PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

เดินหน้าชน : นายกฯต้องสง่างาม

เดินหน้าชน : นายกฯต้องสง่างาม




วันนี้แม้ดูยังอึมครึม อ้ำอึ้ง แต่ความจริงมันก็ชัดเจนอยู่ในตัวและคงไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้กับสถานะ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งหน้า แม้เจ้าตัวจะพยายามทำให้ดูสับสน ซ่อนเงื่อน แต่จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรซับซ้อนเลย

ท่าทีของ สุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออกมายืนยันว่าจะส่งรายชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯอันดับ 1 ของพรรค และจะมีการพูดคุยในพรรคอีกครั้งว่า 3 รายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคมีใครบ้าง

ไม่ต่างจาก สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการ พปชร.ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นบุคคลหนึ่งที่เห็นว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แม้ พรรคยังไม่ได้มีการหารือเพราะยังมีเวลา แต่บุคคลที่พรรคจะเลือกนั้น จะต้องเป็นบุคคลที่ดีที่สุด

ยิ่งเสียงของ สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรค พปชร.ที่คำพูดก้าวล้ำไปไกลกว่านั้น ถึงขั้นหาก พล.อ.ประยุทธ์ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกฯจะมีการวิจารณ์ว่า พปชร.สืบทอดอำนาจ ซึ่งเท่าที่ลงสมัครรับเลือกตั้งมาหลายครั้ง ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องการสืบทอดอำนาจแน่นอน

เพราะผู้ที่ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ทั้ง 350 เขตของ พปชร.ไม่เห็นมีชื่อนายพลสักคน ไม่มีฝ่ายของทหารเข้ามาเลย และผู้ที่จะอยู่ในบัญชีรายชื่อก็ไม่มีทหาร

นั่นแสดงว่า พปชร.เซตตัวผู้สมัคร ส.ส.เขต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรายชื่อแคนดิเดตนายกฯเรียบร้อยแล้ว
พร้อมชู พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯมีทั้งจุดดีหรือจุดด้อย คือ จะมีคนช่วยหาเสียงให้ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เรื่องคะแนนเสียงของสมาชิกอาจจะมีปัญหาบ้าง แต่เชื่อว่าไม่น่าจะมีอะไรยุ่งยาก ถ้ามีคราบไคลของทหารเข้ามาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกวิจารณ์ แต่ถ้ามี พล.อ.ประยุทธ์คนเดียว ถามว่าจะไปสืบทอดอำนาจอย่างไร

การแบไต๋ออกมาเช่นนั้น จะคิดเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร นั่นคือ พปชร.คือสถานีถัดไปของบิ๊กตู่ ที่จะเดินบนถนนการเมืองนี้

เช่นเดียวกับความชัดเจนของลูกผู้หญิง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย คือ ตัวเลือกอันดับ 1 พรรคเพื่อไทยชิงเก้าอี้นายกฯ

แม้จะมีการปล่อยข่าวกันว่าอาจจะลงสมัคร ส.ส.เขต เพราะประเมินว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.ระบบเขตเต็มจำนวน แต่อาจจะไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเลยแม้แต่คนเดียว ประกอบกับในฐานะผู้นำทัพสู้ศึกเลือกตั้ง จะได้เข้าไปทำงานในส่วนของสภาผู้แทนฯอย่างสง่างาม


ถึงขั้นจะลง ส.ส.เขตดอนเมืองที่มีฐานเสียงแน่นปึ้ก เพราะนายการุณ โหสกุล อดีต ส.ส.หลายสมัย เจ้าของพื้นที่เดิม ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ไม่สามารถลงรับเลือกตั้งได้

แต่ความจริงแล้ว หนทางการนั่งเก้าอี้นายกฯที่สง่างามตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีหลายช่องทาง คือ พรรคการเมืองเสนอรายชื่อแคนดิเดต 1 หรือ 2 หรือ 3 ให้สภาผู้แทนฯเลือก

หากพรรคมองว่ายังสง่างามไม่พอ ก็เอารายชื่อนายกฯ เข้าไปอยู่ในบัญชีรายชื่อระบบปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 ของพรรคด้วย นอกจากเป็นนายกฯแล้วยังเป็น ส.ส.ในสภาด้วยความสง่างามอย่างที่สุด แต่ถ้าพรรคไม่เห็นความจำเป็นก็ไม่ว่ากัน เพราะสภาผู้แทนฯเลือกนายกฯ เท่ากับประชาชนเลือกผู้นำประเทศไปในตัวแล้ว

แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้อีกเช่นกันที่เปิดทางให้วุฒิสภาที่เพิ่งจะปิดรับสมัคร จากนั้นจะเลือกกันเองตามกลุ่มอาชีพให้เหลือ 50 คน บวกกับอีก 200 คนที่เป็นอำนาจ คสช.คัดสรรเข้ามา

ส.ว.ทั้ง 250 คนสามารถเลือกนายกฯได้ ในกรณีที่สภาผู้แทนฯหาข้อสรุปไม่ได้ หรือพรรคใดพรรคหนึ่งมีเสียงไม่เพียงพอ

การได้นายกฯด้วยเสียงของ ส.ว.ที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน นั่นคือ ความไม่สง่างามของระบอบประชาธิปไตย

ถึงวันนี้ “บิ๊กตู่” ต้องมีความชัดเจนประกาศตัวเข้ามาเป็นรายชื่อ 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกฯของพรรค พปชร.

หรือถ้าคิดว่าบริหารประเทศมา 4 ปีกว่าผลงานเป็นที่ยอมรับและได้ใจชาวบ้าน ก็เสนอตัวมานั่งเป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 เพื่อวัดกันไปเลยว่าสามารถเข้ามานั่งเก้าอี้นายกฯ และประชาชนยังเทคะแนนให้เป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อด้วย

แต่ถ้าต้องมาเป็นนายกฯด้วยวิธีการใช้เสียงของ ส.ว.ที่ตนเองคัดสรรมากับมือด้วยแล้ว “บิ๊กตู่” คงรู้ว่านอกจากไม่สง่างามแล้ว ยังลดทอนศักดิ์ศรีตัวเองอีกด้วย…

ปากท้องประชาชน จุดตายจุดชี้ขาด เลือกตั้ง 2562

ปากท้องประชาชน จุดตายจุดชี้ขาด เลือกตั้ง 2562



คําถามว่า 24 กุมภาพันธ์ 2562 จะมีการเลือกตั้งหรือไม่เริ่มจางเสียงลงไป

กลายเป็นคำถามว่า พรรคไหนจะเป็นผู้กำชัยในการเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562 ที่จะมาถึง

ในการนี้ คนทั่วไปยกให้ “พรรคพลังประชารัฐ” เป็นเต็งหนึ่ง

และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน มีโอกาสที่จะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย

ด้วยพลังอำนาจที่เหนือกว่าคู่แข่งทุกพรรคในทุกวิถีทาง

ทั้งเครือข่ายอำนาจรัฐ เครือข่ายอำนาจทุนที่เข้ามาสนับสนุน

และอำนาจจากการใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมหาศาล

กระนั้นในความเหนือกว่าก็มีความไม่แน่นอนปรากฏอยู่

เป็นไปอย่างที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย สรุปข้อเท็จจริงภายหลังจากการเดินไปคารวะแผ่นดินมาหลายพื้นที่เกือบทั่วประเทศว่า

ประชาชนในต่างจังหวัดประสบความทุกข์ยากจากการที่ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายชนิด ตกต่ำติดต่อกันมาหลายปี

ในขณะที่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยในกรุงเทพมหานครก็ประสบปัญหาการครองชีพ

และเป็นประเด็นที่พรรคจะนำมาสรุปเป็นนโยบายหาเสียง

เช่นเดียวกับเนื้อหาการขึ้นปราศรัยบนเวทีรับเชิญต่างๆ ในระยะหลังของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่เน้นถึงปัญหาความทุกข์ยากในการครองชีวิตของคนชั้นล่าง

อันเนื่องมาจากโครงสร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และนโยบายของรัฐที่ยิ่งเอื้ออำนวยให้ช่องว่างนี้ถ่างกว้างขึ้น

ถามว่าปัญหาหรือจุดอ่อนที่ดำรงอยู่นี้

รัฐบาลหรือพรรคพลังประชารัฐรับทราบหรือไม่

คำตอบก็คือทราบ

ไม่เช่นนั้นจะมีนโยบาย “อัดฉีด” เงินงบประมาณจำนวนมหาศาลออกมาในช่วงสิ้นปี ต่อเนื่องไปจนกระทั่งถึงช่วงก่อนการเลือกตั้ง

ออกมาเป็นชุดเช่นนี้หรือ

เริ่มต้นจากการเพิ่มวงเงินในบัตรคนจน 14.5 ล้านใบขึ้นมาอีกคนละ 500 บาท เป็นการชั่วคราว

ตามมาด้วยการเพิ่มวงเงินสงเคราะห์คนชรารายละ 1,700 บาท

และล่าสุดคือการเพิ่มวงเงินค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) จากคนละ 600 เป็น 1,000 บาท/เดือน ด้วยวงเงิน 12,000 ล้านบาท


ยังไม่นับมาตรการ “ช้อปช่วยชาติ” ที่เริ่มต้นจากการส่งเสริมให้ซื้อหายางรถยนต์ หนังสือ และสินค้าโอท็อป ที่สามารถนำไปหักภาษีได้เป็นมูลค่า 15,000 บาท

ก่อนจะขยายไปยังการจับจ่ายใช้สอยทุกประเภทในวงเงินไม่เกิน 20,000 บาท/ราย ที่จะได้รับภาษีกลับคืนในอัตราร้อยละ 5

ตั้งแต่ช่วงก่อนปีใหม่ไปจนกระทั่งถึงช่วงเทศกาลตรุษจีน

ที่อยู่ก่อนหน้าการเลือกตั้งทั่วไปประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้น

และที่ลืมมิได้ก็คือการอนุมัติวงเงินมหาศาล 120,000 ล้านบาท เพื่อเข้าไปโอบอุ้มสินค้าเกษตรที่มีราคาตกต่ำ โดยเน้นไปที่พืชผล 3 ประเภทหลัก

อันได้แก่ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพด

คําถามง่ายๆ มีอยู่ว่า การอัดฉีดรอบล่าสุดนี้จะได้ผลหรือมัดใจผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้หรือไม่

ตรงกับความต้องการของผู้รับความช่วยเหลือ หรือสามารถบรรเทาทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงได้หรือไม่

ด้านหนึ่ง ผลการเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์จะเป็นเครื่องชี้ขาด

ด้านหนึ่ง มีผลสำรวจล่วงหน้าออกมาก่อนโดย “นิด้าโพล” ว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประชาชนต้องการนั้นมีอะไรบ้าง

