PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

'ใครอยากโดนประหารชีวิตก็เอา'ผู้ต้องหาคดี'พงศ์พัฒน์'ตะโกนลั่น

'ใครอยากโดนประหารชีวิตก็เอา'ผู้ต้องหาคดี'พงศ์พัฒน์'ตะโกนลั่น
ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องหาคดีเดียวกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. มาขออนุญาตศาลอาญาฝากขังผลัดแรก ปรากฏว่า 1 ใน 12 ผู้ต้องหา ได้ตะโกนบอกผู้สื่อข่าวที่มารายงานข่าวนี้ว่า พูดไปหมดแล้ว ใครอยากโดนประหารชีวิตก็เอา
ทั้งนี้ เมื่อเวลา 14.50 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีรถตู้อออกจากบริเวณกองกำกับการอารักขา2 (บช.น.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)โดยออกประตูหน้าวังปารุสกวันใช้เส้นทางถนนศรีอยุธยา มุ่งหน้าเทเวศร์ ถัดมาอีกประมาณ 10 นาที รถตู้อีก 3 คันออกประตูหน้าวังปารุสกวันใช้เส้นทางถนนศรีอยุธยา มุ่งหน้ารัชดา ซึ่งคาดว่ามี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ อยู่ภายในรถด้วย ทั้งนี้ มีการนำกระดาษหนังสือพิมพ์มาปิดบริเวณกระจกและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่งกั้นระหว่างผู้ต้องหา ทำให้ไม่สามารถมองเห็นคนที่อยู่ภายในรถได้
โดยก่อนหน้านั้นเมื่อเวลา 13.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. และ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พร้อมพวก รวมทั้งสิ้น 7 คน ที่โดนศาลอาญาออกหมายจับโทษฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบน หรือหาผลประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ 149 มาสอบสวนเพิ่มเติมที่ บช.น. ตั้งแต่เวลา 08.00 น. โดยมีสื่อมวลชนจำนวนมากให้ความสนใจมาเฝ้ารอทำข่าวตั้งแต่ช่วงเช้า
ขณะที่ในช่วงเช้าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สั่งห้ามผู้สื่อข่าวเก็บภาพผู้ต้องหาและให้อยู่ในพื้นที่ๆจัดไว้ให้เท่านั้น ในเวลาต่อก็ได้อนุโลมให้ผู้สื่อข่าวสามารถเก็บภาพได้ แต่ห้ามเข้าไปถ่ายใกล้รถที่ควบคุมตัวผู้ต้องหา ห้ามเข้าไปประชิดกระจกรถ และห้ามกีดขวางทางเดินรถ ระหว่างควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งไปฝากขังศาลอาญา รัชดา

นายกฯเผยในหลวงทรงห่วงรบ.งานหนัก-ย้ำเร่งปฏิรูปประเทศ !!!

24 พฤศจิกายน พ.ศ.2557 21:04น.
นายกฯเผยในหลวงทรงห่วงรบ.งานหนัก-ย้ำเร่งปฏิรูปประเทศ !!!
นายกรัฐมนตรี เผย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงรัฐบาลงานหนักในการเดินหน้าประเทศ ย้ำเร่งปฏิรูปประเทศ ขออย่าขัดแย้งกัน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นประธานในงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2557 ที่ ห้องรอยัล จูบิลี่ อิมแพค เมืองทองธานี โดยมีบรรดารัฐมนตรี ข้าราชการ รวมถึงผู้แทนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ เข้าร่วมภายในงานอย่างคึกคัก ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารทั้งในและรอบพื้นที่อย่างเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง โดยมีการตรวจสอบบุคคลและกระเป๋าที่จะเดินทางเขามาภายในงานอย่างละเอียด
โดย พล.อ.ประยุทธ์ เปิดเผยว่า ในการเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวานนี้ ได้ถวายรายงานความคืบหน้าของสถาการณ์บ้านเมือง โดยพระองค์ทรงสนพระทัยในทุกเรื่อง ทั้งนี้ ได้รับสั่งแสดงความเป็นห่วงในการทำงานของรัฐบาลว่าเป็นงานที่หนักในการเดินหน้าประเทศและแข่งกับเวลาที่มีจำกัดในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปีหน้า
นอกจากนี้ นายกนัฐมนตรี ยังกล่าวย้ำว่า ต้องมีการปฏิรูปประเทศเพื่ออนาคต และขออย่าขัดแย้งกัน เนื่องจากมีเวลาที่จำกัด
Cr... Inn news..
Posted by JJJ

'กสม.' เตือน 'รัฐบาล-คสช.' อย่าใช้ยาแรงคุมกลุ่มต้าน

'กสม.' เตือน 'รัฐบาล-คสช.' อย่าใช้ยาแรงคุมกลุ่มต้าน
กสม. ติง รัฐบาล-คสช. อย่าใช้ยาแรงคุมกลุ่มต้าน เตือนเลือกยาให้ถูกขนาด แนะใช้ ก.ม.อื่นแทนกฎอัยการศึก
วันที่ 24 พ.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีต่อต้านรัฐบาลด้วยการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้วว่า เบื้องต้นยังไม่มีใครที่ร้องเรียนเข้ามายัง กสม.ว่าถูกละเมิดจากการแสดงออก คนไทยมีการตื่นตัวและใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง รัฐบาลและคสช.ต้องรับรู้และยอมรับ การนำกฎอัยการศึกมาบังคับใช้กับการแสดงออกมันผิดฝาผิดตัว ตนพูดมาตลอดว่ากฎอัยการศึกเป็นยาแรง ไม่สามารถใช้รักษาได้ทุกโรค
ทั้งนี้ ในฐานะ กสม.กังวลว่ารัฐบาล และ คสช.กำลังใช้ยาที่ผิดขนาด การใช้ยาแรงเกินไปจะทำให้คนปกติเสียชีวิตได้ แทนที่จะกำจัดโรคร้าย ควรจะเลือกยาให้เหมาะสม ต้องแยกให้ออกกับคนที่ต่อต้าน จ้องที่จะล้มรัฐบาล กับคนที่ต่อต้านเพื่อแสดงสิทธิเสรีภาพในการปฏิรูปประเทศ ที่ผ่านมาก็มีการใช้สิทธิเสรีภาพเกินขอบเขต จนทำให้เกิดความรุนแรง และนำไปสู่อนาธิปไตย แต่ถ้าไม่ให้ใช้สิทธิเสรีภาพแสดงความคิดเห็นเลยก็จะตกเป็นทาส จะถือว่าสุดโต่งเกินไป ถ้าการแสดงออกความคิดเห็นเป็นไปด้วยเหตุด้วยผล เสนอความคิดเห็นของนักวิชาการตามมหาวิทยาลัย รัฐบาลต้องช่วยกันส่งเสริม ไม่เช่นนั้นประชาชนจะมีส่วนร่วมในการปฏิรูปได้อย่างไร
ทั้งนี้มีกฎหมายอื่นที่ใช้แทนที่จะใช้กฎอัยการศึก เช่น กฎหมายของ สตช.กฎหมายการกระจายเสียง หรือ คสช.จะออกเป็นคำสั่งขึ้นมาก็ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้น

เปิดไทม์ไลน์ เด้งฟ้าผ่า ช็อกวงการตำรวจไทย !

