PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

เหตุจากบทความ"ทหารมีไว้ทำไม"ทำบิ๊กตู่ย๊วะ

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 27 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกรณีที่มี ดร.คนหนึ่ง ออกมาเปิดเผยผ่านสื่อว่ามีคนแอบอ้างถึงนายกฯและรองนายกฯเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการต่างๆ ของรัฐบาลว่า “ใช่สิ ก็มีคนอ้างว่ามีการทุจริตในหน่วยราชการ ผมจึงบอกว่าให้ไปจับมา เพราะเขาเป็นคนไปพูดในโทรทัศน์ช่องไหนก็ไม่รู้ จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปสืบมา เมื่อสืบแล้วก็ให้ตำรวจไปจับ ขณะนี้กำลังสอบอยู่และเรื่องนี้หากไปถึงใครคนนั้นต้องโดนหมด ซึ่งเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นการแอบอ้าง แต่ไม่ว่าจะมีใครอยู่ในกระบวนการจะเอาหมด”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมามีการร้องเรียนเรื่องการทุจริตมาที่นายกฯโดยตรงหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่มี ถ้ามีการร้องเรียนมาถึงตน จะต้องมีหลักฐาน สามารถชี้แจงได้และมีการสอบสวน ซึ่งการร้องเรียนมีหน่วยงานต่างๆรับผิดชอบ ไม่จำเป็นต้องมาร้องเรียนที่ตนก็ได้ เพราะมีทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ซึ่งมีคนตรวจสอบอยู่แล้ว เพราะถ้ามาร้องเรียนที่ตน ตนก็จะสั่งกลับไปอีกทุกอย่างมีกระบวนการทางกฎหมาย เราต้องสอนการเรียนรู้ทางกฎหมายว่าประชาชนมีช่องทางอย่างไรบ้าง ไม่ใช่จะออกทางสื่อหรือโซเชียลจากนั้นก็มาด่าตน ว่าไม่ตรวจสอบงานก็เยอะอยู่แล้ว แลเรื่องเหล่านี้ได้สั่งการอยู่แล้ว มีหน่วยงานรับผิดชอบอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า มีการอ้างชื่อนายกฯและรองนายกรัฐมนตรีในการทุจริตครั้งนี้ด้วย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้อ้างชื่อตน แต่บอกว่าเป็นข้าราชการระดับสูง ไม่ได้ระบุว่าเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.ปะยุทธ์ ตนทราบข่าวจากโทรทัศน์ ซึ่งมีการอ้างว่าโครงการต่างๆเหล่านี้สามารถติดต่อรัฐมนตรีได้ และมีเอกสารไปอยู่บนโต๊ะรัฐมนตรี ซึ่งตนก็ถามรัฐมนตรีว่าเป็นเอกสารอะไร โดยรัฐมนตรีเองก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง
“พวกนี้คือพวกตีกินไง รัฐบาลนี้พยายามทำเต็มที่อยู่แล้ว และผมไม่เคยปล่อยปละละเลย ถ้ามีปัญหาก็สอบสวนเยอะแยะไป แล้วเอามาสอบสวนกี่คน จะมาบอกว่าทำเหมือนกันไม่เหมือนอยู่แล้ว รู้เมื่อไหร่ผมก็ทำเมื่อนั้น ถ้ายังไม่รู้ก็ไม่ทำ แต่ถ้ารู้แล้วไม่ทำมันแย่กว่าผมหรือไม่” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการไปเป็นประธานงานวันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหาร ครบรอบปีที่ 58 ที่ จ.นครนายกในวันเดียวกันนี้ว่า “วันนี้ได้ไปอยู่ท่ามกลางต้นกำเนิดซึ่งเป็นพี่น้องของผม ดังนั้นอะไรที่พูดออกมาก็ออกมาจากใจ ไม่ว่าจะพูดถึงครู อาจารย์ พี่น้อง ซึ่งพี่น้องหากไม่เข้าใจกันก็คงยาก ดังนั้นผมจึงไม่เคยไม่ไว้วางใจกัน เพราะทหารทั้งหมดเกิดมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน โดยเฉพาะระดับนายทหาร แม้จะจบจากที่โน้นที่นี่แต่ทั้งหมดก็ถูกดึงเข้ากลุ่ม จึงไม่มีทางที่จะทรยศกัน ไม่มีทางที่จะทอดอำนาจ ผมรับประกันได้เลยว่าไม่มี เพราะทุกคนรู้ว่า ปัญหาของประเทศชาติอยู่ตรงไหน ถึงกล้าพูดไง ถ้าไม่มั่นใจผมพูดไม่ได้ ผมต้องการให้เขารับทราบว่าเราอยู่ในภาวะวิกฤตที่ต้องแก้ไข สร้างชาติบ้านเมือง เหมือนที่เขาสร้างกรุงโรม วันนี้ประเทศไทยแข็งแรงอยู่แล้ว แต่ประเด็นคือมีพวกทำลายจึงต้องมาสร้างต่อให้แข็งแรง”
เมื่อถามว่า ได้อ่านบทความเรื่อง “มีทหารไว้ทำไม” ของนายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอิสระ แล้วหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไปถามว่าเขาทำประโยชน์อะไรให้แผ่นดินบ้าง “ผมปกป้องแผ่นดินนี้มาตลอดชีวิต ให้ใคร หรือให้คนเหล่านี้มาพูด ให้คนเหล่านี้มาทำลายชีวิตผม ไปถามเขาด้วย” นายกฯ กล่าวด้วยอารมณ์เสียงดัง ก่อนจะเดินกลับขึ้นไปยังตึกไทยคู่ฟ้า พร้อมกล่าวว่า “หมดอารมณ์ ชอบยั่วอารมณ์”

ผบ.ตร.ยังไม่เชื่อ"เจ้าคุณเสนาะ"ฆ่าตัวตายเอง


วันที่ 27 ม.ค. 59 พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ยังไม่เชื่อพระพรหมสุธี หรือเจ้าคุณเสนาะ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ฆ่าตัวตาย โดยให้รอการสืบสวนสอบสวน และผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ ชี้หากเป็นการฆาตรกรรม ตนเชื่อว่าจะจับกุมคนร้ายได้ เพราะคนร้ายน่าจะอยู่ในวงจำกัด โดยตนได้สั่งการให้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงศ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่กำกับดูแลนครบาล ตรวจสอบในทุกมิติ ซึ่งจะสรุปประเด็นการเสียชีวิตได้ และน่าจะมีความชัดเจนในวันศุกร์นี้ (29 ม.ค.)
โดยเฉพาะประเด็นการใช้เงินกว่า 70 ล้านบาท ในพิธีการจัดงานพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ และอดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ที่ สตง.ทำเรื่องขอคืน เนื่องจากเห็นความไม่ชอบมาพากลในการใช้จ่ายเงิน
ทั้งนี้ ยังกล่าวถึงผลการแต่งตั้งระดับสารวัตร ถึงรองผู้บังคับการ วาระประจำปี 58 ว่า อนุมัติขยายเวลาการแต่งตั้งออกไปถึงวันที่ 29 ก.พ. และพิจารณาเรื่องกฎการแต่งตั้ง ยืนยันจุดประสงค์ในการออกกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ฉบับใหม่ แก้ปัญหาในการแต่งตั้งโยกย้าย ที่มักมีการฟ้องร้องภายหลัง
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ให้ความเห็นว่า การแต่งตั้งวาระ 58 ควรใช้กฎ ก.ตร.ปี 49 เหมือนกัน ทั้งระดับนายพล ระดับรองผู้บังคับการ ถึงสารวัตร โดยยึดตามหลักรัฐธรรมนูญ ว่า ก็ต้องรับฟัง ตนรับฟังความเห็น รอง ผบ.ตร.ทุกคน ส่วนการแต่งตั้งที่ยังไม่แล้วเสร็จ จะรีบดำเนินการโดยเร็ว ให้ถูกต้องเป็นธรรม ซึ่งคงไม่ล่วงเลยไปถึงเดือน มี.ค. ตามข่าวลือ แต่จะทำให้เสร็จภายในเดือน ก.พ.

มอบ 10 รางวัลเกียรติยศจักรดาว ศิษย์เก่ารร.เตรียมทหาร ให้"บิ๊กติ๊ก-บิ๊กหมู-บิ๊กณะ-บิ๊กต๊อก-บิ๊กแอ๊ว เลขาฯสมช"