ร้อยละ 57.6 บอกว่าต้องให้อุดหนุนพืชผล พัฒนาสินค้าทางการเกษตร
ร้อยละ 23.12 ให้เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ
ร้อยละ 22 ขอให้เพิ่มการจ้างงานและแรงงานนอกระบบ
ร้อยละ 21.44 ให้คุมราคาสินค้า
ร้อยละ 14 ให้ลดภาษี
ร้อยละ 10.96 ให้ส่งเสริมการท่องเที่ยว และมอบเงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย
ร้อยละ 6.8 ให้สนับสนุนเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัพ
ร้อยละ 5.67 ให้เพิ่มประสิทธิภาพในการส่งออก
ร้อยละ 4.24 ให้กระจายอำนาจและความเจริญสู่ภูมิภาค
ร้อยละ 3.28 ให้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่

หากไม่นับความบาดหมางระหว่างรัฐบาลกับโพลครั้งที่ผ่านมา

เสียงสะท้อนเช่นนี้จะมีผลอย่างไรต่อการตัดสินใจใช้จ่ายเงินก่อนการเลือกตั้งของรัฐบาลหรือไม่

วีรพงษ์ รามางกูร : จะตายห่าอยู่แล้ว

วีรพงษ์ รามางกูร : จะตายห่าอยู่แล้ว



“จะตายห่ากันหรือไง” เป็นผรุสวาจาในยุคปัจจุบัน “ยุ่งตายห่า” เป็นอมตวาทะของท่านอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร โค้ว ตง หมง คุณประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดำรง ลัทธพิพัฒน์ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ตีรวนให้สภาผู้แทนราษฎรไม่ยอมฟังคำตัดสินของประธาน ทำให้สภาเกิดอลเวง แต่ประธานประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ ท่านก็สามารถทำให้สภาประชุมต่อไปได้จนจบระเบียบวาระ แม้ว่าจะถูกสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ตีรวนอย่างหนัก

มาถึงขณะนี้วาทะของท่านประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ หรือโค้ว ตง หมง เจ้าพ่อแห่งบางขนากก็กลับมาอีก แต่ไม่ได้กลับมาเฉพาะในสภาผู้แทนราษฎรอย่างเดียว แต่กลับมาในวงการเมืองศรีธนญชัยของไทย

“จะตายห่ากันหรือไง” เป็นวาทะของผู้นำของไทยปัจจุบัน เมื่อถูกถามเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของ กกต. โดยไม่มีความผิดเพราะมาตรา 44 คุ้มครองให้

ความยุ่งยากสับสนวุ่นวายอันเกิดจากการ “ตระบัดสัตย์” ของหัวหน้าคณะปฏิวัติรัฐประหาร หรือประธาน คสช. หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง ส่วนแม่น้ำอีก 4 สายที่ตั้งขึ้นโดยเนติบริกร ผู้หมดเครดิต ไม่เหลือความเชื่อถือในฐานะนักกฎหมาย หมดสิ้นไปเพราะได้ขายวิญญาณของตนให้อสูรไปแล้ว

แรกเริ่มเดิมที เมื่อทำการรัฐประหารได้ก็ให้คำมั่นกับประชาชนว่าจะมาอยู่เพียงชั่วคราว หากจัดการเขียนรัฐธรรมนูญและจัดการเลือกตั้งแล้วก็จะกลับไปสู่กรมกองอันเป็นหน้าที่หลักของตน แต่ก็ไม่เคยรักษาสัจจะวาจา ตระบัดสัตย์มาเรื่อยๆ จนอยู่มาเกือบ 5 ปีแล้ว เกินกว่าเทอมของสภาผู้แทนตามปกติเสียอีก
สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาลในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา สหภาพยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และที่อื่นที่เขาเป็นอารยะ ไม่ยอมเจรจาด้วยในเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง ไปอเมริกากับยุโรปก็ไปเป็นแขกธรรมดาเหมือนนักท่องเที่ยว ไม่ได้เจรจาอะไร ไม่ได้ลงนามในข้อตกลงอะไร ไปให้เขาถามว่าจะมีการเลือกตั้งวันที่ 24 แน่นะ เขาพูดอย่างไม่เกรงใจ หวังว่าจะนำประเทศไทยกลับคืนสู่ประชาธิปไตยโดยเร็ว
ที่ไปก็ไปตามคำเชิญของประธานาธิบดีมาครง ของฝรั่งเศส เพื่อเฉลิมฉลองการยุติของสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งประเทศไทยเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตรที่ชนะสงคราม ไม่ใช่ในฐานะประเทศไทย ถ้ารัชกาลที่ 6 ท่านไม่ได้ทรงตัดสินพระทัยเข้าร่วมกับพันธมิตรเขาก็คงไม่เชิญในฐานะผู้ชนะสงคราม แล้วก็เลยไปเยอรมนีให้เขาเตือนว่าต้องกลับไปมีประชาธิปไตยโดยเร็ว

คราวนี้คงเลื่อนจากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ไปอีกไม่ได้แล้ว เพราะได้ยินคำมั่นสัญญาไปทั่วโลกเป็นครั้งที่ 6 แล้ว จะตระบัดสัตย์ต่อไปก็คงไม่ไหวแล้ว

สาเหตุที่บ้านเมือง “จะตายห่า” ก็เพราะการไม่รักษาคำมั่นสัญญา บอกว่าเมื่อยึดอำนาจแล้ว

กวาดบ้านกวาดช่องแล้วจะกลับ ตอนนี้คิดจะอยู่ต่ออีก 4-5 ปีเป็นอย่างน้อย โดยรัฐบาลเผด็จการได้จัดตั้งพรรคการเมืองลงแข่งขันและจะอยู่ในอำนาจเต็ม มี ม.44 ใช้ในขณะหาเสียงเลือกตั้งและตอนเลือกตั้ง
ในยามปกติ เมื่อมีการยุบสภาหรือรัฐบาลลาออกเพื่อมีการเลือกตั้ง รัฐบาลที่อยู่ก็จะเป็นรัฐบาลรักษาการทำได้ในบางอย่าง ทำไม่ได้ในบางอย่าง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เอาเปรียบพรรคการเมืองที่เป็นคู่ต่อสู้ แต่รัฐบาลเผด็จการที่มาจากการยึดอำนาจด้วยปากกระบอกปืน จับคนไปปรับทัศนคติแบบพรรคคอมมิวนิสต์ทำเมื่อยึดอำนาจได้

สมัยนี้การทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงทำยากขึ้น เพราะประเทศอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น อังกฤษ สิงคโปร์ ออกกฎหมายให้การรับสินบนนั้นผิดและการให้สินบนก็ผิด อย่างกรณีบริษัทอเมริกันที่ให้สินบนผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ต้องติดคุกติดตะราง บริษัทโรลส์ลอยซ์ที่บริษัทการบินไทยก็ใช้ การปิโตรเลียมก็ใช้ และรัฐวิสาหกิจไทยอื่นๆ ก็ใช้ บริษัทโรลส์ลอยซ์ให้สินบนว่าจ่ายให้กับผู้ใดบ้างในประเทศไทย ทั้งที่จ่ายตรงและจ่ายผ่านตัวแทนที่เป็นบริษัทไทย เพียงแต่ สตง.ไม่เปิดเผยว่าผู้รับเป็นใครบ้างเรื่องจึงเงียบหายไป แต่ในระยะยาวคงจะปิดไม่ได้ เพราะคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ เขียนในรัฐธรรมนูญว่าคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงไม่มีอายุความ เราคงจะได้เห็นอะไรดีหลังจากกลุ่มอำนาจนี้หมดอำนาจไป

เมื่อจะมีการเลือกตั้งและรัฐบาลไม่ต้องเป็นรัฐบาลรักษาการที่มีข้อจำกัดหลายประการ รัฐบาลมีอำนาจเกินขอบเขตเพราะมีมาตรา 44 เอาไว้ใช้ในการปกครอง ปัจจุบันประเทศไทยจึงไม่ได้เดินตามหลัก “นิติรัฐ” แต่เป็นการปกครอง “ตามอำเภอใจ” หรือ arbitrary rule ไม่ต้องเดินตามกฎหมาย rule of law แต่ปกครองโดย rule by law กล่าวคือออกกฎให้ตนกระทำอะไรก็ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เพราะตนเป็นคนออกกฎหมายมาใช้เอง บางทีออกกฎหมายวันนี้พรุ่งนี้ก็ทำเลย ส่วน สนช.หรือวุฒิสภา เป็นสภาฝักถั่ว ตั้งไว้ให้ดูดีและเป็นการหารายได้ให้กับพรรคพวกโดยจ่ายจากภาษีอากรของประชาชนเท่านั้นเอง


ลองคำนวณดูว่า 5 ปีใช้จ่ายเป็นเงินเท่าไหร่ คุ้มกับผลงานที่ได้กระทำหรือไม่

เมื่อรัฐบาลโดยคณะรัฐประหารหรือ คสช. ที่ยังกุมอำนาจรัฐอยู่โดยมาตรา 44 ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ก็เป็นของธรรมดาที่สมาชิกสภาผู้แทนผู้ขายวิญญาณ ผู้รับอามิสสินจ้างและได้ข่าวว่าคราวนี้มากด้วยถึง 100 ซึ่งไม่น่าเชื่อ คงซักครึ่งเดียวสำหรับเกรด A และครึ่งของเกรด A สำหรับเกรด B ไม่ได้ว่าใครโดยเฉพาะทุกฝ่ายก็คงเหมือนกัน เพียงแต่ที่มาของเงินต่างกันเท่านั้นเอง ตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของนักคณิตศาสตร์ที่จะต้องคำนวณให้เลขาธิการพรรค เลขาธิการพรรคก็เสนอหัวหน้าพรรค หัวหน้าพรรคก็นำเสนอเจ้าสัวผู้สนับสนุนพรรค เป็นเหมือนกันทั้งพรรครัฐบาลทหารและพรรครัฐบาลพลเรือนที่เตรียมตัวเป็นฝ่ายค้าน

สำหรับผู้สมัครผู้แทนราษฎร ก็ต้องพยายามเป็น ส.ส.ของพรรครัฐบาล หัวหน้าพรรคชาติไทยเคยปรารถนาว่าเป็นฝ่ายค้านนั้น “อดอยากปากแห้ง” เป็นฝ่ายค้านนานไม่ได้ หรือไม่ก็ด้วยเงื่อนไขอื่น เช่น มีคดีความ ถ้ามาร่วมอยู่ในพรรครัฐบาล รัฐบาลก็จะดูแลเรื่องความผิดและคดีความให้

สมัยหนึ่งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ต้องมีพรรคของตนเอง เพราะพรรคการเมืองกระจัดกระจาย เมื่อทหารกำหนดตัวนายกรัฐมนตรีแล้ว นายกฯเป็นคนเลือกพรรคเข้าร่วมรัฐบาล นายกรัฐมนตรีไม่ต้องมีพรรคของตนเอง มีแค่รัฐมนตรีของตนเอง 8 ถึง 10 คนคุมกระทรวงสำคัญๆ