เปิดไทม์ไลน์
เด้งฟ้าผ่า ช็อกวงการตำรวจไทย !
จากเหตุการณ์วุ่นวายในวงการตำรวจไทย เมื่อตำรวจยศสูง ถูกย้ายฟ้าผ่า ขณะที่ พ.ต.อ.อัครวุฒิ หลิมรัตน์ เสียชีวิต ตามมาด้วยการออกหมายจับนายตำรวจระดับสูงหลายราย ในคดีมาตรา 112
ล่าสุด วานนี้ (23 พ.ย.) เพจเฟซบุ๊กชื่อ Thailand Police Story ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพระบุใจความว่าตำรวจทุกคนยังช็อกกับเหตุการณ์ที่ตำรวจยศสูงบางนายถูกคำสั่งย้ายกะทันหัน และได้มีการเรียบเรียงเป็นลำดับเหตุการณ์ ซึ่งมีใจความทั้งหมดดังนี้...
"มาตรา 112"
ตำรวจทุกคนยังช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งขอเรียบเรียงเหตุการณ์ดังนี้ครับ
- (กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง) เป็นหน่วยงานใหญ่ ซึ่งควบคุมดูแลตำรวจกองปราบ, ตำรวจท่องเที่ยว, ตำรวจทางหลวง ทั่วประเทศ
- วันที่ 12 พฤศจิกายน 2557 ตอนตี 4 อยู่ ๆ ก็มีคำสั่งฟ้าฝ่าจาก ผบ.ตร. ให้ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ (ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง), พล.ต.ต. โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ (รองผู้บัญชาการฯ) และผู้บังคับบัญชากองปราบปราม อีก 2 คนถูกย้ายยกทีม ทั้ง ๆ ที่กุมตำแหน่งมา 4 ปี ไม่เคยมีรัฐบาลไหนย้ายออกได้ เนื่องจากเป็นคนตรงฉิน แม้แต่กำนันเป๊าะยังโดน พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ สั่งจับ
- ทั้ง 4 คนที่ถูกย้ายหายตัวไป ไม่ทราบว่าที่ใด
- 21 พฤศจิกายน 2557 พ.ต.อ. อัครวุฒิ หลิมรัตน์ 1 ใน 4 คนที่ถูกย้าย ตกจากที่สูงเสียชีวิตแล้ว โดยญาติรีบนำร่างไปวัด เวลา 13:30 น. แล้วเผาทันทีเวลา 14:00 น. กระทำโดยเงียบ
- 23 พฤศจิกายน 2557 ผบ.ตร. ให้ศาลอนุมัติออกหมายจับ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ และ พล.ต.ต. โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ ข้อหาดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112) และข้อหาเรียกรับสินบนพร้อมตำรวจอีก 5 คน ทั้งหมดถูกควบคุมตัวไว้แล้ว
- พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ เป็นตำรวจรุ่นเดียวกับ พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง (ผบ.ตร.)
- ในวงการตำรวจไม่มีใครทราบเรื่องนี้มาก่อน ซึ่งทุกคนหวังว่าผู้บังคับบัญชาจะออกมาอธิบายให้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเหตุใดจึงมีการหมิ่นมาตรา 112 หมิ่นเมื่อใด หมิ่นลักษณะใด และข้อหารับสินบนเป็นอย่างไร และจดหมายลาตายที่ไม่มีใครกล้าแชร์ต่อของ พ.ต.อ. อัครวุฒิ หลิมรัตน์ มีอะไรแฝงอยู่ต้องตรวจสอบหรือไม่ เนื่องจากเหตุการณ์นี้ทำให้วงการตำรวจสั่นสะเทือนและทุกคนต้องการความกระจ่างเพื่อเป็นขวัญกำลังใจครับ

เปิดคำร้องฝากขังแฉพฤติการณ์ ค้าน"พงศ์พัฒน์" ซื้อ-ขายตำแหน่ง รับส่วยค้าน้ำมันเถื่อน เปิดบ่อนแอบอ้างเบื้องสูง

