดปทุมธานีและไม่ได้เดินทางมาที่บ้านหลังนี้นานแล้ว
---------
ปลัดจังหวัดอุทัยธานี ระบุ ตรวจสอบพบเครือข่าย "เสี่ยวิชัย" ปล่อยเงินกู้ในพื้นที่มานาน เร่งขยายผลมีเจ้าหน้าที่รัฐเอี่ยวหรือไม่

นายศรัทธา คชพลายุกษ์ ปลัดจังหวัดอุทัยธานี เปิดเผยภายหลังเข้าตรวจค้น บ้านพักและที่ดิน เครือข่าย นายวิชัย ปั้นงาม หรือ เสี่ยวิชัย นายทุนเจ้าของธุรกิจปล่อยเงินกู้รายใหญ่ ว่า จากการตรวจสอบ

พบว่าเครือข่ายของนายวิชัย มีการปล่อยเงินกู้นอกระบบในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานีมานานแล้ว แต่ที่ผ่านมาลูกหนี้ยินยอมจ่ายดอกเบี้ยตามที่ตกลงกับผู้กู้ เจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบไม่พบ และขณะนี้อยู่

ระหว่างตรวจสอบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่

อย่างไรก็ตาม สำหรับเครือข่ายนายวิชัย กรมสอบสอบคดีพิเศษ ได้มีการติดตามมาตลอด มีการปล่อยเงินกู้นอกระบบประมาณร้อยละ 20 ต่อการชำระหนี้ 24 วัน หรือร้อยละ 250 บาทต่อปี โดยมีเครือ

ข่ายกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศกว่า 86 สาขา มีผู้ร่วมขบวนการกว่า 2,000 คน ซึ่งก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้นำกำลังพร้อมหมายจับข้อหา ร่วมกันเป็นอั้งยี่ โดยเป็นหัวหน้า ผู้จัดการ หรือผู้มี

ตำแหน่งหน้าที่ในคณะบุคคล ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต และเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา รวมถึงเข้าตรวจค้นที่บ้านเลขที่ 81 ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เพื่อจับกุม นายวิชัย

แต่ไม่พบตัว และดีเอสไอสืบสวนเชื่อว่าหลบหนีอยู่ต่างประเทศเจ้าหน้าที่จึงได้ขยายผลอายัดทรัพย์สินและบ้านที่ให้สมาชิกเครือข่าย หรือที่เรียกว่าเซลล์เก็บเงินกู้ อยู่ภายในหมู่บ้านรัตน์โกสินทร์ 200

ปี และพบว่ายังมีทรัพย์สินอยู่จำนวนมาก ซึ่งหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะขยายผลต่อ เพื่อตรวจยึด และจับกุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป
///////////
เครือข่าย ไซซะนะ

ปส. ถก 3 ฝ่าย คดีเครือข่ายยาเสพติด ไซซะนะ ชี้ "เบนซ์" ให้การขัดแย้งปมเงิน 6 ล้าน เตรียมสรุปผลประชุม เชิญ "แพท" ดาราสอบ

พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กล่าวก่อนเข้าประชุมร่วม 3 ฝ่าย กับ ป.ป.ส. และ ปปง. ว่า การประชุมในวันนี้จะมีการหารือถึงผลการปฏิบัติที่ผ่านมา ตามแผน

ชัยชะสยบไพรี 60/2 และการขยายผลจับกุมเครือข่ายยาเสพติดนายไซซะนะ ซึ่งขณะนี้มีการออกหมายจับทั้งหมด 9 คน แต่จับได้เพียง 3 คน ซึ่งตำรวจยังคงเร่งจับกุมอีก 6 คน ที่เหลือ โดย 1 ใน 6
ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี มี นายเอ๋ เจ็ดเสมียน เครือข่ายผู้ค้ายารายสำคัญในพื้นที่ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ด้วย