มอบ 10 รางวัลเกียรติยศจักรดาว ศิษย์เก่ารร.เตรียมทหาร ให้"บิ๊กติ๊ก-บิ๊กหมู-บิ๊กณะ-บิ๊กต๊อก-บิ๊กแอ๊ว เลขาฯสมช" และสดุดี ให้3 ศิษย์เก่า ที่เสียชีวิต อุบัติเหตุที่สุราษฎร์ธานี ร่วม "น้อง F "นักบิน F16 ด้วย นายกฯ-พลเอกประวิตร ผบ.เหล่าทัพ ร่วมงาน รร.เตรียมทหาร พุธนึ้
นายกฯ พลเอกประยุทธ์ (ตท.12) พร้อม พลเอกประวิตร (ตท.6) ผบ.เหล่าทัพ เตรียมร่วมงาน 58ปี รร.เตรียมทหาร นครนายก 27มค.นี้ พลเอกปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกห. พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบทบ. พลเรือเอก ณะ อารีนิจ ผบทร. และ พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม รับรางวัล เกียรติยศจักรดาว
ในวันสถาปนา รร.เตรียมทหาร 58 ปี 27 มค. นึ้ พลเอกประยุทธ์ นายกฯ พร้อม พลเอกประวิตร รองนายกฯ และรมว.กลาโหม และ ผบ.เหล่า ทัพ จะไปร่วมงานที่ นครนายก
โดยมีรายงานว่า มูลนิธิศิษย์เก่า รร. เตรียมทหาร ได้พิจารณามอบรางวัลเกียรติยศจักรดาว ให้แก่
๑. พลเอก ปรีชา จันทร์โอชา เตรียมทหารรุ่นที่ ๑๕ ปลัดกระทรวงกลาโหม
๒. พลเอก ธีรชัย นาควานิช เตรียมทหารรุ่นที่ ๑๔ ผู้บัญชาการทหารบก
๓. พลเรือเอก ณะ อารีนิจ เตรียมทหารรุ่นที่ ๑๕ ผู้บัญชาการทหารเรือ
๔. พลเอก เพิ่มศักดิ์ พวงสาโรจน์ เตรียมทหารรุ่นที่ ๒ สาขาบริหารการปกครองและเสริมสร้างความมั่นคงฯ
๕. พลเรือเอก ยุทธนา ฟักผลงาม เตรียมทหารรุ่นที่ ๑๒ สาขาการวิจัย
๖. พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา เตรียมทหารรุ่นที่ ๑๕ สาขาบริหารการปกครองและเสริมสร้างความมั่นคงฯ
๗. พลเอก ทวีป เนตรนิยม เตรียมทหารรุ่นที่ ๑๖ สาขาพัฒนาสังคม
๘. พลตรี วัฒนชัย คุ้มครอง เตรียมทหารรุ่นที่ ๑๙ สาขาการทหาร
๙. พลเรือตรี สมัย ใจอินทร์ เตรียมทหารรุ่นที่ ๒๒ สาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม
๑๐. พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ เตรียมทหารรุ่นที่ ๒๖ สาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ยังมี รางวัลจักรดาวสดุดี ในปี ๒๕๕๙ และรายชื่อศิษย์เก่าเตรียมทหารที่ได้เสียสละชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ได้แก่
เตรียมทหารที่ได้เสียสละชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ๓ คน คือ
๑. พลเรือเอก สาทิพ จิตนาวา เตรียมทหารรุ่นที่ ๓๐ โดยมี คุณธีราพร จิตนาวา ภรรยา รับรางวัลแทน
๒. พลเรือเอก สกนธ์ ชัยวนนท์ เตรียมทหารรุ่นที่ ๓๕ โดยมี คุณสุวรรณา ชัยวนนท์ มารดา รับรางวัลแทน
โดยทั้ง2 นาย เสียชีวิตจาก อุบัติเหตุรถยนต์ ในขณะร่วมคณะพลเรือเอกธนะรัตน์ อุบล รองเสธ.ทหาร ที่สุราษฎร์ธานี เมื่อปลายปีที่แล้ว
๓. นาวาอากาศเอก นพนนท์ นิวาศานนท์ เตรียมทหารรุ่นที่ ๔๕ หรือ น้อง F นักบิน F16 ที่เสียชีวิต จาก เคริ่องบินตก เมื่อกพ. ปี2558 โดยมี นาวาอากาศโท เฉลียว นิวาศานนท์ บิดา รับรางวัลแทน
//
Sent from my iPhone

บิ๊กตู่ เปิดใจกลางดงทหาร....

บิ๊กตู่ เปิดใจกลางดงทหาร....
นายกฯถาม "ทหารน่ารังเกียจตรงไหน เขาพยายามสลายทหารให้ได้ ยันเราไม่ได้หวงความรักชาติสถาบัน ไว้คนเดียว แต่เราเป็นแกนให้" เผย"พอมีเรื่อง ก็เรียกทหาร พอเรามาแก้ปัญหาให้ ก็ไม่โกรธ แต่พอปชต.ไปไม่ได้ก็โทษทหารอึก นี่คือคำตอบว่า มีทหารไว้ได้อะไรมากกว่าที่คิด"...ถามรู้หรือยัง "ทหารมีไว้ ทำไม" ไว้ตายเพื้อปกป้องชาติ รักษาแผ่นดิน ให้คนที่ถามคำถามนึ้ นั่นแหล่ะ เรารักษาแผ่นดิน เพื่อคน70 ล้านคน อย่ารังเกียจทหาร และอย่าดูถูกน้ำใจทหาร ยันทหารพร้อมเสียสละ เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่ได้ต้องการเข้ามามีอำนาจ เราต้องรัก สามัคคีกัน อย่าแตกแยก
ถามใครอยากปฏิวัติผมมาเลย ยันไม่มีแย่งตำแหน่ง แยกค่าย.. เผย กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว แต่ถ้าจะถูกทำลาย ลงได้ภายในไม่กี่วัน กว่าจะเป็นปชต.เรา83ปี แล้ว เป็นปชต.แต่ก็ยังไม่สำเร็จ ต้องใช้ไม้พยุง ตลอดเวลา...เผย จับตัว"ด็อกเตอร์"อ้างชื่อรมต.อ้างว่ารู้จักผมและรองนายกฯ เพื่อต้องการเอาโครงการต่างๆ รู้แล้วว่าเป็นใคร คนของเราคือไม่ซื่อสัตย์
รร.เตรียมทหาร นครนายก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ซึ่งเป็น ตท.12 พร้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ/รมว.กห. ตท.6 พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มท.ตท.10 พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รมช.กห.ตท.14 พลเอกไพบูลย์ ตท.15ปลัดกห.ผบสส.ผบ.เหล่าทัพ ผบตร.ร่วมงานเกียรติยศจักรดาว 58ปี รร.เตรียมทหาร ขาด บิ๊กหมู พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบทบ.ไปจีน แม้จะได้รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว แต่ไม่ได้มารับรางวัล
นายกฯชมวิดีทัศน์ 3 ทหาร ที่เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ และมอบรางวัล จักรดาวสดุดี
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในนามของศิษเก่าขอยกย่องทุกคนที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ เสียสละ สมเกียติยศศักดิ์ศรีของชาติ
"ทำให้ตอบคำถาม ที่ถามว่า มีทหารไปเพื่ออะไร ก็เพราะว่าทหารทุกคนรักษาแผ่นดินให้คนที่ถามและคนอีก70ล้านคนได้อยู่ ดังนั้นอยากให้ทุกคนช่วยกันทำความเข้าใจกับประชาชนให้เขารู้คุณค่าของทหาร"
นายกฯ กล่าวว่า พี่น้องๆต้องช่วยกันทำความเข้าใจกับประชาขนว่าประเทศนี้ จะต้องเป็นอย่างไรในอนาคต ตัองมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ หรือว่าเราจะต้องทะเลาะกัน แย่งกันเข้ามามีอำนาจ เพื่อใช้ได้เป็นรัฐบาล ใช้งบประมาณ ประเทศเรามีแค่นั้นหรือ
"วันนี้เขาลืมกันหมดแล้วว่า ผมต้องเอาศักดิ์ศรีของทุกคนเข้ามาตรงนี้เพราะอะไร"
นายกฯ ระบุว่า ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัล ทำประโยชน์ต่อกองทัพ ประเทศชาติ ประชาชน นำไปสู่ความภาคภูมิใจของโรงเรียนเตรียมทหาร คนที่ได้รับรางวัลในวันนี้หลายคนยังอยู่ในราชการ ก็ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง ส่วนคนที่เกษียณอายุราชการก็ยังมาช่วยทำงานเพื่อประเทศชาติ
นายกฯออกตัวว่า วันนี้ แม้จะรีบ แต่พอมีเวลาที่จะพูดกับะวกเรา เพราะเป็นสายเลือดเดียวกัน มาจากต้นทางเดียวกัน ถึงแม้จะมีคนฟังเพียงคนเดียว ผมก็จะพูดต่อไป เพราะบ้านนี้เมืองนี้ไม่มีใครพูด เราถือเป็นสายเลือดเดียวกัน ประเทศไทยต้องเดินหน้าต่อไปได้ภายในเวลาที่มี ไม่ใช่เพราะศักดิ์ศรีของผมแต่เป็นเพราะศักดิ์ศรีความเป็นคนไทยทั้งประเทศ ตนย้ำว่า พวกเรามาจากต้นกำเนิดเดียวกันดังนั้นไม่มีวันแยกออกจากกันได้ วันนี้เราต้องมาช่วยกันเพื่อทำให้เกิดประวัติศาสตร์ที่ดี และพัฒนารักษาประเทศชาติ ศาสนา พระมหกษัตริย์ ประชาชนให้เข้มแข็ง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การทำงานให้ประเทศชาตินั้น ไม่มีวันจบสิ้น ฝากทุกคนช่วยเรียนรู้หลสยอย่าง การเรียนทุกคนมุ่งหวังให้เรียนจบได้ปริญญา แต่สิ่งที่จะช่วยพัฒนาคือการเพิ่มการเรียนรู้ ทำอย่างไรให้คนมีความเข้มแข็งรู้ตัวเองว่าจะเป็นอะไรในอนาคต
"ส่วนทหารมีทุกสาขาสามารถพัฒนาประเทศชาติได้ ดังนั้นขอให้รู้แบบลึกซึ้ง รู้ให้ครบ เพราะเขาหาว่า เราแข็งแรง อย่างเดียว ใช้แต่แรง แต่ไม่ฉลาด แต่ที่ผ่านมามีทหารจบ ดร.เป็นจำนวนมาก เป็นความภาคภูมิใจ"
นายกฯ กล่าวว่า เราต้องร่วมมือกันปฏิรูปประเทศ ต้องอาศัยทุกคนช่วยกัน เพราะเราติดกับดักประเทศของตัวเอง โดยเฉพาะปัญหาคำว่าประชาธิปไตย
"ผมมายืนตรงนี้เพื่ออะไร เราต้องเพิ่มการเรียนรู้พัฒนาทรัพยากรให้เข้มแข็ง เพราะ "กรุงโรมไม่ได้สร้างภายในวันเดียว ประชาธิปไตยเราสร้างมา 83ปีไม่สำเร็จ ต้องใช้ไม้ค้ำพยุงตลอดเวลา"
"ผมพูดแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องมาสู้รบ ถามว่า ทหารน่ารังเกียจตรงไหน เขาพยายามสลายทหารให้ได้ ดังนั้นขอให้ไปบอกใครก็ไม่รู้ว่า เราไม่ได้หวงความรักชาติ สถาบัน ไว้คนเดียว แต่เราต้องเป็นแกนให้ประชาชนช่วยกัน "
แม้รัฐบาลนี้แม้ว่าผมจะมาจากอำนาจพิเศษ ที่ผมจำเป็นต้องเข้ามา เพราะประเทศไปไม่ได้ แล้วไมาได้เตรียมการอะไร แต่มาวันนี้ ต่างประเทศ ก็มาพบปะ นานาประเทศเขาก็ยินดี ต่างชาติเข้าใจหมด มาพบจนบันไดทำเนียบฯลื่นหมดแล้ว ขอเจรจาการค้า ธุรกิจ ผมบอกว่า อย่านึกว่าเป็นผม แต่นี่เป็นประเทศไทย แค่ตอนท้ายทุกประเทศ ถามว่า จะเลือกตั้งเมื่อไหร่
นายกฯ เชื่อว่า ตปท.เข้าใจว่า ตามโรดแมพ แต่คนในประเทศไม่เข้าใจ ผมประกาศแล้วว่าทุกอย่างเป็นไปตามโรดแม๊ป เลือกตั้งปี60 มาถามอีกว่า เดือนอะไร จะต้องให้บอกว่า วันไหนเวลาเท่าไหร่ ด้วยมั้ย
"พอมีเรื่อง ก็เรียกทหาร พอเรามาแก้ปัญหาให้ ก็ไม่โกรธ แต่พอปชต.ไปไม่ได้ก็โทษทหารอึก นี่คือคำตอบว่า มีทหารไว้ได้อะไรมากกว่าที่คิด":นายกฯ
นายกฯเผยว่า ผมตื่นตี3 เขียนงานไป3หน้า ผมถาม รองนายกฯ พลเอกประวิตร ว่า อยู่มาจะ2ปีสั่งไปกว่า1.5หมิ่นเรื่องแล้ว แต่เสร็จไปกี่เรื่อง ท่านตอบ สัก50เรื่องก็แย่แล้ว
"ผมกับรองนายกฯแหย่กัน เป็นความผูกพัน ไม่มีค่าย ไม่มีแย่งตำแหน่งใครจะปฏิวัติผมมาเลย ใครพร้อมยกมือขึ้นเลย ผมว่าไม่มี อย่าไปเชื่อพวกยุแยงตะแคงรั่ว ไม่มีใครอยากได้ตำแหน่งอะไรทั้งนั้น ทุกคนที่เข้ามาเป็นคนดี อย่าดูถูกหัวใจทหารมากเกินไป ทุกคนช่วยเหลือกัน ทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองดังนั้นอย่าดูถูกน้ำใจทหาร " พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ทุกคนทำงานหนักเพราะปัญหาสะสมมาเป็นเวลานาน นี่คือสาเหตุที่ต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ฉะนั้นขอให้พวกเราทุกคนไปสร้างความเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะแตกต่างกับฉบับที่แล้ว เพราะมีเรื่องการปฏิรูปทุกอย่างภายในประเทศ
ส่วนคนที่พยายามป้ายเรื่องทุกอย่างให้กับประเทศ ตนถามว่าเป็นคนไทยหรือไม่ ที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกัน
"ผมอยากจะพูดตรงนี้ยาวๆในหมู่พี่น้องทหารด้วยกัน เพราะอยากจะคุยกับใครสักคนที่เข้าใจเรา มันเป็นภาระความรับผิดชอบที่กดดันผมทุกวัน เราเลยต้องทำงานหนักเพื่อให้คนเข้าใจ และต้องวางรากฐานทุกอย่าง"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมาระบบราชการเสียหาย ดังนั้นเราจึงต้องมีเรื่องการปฏิรูป การใช้จ่ายงบประมาณ การบูรณาการทำงาน การสร้างคุณธรรม จริยธรรม ถือเป็นสิ่งสำคัญ การทำงานต้องให้เสร็จให้ได้ในปี2560 ส่วนเรื่องใดที่เป็นเรื่องระยะยาวต้องนำไปใส่ในสภาปฏิรูปประเทศเพื่อดำเนินการต่อ ส่วนสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีหน้าที่ออกกฎหมายและคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญต้องมองที่เป็นเรื่องระยะยาว
ต่อจากนี้เราจะมียุทธศาสตร์ประเทศ20ปี เพื่อให้มีอนาคตข้างหน้าไม่ใช่สเปะสะปะ ต้องมีความชัดเจนในแต่ละเรื่อง ขึ้นอยู่กับพวกเราที่จะกำหนดประเทศ ไม่ใช่เฉพาะใครคนใดคนหนึ่งหรือนักการเมือง สร้าง "กรุงโรม"ที่ว่ายาก แต่สร้างประเทศไทยให้แข็งแรง ยากกว่า
"เพราะยังมีคนทำร้ายกันเองอยู่ ที่ผ่านมามี ดร.คนหนึ่งอ้างว่ารู้จักผมและรองนายกฯ เพื่อต้องการเอาโครงการต่างๆ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเป็นใคร ปัญหาคนของเราคือไม่ซื่อสัตย์ไม่รักษาสิทธิประโยชน์ของตัวเอง โกงไปหมด วันหน้าคงอยู่ไม่ได้ในประเทศไทย
เราต้องสร้างความเป็นปึกแผ่นให้ได้ ประเทศขาติสำคัญที่สุด ไม่ชอบผม ไม่ชอบรัฐบาลก็ได้ แต่ต้องชอบประเทศไทย ที่นี่เป็นดินแดนศักดิสิทธิ์"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เปิดบันทึก"เด่น โต๊ะมีนา"ชำแหละ"วะฮาบีย์"ทำมุสลิมใต้ป่วน!