เปิดคำร้องฝากขังแฉพฤติการณ์ ค้าน"พงศ์พัฒน์" ซื้อ-ขายตำแหน่ง รับส่วยค้าน้ำมันเถื่อน เปิดบ่อนแอบอ้างเบื้องสูง
Cr:ผู้จัดการ
เปิดคำร้องพนักงานสอบสวน ระบุพฤติการณ์"พงศ์พัฒน์" และ พวก รับเงินซื้อตำแหน่ง 3-5 ล้าน รวมกว่า 50 ล้าน เรียกรับส่วยค้าน้ำมันเถื่อนอู้ฟู่ เดือนละ 1-2ล้านรวมแล้ว กว่า 150 ล้าน แถม เปิดบ่อนแอบอ้างเบื้่องสูง พร้อมคัดค้านประกันตัวเกรงผู้ต้องหาหลบหนี
วันนี้ (24 พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ควบคุมตัว พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อดีต ผกก.4 บก.ปคบ. ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา ผู้บังคับหมู่ บก.ปพ. ซึ่งเป็นคนขับรถของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปก.ตร.) ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง ผู้บังคับหมู่ บบก.ปพ. ผู้ต้องข้อหา คดีเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 149 และ 157 และนางสวงค์ มุ่งเที่ยง ผู้ต้องหาคดีร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต
ตามพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 19 และ 47 และนายชอบ กับนางปิยพรรณ ชินนะประภา สองสามีภรรยา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในคดีเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ ซึ่งเพิ่งถูกควบคุมตัวเมื่อคืนวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา มาเพื่อจะยื่นคำร้องขออำนาจศาลฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.- 5 ธ.ค.57 เนื่องจากยังสอบปากคำพยานไม่แล้วเสร็จ รวมทั้งยังต้องรอผลตรวจประวัติผู้ต้องหา และอื่นๆ โดยท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาด้วย เนื่องจากคดีมีอัตราโทษร้ายแรง เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี
อย่างไรก็ดี เมื่อจะดำเนินการต่อศาล ปรากฏว่าในส่วนของนายชอบและนางปิยพรรณ พนักงานสอบสวนยังทำสำนวนคำร้องไม่เป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวทั้งสองกลับไปควบคุมตามกฎหมาย ซึ่งสามารถควบคุมตัวได้เป็นเวลา 48 ชั่วโมงก่อน และจะนำตัวมายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกใหม่ในวันพรุ่งนี้ (25 พ.ย.)
ขณะที่ศาลได้พิจารณาคำร้องฝากขัง พ.ต.อ.วุฒิชาติ, ด.ต.สุรศักดิ์, ด.ต.ฉัตรินทร์ และนางสวงค์ ผู้ต้องหาทั้งสี่แล้ว อนุญาตให้ฝากขังได้ ต่อมาเวลา 16.30 น. ญาติของนางสวงค์ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ มูลค่า 1 แสนบาท ขอปล่อยชั่วคราว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล และระหว่างรอการพิจารณา ศาลอออกหมายขังส่งตัวไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
ภายหลัง พ.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผบก.อคฝ. กองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้รับมอบหมายให้นำตัวผู้ต้องหามาฝากขังเพียง 4 คน ส่วนที่เหลือได้รับแจ้งจากสำนักงานตำรวจชาติว่าไม่ประสงค์จะนำตัวผู้ต้องหามาฝากขังต่อศาล เข้าใจว่าคงได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวนแล้ว
ต่อมาเวลา 17.45 น. พนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้นำตัวพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปก.ตร.) พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทฯ, เจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ, เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ, พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 149 และ 157 และพล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผู้บังคับการตำรวจน้ำ ผู้ต้องหาเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และ 157 โดยใช้รถตู้สีขาวสามคัน มีรถวิทยุ 191 นำหน้าและปิดท้ายขบวน ขณะที่พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ซึ่งสวมชุดลำลองเสื้อคอกลมสีขาว มีสีหน้าเคร่งเครียด เดินลงจากรถตู้มาคนแรก และถูกคุมตัวเข้าห้องพิจารณาฝากขังทันที
โดยคำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ต.ค.53 – 11 พ.ย. 2557 ขณะที่พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสอบสวนกลาง มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ได้สมรู้ร่วมคิดกับพล.ต.ต.บุญสืบ พ.ต.อ.อัครวุฒิ หลิ่มรัตน์ อดีตผกก.1 ป. และพ.ต.อ.วุฒิชาติ เรียกรับเงินจากข้าราชการตำรวจที่ประสงค์จะไปดำรงตำแหน่งสำคัญๆ รายละ 3-5 ล้านบาท เพื่อที่จะไปรับตำแหน่ง โดยจะมีการส่งเงินให้กับกลุ่มผู้ต้องหาเป็นรายเดือน รวมแล้วเป็นเงินกว่า 50 ล้านบาท ส่วนพล.ต.ต.บุญสืบ พนักงานสอบสวนระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.54 – 18 ก.ค. 2557 ขณะที่ผู้ต้องหาดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจน้ำ ได้มีพฤติการณ์เรียกรับเงินจากผู้ค้าน้ำมันเถื่อนทางจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง มีการเรียกเก็บเงินค่าส่วยน้ำมันเดือนละ 1-2 ล้านบาท ส่งเงินให้กับพล.ต.ต.โกวิทย์ จำนวน 35 ล้านบาท และส่งเงินให้กับพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เป็นเงินจำนวน 118 ล้านบาท
ขณะที่ พล.ต.ต.โกวิทย์ พนักงานสอบสวนระบุว่ามีพฤติการณ์เปิดบ่อนการพนัน (ถั่วครอบ) ย่านห้วยขวาง โดยร่วมกับพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ แอบอ้างว่าจะนำเงินไปถวายให้สถาบันเบื้องสูง ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย พนักงานสอบสวนยังจะต้องสอบปากคำพยานกว่า 50 ปาก รอผลการตรวจประวัติผู้ต้องหา จึงขอฝากขังเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. – 5 ธ.ค.2557 โดยท้ายคำร้องพนักงานสอบสอนได้คัดค้านการประกัน เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี และเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของพนักงานสอบสวน

เปิดโฉม 4 พลเรือนติดร่างแหจับนายตำรวจใหญ่

เปิดโฉม 4 พลเรือนติดร่างแหจับนายตำรวจใหญ่
Cr:ผู้จัดการ
เปิด 4 พลเรือน พ่วงคดีจับตำรวจใหญ่ หนึ่งในนั้่นเป็นรอง ผอ.โรงเรียนย่านนทบุรี อีกรายอยู่บ้านเลขที่ติดบ้านมารดา"พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์" ด้าน "เริงเกียรติ ศักดิ์ณรงค์เดช" สท.ปากเกร็ด รับหนึ่งในผู้ต้องหาเป็นพี่ชาย แต่ไม่ได้เจอกันนานเพราะไม่ถูกกัน
หลังจากศาลอาญาอนุมัติออกหมายจับกลุ่มนายตำรวจระดับสูงรวมทั้งพลเรือน โดยสองคนที่เพิ่งถูกควบคุมตัว ประกอบด้วย นายชอบ และ นางติยะพรรณ ชิณประภา สองสามีภรรยา ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ ผู้สื่อข่าว "ASTVผู้จัดการ" ตรวจสอบตามข้อมูลทะเบียนราษฏร์ ตั้งแต่ช่วงการเปิดเผยรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน(อุทกภัยปี2544) หมู่ที่ 4 ตำบลปายบาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี พบว่า บ้านเลขที่ 26 หมู่ 4 เป็นของนายชอบ ชินนะประภา(ผู้ถูกกล่าวหาคนที่ 11) ส่วนบ้านเลขที่ 26/1 เป็นชื่อนางปิยะพรรณ ชินนะประภา(ผู้ถูกกล่าวหาคนที่ 12) ส่วนบ้านเลขที่ 26/2 เป็นของนายทหารยศพันเอก และเป็นที่สังเกตว่า บ้านเลขที่ 26/3 เป็นบ้านที่มีชื่อนางยุพิน ฉายาพันธุ์ มารดา พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ เป็นเจ้าบ้าน ส่วนตำแหน่งการงานของนายชอบ ระบุว่า เป็นรองผู้อำนวยการโรงเรียนวัดแจ้งศิริสัมพันธุ์ จ.นนทบุรี
ส่วน นางสวงค์ มุ่งเที่ยง หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในข้อหาผิด พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่ามาตรา 19 และ 47 และนายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช ยังอยู่ระหว่างการติดตามจับกุม
ขณะที่ สำนักข่าวอิศราได้มีโอกาสพูดคุย นายเริงเกียรติ ศักดิ์ณรงค์เดช สมาชิกสภาเทศบาล (สท.) นครปากเกร็ด จ.นนทบุรี น้องชาย นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช หนึ่งในผู้ต้องหา 10 ราย เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงในคดีนี้ นายเริงเกียรติ ยืนยันว่า นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช เป็นพี่ชาย แต่ไม่ได้ติดต่อกับพี่ชายมาเป็นเวลา 2 ปี และไม่ทราบว่าพี่ชายประกอบอาชีพอะไรและมีบ้านอยู่ที่ไหน
"เจอพี่ชายครั้งล่าสุดเมื่อ 2 ปีก่อนตอนงานศพบิดา แต่ไม่ได้คุยกันเพราะไม่ถูกกัน ซึ่งคนปากเกร็ดรู้เรื่องดีว่าครอบครัวเราไม่ถูกกัน จึงไม่ทราบรายละเอียดใดเกี่ยวกับพี่ชาย"
“เพิ่งกลับจากต่างประเทศ เมื่อเห็นข่าวมีชื่อพี่ชายเป็นผู้ถูกกล่าวหาก็แปลกใจว่าเรื่องเกิดขึ้นได้อย่างไร คนในครอบครัวซักถาม แต่ผมกับพี่ชายไม่ถูกกัน เพียงแต่ยังใช้นามสกุลเดียวกัน และชื่อก็คล้ายกันอีก”นายเริงเกียรติกล่าว
ส่วนนายบรรจบ มุ่งเที่ยง สมาชิกสภาเทศบาลนครปากเกร็ดอยู่เขตเดียวกัน ก็โทรศัพท์มาสอบถามข้อเท็จจริง เพราะนายบรรจบ มีนามสกุลเดียวกับ นางสวงค์ มุ่งเที่ยง ผู้ถูกกล่าวหาร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 19, 47 แต่ตัวนายเริงเกียรติก็ไม่ทราบข้อมูลว่านางสวงค์มีความพันธ์ใดกับนายบรรจบ สท.ปากเกร็ด
ผู้สื่อข่าวพยายามซักถามนายเริงเกียรติ ศักดิ์ณรงค์เดช เกี่ยวกับข้อมูลของพี่ชายหลายครั้งแต่นายเริงเกียรติ ยืนยันว่าไม่ทราบข้อมูลใดๆ

