PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

"บิ๊กตู่"ตัดไม้ข่มนามกลางวงถกคู่ขัดแย้ง


ลึก-สด
หลังจาก กอ.รส.เชิญตัวแทนจาก 2 องค์กร (วุฒิสภา / กกต.) 2 พรรคการเมืองหลัก (พท. / ปชต.) และ 2 กลุ่มมวลชน (กปปส./ นปช.) และ ครม.เห็บเหา มาน่ังคุยพร้อมๆกันได้เป็นครั้งแรก จนกลายเป็นโอกาสทองให้แต่ละคนที่มาประชุมทำตัวอินเทรนด์ ถ่ายภาพ Selfie ตัวเอง กับ คู่กรณี ไปลง IG FB กันอุตลุด
บิ๊กตู่ มาพร้อม ผบ.เหล่าทัพ มานั่งหัวโต๊ะ พร้อมกับเปิดฉากแบบ แทบจะไม่ให้ใครต่อใครตั้งหลัก แถมยังสะกด ตุ๊ดตู่คากคก ธิดาแดงนกแสก และสหาย จนกลายเป็น แมงหงอย ไปตามๆกันตลอดการประชุม
"ไหน ไหน ใครว่าผมผิด (ประกาศใช้ พรบ.กฎอัยการศึก) ใครว่าผมผิด บอกมา แต่บอกก่อนเลยนะ ถ้าคิดว่าผมผิด เดี๋ยวยังมีผิดอีกเยอะ"
บิ๊กตู่ ออกตัว ตัดไม้ข่มนาม ตั้งแต่ช็อตแรก
หลังจากนั้นก็ร่ายยาว ถึงสาเหตุที่ต้องโดดลงมาเพื่อแก้ปัญหา ตามสคริปต์เดิม ที่ต้องการเห็นความสงบ ไม่อยากให้ฆ่ากันตาย
"ตอนนี้ พวกผมต้องไล่จับอาวุธสงครามกันทุกวัน วันนี้ก็มีอีก คอยดูซิ มันเยอะมาก" (น่าคิดว่า ก่อนหน้านี้ทำไม ตำรวร และ DSI ของ ทาริด จับหมาไม่ได้สักตัว)
ถึงตรงนี้ คางคก และนกแสก และสหาย คอตก ตาลอย มองพื้น มองเพดาน ไม่กล้าสบตา
"ที่นั่งๆกันอยู่เนี่ย บอกซิว่าใครไม่อยากให้ชาติสงบ ในเมื่อทุกฝ่ายอยากให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยก็ต้องมาช่วยกันหาทางออก ผมอยากฝากให้ไปช่วยกันคิดหาทางออกว่าจะคืนความสุขให้ประชาชนโดยเร็วได้อย่างไร"
สำทับด้วยการ ขู่แกมหยอกไปอีกดอก
"ผมหวังว่า คงจะเสร็จเรียบร้อย จบก่อนพวกผมเกษียณนะ เพราะถ้าไม่จบ ผมไม่เกษียณนะ"
หลังจากนั้น ก็มีรายการเปิดฟลอร์ให้แสดงความเห็นกัน
รัฐบาลเห็บเหา ยังคงยืนยันที่จะไม่ลาออก และขอให้ กกต.เดินหน้าเลือกตั้งโดยเร็ว โดยใช้เหตุผลเดิมๆ (กลังโดนฟ้องขัด ม.157 / ให้ปชช.ตัดสินโดยการเลือกตั้ง)
ในขณะที่ กกต.แสดงท่าทีว่า ถึงอย่างไรก็เลือกตั้งไม่ทัน 3 ส.ค.แล้ว และหากสถานการณ์ยังไม่สงบก็ไม่อยากจัดการเลือกตั้ง กลัวโมฆะแล้วถูกฟ้อง
ส่วนหัวหน้ามาร์ค สุดหล่อ ก็ยังคงยึดโยงกับข้อเสนอเดิมๆของตัวเอง โดยพยายามโชว์แมนว่า นักการเมืองควรถอยออกมาสักระยะ ซึ่งอาจจะดูเหมือนโน้มเอียงมาทาง กปปส.ของกำนัน ที่ยังคง ยืนกราน ต้องปฎิรูปก่อนการเลือกตั้ง และต้องไม่มีรัฐบาลเห็บเหา ที่เป็นนอมินี ของจอมมารจากแดนไกล ส่วน ตู่คางคก ก็ออกอาการถอยแบบไร้กระบวนท่า พาไปทะเลเสนอให้ลงประชามติว่าจะปฏิรูปก่อนหรือเลือกตั้งไปโน่น ถามว่า หากจะมีการตั้งนายกฯเฉพาะกิจ เฉพาะกาล ขึ้นมาโดยวุฒิสภา จะติดเงื่อนไขกฏหมายอะไรหรือไม่ ตรงนี้ยังไม่มีคำตอบ เพราะปีก สว.ก็ยังคงสงวนท่าที โดยระบุว่าขอมารับฟัง
(แต่ในใจคงชี้ไที่รัฐบาลเห็บเหา ที่ยังไม่ยอมลาออก ทางข้างหน้าจึงยังไม่โล่ง)
สรุปว่า แต่ละคนก็ยังคง ยืนอยู่ตรงจุดเดิม จนในช่วงท้าย บิ๊กตู่ ตาวาว ก็เลยฟันธงว่า ขอให้ทุกฝ่ายไปนั่งคิดว่า จะหาทางออกอย่างไร และจะมาขอคำตอบ พรุ่งนี่บ่าย 2 โมงครึ่ง
"พรุ่งนี้มันควรจะจบนะ ทั้ง กปปส. นปช.เขาจะได้ยุติการชุมนุม ปล่อยมวลชนกลับบ้านไปทำมาหากินเสียที ถ้าไม่จบผมอาจจะจัดการเอง ทหารออกมาแล้วต้องจบ ไม่จบผมไม่เกษียณ"