โดย "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง
10 เมษายน 2548 19:59 น.

•• ผู้อ่านบางท่าน e-mail เข้ามาหา “เซี่ยงเส้าหลง” บอกว่าที่เขียนไปว่าใน กอส. – คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ นั้นมีแต่ ซุนนีห์, วะฮาบีฮ์ ไม่มี ชีอะห์ ไม่ถูกต้องครบถ้วนเสียทั้งหมดเพราะตามจริงแล้วถ้าจะมองอีกมุมหนึ่งยังไม่มีตัวแทนจุฬาราชมนตรีท่านปัจจุบัน มีแต่ ขั้วตรงข้าม ทั้งขั้วของ เด่น โต๊ะมีนา และขั้วของ ดร.อิสมาอีล ลุตฟี จะปะกียา ที่ในวงในลึก ๆ รู้กันว่าตั้งความหวังไว้กับการขึ้นไปเป็น จุฬาราชมนตรีท่านใหม่ หรือมองจากอีกมุมหนึ่งนอกจากไม่มี ชีอะห์ แล้วยังไม่มี กลุ่มวะดะฮ์ ซึ่งหมายถึงว่าไม่มี เครือข่ายของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อย่าได้คิดว่าเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ไม่สำคัญเพราะในบรรดาสารพัดสาเหตุอันเป็นที่มาของ วิกฤตจังหวัดชายแดนภาคใต้ หนึ่งในจำนวนนั้นที่ ปรากฏชัดขึ้นทุกที คือ ความขัดแย้งระหว่างสำนักต่าง ๆ ในศาสนาอิสลามด้วยกัน ในประการนี้ถ้า กอส. ภายใต้การนำของ อานันท์ ปันยารชุน ถูกมองเสียตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะ ถูกครอบงำทางความคิด โดย วะฮาบีฮ์ การพิจารณาปัญหาก็ยากจะพบ สาเหตุที่ครบถ้วนรอบด้าน ได้
       
       •• ความสัมพันธ์ 3 เส้า ซุนนีย์, ชีอะห์ และ วะฮะบีฮ์ รวมทั้ง ซาอุดีอาระเบีย, อิหร่าน และ สหรัฐอเมริกา เคยกล่าวไว้โดยสังเขปแล้ว ณ ที่นี้ตั้งแต่ วันที่ 6 เมษายน 2548 คงจะไม่ต้องทบทวน ณ ที่นี้
       
       •• แต่ที่อยากจะกล่าวถึง วะฮะบีฮ์ อีกครั้ง ณ ที่นี้ก็เพราะระลึกขึ้นมาได้ว่าใน จดหมายเปิดผนึก 30 หน้า ของ เด่น โต๊ะมีนา ที่ยื่นเสนอโดยตรงต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่เมื่อ วันที่ 10 มิถุนายน 2546 (เป็นเวลา 7 เดือนก่อนเกิดปฏิบัติการปล้นปืน ที่ เจาะไอร้อง) ก็ได้มีการเอ่ยถึงร่องรอยบางประการที่เกี่ยวกับ วะฮาบีฮ์ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าการเผยแพร่ศาสนาอิสลามบริสุทธิ์ดั้งเดิม ตามแนวของ มูฮัมหมัด บิน อับดุลวาฮับ ได้สร้าง ความขัดแย้ง 2 ด้าน ด้านหนึ่งคำสอนบางประการ ขัดกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่เจือปนด้วย วัฒนธรรมฮินดู อีกด้านหนึ่งเป็นปัญหาด้าน เงินช่วยเหลือจากตะวันออกกลางจำนวนมาก ที่ส่งตรงเข้ามายัง อดีตนักเรียนทุนตะวันออกกลาง ชนิดไม่ผ่าน คณะกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัด ก่อให้เกิดเป็น 2 ขั้วคู่ขนาน ชนิดที่ เด่น โต๊ะมีนา กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “...ทำให้ประชาชนแตกแยกเป็น 2 พวก.” ในจดหมายบอกเล่าว่าเป็นเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว ขอยกบางข้อความในหน้า 23 – 24 มาแสดงไว้ ณ ที่นี้โดยใช้ ตัวสะกดภาษาไทย ตามเอกสารต้นฉบับ.....
       
       ....กระผมขอถือโอกาสชี้แจงเกี่ยวกับวาฮาบีเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไร
      
       ....ศาสนาอิสลามหลังยุคของท่านศาสดามูฮัมหมัดแล้ว ได้แตกเป็น 2 นิกาย คือ สุหนี่ (ซุนนะฮ์) และชีอะห์ ซึ่งศาสนาอื่น ๆ ก็แตกเป็นหลายนิกายเช้นเดียวกัน
      
       ....วาฮาบีไม่ใช่นิกาย แต่เป็นคำสอนของนักปราชญ์ทางศาสนาอิสลามท่านหนึ่งมีชื่อว่า มูฮัมหมัด บินอับดุลวาฮาบ เกิดขึ้นในปลายศตวรรษที่ 18 ในดินแดนคาบสมุทรอาราเบีย เป็นยุคที่อารยธรรมอิสลามกำลังเสื่อมโทรม ท่านจึงยินหยัดในมุสลิมหันกลับไปสู่คำสอนของศาสนาอิสลามตามพระมหาคุมภีร์อัลกุรอาน และหลักปฏิบัติของท่านศาสดามูฮัมหมัดอย่างแท้จริง คัดค้านพิธีกรรมต่าง ๆ ที่มิได้กำหนดไว้ในอัลกุรอานและอัลฮะดิษ ทำให้กระทบกระเทือนกับผู้ปกครองท้องถิ่นที่ได้ปฏิบัติในสิ่งที่เกินเลยไปกว่าคำสอนอันบริสุทธิ์ดั้งเดิมของศาสนาอิสลาม จึงอาศัยอยู่ในถิ่นเดิมของตัวเองไม่ได้ ต้องเร่ร่อนไปอีกเมืองหนึ่ง จึงได้รับการต้อนรับจากอิบนีสะอู๊ด ซึ่งต่อมาได้ยึดครองนครเมกกะ (มักกะฮ์) ได้จากตุรกีด้วยความช่วยเหลือของอังกฤษ ได้สถาปนาเป็นกษัตริย์สะอู๊ด และกลายเป็นประเทศซาอุดีอารเบียจนถึงปัจจุบัน
      