ฝากขังสองสามีภริยา

ภายหลังจากที่ศาลอาญาอนุมัติออกหมายจับนายชอบ และนางติยะพรรณ ชิณประภา สองสามีภรรยา ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ และสามารถจับกุมตัวได้แล้วตั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นผู้ต้องหาคนที่ 11 และ 12 ที่ถูกจับกุมในคดีเดียวกับพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการสอบสวนกลาง พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ข้าราชการตำรวจและพลเรือนรวม 10 คน ที่ร่วมกันกระทำผิดหลายข้อหาหนัก รวมทั้งหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เรียกรับสินบน
ส่วนนางสวงศ์ (อ่านว่า สะ-หวง) มุ่งเที่ยง หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกออหมายจับในข้อหาผิด พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่ามาตรา 19 และ 47 พล.ต.ท.ประวุฒิ เปิดเผยว่า ได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ภายในวันนี้ และนายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช ยังอยู่ระหว่างการติดตามจับกุม
ล่าสุด วันนี้ เมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. เจ้าหน้าที่ได้นำผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ที่ร่วมกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบชก. รวม 8 ราย มาฝากขังผัดแรก โดยมีสื่อมวลชนจำนวนมากมารอทำข่าวตั้งแต่เช้า
โดยทั้งหมดนั้น มีในความผิดหลายข้อหาแตกต่างกัน อาทิ หมิ่นสถาบันเบื้องสูง
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับและจูงใจให้ผู้
อื่นมอบผลประโยชน์ฯ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ, ความผิดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ
และข้อหาอื่นๆ เป็นคดีอาญาที่มีอัตราโทษเกิน 10 ปี พนักงานสอบสวนสามารถ
ยื่นคำร้องฝากขังได้ทั้งหมด 7 ผัด ผัดละ 12 วัน รวมทั้งสิ้น 84
วันhttp://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1416819500

ตร.สับขาหลอกนักข่าว

ตร.สับขาหลอกนักข่าวสื่อพิมพ์ทั่วประเทศ ให้กลับไปก่อน...จากตะกี้บอกว่าให้ประกันในชั้นสอบสวนแล้ว 4 นาย !!!!
.
(24 พย.) 18.10 น. ‪#‎ล่าสุดรายงานสด‬ จากศาลอาญาฯ จนท.ควบคุมตัว
1.พล.ต.ท.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.
2.พล.ต.ต.โกวิทย์ วงษ์รุ่งโรจน์ อดีต รอง ผบช.ก. 
3.พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีต ผบก.รน.
4.พ.ต.อ.โกวิทย์ ม่วงนวล อดีต ผกก.ตม.สมุทรสาคร
ขออำนาจศาลฝากขังผลัดแรก 12 วันที่ศาลอาญา คัดค้านการประกันตัว
------------------------------.
ขณะที่ผู้ต้องหา 6 คนที่ฝากขัง ไปก่อนหน้านี้แล้ว
1.พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อดีตผู้กำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์
2. ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา
3. ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง สังกัดกองบังคับการปราบปราม
4. นางสวงค์ มุ่งเที่ยง
5. นายชอบ ชินประภา
6. นางติยะพรรณ ชินประภา
-----------------------
ส่วนผู้ต้องหาอีก 2 คน ที่ออกหมายจับเพิ่ม
1.นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล
2. นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช
ได้ติดต่อขอมอบตัวแล้ว โดยจะแถลงข่าว 10.30 น. พรุ่งนี้