แต่สมัยนี้มีพรรคใหญ่เกิดขึ้นคือพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยยืนจังก้าอยู่ จึงไม่เหมือนสมัยก่อน พรรคทหารสมัยก่อนไม่มีแต่สมัยนี้ต้องมีเพื่อเอาไปรวมกับสมาชิกวุฒิสภา วุฒิสภาลงมาเลือกนายกรัฐมนตรีได้ แต่มาร่วมลงคะแนนผ่านร่าง พ.ร.บ.ต่างๆ ไม่ได้ แล้วนายกรัฐมนตรีทหารที่มาจากเสียงของวุฒิสภาจะต่อท่อจะบริหารประเทศอย่างไร “ยุ่งตายห่า” เมื่อต้องการเสียงสมาชิกสภาผู้แทนก็ต้องจ่ายทุกครั้งที่ลงมติ สมัยก่อนยกมือครั้งนึงก็ต้องให้ลำไย 1 ชะลอม (ลำไย 1 ชะลอมหมายถึง 500,000 บาท) และสูงขึ้นเรื่อยๆ จน ส.ส.คนสุดท้ายต้องได้ 3 ชะลอม และบิดาของ ผบ.ทบ.ปัจจุบันนี้เป็นผู้รับผิดชอบ ว่าต้องให้ได้เสียงให้ครบ จะปล่อยให้อภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้

แต่ตอนนี้มีพรรคใหญ่อย่างเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ จะทำอย่างเดิมได้หรือไม่ แม้ว่าจะได้กี่ชะลอมก็ตามเพราะมีวินัยพรรคค้ำคออยู่ ไม่เหมือนแต่ก่อน เมื่อมีวินัยพรรคค้ำคออยู่อย่างนี้ สู้ยอมให้ดูดไปอยู่พรรครัฐบาลให้รู้แล้วรู้รอด ไม่ต้องรับเป็นชะลอมก็ได้ รับเป็นกล่องล่วงหน้าไปเลย แต่ที่รับล่วงหน้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่ทรยศ เพราะรัฐธรรมนูญเขียนว่าจะให้สมาชิกออกจากพรรคเพราะไม่โหวตตามพรรคไม่ได้ “ยุ่งตาย” แต่ก็มีกลไกตรวจสอบถ้าทรยศก็คงอยู่ไม่ได้

สมัยหนึ่งมีการจัดตั้งเพื่อจะยกเอาหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2535 หลังจากคณะรัฐประหารเชิญพลเรือนมาเป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับความยินยอมและเป็นที่ยอมรับของประชาชน หัวหน้าคณะ รสช.หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยอมรับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไปไม่รอด ต้องกลับมาตั้งต้นกันใหม่

การที่สื่อมวลชนถามแทนประชาชนว่าจะตระบัดสัตย์เลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีกหรือไม่ เรื่องการกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่อง “ซังกะบ๊วย” อย่างที่คนไม่มีมันสมองคิด เพราะเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่อง “จะตายห่ากัน” ทั้งประเทศ เพราะความสูญเสียมหาศาลที่เกิดขึ้นมันวัดออกมาเป็นจำนวนมากมาย ทั้งที่วัดเป็นตัวเงินได้และที่วัดเป็นตัวเงินไม่ได้ ความล้าหลังที่พาประเทศถอยกลับไปเป็นประเทศอนารยะ ป่าเถื่อน ไม่เป็นอารยะ เหมือนกับว่าคนไทยโง่เง่าเต่าตุ่น ปกครองตนเองไม่ได้ ต้องให้ทหารลากปืนมาจี้ขมับจึงจะปกครองกันได้ มิฉะนั้น “จะตายห่ากันหมด” รวมถึง “ไอ้คนพูด” อย่างหยาบคายที่ส่อถึงสกุลรุนชาติที่มาของตนด้วย

บ้านเมืองที่ “จะตายห่า” อย่างที่ผู้นำรัฐบาลพูดอยู่อย่างทุกวันนี้ ก็เพราะไม่เดินตามกฎเกณฑ์ของชาติและของประชาคมโลกเขาเดินกัน ไม่เคารพสิทธิมนุษยชน ไม่เคารพกฎบัตรสหประชาชาติ แต่มีมนุษย์กลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่ใช้เงินภาษีของประชาชนถืออาวุธ และไม่ยอมอยู่ใต้สถาบันการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชน ยึดเอาอำนาจการปกครองโดยหาเหตุผลความชอบธรรมใดๆ ไม่ได้เลย โดยการสร้างสถานการณ์ร่วมกับพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ปฏิเสธการเลือกตั้ง เพราะรู้ว่าถ้าต้องลงเลือกตั้งตัวก็แพ้เลือกตั้ง ไม่เคยชนะการเลือกตั้งเลย เพราะเป็นพรรคที่ไม่มีผลงาน เป็นพรรคที่หัวหน้าพรรคใช้วาทศิลป์หาเสียงเอาชนะการเลือกตั้งอย่างเดียว

การมีผู้ปกครองเป็น “เผด็จการ” ทหารไม่ใช่เรื่อง “ซังกะบ๊วย” เพราะเผด็จการจะทำอะไรก็ได้ กกต.แบ่งเขตเลือกตั้ง ไม่เป็นที่สบอารมณ์ เพราะนักการเมือง “ขี้เลีย” ไม่ได้เปรียบเท่าที่ควรถ้าแบ่งเขตแบบเดิม แม้จะมีมติไปแล้ว กำลังจะพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาอยู่แล้วก็สามารถใช้มาตรา 44 หยุดไว้ก่อนได้ แล้วประชาชนจะไม่ตายห่าได้อย่างไร ตัวเองยังกลัว “จะตายห่า” ถ้าพรรคที่ตัวหนุนหลังอยู่ได้ที่นั่งน้อยเกินไป ทั้งๆ ที่มีวุฒิสมาชิกที่ตนแต่งตั้งตั้งท่ายกมือเป็นฝักถั่วให้อยู่แล้ว อย่างนี้ประชาชนจะไม่ตายห่าได้อย่างไร “ตายห่าอยู่แล้ว”

วันนี้บ้านเราไม่ได้ปกครองด้วยหลักกฎหมาย หรือ “นิติรัฐ” rule of law แต่ปกครองตามอำเภอใจ อยากทำอะไรก็ทำ ถ้าขัดต่อกฎหมายหรือไม่มีกฎหมายให้อำนาจก็ใช้มาตรา 44 ทำอะไรก็ได้รวมทั้งออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเองไว้ล่วงหน้า ซึ่งเผด็จการรุ่นก่อนๆ ยังไม่มีใครทำ ขัดต่อหลักการปกครองและหลักนิติรัฐอย่างตรงไปตรงมา สงสาร “เนติบริกร” ที่ต้องกลืนน้ำลายลงท้องไปเรื่อยๆ

ประชาชนรากหญ้า กำลังจะตายห่าอยู่แล้ว..

‘เนติบริกร’ชี้ช่องขึ้นป้ายเชียร์‘บิ๊กตู่’ทำได้ ยันคลอดใช้พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง

“วิษณุ” ปัดตอบ “สมศักดิ์” จ้อ โอกาสนั่งนายกฯ “บิ๊กตู่” สดใส เหตุมี 250 ส.ว.ในมือ โยน กกต.เป็นผู้ชี้ขาดผิดหรือไม่ ยัน ตอนนี้ขึ้นป้ายหนุนได้จนกว่าจะมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง 
6 ธ.ค. 61 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ระบุว่า มีโอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด เนื่องจากเป็นผู้เลือก ส.ว. 250 คนว่า เป็นเรื่องของนายสมศักดิ์ ตนไม่พูด และผู้ที่จะชี้ว่า ผิดหรือไม่ผิดคือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 
เมื่อถามถึงกรณีมีการขึ้นป้ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ที่ จ.ราชบุรี นายวิษณุ กล่าวว่า วันนี้ทำได้ แต่เมื่อมีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) การเลือกตั้งออกมา จะต้องระมัดระวัง รวมถึงพรรคอื่นๆ ก็ยังสามารถทำได้ ไม่ผิดอะไร แต่ละพรรคจะเสนอชื่อใครเป็นนายกฯ สามารถขึ้นป้ายได้ แต่เมื่อมี พ.ร.ฎ.การเลือกตั้งออกมาแล้ว ก็จะเริ่มมีการคิดค่าใช้จ่าย 
เมื่อถามว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ ตอบรับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ ตามที่พรรคการเมืองเชิญ ควรวางตัวอย่างไร นายวิษณุ กล่าวว่า ตนตอบได้ แต่ให้ กกต. เป็นผู้ชี้แจงดีกว่า เพราะทั้งหมดอยู่ที่ กกต. หากรัฐบาลมาพูดว่า ได้ แล้ว กกต.พูดว่า ไม่ได้จะเป็นอย่างไร ใครจะเถียงกับเขาได้ 
เมื่อถามว่า เราจะทราบรายชื่อนายกฯ ที่แต่ละพรรคการเมืองเสนอเมื่อใด นายวิษณุ กล่าวว่า พรรคการเมืองต้องเสนอรายชื่อผู้ที่จะสนับสนุนให้เป็นนายกฯ ก่อนปิดรับสมัคร ส.ส. ซึ่ง กกต.จะเป็นผู้กำหนดว่า จะให้ไปเสนอสถานที่ใด และจะประกาศออกมา

