PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

"จอมพลผ้าขาวม้าแดง" เจ้าของตำนาน "วิมานสีชมพู"

คนที่พอมีอายุหน่อยหรือคนที่สนใจประวัติศาสตร์ไทย ถ้าดูละคร "คุณชายพุฒิภัทร" แล้ว เห็นบท "ท่านพินิจ" ที่จ้องจะกินนางงาม คงไม่มีใครไม่นึกถึง "จอมพลผ้าขาวม้าแดง" เจ้าของตำนาน "วิมานสีชมพู" ในประวัติศาสตร์ของไทยเรานะคะ เลยทำให้นึกถึงบทสัมภาษณ์ของป้าอมรา ที่เคยให้ไว้กับแนวหน้า


Resized to 85% (was 827 x 591) - Click image to enlargePosted Image


----------------------------------------------------------------------------


ข่าวบันเทิง หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- อาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2554

Posted Image

อมรา อัศวนนท์ หรือ อมรา บุรานนท์ (เกิด 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2479) เป็นธิดา คนโตในจำนวน 3 คนของ หลวงประเจิด อักษรลักษณ์ กับ มาดามยอร์เฮท ชาวฝรั่งเศส จบมัธยม 6 จากโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย เธอได้ถูกส่งเข้าประกวดนางสาวไทยเมื่อ พ.ศ. 2496 ขณะอายุ 16 ปี

จากผลการประกวดนางสาวไทย อมรา ได้รับตำแหน่งเป็นรองนางสาวไทยอันดับ 3 หรือ 4 (ไม่ได้เป็นรองอันดับหนึ่ง เหมือน ที่ได้รับการบันทึกประวัติ) และ รองหนึ่งนั้นคือ น.ส.นวลสวาท ลังการ์พินธ์ สาวสวยจากเชียงใหม่ โดย น.ส. อนงค์ อัชชวัฒนา ได้รับเลือกให้เป็นนางสาวไทย การประกวด ครั้งนั้นจัดขึ้นที่สวนลุมพินี และคืนที่มีการประกวด มีเพลงประกอบงานคือเพลง "นางฟ้าจำแลง" ที่แต่งโดย ครูเอื้อ สุนทรสนาน และกลายเป็นเพลงประจำการประกวดนางสาวไทยนับแต่นั้นมา

Posted Image Posted Image

ได้เป็นตัวแทนไปประกวดนางงามจักรวาลคนแรกของเมืองไทย
อมรา ได้เป็นตัวแทนประเทศไทย เดินทางไปประกวดนางงามจักรวาลปี 1954 ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นหญิงไทยคนแรกที่เข้าร่วมประกวด และที่ได้เป็นตัวแทน เพราะเก่งในเรื่องภาษา กับการประกวดสมัยนั้น ต้องใช้เงินตัวเอง คนอื่นรวมทั้งตัวนางสาวไทย ไม่มีกำลังเงินพอ แต่อมรา คุณพ่อส่งเข้า ประกวด และผลการประกวด อมราได้เข้ารอบ 15 คนสุดท้าย

เข้าฉากหนังกับดาราดังฮอลลีวู้ด โทนี่ เคอร์ติส และแสดงหนังไทย ปริศนา แสดงคู่กับใครก็เป็นคนแรกของคนนั้น

