PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

แท็กทีม 103 เสียงไปไหนไปกัน ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทยดึงเกม

จุรินทร์เข้มไม่มีฟรีโหวต อนุทินรับประสานสิบทิศ 23 พ.ค. ชี้ธนาธรถือหุ้นสื่อ

ปชป.-ภท.ดึงเช็งเลือกขั้วร่วมรัฐบาล แท็กทีม 103 เสียงไปไหนไปกัน “จุรินทร์” โชว์ลูกเขี้ยวยังไม่มีนัดสรุป ท่าที 25 พ.ค. ยังไร้คำตอบ ลั่นทุกคน ต้องยึดมติพรรคไม่มีฟรีโหวต รุ่นเก๋า ปชป.เหน็บ “บิ๊กตู่” หลงอำนาจทุบโต๊ะจอง 4 กระทรวงหลัก ภท.มอบ “อนุทิน” ประสานพรรคยังไม่ประกาศจุดยืน ลูกพรรคเสียงแตกร่วม-ไม่ร่วมพลังประชารัฐ ส.ส.คนรุ่นใหม่ไม่เห็นด้วย ที่มา ส.ว.บางส่วนยันไม่ยกมือให้ “ประยุทธ์” พปชร.รอคุยปิดดีลก่อนเลือกประธานสภาฯ พท.ย้ำ 16 ล้านเสียงไม่เอา “ลุงตู่” กระตุก 2 ตัวแปรรักษาสัจจะตอนหาเสียง “ชัยเกษม” ลุ้นโหวตในสภาฯ อาจผิดคาด จับตา 23 พ.ค.ศาลรัฐธรรมนูญรับ-ไม่รับเชือด “ธนาธร” ปมถือหุ้นสื่อ “ศรีสุวรรณ” ยื่น กกต.ฟันปล่อยกู้อนาคตใหม่ 110 ล้าน โฆษก อนค.โต้ไม่ใช่เงินบริจาค ไม่ผิดกฎหมาย “พรเพชร” ลอยลำประธานวุฒิสภา “สิงห์ศึก-ศุภชัย” คั่วรองฯ คนที่ 1 และ 2

พรรคการเมืองตัวแปรชี้ขาดการจัดตั้งรัฐบาล ทอดเวลาการตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลกับขั้วใดออกไปให้นานที่สุด โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุแม้วันที่ 25 พ.ค. จะเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จะยังไม่มีความชัดเจนการตัดสินใจ ขอให้เป็นไปตามขั้นตอน ส่วนพรรคภูมิใจไทยมอบฉันทานุมัติให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ไปประสานงานกับพรรคที่ยังไม่ประกาศท่าทีชัดเจน ย้ำถ้าจะร่วมรัฐบาลต้องเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากเท่านั้น

“จุรินทร์” หัวโต๊ะแบ่งงาน กก.บห.

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 20 พ.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยถึงการประชุมคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคว่าจะเริ่มประชุมกรรมการบริหารพรรคเวลา 13.00 น. โดยจะแบ่งงานให้กับรองหัวหน้าพรรคแต่ละภาค และเลขาธิการพรรคจะแบ่งงานให้รองเลขาธิการพรรค รวมถึงการมอบหมายงานด้านอื่นๆหลายส่วน ภายหลังการประชุมเสร็จสิ้นจะแถลงให้สื่อมวลชนทราบ รวมถึงกลไกการบริหารจัดการพรรค เพื่อให้ก้าวไปข้างหน้าภายใต้การบริหารงานของผู้บริหารชุดใหม่ จะยังไม่มีการพูดคุยหารือถึงทิศทางของพรรคว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาล เพราะต้องรอให้มีการประชุมร่วมระหว่างกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส.ของพรรคก่อน ส่วนวันที่ 21 พ.ค.จะนัดประชุม ส.ส.เวลา 13.00 น.เพื่อขอรับฟังความคิดเห็น ไม่มีอะไรเป็นความลับ

โชว์เขี้ยวดึงเช็งยังไม่นัดถกท่าที

เมื่อถามว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค เคยระบุว่าส่วนตัวมีคำตอบในใจแล้วว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ นายจุรินทร์กล่าวว่า ส่วนตัวยังไม่ได้หารือเรื่องนี้กับนายเฉลิมชัยหรือพูดว่าจะไปเป็นอะไรทั้งสิ้น เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอนและยังมีเวลา ขอเวลาให้พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดทัพภายในพรรคให้จบก่อน ส่วนการประชุมร่วมระหว่างกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส.ยังไม่มีการกำหนด

เดินตามขั้นตอน 25 พ.ค.ยังไร้คำตอบ

นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า มีความชัดเจนว่าวันที่ 24 พ.ค. จะมีรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา และวันที่ 25 พ.ค. จะมีการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ทุกอย่างจะเป็นไปตามขั้นตอน วันดังกล่าวจะยังไม่มีความชัดเจนในการตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลของพรรค ขอให้เป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการ แต่อย่าห่วงเพราะเมื่อถึงเวลาจะต้องพิจารณา เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวที่มีชื่อนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค ถูกเสนอชื่อเป็นประธานสภาฯ นายจุรินทร์กล่าวว่า เป็นเพียงกระแสข่าวเท่านั้น พรรคประชาธิปัตย์มีบุคลากรที่มีศักยภาพสูงไม่ว่าจะเป็นนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคหรือนายบัญญัติ ล้วนมีประสบการณ์ ทำหน้าที่หลายหน้าที่ได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งหมดยังไม่ได้หารืออะไรทั้งสิ้น ต้องรอที่ประชุมคุยกันว่าจะมีปัจจัยใดบ้างที่จะทำให้พรรคเข้าร่วมหรือไม่ พรรคมีอุดมการณ์พรรคว่าต้องทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม อะไรที่เคยพูดกับประชาชนไว้จะต้องนำมาพิจารณา

ไม่มีฟรีโหวตทุกคนต้องยึดมติพรรค

เมื่อถามถึงกระแสข่าวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค อาจจะลาออกจาก ส.ส. หากพรรคประชาธิปัตย์มีมติเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ นายจุรินทร์กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้ เมื่อถามถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี พรรคเปิดให้ ส.ส.ฟรีโหวตหรือกำหนดให้มีทิศทางเดียวกันหรือไม่ นายจุรินทร์กล่าวว่า เมื่อถึงเวลาพรรคจะมีมติและทุกคนต้องมีหน้าที่ปฏิบัติตามมติของพรรค ไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่หัวหน้าพรรคต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น

จัดทัพเกลี่ยงานอเวนเจอร์ส

จากนั้นเวลา 13.00 น. นายจุรินทร์ได้เป็นประธานการประชุมกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่หลังหารือนานกว่า 2 ชั่วโมง นายจุรินทร์แถลงว่าที่ประชุมได้แบ่งงานให้รองหัวหน้าและรองเลขาธิการพรรค เรียกว่าจัดทัพอเวนเจอร์สประชาธิปัตย์ก็ได้ มุ่งเน้นให้สอดคล้องกับทิศทางการเมือง ใช้ 2 กลไกหลักขับเคลื่อน คือ 1.กลไกการจัดการทางการบริหารพรรคมี 10 กลไกย่อย คือคณะกรรมการบริหารพรรค คณะกรรมการสภาที่ปรึกษา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค คณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีนายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ เป็นประธาน คณะกรรมการการต่างประเทศ นายเกียรติ สิทธีอมร เป็นประธาน คณะกรรมการประสานงานกับองค์กรภายนอก คณะกรรมการกระจายอำนาจของพรรค ประสานงานกิจการสาขา ตัวแทนจังหวัดและสาขาพรรค มีนายนิพนธ์ บุญญามณี เป็นประธาน คณะกรรมการพัฒนาและประสานงานสตรี และคณะกรรมการประสานงานเยาวชนประชาธิปัตย์