ตุนไว้เยอะ! 'วิษณุ'เผยถก7ธ.ค.มีของมาปล่อยแน่ เมินพรรคใหญ่ไม่ร่วมวง

6 ธ.ค.61 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการหารือร่วมระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) , คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และพรรคการเมือง ว่า ในวันที่ 7 ธ.ค.น่าจะทราบรายละเอียดต่างๆ ส่วนจะปลดล็อกเมื่อไรนั้น รอให้หัวหน้า คสช.เป็นผู้ชี้แจงจะดีกว่า ส่วนรูปแบบการหารือในครั้งนี้ คสช.และรัฐบาล จะเป็นผู้ชี้แจงขั้นตอนต่างๆ ในภาพรวม ส่วนรายละเอียดอาจจะให้ผู้เกี่ยวข้องเป็นผู้ชี้แจง เช่น หากเป็นเรื่องการรักษาความสงบจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ถ้าเป็นเรื่องขั้นตอนการรับสมัครหรือข้อห้ามต่างๆ จะเป็น กกต.จากนั้นจะเปิดโอกาสให้สอบถาม หากเกี่ยวกับใครผู้นั้นจะตอบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวงหารือพรรคการเมืองไม่สามารถเสนอความเห็นอะไรได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เวทีนี้เปิดให้แสดงความเห็น สอบถาม และหารือ โดยอาจจะมีการเสนอว่าตกลงร่วมกันเช่นนี้ยอมหรือไม่ ถ้ายอมก็เป็นเช่นนั้น เพียงแต่เป็นห่วงว่าคนมามากจะใช้เวลาเพียงพอหรือไม่ เพราะการหารือครั้งแรกพรรคการเมืองยังแสดงความคิดเห็นได้ไม่หมด
เมื่อถามย้ำว่า หลังจากหารือแล้วจะมีการทำข้อตกลงร่วมกันว่าจะเดินหน้าการเลือกตั้งอย่างไร หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่ไม่จำเป็นต้องไปถึงขั้นนั้น ส่วนการหารือต่างๆ จะจบในวันที่ 7 ธ.ค.เลยหรือไม่นั้น อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.จะว่าอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องน่าถาม แต่ถามตนไม่ได้
เมื่อถามว่า เหตุที่พรรคการเมืองใหญ่ไม่เข้าร่วม เพราะระบุว่า คสช.มีธงไว้อยู่แล้ว นายวิษณุ กล่าวยอมรับว่า มี เพราะจะไปโดยไม่มีอะไรอยู่ในมือได้อย่างไร อย่างน้อยก็บอกว่าวันไหนเลือกตั้ง ส่วนจะรับฟังความเห็นของฝ่ายการเมืองมาปรับใช้หรือไม่นั้น เราเชิญมาหารือ คำนี้ตนไม่ได้พูดขึ้นเอง แต่มันอยู่ในข้อ 8 คำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 53/2560 ดังนั้น ในการหารือครั้งนี้ความเห็นของฝ่ายการเมืองยังมีความหมาย
ส่วนการที่พรรคใหญ่ไม่เข้าร่วมก็ไม่ใช่เงื่อนไขว่าจะปลดล็อกหรือไม่ปลดล็อก เพราะต่อให้ไม่มีการประชุมเลย คสช.ก็มีเรื่องคิดจะทำไว้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร ทุกอย่างเดินหน้าไป อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งนี้บอกได้แต่เพียงว่า มีของมาปล่อยแน่ เพราะตุนไว้เยอะ