ไพศาล: ๗ ข้อสรุปที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้


ท่าน ผบทบ. หรือฝ่ายเสธ.ของทุกเหล่าทัพและพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ
วันนี้ทหารออกมาออกหน้าหาทางออกให้ประเทศ และเน้นถามรองประธานวุฒิสภาว่าต้องการตัวช่วยไหม ซึ่งโตกันแล้วก็คงเข้าใจว่าหมายถึงอะไร ก็ดูกันว่าจะรำวงไปถึงไหนในท่ามกลางความฉิบหายของบ้านเมือง
พรุ่งนี้ ผบทบ.ได้นัดหารืออีกครั้ง ก็คอยดูว่าเมื่อเสือจะเข้าป่า ปลาจะไปทะเล นกจะบินขึ้นฟ้า จรเข้จะลงน้ำ เหี้ยจะเข้าป่าพระ งู จะลงรู แล้วมันจะตกลงกันได้ไหมว่าจะไปทางไหน
มีทางเป็นไปได้ ๔ ทางดังนี้
๑ ตกลงกันได้ ๒๔ รักษาการ รมต ลาออก รองประธา่นวุฒิสภาเสนอนายกตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็ม
๒ ตกลงกันไม่ได้ ต่างคนต่างไปต่างทำ ทหารกลับเข้ากรมกอง
๓ ตกลงกันไม่ได้ ทหารใช้กฎอัยการศึกปราบปรามกบฎอั้งยี่โดยนำกองกำลังและอาวุธร้ายแรงออกมาแสดงต่อสาธารณะ และควบคุมตัว ๒๔ รักษาการ รมต ในข้อหากบฎฯด้วย จากนั้นรองประธานวุฒิเสนอตั้งนายก
๔ เปลี่ยนฐานการกฎอัยการศึกเป็นรัฎฐาธิปัตย์หรือปฏิวัติ
๕ ระบอบทักษินตัดสินใจเสี่ยงก่อความรุนแรงและทำการปฏิวัติตัวเอง
๖ กปปส ประกาศยึดอำนาจอธิปไตยกลับคืนและประชาชนข้าราชการเข้าร่วม โดยฝ่ายทหารยอมรับแล้วจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน
๗ ยื้อกันต่อไป กกต ก็จัดการเลือกตั้งแล้วเป็นโมฆะและฉิบหายกันทั้งชาติตา่อไป
ลองคิดกันดูและลองทายกันดูว่าหวยจะออกข้อไหน

ลูกค้าต้องปลอดภัย ปอท.จุก! "ไลน์" ยันไม่ส่งข้อมูลให้เด็ดขาด

ลูกค้าต้องปลอดภัย ปอท.จุก! "ไลน์" ยันไม่ส่งข้อมูลให้เด็ดขาด
ไลน์ลั่นไม่เคยได้รับการติดต่อจาก ปอท. และจะไม่ส่งข้อมูลส่วนตัวลูกค้าให้บุคคลที่ 3 เด็ดขาด หากต้องการข้อมูลลูกค้าไลน์ ต้องมีคำสั่งศาลไทย และประสานรัฐบาลญี่ปุ่นมาอย่างเป็นทางการจึงจะมอบให้ได้ แต่เป็นไปได้ยาก เพราะขั้นตอนซับซ้อน ยันข้อมูลส่วนตัวลูกค้าไลน์ปลอดภัยเต็มที่
นายโมริคาว่า อากิระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไลน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นไลน์ เปิดเผยว่า ได้รับทราบข่าวกรณีกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ของไทย จะติดต่อมายังไลน์ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อขอข้อมูลผู้ใช้งานชาวไทยที่มีความเสี่ยงกระทำความผิด หรือก่ออาชญากรรม แต่บริษัท ไลน์ คอร์ปอเรชั่น ขอแถลงอย่างเป็นทางการว่าจนถึงขณะนี้บริษัทไม่เคยได้รับการติดต่อใดๆ จากเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย
นายอากิระ กล่าวว่า ทั้งนี้ การรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานไลน์ เป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญสูงสุด โดยจะไม่เปิดเผยข้อมูลของลูกค้าต่อบุคคลที่ 3 อย่างแน่นอน ซึ่งมาตรการนี้เป็นข้อกำหนด และมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยตามปกติที่มีการปฏิบัติกันในการทำธุรกิจของประเทศญี่ปุ่น
“ไลน์จะไม่มอบข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าให้แก่บุคคลอื่นอย่างเด็ดขาด ยกเว้นคดีความที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ มีการประสานงานกันอย่างเป็นทางการมายังรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อขอคำสั่งศาลญี่ปุ่น มาให้ไลน์ส่งมอบข้อมูลให้”
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีมาตรการป้องกันการนำแอพพลิเคชั่นไลน์ไปใช้ในทางที่ผิด เช่น อาชญากรรม หรือยาเสพติดอย่างไร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไลน์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การใช้งานไลน์เป็นสิทธิ์ของผู้ใช้งานอย่างเต็มที่ บริษัทไม่มีนโยบายแทรกแซงการใช้งานของลูกค้าแต่อย่างใด
ด้านนายลี จินวู ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายธุรกิจไลน์ รับผิดชอบธุรกิจไลน์ทั้งหมดในอาเซียน กล่าวว่า แม้บริษัทพร้อมปฏิบัติตามกฎหมายของแต่ละประเทศ และกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ปัจจุบันไลน์ไม่มีเซิร์ฟเวอร์ ติดตั้งอยู่ในประเทศไทยแต่อย่างใด โดยเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดติดตั้งอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ดังนั้น การตรวจสอบจะต้องเป็นไปตามกฎหมายญี่ปุ่นเท่านั้น
นายจินวู กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ มองว่าการที่ตำรวจไทยต้องการข้อมูลผู้ใช้งานไลน์จากบริษัทไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะขั้นตอนซับซ้อนและต้องใช้เวลา โดยตำรวจไทยจะต้องขออนุมัติคำสั่งศาลให้ตรวจข้อมูลไลน์มาก่อน จากนั้นต้องมีการประสานงานอย่างเป็นทางการมายังรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อขอคำสั่งศาลญี่ปุ่น สั่งการให้ไลน์ส่งมอบข้อมูลต่อไป
“ยืนยันว่าข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้งานไลน์ทุกคนมีความปลอดภัย และที่ผ่านมาไม่เคยมีทางการหรือเจ้าหน้าที่รัฐประเทศใดๆ ติดต่อมาเพื่อขอข้อมูลลูกค้าไลน์ นอกจากนี้ เซิร์ฟเวอร์ของไลน์ทั้งหมดก็ไม่เคยมีรายงานการถูกเจาะระบบ หรือถูกแฮกเช่นกัน”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ส.ค. บริษัท ไลน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้จัดงานแถลงข่าวและกลยุทธ์ของไลน์ประจำปี ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยระบุว่า ในปัจจุบัน (เมื่อวันที่ 21 ส.ค.) มีจำนวนผู้ใช้ไลน์รวม 230 ล้านคนทั่วโลก โดยในทุก 1 ชั่วโมง มีผู้ลงทะเบียนใช้งานใหม่ 63,000 ราย ซึ่งประเทศที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดคือประเทศญี่ปุ่น จำนวน 47 ล้านคน รองลงมาไทย 18 ล้านคน ไต้หวัน 17 ล้านคน สเปน 15 ล้านคน และอินโดนีเซีย 14 ล้านคน และกำลังเติบโตมากในยุโรป แอฟริกา และละตินอเมริกา โดยตั้งเป้าหมายจะมียอดผู้ใช้งาน 300 ล้านคนในสิ้นปีนี้.
t#ไทยรัฐ


**18.30น. มติที่ประชุมแกนนำกปปส.**

**18.30น. มติที่ประชุมแกนนำกปปส.**
1) จะมีการประชุมเครือข่ายตัวแทนกปปส.ทั่วประเทศและในองค์กรต่างๆในวันพฤหัสที่ 22 พ.ค. เวลา 11.00น. บนถนนราชดำเนินกลางบริเวณใต้โดมหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนที่จะส่งตัวแทนแกนนำกปปส.เข้าร่วมประชุมกับกอ.รส.เป็นครั้งที่ 2 เวลา 14.00น.
2) ขอเชิญชวนมวลมหาประชาชนออกมาร่วมกันแสดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ตั้งแต่เวลา 17.00น. ถึง 21.00น. ในวันศุกร์ที่ 23 พ.ค. เสาร์ที่ 24 พ.ค. และ อาทิตย์ที่ 25 พ.ค. ตามที่ได้กำหนดไว้ แต่เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขในประกาศ กอ.รส. จึงขอเปลี่ยนสถานที่เป็นบนถนนราชดำเนินจุดเดียวเท่านั้น
(วันจันทร์ที่ 26 พ.ค. เวลา 19.00น. ขอนัดมวลมหาประชาชนบริเวณสนามหลวงเหมือนเดิม)
เอกนัฏ พร้อมพันธุ์
(โฆษก กปปส.)