ตั้งทีมยุทธศาสตร์คุมเกมการเมือง

นายจุรินทร์กล่าวอีกว่า 2.กลไกบริหารจัดการด้านการเมือง อาทิ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ ตนเป็นประธานและรองหัวหน้าพรรค 5 ภาคเป็นกรรมการ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ภาคทำงานทางการเมืองทั้ง 5 ภาค คณะกรรมการด้านเทคโนโลยีของพรรคหรือสมาร์ทเดโมแครต มีนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ เป็นประธาน คณะกรรมการประสานงานภายในพรรค หรือวิป ขับเคลื่อนการทำงานทางการเมืองของพรรค ส่วนทีมโฆษก นายราเมศ รัตนะเชวง เป็นโฆษกพรรค รองโฆษก 4 คน คือนายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ นายคณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ น.ส.ศิริภา อินทรวิเชียร นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ส่วนคณะกรรมการด้านการกฎหมาย มีนายถวิล ไพรสณฑ์ เป็นประธาน นายจุติ ไกรฤกษ์ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ นายกษิต ภิรมย์ ที่ปรึกษาด้านต่างประเทศ เป็นต้น

ยก “บัญญัติ” ศักยภาพเกิน ปธ.สภาฯ

เมื่อถามว่า เชิญนายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ มาร่วมทีมทำงานด้วยหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ได้เชิญนายพีระพันธุ์แต่ได้แจ้งว่าไม่ขอรับตำแหน่งอะไร แต่ยินดีจะให้ความร่วมมือ ส่วนนายกรณ์อยู่ระหว่างตัดสินใจ ยืนยันว่าไม่มีความขัดแย้ง เพราะเลือกหัวหน้าพรรคได้คุยกันแล้วว่าผลออกมาอย่างไรพร้อมจะมาช่วยงานพรรค เมื่อถามว่านายพีระพันธุ์โพสต์ว่ามีผู้ใหญ่ในพรรคแทรกแซงการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคทำให้เกิดความขัดแย้งในพรรค นายจุรินทร์กล่าวว่าไม่มองว่าเป็นความขัดแย้ง วันที่ 21 พ.ค. เวลา 13.00 น. จะประชุม ส.ส.พรรคทั้ง 52 คน ครั้งแรกกึ่งปฐมนิเทศ เพราะมี ส.ส.ใหม่ ประมาณ 10 คน จำเป็นต้องทำความเข้าใจงานในสภาฯ และทำความเข้าใจสถานภาพของพรรคในสภาฯ อยู่ตรงไหน จะเลือกประธาน ส.ส.พรรคด้วย ส่วนวันที่ 25 พ.ค. สภาฯมีหนังสือเชิญประชุม ส.ส.เพื่อเลือกประธานสภาฯและรองประธานสภาฯ พรรคจะประชุมก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว สำหรับข่าวที่มีชื่อนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค เป็นประธานสภาฯ นายบัญญัติเป็นประธานสภาฯได้อยู่แล้วและมีศักยภาพเกินด้วย การเสนอชื่อผู้แข่งขันเป็นประธานสภาฯ ต้องคุยกันในที่ประชุมก่อน พรรคประชาธิปัตย์ทุกอย่างต้องเป็นมติพรรคมีกฎเกณฑ์อยู่แล้ว

ปชป.–ภท.จับมือแน่นเดินร่วมทาง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์วิพากษ์วิจารณ์กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯขอจอง 4 กระทรวงหลักด้านความมั่นคง ให้พรรค พปชร.ว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังหลงอำนาจและติดยึดนิสัยทหารที่ออกมาพูดลักษณะทุบโต๊ะ เป็นการผิดมารยาททางการเมือง เพราะ ส.ส.ผ่านการเลือกตั้งเป็นฉันทามติของประชาชน ควรจะให้ฝ่ายการเมืองเป็นฝ่ายเจรจากันเอง เพราะ คสช.ถือว่าหมดอำนาจตามกฎหมายไปแล้ว แกนนำพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยได้หารือนอกรอบแล้วว่าทั้งสองพรรคขนาดกลางจะจับมือไปด้วยกันไปในทิศทางเดียวกันคือไปด้วยกัน ถ้าไม่ร่วมก็ไม่ร่วมด้วยกัน เพราะรวมกัน 103 เสียงสร้างเสถียรภาพให้รัฐบาลได้ จึงเป็นที่มาของยื้อผลการประชุมของทั้ง 2 พรรค เพื่อรอดูว่าจะทบทวนกระทรวงเกรดเอ ที่พรรคขนาดกลางต้องการหรือไม่

“พิเชษฐ” รั้ง “มาร์ค” อย่าลาออก

นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีต ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีกระแสข่าวว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ จะลาออกจาก ส.ส. หากพรรคมีมติไปเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐว่า “ประชาธิปัตย์รักจุรินทร์ แต่ไม่ต้องการเสียอภิสิทธิ์” และข้อความต่อมาคือ “นายอภิสิทธิ์เกิดมาเพื่อเป็น ส.ส.และเพื่อประชาชน โปรดอย่าลาออก”

ฟันธง รบ.ปริ่มน้ำลำบากมาก

นายพิเชษฐให้สัมภาษณ์เพิ่มว่า ทราบข่าวนี้จากสื่อมวลชน และในพรรคยังไม่มีใครหารือเรื่องนี้ แต่รู้สึกเสียดายในความรู้ความสามารถของนายอภิสิทธิ์ที่เคยร่วมทำงานและบริหารพรรคในฐานะอดีตหัวหน้าพรรค หากข่าวนี้เป็นจริงจึงโพสต์มาเพราะอยากให้นายอภิสิทธิ์พิจารณาและทบทวนให้ดี ยังสนับสนุนให้นายอภิสิทธิ์อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ส่วนพรรคจะตัดสินใจจับมือกับพรรคอื่นเพื่อร่วมเป็นรัฐบาล ไม่ทราบรายละเอียดขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกรรมการบริหารพรรค ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะตัดสินใจจับมือร่วมกับพรรคใด การเมืองไทยยังคงไปไม่พ้นทางตัน เพราะเสียงของแต่ละพรรคที่ชิงจัดตั้งรัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำทั้งสองขั้วในฐานะเคยเป็นวิปรัฐบาลเห็นชัดว่าหากฝ่ายบริหารและฝ่ายค้านมีเสียงไม่ขาดกัน 30 เสียงจะทำงานลำบากมาก ขณะนี้เสียงทั้ง 2 ฝั่งทิ้งห่างกันไม่เกิน 10 เสียง เชื่อว่าไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลจะทำงานลำบากมาก


“พีระพันธุ์” ฉะผู้มากบารมีตอกลิ่มขัดแย้ง

เมื่อเวลา 11.50 น. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “พลังเล็กๆจากหัวใจที่ยิ่งใหญ่” ว่า หกวันนับแต่วันที่ประกาศเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ว่าจะลงสมัครเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับกำลังใจและการสนับสนุนอย่างท่วมท้นอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน หกวันของการหาคะแนนเสียงนั้น ได้เห็นได้เรียนรู้อะไรต่ออะไรเพิ่มขึ้นมากมายหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้เรียนรู้ตัวตนที่แท้จริงของคนหลายๆคน เพิ่งจะประจักษ์ด้วยตัวเองว่าผู้ใหญ่บางคนที่เคยเคารพนับถือมาเกือบ 30 ปีที่เคยเชื่อว่าดี แท้จริงแล้วเป็นเพียงภาพลวงตา ใครไม่ยอมอยู่ในอาณัติหรืออยู่ฝ่ายตรงข้ามกันเมื่อใดกลายเป็นคนที่ต้องถูกพิฆาต แผ่บารมีต่อต้านวาดภาพให้เป็นคนไม่ดี เป็นคนของคนนั้นคนนี้ เพื่อให้ดูไม่ดีในสายตาเพื่อน บารมีมากล้นที่ควรจะวางตัวเป็นกลาง เพื่อสร้างเอกภาพ กลายเป็นตัวตอกลิ่มให้เกิดความแตกแยกมากขึ้น แต่น่าชื่นใจที่ยังมีผู้ใหญ่อีกหลายคนที่ไม่เคยสนิทสนมด้วย กลับกลายเป็นนักสู้ใจเด็ดที่ไม่ยอมสยบให้กับอำนาจบารมีที่มากล้นอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