ส่วนประเด็นรถลัมโบร์กินีของ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง สามีของดาราสาว แพท ณปภา เจ้าหน้าที่ยังสงสัยในประเด็นเงิน 6 ล้าน และคำให้การของ นายเบนซ์ ยังขัดแย้งกับ

แนวทางสืบสวนของตำรวจหลายประเด็น โดยจะเชิญ กรมการขนส่งทางบก เข้าร่วมหารือในส่วนของทะเบียนรถลัมโบร์กินีที่อายัดไว้ ส่วนจะมีการเชิญ แพท ณปภา เข้าให้ปากคำกับตำรวจหรือไม่

นั้น อยู่ในระหว่างการพิจารณา

สำหรับประเด็นดารา นักแสดง และบุคคล ที่ปรากฏว่ามีภาพถ่ายคู่กับนายไซซะนะและเครือข่าย ตามที่สื่อมวลชนนำเสนอ จะต้องหาหรือว่าควรจะเชิญใครเข้ามาสอบถามพูดคุยหรือไม่ ซึ่งหากพบ

ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องมีการเชิญมาสอบปากคำ ซึ่งวันนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปของแนวทางการปฏิบัติทั้งหมด
-----------
รองโฆษก ตร. ระบุ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งตรวจสอบภาพถ่าย นายตำรวจร่วมเฟรมไซซะนะ ยอมรับเป็นตำรวจจริง ขอตรวจสอบก่อน หากพบผิดดำเนินการทันที

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งให้ตรวจสอบภาพถ่ายที่มีการเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย โดย

เป็นภาพนายตำรวจ กับ นายไชซะนะ แก้วพิมพา ผู้ต้องหาค้ายาเสพติดรายใหญ่ในประเทศลาว

ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้น ยอมรับว่า บุคคลในภาพเป็นข้าราชการตำรวจในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และส่วนกลางจริง และขณะนี้อยู่ระหว่างงสั่งการให้ต้นสังกัดตรวจสอบ

ความเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ว่าอยู่ในลักษณะใด โดยจะต้องให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย แต่หากพบว่า มีความเกี่ยวข้องก็จะต้องดำเนินการเด็ดขาดทันที
--------------
ปส. สรุปผลดำเนินเครือข่ายไซซะนะ รวม 8 คดี อายัดทรัพย์สินกว่า 200 ล้านบาท ให้ ปปง. ตรวจสอบ - เตรียมสรุปรายชื่อ ดารา นักแสดง เข้าข่ายต้องเรียกสอบช่วงบ่ายนี้

พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เปิดเผย ผลการประชุมร่วม 3 ฝ่าย กับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ว่า การประชุมในช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า ได้ข้อสรุปของผลการปฏิบัติงานตามแผน ชัยยะสยบไพรี 60/2 ว่า มีคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตำรวจรวมทั้งสิ้น 8 คดี สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 11 คน และต้องเร่งจับกุมเพิ่มอีก 3 คน ส่วนทรัพย์สิน ที่ยึดได้จากขบวนการค้ายาเสพติด เครือข่าย นายไซซะนะ แก้วพิมพา ขณะนี้ยังคงมีจำนวนประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งพนักงานสอบสวนเตรียมเสนอ ป.ป.ส. ตรวจสอบอายัดทรัพย์เพิ่มเติมอีก ส่วนบัญชีธนาคารที่รวบรวมมานั้น ได้ส่งต่อ ให้ ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงินแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการประสานข้อมูลกับทางการของ สปป.ลาว เพื่อตรวจสอบทรัพย์และเส้นทางการเงินของนายไซซะนะ ที่ได้มาจากการทำความผิด แต่ยังไม่มีรายงานตัวเลขเข้ามาจากฝั่ง สปป.ลาว แต่อย่างใด