ศก.ใต้บังเหียนรบ.เลือกตั้ง! 'อ๋อย-มาร์ค'ดาหน้าถล่ม5ปีเหลว 'ธนาธร'ชู3ทางแก้

6 ธ.ค.61 ที่อาคารรัตนคุณากร มหาวิทยาลัยรังสิต คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้จัดงานเสวนา เรื่อง "การปฏิรูปและนโยบายเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลเลือกตั้ง" โดยมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์ พรรคไทยรักษาชาติ , นายสมพงษ์ สระกวี ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย , นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ , นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ สมาชิกพรรคภูมิใจไทย , นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นผู้ร่วมเสวนา
"จาตุรนต์"ย้ำ4-5ปีไร้การปฏิรูป แนะทุกพรรคต้องเลิกทำเรื่องที่ไม่มีความน่าเชื่อทางศก.
โดย นายจาตุรนต์ ระบุว่า ในช่วง 4 - 5 ปีที่ผ่านมานี้ หลายคนรู้สึกว่า ไม่พบการปฏิรูปใดๆ และยังเกิดการเสียโอกาสในการแข่งขันกับต่างประเทศ เพราะถึงแม้ว่า ตัวเลขทางเศรษฐกิจเติบโตจริง แต่คนสังสัยทำไมไม่มีเงินในกระเป๋า เพราะแท้จริงแล้วการเติบโตของตัวเลขเศรษฐกิจไทยถือว่า ต่ำสุดในอาเซียน โดยเฉลี่ยช่วง 4 ปี เราโตเพียง 2.4 เปอร์เซ็นต์ เพื่อนบ้านเฉลี่ยที่ 6 เปอร์เซ็นต์ เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำมากยิ่งขึ้นสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก คน 1 เปอร์เซ็นต์ มีทรัพย์สิน 66.9 เปอร์เซ็นต์ แต่คนส่วนใหญ่ 70 เปอร์เซ็นต์ มีทรัพย์สินรวมกันแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ ภาพรวมคือ ไทยเติบโตช้ามาก แถมด้วยความเหลื่อมล้ำมหาศาล อีกทั้ง หลายมาตรการของภาครัฐที่ออกมา โดยหวังว่า จะกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็กลับซ้ำเติมปัญหา เช่น โครงการช็อปช่วยชาติ เที่ยวช่วยชาติ ซึ่งทำให้เกิดประโยชน์แค่คนไม่กี่กลุ่ม และมาตราการลดแลกแจกแถม ซึ่งไม่ทำให้คนพัฒนา
นายจาตุรนต์ กล่าวอีกว่า โครงการขนาดใหญ่ยังคงมีปัญหาเรื่องการประมูล เช่นเดียวกับโครงการประชารัฐในหลายโครงการ เนื่องจากธุรกิจขนาดใหญ่ที่เข้าร่วมกับรัฐได้โปรเจคต์ไปอย่างง่ายๆ ด้วยการโฆษณาว่า ทุนใหญ่จะได้มาช่วยรัฐบาลบริหาร แต่กลายเป็นว่า ยิ่งทำทุนใหญ่ยิ่งได้ประโยชน์ จึงไม่ต้องแปลกใจเหตุใดทำไมทุนใหญ่จึงได้ประโยชน์ อีกทั้งการเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน บุคคลกร ทรัพยากร ต่อสมัยใหม่อย่างเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งสำคัญมากในโลกปัจจุบัน แต่ประเทศไทยถือว่าช้ามาก ล่าสุดก็มีการเก็บภาษี e-commerce การค้าออนไลน์ โดยที่ไม่มีความเข้าใจ จนทำให้ถอยหลังและเสียโอกาสอย่างน่าเสียดาย
"รัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตย มีข้อจำกัดหลายอย่าง จนทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจมาก ถ้าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ประชาชนจะได้มีส่วนร่วมตั้งแต่การกำหนดนโยบาย ที่มากกว่ารัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างชัดเจน สิ่งที่ควรทำเร่งด่วน คือ ต้องฟื้นความเชื่อมั่นของระบบเศรษฐกิจไทย ให้นักลงทุนจากต่างประเทศมาลงทุนกันมากขึ้น รวมถึงผู้บริโภคด้วย เพื่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ทำได้โดยการสร้างประชาธิปไตย ต้องมีเสถียรภาพทางการเมือง พรรคการเมืองต้องช่วยกัน ต้องเลิกทำในเรื่องที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ" นายจาตุรนต์ กล่าว
"สมพงษ์"เผย"เสรีรวมไทย"สนใจปัญหาความยากจน-ความเหลื่อมล้ำ ชี้แปลกใจ"รบ."กลับดีใจที่มีคนจนเพิ่มขึ้น
ต่อมา นายสมพงษ์ ระบุว่า ปัญหาใหญ่ๆ ทางเศรษฐกิจ ที่รอให้พรรคการเมืองไปแก้ไข ก็ยังเดิมๆ เช่น ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ การกระจายรายได้ การทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งนี้ ถึงแม้ว่ารัฐธรรมนูญที่ใช้ในปัจจุบันจะบอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง แต่ผู้เกี่ยวข้องในการร่างฯ กลับไม่ชอบมาตรการการตรวจสอบ และศักยภาพการแข่งขันกับต่างประเทศอ่อนด้อย และการเปลี่ยนผ่านจากอำนาจรัฐประหาร เป็นประชาธิปไตย ซึ่งพรรคเสรีรวมไทยมีสนใจในปัญหาความยากจน และความเหลื่อมล้ำเป็นพิเศษ ทั้งนี้ ตนแปลกใจว่า ทำไมรัฐบาลรู้สึกเหมือนว่าดีใจที่คนไทยเป็นคนจนมากขึ้น ซึ่งอันที่จริงรัฐบาลควรยื่นมือเข้าไปแก้ไข รวมทั้งขณะนี้ราคายางตกต่ำมาก จนกระทั่งเกิดวลีจากชาวบ้าน ว่า "ครอบครัวอด รถถูกยึด และลูกต้องออกจากโรงเรียน" ถือเป็นปัญหาสำคัญที่ทางพรรคเสรีรวมไทยได้วางนโยบายไว้ในการหาเสียง และถือว่าสิ่งที่พรรคจะพูดอะไรออกไปย่อมจะต้องมีความรับผิดชอบ
"อภิสิทธิ์"อัดรบ.ยังยึดติดกับกรอบความคิดเดิมเรื่องรัฐรวมศูนย์ แนะปรับตัวเพื่อให้ก้าวต่อเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน
สำหรับ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาหลายปัญหาขณะนี้ ก็เป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากเศรษฐกิจทั่วโลก เช่น เทคโนโลยีที่สร้างความปั่นป่วนในระบบเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง และประเทศไทยยังเผชิญเรื่องความถดถอยการเมือง การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงเป็นปัญหา คือ 1.อัตราการเจริญเติบโตเศราฐกิจนั้นต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ประชาชนอยู่อย่างยากลำบากมากขึ้น 2.ขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยถดถอยลง 3.ความเหลื่อมล้ำที่สูงขึ้นอันดับต้นๆ ของโลก ต้นตอของปัญหาคือ ผู้บริหารประเทศปรับตัวไม่ได้กับโลกสมัยใหม่ จึงอยู่กับชุดความคิดอำนาจนิยม รวมศูนย์อำนาจ ตามมาด้วยแนวคิดความสงบเรียบร้อยในทุกมิติมากกว่าสิ่งอื่นใด เมื่อคิดแบบนี้รวมกับความไม่เข้าใจของผู้มีอำนาจที่ว่า สังคมมันเคลื่อนตัวไปสู่ยุคหลังอุตสาหกรรมแล้ว ก็ส่งผลให้ออกนโยบายหลายอย่างที่มีปัญหา ถึงแม้ว่าจะใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจไป คาดว่าน่าจะเป็นล้านล้านบาท เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่บังคับให้ใช้ในร้านธงฟ้าประชารัฐ ทำให้เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชน ทำให้เงินทุนไม่หมุนเวียน และบางเรื่องดูเหมือนว่ารัฐบาลจะจำนนกับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า แนวคิดแบบรัฐรวมศูนย์แบบเดิม ไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจสมัยใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยการสร้างสรรค์ เพราะถูกจำกัดเรื่องเสรีภาพ เช่น บทลงโทษใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เป็นต้น อีกทั้งการลดแลกแจกแถมเป็นเพียงการหวังผลเฉพาะหน้า การปฏิรูปไม่มีหลักคิดตั้งแต่ต้น ใช้คำว่า "ปฏิรูป" จนเฝือมาก ทั้งที่มันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในระบบเชิงพื้นฐาน ซึ่งต้องลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชนในทุกทาง นี่คือปัญหาที่เรากำลังเผชิญ ต้องแก้ไขหลังการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคการเมืองต้องมีวิสัยทัศน์ให้ชัดเจน เพื่อพาประเทศออกจากปัญหาให้ได้
"สิริพงษ์"ชี้ที่ผ่านมา"รบ."เน้นความคุ้มค่ามากกว่าให้โอกาส ยัน"ภท."จะลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจประชาชน
ส่วน นายสิริพงศ์ ระบุว่า ประชาชนได้สะท้อนผ่านผลโพลล์ว่า ต้องการให้นักการเมืองดูแลราคาสินค้าเกษตร ปัญหาหนี้สิน พัฒนาเศรษฐกิจ การค้าการท่องเที่ยว  พัฒนาจังหวัดท้องถิ่นให้เจริญ และพัฒนาระบบขนส่งมวลชน การศึกษา พลังงานและสิ่งแวดล้อม แต่ที่ผ่านมาได้พยายามแก้มาตลอด แต่ทำได้เพียงเฉพาะหน้า ซึ่งปัญหาเกิดจากรายได้อยู่ที่ภาคอุตสาหกรรมมากกว่า ภาคเกษตรกรที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศและยังคงจนซ้ำซ้อน ที่ไม่อาจเปลี่ยนให้ไปทำอาชีพอย่างอื่นได้ เพราะนี่คือวิถีชีวิต เศรษฐกิจเมืองรองและเมืองเล็กก็ไม่ได้รับการเหลียวแล วิธีการบริหารจัดการภาครัฐสมัยที่ผ่านมา ใช้หลักความคุ้มค่ามากกว่าการให้โอกาส นี่คือส่วนหนึ่งของความเหลื่อมล้ำอย่างภาษีมรดกนั้น ก็ไม่เห็นคนรวยคนไหนได้รับผลกระทบเลย มีแต่คนจนพ่อเสียชีวิตต้องไปขายนามาเสียภาษีรับมรดก ภาษีที่ดินก็ชัดเจนที่สุด คนรวยมีเงินพอจ่ายแล้ว แต่คนชั้นกลางและคนชั้นล่าง ต่างหากคือคนที่ต้องรับภาระ กฎหมายไทยเหมือนเรื่องตลก เหมือนมันถูกออกมาเพื่อรังแกคนทำมาหากิน ซึ่งภูมิใจไทยจะลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน
"กิตติรัตน์"ท่องคาถา กลไกไม่เป็นปชต.ทำให้ศก.เกิดปัญหา แนะรัฐควรส่งเสริม ไม่ควรเป็นอำนาจนิยม
ด้าน นายกิตติรัตน์ ระบุว่า หากให้ความสำคัญกับการกระจายรายได้ ภาวะรวยกระจุกจนกระจายจะดีขึ้น ทั้งยังต้องสร้างเสถียรภาพทางราคา ไม่ใช่เดี๋ยวถูกเดี๋ยวแพง เศรษฐกิจจะดีได้ต้องมาจากรายได้สำคัญคือ การส่งออก ที่เราพึ่งพากันสูงถึงร้อยละ 70 ของทั้งหมด การท่องเที่ยวก็สำคัญ การอุปโภคบริโภคภายในประเทศก็สำคัญ ซึ่งจะเกิดจากขึ้น ก็ต่อเมื่อประชาชนมีกำลังซื้อ ตลอด 4 - 5 ปีนี้ ตนมีแต่ความทุกข์ เพราะกลไกที่ไม่เป็นประชาธิปไตยก่อให้เกิดผลร้ายมาก การส่งออกจะดีกว่านี้มากถ้าอยู่ในระบอบประชาธิปไตย ข้อตกลงเสรีทางการค้าทุกอย่างที่ทำไว้ต้องชะงักลง นอกกจากการพูดจาไม่ระวังจนทำให้การท่องเที่ยวมีปัญหาแล้ว ก็พบว่า การเอาใจใส่ในการท่องเที่ยวมีน้อยอีกด้วย
นายกิตติรัตน์ กล่าวด้วยว่า ถ้าเป็นรัฐบาลปกติ จะมีฝ่ายค้านคอยซักเรื่องงบประมาณกันยาวนาน แต่สภาที่แต่งตั้งมาใช้เวลาการพิจารณาเพียงไม่นาน ระบอบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ให้ร้ายระบอบประชาธิปไตยทุกอย่าง ดังนั้น ตนอยากเห็นภาครัฐทำหน้าที่ส่งเสริมจัดระเบียบ ไม่ใช่ทำตนเป็นอำนาจนิยม ออกกฎระเบียบจนคนสุจริตหมดกำลังใจที่จะทำงาน ควรให้โอกาส ธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็กให้มีความสามารถในการแข่งขัน ก็จะก่อให้เกิดผลดีต่อการสร้างสินค้าและบริการจำหน่ายแก่คนทั้งในและนอกประเทศ ไม่ใช่ปล่อยให้ทุนใหญ่เป็นผู้กำกับแบบที่ผ่านมา ดังนั้น ถ้าตนเสนออะไรได้ตอนนี้คือ อยากให้คนเติมน้ำมันมีความสุข โดยเฉพาะดีเซล สำหรับภาคขนส่ง ซึ่งราคาทุกวันนี้ ไม่ได้ต่างจากวันที่น้ำมันในตลาดโลกราคาพุ่งสูงเลย ก็เพราะภายใต้รัฐบาลนี้ มีการเพิ่มภาษีดีเซล 2 ครั้ง รวม 6 บาทต่อลิตร เพราะฉะนั้น ภารกิจของรัฐในอนาคต จะต้องดูแลราคาสินค้าเกษตรให้ดีขึ้น โดยถือเป็นหน้าที่ เพื่อเป็นการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ทั้งยังต้องบูรณาการส่วนราชการ เอกชน ประชาสังคม เอ็นจีโอ ชุมชน ก็ควรมีโอกาสปรึกษาหารือในการทำงานร่วมกัน เพื่อเป็นทางออกในการปลดปล่อยเศรษฐกิจไทยให้มีศักยภาพพร้อมแข่งขันได้มากขึ้น
"ธนาธร"เสนอ3แนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจ "ปลดล็อกการผูกขาด-สร้างอุตสาหกรรมโดยคนไทย ไม่ใช่แค่เป็นฐานการผลิต-กระจายอำนาจท้องถิ่น"
สุดท้าย นายธนาธร กล่าวว่า ทุกพรรคมีนโยบายคล้ายกันหมด เห็นทุกปัญหาไปในทิศทางเดียวกัน ในเมื่อทุกพรรคเห็นปัญหาหมดแล้ว จะแก้ยังไง ซึ่งต้องกลับมาพูดความจริงว่า โครงสร้างที่กดทับสังคมไทย ไม่อยากให้สังคมไทยก้าวหน้า เพื่อให้พวกตนมีอำนาจทางการเมือง ทางเศรษฐกิจเหนือกว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศนานเท่านาน คือกลุ่มอภิสิทธิ์ชน โดยทหาร ข้าราชการ และทุนผูกขาด ซึ่งถ้าไม่ทำลายโครงสร้างแบบนี้ เราจะไม่เห็นความก้าวอย่างที่เราอยากเห็น ถ้าไม่จัดการกันอย่างตรงไปตรงมา ในทางเศรษฐกิจ ขาหนึ่งที่อภิสิทธิ์ชนมีอยู่ จะเป็นระบบปิด ไม่ให้เปิดเสรี ไม่ต้องมีการแข่งขัน อีกขาหนึ่งที่อภิสิทธิ์ชนไม่อยู่ ภาคธุรกิจนั้นก็เปิดให้มีการแข่งขัน ทำให้ภาพของประเทศไทยกลายเป็นฐานการผลิตของทุนต่างชาติ
นายธนาธร ระบุด้วยว่า เราจำเป็นที่ต้องนำเสนอ เพื่อปฏิเสธกระบวนทรรศน์แบบเก่า และเสนอแบบใหม่ โดยอนาคตใหม่ขอเสนอแนวคิดพัฒนาเศรษฐกิจไทย ดังนี้ 1.ปลดล็อกการผูกขาดในทุกอุตสาหกรรม ที่ทุนใหญ่นอนเตียงเดียวกับขุนทหารเป็นพวกเดียวกัน เพราะนอกจากจะปิดกั้นโอกาสของประชาชนแล้ว ยังเป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตย ยกเลิกการผูกขาดภาคธนาคาร ภาคการเกษตรต้องเลิกเอาเงินภาษีไปซื้อปุ๋ยเจ้าใหญ่แจกจ่ายประชาชน สุราชุมชุมก็ต้องปลดปล่อย 2.สร้างอุตสาหกรรมโดยคนไทยเพื่อคนไทย หมดเวลาแล้วที่คิดว่า ไทยเป็นฐานการผลิตให้ทุนข้ามชาติ และ 3.กระจายอำนาจท้องถิ่น ปลดปล่อยศักยภาพของประเทศไทย อย่าปล่อยให้กรุงเทพเป็นคอขวดอีกต่อไป ซึ่งทางพรรค อนาคตใหม่จะไม่สัญญาจะแก้ปัญหาทั้ง 77 หวัดได้ แต่สัญญาว่า พรรคอนาคตใหม่ จะพยายามเต็มทที่สุดความสามารถในการผลักดันให้ประชาชนในท้องถิ่นจัดการตนเองให้ได้