หยันอิทธิพลเสื่อมชนะแค่ 5 แต้ม

นายพีระพันธุ์ระบุอีกว่า เมื่อผลการเลือกหัวหน้าพรรคออกมา ได้รับกำลังใจมากมาย กราบเรียนว่าไม่รู้สึกเสียใจใดๆเลย บอกเพื่อนๆว่าเราควรดีใจและภูมิใจอย่างยิ่งที่ร่วมทำงานกันมาเพียงแค่หกวัน กลับได้รับเสียงสนับสนุนจากเพื่อน ส.ส.ถึง 20 เสียง น้อยกว่าทีมผู้ชนะเพียง 5 เสียง พวกเขาต่างหากที่ควรจะต้องเสียใจและหมดกำลังใจ แสดงให้เห็นว่าพลังแห่งอำนาจบารมีที่สั่งสมร่วมกันมาหลายสิบปี บัดนี้เริ่มเสื่อมถอยลงแล้ว เอาชนะพลังเล็กๆของพวกเราที่ทำงานกันมาหกวัน ได้แค่ 5 คะแนนในส่วนของ ส.ส. 52 คน และแค่ 50 คะแนนในส่วนขององค์ประชุมอื่นประมาณ 250 คน บารมีอันมากล้นชนะพวกเราได้เพียงเท่านั้นเองจริงๆ การที่อิทธิพลบารมีที่แอบแฝงเป็นเงาอยู่ชนะพวกเราได้เพียงเท่านี้ มันคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง และบ่งชี้ถึงความเสื่อมถอยของพวกเขาใช่หรือไม่ ไม่แน่กลุ่มบารมีมากล้นนี้อาจแตกคอกันเรื่องการร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลอาจเป็นได้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของอีกปัญหาหนึ่งต่อไป ขอเวลาให้หายเหนื่อยก่อน จะเล่าเรื่องเบื้องหลังการทำงาน ตั้งแต่ต้นจนถึงวันเลือกหัวหน้าเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ว่าพวกเราทำงานอย่างไร ต้องเผชิญอุปสรรคและต้องต่อสู้กับอะไรอย่างไร แล้วจะเล่าให้ฟัง


“อนุทิน” ติวเข้มลูกพรรค

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่โรงแรมโมเดน่า บาย เฟร์เซอร์ จ.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทยมีการประชุมสัมมนาพรรคเป็นวันที่สอง โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวเปิดสัมมนาพรรคตอนหนึ่งว่า การประชุมสัมมนานี้ จะเน้นวิชาการเพราะ ส.ส.ทั้ง 51 คน มีหลายคนเพิ่งได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ครั้งแรก จึงต้องปฐมนิเทศให้รับทราบถึงข้อปฏิบัติต่างๆ ข้อควรทำ ข้อไม่ควรทำ การวางตัวและสิทธิการเป็นผู้แทนราษฎรให้เข้าใจ ตนต้องเข้าร่วมด้วยเพราะถือเป็น ส.ส.ป้ายแดง และมีการชี้แจงวิธีการทำตามกฎระเบียบ การชี้แจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดส่งวิทยากรมาอบรม ผู้แทนราษฎรไม่จำเป็นต้องเป็นผู้แทนของคนในพื้นที่ตัวเองเท่านั้น แต่เป็นผู้แทนของทุกคนไม่ว่าจะเลือกหรือไม่เลือกเรา ประชาชนทุกคนคือเจ้านายเรา เวลาอยู่ในสภาฯจะอภิปรายต้องมีคำว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกียรติ อย่าปฏิบัติตนให้คำว่าผู้ทรงเกียรติไม่มีความหมาย การปฏิบัติตนทุกเรื่องต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เปิดเผย โปร่งใส ไม่มีวาระซ่อนเร้น

เล็งให้ ส.ส.โหวตลับมอบดาบ หน.เคาะ

นายอนุทินให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมสัมมนาพรรคว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ให้ ส.ส. ลงพื้นที่ไปรับฟังความคิดเห็นจากชาวบ้าน เกี่ยวกับทิศทางพรรคว่าต้องการให้เดินไปทางไหน จะนำมาพูดคุยหารือด้วย ส่วนจะสรุปท่าทีของพรรคได้หรือไม่ต้องรับฟังก่อน คนอื่นเขารอถึงวันที่ 23-24 พ.ค.ทำไมต้องมาเร่ง สมมติจะตัดสินใจหรือจะทำอะไร เหมือนกับพรรคอื่นที่ต้องขอฉันทานุมัติจาก ส.ส.และกรรมการบริหารพรรค คาดว่าที่ประชุมน่าจะมอบฉันทานุมัติให้ตน ต้องนำไปคิดให้มาก เพราะเป็นเรื่องบ้านเมืองจะมาทำอะไรตามอารมณ์และความรู้สึกไม่ได้ ต้องปล่อยวาง ต้องเป็นกลางมากๆ อาจจะมีอะไรในใจแล้วก็ได้ แต่ยังไม่จำเป็นต้องบอกตอนนี้ เพราะคนอื่นก็เลื่อนเหมือนกัน “ผมอาจจะให้ ส.ส.ทุกคนโหวตลับก็ได้ว่าอยากไปในทิศทางไหน เพราะนี่เป็นประชาธิปไตย เราต้องรับฟังทุกมิติ เราต้องฟังเสียงของประชาชน เพราะเสียงประชาชนมีความสำคัญมากในการตัดสินใจของพรรคภูมิใจไทย ไม่ต้องสนใจแรงกดดันใดๆ พรรคจะไม่มีการชี้นำและโน้มน้าว ขอให้ทุกคนปล่อยอารมณ์มาเต็มที่ว่าจะเอาอย่างไร ผลการโหวตจะอ่านคนเดียว แล้วจะไปนั่งบริกรรมของผม” นายอนุทินกล่าว

ไม่ร่วมข้างน้อย 500 ส.ส. ต้องนำ 250 ส.ว.

เมื่อถามถึงกรณีสวนดุสิตโพลเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ระบุอยากเห็นรัฐบาลขั้วที่ 3 นายอนุทินย้อนถามว่า โพลไหน เพราะโพลนี้ก็ด่าทางนี้ โพลนู้นก็ด่าทางนู้น บอกไปทางนี้ อีกฝั่งก็ด่า บอกไปทางนี้ อีกฝั่งก็ด่า เพราะฉะนั้นต้องประเมินให้ถูก แต่ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร พูดไว้ชัดเจนว่าบ้านเมืองเป็นใหญ่ และประชาชนคือคนที่พรรคต้องคอยปกป้องและรักษาผลประโยชน์ บอกชัดเจนแล้วว่า ส.ส. 500 คน ต้องนำ ส.ว. 250 คน ดังนั้น ยืนยันว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยจะไม่มีพรรคภูมิใจไทยแน่นอน เราต้องเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากเท่านั้น

เมื่อถามว่า สื่อบางสำนักได้จัดทำโผให้เป็น รมว.สาธารณสุข นายอนุทินยิ้มและกล่าวว่า หากได้เป็นจริงถือเป็นเรื่องดี เนื่องจากนโยบายกัญชาจะได้ถูกผลักดันเป็นรูปธรรมมากขึ้น แต่ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าจะได้เป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล ใครจะมาบอกให้เราเป็น รมว.สาธารณสุข ต้องฟังว่าเพราะอะไร และคนอื่นคิดว่าอย่างไร หรือถ้าเป็นฝ่ายค้านจะทำอย่างไร เงื่อนไขของเราท่านรับได้หรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องกัญชา หากไม่มีใครเอาด้วย เราจะเป็นฝ่ายค้าน ณ วินาทีนั้น

พร้อมดันสุดลิ่มนโยบายกัญชา

ต่อมาเวลา 15.30น. พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ โฆษกพรรคภูมิใจไทย แถลงภายหลังการปฐมนิเทศส.ส.พรรคว่า ที่ประชุมได้นำข้อคิดเห็นของประชาชนมาแลกเปลี่ยนกัน เพื่อเตรียมความพร้อมในการแก้ไขกฎหมาย ให้ ส.ส.ได้ปฏิบัติหน้าที่ อีกทั้งยังได้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติด (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) มีสาระสำคัญโดยให้ประชาชนเข้าถึงกัญชาซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจ และพืชทางการแพทย์ ซึ่งเป็นนโยบายหลักของพรรคภูมิใจไทย