       ....เมื่อซาอุดีอารเบียเป็นประเทศร่ำรวยด้วยทรัพยากรน้ำมัน จึงเริ่มตั้งมหาวิทยาลัยทางศาสนา และให้ทุนการศึก ษาแก่นักศึกษาทั่วโลก ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีถึงระดับปริญญาเอก
      
       ....ในจำนวนนักศึกษาที่ได้รับทุนดังกล่าวก็มีนักศึกษาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จบปริญญาเอกจากซาอุดีอารเบียหลายคน

       
       ....นักศึกษาที่จบ โดยเฉพาะปริญญาเอกจากซาอุดีอารเบีย ในแต่ละประเทศ ก็นำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาไปเผยแพร่ในประเทศของตน พร้อมกับเงินทุนเพื่อเผยแพร่ตามหลักการของวาฮาบี เพื่อให้มุสลิมทุกคนในโลกนี้ได้ปฏิบัติตามคำสอนของอัลกุรอานและฮาดิษอย่างแท้จริง
       
       ....ในจำนวนนักศึกษาที่กลับประเทศของตนที่ได้ทั้งความรู้และเงินทุนเผยแพร่ ก็มีใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้รวมอยู่ด้วย
       
       ....เมื่อมีบุคคลที่นำคำสอนตามแนววาฮาบีไปเผยแพร่ใน 3 จังหวัด ก็เกิดความขัดแย้งกับโต๊ะครูปอเนาะต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่นเดียวกับมูฮัมหมัด บินอับดุลวาฮาบเริ่มสอนครั้งแรกในดินแดนคาบสมุทรอารเบียจนอยู่ในถิ่นเดิมไม่ได้
       
       ....เมืองปัตตานีเดิมนับถือศาสนาฮินดู ประเพณีบางอย่างที่ตกทอดมาถึงวันนี้ก็ยังมีปฏิบัติกันอยู่ แต่ส่วนใหญ่ได้ยกเลิกไปแล้ว
      
       ....ฉะนั้น เมื่อมีผู้นำคำสอนที่เพียว ๆ และห้ามมิให้กระทำสิ่งที่เคยกระทำ เช่น การจัดงานเมาลิด เป็นต้น ความขัดแย้งก็เกิดขึ้น
      
       ....องค์กรเผยแพร่แนววาฮาบีที่ซาอุดีอารเบียมีทุนมหาศาล จึงได้ให้เงินและให้ทุนแก่นักเรียนเก่าของเขา ให้ทุกคนปฏิบัติตามแนววาฮาบี
      
       ....ผู้นำแนววาฮาบีไปปฏิบัติจะต้องแสดงศักยภาพของตนให้องค์กรที่ซาอุดีฯเห็นถึงความสามารถของเขาว่ามีประชาชนคล้อยตามมากขึ้นทุกวัน จำเป็นที่จะต้องให้มีประชาชนมาเรียนมาก จะต้องใช้เงินนำพาคนไปฟังคำสอนในระยะแรก เมื่อมีคนติดคำสอนแล้ว คนก็ไปกันเอง เกือบทุกหมู่บ้านตำบลจะมีประชาชนส่วนหนึ่งในหมู่บ้านหรือตำบลเช่ารถไปเรียนทุกสัปดาห์
      
       ....เฉพาะในจังหวัดปัตตานี มีสถานที่สอนศาสนาประจำสัปดาห์ 2 แห่ง แห่งหนึ่งอยู่ในอำเภอยะรัง ซึ่งมีการสอนแนวใหม่ อีกแห่งหนึ่งที่มัสยิดกลางปัตตานี มีการสอนแนวเดิม แต่ละแห่งจะมีประชาชนไปฟังการสอนเป็นพัน ๆ คนทุกสัปดาห์

       
       ....เมื่อในแต่ละหมู่บ้านมีคนไปเรียนกับการสอนแนวใหม่บางส่วนกลับมาในหมู่บ้าน แล้วมีความรู้สึกว่าประชาชนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านของตนปฏิบัติตามหลักศาสนาไม่ตรงตามที่พวกเขาไปเรียนมา ก็เลยไม่ยอมปฏิบัติตามคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน จนกระทั่งไม่ยอมไปละหมาดทุกวันศุกร์ในมัสยิดประจำหมู่บ้านที่มีอยู่เดิม จึงแยกไปทำอีกต่างหาก
      
       ....เมื่อแยกตัวไปแล้วก็ไปขอเงินจากผู้สอนแนวใหม่เพื่อก่อสร้างมัสยิดใหม่ ผู้สอนแนวใหม่ก็ขอเงินจากองค์กรเผยแพร่มาให้สร้างมัสยิดแต่ละแห่ง แต่ละหมู่บ้าน เป็นแสน ๆ บาทขึ้นใหม่ ในหลายหมู่บ้านกลายเป็นหมู่บ้านที่มีมัสยิด 2 แห่ง
      
       ....คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดแต่ละจังหวัดทำอะไรไม่ได้ ทำได้อย่างเดียว ไม่รับจดทะเบียนให้เท่านั้น ซึ่งคนเหล่านี้ไม่แคร์เลย

       
       ....เหตุการณ์อย่างนี้เกิดมาหลายปีแล้ว
      
       ....กระผมเองเคยไปประเทศคูเวต และได้รับเชิญไปเยี่ยมองค์กรเผยแพร่ศาสนาองค์กรหนึ่งในคูเวต เขาได้ชี้ให้ดูรูปมัสยิดต่าง ๆ ในจังหวัดปัตตานีมากกว่า 10 แห่งที่เขาให้ทุนในการก่อสร้าง เขาบอกด้วยความภาคภูมิใจที่เขาได้ช่วยคนปัตตานีในด้านศาสนสถาน

       
       ....กระผมก็ชี้แจงเขาว่า วันนี้ผมได้พบแล้วแหล่งที่ทำให้คนมุสลิมแตกแยกในจังหวัดปัตตานี บอกเขาว่าที่คุณให้ทุนสร้างมัสยิดทั้งหมดนี้ เป็นการสร้างมัสยิดใหม่ที่ซ้อนกับมัสยิดที่มีอยู่แล้ว ทำให้ประชาชนแตกแยกเป็น 2 พวก ทำไมคุณไม่มอบทุนเหล่านี้ผ่านสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัด ซึ่งเป็นองค์กรอิสลามที่ดูแลเรื่องมัสยิด
       
       ....เขาตอบว่าเขาไม่รู้ เพราะผู้ขอได้ขอผ่านองค์กรเผยแพร่ศาสนาในซาอุดีฯ องค์กรในซาอุดีฯจึงแบ่งมาให้ช่วยทำการกุศล
      
       ....ฯลฯ....ฯลฯ......

       
       •• นอกจากปัจจัยด้านต่าง ๆ ที่พูดกันมากว่าเป็น ขนมรวมมิตร แล้วเราไม่อาจพิจารณาปัญหาวิกฤตด้ามขวานทองได้ ทะลุปรุโปร่ง หากปฏิเสธที่จะทำความเข้าใจเรื่อง วะฮาบีฮ์ และ แนวทางใหม่ในการสอนศาสนา ด้วย 

การบินพลเรือนชี้ "ตุ๊กตาลูกเทพ" ไม่ใช่มนุษย์ ให้ปฏิบัติเหมือนสัมภาระหากนำขึ้นเครื่องบิน

การบินพลเรือนชี้ "ตุ๊กตาลูกเทพ" ไม่ใช่มนุษย์ ให้ปฏิบัติเหมือนสัมภาระหากนำขึ้นเครื่องบิน
นายจุฬา สุขมานพ อธิบดีกรมท่าอากาศยาน และรักษาการผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยถึงผลการประชุมร่วมระหว่างหน่วยงานความปลอดภัยด้านการบินและสายการบินต่าง ๆ ในวันนี้ว่า ทางสำนักงานการบินพลเรือนฯจะกำหนดหลักปฏิบัติในการนำตุ๊กตาลูกเทพขึ้นเครื่องบิน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินในระดับสากลดังนี้
ผู้โดยสารสามารถนำตุ๊กตาลูกเทพขึ้นเครื่องบินได้ แต่จะอยู่ในสถานะเป็นสัมภาระติดตัวของผู้โดยสาร ซึ่งจะต้องจัดเก็บไว้ในที่วางของเหนือศีรษะ หรือที่วางของใต้ที่นั่ง ขณะที่เครื่องบินเตรียมบินขึ้นหรือลงจอด อย่างไรก็ตาม ผู้โดยสารอาจซื้อที่นั่งเพิ่มอีกหนึ่งที่นั่ง เพื่อเป็นที่วางสัมภาระตุ๊กตาลูกเทพได้
ตุ๊กตาลูกเทพจะต้องผ่านการตรวจค้น ตามมาตรการความปลอดภัยของสนามบินและสายการบิน หากไม่ยอมให้ตรวจค้นจะไม่สามารถนำตุ๊กตาลูกเทพขึ้นเครื่องบินได้ หรือหากตรวจค้นแล้วพบสิ่งผิดปกติก็ไม่สามารถเดินทางไปต่อได้
ส่วนการจะให้บริการอาหารหรือน้ำแก่ตุ๊กตาลูกเทพหรือไม่ รวมทั้งกรณีที่ผู้โดยสารรายอื่นอาจต้องการย้ายที่นั่ง เพราะไม่ต้องการนั่งใกล้ตุ๊กตาลูกเทพ การดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละสายการบิน

ดัชนีชี้วัดคอร์รัปชันไทยปี 58 อันดับ 3 อาเซียน อยู่ที่ 76จาก168 ปท.ทั่วโลก

‘นายกฯ’ลั่น!อย่าดูถูกน้ำใจทหาร


‘นายกฯ’ลั่น!อย่าดูถูกน้ำใจทหาร
‘พล.อ.ประยุทธ์’ เป็นประธานวันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหารครบรอบ 58 ปี ย้ำเดินหน้าปฏิรูปตามโรดแม็พ ยกย่องทหารเสียสละรักษาประเทศชาติ ลั่นอย่าดูถูกน้ำใจทหาร
27 ม.ค.59 เมื่อเวลา 08.00 น.ที่โรงเรียนเตรียมทหาร จ.นครนายก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานวันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหารครบรอบ 58 ปี และงานเกียรติยศจักรดาว ปี 2559 พร้อมด้วยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และอดีตทหารที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี รวมถึง พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพ และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งศิษย์เก่าทุกรุ่นร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง ขาดเพียง พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ติดภาระกิจไปต่างประเทศ โดยมอบหมายให้ พล.อ.วลิต โรจนภักดี รองผู้บัญชาการทหารบก มาเป็นตัวแทน โดยมีการวางพานพุ่มถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 วางพวงมาลาอนุสรณ์สถานโรงเรียนเตรียมทหาร
ต่อจากนั้นเวลา 09.30 น. ที่หอประชุมนวนครินทร์ ร่วมกันแสดงมุทิตาจิตอดีตผู้บังคับบัญชา ครู-อาจารย์ โดยมีการขับเสภาเพื่อเป็นเกียรติให้กับนายกรัฐมนตรี มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำงานตลอด 1 ปีที่เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมกับค่านิยม 12 ประการ ก่อนจะมอบรางวัลเกียรติยศจักรดาว ประจำปี 2559 แก่ศิษย์เก่าที่มีผลงานดีเด่นและทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ ในสาขาต่างๆประกอบด้วย 10 ท่านคือ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา เตรียมทหารรุ่นที่ 15 ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ธีรชัย นาควานิช เตรียมทหารรุ่นที่ 14 ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ เตรียมทหารรุ่นที่ 15 ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.เพิ่มศักดิ์ พวงสาโรจน์ เตรียมทหารรุ่นที่ 2 สาขาบริหารการปกครองและเสริมสร้างความมั่นคงฯ และ พล.ร.อ.ยุทธนา ฟักผลงาม เตรียมทหารรุ่นที่ 12 สาขาการวิจัย พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา เตรียมทหารรุ่นที่ 15 สาขาบริหารการปกครองและเสริมสร้างความมั่นคงฯ พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เตรียมทหารรุ่นที่ 16 สาขาพัฒนาสังคม พล.ต.วัฒนชัย คุ้มครอง เตรียมทหารรุ่นที่ 19 สาขาการทหาร พล.ร.ต.สมัย ใจอินทร์ เตรียมทหารรุ่นที่ 22 สาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม พ.อ.สรรพชัย หุวะนันทน์ เตรียมทหารรุ่นที่ 26 สาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ยังมีรางวัลจักรดาวสดุดี ในปี 2559 กับศิษย์เก่าเตรียมทหารที่ได้เสียสละชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ 3 คน คือ พล.ร.อ.สาทิพ จิตนาวา เตรียมทหารรุ่นที่ พล.ร.อ.สกนธ์ ชัยวนนท์ เตรียมทหารรุ่นที่ 35 โดยทั้ง2 นาย เสียชีวิตจาก อุบัติเหตุรถยนต์ ในขณะร่วมคณะพล.ร.อ.ธนะรัตน์ อุบล รองเสธ.ทหาร ที่สุราษฎร์ธานี เมื่อปลายปีที่แล้ว และนาวาอากาศเอก นพนนท์ นิวาศานนท์ เตรียมทหารรุ่นที่ 45 หรือ น้อง F นักบิน F16 ที่เสียชีวิต จาก เครื่องบินตก เมื่อกพ. ปี2558
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในนามของศิษเก่าขอยกย่องทุกคนที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ เสียสละ สมเกียติยศศักดิ์ศรีของชาติ ทำให้ตอบคำถามที่ถามว่า มีทหารไปเพื่ออะไร ก็เพราะว่าทหารทุกคนรักษาแผ่นดินให้คนที่ถามและคนอีก 70 ล้านคนได้อยู่ ดังนั้นอยากให้ทุกคนช่วยกันทำความเข้าใจกับประชาชนให้เขารู้คุณค่าของทหาร ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัล ทำประโยชน์ต่อกองทัพ ประเทศชาติ ประชาชน นำไปสู่ความภาคภูมิใจของโรงเรียนเตรียมทหาร คนที่ได้รับรางวัลในวันนี้หลายคนยังอยู่ในราชการ ก็ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง ส่วนคนที่เกษียณอายุราชการก็ยังมาช่วยทำงานเพื่อประเทศชาติ ถึงแม้จะมีคนฟังเพียงคนเดียวตนก็จะพูดต่อไป เพราะบ้านนี้เมืองนี้ไม่มีใครพูด เราถือเป็นสายเลือดเดียวกัน ประเทศไทยต้องเดินหน้าต่อไปได้ภายในเวลาที่มี ไม่ใช่เพราะศักดิ์ศรีของตน แต่เป็นเพราะศักดิ์ศรีความเป็นคนไทยทั้งประเทศ ตนย้ำว่า พวกเรามาจากต้นกำเนิดเดียวกัน ดังนั้นไม่มีวันแยกออกจากกันได้ วันนี้เราต้องมาช่วยกัน เพื่อทำให้เกิดประวัติศาสตร์ที่ดี และพัฒนารักษาประเทศชาติ ศาสนา พระมหกษัตริย์ ประชาชนให้เข้มแข็ง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การทำงานให้ประเทศชาตินั้น ไม่มีวันจบสิ้น ฝากทุกคนช่วยเรียนรู้หลายๆอย่าง การเรียนทุกคนมุ่งหวังให้เรียนจบได้ปริญญา แต่สิ่งที่จะช่วยพัฒนาคือการเพิ่มการเรียนรู้ ทำอย่างไรให้คนมีความเข้มแข็งรู้ตัวเองว่าจะเป็นอะไรในอนาคต ส่วนทหารมีทุกสาขาสามารถพัฒนาประเทศชาติได้ ดังนั้นขอให้รู้แบบลึกซึ้ง รู้ให้ครบ เพราะเขาหาว่าเราแข็งแรงแต่ไม่ฉลาด แต่ที่ผ่านมามีทหารจบ ดร.เป็นจำนวนมาก เป็นความภาคภูมิใจ ตนพูดกับสื่อทะเลาะกันทุกวัน เพราะเราต้องร่วมมือกันปฏิรูปประเทศ ต้องอาศัยทุกคนช่วยกัน เพราะเราติดกับดักประเทศของตัวเอง โดยเฉพาะปัญหาคำว่าประชาธิปไตย ตนมายืนตรงนี้เพื่ออะไร เราต้องเพิ่มการเรียนรู้พัฒนาทรัพยากรให้เข้มแข็ง เพราะกรุงโรมไม่ได้สร้างภายในวันเดียว ประชาธิปไตยเราสร้างมาหลายปีไม่สำเร็จ ต้องใช้ไม้ค้ำพยุงตลอดเวลา
"ผมพูดแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องมาสู้รบ ถามว่า ทหารน่ารังเกียจตรงไหน เขาพยายามสลายทหารให้ได้ ดังนั้นขอให้ไปบอกใครก็ไม่รู้ว่า เราไม่ได้หวงสถาบัน แต่เราต้องเป็นแกนให้รัฐและประชาชนช่วยกัน รัฐบาลนี้แม้ว่าผมจะใช้กฏหมายพิเศษ การพบปะนานาประเทศเขาก็ยินดี ต่างชาติเข้าใจหมด เว้นคนในประเทศไม่เข้าใจ ผมประกาศแล้วว่าทุกอย่างเป็นไปตามโรดแม็พ มีทหารได้อะไรมากกว่าที่คิด ทหารไม่มีค่าย ไม่มีแบ่งขั้ว กระแสปฏิวัติซ้อนผมไม่กลัว ใครพร้อมยกมือมาเลย อย่าไปเชื่อพวกยุแยงตะแคงรั่ว ไม่มีใครอยากได้ตำแหน่งอะไรทั้งนั้น ทุกคนที่เข้ามาเป็นคนดี อย่าดูถูกหัวใจทหารมากเกินไป ทุกคนช่วยเหลือกันทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง ดังนั้นอย่าดูถูกน้ำใจทหาร" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ทุกคนทำงานหนักเพราะปัญหาสะสมมาเป็นเวลานาน นี่คือสาเหตุที่ต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ฉะนั้นขอให้พวกเราทุกคนไปสร้างความเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะแตกต่างกับฉบับที่แล้ว เพราะมีเรื่องการปฏิรูปทุกอย่างภายในประเทศ ส่วนคนที่พยายามป้ายเรื่องทุกอย่างให้กับประเทศ ตนถามว่าเป็นคนไทยหรือไม่ ที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกัน ตนอยากจะพูดตรงนี้ยาวๆในหมู่พี่น้องทหารด้วยกัน เพราะอยากจะคุยกับใครสักคนที่เข้าใจเรา มันเป็นภาระความรับผิดชอบที่กดดันตนทุกวัน เราเลยต้องทำงานหนักเพื่อให้คนเข้าใจ และต้องวางรากฐานทุกอย่าง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมาระบบราชการเสียหาย ดังนั้นเราจึงต้องมีเรื่องการปฏิรูป การใช้จ่ายงบประมาณ การบูรณาการการทำงาน การสร้างคุณธรรม จริยธรรม ถือเป็นสิ่งสำคัญ การทำงานต้องให้เสร็จให้ได้ในปี 2560 ส่วนเรื่องใดที่เป็นเรื่องระยะยาวต้องนำไปใส่ในสภาปฏิรูปประเทศเพื่อดำเนินการต่อ ส่วนสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีหน้าที่ออกกฎหมายและคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญต้องมองที่เป็นเรื่องระยะยาว ต่อจากนี้เราจะมียุทธศาสตร์ประเทศ 20 ปี เพื่อให้มีอนาคตข้างหน้า ไม่ใช่สะเปะสะปะ ต้องมีความชัดเจนในแต่ละเรื่อง ขึ้นอยู่กับพวกเราที่จะกำหนดประเทศ ไม่ใช่เฉพาะใครคนใดคนหนึ่งหรือนักการเมือง สร้างกรุงโรมที่ว่ายาก แต่สร้างประเทศไทยให้แข็งแรงยากกว่า
“เพราะยังมีคนทำร้ายกันเองอยู่ ที่ผ่านมามี ดร.คนหนึ่ง อ้างว่ารู้จักผมและรองนายกฯ เพื่อต้องการเอาโครงการต่างๆ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเป็นใคร ปัญหาคนของเราคือไม่ซื่อสัตย์ไม่รักษาสิทธิประโยชน์ของตัวเอง โกงไปหมด วันหน้าคงอยู่ไม่ได้ในประเทศไทย เราต้องสร้างความเป็นปึกแผ่นให้ได้ ประเทศชาติสำคัญที่สุด ไม่ชอบผมไม่ชอบรัฐบาลก็ได้ แต่ต้องชอบประเทศไทย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