เปิดการบ้าน5ข้อผบ.ทบ.ฝากทุกฝ่ายพิจารณา

เปิดการบ้าน5ข้อผบ.ทบ.ฝากทุกฝ่ายพิจารณา
ผบ.ทบ.ฝากการบ้าน 5 ประเด็นให้ผู้เข้าร่วมประชุม 7 ฝ่ายพิจารณาเพื่อหาทางออก คืนความสุขประชาชนโดยเร็ว
สำหรับการบ้านที่พล.อ.ประยุทธ์ฝากให้ผู้เข้าร่วมประชุมไปคิดหาคำตอบนั้น ฝ่ายเสนาธิการ ได้สรุปเนื้อหาจากการประชุมออกมาประมาณ 5 ประเด็น ดังนี้
1.ปฏิรูปก่อน เลือกตั้ง หรือเลือกตั้งก่อน แล้วจะเลือกกันวันไหน เลือกได้หรือไม่
2.การทำประชามติว่า จะเลือกตั้งก่อนหรือปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
3.การตั้ง นายกรัฐมนตรี คนกลาง โดยยึดกฎหมาย
4.การตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลโดยวุฒิสภา
5.ให้ กปปส.และ นปช.ยุติการชุมนุมปล่อยมวลชนกลับบ้าน แล้วมาพูดคุยหาทางออกกันในเมื่อทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าต้องการทำให้ชาติสงบ


“จรูญ อินทจาร” ลาออกประธานศาลรธน. ก่อนพ้นวาระ

“จรูญ อินทจาร” ลาออกประธานศาลรธน. ก่อนพ้นวาระ 70 ปี “นุรักษ์” นั่งปธ.ศาล รธน.คนใหม่แทน ด้วย มติ 6 เสียง “ชัช” ไม่ร่วมประชุม ขณะที่ “เฉลิมพล-อุดมศักดิ์” ขอไม่ใช้สิทธิ

เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่เอกสารข่าวหลังการประชุมคณะตุลาการฯว่าด้วยนายจรูญ อินทจาร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ลาออกจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญแต่ยังดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อไป ที่ประชุมคณะตุลาการในวันที่ 21 พ.ค. จึงได้มีมติเลือกให้นายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้มีหนังสือกราบเรียนประธานวุฒิสภา เพื่อนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายนุรักษ์เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญคนต่อไป

ทั้งนี้มีรายงานว่า นายจรูญ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา และจะอยู่ในตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจนครบวาระ เมื่อมีอายุครบ 70 ปี ซึ่งถือจะพ้นจากตำแหน่งตามวาระตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 209 ( 2) ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ ซึ่งการลาออกจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญก่อนครบวาระนั้น นายจรูญให้เหตุผลว่าเพื่อให้การปฏิบัติงานของคณะตุลาการฯไม่ต้องสะดุดลงเนื่องจากเหตุต้องรอตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ที่จะต้องมาจากการเลือกของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในการศาลปกครองสูงสุดซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานาน แต่ทั้งนี้หลังยื่นหนังสือลาออกและแจ้งไปยังสำนักเลขาธิการวุฒิสภาแล้วเมื่อวันที่ 19 พ.ค.นายจรูญ ยังดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และรักษาการแทนประธานศาลรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นตุลาการที่มีอาวุโสสูงสุดและได้มีการเชิญประชุมคณะตุลาการฯ เพื่อคัดเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ในวันนี้ (21 พ.ค.) โดยในการประชุมมีตุลาการเข้าร่วมทั้งสิ้น 8 คน ขาดนายชัช ชลวร โดยที่ประชุมเห็นชอบกับวาระและหลักเกณฑ์พิจารณาการเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ซึ่งนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ได้เสนอชื่อ นายนุรักษ์ แต่เมื่อถึงขั้นตอนการลงมตินายเฉลิมพล เอกอุรุ และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ขอไม่ใช้สิทธิลงมติ และเดินออกจากห้องประชุมซึ่งที่ประชุมมีมติเลือกนายนุรักษ์ ด้วยคะแนนเสียง 6 เสียง

สำหรับนายนุรักษ์ นั้นปัจจุบันอายุ 65 ปี เกิดเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2492 จบการศึกษานิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เคยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกา ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลอุทธรณ์ภาค 7 ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์และรองอธิบดีผู้พิพากษา นอกจากนี้หลังรัฐประหารเมื่อปี 2549 ยังเคยเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 โดยในปี 2551 ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้มาดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งมีการโปรดเกล้าแต่งตั้งเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 51 และจนถึงปัจจุบันดำรงตำแหน่งมาแล้ว 7 ปีซึ่งหากอยู่ดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญตามที่ได้รับเลือกในวันนี้จนครบวาระในปี 2559 ก็จะดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญรวม 2 ปี

ส่วนตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะว่างลงจากเหตุนายจรูญพ้นจากตำแหน่งนั้น ทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญก็จะมีหนังสือแจ้งไปยังสำนักงานศาลปกครองเพื่อให้ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดลงคะแนนลับคัดเลือกตุลาการในศาลปกครองสูงสุดคนหนึ่งมาดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญมาตรา 204 ( 2)


สรุปแล้ว กปปส.กลุ่ม กคป.( กองทัพประชาชน และครือข่ายปฏิรูปพลังงานไทย ) ถูกขอคืนพื้นที่กระทรวงพลังงาน ยศเส จากผอ.กอ.รส.

สรุปแล้ว กปปส.กลุ่ม กคป.( กองทัพประชาชน และครือข่ายปฏิรูปพลังงานไทย ) ถูกขอคืนพื้นที่กระทรวงพลังงาน ยศเส จากผอ.กอ.รส.
ทำใหัต้องย้ายออกจากพื้นที่กระทรวงพลังงาน ภายในวันศุกร์ที่ 23 พ.ค.นี้ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ 22 พ.ค.กลุ่ม กคป.จะทยอยย้ายของออกไปอยู่พื้นที่ใหม่ต่อจากกองทัพธรรม นับจากสะพานผ่านฟ้าไป จนจรดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย


ปม กำหนดวันเลือกตั้ง กกต.อ้างรอหารือ กอ.รส.