ลงมติมอบ “อนุทิน” ประสานสิบทิศ

ด้านนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้ ส.ส.ของพรรคได้แสดงความเห็นเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล มีความเห็นหลากหลาย บางส่วนต้องการให้รัฐบาลทำงานอย่างต่อเนื่อง บางส่วนเห็นว่าพรรคภูมิใจไทยน่าจะมีบทบาททำให้การเมืองไทยมีความชัดเจน หลังการแสดงความเห็นจึงมีมติมอบหมายให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ไปประสานในการจัดตั้งรัฐบาลเพียงคนเดียวเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินการทางการเมือง เพราะขณะนี้สับสนและคลุมเครือ ซึ่งพรรคยังไม่ได้รับการประสานงาน
อย่างเป็นทางการจากพรรคใดๆ จึงมอบอำนาจให้หัวหน้าพรรคเป็นผู้ประสานงานกับพรรคการเมืองที่ยังไม่มีมติชัดเจนว่าจะเลือกไปร่วมรัฐบาลกับพรรคการเมืองข้างใด โดยนายอนุทินจะเชิญพรรคเหล่านั้นมาหารือภายใน 2-3 วันนี้ เพื่อให้เกิดมติที่ชัดเจนทางการเมืองก่อนการเลือกประธานสภาฯ

ย้ำจุดยืน 4 ข้อ เงื่อนไขร่วมรัฐบาล

นายศักดิ์สยามกล่าวอีกว่า พรรคได้ย้ำถึงจุดยืน 4 ข้อ มาตลอดคือ การเทิดทูนสถาบัน การจัดตั้งรัฐบาลที่เกิดขึ้นต้องไม่สร้างความขัดแย้งให้คนในชาติ การจัดตั้งรัฐบาลหากพรรคภูมิใจไทยไปร่วมจะต้องรับนโยบายของพรรคไปเป็นนโยบายของรัฐบาล และรัฐบาลที่จะจัดตั้งต้องมีเสถียรภาพในการบริหารประเทศได้ คือต้องมีเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่ง เมื่อถามว่าจะพูดคุยกับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคชาติไทยพัฒนาด้วยหรือไม่ นายศักดิ์สยาม กล่าวว่าทุกพรรคที่ยังไม่มีมติ ถ้ามีความชัดเจนจะแถลงและหากได้แนวทางตรงกันจะดำเนินการทางการเมืองต่อไป

ส.ส.เสียงแตกความเห็นหลากหลาย

เมื่อถามว่า ได้ชั่งน้ำหนักความคิดเห็นของส.ส. หรือไม่ว่าต้องการให้รัฐบาลปัจจุบันอยู่ต่อหรือต้องการความเปลี่ยนแปลง นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้เปิดดูความคิดเห็น แต่หลังจากให้ส.ส.เขียนจดหมายมาโดยไม่ระบุชื่อ จะเป็นข้อมูลให้นายอนุทินนำไปพิจารณา พบว่ามีความเห็นที่หลากหลาย ทั้งอยากให้รัฐบาลอยู่ต่อเนื่อง อยากให้เราไปอยู่อีกข้างหนึ่ง รวมถึงอยากให้พรรคภูมิใจไทยสร้างความชัดเจน ในอดีตหลังจากการเลือกตั้งจะดำเนินการอย่างเป็นทางการเจรจาเสร็จแล้วแถลงข่าว แต่วันนี้ไม่มีความชัดเจน มีแค่การแถลงผ่านสื่อแต่ไม่ได้ประสานงานอย่างเป็นทางการ การจะจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ได้ ขึ้นอยู่กับพรรคที่ยังไม่มีมติเหล่านี้

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะถูกมองว่า

เป็นการต่อรองให้ได้สิ่งที่ต้องการ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า คงไม่มีเรื่องนี้ เราทำอย่างเป็นทางการ โปร่งใส ถ้าเราจะเจรจาต่อรองคงไม่ต้องทำแบบนี้ และการมอบหมายให้นายอนุทินประสานงานกับพรรคที่ยังไม่มีมติ ไม่ได้เป็นความพยายามเป็นขั้วที่ 3 ในการจัดตั้งรัฐบาล เราแค่ต้องการทราบแนวทางที่ชัดเจนเท่านั้น และยืนยันไม่ได้กดดันพรรคพลังประชารัฐ

เสียงคนรุ่นใหม่ไม่เอา “ลุงตู่”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมพรรคได้ให้ ส.ส.ของพรรคแสดงความเห็นโดยการเขียนจดหมายแสดงความเห็นว่าอยากให้พรรคมีแนวทางอย่างไรในการร่วมรัฐบาล พบว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ของพรรคได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับที่มาของ ส.ว. รวมถึงบางส่วนยืนยันว่าหากพรรคยกมือสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ จะไม่ยกมือให้ พร้อมแสดงความกังวลว่าหากไปร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ เกรงว่ารัฐบาลจะไม่มีเสถียรภาพ เพราะมีเสียงปริ่มน้ำ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า การประชุมพรรคครั้งนี้ไร้เงานายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรค ที่หลายฝ่ายจับตาว่าจะมาร่วมปฐมนิเทศ เนื่องจากนายเนวินติดภารกิจแข่งขันฟุตบอลที่ประเทศเกาหลี คาดว่าจะเดินทางกลับเมืองไทยในช่วงวันสองวันนี้


พปชร.รอจบดีลก่อนโหวต ปธ.สภาฯ

นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยที่ยังไม่ให้คำตอบการตัดสินใจในการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ว่า พลังประชารัฐต้องให้เกียรติกับพรรคที่จะมาร่วมรัฐบาล ทั้ง 2 พรรคยังต้องรอความชัดเจนในการตัดสินใจ เชื่อว่าคงไม่นาน เมื่อผู้หลักผู้ใหญ่ของทั้ง 2 พรรคหารือภายในพรรคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หัวหน้าและเลขาธิการพลังประชารัฐจะได้ไปหารืออย่างเป็นทางการ เชื่อว่าอีกไม่นานทุกอย่างจะเรียบร้อย ก่อนโหวตเลือกประธานสภาฯ ขอให้ใจเย็นๆ เมื่อถามว่า การที่ทั้ง 2 พรรคยังไม่ให้คำตอบเกี่ยวกับกระแสข่าวความไม่พอใจโควตาเก้าอี้รัฐมนตรีหรือไม่ นายธนกรกล่าวว่า เชื่อว่าไม่เกี่ยว

“ชัยเกษม” ลุ้นโหวตในสภาฯผิดคาด

นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทำไมจะยอมยกธงขาว ไม่มียก อยู่แล้ว แพ้ก็แพ้เกมในสภาฯไม่เป็นอะไร รอดูไป ยังเชื่อว่าพอถึงโหวตจริงๆอาจไม่เป็นไปตามคาดหมาย ก็ได้ ตอนนี้ทุกคนมีเสรีในความคิด ต่างฝ่ายต่างคาดหมายไปคนละอย่าง อะไรก็เกิดขึ้นได้ในเวลานี้ ความยังไม่ชัดเจนของพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยมีความสำคัญ ดังนั้น ต้องรอความชัดเจนจาก 2 พรรคก่อน หากเลือกฝั่งพลังประชารัฐไม่เป็นไรยอมรับ 2 พรรคนี้อาจยังไม่ชัดเจนจนถึงวันโหวตเลือกประธานสภาฯและนายกฯก็ได้ แต่ให้นึกถึงวันข้างหน้าด้วย อย่าคิดแค่วันนี้ได้เป็นรัฐบาล คิดย้อนไปในอดีตว่าเคยสัญญาอะไรไว้กับประชาชน และคิดไปข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นหากรัฐบาลอยู่ไม่ยาว ถ้าเลือกตั้งใหม่จะมีอะไรชัดเจนขึ้นกับการเมืองไทย

พท.ย้ำ 16 ล้านเสียงไม่เอา “บิ๊กตู่”