'สุขุมพันธุ์' เซ็นคำสั่งตั้ง 'อำนวย-บรรจง' นั่งที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม.แล้ว


'สุขุมพันธุ์' เซ็นคำสั่งตั้ง 'อำนวย-บรรจง' นั่งที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม.แล้ว
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 27 ม.ค. 2559 15:43
"สุขุมพันธุ์" เซ็นคำสั่งแต่งตั้ง "อำนวย-บรรจง" เป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการ กทม. แทน พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ที่ตัดสินใจ ยื่นใบลาออกแล้ว มีผลตั้งแต่ 1 ก.พ. 2559
วันที่ 27 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เซ็นคำสั่ง แต่งตั้งให้ 1. นายบรรจง สุขดี 2. พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน เป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม.ได้ตัดสินใจยื่นใบลาออก โดยให้เหตุผลว่า มีกิจกรรมงานในครอบครัวต้องรับผิดชอบ จึงไม่สามารภทำงานให้ กทม.ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
คำสั่งกรุงเทพมหานคร ที่ 283 /2559
เรื่อง แต่งตั้งที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
เพื่อให้การบริหารราชการกรุงเทพมหานครเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 49 (3) และมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 จึงแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจำนวน 2 ราย ดังนี้
1.นายบรรจง สุขดี
2.พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน
ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
สั่ง ณ วันที่ 26 มกราคม 2559
(ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

"ใครอยากปฏิวัติผม....มาเลย" นายกฯ ถาม

"ใครอยากปฏิวัติผม....มาเลย" นายกฯ ถาม
ที่ รร.เตรียมทหาร พลเอกประยุทธ์ นายกฯ ซึ่งเป็น ตท.12 พร้อม พลเอกประวิตร ตท.6 พลเอกอนุพงษ์ ตท.10 พลเอกอุดมเดช ตท.14 พลเอกไพบูลย์ ตท.15ปลัดกห.ผบสส.ผบ.เหล่าทัพ ผบตร.ร่วมงานเกียรติยศจักรดาว 58ปี รร.เตรียมทหาร ขาด บิ๊กหมู พลเอกธีรชัย ผบทบ.ไปจีน แม้จะได้รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว แต่ไม่ได้มารับรางวัล
นายกฯ เปิดใจกับเตรียมทหารรุ่นพี่ น้อง บอก พวกเราเป็น สายเลือดเตรียมทหาร สายเลือดเดียวกัน 35นาที หลัง ขมวิดีทัศน์ 3 ทหาร ที่เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ และมอบรางวัล จักรดาวสดุดี
โดยกล่าวว่า พวกเราเตรียมทหาร มี 2 ทางคือ ตาย และ ที่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ทำหน้าที่และเกษียณราชการไป
ถามรู้หรือยัง "ทหารมีไว้ ทำไม" ไว้ตายเพื้อปกป้องชาติ รักษาแผ่นดิน ให้คนที่ถามคำถามนึ้ นั่นแหล่ะ เรารักษาแผ่นดิน เพื่อคน70 ล้านคน อย่ารังเกียจทหาร และอย่าดูถูกน้ำใจทหาร ยันทหารพร้อมเสียสละ เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่ได้ต้องการเข้ามามีอำนาจ เราต้องรัก สามัคคีกัน อย่าแตกแยก
ถามใครอยากปฏิวัติผม ยกมือขึ้นสิ ใครพร้อมมาเลย

'มือปราบหูดำ' ไขก๊อกรายแรก ชิ่งหนี 'ชายหมู' ทิ้งตำแหน่งที่ปรึกษาฯ

'มือปราบหูดำ' ไขก๊อกรายแรก ชิ่งหนี 'ชายหมู' ทิ้งตำแหน่งที่ปรึกษาฯ
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 27 ม.ค. 2559 12:20
2,939 ครั้ง

"วิชัย" ยื่นหนังสือลาออกที่ปรึกษา กทม. หลัง ปชป.ออกแถลงการณ์ตัดขาดบริหารงานกรุงเทพฯ คาดยังมีต่อคิวทยอยลาออกอีก อยู่ในขั้นตัดสินใจ ด้าน ขรก.ผวา ไม่กล้าเซ็นรับงานหลอดไฟแอลอีดี 39.5 ล้าน หวั่นโดนหางเลขปล่อยข้อมูลโกง เหตุทนพฤติกรรมทุจริตคนใกล้ชิด "ชายหมู" ไม่ไหว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ม.ค.59 หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับปัญหาการบริหารงาน กทม. ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งถูกอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ตรวจสอบว่า มีปัญหาทั้งด้านประสิทธิภาพและความโปร่งใส แต่ไม่สามารถประสานงานเพื่อหารือกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้นานกว่าสามเดือน ทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขปรับปรุง จนนำไปสู่ความเห็นของกรรมการบริหารพรรค ที่ออกมาประกาศให้การทำงานของผู้ว่าฯ กทม. เป็นเอกเทศจากพรรค โดยพรรคไม่สามารถใช้ระบบและกลไกของพรรคสนับสนุนการบริหารของ กทม.ต่อไปได้อีกนั้น ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวจาก พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ที่ปรึกษาของผู้ว่าฯ กทม. ทำหนังสือขอลาออกจากตำแหน่ง ลงวันที่ 24 ม.ค. 59 โดยให้เหตุผลดังนี้

หนังสือขอลาออกจากตำแหน่ง
"ตามที่ผู้ว่าฯ กทม.ได้แต่งตั้งผมเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการ กทม. ตามคำสั่งกรุงเทพมหานคร ที่ 1376 /2556 ลงวันที่ 3 เมษายน 2556 เรื่องแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาของผู้ว่าฯ กทม.นั้น เนื่องจากผมต้องดำเนินธุรกิจของครอบครัว ประกอบกับได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการและที่ปรึกษาให้กับบริษัทเอกชนและรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติงานนโยบายสำคัญที่ท่านมอบหมาย ในฐานะที่ปรึกษาของผู้ว่าฯ กทม.ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งอาจส่งผลเสียหายต่อราชการและผู้ว่าฯ กทม. ดังนั้นผมจึงขอลาออกจากตำแหน่งดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2559 เป็นต้นไป ทั้งนี้หากในโอกาสต่อไปมีสิ่งใดที่ผมจะสามารถเป็นประโยชน์ต่อราชการหรือท่านได้ ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะดำเนินการอย่างเต็มกำลังความสามารถ ลงชื่อ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ"
รายงานข่าวแจ้งว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้รับหนังสือลาออกดังกล่าวแล้วและพยายามยับยั้ง โดยมีการประสานงานให้ พล.ต.ต.วิชัย ไปพบ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แต่ได้รับการปฏิเสธ ทำให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ตัดสินใจที่จะให้หนังสือลาออกมีผลทันที แทนที่จะเป็นวันที่ 1 มีนาคม โดยคนใกล้ชิดผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า จะมีการแต่งตั้งที่ปรึกษาคนใหม่มาแทน และไม่คิดว่ากรณีนี้จะกระทบต่อการบริหารและความน่าเชื่อถือของผู้ว่าราชการ กทม.แต่อย่างใด
สำหรับ พล.ต.ต.วิชัย นับเป็นรายแรกที่ลาออกจากตำแหน่งฝ่ายบริหารใน กทม. หลังจากพรรคตัดขาดความสัมพันธ์กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เนื่องจากไม่เคารพระบบพรรค ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสที่เกิดขึ้น โดยคาดว่าจะมีคนของพรรคที่ไปร่วมบริหารงานที่ กทม.ลาออกเพิ่มเติมอีก ยกเว้น นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา ผู้ว่าฯ กทม. เนื่องจากเจ้าตัวให้เหตุผลว่าไม่ได้ไปทำงานในนามพรรค แต่ได้รับการแต่งตั้งโดยส่วนตัวจาก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ทั้งนี้ยังมีบุคลากรของพรรคที่ไปเป็นฝ่ายบริหารอีกสองคนคือ นางผุสดี ตามไท และ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการตัดสินใจว่าจะลาออกจากตำแหน่งหรือไม่
ที่ผ่านมา พล.ต.ต.วิชัย มีผลงานเกี่ยวกับการจัดระเบียบหาบเร่แผงลอย เพื่อคืนพื้นที่ให้กับคน กทม. ตามนโยบายคืนความสุขของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. โดยได้ดำเนินการไปแล้วหลายที่ อาทิ ถนนริมคลองหลอดใกล้สนามหลวง, ปากคลองตลาด, ตลาดโบ้เบ้, อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นต้น
ส่วนกรณีที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตรวจสอบความไม่โปร่งใสในหลายโครงการ และตั้งงบประมาณไม่ถูกต้องตามระเบียบ/ไม่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ สภา กทม.เป็นหน่วยงานนิติบัญญัติ มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอพิจารณาตราข้อบัญญัติ ให้ความเห็นชอบร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และควบคุมตรวจสอบการทำงานของฝ่ายผู้บริหาร กทม. แต่ปรากฏว่าการใช้งบประมาณของสภา ซึ่งงานส่วนใหญ่ควรเป็นงบที่เกี่ยวกับงานการประชุม งานสารบรรณธุรการ และคณะกรรมการวิสามัญชุดต่างๆ แต่กลับพบว่า 71 เปอร์เซ็นต์ หรือจำนวนเงินถึง 228.19 ล้านบาท ของงบ 312.34 ล้านบาท หมวดค่าใช้จ่ายอื่น กลายเป็นเงินที่ใช้จ่ายไปกับการฝึกอบรม การสัมมนาดูงานในต่างประเทศ ซึ่งสตง.ระบุว่า เป็นการตั้งงบประมาณที่ไม่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ ไม่เกิดประโยชน์ต่อ กทม.รวมถึงอีก 17 โครงการดูงานต่างประเทศ งบ 106.15 ล้านบาท ที่ไม่มีเหตุผลจำเป็น/ไม่เหมาะสม/ไม่เกิดประโยชน์ในปี 2554 ซึ่งได้มีการจัดโครงการไปดูงานต่างประเทศรวม 15 โครงการ ใช้เงินไป 50.67 ล้านบาท และกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับโครงการกรุงเทพแสงสีแห่งความสุข ที่มีการติดตั้งหลอดไฟแอลอีดี 5 ล้านดวง ใช้งบประมาณ 39.5 ล้านบาท
รายงานข่าวจาก กทม.แจ้งว่า ขณะนี้ข้าราชการเริ่มมีความหวาดวิตกว่า จะเกิดปัญหาจนส่งผลกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่ โดยเฉพาะกรณีติดตั้งหลอดไฟ 39.5 ล้านบาท ทำให้มีกรรมการตรวจรับงานอย่างน้อยสองคน ไม่ยอมเซ็นรับงาน นอกจากนี้ ยังมีการให้ข้อมูลการทุจริตออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทีวีมหานคร ที่มีความเกี่ยวโยงกับคนใกล้ชิดกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ รวมไปถึงการให้สัมปทานป้ายโฆษณา ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าที่อยู่ในการดูแลของ กทม. ให้กับบริษัทของบุตรรองผู้ว่าฯ กทม. คนหนึ่งด้วย