'หญิงหน่อย' ฉะ 'ประยุทธ์' ไร้คุณสมบัติ ที่จะเรียกพรรคการเมืองไปฟังกติกา

6 ธ.ค.61 - คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความลงในเฟซบู๊กแฟนเพจ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์  Sudarat Keyuraphan ระบุว่า "สืบเนื่องจากกรณีที่ คสช.กำหนดให้พรรคการเมือง ไปประชุมที่สโมสรทหารบก โดยให้ กกต.เป็นเพียงคนเชิญ แทนที่จะให้ กกต.เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการประชุม พรรคเพื่อไทยมีความเห็นดังนี้
การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย เหมือนการแข่งขันทั่วไปที่ต้องมี กฎ กติกา มารยาท ที่เป็นธรรม คนที่จะเสนอตัวเป็นคนกลางในการกำหนดกติกา ไม่ควรเป็นหนึ่งในผู้ที่จะลงแข่งขันด้วย
ในเมื่อรัฐธรรมนูญ ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าให้ กกต. มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ก็ควรปล่อยให้ กกต.มีอิสระในการดำเนินการ คสช.และรัฐบาล ไม่ควรพยายามใช้อำนาจในการครอบงำ
พล.อ.ประยุทธ์ ในวันนี้ นอกจากมีสถานะเป็นประธาน คสช. เป็นนายกรัฐมนตรี แล้ว ยังเป็นว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ เปรียบการเลือกตั้งเหมือนการชกมวย ที่นักมวยต้องมาฟังกติกา ถ้าอย่างนั้นตัว พล.อ.ประยุทธ์เอง ย่อมเปรียบได้กับเจ้าของค่ายมวย ที่กำลังจะส่งตัวเองลงแข่งเสียเอง
ถ้าอยากจะนั่งหัวโต๊ะประชุมเอง ในบทบาทของคนเป็นกรรมการกลาง ช่วยประกาศให้ชัดเจนก่อนดีไหมคะ ว่าจะไม่เซ็นชื่อ เพื่อตอบรับเป็นตัวเลือกนายกฯ ตามที่พรรคพลังประชารัฐเสนอ
ถ้าไม่ประกาศให้ชัดเจน พล.อ.ประยุทธ์ฯ ก็ควรมานั่งฟังกติกาข้างๆ กันในฐานะ “นักมวย” คนหนึ่ง แล้วปล่อยให้ประธาน กกต.ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างอิสระและเป็นธรรม จะดีกว่าไหมคะ?
สำหรับเวทีนี้ พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าเราไม่ขอเข้าร่วม และเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของ พปชร. ไม่มีคุณสมบัติเป็นกลางเพียงพอ ที่จะเรียกพรรคการเมืองไปฟังกติกาค่ะ"

ยื่นคำขาด!'จตุพร'ให้'บิ๊กตู่'ลาออกจากนายกฯและหัวหน้าคสช.ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

6 ธ.ค.61- นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนชป. ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อชาติ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์ ระบุว่า
“อย่ามองว่า พรรคไม่เข้าร่วมไม่ต้องการเลือกตั้ง แต่พรรคอื่นต้องการเลือกตั้งแบบบริสุทธิ์ ยุติธรรม ไม่เอาเปรียบ เขาไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นทั้งผู้เล่นและควบกรรมการตัดสินด้วย ผมจึงของเรียกร้องพล.อ.ประยุทธ์ ควรลาออกจากนายกฯ และหัวหน้า คสช.ตั้งแต่บัดนี้ไป”

สื่อคิดไปเอง!'บิ๊กตู่'รับนายกฯพปชร.'ป้อม'บอกต้องเอาเรื่องจริงมาเขียนสิ



6 ธ.ค.61 - ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกลาโหม กล่าวถึงกรณีมีการขึ้นป้ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ จ.ราชบุรี ถือเป็นการหาเสียงล่วงหน้าหรือไม่ ว่า เขาบอกติดป้ายได้ หากพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งยังไม่ประกาศ หากประกาศแล้วต้องเอาลง และไม่ใช่เป็นการโฆษณา เป็นป้ายของกลุ่มต่อต้านทุจริต ไม่ใช่คนทั่วไป  
"และวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์รับเป็นหนึ่งในรายชื่อให้พรรคการเมืองเสนอเป็นนายกฯอีกครั้งแล้วหรือยัง ที่ประเมินกันว่านายกฯจะรับในอนาคตนั้น สื่อคิดกันเอง ต้องเอาเรื่องจริงสิ"พล.อ.ประวิตร ระบุ.
ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคอื่นหากจะสนับสนุนใครก็ติดป้ายได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ตนไม่รู้ หากทำอะไรไม่ผิดกฎหมายก็ทำได้

สหพันธรัฐไท

สหพันธรัฐไท
หน่วยข่าว ทหาร-ตำรวจ -กอ.รมน. วุ่น!! กระจายกำลัง 24 จุด ทั่วประเทศ หลัง“กลุ่มสหพันธรัฐไท”นัดพบเคลื่อนไหว เชิงสัญลักษณ์ พร้อมธง ดำแดง แต่ไร้วี่แวว / แต่มี พบกันที่ สกายวอล์ค​ มาบุญครอง
ตั้งแต่ เช้าวันนี้ 5 ธค.2561 จนถึงเย็น ทหาร ตำรวจ ทั้งในเครื่องแบบ นอกเครื่องแบบ และหน่วยข่าว กระจายกำลังกันไปตามจุด ใน24จังหวัดทั่วประเทศ ที่ได้รับรายงานว่า มีการนัดพบของ
“กลุ่มแนวร่วมองค์การสหพันธรัฐไท “
เพื่อทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ใส่เสื้อดำติดตราสัญลักษณ์ ในสถานที่สาธารณะ
ทั้งนี้ มีการนัดหมายพบปะกัน ในพื้นที่
กรุงเทพฯฝั่งตะวันออก...โซนมีนบุรี/หนองจอก/ลาดกระบัง/หทัยราษฎร์ และพื้นที่ใกล้เคียง จะนัดรวมตัวกันที่ บิ๊กซีแยกมีนบุรีและโลตัสมีนบุรี
โซนรามอินทรา จะนัดรวมตัวกันที่แฟชั่นไอซ์แลนด์
โซนเสรีไทย/นวมินทร์/รามคำแหง จะนัดรวมตัวกันที่โลตัสบางกะปิและเดอะมอลล์บางกะปิ
โซนลาดพร้าว จะนัดรวมตัวกันที่เซ็นทรัลลาดพร้าว และยูเนี่ยนมอลล์
โซนพหลโยธิน จะนัดรวมตัวกันที่บิ๊กซีสะพานควาย
ส่วน กรุงเทพฯฝั่งตะวันตก
โซนถนนพระบรมราชชนนี/พุทธมณฑลสาย 4,5 และนครปฐม จะนัดรวมตัวกันที่เซ็นทรัลศาลายา
โซนตลิ่งชัน/ปิ่นเกล้า/พระราม 8 จะนัดรวมตัวกันที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า
โซนท่าพระ/บางแค จะนัดรวมตัวกันที่เดอะมอลล์บางแค และซีคอนบางแค
กรุงเทพฯใจกลางเมือง จะนัดรวมตัวกันที่สกายวอล์คฝั่งมาบุญครอง/เซ็นทรัลพระราม 3 / โลตัสพระราม 3
พื้นที่ต่างจังหวัดที่ จ.สมุทรปราการ
โซนเทพารักษ์/พระประแดง นัดรวมตัวกันที่บิ๊กซีพระประแดง / โลตัสพระประแดง
จังหวัดนครปฐม นัดรวมตัวกันที่องค์ปฐมเจดีย์/เซ็นทรัลศาลายา
จังหวัดเพชรบุรี นัดรวมตัวกันที่บิ๊กซี/โรบินสัน
จังหวัดสมุทรสาคร นัดรวมตัวกันที่เซ็นทรัลมหาชัย
จังหวัดสมุทรสงคราม นัดรวมตัวกันที่โลตัส/บิ๊กซี
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นัดรวมตัวกันที่บูลพอร์หัวหิน
จังหวัดราชบุรี นัดรวมตัวกันที่โรบินสันราชบุรี
จังหวัดสุพรรณบุรี นัดรวมตัวกันที่โรบินสัน
จังหวัดกาญจนบุรี นัดรวมตัวกันที่โลตัส
จังหวัดปทุมธานี
โซนรังสิต/คลองหลวง นัดรวมตัวกันที่ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต
จังหวัดนนทบุรี
นัดรวมตัวกันที่เซ็นทรัลเวสเกท
จังหวัดชลบุรี
นัดรวมตัวกันที่ชายหาดพัทยา
จังหวัดลพบุรี
นัดรวมตัวกันที่บิ๊กซี
จังหวัดสระบุรี
นัดรวมตัวกันที่เทสโก้โลตัส
จังหวัดพิษณุโลก
นัดรวมตัวกันที่ห้อนาฬิกาใกล้สถานีรถไฟ
จังหวัดบุรีรัมย์
นัดรวมตัวกันที่ห้างทวีกิจ
จังหวัดนครราชสีมา
โซนโคราช นัดรวมตัวกันที่ลานย่าโม
จังหวัดสุรินทร์
นัดรวมตัวกันที่หน้าวงเวียนใกล้ศาลากลางจังหวัด
จังหวัดชัยภูมิ
นัดรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์พระยาแล
จังหวัดกำแพงเพชร
นัดรวมตัวกันที่ห้างโรบิลสัน
จังหวัดนครศรีธรรมราช
_นัดรวมตัวกันที่ห้างเซ็นทรัล
จังหวัดชุมพร
นัดรวมตัวกันที่ห้างโอเชียล
จังหวัดเชียงใหม่
นัดรวมตัวกันที่กาดวสวนแก้/ลานอนุสาวีรย์ 3 กษัตริย์/ห้างเซ็นทรัล(festival)
จังหวัดอุบลราชธานี
นัดรวมตัวกันที่บิ๊กซี/ตลาดสดริมน้ำมูลจุดชมวิว
แต่ปรากฏว่า ไม่พบความเคลื่อนไหวสำคัญ ใดๆ
มีแต่ ในกรุงเทพฯ 4 จุด ที่ ซีคอนสแควร์ , สกายวอร์ค ฝั่ง ห้างมาบุญครอง , บิ๊กซีสุวินทวงศ์ แยกมีนบุรี , ห้างเซ็นทรัลบางนา

โดยที่ ลานสกายวอล์ค​ ห้างมาบุญครอง​ ช่วงเย็น มี มวลชนใส่เสื้อสีดำ​ บางคนติดตราสัญลักษณ์​สหพันธรัฐไท​ ยืนจับกลุ่มคุยกัน​ และ ได้ชูธงสัญลักษณ์​ขาวแดง​ มีข้อความ​ THAI FEDERATION รอบสกายวอล์ค​ 1 รอบ​
ขณะที่ กอ.รมน.จังหวัด ชลบุรีรายงาน ว่า ช่วงบ่าย ได้ร่วมกับ มทบ.14 อ.บางละมุง และ จนท.ฝ่ายปกครองอ.บางละมุง และ จนท.ตร.สภ.บางละมุง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ กลุ่มสหพันธ์รัฐไท ที่ ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล, ตึกคอมพัทยา, บริเวณชายหาดพัทยา
ต.หนองปรือ อ.บางละมุง แสดงออก
-เชิงสัญลักษณ์ ด้วยการ"ใส่เสื้อสีดำและติดธงสหพันธ์รัฐไท"
โดยจนท.เชิญให้ไปที่ สภ.เมืองพัทยา
เพื่อสอบสวนในเบื้องต้น และได้ให้พาไปยังที่พักเพื่อตรวจค้น แต่
ไม่พบสิ่งผิดปกติที่เชื่อมโยงกับ"กลุ่มสหพันธ์รัฐไท" แต่ได้เชิญตัวมาสอบสวนเพิ่มเติม และลงบันทึกประวัติบุคคล ที่ สภ.เมืองพัทยา
Cr.มรกต

คสช. สะกิดต่อมมารยาท นักการเมือง!