แม้ครม.จะมีมติในการประชุมชุดเล็กเมื่อค่ำวานนี้ยอมรับทุกข้อเสนอ(เดิม)จากกกต. 1. ให้กำหนดวันเลือกตั้งเป็น 3 สิงหาคม 2557 และ 2. ระบุในร่างพรฎ.ว่าหากมีเหตุเสียหายร้ายแรงให้กกต.เสนอให้นายกฯเสนอเลื่อนวันเลือกตั้งได้ แต่ก็ยังไม่ใกล้เคียงอยู่ดี เมื่อกกต.ยังไม่ตกลงเนื่องจากเกิดสถานการณ์ใหม่คือการประกาศกฎอัยการศึกกกต.จึงจะหารือกับกอ.รส.ก่อน

และเนื่องจากยังคงไม่มั่นใจในอำนาจหน้าที่ของรองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จึงเชื่อว่ากกต.ยังจะสอบถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาขอให้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ให้ชัดเจนก่อน
กว่าจะได้ทั้ง 2 คำตอบ อาจเกิดสถานการณ์ใหม่ที่สำคัญขึ้นก่อน แต่จะเป็นการตัดสินใจใหม่ของ 24 รัฐมนตรีที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 181 หรือไม่ ยังไม่อาจยืนยัน

"ธาริต" ถ่ายโอนหมายจับกปปส. ส่งต่อ "กอ.รส." แล้ว !!

"ธาริต" กล่าวถึงการดำเนินเรื่องหมายจับแกนนำกปปส. ในช่วงกฎอัยการศึก ได้ส่งต่อให้กอ.รส. ดำเนินการ พร้อมชะลอหมายจับ -ตอกกลับ ดีเอสไอ มีหน้าที่ตามคำสั่งศาล ไม่ใช่ไล่จับกุมแกนนำ

วันนี้ ( 21 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงการดำเนินการตามหมายจับแกนนำ กปปส. ในระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึกว่า แม้ขณะนี้จะอยู่ในความรับผิดชอบของกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะ ผอ.รส. ซึ่งได้ขอให้ชะลอการออกหมายจับไว้ก่อนว่า ดีเอสไอมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายซึ่งเป็นไปตามคำสั่งศาลที่อนุมัติหมายจับไว้ ไม่ใช่การไล่ล่าเพื่อจับกุมแกนนำ

เช่นกรณีของ ดร.เสรี วงษ์มณฑา ซึ่งวันนี้ (21 พ.ค.) เดินทางกลับจากอเมริกา และเข้าไทยโดยผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ด่าน ตม. ก็ได้ขอควบคุมตัวไว้พร้อมแจ้งให้ดีเอสไอรับไปดำเนินการขออำนาจศาลฝากขังตามขั้นตอน หากไม่ดำเนินการตามหมายจับ เจ้าหน้าที่ก็จะมีความผิดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ขณะนี้พนักงานสอบสวนดีเอสไอและตำรวจอยู่ระหว่างควบคุมตัว ดร.เสรีไปส่งศาล
"สำหรับแกนนำ กปปส. รายอื่น ๆ อีกที่มีหมายจับในวันพรุ่งนี้ (22 พ.ค.) ตนได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนนำเอกสารหมายจับทั้งหมดไปมอบให้ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อให้รับทราบและพิจารณาให้ดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยดีเอสไอพร้อมดำเนินการตามที่เห็นสมควร" นายธาริตกล่าว

นายธาริตกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีการดำเนินคดีกับนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ว่าที่ประธานวุฒิสภา ฐานสนับสนุนกบฏ สืบเนื่องจากการหารือร่วมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.นั้น เป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ซึ่งอยู่ในขั้นตอนของการออกหมายเรียก ไม่ใช่หมายจับ ดังนั้น หมายเรียกดังกล่าวต้องชะลอไปก่อน แต่จะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตามข้อเท็จจริงต่อไป


ก.ล.ต.สั่งปรับ "มณฑาทิพย์ ชินวัตร-สมชัย โกวิทเจริญกุล" 9.67 ล้านบาท ฐานใช้ข้อมูลภายในขายหุ้น MLINK

ก.ล.ต.สั่งปรับ'มณฑาทิพย์ ชินวัตร' น้องสาวทักษิณ
ก.ล.ต.สั่งปรับ "มณฑาทิพย์ ชินวัตร-สมชัย โกวิทเจริญกุล" 9.67 ล้านบาท ฐานใช้ข้อมูลภายในขายหุ้น MLINK
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยกรณีคณะกรรมการเปรียบเทียบมีคำสั่งเปรียบเทียบนางมณฑาทิพย์ ชินวัตร และนายสมชัย โกวิทเจริญกุล เป็นเงินรวม 9,670,432.91 บาท กรณีใช้ข้อมูลภายในขายหุ้น บมจ.เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น(MLINK)
ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้รับแจ้งจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ระหว่างวันที่ 27 กรกฎาคม ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2554 นางมณฑาทิพย์ขายหุ้น MLINK ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท เอ็ม แคปปิตอล โฮลดิ้งส์ จำกัด (บ. เอ็มแคปปิตอล) จำนวน 29 ล้านหุ้น ในประการที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบบุคคลภายนอกโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหุ้น MLINK และยังไม่ได้เปิดเผยต่อประชาชนเกี่ยวกับผลขาดทุนสุทธิจำนวน 315.79 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2554 ของ MLINK เนื่องจากการตั้งรายการพิเศษเกี่ยวกับการรับรู้การด้อยค่าของงานระหว่างทำในบริษัทย่อยรายบริษัท พอร์ทัลเน็ท จำกัด โดยนางมณฑาทิพย์ล่วงรู้ข้อมูลดังกล่าวจากการเป็นประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการของ MLINK รวมทั้งเป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 49.99 และกรรมการผู้มีอำนาจของ บ. เอ็มแคปปิตอล ในขณะนั้น
นอกจากนี้ ยังพบว่า ระหว่างวันที่ 22 กรกฎาคม ถึงวันที่ 2 สิงหาคม 2554 นายสมชัยได้ขายหุ้น MLINK ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเองจำนวน 7,026,400 หุ้น โดยอาศัยข้อเท็จจริงข้างต้น ซึ่งนายสมชัยได้ล่วงรู้ จากการเป็นกรรมการของ MLINK ในขณะนั้น
การกระทำของนางมณฑาทิพย์และนายสมชัย ซึ่งเป็นบุคคลวงในเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 241 ต้องระวางโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 เนื่องจากบุคคลทั้งสองยินยอมเข้ารับการเปรียบเทียบ คณะกรรมการเปรียบเทียบได้เปรียบเทียบปรับนางมณฑาทิพย์ เป็นเงิน 7,862,349.85 บาท และนายสมชัย เป็นเงิน 1,808,083.06 บาท
ข่าว - กรุงเทพธุรกิจ


"7 สงครามย่อยใต้กฎอัยการศึก"