ทหารมีไว้ทำไม โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

ตั้งคำถามว่า “ทหารมีไว้ทำไม” ก่อให้เกิดความเสียหายแน่ แต่ไม่ใช่กับคนที่แต่งเครื่องแบบจำนวนน้อยที่เป็นนายทหาร พวกนี้เสียหายเหมือนกัน แต่เป็นความเสียหายระดับกระจอก แม้แต่เมื่อรวมเงินกินนอกกินในที่ได้จากการซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์แล้ว ก็ยังถือว่ากระจอก
เงินจำนวนมหาศาลจากวิสาหกิจกองทัพไม่ได้ใช้จ่ายไปกับเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง เหรียญตรา ฯลฯ ของทหารหรอกครับ แต่จ่ายไปกับอาวุธยุทธภัณฑ์และยุทธบริการที่ขายให้แก่กองทัพโดยบริษัทต่างๆ นี่เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งของการผลิตในโลกปัจจุบัน มีการจ้างงานคนจำนวนมาก ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำกำไรต่อปีมากกว่างบประมาณประจำปีของหลายประเทศในโลกนี้ แบ่งปันกันไปในหมู่ผู้ถือหุ้น ทั้งรายใหญ่และเล็ก รวมทั้งรัฐบาลของประเทศผู้ผลิตอาวุธด้วย
หากไม่สามารถตอบให้เป็นที่น่าพอใจได้ว่า “ทหารมีไว้ทำไม” จนทำให้โลกนี้ไม่มีทหารเหลืออยู่อีกเลย ส่วนนี้ของระบบการผลิตในโลกปัจจุบันจะต้องยุติลง คงใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าเศรษฐกิจใหญ่ๆ ทั้งหลายจะสามารถปรับตัว เอาทุนและแรงงานฝีมือไปใช้ในการผลิตสิ่งอื่นซึ่งมีการแข่งขันสูงกว่าได้ ฉะนั้น บางส่วนคงเจ๊ง และบางส่วนก็อาจหากำไรในการประกอบการอย่างอื่นได้ แต่จะให้ได้กำไรเหมือนการผลิตอาวุธและยุทธบริการไม่ได้หรอก
เสียหายแน่ แต่เสียด้านหนึ่งก็จะมีผลดีต่ออีกด้านหนึ่ง
ย้อนกลับไปเพียงแค่สมัยอยุธยาตอนปลาย ไปถามว่าทหารมีไว้ทำไม ชนชั้นปกครองก็จะตอบว่า เพื่อจัดหมวดหมู่กำลังแรงงานไพร่ เอาไว้ใช้ในราชการบ้าง ในกิจการส่วนตัวของเจ้าขุนมูลนายบ้าง แต่จะไม่มีใครตอบว่าเพื่อเป็นยามไว้ป้องกันขโมยเป็นอันขาด เพราะไพร่ที่ถูกจัดในหมวดทหาร มิได้มีหน้าที่พิเศษในด้านการรบ เมื่อเกิดศึกสงครามขึ้น ไพร่ที่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่พลเรือนก็ถูกเกณฑ์ไปรบไม่ต่างจากไพร่ในหมวดหมู่ทหาร
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สังคมไทยไม่เคยมีชนชั้น หรือกลุ่มประชากร ที่มีอาชีพในการรบเหมือนสังคมยุโรปหรือญี่ปุ่น อันที่จริงพูดว่าอัศวินในสมัยกลางของยุโรป หรือซามูไร เป็นอาชีพ ก็ชวนให้ไขว้เขวได้ อย่างน้อยคนเหล่านี้ไม่เคยคิดว่าตัวต้องทำอะไรเพื่อแลกกับอาหารและเครื่องอุปโภค คนที่ต้องทำอย่างนั้นคือชาวนาซึ่งไม่มีศักดิ์ศรีเหมือนอัศวินหรือซามูไร พวกเขาสั่งสมความสามารถในการรบไว้กับตัวเพื่อรับใช้นายของเขาด้วยความภักดี และความสามารถในการรบเป็นเกียรติยศในตัวของมันเอง ไม่ใช่ไว้ทำมาหากิน
คนเหล่านี้สังกัดใน “ชนชั้น” ของนักรบ เรียกว่าชนชั้นก็เพราะสืบทอดสถานะนั้นผ่านลงมายังลูกหลานได้ และสังคมไทยกับอีกหลายสังคมในโลกนี้ ก็ไม่เคยมี “ชนชั้น” อย่างนี้ในสังคม จริงๆ คำว่า “ทหาร” ในกฎหมายตราสามดวงแปลว่าอะไรก็ไม่รู้แน่หรอกครับ ถ้ามันเคยมีความหมายอะไรเกี่ยวกับเรื่องรบราฆ่าฟันมาก่อน ความหมายนั้นก็เลือนไปในกฎหมายตราสามดวงแล้ว
หากจะนับนักรบเป็นชนชั้นในสังคมโบราณ ยังมีชนชั้นนักรบในสังคมที่ไม่ใช่ยุโรปและญี่ปุ่นอีก เช่นบางสังคมมีกองทัพทาส คือเอาทาสมาฝึกรบ จนกลายเป็นกองกำลังประจำการของพระราชาหรือของเจ้าครองแคว้น ลูกหลานของทาสเหล่านี้ก็ยังดำรงสถานะนักรบประจำการของนายสืบมา จึงถือว่าเป็นชนชั้นเหมือนกัน
ในอีกหลายสังคม โดยเฉพาะชนเผ่าเร่ร่อน การรบหรือการต่อสู้สัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกจากการล่าสัตว์, การรักษาทุ่งหญ้าที่ใช้เลี้ยงสัตว์, หรือบางทีก็รวมการหาคู่ด้วย ดังนั้น วิถีที่เด็กผู้ชายเติบโตขึ้นมาก็คือถูกฝึกปรือให้มีความชำนาญด้านการต่อสู้ เช่น ขี่ม้าได้ตั้งแต่ยังเดินไม่คล่อง ผู้ชายของเผ่าทุกคนจึงรบเป็น แต่จะเรียกว่าพวกเขาเป็น “ทหาร” ทั้งหมดก็คงไม่ได้ เพราะเขาคือนักเลี้ยงสัตว์ที่รบเป็นเท่านั้น
ผมไล่เรียงนักรบในสังคมต่างๆ มาเพื่อจะบอกว่า “ทหาร” ตามที่เราเข้าใจปัจจุบันเป็นสิ่งใหม่มาก เป็น “อาชีพ” ที่เกิดขึ้นในเงื่อนไขของโลกสมัยใหม่ นั่นคือเมื่อรัฐไม่ได้เป็นสมบัติส่วนตัวของพระราชาแล้ว แต่เป็นสมบัติร่วมกันของพลเมืองทุกคน หน้าที่ป้องกันบ้านเมืองจึงกลายเป็นของทุกคน
ในยุโรป ความคิดแบบนี้เกิดแก่ชาวฝรั่งเศสขึ้นก่อนหลังปฏิวัติฝรั่งเศส และด้วยเหตุดังนั้นกองทัพฝรั่งเศส จึงสามารถป้องกันประเทศจากการรุมยำของมหาอำนาจยุโรปสมัยนั้น (ออสเตรีย, ปรัสเซีย, อังกฤษ) ได้สำเร็จ เพราะมหาอำนาจเหล่านั้นล้วนยังใช้กองทัพนักรบและไพร่พลสังกัดมูลนายมารบกับกองทัพฝรั่งเศส ซึ่งกลายเป็นกองทัพของอาสาสมัครพลเมือง ซึ่งไม่คิดจะรบให้ใครนอกจากให้แก่ “ชาติ” ซึ่งมีตนเองเป็นส่วนหนึ่งในชาติ ปลดปล่อยฝรั่งเศสจากศัตรู คือปลดปล่อยตนเองจากพันธนาการของระบบศักดินา
ความเป็นชาติทำให้เกิดกองทัพประจำการขึ้นอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากกองทัพประจำการที่เคยมีมาก่อนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกองทัพซึ่งมีไว้รักษาพระองค์, หรือราชวงศ์, หรือตระกูลเจ้าเมือง, หรือเจ้าครองแคว้น และไม่เหมือนกองทัพรับจ้างซึ่งนายทุนใหญ่ๆ มักสร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในการหากำไรทางการค้าของตนเอง เช่นกองทัพของบริษัทอินเดียตะวันออกทั้งของวิลันดาและอังกฤษ มีคนหลายชนชาติรับจ้างรบให้กับบริษัทของทั้งวิลันดาและอังกฤษ
กองทัพแห่งชาติเป็นกองกำลังประจำการ คือไม่ได้มีอยู่ตอนจะรบกับใคร แต่มีประจำการอยู่ตลอดเวลา อย่างน้อยก็ต้องรักษาแกนกลางของกองทัพเอาไว้ คือกลุ่มนายทหารซึ่งร่ำเรียนมาในการทำสงครามและทำการรบ ส่วนพลทหารก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากการอาสาสมัครไปสู่การเรียกเกณฑ์ ด้วยอำนาจของรัฐชาติ ทำให้เรียกเกณฑ์ได้จำนวนมาก เพราะรัฐชาติรวบรวมภาษีไว้ได้มากกว่าที่เจ้านายสมัยก่อนจะสามารถเรียกได้ จึงมีกำลังทางเศรษฐกิจที่จะเลี้ยงดูกองทัพที่มีกำลังพลจำนวนมาก พร้อมทั้งฝึกปรือทักษะขั้นพื้นฐานในการรบให้แก่ทหารเกณฑ์ได้หมด
ในหลายรัฐทั่วโลก ส่วนใหญ่แล้วไม่เคยมีกองทัพประจำการมาก่อน นอกจากกองกำลังเล็กๆ ที่มีไว้รักษาความปลอดภัยให้เจ้านาย เช่นเมืองไทยนั้นไม่เคยมีทั้งกองทัพประจำการจนถึง ร.5 และเช่นเดียวกับเมืองไทย เมื่อรัฐต่างๆ เริ่มเปลี่ยนหรือถูกบังคับให้เปลี่ยนมาเป็นรัฐชาติ (รัฐชาติจริงหรือจำแลงก็ตาม) ก็เกิดกองทัพประจำการของชาติขึ้นทั่วไป