ถอดบทเรียนไทยพีบีเอส! "ณาตยา" เปิดใจครั้งแรกกลัวพันเอก "ส." รับไปกินไอติม

"ณาตยา" เผยกลางวงเสวนาถอดบทเรียนเวทีสาธารณะ พ้อความปลอดภัยมีหรือไม่หลังถูกนายพัน ส. กดดัน รับกลัวถูกเชิญ "กินไอติม" จึงต้องขอถอนตัวจากการเป็นพิธีกร-เครือข่ายภาคปชช.จี้ไทยพีบีเอสแสดงจุดยืน 
1anatv
จากกรณีมีกระแสข่าวว่านายทหารกลุ่มหนึ่ง นำโดยพันเอกชื่อย่อ "ส." เดินทางมาพบผู้บริหารไทยพีบีเอส ขอให้เปลี่ยนตัวพิธีกรรายการ “เสียงประชาชนต้องฟังก่อนปฏิรูป” หลังไม่พอใจการทำหน้าที่ของ น.ส.ณาตยา แววีรคุปต์ ในการอัดเทปรายการ “ฟังเสียงคนใต้ก่อนการปฏิรูป” ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และมีการออกอากาศเมื่อวันที่ 8 พ.ย.2557 ที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมา ที่อาคารศูนย์การเรียนรู้ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส มีการจัดเวทีเสวนาถอดบทเรียนกรณีดังกล่าว โดยมีนักวิชาการและภาคีเครือข่ายภาคประชาชนด้านต่างๆ จากทั่วทุกภาคของประเทศ,เครือข่ายองค์กรที่ร่วมจัดรายการ อาทิ สถาบันพระปกเกล้า ,ตัวแทนจากองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนจากภาคตะวันออก, ภาคใต้ ภาคเหนือตอนบน, ภาคเหนือตอนล่าง,กลุ่มชาติพันธุ์ รวมถึงตัวแทนจากสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ร่วมรับฟังและเสนอความเห็น
นางสาวณาตยา กล่าวตอนหนึ่งในเวทีเสวนาครั้งนี้ ว่า นับแต่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น มีเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยพูดเลย มีแต่ผู้บริหารบางส่วนเท่านั้นที่ทราบ แต่ไม่แน่ใจว่าหากพูดเรื่องนี้ในห้องนี้จะปลอดภัยหรือเปล่า
มีบางอย่างที่พูดไม่ได้ เอาเป็นว่า ยกเลิกกฏอัยการศึกก่อนสิแล้วจะพูดให้ฟัง แต่โดยส่วนตัวคิดว่า ตนซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่ประสบมานี้ เป็นลูกผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นลูกชาวบ้านต่างจังหวัดประเมินได้ว่าจะเกิดอะไร ดังนั้น อย่าโทษผู้บริหารเลยที่มีนโยบายต่อกรณีนี้เช่นนี้ แต่ยังคงมีคำถามว่าในเวลานี้ ปลอดภัยดีพอหรือยัง
"สิ่งที่แววประสบมานี้ มันคือการคุกคามระดับไหน สำหรับแววเอง การที่จะขอให้แววไม่เป็นพิธีกร ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะแม้ไม่มีแวว เวทีที่ จ.นครปฐม หรือ จ.พิษณุโลก สามารถทำได้ ความสำเร็จของเราคือแม้ไม่มีไทยพีบีเอส แต่ประชาชนก็ยังทำต่อไปได้ ดังนั้น นี่ไม่ใช่ประเด็น แต่กรณีของแวว ประเด็นของแววคือเราตีความคำว่า “คุกคามผู้ปฏิบัติหน้าที่ว่าอย่างไร” การตัดสินใจในเรื่องนี้ เป็นการตัดสินใจของผู้บริหาร ขณะที่แววเองตัดสินใจเอาตัวเองออกมา ซึ่งในที่ประชุมแววไม่ใช่คนนั่งหัวโต๊ะ แววว่าเรื่องนี้ไม่ปลอดภัยพอที่จะพูดทั้งหมด” นางสาวณาตยาระบุ
และกล่าวว่า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าตั้งแต่เกิดเหตุมา ไทยพีบีเอสทำให้อบอุ่นใจที่สุด ถ้าไม่มีไทยพีบีเอส ก็คงไม่สามารถมั่นใจได้ตอนนี้ แต่ก็ยังมีคำถามว่าสำหรับเหตุการณ์นี้จะทำอย่างไร
“แววจึงจำต้องเสนอเองกับพันเอก ส. ไม่อย่างนั้นเขาจะมารับแววไปกินไอติม แววจึงต้องการ ความชัดเจนในเรื่องนี้” นางสาวณาตยาระบุ
นายจุมพล พูลภัทรชีวิน คณะกรรมการนโยบายไทยพีบีเอส กล่าวว่าที่อ้างถึงมาตรฐานสากลนั้น เนื่องจากสำนักข่าวต่างประเทศ อาทิ NHK ในองค์กรสื่ออาชีพระดับสากลนั้น จะไม่เสี่ยงเรื่องนี้ เรารับทราบว่าถูกคุกคาม ก็ต้องปกป้องคนของเราไว้ก่อนเสมอและไทยพีบีเอสทำเพื่อปกป้องนางสาวณาตยา ความปลอดภัยของผู้สื่อข่าวถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปกป้อง
นายจุมพล กล่าวด้วยว่าได้ดูรายการดังกล่าวและในส่วนคำถามของนางสาวณาตยาที่ถามว่า ก็คนในนี้มิใช่หรือที่มีส่วนร่วมในการชุมนุมเรียกร้องนั้น ตนเห็นว่าคำตอบของคุณหมอที่ตอบในรายการชัดเจนมาก เข้าใจว่า คำตอบของคุณหมอนั่นแหละไปสะกิดเขา เพราะคุณหมอบอกว่าเขาไม่ได้อยากให้ทหารมานำประชาชน แต่เขาอยากให้ทหารมาตามประชาชน
"ผมว่านี่แหละทำให้สะเทือนเขา เมื่อผมดูรายการวันนั้นผมก็คุยกับเพื่อนกรรมการนโยบายฯ ว่า รายการดีมากๆ แต่อาจจะมีทหารมาเยี่ยม" นายจุมพลระบุ
และกล่าวว่าโดยส่วนตัว ชื่นชมเสียงประชาชนในตอนนี้เพราะตรงเวลา ตรงสถานการณ์ ตรงประเด็น กระตุ้นให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เป็นประชาธิปไตยปฏิบัติของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชนอย่างแท้จริง
เพราะการปฏิรูปนั้นต้องเป็นของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ แค่เป็นเรื่องของสภาปฏิรูป ตนให้กำลังใจผู้จัดด้วย แต่ที่พูดกับกรรมการนโยบายฯก็คือ ตนบอกว่าทหารอาจจะออกมา เพราะมันเป็นเสียงประชาชนที่เสียงดังฟังชัด แต่สิ่งที่เขาทำกันอยู่นี้ ประชาชนไม่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงสักเท่าไร
"ผมอยุู่ตรงนี้ผมก็เข้าใจ แต่เราเป็นกรรมการนโยบายฯ เราก็ต้องมีความสุขุม เราเป็นผู้ใหญ่ เราก็คุยกันมากพอว่าเราจะแสดงออกในลักษณะใด เพราองค์กรเราต้องสนับสนุนประชาชน ทำอย่างไรให้ปลอดการแทรกแซง ภาษาสื่อเขาเรียกว่าต้องมีลีลา เราก็ต้องมีลีลาของเราบ้าง ดังนั้น ในวันศุกร์ เราก็ออกแถลงการณ์ที่แม้จะดูเรียบร้อย แต่เราก็ส่งสัญาณออกไปว่าเราพร้อมจะปกป้ององค์กร เราสื่อ่ถึงความเป็นผู้ใหญ่ว่าเราไม่อยากทะเลาะ" นายจุมพลระบุ