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพรรคขนาดกลาง อยู่ระหว่างตัดสินใจจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลว่า ออสเตรเลียผ่านเลือกตั้งวันเดียวจัดตั้งรัฐบาลชัดเจน แต่ประเทศไทย 2 เดือนแล้วยังไม่ชัดเจนว่าใครจะได้เป็นรัฐบาล ประชาชนเสียโอกาส รัฐบาลต่อไปไม่ใช่แค่แก้ปัญหา เศรษฐกิจ สังคม การเมือง แต่ต้องนำพาประเทศให้หลุดพ้นกับดักการสืบทอดอำนาจ ขอบันทึกข้อเท็จจริงการเมืองไทยว่า 1.พรรคที่ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ มีคะแนนเสียงที่ประชาชนสนับสนุนถึง 16 ล้านเสียง พรรคสนับสนุนสืบทอดอำนาจได้เพียง 8 ล้านเสียง ชัดเจนว่าประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนต่อต้านการสืบทอดอำนาจและปฏิเสธการเป็นนายกฯของ พล.อ.ประยุทธ์ พรรค การเมืองต้องเคารพเสียงประชาชน 2.ต้องยอมรับว่า 5 ปีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ การส่งออกตกต่ำ ประชาชนชักหน้าไม่ถึงหลัง แล้วรัฐบาลทีมเดิมไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าจะแก้ปัญหาได้

วอนอย่าเห็นแก่โควตา รมต.

นายอนุสรณ์กล่าวว่า 3.พรรคใดจะตัดสินใจอย่างไรไม่ก้าวล่วง แต่จะปฏิรูปการเมืองได้อย่างไร ถ้าไม่เคารพและฟังเสียงประชาชน นักการเมืองคุณภาพพูดอย่างไรต้องทำเช่นนั้น บางพรรคประกาศจุดยืนประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริตไม่เอาการสืบทอดอำนาจ ประชาชนคาดหวังว่าต้องทำตามที่ประกาศจุดยืน ถ้าไม่ทำตามต้องตอบคำถามประชาชนเอง พรรคเพื่อไทยเห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเห็นแก่ผลประโยชน์ของชาติและประชาชนมากกว่าโควตารัฐมนตรีที่จะได้รับ

“ภูมิธรรม” จี้ ส.ว.ยึดเจตนารมณ์ ปชช.

นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ยังสงวนท่าทีว่าจะเข้าร่วมตั้งรัฐบาลกับฝ่ายใดว่า เรายังรอฟังท่าทีตอนนี้ยังมีเวลา ยังไม่ต้องรีบร้อนอะไร ส่วนพรรคการเมืองที่ร่วมลงสัตยาบันต่อต้านการสืบทอดอำนาจ เราพูดคุยกันอย่างใกล้ชิด จุดยืนของเราเหมือนเดิมคือต้อนรับและพร้อมคุยกับทุกพรรค เพราะสภาพที่เป็นอยู่ประเทศเดินไปไม่ได้ การให้พรรคการเมืองเกือบ 20 พรรค และใช้ ส.ว.เพื่อตั้งรัฐบาลจะบริหารงานไม่ได้ หาก ส.ว.ประกาศชัดเจนว่าจะเดินตามเจตนา– รมณ์ที่ประชาชนตัดสินใจเลือกตั้งมา ทุกอย่างจะง่ายขึ้น ยึดความต้องการของประชาชนเป็นที่ตั้ง ปัญหาที่ค้างอยู่จะได้รับการคลี่คลาย เพราะผลการเลือกตั้งชัดเจนว่าประชาชนเลือกฝ่ายประชาธิปไตย ดังนั้นควรให้กลไกเดินหน้า

“นคร” ปลุกแนวรบนอกสภาฯสู้

นายนคร มาฉิม ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงแนวรบนอกสภาฯที่ทลายป้อมปราการของระบอบเผด็จการได้ว่า พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่ต้องการสกัดกั้นการสืบทอดอำนาจเชิญชวนพรรคการเมืองที่มีอำนาจการต่อรองสูงที่สุดในเวลานี้ คือประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ให้กลับมาอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ให้ฝ่ายเผด็จการทหารสืบทอดอำนาจพยายามสู้ทุกวิถีทางจนนาทีสุดท้าย แต่ความหวังริบหรี่ลงเรื่อยๆ มีโอกาสพ่ายแพ้สูง หนำซ้ำแกนนำพรรคฝ่ายประชาธิปไตยไม่ว่าจะเพื่อไทย อนาคตใหม่กำลังถูกไล่ล่าด้วยอำนาจรัฐและกระบวนการยุติธรรม จึงเหลือแนวรบนอกสภาฯที่ยังพอมีความหวัง จะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสให้ฝ่ายประชาธิปไตยกลับมาชนะได้ หากสามัคคีกันรวมพลังกันเรียกร้องกดดันให้รัฐบาลเผด็จการที่ไม่ชอบธรรมออกไป

ระดมขุดข้อมูลโกงสอยเผด็จการ

นายนครกล่าวว่า รัฐบาลเผด็จการชุดนี้เข้าขั้นบ้าอำนาจ ทุจริตคอร์รัปชันเป็นประวัติการณ์ หากใครมีข้อมูลมีพยานหลักฐานที่พอจะดำเนินการได้ ให้สำเนาและบอกข้อเท็จจริงให้ทราบ จะร้องทุกข์กล่าวโทษกับรัฐบาลเผด็จการชุดนี้ตามมาตรา 157 อีกทั้งยังมีกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ในเครือข่ายเผด็จ การผูกขาดตัดตอนได้สิทธิสัมปทานจากรัฐเผด็จการชุดนี้ไม่น้อยกว่า 20 กลุ่มบริษัท ที่เป็นนายทุนร่วมสร้างสถานการณ์ยึดอำนาจ จึงต้องช่วยกันคิดว่าจะมีมาตรการตามกฎหมายทางสังคมกับกลุ่มนายทุนผูกขาดเหล่านี้อย่างไร ตนและเพื่อนร่วมอุดมการณ์หลายคนเห็นพ้องต้องกัน ที่จะร่วมกันกับประชาชนผู้รักประชาธิปไตย รักความเป็นธรรม ไม่มีสีเสื้อ ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย มารวมพลังกันขจัดสิ่งเลวร้ายของเผด็จการ นำพาประเทศกลับมาสู่ประชาธิปไตย แนวรบนอกสภาฯจะเป็นความหวังและส่งเสริมแนวรบในสภาฯเข้มแข็งและชนะไปด้วยกัน

“หมอเหวง” บอกเป็นฝ่ายค้านดีกว่า

นพ.เหวง โตจิราการ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “อย่าเป็นรัฐบาลเลย เป็นฝ่ายค้านดีกว่า” ว่าคิดหรือว่าพรรคภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์จะร่วมหอลงโลงกับพรรคเพื่อไทยและฝ่ายประ ชาธิปไตยเป็นรัฐบาล ภูมิใจไทยต้องการดันนโยบายกัญชา ขณะที่ประชาธิปัตย์เคยประกาศชาตินี้จะไม่ร่วมงานกับ “ทักษิณ” การเป็นรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญ 60 มีโอกาสติดคุกถูกตัดสิทธิทางการเมืองสูง เป็นฝ่ายค้านทำการบ้านให้ครบถ้วนสมบูรณ์ลับฝีปากให้คม เพราะรัฐบาลพลังประชารัฐแยกไม่ออกจากรัฐบาล คสช. ยุค คสช.ปากถูกเย็บด้วยกระบอกปืน คราวนี้ถ้าทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้ประทับใจประชาชน เลือกตั้งครั้งต่อไปจะได้คะแนนจากประชาชนมหาศาลแน่นอน เมื่อถึงวันนั้นจะมี ส.ว.จำนวนพอควรเบี่ยงเบนมาสนับสนุน ไม่ว่าจะเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ยกเลิกผลพวง คสช. ปฏิรูปกองทัพ จะมีความหวังเห็นได้รำไร เป็นฝ่ายค้านดีกว่าอย่าเป็นรัฐบาลรอถูกนำไปเชือดเลย