นอกจากนี้ ยังได้หารือในประเด็นหลักฐานของ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง สามีของ แพท ณปภา ตันตระกูล ดาราชื่อดัง ที่นำมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ว่ามีเพียงพอหรือไม่ รวมทั้งจะพิจารณาว่ามีความจำเป็นจะเชิญดารา หรือบุคคลมีชื่อเสียง ที่ถ่ายภาพกับ นายไซซะนะ มาให้ข้อมูลหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดจะได้ข้อสรุปหลังการประชุมในช่วงบ่ายวันนี้อีกครั้ง
--------------
ผลการประชุมร่วม 3 ฝ่าย เตรียมตั้งคณะทำงานตรวจสอบบุคคลที่อาจเกี่ยวข้อง "เบนซ์ เรซซิ่ง" ก่อนเชิญตัวมาให้ข้อมูล 

พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รองผู้บัญชาตำรวจปราบปรามยาเสพติด หรือ ผบช.ปส. เปิดเผยภายหลังร่วมหารือหน่วยงาน ป.ป.ส. และ ปปง. ถึงความคืบหน้าการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดของ นายไซซะนะ แก้วพิมพา นักค้ายาเสพติด ว่า ผลการหารือในวันนี้ พบว่ายังมีรายละเอียดอีกหลายรายการที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ดังนั้น คณะกรรมการเห็นควรว่าต้องตรวจสอบเอกสารหลักฐานดังกล่าวให้ชัดเจนอีกระยะ แต่ก็ได้มีการวางกรอบไว้ เพื่อให้ดำเนินการให้เร็วที่สุด ภายในสัปดาห์นี้ เนื่องจากคดีนี้อยู่ในความสนใจของประชาชน

พร้อมกันนี้ ได้ตั้งคณะทำงานชุดเล็กขึ้นมา เพื่อไปดำเนินการตรวจสอบบุคคลที่อาจจะเกี่ยวข้องกับ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง ซึ่งมีทั้งลูกชายอดีตนักการเมือง อย่างน้อย 2 คน ที่เข้ามาเกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องของรถยนต์ เจ้าหน้าที่จะต้องทำการสอบสวนให้ชัดเจน ก่อนที่จะเชิญมาให้ข้อมูล

ส่วนตัวของ นายเบนซ์ ยังต้องนำเอกสารหลักฐานของรถยนต์ลัมโบร์กินี และเอกสารการกู้ยืมเงิน 6 ล้านบาท จาก นายบอย มาแสดงกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อความชัดเจน ขณะที่คนใกล้ตัว นายเบนซ์ อย่าง แพท ณปภา ตันตระกูล นักแสดงชื่อดัง ซึ่งเป็นภรรยานั้น จะมีการเชิญมาให้ข้อมูลหรือไม่ ต้องให้พนักงานสอบสวนพิจารณาในช่วงกรอบระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์นี้

บิ๊กป้อมปมขู่ฆ่า

“บิ๊กป้อม"รับลูก"นายกฯ-เลขาฯสมช."ชี้ มือโพสต์ขู่ฆ่า เป็นกลุ่มหมิ่นสถาบันฯในลาว ยันมีมาตรการอารักขาบุคคลสำคัญอย่างดี  ย้อนสื่อ จะมายุให้เค้าทำผมเยอะๆหรือไง แนะให้ห่วงตัวเองดีกว่า 

  
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามตัวผู้โพสต์ลอบสังหารในโซเชียลมีเดีย ว่า ไม่เป็นไร โธ่เอ๊ย!! เขาก็พูดไป 
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า เลขาฯสมช.ระบุว่าเป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มที่เคลื่อนไหวอยู่ในสปป.ลาว พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็คงไม่ต้องตรวจสอบอะไร  ผมอยู่ได้ ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วง 

"นี่ห่วงผมหรือว่าจะไปยุให้มันมาทำผมอีกเยอะๆ " บิ๊กป้อม กล่าวกับนักข่าว

แต่ไม่เป็นไร ส่วนตัวไม่ได้ตื่นเต้นอะไร และไม่ได้เพิ่มหรือลดคนอารักขา ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ซึ่งที่ดูแลอยู่ก็เพียงพอแล้ว 

มาตรการรักษาความปลอดภัยในการอารักขาบุคคลสำคัญ เราก็ดูแลกันอยู่แล้ว  

"ผู้สื่อข่าวจะมาดูแลเราไหมล่ะ  ไม่หรอก ยืนยันว่าไม่มีอะไร ไม่ต้องเป็นห่วง ห่วงตัวคนพูดดีกว่า แต่ไม่รู้มันอยู่ตรงไหน" พลเอกประวิตร กล่าว
//////
เพิ่มรถ รปภ.