"7 สงครามย่อยใต้กฎอัยการศึก"
.....
ตอนนี้สถานการณ์การเมือง มุ่งเน้นไปที่บทบาทของกอ.รส. ที่ประกาศใช้กฎอัยการศึกเข้าควบคุมสถานการณ์และทยอยออกประกาศต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ภาพมวลชนที่มาชื่นชม ยินดี โอบล้อมถ่ายรูป ซื้อข้าวซื้อน้ำให้กับทหารชุดปฏิบัติการคงทำให้เห็นว่า เริ่มต้นเกมอัยการศึกครั้งนี้ ทหารเปิดตัวได้เหมาะสม มาถูกจังหวะ และมาเต็มกำลัง รอบคอบ
แต่ความขัดแย้งนี้ ไม่ง่ายเช่นนั้น เพราะศึกที่ทหารเปิดมานี้ ต้องทำการอย่างรอบด้าน ดูได้จากเนื้อหาของประกาศ ที่แต่ละฉบับมีข้อความชัดเจนต่อการประกาศกฎการศึกชัดเจน เรียงลำดับดังนี้
(1) ศึกกับรัฐบาล :
โดยเฉพาะ ศอ.รส. หรือ ศรส. ที่ตั้งโดยรัฐบาล ที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกลายเป็นเครื่องมือรัฐบาลในการสร้างปัญหาความขัดแย้งเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น
การยุบหน่วยงาน ศรส. ไปจึงเท่ากับว่าเปิดฉากตัดกำลังและอำนาจของรัฐบาลให้เหลือเพียงแค่ "ลอยตัวรักษาการ แต่ไม่มีอำนาจใดๆ อีกทั้งในเชิงบริหาร จัดการ ควบคุม"
(2) ศึกกับม็อบ/มวลชน :
ที่ทั้ง 2 ฝ่าย กปปส. และ นปช. มีทีท่าว่าจะปะทะแตกหักโดยมีมือที่สามเข้ามาป่วน และการถึงจุดที่สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียบาดเจ็บของประชาชน ให้หยุดเคลลื่อนไหว เดินหน้าทางการเมือง
ศึกด้านนี้สำคัญที่สุด เพราะเป็น "หน้าฉากของความขัดแย้ง" ที่เห็นชัดเจนและกลายเป็นตัวชี้วัดอุณหภูมิทางการเมืองที่มวลชนสนใจ
(3) ศึกกับกลุ่มเคลื่อนไหว :
ผู้ก่อความไม่สงบ จากสายข่าวกอ.รมน. ที่สืบข่าวในทางลึก เกี่ยวข้องกับกลุ่ม ขบวนการโจรร้าย และผู้หวังผลทางการเมือง โดยการซ่องสุมอาวุธเพื่อสร้างความไม่สงบ
การตามสืบสวน จับกุม ผู้ครอบครองอาวุธสงครามยังคงทำอย่างต่อเนื่องและเห็นผลชัดเจน
(4) ศึกกับสื่อทีวีการเมือง :
กอ.รส. ประกาศปิดทีวีการเมืองไปแล้ว 14 ช่อง เป็นการระงับการออกอากาศชั่วคราว โดยมุ่งเน้น ทีวี วิทยุการเมืองที่มีเนื้อหาสุ่มเสี่ยงไปในทางการสร้างความแตกแยก ปลุกปั่น ยุงยง ปลุกระดม และมีสิทธิในการเชื่อมสัญญาณโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเพื่อสื่อสารประกาศของกอ.รส.
(5) ศึกกับแรงกดดันจากต่างประเทศ :
ตอนนี้นานาชาติกำลังทยอยแถลงการณ์ ออกปฏิกิริยาต่อการใช้กฎอัยการศึกของกองทัพ ว่าอาจจะสุ่มเสี่ยงและส่งสัญญาณต่อการทำรัฐประหาร และใจจดจ่ออยู่ว่า ทหารจะส่งสัญญาณการเจราจาสงบศึกความขัดแย้งและจะวางตัวเป็นตัวประสานทางการเมืองได้หรือไม่
(6) ศึกกับสายข้าราชการ พลเรือน :
เป็นที่ทราบว่าความขัดแย้งได้ลุกลามไปจนถึงระดับโครงสร้างสายสัมพันธ์และการล้วงลูกแทรกแซงหน่วยงานราชการหลายแห่งในการ "ใส่เกียร์ว่าง" หรือ "เดินตามน้ำ ตามเกม" รัฐบาลและนักการเมือง
การเข้ามาแก้ไขปัญหาของกอ.รส. นั้นคงมีการทำงานในทางที่จะประสานและแก้ไขปัญหานี้ด้วย
เป็นห้วงเวลาที่น่าสนใจกับอายุเกษียณของพล.อ. ประยุทธ จันทรโอชา ว่าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและคลี่คลายสถานการณ์ไปในทางใด และกลายเป็นความหวังของสังคมไทยว่าทหารจะกลายมาเป็นตัวหมากสำคัญที่แก้ปัญหานี้ได้เด็ดขาดที่สุด
และคงไม่ใช่ในรูปแบบการปฏิวัติ - เพราะหากทำเช่นนั้น ทางฝั่งกปปส. คงพลาดท่ายุทธศาสตร์การปฏิวัติประชาชน ส่วนนปช. คงถือเอาเป็นการรังแกซ้ำทางการเมืองเฉกเช่นกับการรัฐประหาร 2549
และฝ่ายข้าราชการพลเรือนก็จะรู้สึกว่า ตนเองไม่มีบทบาท กลายเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างเดียว
ฉะนั้น จึงเป็นสัญญาณที่ดี ที่กอ.รส. จะเปิดเกมแก้ปัญหาด้วยการทำตัวเป็นผู้ประสานกลาง เรียกข้าราชการระดับสูงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาเสนอปัญหา แก้ไขเรื่องวิกฤตการเมืองนี้แบบมีปากมีเสียงสำคัญ
(7) ศึกกับมวลชน สื่อออนไลน์:
ศึกนี้สู้ยากที่สุด ควบคุมยากที่สุดถึงขั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะบรรดากองเชียร์-กองแช่งในโลกออนไลน์ที่ผ่านมามีส่วนอย่างมากในการปั่นข่าวลือ ส่งข่าวลวง ภาพตัดต่อ ที่มุ่งสร้างความแตกและปลุกปั่นมวลชนหน้าจอทีวี และคีย์บอร์ด
ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมา กระทรวงไอซีที ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายการกระทำความผิดคอมพิวเตอร์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งเว็บหมิ่น เพจล้มเจ้า หน้าข่าวลวง และบรรดานักรบไซเบอร์ออนไลน์ทั้งหลาย
หนำซ้ำ ชาวเน็ตส่วนหนึ่ง ก็ทำตัวเป็นแพร่ข่าวโคมลอย ผสมโรง แต่เดิมทำตัวเป็นผู้เฝ้าระวัง สังเกตุการณ์ และวิพากษ์วิจารณืด้วยสายตาและคมปาก แต่ก็ไม่ได้เข้ามาร่วมกระบวนการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด กลับกันยังทำตัวเป็น บ่างช่างยุ ปล่อยข่าวลือ ข่าวหลอก
อย่างไรก็ตาม การประกาศกฎอัยการศึกของทหารในพ.ศ. นี้ ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา เพราะไม่ได้มุ่งเน้นการทำศึกกับภัยความมั่นคงกับองค์อำนาจฝ่ายต่างๆ เท่านั้น แต่ยังต้องทำสงครามข้อมูลข่าวสารรอบด้าน เป็นสงครามข้อมูลข่าวสาร สงครามกลุ่มมวลชน สงครามจิตวิทยา สงครามสื่อมวลชน สงครามกลุ่มขบวนการติดอาวุธ และ ต้องเล่นสงครามเกมการเมืองด้วย ก็ต้องยอมรับว่า บทบาทการนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทรโอชานั้นไม่ธรรมดา และไม่ได้ดูเป็นทหารแก่แต่อย่างใด
ทหารยุคใหม่ ไม่ได้ใช้รถถังมาทำปฏิวัติ รัฐประหาร แต่ใช้กฎหมายและอำนาจทหารเท่าที่ตนเองมีอย่างจำกัด รอบคอบ
เป็นบทเรียนว่า การประกาศอัยการศึกยุคใหม่ ไม่ได้สู้รบด้วยกำลังทหาร แต่สู้รบกันด้วยสงครามข้อมูลข่าวสารมากกว่า