ผู้ร่วมเสวนารายหนึ่งกล่าวว่ากรณีของนางสาวนาตยา ทำอย่างไรที่เราจะทำให้เกิดความสมดุล ระหว่างเสรีภาพของสื่อสาธารณะ ขณะเดียวกันก็ทำให้เวทีของเราเดินต่อไปได้ และสำหรับทหารนั้น ประเด็น นายพัน ส. คงไม่สำคัญว่าจะต้องไปพูดคุยอะไร เพราะทหารเขาฟังนายคนเดียว แล้วแพทเทิร์นในวิธีคิดของเขา เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขาจะคิดอย่างไร วันนี้ เราควรมีใครสักคนเป็นสะพานเชื่อมหรือไม่ เพื่อให้เข้าใจกัน
ด้านตัวแทนเครือข่ายพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยกล่าวว่า ตนไม่กังวลว่านางสาวณาตยาจะพูดอะไร เพราะไม่ว่านางสาวณาตยาจะพูดอะไรก็อาจกลายเป็นประเด็นทั้งสิ้น เนื่องจากมุมมองจากสายทหารไม่เคยเปลี่ยน เช่น กรณีผู้นำแรงงานคนหนึ่ง ถูกยิงเป้าที่สนามหลวงในยุคของจอมพลสฤษดิ์ ส่วนในสมัย รชส. ผู้นำแรงงานที่เคยมาวิพากษ์กระบวนการทำงานของ รสช. ก็หายตัวไป 23 ปีแล้ว ตนว่าวิธีคิดของทหารเขามีมุมมองของเขา แต่ขณะที่ไทยพีบีเอสเป็นองค์กรนำของประชาชน ถ้าถามว่าแม่เหล็กของรายการนี้ คืออะไร ตนว่าก็คือนางสาวณาตยานั่นเอง และเมื่อสิ่งที่นำเสนอไม่ตรงกับแนวที่ที่เขาจะปฏิรูปก็ทำให้ทหารต้องออกมา
ตัวแทนจากลุ่มชาติพันธุ์ปกากะญอ กล่าวว่า สภาวะบ้านเมืองขณะนี้ เปรียบเหมือนหม้อน้ำที่กำลังเดือด แล้วมีคนนำฝามาปิดไว้ ซึ่งอันตรายมาก ดังนั้น ตนว่าเป็นความกล้าหาญมากที่มีคนเอาอะไรมาเจาะรูให้ไอน้ำที่กำลังเดือดนั้นมันทุเลา
"เหมือนรายการนี้เปิดรูระบายให้ไอน้ำออกมา ให้ประชาชนได้ระบายออกมาบ้าง ผมว่านี่เป็นระดับใหม่ สื่อเคยทำแบบนี้หรือเปล่า เพราะรายการนี้เป็นการร่วมกันของสื่อและประชาชน น่าจะเป็นตัวอย่างให้กับรัฐบาล ผมว่าหลายฝ่ายน่าจะดีใจ แต่เมื่อมาถึงสถานการณ์อย่างนี้ ผมว่าองค์กรต้องตีโจทย์ตรงนี้ให้แตก ถ้าเรื่องอย่างนี้เกิดมา แล้วองค์กรตีเรื่องนี้ไม่แตกแล้ว มันไม่ได้”
ด้านนายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า วันนี้ตั้งใจจะมาฟังข้อมูลเพื่อนำไปแก้ปัญหา ได้เห็นว่าแต่ละคนล้วนมีความต่างและมีจุดยืน ทหารเขาก็มีจุดยืนของเขา ทหารเขาก็มีความรับผิดชอบ เขาไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งเหมือนที่ผ่านมา แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ตนเห็นว่าในฐานะองค์กรสื่อควรให้นางสาวณาตยามาจัดรายการต่อได้แล้ว
"ก็ให้คุณแววจัดรายการต่อสิ ผมเสนอว่าคุณแววต้องจัดรายการต่อ แต่ให้ความร่วมมือภาครัฐ อย่างผมจะจัดเวทีทีหนึ่งก็ต้องถาม คสช. ว่าตกลงแล้วจะให้ทำยังไง ผมว่าฝ่ายบริหารก็ต้องฟังไว้ เพราะถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความรุนแรงเลยนะครับ เพียงแต่มันมีประเด็น ท่านก็จูนเข้าหากัน" นายเสรีระบุ 
ด้านเครือข่ายภาคประชนอีกรายกล่าวว่าการออกแถลงการณ์ของกรรมการนโยบาย ข้อที่ 3 คือ ทำให้กลายเป็นว่ากรณีนี้มีการโฟกัสไปที่นางสาวณาตยา ซึ่งตนเห็นว่าสถานีควรจะต้องคุยกับ คสช. อย่างตรงไปตรงมาว่าสิ่งที่ชัดเจนคืออะไร และขอถามว่าไทยพีบีเอสคิดถึงเรื่องที่จะปกป้องบุคลากรของท่านมากแค่ไหน ปกป้องนักข่าวอื่นๆ ด้วย ซึ่งผู้บริหาร ควรจะต้องให้ความคุ้มครองเขาด้วย กรณีที่เกิดขึ้นนี้ ไทยพีบีเอสควรก้าวพ้นความเป็นปัจเจกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกิดกับนางสาวณาตยาเท่านั้น แต่องค์กรณ์ควรเห็นว่าเป็นปัญหาขององค์กร นอกจากนั้น รายการควรรีบกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
"ถ้าไทยพีบีเอสหยุดแววไว้ นั่นคือยอมรับว่าการขู่มีผล ควรหยุดยั้งการขู่ด้วยการนำแววกลับมา เพราะถ้าขู่ไทยพีบีเอสได้ผล ผู้บริหารไทยพีบีเอส ต้องรับผิดชอบ เพราะถ้าไทยพีบีเอส ยังถูกขู่ แล้วองค์กรชาวบ้านระดับผมล่ะ คือถ้าไทยพีบีเอส ถูกขู่แล้วหยุด ก็จบครับ ไทยพีบีเอส ต้องไม่หยุด ถูกขู่ก็ไม่หยุด นี่คือสื่อสาธารณะ นี่คือสื่อของประชาชน ผมคิดว่าไทยพีบีเอส ต้องเป็นสื่อกลางของสังคม ผู้บริหารควรชัดเจนว่าจะให้แววหยุดกี่วัน กี่สัปดาห์ ขณะที่คนทำงานที่เป็นแบรนด์ของช่องนี้ ของรายการนี้ตกเป็นเป้า" ผู้ร่วมเสวนารายนี้ระบุ 
ด้านนายสมชัย สุวรรณบรรณ ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสกล่าวสรุปในช่วงท้ายของการเสวนาว่าเห็นด้วยกับข้อเสนอของนายเสรีและผู้ร่วมเสวนาบางท่านที่เห็นว่าควรหารือกับ สปช.
"คุณเสรี พาผมไปพบคุณเทียนฉาย ( กีระนันท์ ) ทีสิ ถ้าท่านบอกว่าไม่ให้ทำก็ไม่ให้ทำ ถ้าท่านบอกทำได้เราก็ทำ เพื่อให้มีความชัดเจนไปเลย" นายสมชัยระบุ และกล่าวด้วยว่าส่วนการจะให้ไปคุยกับทหารนั้น ตนคงไม่ไป
ขณะที่นายเสรีรับปากว่าจะนำเรื่องนี้ เข้าไปเสนอต่อนายเทียนฉาย กีระนันท์ ประธานสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และในฐานะของสื่อ ไทยพีบีเอสควรต้องเคลื่อนประเด็นต่อและตนเห็นว่าควรต้องขับเคลื่อนประเด็นผ่านไปทาง สปช.
--------------
ทั้งหมดนี่ คือ บทเรียนที่ได้รับจากการจัดเวทีเสวนาครั้งนี้ ส่วนเนื้อหาสาระที่เกิดขึ้น จะส่งต่อการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ โดยเฉพาะท่าทีของทหาร ที่มีต่อสื่อ คงต้องจับตากันต่อไป
แต่การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศยืนยันว่า ไม่ทบทวน  ประกาศ คสช. ฉบับที่ 97 และ 103 เนื่องจากกระทบกับการทำงานของสื่อมวลชน
ก็ชี้ให้เห็นอะไรบางอย่างที่ชัดเจนไปแล้ว 

พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ประวัติ เจ้าพ่อสอบสวนแห่งวงการตำรวจ

data24Nov14พงศ์พัฒน์

พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ data24Nov14พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ประวัติ เจ้าพ่อสอบสวนแห่งวงการตำรวจ

พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ประวัติ เดอะกิ๊ก เจ้าพ่อสอบสวนแห่งวงการตำรวจ กับผลงานการทำงานอันโชกโชน

กลายเป็นประเด็นร้อนของวงการสีกากีเลยทีเดียว เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมา ศาลได้ ออกหมายจับ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ หรือ "เดอะกิ๊ก" ซึ่งเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบ

สวนกลาง พร้อมพวก ในข้อหาตามประมวลอาญามาตรา 112 และเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ มาตรา 148 และเรียกรับผล ประโยชน์ มาตรา 149 และ มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้า

พนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

โดยข่าวดังกล่าวเป็นเรื่องราวสั่นสะท้านวงการตำรวจ เนื่องจาก พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ เป็นผู้มีฝีมือ อย่างมากในการทำงาน คดีคลายคดีใหญ่ ๆ มาหลายต่อหลายคดี โดยในวันนี้เราก็ขอพลิก

ประวัติ เดอะกิ๊ก พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ มาให้ได้ทราบกัน..

ประวัติ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ เป็นคนจังหวัดสมุทรสาคร เกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2499 จบการ ศึกษาระดับประถมจากโรงเรียนวัดใหญ่บ้านบ่อ ระดับมัธยมจากโรงเรียนสมุทรสาคร

วิทยาลัย จากนั้นศึกษาต่อที่โรงเรียน เตรียมทหารรุ่น 15 โรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 31 โดยมีเพื่อนร่วมรุ่นคือ พล.ต.อ. พงศพัศ พงศ์เจริญ รอง ผบ.ตร, พล.ต.ท. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. คนปัจจุบัน 

และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค1

นอกจากนี้ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ยังจบการศึกษารัฐศาสตรมหาบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผ่านการอบรมหลักสูตรสืบสวนราชการลับจากสหรัฐฯ และหลักสูตรด้านการบริหารตำรวจจาก

วิทยาลัยตำรวจแคนาดา ประเทศแคนาดา

ผลงานของ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ กับการคลี่คลายคดีใหญ่หลายคดี

สำหรับประวัติการทำงานของ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา เพราะเคยเป็นสารวัตร ใหญ่ถึงหลายสถานี ทั้งนครบาลท่าพระและยานนาวา พร้อมกันนี้ยังเคยเป็นรองผู้กำกับการ

หัวหน้าสถานีตำรวจนครบาล บางขุนนนท์ ผู้กำกับการ 1 กองปราบปราม, ผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม, ผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองปราบปราม, รองผู้บังคับการกองปราบปราม รักษาราชการ

แทนผู้การกองปราบปราม, ผู้บังคับการกองปราบปราม และดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง "ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง" ใน 

เดือนตุลาคม พ.ศ. 2553

ส่วนผลงานของ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ นั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นตำรวจมือปราบและมือสอบสวนที่เก่งฝีมือฉกาจคนหนึ่ง ทั้งคดียาเสพคิด คดีฉ้อโกงข้ามชาติ นอกจากนี้ยังเคยจัดตั้ง "หน่วยวิเคราะห์พฤติกรรม

ศาสตร์" โดยนำหลัก วิชาการมาใช้ในการสืบสวนเพื่อรองรับเทคนิตการสืบสวนสมัยใหม่ เพื่อช่วยให้การสืบสวนเที่ยงตรงและแม่นยำขึ้น ซึ่งมี ผลงานสำคัญ ๆ ที่เป็นข่าวใหญ่ดังต่อไปนี้..

คดีปลอมแปลงเงินตรา พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ได้สืบสวนคดีธนบัตรดอลลาร์ปลอมที่ทำได้เหมือนที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา จับกุมผู้ต้องหาชื่อ "นายอาซินลี" เจ้าของฉายา "คิงคอง" สามารถยึด

แท่นพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ปลอมที่ปลอมได้เหมือนมากที่สุด ซึ่งคดีนี้กลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ของประเทศอเมริกา มีผลงานแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์หน่วยสืบราชการลับ กรุงวอชิงตัน 

ดี.ซี. ด้วย

คดีเครือข่ายการค้ายาเสพติดรายใหญ่ของโลก โดย พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ สามารถจับกุม "นายโรแลนด์ ลอสซิกมอล" และทำลายขบวนการและเครือข่ายการค้ายาเสพติดรายใหญ่ของโลก ซึ่งมีเครือ

ข่ายหลายประเทศทั่วโลก ทั้งแคนาดา สหรัฐฯ และประเทศในกลุ่มยุโรป รวมถึงบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ โดยยึดทรัพย์สินได้ประมาณ 800 ล้าน ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ของเมืองทรีออล ประเทศ

แคนาดาเลยทีเดียว

คดีทลายโรงงานผลิตยาบ้ารายใหญ่ 7 แห่ง (ในช่วงปี 2530-2531) โดยสามารถจับกุมนักเคมีชาวไต้หวัน ร่วมกับกลุ่มนายทุน ผลิตยาบ้า และยึดหัวเชื้อสำหรับผลิตยาบ้า ถือเป็นการทลายโรงงานผลิต

ยาบ้าได้มากที่สุดจนถึงปัจจุบัน จับกุมขบวนการของหนีภาษีศุลกากร มูลค่าหลายสิบล้านบาทด้วย

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ (ขณะนั้นยศ ร.ต.อ.) ได้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและตำรวจยศสูง ซึ่งเป็นระดับหัวหน้าตำรวจจังหวัดระดับสารวัตรใหญ่ 

รวมถึงเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

คดีข่มขู่ผู้บริหารบริษัท เทสโก้ โลตัส สำนักงานใหญ่ในประเทศอังกฤษ โดย พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ สามารถจับกุมนายอเล็กซานเดอร์จอห์น วินสโตน หรือ อเล็กซ์ สัญชาติอังกฤษ ซึ่งส่งอีเมลข้อความ