"บิ๊กป้อม" ประชุม กอ.รมน. แถลงนโยบายและผลงาน ต่อนายกฯ ร่วมผบ.เหล่าทัพ ที่ทำเนียบฯ ....เพิ่มรถ รปภ.ตามหลังอีกคัน ยังมี รถมอร์เตอร์ไซค์มดดำ ตามประกบ เช่นเดิม ...หลังนายกฯ-เลขาฯสมช.ชี้กลุ่มหมิ่นสถาบันในลาว ขู่ฆ่า หลัง" บิ๊กป้อม" จะส่ง  พลเอกทวีป เนตรนิยม เลขาฯสมช. นำข้อมูล กลุ่มหมื่นสถาบันฯ ในลาว ให้ ทางการลาว จับกุม

นายกดวงตก

"บิ๊กตู่'"รับคำ หมอดูทัก"ดวงตก" ถามแล้วจะให้ทำไง "อย่ามาถามคำถามงี่เง่ากับผม" ปัดตอบโยงข่าวลอบสังหารมั้ย แต่"อย่าไปดูถูกฝีมือ ผบ.ทบ.เขารปภ.อยู่"ยัน ปฏิวัติ22พค.ไม่ได้ปรึกษาหมอดู

"นายกฯบิ๊กตู่" ฟังคำ หมอดูทัก"ดวงตก"ก็ฟังไว้  แต่ยันผม เข้ามา 22พค.2557ไม่ได้ปรึกษาหมอดู 

เมื่อถูกถามว่า หมอดูบอกว่า ดวงตก นายกฯกล่าวว่า ตกก็ตก แล้วจะให้ทำไง

เมื่อถามว่า ดวงตก จะทำยังไงให้ดวงขึ้น นายกฯ กล่าวว่า "อย่ามาถามคำถามงี่เง่ากับผม" 

เมื่อถามว่า ดวงตก โยงข่าวถูกลอบสังหารมั้ย นายกฯ กล่าวว่า "อย่าไปดูถูกฝีมือ ผบ.ทบ.เขารปภ.อยู่"

ทั้งนี้ บิ๊กเจี๊ยบ ผบ.ทบ.ที่มาประชุม กอ.รมน.กับนายกฯที่ทำเนียบฯ ยืนอยู่ในการแถลงข่าวของนายกฯ ด้วย

มอบงานกอ.รมน.สรุป

บิ๊กตู่ มอบ6นโยบายมั่นคง  สั่ง กอ.รมน.ใช้ประโยชน์มวลชน กอ.รมน.สร้างการรับรู้ เป็นสื่อกลาง สร้างความเข้าใจ

กอ.รมน. จัดการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงานประจำปี 2559 และแถลงแผนงานประจำปี 2560 โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(ผอ.รมน.) เป็นประธาน ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล 

ในที่ประชุมประกอบด้วย คณะกรรมการอำนวยการ กอ.รมน. , พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ  รมว.กลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพผอ.รมน.ภาค , ผอ.รมน.จังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง 

พ.อ.พีรวัชฌ์  แสงทอง  โฆษก กอ.รมน. เผยว่า ภายหลังจากรับทราบผลการปฏิบัติงานปี 2559  พลเอกประยุทธ์ ผอ.รมน. ได้มอบนโยบายในการปฏิบัติงานปี 2560 