อมรา อัศวนนท์ ได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องแรก เมื่อ พ.ศ. 2497 เรื่อง Beautiful Girl of the World ร่วมกับโทนี่ เคอร์ติส พระเอกที่เธอชื่นชอบ ไม่ได้มีบทอะไร เพียงแค่การเดินเข้าฉากหนังโดยการชักชวนของบริษัทผู้จัดการประกวดนางงามจักรวาล จากนั้นได้แสดงภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกเรื่อง "ปริศนา" ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง จากนั้น ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง "รักริษยา" กำกับการแสดงโดย "ครูมารุต" ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองจากเรื่องนี้ ผลงานเรื่องอื่นๆ ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ "เล็บครุฑ" ในบทปรีดาฮนัม กับ ลือชัย นฤนาท (2500 ฉายซ้ำ 2504), "อินทรีแดง"เป็น วาสนา เทียนประดับ คนแรกคู่กับ มิตร ชัยบัญชา (2501), "เห่าดง" (2501) เป็นนางเอกคนแรก คู่กับ ไชยา สุริยัน, "ทุ่งรวงทอง" คู่กับ สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์ (2502), "สี่คิงส์" คู่กับ ไชยา สุริยัน (2502), "สุดปรารถนา" คู่กับ พล พิทยายุทธ (2504), "เชลยศักดิ์" คู่กับ ประสาท คณะดิลก(2502) และคู่กับ อดุลย์ ดุลยรัตน์ ในปี 2504 ในเรื่อง "ลั่นทมสะอื้น" ซึ่งอดุลย์เป็นพระเอกที่เธอชื่นชมที่สุด

อมรา หันมาเป็นผู้จัดละครโทรทัศน์ ทางช่อง 4 บางขุนพรหม และช่อง 7 เป็นหัวหน้าคณะอมรมานต์ มีนางเอกละครหลายคนมีชื่อเสียง เช่น ปริม ประภาพร-กิ่งดาว ดารณี และศศิธร เพชรรุ่ง

อมรา สมรสกับ พล.ต.ท.อังกูร บุรานนท์ เมื่อ พ.ศ. 2509 มีบุตรสองคน คือ "อภิชญา" และ "อโนมา" บุรานนท์

เล่นหนังเรื่องที่สองเป็นหนังเสียง ได้ตุ๊กตาทองพระราชทาน
"ย้อนกลับไป เมื่อสมัยก่อน ตอนที่ พี่เพิ่งเดินทางกลับจากการประกวด นางงามจักรวาล ที่แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ความฝันของพี่เคยฝันไว้ว่าอยากจะเป็นหมอเด็ก อยากจะเรียนทางด้านหมอ แต่สุดท้ายไม่เป็นไปอย่างที่คิด พอถึงเมืองไทยไม่เท่าไรคุณหลวงสุจิพันธ์ อภิธยา เจ้าของโรงหนัง "เฉลิมชาติ" ท่านก็ติดต่อ ให้พี่เล่นภาพยนตร์เรื่อง ปริศนา เป็นเรื่องแรก เป็นหนังพากย์เสียง แสดงแค่บทบาท ท่าทางสีหน้า ไม่ได้ออกเสียง และตามด้วย หนังเรื่อง "รักริษยา" จนทำให้พี่ได้รับรางวัล ตุ๊กตาทอง จากเรื่องนี้ พี่ชอบบทบาทการ แสดงในหนังเรื่อง รักริษยา นี้มาก เพราะนอกจากจะเป็นหนังเรื่องแรกของเราที่ได้ ออกเสียงพูด และได้รับรางวัลแล้ว พี่ยังได้แสดงความท้าทายในบทบาททางด้านการแสดงได้อย่างเต็มที

ได้รับสมญาว่าอลิซาเบธ เทเลอร์เมืองไทย รางวัลตุ๊กตาทอง พี่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ มากๆ เพราะในหลวงพระราชทาน สมัยนั้นทีวี. ยังไม่มีการแจกรางวัล ความรู้สึกตอนนั้น ด้วยความที่เรายังเป็นเด็ก เราตื่นเต้นกับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามา การแสดงเราก็ไม่เคยเรียน พอมาได้รางวัลเราก็แอบสงสัยไปถามกรรมการว่าทำไมเราถึงได้ เขาก็บอกมาว่า เพราะเขาเห็นนัยน์ตา ตอนเป็นบ้าของเราแล้วทำให้รู้สึกได้ว่าเราบ้าจริงๆ เลยได้รับรางวัลนี้ ด้วยความที่ พี่เป็นลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส จนทำให้พี่ได้รับ ฉายาว่า เอลิซาเบธ เทเลอร์ เมืองไทย เพราะรูปร่างหน้าตา ตอน อายุ 18-19 หน้าตา ดันไปมีลักษณะคล้ายกับเอลิซาเบธ เทเลอร์ เราก็แอบภูมิใจ