“พิเชษฐ” ยันพรรคจิ๋วไม่มีแหกโผ

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่บ้านถนนแจ้งวัฒนะซอย 6 นายพิเชษฐ สถิรชวาล หัวหน้าพรรคประชา-ธรรมไทย แถลงจุดยืนการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปว่า ทุกคนมองว่าพรรคเล็กสนับสนุนใครมีโอกาสได้เป็นรัฐบาลสูง การตัดสินใจของ 11 พรรคเล็กครั้งนี้ส่งสัญญาณให้ชัดเจนว่าโอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นนายกฯค่อนข้างชัดเจน แม้ว่าจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็ต้องเป็น วันนี้การเมืองมีเพียงแค่ 2 ขั้วคือขั้วรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ส่วนขั้วที่ 3 เป็นเเค่ขั้วล้มรัฐบาล คนที่ต่อว่าพวกตนคือคนที่ต้องการให้พวกตนไปสนับสนุนเขา ทั้งที่ผ่านมายื่นร้องต่างๆเพื่อไม่ให้พวกตนได้เป็นผู้แทนฯ สำหรับกรณีที่มีกระแสข่าวความขัดแย้งเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีใน 11 พรรคเล็กยังไม่ได้ยิน คงต้องแล้วแต่ว่าจะพิจารณาว่าใน 11 คน ใครเหมาะสม ส่วนการเลือกประธานสภาฯ 11 พรรคเล็กจะลงคะแนนไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ยังไม่ได้พูดคุยกัน แต่เมื่อเราอยู่กับรัฐบาลการแหกโผนั้นคงไม่มี วันนี้เราต้องการให้มีรัฐบาลโดยเร็วเพื่อเรียกความเชื่อมั่นและการลงทุนจากต่างประเทศกลับคืนมา คำว่าสืบทอดอำนาจเป็นเพียงแค่วาทกรรมที่ใช้ทำร้ายกันและกัน แต่สิ่งที่ตนทำเพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้


ยื่น กกต.ฟัน “ธนาธร” ให้ อนค.กู้ 110 ล.

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า วันที่ 21 พ.ค.เวลา 10.00 น. จะไปยื่นเรื่องต่อ กกต.ให้ไต่สวนสอบสวนและวินิจฉัยกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กรณีไปบรรยายที่สมาคม ผู้สื่อข่าวต่างประเทศระบุว่า ได้ให้พรรคอนาคต-ใหม่ยืมเงิน 110 ล้านบาท เพื่อให้พรรคเดินหน้าในช่วงการเลือกตั้งได้มีข้อน่าสงสัยว่าขัดต่อมาตรา 66 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 หรือไม่ เนื่องจากรายได้ของพรรคการเมืองตามมาตรา 62 ของกฎหมายดังกล่าว ไม่ได้ระบุให้บุคคลใดหรือพรรคการเมืองใดกู้ยืมเงินมาใช้ในกิจกรรมพรรคการเมืองได้ นอกจากเงินทุนประเดิมพรรค เงินค่าธรรมเนียม ค่าบำรุงพรรค เงินจากการจำหน่ายสินค้าและบริการของพรรค เงินที่ได้จากการจัดกิจกรรมระดมทุนพรรค เงินจากการรับบริจาค เงินอุดหนุนจากกองทุนพรรคการเมืองและดอกผล รายได้ที่เกิดจากเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดของพรรคเท่านั้น

ผิด ก.ม.จำคุก 5 ปี-ถอนสิทธิ ลต.5 ปี

“หากการดำเนินการดังกล่าวของนายธนาธรขัดกฎหมาย อาจมีความผิดตามมาตรา 124 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมี 5 ปี ส่วนพรรคมีโทษปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมือง 5 ปี” นายศรีสุวรรณกล่าว

อนค.ชี้ระดมทุนไม่เข้าเป้าต้องยืม

น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวชี้แจงกรณีเงินที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ให้พรรคกู้ยืมว่า ตามที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าตัวเลขที่ออกมามันไม่ตรงกันทั้ง 250 ล้านบาท 90 ล้านบาท และ 110 ล้านบาท ขออธิบายว่าจำนวนเงินที่เป็นวงเงินสูงสุดที่นายธนาธรกำหนดให้พรรคกู้อยู่ที่เพดาน 250 ล้านบาท แต่การดำเนินกิจกรรมจนถึงวันเลือกตั้งพรรคกู้ไป 90 ล้านบาท และจนถึงวันนี้มีกู้เพิ่มไปอีกนิดหน่อย เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายของพรรค ตัวเลขจึงอยู่ที่ 110 ล้านบาท นี่คือสาเหตุที่ตัวเลขไม่ตรงกัน แต่เป็นความคืบหน้าของการกู้เงิน นายธนาธรคิดดอกเบี้ยแบบเงินกู้ระยะยาว เพราะพรรคการเมืองไม่ใช่องค์กรแสวงหาผลกำไร และนายธนาธรไม่คิดแสวงหาผลกำไรจากการให้กู้ครั้งนี้ จากสถานการณ์ช่วงปลายปีที่ผ่านมามีความไม่แน่นอน ไม่รู้ว่ากฎหมายลูกต่างๆจะออกมาเมื่อไหร่ เราจึงไม่รู้ว่าการระดมทุนนั้นอะไรจะทำได้หรือไม่ จึงทำให้การระดมทุนของเราไม่เป็นไปตามแผนหลายอย่าง ทำให้หารายได้ไม่ทันกับร่ายจ่ายการเลือกตั้ง

เงินกู้ไม่ใช่เงินบริจาคไม่ผิด ก.ม.

น.ส.พรรณิการ์กล่าวอีกว่า การกู้เงินครั้งนี้ ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารพรรคแล้ว และพรรคจะเป็นผู้จ่ายเงินทั้งหมดคืนนายธนาธร ขณะนี้เรากำลังวางแผนอยู่ว่าจะคืนเงินทั้งหมดให้เร็วที่สุดได้เมื่อใด เบื้องต้นมีข้อเสนอว่าอาจเพิ่มอัตราค่าสมาชิกของพรรค จากคนละ 100 บาทเป็น 200 บาท เพื่อให้พรรคเราเลี้ยงตัวเองได้

ส่วนกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะไปยื่นเรื่องนี้กับ กกต.เราไม่มีปัญหา พร้อมชี้แจงได้ทั้งหมด การเป็นหนี้ของพรรคเป็นรายจ่าย ไม่ใช่รายได้ ส่วนที่บอกกันว่านายธนาธร เป็นหัวหน้าพรรคจะเข้าข่ายครอบงำพรรคหรือไม่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกันเลย เพราะเป็นการให้กู้เงินไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ของกฎหมาย ส่วนที่บางพรรคไปบิดเบือนว่าเรื่องนี้ผิดกฎหมาย นายธนาธรบริจาคเงินให้พรรคเกินกำหนด นี่ไม่ใช่เงินบริจาค แต่เป็นเงินกู้ นายธนาธรบริจาคให้พรรค 10 ล้านบาท ตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ได้มีปัญหาอะไรเรื่องนี้เลย นี่เป็นเงินคนละก้อนกัน นายธนาธรให้พรรคกู้และต้องจ่ายคืนในระยะยาว และดอกเบี้ยต่ำ แต่มีดอกเบี้ยและต้องจ่ายคืนทุกบาททุกสตางค์

บี้เร่งส่งสำนวนผู้สมัคร ส.ส.ถือหุ้นสื่อ

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าวว่า ส.ส. 498 คน ที่ กกต.รับรองให้เข้าสภาฯ มีหลักฐานปรากฏแก่ กกต.และมีผู้ร้องว่าคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.ประมาณ 50-60 คน มีลักษณะต้องห้ามกรณีเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ แต่ กกต.ปฏิบัติหน้าที่ไม่เคร่งครัด ทำให้ผู้ขาดคุณสมบัติได้รับการเลือกตั้งและได้รับการรับรองเป็น ส.ส. กกต.ยังรับทราบก่อนประกาศรับรองผลว่าศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำพิพากษาคดีลักษณะเดียวกันไว้อย่างชัดแจ้งว่า “ในประเด็นการถือหุ้นดังกล่าวแต่เพียงว่าเมื่อผู้สมัครเข้ารับสมัครเลือกตั้ง เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการโรงพิมพ์ รับพิมพ์หนังสือ พิมพ์หนังสือจำหน่ายและจำหน่ายหนังสือพิมพ์ ถือว่าขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแล้ว” ดังนั้น กกต.ต้องเร่งส่งสำนวนให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งหรือศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด่วนที่สุด ไม่ควรให้ ส.ส.ที่ขาดคุณสมบัติไปใช้อำนาจลงมติเลือกประธานสภาฯหรือนายกฯ เพราะอาจทำให้ประธานสภาฯและนายกฯที่ได้มาไม่ชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ต้น