สรุปประกาศ กอ.รส.แบบเข้าใจง่ายๆ

สรุปประกาศ กอ.รส.แบบเข้าใจง่ายๆ
- 1/57-ประกาศกฏอัยการศึก 0300 20 พ.ค.57
- 2/57-จัดตั้ง กอ.รส.
สรุปประกาศ กอ.รส.
- 1/57-ให้สถานีวิทยุโทรทัศน์แพร่ภาพ ททบ.เมื่อสั่ง
- 2/57-กปปส.และ นปช.ยุติการเคลื่อนมวลชน
- 3/57-ห้ามนำเสนอข่าวทุกรูปแบบ ที่มีเจตนาบิดเบือน ปลุกระดม
- 4/57-เชิญประชุม หน.หน่วยราชการฯ ในพื้นที่ กทม. นครราชสีมา พิษณุโลก นครศรีธรรมราช
- 5/57-แต่งตั้ง ผบ.ทสส. ผบ.ทร. ผบ.ทอ. ผบ.ตร. เป็นที่ปรึกษา กอ.รส.
- 6/57-ระงับการออกอากาศของโทรทัศน์ 10 สถานีและวิทยุที่ไม่ได้อนุญาต




ยังไม่จบง่ายๆ...แต่บรรยากาศดี ไม่มีทะเลาะกันต่อหน้าทหาร....



ทีมโฆษกทบ.แถลง การพูดคุย 7ฝ่าย เป็นเวลา 2 ชม.เศษ ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้การบ้าน แต่ละฝ่ายกลับไปคิด แล้วมาคุยกันต่อ พรุ่งนี้ 14.00น.ยันทุกฝ่ายเห็นพ้องกันว่า ต้องการคืนความสุขให้ประชาขนคนไทย โดยเร็ว แต่ละฝ่าย เสนอแนวทางของตนเอง แต่ยังไม่มีการปฏิเสธ หรือเห็นแย้ง
โดย พล.อ.ประยุทธ์ ฝากความหวัง ให้ทุกฝ่าย นำไปพิจารณา และตัดสินใจ และน่าจะมีทางออก ร่วมกันได้ เพราะเป็นการพูดคุยเครั้งแรก ไม่ใช่จะตกลงใจ ได้โดยเร็ว แล้วกลับมาหารือใหม่

พันเอก วินธัย สุวารี เผยการพูดคุยชื่นมื่น soft softพล.อ.ประยุทธ์กับจตุพร สุเทพ ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นครั้งแรกมาเจอกันตัวเป็นๆ มีแต่พูดผ่านสื่อ บรรยากาศดี แสดงความเห็น ปรับความเข้าใจกัน หาทางออก ร่วมกัน เผย หลังประกาศกฎอัยการศึก มีความหวัง ทุกฝ่ายตั้งสติ พอใจเป็นคนไทยด้วยกัน ฟังกันและกัน เข้าใจเหตุผล ตั้งใจฟัง เป็นพี่น้อง ฉันมิตร เสียงหัวเราะไม่บึ้งตึง แม้ข้อเสนอแตกต่างกัน แต่ไม่มีการขัดแย้ง หรือตอบโต้กัน
"ผบทบ. ท่านทำดีที่สุดแล้ว มีการเปิดเวทีให้ทุกฝ่ายพูด โดย ผบทบ.รับฟัง โดยไม่ได้มีข้อเสนอใดๆจากฝ่ายทหาร แค่ให้กลับไปคิด ใน5 ประเด็น แล้วมาคุยกันใหม่" พันเอก วินธัย กล่าว


ผลประชุมส่วนราชการกับ กอ.รส.เมื่อวาน

(20/5/57)
ผลการประชุมออกมาแล้ว ดูดีนะ บ้านเมืองจะได้สงบกันทุกฝ่าย ริ่มประชุม 14:15 น

เสร็จสิ้นแล้วครับสำหรับการชี้แจงสถานการณ์ของ ผอ.กอ.รส. (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) พอสรุปเป็นประเด็นได้ดังนี้ครับ