 1. การดำเนินการในระดับนโยบายให้ยึดถือตามการนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๘ - ๒๕๖๔ และสนับสนุนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๖๔
 2. กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ต้องเป็นสื่อกลางในการสร้างความเข้าใจ ตระหนักรู้ถึงเรื่องที่รัฐบาล สื่อให้ประชาชนเข้าใจ โดยใช้กลไกที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
 3. งานด้านมวลชนทั่วทั้งประเทศนั้น เป็นสิ่งที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สามารถดำเนินการได้ โดยผ่านโครงการต่างๆที่ดำเนินการเองและให้การสนับสนุนองค์กรภาครัฐอื่นๆ อาทิเช่น สมาชิกไทยอาสาป้องกันชาติ (ทสปช.), หมู่บ้านพัฒนาป้องกันตนเอง (อพป.), กองหนุนแห่งชาติ (กนช.), ลูกเสือชาวบ้าน (ลส.ชบ.), อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) หรือองค์กร, กลุ่มมวลชนอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนั้น จะต้องมีการจัดระบบให้สามารถบูรณาการให้เกิดประโยชน์ ขยายผลได้ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ, การสร้างความตระหนักรู้, จิตอาสาในวาระที่เหมาะสม และการสร้างเครือข่ายแจ้งข่าวสารต้องทำให้เป็นรูปธรรม
 4. การแก้ไขปัญหาการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องทุกระดับสนับสนุนในการดำเนินการ ปัญหาข้อขัดข้องที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินการ ต้องรายงานให้ทราบในข้อเท็จจริงโดยเร็ว โดยที่ กอ.รมน. จะต้องเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการและ ศอ.บต. ให้การสนับสนุน โดยทั้งหมดต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
 5.  การบรรเทาสาธารณภัย ให้ทุกหน่วยงานเตรียมแผนเผชิญเหตุไว้ล่วงหน้า เช่น การจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว เครื่องมือ อุปกรณ์ด้านสาธารณภัย ให้พร้อมปฏิบัติงานและดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้เร็วที่สุด ในส่วนของการฟื้นฟู เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ต้องมีความพร้อมในการสำรวจความเสียหายโดยทันที และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาแนวทางแก้ปัญหา อย่างยั่งยืนโดยเร็ว และนำมาบรรจุไว้ในแผนระยะยาว ต่อไป
 6. ปัญหาภัยคุกคามทั้งในปัจจุบันและในอนาคตนั้น มีความซับซ้อน มีผลกระทบในหลายมิติทั้งภายในชุมชน ภายในประเทศและระหว่างประเทศ กอ.รมน. จะต้องพร้อมที่จะทำหน้าที่ในการอำนวยการบูรณาการแก้ไขปัญหานั้นให้ได้ สามารถรองรับภารกิจทั้งในปัจจุบันและในอนาคต โดยทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องให้การสนับสนุนให้ลุล่วงตามนโยบายการสั่งการ ซึ่งถ้าหากจำกัดด้วยกฎหมาย ระเบียบ คำสั่งใดๆ แล้วนั้นต้องให้ข้อเสนอแนะและแนวทางในการดำเนินการภายใต้กรอบเวลาที่กำหนด
 
นอกจากนี้ ผอ.รมน. ได้เน้นย้ำให้การทำงานของ กอ.รมน. จะต้องเป็นการทำงานอย่างบูรณาการรอบด้าน เพื่อลดช่องว่าง ขจัดความซ้ำซ้อน และเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกันกับทุกภาคส่วน ให้การปฏิบัติงานไปสู่ผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์อย่างเข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืน , เจ้าหน้าที่ของ กอ.รมน.จะต้องมีความรอบรู้ในเรื่องของกฎหมาย , แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมไปถึงแผนงานต่างๆของรัฐบาลและ คสช. 

ทั้งนี้เพื่อให้การเตรียมการ การวางแผน และการปฏิบัติ มีความต่อเนื่อง มีการบูรณาการและประสานสอดคล้องในการปฏิบัติงานร่วมกัน