จับตาศาล รธน.รับไม่รับเชือด “ธนาธร”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงบ่ายวันที่ 23 พ.ค.ศาลรัฐธรรมนูญจะประชุมคาดว่าจะมีการพิจารณารับหรือไม่รับคำร้อง กกต.ที่ส่งให้ศาลวินิจฉัยสมาชิก-ภาพ ส.ส. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสี่ กรณีความปรากฏหรือมีเหตุอันควรสงสัยต่อ กกต.ว่านายธนาธรเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด อันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ซึ่งเป็นเหตุให้ ส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบรัฐธรรมนูญ 98 (3) หรือไม่

“พรเพชร” ลอยลำประธานวุฒิสภา

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาถึงการเปิดประชุมวุฒิสภานัดแรกวันที่ 24 พ.ค.ที่หอประชุมบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ถนนแจ้งวัฒนะ ลงมติเลือกประธานวุฒิสภาและรองประธานวุฒิสภาอีก 2 คน ว่า ตำแหน่งประธานวุฒิสภาลงตัวแล้วว่าจะเป็นนายพรเพชร วิชิตชลชัย อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยังคงได้รับความไว้วางใจจาก คสช.ให้มาปฏิบัติหน้าที่ต่อเนื่องในตำแหน่งประธานวุฒิสภา และมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายและข้อบังคับการประชุม จะไม่มีการเสนอชื่อบุคคลอื่นมาแย่งตำแหน่งประธานวุฒิสภากับนายพรเพชร

“สิงห์ศึก” เบียด “ประจิน” ชิงรองฯคนที่ 1

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร อดีต สนช. เพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ขับเคี่ยวแข่งกับ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง อดีตรองนายกฯและอดีต รมว.ยุติธรรม ต่างฝ่ายมีเสียงสนับสนุนใกล้เคียงกัน แต่ พล.อ.สิงห์ศึกมีเสียงหนุนนำหน้าอยู่เล็กน้อย ส.ว.อดีต สนช.เทเสียงให้ เพราะเห็นว่าขยันทำงาน และมีลูกบู๊ลูกบุ๋นครบเครื่องมากกว่า พล.อ.อ.ประจินที่เด่นเรื่องความประนีประนอมอย่างเดียว ส่วนนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย อดีตรองประธาน สนช.คนที่ 1 ที่พยายามรวบรวมเสียง ส.ว.มาลุ้นชิงเก้าอี้นี้ด้วยเริ่มจะถอดใจ หลังประเมินแล้วเสียงสนับสนุนไม่พอสู้ พล.อ.สิงห์ศึกได้ อย่างไรก็ตาม ในกลุ่ม ส.ว. กำลังพยายามต่อรองไกล่เกลี่ยกันอยู่ เพื่อให้ พล.อ.สิงห์ศึกได้ตำแหน่งรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 โดยไม่ต้องมีการโหวตแข่งขัน เพื่อให้การเลือกตำแหน่งประธานวุฒิสภาและรองประธานวุฒิสภาอีก 2 คน เป็นเอกภาพไปในทางเดียวกัน ไม่มีภาพการแข่งขัน เพราะอาจทำให้มองหน้ากันไม่ติด

แบ่งให้อดีต ปธ.กกต.รองฯเบอร์ 2

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่รองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 มีแนวโน้มจะตกเป็นของนายศุภชัย สมเจริญ เพื่อให้ใช้ความรู้ ความสามารถด้านกฎหมาย ในฐานะอดีตประธาน กกต.มาช่วยงานด้านกฎหมายแก่นายพรเพชรในวุฒิสภา อีกทั้งยังช่วยให้เกิดความลงตัวที่ ส.ว.สายอาชีพ 50 คนที่เลือกกันเอง ได้มีโควตาในตำแหน่งรองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 โดยจะพยายามไม่ให้มีการเสนอชื่อบุคคลอื่นมาโหวตแข่งขัน เพื่อให้ตำแหน่งประธานและรองประธานวุฒิสภาทุกตำแหน่งเกิดแรงกระเพื่อมให้น้อยที่สุด

ที่มา:หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ21พ.ค.2562

หลังชนฝา

การเมืองก็เหมือนกล้วยปิ้ง ต้องพลิกไปพลิกมา ยิ่งยึดตำราไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร มันก็ยิ่งพลิกผันกันสนุก

ในห้วงที่รอรัฐพิธีเปิดรัฐสภา 24 พ.ค. เพื่อเดินหน้ากระบวนการเลือกประธานวุฒิสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และเลือกนายกรัฐมนตรี

แม้บรรดาเซียนการเมืองต่างฟันธงว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้สะง่อมเก้าอี้นายกฯต่ออีกรอบ

เพราะมี ส.ว.250 เสียง อยู่ในมือ บวก ส.ส.ในขั้วพรรคพลังประชารัฐอีก 137 เสียง เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา

การันตีเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ชัวร์ซะยิ่งกว่าชัวร์!!!

แต่สำหรับการเมืองขั้วตรงข้าม อย่างพรรคเพื่อไทย ที่ผนึกกับพรรคอนาคตใหม่ และพันธมิตรอีก 5 พรรค รวมแต้ม 245 เสียง เมื่อยังไม่ถึงวันโหวตเลือกนายกฯก็ยังมีความหวัง แม้จะริบหรี่เต็มทน

ด้วยเหตุนี้จึงได้เห็นอาการดิ้นสู้ ออกมาจากขั้วเพื่อไทย เป็นระลอกๆ ไล่ตั้งแต่การแสดงความใจกว้าง ประกาศยกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

ล่อใจให้มาเอียงเอนมาผนึกกำลังกับฝั่งตัวเอง หวังสกัดเส้นทางการเป็นนายกฯของ “ลุงตู่”

แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์

แถมเมื่อพรรคประชาธิปัตย์มีมติเลือก จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ก็ยังมีการโยนหินถามทางอีกรอบ พร้อมข่าวลอยลมการตั้งขั้วที่ 3 ของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์

ทำนองพร้อมยกเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ บัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค ปชป. เสนอออปชันล่อใจไปตามสถานการณ์

แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆอีกนั่นแหละ เพราะทั้ง อนุทิน และ จุรินทร์ ดึงเช็งรอประชุมกรรมการบริหารพรรค เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการร่วมรัฐบาล ภายในสัปดาห์นี้ ก่อนมีรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา 24 พ.ค.

แล้วก็บังเอิญมีเหตุโป๊ะแตกขึ้นในขั้วพรรคเพื่อไทย แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

เมื่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดสมาชิกภาพ ส.ส.ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กรณีถือหุ้นธุรกิจสื่ออยู่ในวันที่สมัครรับเลือกตั้ง เข้าข่ายขาดคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.

ถ้าศาลรัฐธรรมนูญชี้ออกมาเป็นบวก ก็รอดตัวไป แต่ถ้าชี้ออกมาทางร้ายว่าขาดคุณสมบัติ หมดสมาชิกภาพ ก็ต้องตกจากเก้าอี้ ส.ส.ทันที

ทำให้ “ธนาธร” ต้องออกอาการวิ่งสู้ฟัด แบบหลังชนฝา เดินหน้าท้าชน ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ประกาศสถาปนาตัวเอง เป็นแกนนำจัดรัฐบาล ขอนั่งเก้าอี้ นายกรัฐมนตรี ของประเทศไทย ให้สะใจกันไปเลย

พร้อมวางแผนต่อสายพรรคภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา มาผนึกกำลังกับ 7 พรรคที่ลงสัตยาบันอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ร่วมจัดตั้งรัฐบาล หวังปิดสวิตช์ 250 ส.ว. ดับฝัน “ลุงตู่”

แต่งานนี้ บอกเลยว่ายากยิ่งกว่าเข็นรถสิบล้อขึ้นภูกระดึง เพราะคงไม่มีใครอยากเอาอนาคตมาเสี่ยงหนุนคน ที่มีแต้มไม่ชนะขาด ที่สำคัญยังไม่รู้ชะตากรรมว่าจะโดนเชือดตกเก้าอี้ ส.ส.หรือไม่???