1. จุดประสงค์ของการประกาศกฎอัยการศึกก็เพื่อทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมือง เพราะสถานการณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีจุดมุ่งหมายเพื่อหารัฐบาลใหม่ หรือเป็นกรรมการใดๆทั้งสิ้น หน้าที่นอกจากนี้เป็นเรื่องของผู้เกี่ยวข้องที่ต้องไปจัดการกันเองภายใต้รัฐธรรมนูญ
2. แจ้งข่าวไปยังทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ที่มีต้องการจะก่อความรุนแรงให้ยุติการกระทำนั้นเสีย ทหารพร้อมทำทุกอย่างด้วยความเด็ดขาดภายใต้กฎอัยการศึกเพื่อทำให้เหตุการณ์สงบเรียบร้อย
3. ผู้ที่จะเดินทางเข้ามาชุมนุมในกรุงเทพมหานคร ขอให้งดการเดินทางและใช้ชีวิตตามปกติ
4. ผู้ใดหรือหน่วยงานใดที่มีการปลุกปั่น ยุยง ชักชวนให้มีกองกำลังเข้ามาสร้างความวุ่นวายหรือก่อให้เกิดเหตุเผชิญหน้า ขอให้ยุติการกระทำเสีย (จากนั้นก็หันไปทางปลัดกระทรวงมหาดไทย บอกว่า ท่านปลัดมหาดไทยก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปเรียกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือ อส. มาสู้กับทหารนะ เพราะไม่มีวันชนะ ไม่มีทางรบชนะทหาร อย่าทำอีก)
5. สังคมควรหันหน้าเข้าหากัน ที่ต้องประกาศกฎอัยการศึกก็เพราะขณะนี้ไม่มีใครฟังใคร ใครพูดอีกฝ่ายก็ไม่ฟัง จึงต้องออกมา อยากให้ทุกฝ่ายประนีประนอมกัน คนไทยเหมือนกัน ธรรมชาติของคนไทยโกรธกันได้ไม่นาน ใครก็ตามที่ไปเรียกต่างชาติให้เข้ามาเป็นกรรมการ อย่าทำ เรื่องคนคนไทย คนไทยแก้ไขกันเองได้ อย่าไปเรียกคนต่างชาติเข้ามาให้ขายหน้าเขา
6. จากนั้นก็เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมพูด ปลัด สธ. ยกมือขึ้นพูด(ปรากฎว่าไมค์ไม่ติด แต่พอฟังได้ว่า) สถานการณ์ในขณะนี้ไม่เหมาะที่จะให้มีการเลือกตั้ง แต่ต้องจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็วเพื่อให้ประเทศเดินหน้า พลเอกประยุทธ์ฟังแล้วก็แซวว่า ท่านเป็นอย่างไร โดนไปหลายคดีนี่
7. คุณถวิล เปลี่ยนสี ยกมือพูดว่า ที่ผ่านมาโดนคุณธาริต เพ็งดิษฐ์ตั้งข้อหากบฎซึ่งมีโทษจำคุกหลายปี ซึ่งไม่เป็นธรรม แต่ไม่ถือโทษ พร้อมสนับสนุนให้ประเทศเดินหน้าและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญ จากนั้น พลเอกประยุทธ์หันไปถามว่าคุณธาริตมาไหม ปรากฎว่านั่งอยู่แถวหลังสุด ยกมือ(เหมือนเด็กนักเรียนโดนครูเรียก)บอกว่ามา ประยุทธ์บอกว่า ให้คุณธาริตไปถอนคดีความต่างๆที่ตั้งข้อหาคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ไหม เพราะสร้างปัญหา ทำให้เกิดความแตกแยกและไม่ได้ประโยชน์ คุณธาริตไม่ตอบ แต่พยักหน้าหงึกๆ (เสียฟอร์มมาก)
8. คุณถวิลพูดต่อว่า อยากให้ข้าราชการที่เป็นหัวหน้าหน่วยราชการที่นั่งอยู่ในที่นี่ รวมใจเป็นหนึ่งเดียวในการผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติในแนวทางที่ถูกต้อง (ได้รับเสียงปรบมือ)
- พลเอกประยุทธ์พูดโดยไม่อ่านตาม Script มีลูกเล่นลูกฮาตลอดเวลาชั่วโมงเศษๆ แต่จบท้ายว่า "ผมเอาจริงนะ" 3 รอบ และ "อย่ารบกับทหาร ไม่มีวันชนะ" อีก 2 รอบ
- นอกจากนั้นยังมีประโยคว่า "ไอ้แกนนำคนไหนอยากลองดีก็มา อยากรู้เหมือนกัน ผมไม่ได้ท้าทายนะ" ซึ่งไม่รู้ว่าหมายถึงใคร
- บรรยากาศเหมือนกับทหารจะเป็นกลาง แต่ฟังแล้วเอียงไปทาง กปปส. และพร้อมลุยกับ นปช. เพราะบอกว่า วันนี้การชุมนุมในต่างจังหวัดสลายหมดแล้ว พูดคุยกันดีๆ เข้าใจกัน แม่ทัพภาคทำงานได้ตามเป้าหมาย
- ปลัด สธ. นั่งรถคันเดียวกับคุณถวิล เปลี่ยนสี และโทรตามให้อธิบดีทุกคน ผู้ตรวจราชการทุกคนไปด้วย (สธ เยอะมาก)
เบื้องต้นสรุปได้ดังนี้ครับ
เลิกประชุมเวลา 15:30 น

(21/5/57)'จรูญ อินทจาร' ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ปธ.ศาล รธน.

(21/5/57)'จรูญ อินทจาร' ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ปธ.ศาล รธน.

4 องค์กรวิชาชีพสื่อ ถลงการณ์ จี้ กอ.รส. ทบทวนการใช้อำนาจตามกฏอัยการศึก ลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน

4 องค์กรวิชาชีพสื่อ ออกแถลงการณ์ ถึง กอ.รส. ขอให้ทบทวนการใช้อำนาจตามกฏอัยการศึก ลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน

แถลงการณ์เรื่อง ขอให้ กอ.รส. ทบทวนการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก
ลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน

ตามที่กองทัพบกมีประกาศใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457 ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 และได้มีประกาศคำสั่งออกมาหลายฉบับ เกี่ยวกับการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนและการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ประกอบด้วยคำสั่งฉบับที่ 3/2557 และคำสั่งฉบับที่ 6/2557 คำสั่งฉบับที่ 7/2557 คำสั่งฉบับที่ 8/2557 และคำสั่งฉบับที่ 9/2557 นั้น
องค์กรวิชาชีพสื่อประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เห็นว่า คำสั่งของกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) มีเนื้อหาที่กระทบกับสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญมาตรา 45 ที่รับรอง “เสรีภาพแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาหรือการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น“ อยู่หลายประการ จึงมีข้อเสนอแนะและข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้

1.คำสั่งฉบับที่ 6/2557 และคำสั่งฉบับที่ 7/2557 ของ กอ.รส. ซึ่งขอความร่วมมือให้สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม 14 แห่งและสถานีวิทยุชุมชนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นตามที่กฎหมายกำหนด ให้ระงับการออกอากาศจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงนั้น อาจมีเนื้อหาที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 45 วรรค 3 ที่บัญญัติว่า “การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนอื่นๆ เพื่อลิดรอนสิทธิเสรีภาพจะกระทำมิได้” ซึ่งเป็นบทบัญญัติห้ามฝ่าฝืนโดยเด็ดขาด นอกจากนั้น ความในวรรคต่อมา ที่บัญญัติว่า “การห้ามหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเสนอข่าวสารหรือแสดงความคิดเห็นทั้งหมดหรือบางส่วน หรือการแทรกแซงด้วยวิธีการใดๆ เพื่อลิดรอนเสรีภาพตามมาตรานี้จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย” ก็ไม่สามารถก้าวล่วงได้เช่นกัน แม้จะมีข้อยกเว้นแต่ก็เป็นการยกเว้นที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานในเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องบังคับใช้ด้วยความระมัดระวังให้มีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชนน้อยที่สุด
ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมามีสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมและสถานีวิทยุที่นำเสนอเนื้อหาทางการเมืองบางสถานี ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง มีการถ่ายทอดสดการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งมีการปราศรัยหรือ อภิปรายซึ่งบางครั้งมีลักษณะเป็นการยุยงให้เกิดความเกลียดชัง(Hate Speech) ขาดความตระหนักถึงการใช้เสรีภาพบนความรับผิดชอบ จนอาจเป็นชนวนเหตุให้เกิดความรุนแรงขึ้นได้ ดังนั้น กอ.รส. ควรใช้โอกาสนี้ ขอความร่วมมือจาก คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการ กำกับดูแลให้สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมและสถานีวิทยุชุมชนต่างๆ ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 อย่างเคร่งครัด โดยกำหนดให้แต่ละสถานีมีผังรายการที่ชัดเจน เพื่อส่งเสริมให้มีการตระหนักถึงหลักการ “เสรีภาพบนความรับผิดชอบ” และขอเรียกร้องให้ กอ.รส. พิจารณาอย่างรอบคอบในการใช้อำนาจสั่งปิดสื่อที่อาจเข้าข่ายก่อให้เกิดการขยายความขัดแย้ง บิดเบือน และสร้างความสับสนให้กับสังคม ซึ่งเป็นการลิดรอนเสรีภาพสื่อมวลชนอย่างรุนแรง
2.ขอเรียกร้องให้ กอ.รส. ยกเลิกคำสั่งที่ 9/2557 ที่ห้ามเชิญบุคคลให้สัมภาษณ์ หรือแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อประเภทต่างๆ โดยทันที เพราะถือเป็นการจำกัดเสรีภาพของบุคคลในการแสดงความคิดเห็นและไม่สอดคล้องกับหลักการของระบอบประชาธิปไตยที่ต้องยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างและกองบรรณาธิการสื่อต่างๆ ก็มีดุลพินิจที่จะเชิญบุคคลให้แสดงความเห็นหรือสัมภาษณ์ที่ไม่นำไปสู่การขยายความขัดแย้งและความรุนแรงได้อยู่แล้ว
3.องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนเห็นว่าการประกาศใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก มีผลกระทบต่อเสรีภาพการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนอย่างกว้างขวาง ดังนั้น กอ.รส.ควรประกาศเจตนารมณ์ให้ชัดเจนว่าจะสนับสนุนและไม่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนทุกแขนง พร้อมทั้งให้ความเคารพเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการนำเสนอข่าวสารข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ถูกต้องครบถ้วนและรอบด้าน รวมทั้งเคารพเสรีภาพของสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งการแสดงจุดยืนดังกล่าวจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชน และได้รับการยอมรับในสายตาของนานาชาติที่กำลังจับตามองความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในขณะนี้
4.ขอเรียกร้องมายังผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนทุกคนให้ตระหนักว่า ต้องทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและส่วนรวมเป็นสำคัญ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่อ่อนไหว มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่สื่อทุกแขนงต้องใช้วิจารณญาณอย่างสูงในการปฏิบัติงาน เพื่อจะไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด ตลอดจนทำงานด้วยความรับผิดชอบและยึดมั่นในหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพโดยเคร่งครัด
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
21 พฤษภาคม 2557