ข่มขู่ผู้บริหารบริษัทเทสโก้ โลตัส ประเทศ อังกฤษ เรียกเงินจำนวน 140 ล้านบาท โดยบอกว่าถ้าไม่ทำตามจะผสมสารพิษปนเปื้อนในอาหารที่วางขายในโลตัส สาขาใดสาขาหนึ่ง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่

หน่วยงานสกอตแลนด์ยาร์ด ประเทศสหราชอาณาจักร จึงได้ประสานให้ช่วยสืบสวน และได้สืบสวนจับกุมตัวนายอเล็กซ์ได้ในที่สุด

คดีปล้นทรัพย์ร้านทองนวนคร โดยสามารถจับกุม "นายยุทธนา นึกหมาย" และ "นายสุชาติ สิทธิทองหลวง" หรือ อัศวิน ผู้ต้องหาที่ได้ปล้นทองคำไปกว่า 500 บาท ซึ่งก่อนหน้านี้มีการจับผู้ต้องหาผิด

ตัว 3 คน ทางด้าน พล.ต.ท. พงษ์พัฒน์ (ขณะนั้นยศ พ.ต.อ.) ได้สืบสวนรื้อคดีใหม่ จนกระทั่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาตัวจริงได้

คดีฆาตกรต่อเนื่องที่เป็นผู้หญิงรายแรกในประเทศไทย โดยสามารถจับกุม "นางณัฐกานต์ อนะมาน" ที่วางแผนจดทะเบียนสมรสกับ พล.อ.ต. กิตติพัฒน์ เมืองโคตร (พ.ศ. 2543) และนายอรุณ ครัว

กลาง (พ.ศ. 2545) เพื่อหวังเงินประกันชีวิตประมาณ 40 ล้านบาท โดยวางยาพิษและจัดฉากอำพรางคดีเป็นอุบัติเหตุ

คดีฉ้อโกงบริษัทประกันภัย สามารถจับกุม "นายพิเชษฐ์ พรตันติพงศ์" ในข้อหาร่วมกันพยายามฉ้อโกง โดยนายพิเชษฐ์ได้หลอกลวงบริษัทประกันภัยหลายแห่ง เพื่อเคลมเงินประกันอุบัติเหตุ จาก

กรณีสูญเสียอวัยวะจากการตัดนิ้วหัวแม่มือซ้ายของตัวเองที่ทำไว้ รวมมูลค่า 16 ล้านบาท

คดีร่วมกันจัดหาและรวบรวมทรัพย์สินเพื่อการก่อการร้าย โดยจับกุมตัว "นายวิกเตอร์ อนาโตลเจวิช บูท" ผู้ก่อการร้ายระดับชาติ ที่เป็นข่าวโด่งดัง ซึ่งนายวิกเตอร์เป็นหัวหน้าแก๊งค้าอาวุธสงคราม

และมีเครือข่ายส่งอาวุธสงครามให้กับกลุ่มกบฏที่ต่อต้านรัฐบาลทั่วโลก ที่เข้ามาซ่อนตัวในประเทศไทย โดยผู้ต้องหาคนสำคัญที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รวมทั้งประเทศสหรัฐ

อเมริกาต้องการตัวมากที่สุด

คดีทุจริตการจัดซื้อของหลวงระดับชาติ โดยสามารถจับกุมนายตำรวจยศ พล.ต.ท. พร้อมพวกรวม 6 คน ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้ตน

เองหรือผู้อื่นได้รับผลประโยชน์ ด้วยฮั้วประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้าง เกี่ยวกับรถจักรยานยนต์สายตรวจ ขนาด 200 ซีซี จำนวน 19,147 คัน ในปี 2550

นอกจากนี้ พล.ต.ต. พงศ์พัฒน์ ยังเป็นอาจารย์ในการบรรยายวิชาสำคัญต่าง ๆ อาทิ อาจารย์บรรยายพิเศษให้กับนักศึกษาระดับปริญญาเอกคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บรรยายพิเศษให้กับ

นักศึกษาระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต บรรยายพิเศษให้กับนักศึกษาระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมกับเขียนหนังสือตำราและเอกสารทางวิชาการมากมาย จัดพิมพ์

เพื่อใช้ประกอบการศึกษาด้านวิชาการตำรวจ อาทิ

ความรู้เบื้องต้นการเฝ้าสังเกตการณ์ และการสะกดรอยติดตาม พ.ศ. 2536
ความรู้เบื้องต้นการสืบสวนอาชญากรรม พ.ศ. 2537
วิธีปฏิบัติภาคสนามสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อรับแจ้งเหตุอาชญากรรม พ.ศ.2539
ความรู้เบื้องต้นการปฏิบัติงานตำรวจชุมชนสัมพันธ์ และตำรวจผู้รับใช้ชุมชน พ.ศ. 2540
มุมมองใหม่การจัดการองค์กรตำรวจศตวรรษที่ 21 พ.ศ. 2542
การปฏิบัติงานสืบสวนคดีฆาตกรรมในศตวรรษที่ 22 พ.ศ. 2544
คิดเทคนิคใหม่ วิธีการสะกดรอยระยะไกลที่มีประสิทธิภาพโดยลดการใช้ยานพาหนะและกำลังคนให้วงการตำรวจทั่วโลกถึงปัจจุบัน

พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ประท้วง ผบ.ตร. ปมก่อสร้างแฟลตตำรวจ
พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ยังเป็นหัวหน้าที่ทุ่มเททำงานทุกอย่างเพื่อลูกน้อง โดยก่อนหน้านี้ได้นั่งประท้วง ผบ.ตร. หน้าลิฟต์นานร่วม 2 ชั่วโมง เพื่อทวงถามความคืบหน้าการก่อสร้างแฟลตตำรวจให้กับ

ตำรวจยศน้อย เมื่อปี 2554 ด้วย

และนี่ก็คือ ประวัติของ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ หรือเดอะกิ๊ก อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่มากประสบการณ์นั่นเอง

นักศึกษาโผล่โปรยใบปลิว สนามฟุตบอลมธ. ต้อนรับ "สมศักดิ์ เจียมฯ" ล่าสุดถูกจนท.คุมตัวแล้ว

วันที่ 24 พ.ย. 2557 มีรายงานข่าวว่าเมื่อเวลา 15.00 น ได้รวมตัวกันโปรยใบปลิว ณ สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์โดยเฟซบุ๊ก ได้เผยแพร่ภาพเป็นใบปลิวที่เขียนข้อความของนายจิตรภูมิศักดิ์
http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14168185051416818671l.jpg

มีรายงานว่าการแสดงออกในครั้งนี้ หลังจากคสช. ออกคำสั่งเรียกให้มารายงานตัวและการกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งของนายสมศักดิ์เจียมธีรสกุลอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์คณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ผ่านทางสังคมออนไลน์เฟซบุ๊กล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้คุมตัว นักศึกษาจำนวน 8 คนไปที่สน. ชนะสงครามและแยก 2 ใน 8 คนไปยังสน. สำราญราษฎร์