ที่เรียกว่า “ทหาร” ในความหมายปัจจุบัน คือคนที่ทำงานอยู่ในกองทัพประจำการ เป็นอาชีพใหม่มากจนกระทั่งจะถามว่า “ทหารมีไว้ทำไม” จึงเป็นปรกติธรรมดามากๆ
ที่สงครามในโลกสมัยใหม่มักรุนแรงและเกิดความเสียหายมาก ไม่ได้มาจากอาวุธยุทธภัณฑ์ซึ่งมีกำลังทำลายล้างสูงเพียงอย่างเดียว แต่เพราะกองทัพแห่งชาติที่เข้าสัประยุทธ์กันนั้น เป็นกองทัพขนาดใหญ่กว่าที่พระราชาหรือบริษัทค้าขายจะสามารถระดมมาได้ด้วย
เมื่อรัฐชาติมีกองทัพประจำการขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของความเป็นรัฐชาติ เพราะกองทัพเป็นเครื่องมือให้รัฐผูกขาดความรุนแรงได้เด็ดขาดที่สุด แต่ปัญหาที่ตามมาทันทีก็คือ แล้วกองทัพประจำการนั้นอยู่ในความบังคับบัญชาของใครกันเล่า โดยทฤษฎีแล้วกองทัพต้องอยู่ภายใต้การบังคับควบคุมของผู้บริหารรัฐ เพราะกองทัพเป็นกลไกรัฐอย่างหนึ่ง
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ในรัฐชาติซึ่งเกิดขึ้นโดยยังไม่มีอำนาจอื่นพัฒนาขึ้นมาให้สูงเด่นเป็นที่ยอมรับทั่วไป เช่น รัฐสภา, พรรคการเมืองผูกขาด (เช่น พรรคคอมมิวนิสต์ พรรคอุมโน หรือพรรคกิจประชา), หรือองค์กรศาสนา ฯลฯ กองทัพมักเป็นอิสระเหมือนเป็นรัฐซ้อนรัฐ (และมักจะซ้อนข้างบน) แสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ, เกียรติยศ, อำนาจทางการเมือง ฯลฯ ให้แก่องค์กรของตนเอง หรือผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นนายทหารระดับสูง วิธีจะทำอย่างนั้นมักใช้อำนาจดิบที่มีในมือข่มขู่ให้อำนาจอื่นๆ ต้องยอมตามคำเรียกร้อง หรือมิฉะนั้นก็ร่วมมือกับบุคคลบางคนที่พอมีฐานคะแนนนิยมในสังคมอยู่บ้าง แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน เช่น อดีตประธานาธิบดีมาร์กอสแห่งฟิลิปปินส์ หรือซูฮาร์โตแห่งอินโดนีเซีย กองทัพได้ค่าต๋งจากงบประมาณและการเรียกเก็บนอกกฎหมาย รวมทั้งตำแหน่งฝ่ายพลเรือนทั้งในรัฐวิสาหกิจและผู้ว่าราชการจังหวัด ในขณะที่ผู้มีฐานคะแนนนิยมอยู่ในสังคมได้อำนาจเด็ดขาดทางการเมือง จะใช้อำนาจนี้ไปทำอะไรต่อก็แล้วแต่บุคคล
ในแง่นี้ กองทัพในหลายรัฐชาติ จึงขัดขวางพัฒนาการสองอย่างของรัฐชาติ หนึ่งคือขัดขวางพัฒนาการของประชาธิปไตย และสองคือขัดขวางแม้แต่พัฒนาการของความเป็นชาติในรัฐนั้น เพราะบทบาทของกองทัพทำให้พลเมืองทั่วไปมองไม่เห็นว่าชาติเป็นสมบัติร่วมกันของทุกคนโดยเสมอภาค ตราบเท่าที่แม้แต่สำนึกพื้นฐานของชาติเพียงเท่านี้ยังไม่เกิดแก่พลเมืองทั่วไป ตราบนั้นก็ไม่มีทางจะเกิด “ชาติ” ที่แท้จริงขึ้นได้ ไม่ว่ากองทัพจะเน้นย้ำความรักชาติสักเพียงใดก็ตาม
ปัญหาที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งคือ การรักษาอธิปไตยของรัฐชาติ อันที่จริงเป็นหน้าที่ซึ่งทำกันหลายฝ่าย แต่หากโชคร้ายที่ถึงที่สุดแล้วต้องมาลงเอยที่สงคราม กองทัพจะมีหน้าที่สำคัญสุด แต่สงครามเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงแก่ทุกฝ่าย แม้แต่ฝ่ายที่ชนะ จึงมีความพยายามจะสร้างกลไกไว้นานาชนิด เพื่อทำให้ความขัดแย้งระหว่างรัฐไม่พัฒนาไปจนถึงจุดที่ต้องทำสงครามระหว่างกัน แต่จะพูดว่ากลไกระหว่างประเทศเหล่านี้ไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ เช่น สนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (Westphalia) ซึ่งกำหนดให้รัฐไม่ว่าใหญ่หรือเล็กในยุโรปตะวันตกมีอธิปไตยเท่าเทียมกันหมด ตามมาด้วยการสร้างดุลอำนาจระหว่างรัฐใหญ่ต่างๆ เพื่อทำให้สงครามเกิดขึ้นได้ยาก แต่แล้วยุโรปตะวันตกก็เกิดสงครามขึ้นจนได้ ซ้ำเป็นสงครามร้ายแรงด้วย เพราะยกเอาพันธมิตรในดุลอำนาจฝ่ายตนเข้าราวีห้ำหั่นกัน
ทั้งนี้ ยังไม่พูดถึงสงครามแย่งผลประโยชน์กันนอกยุโรปตะวันตก เช่นในแอฟริกาและเอเชีย ซึ่งไม่ถูกถือตามสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลียว่าทุกรัฐมีอธิปไตยเท่ากัน
มองด้านล้มเหลวก็ล้มเหลว แต่มองด้านสำเร็จก็สำเร็จมากเหมือนกัน จากสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลียมาถึงปัจจุบัน กลไกระหว่างประเทศดังกล่าวถูกพัฒนาไปอย่างมาก นอกจากองค์กรโลกเช่นสหประชาชาติแล้ว ยังมีการรวมกลุ่มในภูมิภาคต่างๆ เช่น สหภาพยุโรป, อาเซียน และกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอเมริกาเหนือและกลาง โอกาสที่จะเกิดสงครามภายในกลุ่มเหล่านี้เหลือน้อยลงมาก ถึงยังมีสงครามกับประเทศนอกกลุ่ม แต่ก็อยู่ในวงจำกัดไม่ลามไปเป็นสงครามขนาดใหญ่
โลกภายใต้กลไกระหว่างประเทศเพื่อป้องกันและระงับสงครามดังที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ทำให้คำถามว่า “ทหารมีไว้ทำไม” เป็นคำถามที่มีเหตุผล และควรต้องถามกันอย่างวิเคราะห์เจาะลึกทีเดียว อาจเป็นได้ว่ากองทัพประจำชาติคือกระดุมที่ติดอยู่ปลายแขนเสื้อนอก ซึ่งไม่ได้มีไว้กลัดกับอะไร แต่ต้องมีไว้เพราะเป็นธรรมเนียมที่เหลือตกค้างมาแต่อดีต
แม้แต่จะธำรงรักษากองทัพแห่งชาติไว้ ก็ต้องปรับเปลี่ยนการจัดองค์กร, ขนาด, เครื่องไม้เครื่องมือ, สายการบังคับบัญชา ฯลฯ กันใหม่หมด จึงจะเหมาะกับโลกปัจจุบันซึ่งมีกลไกระหว่างประเทศเพื่อป้องกันและป้องปรามการสงครามที่สลับซับซ้อนเช่นนี้
คําถาม “ทหารมีไว้ทำไม” เป็นคำถามสำคัญแห่งยุคสมัยอย่างที่แทบจะหาคำถามอื่นเทียบไม่ได้ และเราต้องไม่ลืมว่า กองทัพแห่งชาติบวกกับธุรกิจค้าอาวุธและยุทธบริการแก่ทหาร ทำให้กองทัพไม่ว่าของชาติใดทั้งสิ้นเป็นองค์กรรัฐที่สิ้นเปลืองอย่างมาก จนบางครั้งแทบทำให้รัฐพิการลงไปเพราะหมดสมรรถนะที่จะดูแลพลเมืองของตนเอง
ไม่มีกองทัพ เราจะสามารถทำให้ทุกคนเข้านอนได้ด้วยท้องที่อิ่ม ไม่มีกองทัพ จะมีเงินเหลือมาปรับปรุงระบบสุขภาพถ้วนหน้าได้มากกว่านี้อีก และในทุกประเทศทั่วโลก ไม่มีกองทัพ เด็กและผู้ใหญ่ทุกคนที่อยากเรียนรู้ จะได้เรียนรู้ ไม่มีกองทัพ โลกทั้งโลกจะสามารถบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกได้ก่อนเวลาที่ตกลงกันเป็นหลายสิบปี ไม่มีกองทัพ เราจะสามารถขจัดโรคติดต่อร้ายแรงให้หมดไปจากโลกโดยสิ้นเชิงได้ ไม่มีกองทัพ ทั้งโลกจะยิ่งพัฒนากลไกระหว่างประเทศเพื่อระงับสงครามให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่มีกองทัพ… จะมีโลกใหม่ที่ชีวิตผู้คนอาจดำเนินไปอย่างสงบสุขและสร้างสรรค์กว่าที่เราเผชิญมา
เรามาช่วยกันตั้งคำถามว่า “ทหารมีไว้ทำไม” ให้ติดปากทุกคน และช่วยกันหาคำตอบต่อคำถามนี้อย่างเอาจริงเอาจัง โดยไม่ยอมให้ใครสถาปนาแนวคำตอบของตนขึ้นครอบงำคนอื่น
ประกอบบทความนิธิ เอียวศรีวงศ์ (มติชนสุดสัปดาห์ 1-7 มกราคม 2559)

ประกอบบทความนิธิ เอียวศรีวงศ์ (มติชนสุดสัปดาห์ 1-7 มกราคม 2559)
ประกอบบทความนิธิ เอียวศรีวงศ์ (มติชนสุดสัปดาห์ 1-7 มกราคม 2559)