ค่าตัว 3 หมื่นบาท แต่แค่ตัวเลข...
"การทำงานของพี่ในสมัยนั้นพี่ไม่เคยรู้สึกว่าเหนื่อยเลย เพราะพี่ชอบพี่สนุกกับ สิ่งที่ทำ เข้าขั้นบ้าเลยก็ว่าได้ ตอนนั้นดารา รุ่นเดียวกับพี่ก็มีไม่ค่อยเยอะ อาทิ วิไลวรรณ วัฒนพานิช, รัตนาภรณ์ อินทรกำแหง ที่พอจะนึกออก พี่เล่นหนัง เดือน หนึ่ง 4 เรื่อง เดี๋ยวเล่นเป็นเจ้าหญิง เดี๋ยวเล่นเป็นขอทาน ขนาดตอนที่พี่เป็น ดีซ่าน ตาเหลือง หมอบอกให้หยุด เราก็ยังหยุดไม่ได้เลย สมัยนั้นพี่เล่นเป็นคู่เขยคู่ขวัญ กับ อดุลย์ ดุลยรัตน์ เยอะมากที่สุด ค่าตัวพี่ตอนนั้นตกอยู่ที่ 3-4 หมื่นบาท ต่อเรื่อง หรือมากกว่านั้น อยู่ที่นายทุน หรือ ผู้กำกับจะให้ สมัยก่อนมีแต่สัญญาใจ ไม่มีหรอกสัญญา ที่เป็นลายลักษณ์อักษร เล่นเรื่องนี้ เรื่องหน้าค่อยจ่าย เราก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเราไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน อยู่กับพ่อ แม่ สบายๆ โดนโกงค่าตัวไปเป็นล้านๆ แต่พี่ก็ไม่เคยไปทวงถาม เพราะเราชอบเล่นหนังก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องเงินสักเท่าไหร่

พ่อห้ามรับบทจูบและห้ามเป็นแฟนกับดาราด้วยกัน
ในช่วงที่เราเป็นนักแสดง คุณพ่อก็ขอให้พี่อัมสาบาน ว่าถ้าต่อไปในวันข้างหน้าจะต้องไม่แต่งงานกับคนในวงการอย่างเด็ดขาด ด้วยความสงสัยเราก็ถามกลับไปว่าทำไม ท่านก็บอก เราว่า ดารามีการศึกษา และวิถีชีวิตคนละชั้น สมัยก่อนเขาจะมองว่าดาราเป็นพวกเต้นกิน รำกิน ดาราไม่ได้เรียนสูงอะไร ถ้าจะแต่งงานกับพระเอก หรือ ผู้กำกับวันหนึ่งเราก็อาจจะต้องเสียใจ เพราะเขาจะต้องเจอ สาวๆ อายุน้อยกว่าเรา พี่อัมก็ตกลงและทำตามที่ท่านขอ แม้จะมาจีบบ้างก็เหอะแต่พี่ก็ไม่เคยสนใจ และที่พ่อห้ามอีกเรื่องคือห้ามมีบทจูบกัน ต้องใช้ บังภาพเอา เคยมี คุณสุพรรณ พราหมณ์พันธ์ เอาเงินมาวางกอง 2 หมื่น ให้จูบ ยังไม่เอา

พบรักแท้พระเอกนอกจอมีเงินเดือนเพียงแค่ 200 บาทแต่โดนแผนสกัดรัก
พี่มาพบรัก และรู้จัก กับ คุณอังกูร บุรานันท์ ตอนพี่อายุ 23 ในงานเลี้ยง ตอนนั้น คุณอังกูร มียศแค่ร้อยตำรวจเอก เงินเดือน 200 กว่าบาท คบกันจนจะแต่งงาน คุณอังกูร ก็มีเหตุจะต้องเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศส


Posted Image

ถูกใจจอมพลผ้าขาวม้าแดง
คุณพ่อ ได้รับการติดต่อจากผู้ใหญ่ ที่ชื่อว่า จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีสมญาว่า "จอมพลผ้าขาวม้าแดง" (เป็นคำเรียกเมื่อสมัยก่อนว่าขาวม้าแดง) ว่าชอบพี่มาก ถึงขนาดเชิญคุณพ่อพี่ไปพบเพื่อจะขอแต่งงานกับพี่ โดยจะให้ที่แถวสุขุมวิท และเงินอีกจำนวนนับสิบล้าน ตอนนั้น จอมพล สฤษดิ์ ซึ่งเราก็รู้ว่าท่านมีภรรยาอยู่แล้วหลายคน ด้วยความที่เรายังเป็นสาวเราก็นึกอยู่ตลอดเวลาว่า เราไม่อยากเป็นเมียน้อยใคร คุณพ่อก็เรียกเราไปถาม ว่าอยากจะกินเกลือกับคุณอังกูร หรือ อยากจะมีทุกสิ่งทุกอย่าง

โดนพ่อตบหน้า เพราะรักท่านไม่ลง
พี่ก็บอกไปว่าชีวิตพี่ไม่ได้รักท่าน คนเราจะแต่งงานไปใช้ชีวิตครอบครัวด้วยกันก็อยากจะให้มีความรักอยู่บ้าง พ่อ ก็ถามพี่ว่า ทำเพื่อพ่อได้ไหม แต่เราไม่ยอม ทะเลาะกับคุณพ่อจนทำให้ท่านตบหน้า

โดนสกัดรักอีกหลายเรื่อง จบเรื่องก็เมื่อจอมพลผ้าขาวม้าแดงเสียชีวิต
เดินทางไปนอกก็ไม่ได้ ท่านสัญญาว่าจะให้ทุกอย่างเว้นเดือนกับดาว เราบอกว่าเราไม่รักท่านเพราะท่านหน้าเหมือนหมู แต่ถ้าจะให้อยู่ด้วยกันต้องขอเป็นหนึ่งเดียวไม่ใช่มีคนอื่นแบบนี้ ช่วงท้ายที่ท่านป่วยหนักเป็นโชคดีของเรา พี่แอบไปจดทะเบียนกัน และแต่งงานกันหลังจากท่านตายแล้ว 

สุดท้ายสิ่งที่เราอยากให้พูดถึง ความในใจ และสิ่งที่เธอรักอยากจะทำในบั้นปลาย นางเอกดังของยุค 60 กล่าวว่า เธอปรารถนา จะทำในเรื่องที่เป็นประโยชน์ให้กับในหลวง
"จากที่เห็นอะไรๆ ที่ผ่านมา พี่ก็อยากจะบอกว่า รักในหลวง และสงสารในหลวงเป็นที่สุด ประเทศไทยยังคงต้องมีสถาบัน พระมหากษัตริย์ ในหลวงคือพ่อหลวงของพวกเราเพราะท่านทำประโยชน์ไว้ให้เยอะมาก ชีวิตพี่ต่อไป ในวันข้างหน้า ไม่ว่า จะ 3-5 ปี ก็อยากจะอยู่อย่างมีความสุข อะไรที่สามารถจะตอบแทนพระองค์ได้ เราจะถวายงาน สนองเบื้องพระยุคลบาทอย่างเต็มความสามารถ

พี่ยังจำได้เสมอ พระราชินีพระองค์ท่านเคยรับสั่ง ตอนที่พี่เคยถวายงานที่สวนลุมพินี ว่า อมราเธอเล่นละครเก่งนะ เป็นสิ่งที่พี่ปลาบปลื้มมากที่สุดในชีวิต"

Posted Image


วิน แนวหน้า