จับอดีตทหารพรานคาบ้านพักที่ลพบุรี พร้อมอาวุธสงคราม-ระเบิด สารภาพมีคนจ้างผลิตนำไปป่วนกรุงเทพฯ

จับอดีตทหารพรานคาบ้านพักที่ลพบุรี พร้อมอาวุธสงคราม-ระเบิด สารภาพมีคนจ้างผลิตนำไปป่วนกรุงเทพฯ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 พฤษภาคม 2557 11:36 น.  

       ลพบุรี - กอ.รส.บุกจับอดีตทหารพรานคาบ้านพักที่ลพบุรี พร้อมอาวุธสงคราม เครื่องกระสุน ระเบิด และอุปกรณ์ประกอบระเบิดเพียบ สารภาพมีผู้ว่าจ้างให้ประกอบระเบิดเพื่อนำไปก่อความไม่
สงบใน กทม. ที่ผ่านมา ส่งมอบระเบิดไปแล้ว 1 ชุด
     
       เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา กำลังเจ้าหน้าที่ของกองอำนวยรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) ประกอบด้วย ตำรวจ และทหารจากมณฑลทหารบกที่ 13 ได้นำกำลังบุกเข้าตรวจค้นและจับกุมนายเชาว์วัฒน์ ทองเผือก หรือ “นวย” อายุ 54 ปี อดีตทหารพราน ที่บ้านเลขที่ 103 หมู่ 8 ต.ชอนสรเดช อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี พร้อมของกลางอาวุธสงคราม เครื่องกระสุน ระเบิด และอุปกรณ์ประกอบระเบิดเป็นจำนวนมาก

     
       การเข้าตรวจค้น และจับกุมนายเชาว์วัฒน์ ทองเผือก หรือนวย ของกำลังเจ้าหน้าที่ของกองอำนวยรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) ในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากได้รับรายงานว่ามีอาวุธสงครามและวัตถุระเบิดซุกซ่อนอยู่
     
       ทั้งนี้ จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่พบแมกกาซีน และกระสุนปืนสงครามอยู่ใต้เตียงนอน นอกจากนี้ ยังพบวัตถุระเบิด และอุปกรณ์ที่ใช้ควบคู่กันอีกจำนวนมาก รวมถึงอาวุธปืนสงคราม และเครื่องกระสุนอีกหลายรายการซุกซ่อนในป่าละเมาะหลังบ้านอีกจำนวนหนึ่ง
     
       จากการสอบสวน นายเชาว์วัฒน์ เบื้องต้นรับสารภาพโดยอ้างว่าอาวุธปืน และวัตถุระเบิดที่พบมีคนรู้จักเป็นแนวร่วมชุมนุมทางการเมืองนำมาฝากไว้ และว่าจ้างให้ตนประกอบวัตถุระเบิดเพื่อจะนำไปใช้ก่อความไม่สงบในกรุงเทพฯ ซึ่งที่ผ่านมา ได้ส่งมอบระเบิดไปแล้ว 1 ชุด แต่ตนไม่ทราบว่านำไปก่อเหตุที่ใด
     
       ด้าน พล.ต.ต.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบก.ภ.จว.ลพบุรี กล่าวว่า หลังจากมีการประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ ทางตำรวจลพบุรี ได้สนธิกำลังทหาร กอ.รมน.ปฏิบัติการภายใต้อำนาจของกฎอัยการศึกเข้าตรวจค้นบ้านต้องสงสัยในพื้นที่ ต.ชอนสารเดช อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี และจับกุมตัวนายเชาวร์วัฒน์ ทองเผือก ได้พร้อมของกลางเป็นจำนวนมาก
     
       จากการสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพว่าได้ทำการจัดหากระทำอาวุธปืนและวัตถุระเบิดตามรายการโดยได้รับว่าจ้างจาก นางนันทนา (ขอสงวนนามสกุล) และ นางชัชญา (ขอสงวนนามสกุล) เพื่อนำไปก่อเหตุความวุ่นวายในที่ชุมนุมที่กรุงเทพฯ
     
       สำหรับของกลางประกอบด้วย อาวุธปืนยาวเอเค หรืออาก้า 1 กระบอก พร้อมกระสุน เครื่องกระสุนปืนขนาด 5.56 จำนวน 800 นัด เครื่องกระสุนปืนขนาด 11 มม. 156 นัด เครื่องกระสุนปืนเอเค 47 จำนวน 88 นัด เครื่องกระสุนปืนคาร์บินขนาด 30 จำนวน 60 นัด วัตถุระเบิดเอ็ม 18 เอ 1 จำนวน 1 ลูก เครื่องวัตถุระเบิด ทีเอ็นที น้ำหนัก 1 ออนด์ พุพวงกลม จำนวน 11 รูป วัตถุระเบิดแสวงเครื่องไปป์บอมบ์ ทำด้วยโลหะ จำนวน 3 ลูก วัตถุระเบิดแสวงเครื่องไปป์บอมบ์ กล่องเหล็กจำนวน 1 ลูก วัตถุระเบิดแสวงเครื่องไปป์บอมบ์ พลาสติกจำนวน 5 ลูก