คสช. สะกิดต่อมมารยาท นักการเมือง!
ใคร พรรคไหน ไม่ร่วมถกแม่น้ำ 5 สาย ก็อย่าวิจารณ์ ให้มีมารยาท เพราะไม่รู้รายละเอียดในที่ประชุม แนะให้ กลับไปนอนคิด 1 คืน ก่อนตัดสินใจ พรุ่งนี้ เผยส่งหนังสือเชิญ ไป105 พรรค
พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช. กล่าวถึง การประชุมหารือร่วมกันระหว่างแม่น้ำ 5 สาย และพรรคการเมือง ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. เป็นประธาน ในวันที่ 7 ธันวาคมนี้ ที่ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดี ว่า ทาง คสช.ได้ส่งหนังสือ เชิญไปยังกลุ่มพรรคการเมืองแล้ว 105 พรรคการเมือง ซึ่งส่วนหนึ่งได้ตอบรับมาบ้างแล้ว และบางส่วนก็ยังนิ่งอยู่
“คสช.อยากให้ทุกพรรคการเมืองมสร่วมกัน เพื่อเดินไปสู่การเลือกตั้งที่สงบ เรียบร้อย “
พันเอกหญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า ในการจัดประชุมในครั้งนี้ คสช.จัดเพื่อให้ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องการเตรียมการเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 จึงอยากให้ทุกฝ่ายเข้ามารับทราบข้อมูล รวมถึงรับฟังข้อเสนอแนะของฝ่ายการเมือง
“ไม่อยากให้เอาข้อความในหนังสือเชิญบางข้อความมาตีความ เพราะเป็นเพียงแค่การ์ดเชิญมาร่วมประชุมเท่านั้น แต่ในสาระจริง ๆ มีข้อปลีกย่อยอีกมากมาย ซึ่งอยากให้พรรคการเมือง เปิดใจและได้เข้ามาพูดคุยร่วมกัน
“แต่หากไม่มาร่วม แล้ว หลังจบการพูดคุยวันที่ 7 ธันวาคมนี้ แล้วบุคคลใดหรือพรรคการเมืองใด ที่ไม่ได้รู้สาระหรือรายละเอียดในที่ประชุม ก็ไม่ควรจะวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเป็นเรื่องของมารยาท”
อย่างไรก็ตาม ที่พูดนี้ ไม่ได้เจาะจง ถึงพรรคใด เพียงแต่มีการพูดถึงภาพรวมเท่านั้น
พันเอกหญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถ สรุปตัวเลขว่าพรรคการเมืองที่ตอบรับเข้ามาประชุมในวันพรุ่งนี้ได้. เนื่องจากขอดูพรุ่งนี้อีก 1 วัน
“ วันนี้เขาไม่มา พรุ่งนี้เขาอาจจะเปลี่ยนใจ ซึ่งเหตุการณ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดวัน ซึ่งอยากให้พรรคการเมืองที่ตั้งใจจะไม่มาให้กลับไปนอนคิดอีก 1 คืน เพื่อตัดสินใจเข้าร่วมประชุมในวันที่ 7 ธันวาคมนี้” รองโฆษก คสช. ระบุ

เจอแต่ พลังประชารัฐ



เจอแต่ พลังประชารัฐ
“บิ๊กป้อม” พร้อมตอบ ทุกคำถาม 7ธค.ยัน คสช.ไม่เกี่ยว “พรรคพลังประชารัฐ” ไม่มีใครในคสช.เข้าพรรคเลย มีแต่ 4 รมต. ปัดข่าว พบนักการเมือง ยันไม่เคยเจอ”เพื่อไทย-ปชป” เจอแต่ พลังประชารัฐ 4 รมต. เชื่อหลังเลือกตั้ง ไม่มีใคร มาคุยเรื่องการเมืองกับผม
พลเอกประวิตร กล่าวถึง กรณี หากมีพรรคการเมืองสอบถามถึงความสัมพันธ์ระหว่าง คสช. กับ พรรคพลังประชารัฐ ว่า ไม่ได้มีความเกี่ยวพันอะไรกับ คสช. เพียงแต่มี 4 รัฐมนตรี ที่ทำงานร่วมกันในรัฐบาล อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ แล้วจะไปเกี่ยวกันได้อย่างไร
“คนที่เขาอยากเล่นการเมือง เขาก็ไป คนที่ไม่อยากเล่นการเมือง ก็ไม่ไป ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย แล้วคนใน คสช. ก็ไม่ได้ไปอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ จะเกี่ยวกันอย่างไร”
เมื่อถามว่า นักการเมืองมีการพูดคุยกันว่าไปพบกับท่านมา นั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่เคยไป และไม่เคยพบกับพรรคการเมืองใด ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย
ส่วนกับ พรรคพลังประชารัฐ ก็พบเฉพาะ 4 รัฐมนตรี แต่ก็ไม่ได้มีการพูดคุยในเรื่องการเมือง แต่จะคุยกันในเรื่องของงานที่เกี่ยวข้องกับงานของรัฐบาล
เมื่อถามว่า หลังเลือกตั้ง หากมีคนเข้ามาคุยจะพร้อมหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เขาคงไม่คุยแล้ว เพราะตนไม่ได้อยู่ในตำแหน่ง ขนาดอยู่ในตำแหน่งเขายังไม่มาคุยเลย แล้วจะมาคุยอะไรหลังเลือกตั้ง ยังมองไม่เห็นภาพ ก็พูดกันไปเรื่อย

ยันไม่ใช่โฆษณา หาเสียง แต่เป็นการประกาศสนับสนุน

ยันไม่ใช่โฆษณา หาเสียง แต่เป็นการประกาศสนับสนุน
“บิ๊กป้อม” ชี้ ป้ายหนุน”บิ๊กตู่” ทำได้ แต่ถ้า พรฎ.เลือกตั้ง ออก ต้อง เอาลงก่อน ยันไม่ใช่โฆษณา หาเสียง แต่เป็นการประกาศสนับสนุน
พลเอกประวิตร กล่าวถึงกรณีกลุ่มต่อต้านคอร์รัปชันมีการติดป้ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า ก็เขาบอกว่าติดป้ายได้ เพราะยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งออกมา ถ้าประกาศออกมาแล้วก็ต้องเอาลง
เมื่อถามว่า พรรคการเมืองอื่นๆ ก็สามารถติดป้ายได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็ไม่รู้ แต่ถ้าอะไรไม่ผิด ก็ทำได้ และนี่ก็ไม่ใช่การโฆษณา แต่เป็นเรื่องของกลุ่มต่อต้านการทุจริตที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้มาจากคนทั่วไป
เมื่อถามว่า แต่มาติดป้ายในช่วงที่ใกล้เลือกตั้งจะส่งผลอะไรหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า แล้วนายกรัฐมนตรีรับหรือยัง ขอให้เอาเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ส่วนใครจะคิดอะไรก็คิดไป

กรรมการเรียกนักมวยไม่มาก็เลิกชกไปซะ

ไล่นักมวย ลงเวที !!
“บิ๊กตู่” แขวะ พรรคที่ไม่ร่วมวง 7ธค.ไม่เคารพกติกา เป็นนักมวย ขึ้นเวที แล้วกรรมการเรียกมาชี้แจง นักมวยส่ายหน้าไม่ยอมมา ถ้าไม่มา ก็เลิกชก ไปเสีย ประชาชน ก็อย่าไปดูและต้องคิดกันเอาเอง”.....เปรย”ผมแค่พูดเสียงดุ แต่ ผมใช้อำนาจ ทำร้ายพวกคุณหรือยัง?
“ผมขอถามว่า ผมใช้อำนาจของผมมาทำร้ายพวกคุณหรือยัง จับพวกคุณไปทำอะไรหรือเปล่า มีแต่พูดเสียงดุบ้างเท่านั้น บางเวลาก็ตลก และน่ารักบ้าง 
ผม ไม่มีอะไรกับใครอยู่แล้ว ส่วนเรื่องการเมืองก็ว่ากันไป
ขอให้เรามีความรักความสามัคคีและความจงรักภักดีของพวกเรา ที่มีให้กับ 3 สถาบันหลักของชาติ ขอให้รักกัน ถ้าไม่รักกันไม่สามัคคีกัน ทุกอย่างก็จะกลับไปที่เก่า หรืออยากจะให้กลับไปอยู่ที่เดิม ชอบเหมือนเดิมอย่างนั้นหรือ ดีหรือที่คนเยอะแยะมารวมตัวกันแล้วขายของได้เยอะอย่างนั้นหรือ คิดอย่างนี้ไม่ได้
ประเทศเราจำเป็นต้องสงบ อย่าลืมว่า 4 ปีที่ผ่านมา ทุกอย่างแม้จะสงบแต่ก็ยังมีปัญหาบ้าง การทำความผิด การทุจริต ทำได้ไม่มากนัก ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย
ยอมรับว่า ยังมีอยู่ยังเห็นได้ว่ามีการทะเลาะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ ทุกวัน รวมทั้งเทศกิจ ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาทุกประเทศก็มีแบบนี้เช่นกัน
แต่ทั้งหมดต้องระมัดระวังว่าทำอย่างไรสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น และมีความมั่นคงเกิดขึ้น ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ เจ้าหน้าที่ เอกชน ประชาชน ผู้นำทางการเมือง และผู้นำทางการเมืองท้องถิ่น” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ขอร้องว่าอย่าเอาเรื่องการเมือง อย่าเอากฎหมายมาสู้กัน ต้องเอากฎหมายที่เขียนไว้เพื่อคนทุกคนมาทำให้ได้ ใครที่ไม่เห็นชอบ ไม่มา ไม่ยอมมาดูกฎกติกา
ก็คิดกันเอาเอง ถ้าวันที่ 7 ธ.ค. นี้ ไม่มาก็คือไม่ต้องมา แล้วถ้าประชาชนจะเลือกกลับเข้ามาอีกก็ตามใจ ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ไม่เคารพกติกา เป็นนักมวยขึ้นเวทีแล้วกรรมการเรียกมาชี้แจง นักมวยส่ายหน้าไม่ยอมมา ถ้าไม่มาก็เลิกชก ไปเสีย ประชาชน ก็อย่าไปดูและต้องคิดกันเอาเอง”

คลอด 2 มาตรการของขวัญปีใหม่เพื่อเอสเอ็มอี

คลอด 2 มาตรการของขวัญปีใหม่เพื่อเอสเอ็มอี
Publisher :
6 December 2018

รองนายกรัฐมนตรีควง รมว.อุตสาหกรรม สั่งเร่งสรุปมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีเสนอ ครม. ให้ทันเป็นของขวัญปีใหม่ เคาะ 2 มาตรการ กองทุนฟื้นฟูให้โอกาสคนติดกับดักทางการเงิน คนเคยล้มลุกสู้สร้างอาชีพใหม่ และรักษาธุรกิจเดิม 1.8 พันล้านบาท และสินเชื่อพิเศษช่วยเสริมสภาพคล่องกลุ่มค้าส่งค้าปลีกร้านโชห่วยทุกพื้นที่ คาดช่วยเอสเอ็มอีรายเล็กๆ ได้นับแสนราย

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมเพื่อเร่งรัดจัดทำข้อสรุปมาตรการความช่วยเหลือให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ทันก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลถึงเอสเอ็มอีทั่วประเทศ ที่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME Development Bank ว่า มีความชัดเจนแล้วถึง 2 มาตรการ แยกเป็นเรื่องที่ช่วยกลุ่มธุรกิจที่สะดุดแต่ยังไปต่อได้ ซึ่งจะมีการเติมเงินทุนส่วนหนึ่งไปเริ่มต้นธุรกิจใหม่ กับกลุ่มร้านค้าส่งค้าปลีกร้านโชห่วยเล็กๆ ร้านธงฟ้าในชุมชน ร้านสินค้าเกษตร เป็นต้น โดยกลุ่มนี้ต้องการเงินทุนหมุนเวียนจำนวนหนึ่งเพื่อสั่งซื้อสินค้าเข้าร้านในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มถือเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนที่สำคัญที่รัฐบาลจะช่วยเหลือดูแลอย่างเต็มที่

ายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ทั้ง 2 มาตรการเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายเสริมแกร่งเอสเอ็มอีของกระทรวง เรื่องกองทุนฟื้นฟู SMEs วงเงิน 1.8 พันล้านบาทนั้น เป็นการยุบรวม 2 กองทุนที่เหลือจาก สสว. นำมาปรับให้เกิดความเหมาะสมและคล่องตัว โดยมอบให้ ธพว. ซึ่งมีสาขาทุกจังหวัดทั่วประเทศเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งจำเป็นต้องนำเสนอต่อ ครม. ให้ความเห็นชอบ ซึ่งหลักใหญ่คือต้องช่วยเอสเอ็มอี “ล้มแล้วลุก” อีกครั้งให้ได้ โดยเงินทุนที่ช่วยเหลือแต่ละรายต้องไม่มีดอกเบี้ยให้เป็นภาระแก่ผู้ประกอบการ ระยะเวลาผ่อนก็ต้องยาวนานพอที่กิจการจะฟื้นตัว แม้ว่าวงเงินต่อรายอาจไม่มาก เพื่อให้กระจายความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการมากที่สุด แต่ถ้ากิจการเริ่มเข้มแข็งแล้ว จะให้ ธพว.สนับสนุนสินเชื่ออื่นเพิ่มเติมให้
“เราไม่ได้ช่วยแค่เฉพาะช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่จะช่วยเสริมแกร่งให้ตลอดทาง โดยได้มอบให้ ธพว. ออกมาตรการช่วยเหลือที่ไม่ใช่การเงินควบคู่ด้วย ทั้งเรื่องเสริมความรู้ทางการเงินที่เอสเอ็มอีต้องรู้ การช่วยเหลือทางการตลาดให้ขายสินค้าได้ การปรับปรุงกิจการโดยใช้เทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเรื่องที่จำเป็นอื่น ๆ”

ส่วนสินเชื่อพิเศษช่วยเหลือปรับเปลี่ยนยกระดับวิธีการขายช่วยผู้ประกอบการค้าส่งค้าปลีกร้านโชห่วยเล็กๆ ในชุมชนที่มีนับแสนรายให้ขายสินค้าหลากหลายจำเป็นกับชุมชน โดยเติมสภาพคล่องในการสั่งซื้อสินค้าเตรียมพร้อมจำหน่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่และตรุษจีนที่จะถึง แต่ละร้านค้าใช้วงเงินไม่มากประมาณ 200,000-300,000 บาท แต่จะก่อให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจในชุมชนได้ 5-7 รอบ ซึ่งถ้ารวมทุกแห่งถือเป็นการสร้างมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศได้มหาศาล

นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า ของขวัญปีใหม่ที่จะนำเสนอต่อ ครม.ได้แก่ การขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ที่กำลังจะหมดในวันที่ 18 ธันวาคม 2561 นี้ และมีวงเงินเหลืออยู่ 3.5 หมื่นล้านบาท โดยให้ขยายระยะเวลาโครงการไปถึง 18 ธันวาคม 2562 หรือจนกว่าหมดวงเงินสินเชื่อรวมโครงการ พร้อมกับขยายกลุ่มธุรกิจเป้าหมายของสินเชื่อนี้จากกลุ่มเกษตรแปรรูป ธุรกิจท่องเที่ยว และมีนวัตกรรม โดยให้เพิ่มกลุ่มค้าส่งค้าปลีก ร้านโชห่วย ร้านค้าชุมชน ร้านธงฟ้า ผู้ประกอบการค้าสินค้าเกษตร เข้าไว้ด้วย ภายใต้ชื่อ โครงการประชารัฐเสริมแกร่งการค้าสู่ชุมชน เพื่อเสริมให้เก่งปรับเปลี่ยนยกระดับใช้เทคโนโลยีปักหมุดสู่สากลให้อยู่บนถนนดิจิทัล เพิ่มมูลค่า แปรรูป ขายเอง กำหนดราคาได้เอง วางเป้าหมายจะสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเข้าถึงสินเชื่อนี้ได้ครบทุกตำบลทั่วประเทศ ซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ ในระดับชุมชนอย่างกว้างขวาง รวมถึง เชื่อมโยงกับระบบถุงเงินประชารัฐของกระทรวงการคลัง และโชห่วย-ไฮบริดของกระทรวงพาณิชย์ ตลอดจนพัฒนาระบบรวมซื้อผ่านไปรษณีย์ไทยเพื่อลดต้นทุนของร้านโชห่วย
อีกทั้ง ยังได้ร่วมกับพันธมิตรภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจต่างๆ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้บริหารสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และสถาบันการเงินรัฐอื่นๆ เพื่อส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยอย่างครบวงจร เช่น อบรมความรู้ ขยายช่องทางตลาด จับคู่ธุรกิจ และยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ธพว. จะเสนอ ครม. พิจารณาตั้งโครงการประชารัฐสร้างโอกาสคนตัวเล็ก ล้มแล้วลุก วงเงิน 1.8 พันล้านบาท ซึ่งยุบรวมกองทุนฟื้นฟูเอสเอ็มอี และกองทุนพลิกฟื้นเอสเอ็มอี ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เข้ามาไว้ด้วยกัน โดยมอบหมายให้ ธพว. เป็นหน่วยร่วมทำหน้าที่บริหารกองทุน โดยมีวัตถุประสงค์ช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ติดกับดักทางการเงิน ซ่อมให้แกร่ง เช่น มีปัญหาเรื่องประวัติการชำระเงิน จึงไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ หรือมีปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลัง ขาดสภาพคล่อง เป็นต้น ให้ได้รับโอกาสเริ่มต้นประกอบอาชีพใหม่อีกครั้ง ซึ่งการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจะดูจากความสามารถในการชำระหนี้จากหนี้ที่ให้กู้ยืมใหม่เป็นหลัก

สำหรับโครงการประชารัฐสร้างโอกาสคนตัวเล็ก ล้มแล้วลุก วงเงินให้กู้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ระยะเวลาชำระเงินกู้ 7 ปี ไร้ดอกเบี้ย แบ่งเป็นเบื้องต้นให้เป็นทุนช่วยเหลือฉุกเฉิน 50,000 บาท และหากมีการชำระหนี้ที่ดีต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 6 เดือน จะเติมทุนให้อีก 50,000 บาท หลังจากนั้น เมื่อธุรกิจที่ทำมีผลประกอบการที่ดี เข้าสู่ระบบถูกต้อง และต้องการจะต่อยอดหรือขยายธุรกิจ สามารถมาใช้บริการสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษของ ธพว. เพิ่มเงินทุนให้สูงสุดอีก 1 ล้านบาท คาดว่า จะมีผู้ประกอบการที่ได้รับประโยชน์ประมาณ 30,000 คน

กกต. ประกาศ 350 เขตเลือกตั้ง ส.ส. แล้ว เดินหน้าเลือกตั้ง 24 กพ. 2562!

กกต. ประกาศ 350 เขตเลือกตั้ง ส.ส. แล้ว เดินหน้าเลือกตั้ง 24 กพ. 2562!

เมื่อวันที่ 29 พ.ย.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ตามที่ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 13/2561 เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (เพิ่มเติม)
ลงวันที่ 14 ก.ย. 2561 กำหนดว่าเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรก เมื่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2561 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้ง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวกำหนด และประกาศเขตเลือกตั้งให้แล้วเสร็จก่อนวันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีผลใช้บังคับ
ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแบ่งเขตเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2561 และประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี และจำนวนเขตเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัด ลงวันที่ 18 ก.ย. 2561 เพื่อดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้งและเป็นการเตรียมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะมีขึ้น
ต่อมาได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2561 เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (เพิ่มเติม) ลงวันที่ 16 พ.ย. 2561 กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีหน้าที่และอำนาจในการตรวจสอบหรือเปลี่ยนแปลงการพิจารณาหรือดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้งสำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ตามหมวด 3 การจัดการเลือกตั้ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 และข้อ 7 ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 13/2561 เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (เพิ่มเติม) ลงวันที่ 14 กันยายน 2561 ในกรณีที่มีข้อร้องเรียนของประชาชนและพรรคการเมืองต่างๆ ให้ได้ข้อยุติ
โดยหากเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ประกาศ หรือมติใดๆ ของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ออกไว้ ก็ให้สามารถดำเนินการต่อไปได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โดยให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศ เรื่อง การรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ลงวันที่ 20 พ.ย. 2561 กำหนดระยะเวลาในการยื่นคำร้องเรียนหรือการแสดงความคิดเห็นตั้งแต่วันที่ 20-25 พ.ย. 2561
คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติในการพิจารณาการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 54 /2561 เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2561 ถึงครั้งที่ 62 /2561 เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2561 ครั้งที่ 63/2561 เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2561 ครั้งที่ 67/2561 เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2561 และครั้งที่ 68/2561 เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2561 เห็นชอบให้มีการประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 350 เขตเลือกตั้ง
จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 22 (2) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 13/2561 เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (เพิ่มเติม) ลงวันที่ 14 ก.ย. 2561 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16 /2561 เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (เพิ่มเติม) ลงวันที่ 16 พ.ย. 2561 ประกาศเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้ทราบทั่วกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อตรวจสอบรายละเอียดของเขตต่างๆ พบว่าเหมือนกับเอกสารที่หลุดออกมาในก่อนหน้านี้
ราชกิจจานุเบกษาแบ่งเขตเลือกตั้ง