ตั้งเป้าสูงหวังเป็นนายกฯประเทศไทย แต่สุดท้ายอาจเป็นได้แค่นายกสมาคมไร่ส้ม!!!!

“พ่อลูกอิน”

สิ้นสุดจุดเกรงใจแล้ว

เหรียญห้าสิบสตางค์ เหรียญบาท หล่นเสียงก๊องแก๊งในพรรคประชาธิปัตย์

แต่ระดับเซียนเขี้ยวลากดินทางการเมืองจะไม่ให้ราคา เพราะของจริงต้องโฟกัสไปที่ระดับแบงก์ 500 แบงก์ 1,000 อย่าง “เสี่ยต่อ” นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาเคลียร์ “คลิป” ที่ประกาศหนุนขั้วพลังประชารัฐอย่างชัดเจน

ยืดอกรับเต็มปากเต็มคำ เป็นความรู้สึกส่วนตัว จากการรับฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่เห็นด้วยหากพรรคจะเข้าร่วมรัฐบาล จึงเป็นที่มาของการตัดสินใจแสดงความเห็นดังกล่าว

“ผมพูดตรงๆว่าวันนี้ผมสอบตก ถ้าผมผลักดันไม่ได้ จะให้ผมทำอย่างไร ผมก็ต้องอยู่เฉยๆ”

สไตล์นักเลง “เสี่ยต่อ” บอกวันที่ 23-24 พฤษภาคมนี้ รู้คำตอบแน่

แต่ที่ร้อนแรงกว่า ระดับแบงก์พันอย่างนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ที่เพิ่งขึ้นแท่นอันดับสองในการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กแรงๆอัดผู้ใหญ่ในพรรคหนักๆ

“ผมเพิ่งประจักษ์ด้วยตัวผมเองว่าผู้ใหญ่บางคนที่ผมเคยเคารพนับถือมาเกือบ 30 ปี ที่ผมเคยเชื่อว่าดี แท้จริงแล้วก็เป็นภาพลวงตา ใครไม่ยอมอยู่ในอาณัติหรืออยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกันเมื่อใด ก็กลายเป็นคนต้องถูกพิฆาต แผ่บารมีต่อต้านวาดภาพให้เป็นคนไม่ดี เป็นคนของคนนั้นคนนี้ เพื่อให้ดูไม่ดีในสายตาเพื่อน บารมีมากล้นควรจะวางตัวเป็นกลางเพื่อสร้างเอกภาพ กลายเป็นตัวตอกลิ่มให้เกิดความแตกแยกมากขึ้น”

เด็กเพิ่งหัดอ่านข่าวการเมืองก็เดาออกว่า หมายถึงใคร

ที่แน่ๆในอารมณ์ประชาธิปัตย์ “สิ้นสุดทางเพื่อน” เลยจุดเกรงใจ “ขาใหญ่” แล้ว

สะท้อนสภาพภายใน ปชป.แตกเละเป็นเสี่ยง

ตามรูปการณ์ที่เห็นกันได้ตรงหน้า ถ้าไม่ร่วมหนุน “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตีตั๋วต่อนายกฯ นายชวน หลีกภัย ก็แค่ได้รักษาภาพขลังๆ “เจ้าหลักการ” ก่อนล้างมือในอ่างทองคำ เช่นเดียวกันกับศิษย์รักอย่าง

“เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็แค่ได้ล้างคราบ “ตราบาป” ที่เคยนั่งเสลี่ยงคานหาม ตั้งนายกฯในค่ายทหาร แล้วก็จบเส้นทางทางการเมืองโดยปริยาย

“ชวน-อภิสิทธิ์” ไม่มีอะไรต้องสู้ในกระดานการเมืองอีกต่อไป

แต่เดิมพันมันอยู่ที่คนประชาธิปัตย์ส่วนใหญ่ที่ต้อง “ปากกัดตีนถีบ” บนเส้นทางการเมืองต่อไป ถ้ามัวยึดติด “อีโก้” กับสถานะ “ฝ่ายค้านอิสระ” ที่จับต้องอะไรไม่ได้ อนาคตเลือกตั้งใหม่ กระแสไม่มี นั่นไม่เท่ากับ “กระสุน”

นายทุนไม่กล้าเสี่ยงลงทุนในหุ้นที่ไร้อนาคต เหมือนบริษัทที่ไม่มีทิศทางในการบริหาร

ครั้นจะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน กระโดด “งับ” มุกสุดท้ายของ “นายใหญ่” ดูไบ

โหนรัฐบาลขั้วที่สาม ชิงพลิกขั้วอำนาจ คสช.กลับไปใส่มือ “ทักษิณ”

ประชาธิปัตย์มีหวังโดนคนปักษ์ใต้กับคนเมืองกรุงเหยียบจมธรณี

เงื่อนไขเดียวกับ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าค่ายภูมิใจไทย ที่โหน “กัญชา” ดึงเช็ง ไม่เปิดไต๋ร่วมรัฐบาล อ้างต้องฟังเสียงประชาชนที่อยากเห็นรัฐบาลขั้วที่ 3

พูดลอยๆแค่รัฐบาลเสียงข้างน้อยจะไม่มีพรรคภูมิใจไทยแน่นอน

ลากจนนาทีสุดท้าย “เสี่ยหนู” ก็ได้แค่ยื้อราคา ทั้งๆที่รู้ “ลุงตู่” ไม่ต่อรองกับใคร

เรื่องของเรื่องตามสภาพ “ตัวความหวัง” ของฝั่งอุปโลกน์ประชาธิปไตย “ชะตากรรม” ของ “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่โดนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยปมหุ้น ส่อ “หลุด” ส.ส.

“ความวัว” ไม่ทันหาย “ความควาย” เข้ามาแทรก

ล่าสุดกับคลิปให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติ “ธนาธร” อ้างดื้อๆมีแกนนำพรรคพลังประชารัฐต่อสายหา “แม่” เพื่อขอ ส.ส. “งูเห่า” พรรคอนาคตใหม่ มาหนุน “นายกฯลุงตู่” แลกกับการเคลียร์คดีของตัวเอง

โดนกระแสสื่อจี้คอหอยให้เปิดชื่อคนติดต่อ ส่อเป็น “เด็กเลี้ยงแกะ”

และพรรคพลังประชารัฐจ่อให้ทีมกฎหมายไล่บี้ฟ้องหมิ่นประมาท ต้องหาหลักฐานมายันกัน

ไหนจะปมเงินที่ “ไพร่หมื่นล้าน” หลุดปากว่า ได้ควักเงินกงสีส่วนตัวให้พรรคอนาคตใหม่ยืมในการเลือกตั้งกว่า 110 ล้านบาท แต่นั่นก็ขัดกับที่ น.ส.พรรณิการ์ วาณิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ระบุกลางรายการทีวีว่า มีการยืมเงินนายธนาธรมา 250 ล้านบาท โดยมีการคิดดอกเบี้ย เพราะหัวหน้าพรรคหน้าเลือด

ส่อวุ่นปมหุ้นวีลัค-เงินยืม เพราะพูดกันคนละอย่าง ยิ่งแก้ยิ่งมัดตัว

และนั่นก็ชัวร์ โดนนักร้องอาชีพอย่างนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จ่อยื่น กกต.ตรวจสอบเพื่อวินิจฉัยว่ากรณีดังกล่าวเป็นความผิดหรือไม่

“ธนาธร” ติดบ่วง ล็อกหน้าล็อกหลัง ดิ้นยังไงก็รอดยาก

แค่ฝันยังลำบาก “ขั้วที่สาม” หลอกกองเชียร์หวังลมๆแล้งๆ.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน