วีรพงษ์ รามางกูร : จะตายห่าอยู่แล้ว
ผู้เขียน | วีรพงษ์ รามางกูร |
---|
มาถึงขณะนี้วาทะของท่านประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ หรือโค้ว ตง หมง เจ้าพ่อแห่งบางขนากก็กลับมาอีก แต่ไม่ได้กลับมาเฉพาะในสภาผู้แทนราษฎรอย่างเดียว แต่กลับมาในวงการเมืองศรีธนญชัยของไทย
“จะตายห่ากันหรือไง” เป็นวาทะของผู้นำของไทยปัจจุบัน เมื่อถูกถามเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของ กกต. โดยไม่มีความผิดเพราะมาตรา 44 คุ้มครองให้
ความยุ่งยากสับสนวุ่นวายอันเกิดจากการ “ตระบัดสัตย์” ของหัวหน้าคณะปฏิวัติรัฐประหาร หรือประธาน คสช. หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง ส่วนแม่น้ำอีก 4 สายที่ตั้งขึ้นโดยเนติบริกร ผู้หมดเครดิต ไม่เหลือความเชื่อถือในฐานะนักกฎหมาย หมดสิ้นไปเพราะได้ขายวิญญาณของตนให้อสูรไปแล้ว
แรกเริ่มเดิมที เมื่อทำการรัฐประหารได้ก็ให้คำมั่นกับประชาชนว่าจะมาอยู่เพียงชั่วคราว หากจัดการเขียนรัฐธรรมนูญและจัดการเลือกตั้งแล้วก็จะกลับไปสู่กรมกองอันเป็นหน้าที่หลักของตน แต่ก็ไม่เคยรักษาสัจจะวาจา ตระบัดสัตย์มาเรื่อยๆ จนอยู่มาเกือบ 5 ปีแล้ว เกินกว่าเทอมของสภาผู้แทนตามปกติเสียอีก
สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาลในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา สหภาพยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และที่อื่นที่เขาเป็นอารยะ ไม่ยอมเจรจาด้วยในเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง ไปอเมริกากับยุโรปก็ไปเป็นแขกธรรมดาเหมือนนักท่องเที่ยว ไม่ได้เจรจาอะไร ไม่ได้ลงนามในข้อตกลงอะไร ไปให้เขาถามว่าจะมีการเลือกตั้งวันที่ 24 แน่นะ เขาพูดอย่างไม่เกรงใจ หวังว่าจะนำประเทศไทยกลับคืนสู่ประชาธิปไตยโดยเร็ว
ที่ไปก็ไปตามคำเชิญของประธานาธิบดีมาครง ของฝรั่งเศส เพื่อเฉลิมฉลองการยุติของสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งประเทศไทยเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตรที่ชนะสงคราม ไม่ใช่ในฐานะประเทศไทย ถ้ารัชกาลที่ 6 ท่านไม่ได้ทรงตัดสินพระทัยเข้าร่วมกับพันธมิตรเขาก็คงไม่เชิญในฐานะผู้ชนะสงคราม แล้วก็เลยไปเยอรมนีให้เขาเตือนว่าต้องกลับไปมีประชาธิปไตยโดยเร็ว
คราวนี้คงเลื่อนจากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ไปอีกไม่ได้แล้ว เพราะได้ยินคำมั่นสัญญาไปทั่วโลกเป็นครั้งที่ 6 แล้ว จะตระบัดสัตย์ต่อไปก็คงไม่ไหวแล้ว
สาเหตุที่บ้านเมือง “จะตายห่า” ก็เพราะการไม่รักษาคำมั่นสัญญา บอกว่าเมื่อยึดอำนาจแล้ว
กวาดบ้านกวาดช่องแล้วจะกลับ ตอนนี้คิดจะอยู่ต่ออีก 4-5 ปีเป็นอย่างน้อย โดยรัฐบาลเผด็จการได้จัดตั้งพรรคการเมืองลงแข่งขันและจะอยู่ในอำนาจเต็ม มี ม.44 ใช้ในขณะหาเสียงเลือกตั้งและตอนเลือกตั้ง
ในยามปกติ เมื่อมีการยุบสภาหรือรัฐบาลลาออกเพื่อมีการเลือกตั้ง รัฐบาลที่อยู่ก็จะเป็นรัฐบาลรักษาการทำได้ในบางอย่าง ทำไม่ได้ในบางอย่าง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เอาเปรียบพรรคการเมืองที่เป็นคู่ต่อสู้ แต่รัฐบาลเผด็จการที่มาจากการยึดอำนาจด้วยปากกระบอกปืน จับคนไปปรับทัศนคติแบบพรรคคอมมิวนิสต์ทำเมื่อยึดอำนาจได้
สมัยนี้การทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงทำยากขึ้น เพราะประเทศอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น อังกฤษ สิงคโปร์ ออกกฎหมายให้การรับสินบนนั้นผิดและการให้สินบนก็ผิด อย่างกรณีบริษัทอเมริกันที่ให้สินบนผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ต้องติดคุกติดตะราง บริษัทโรลส์ลอยซ์ที่บริษัทการบินไทยก็ใช้ การปิโตรเลียมก็ใช้ และรัฐวิสาหกิจไทยอื่นๆ ก็ใช้ บริษัทโรลส์ลอยซ์ให้สินบนว่าจ่ายให้กับผู้ใดบ้างในประเทศไทย ทั้งที่จ่ายตรงและจ่ายผ่านตัวแทนที่เป็นบริษัทไทย เพียงแต่ สตง.ไม่เปิดเผยว่าผู้รับเป็นใครบ้างเรื่องจึงเงียบหายไป แต่ในระยะยาวคงจะปิดไม่ได้ เพราะคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ เขียนในรัฐธรรมนูญว่าคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงไม่มีอายุความ เราคงจะได้เห็นอะไรดีหลังจากกลุ่มอำนาจนี้หมดอำนาจไป
เมื่อจะมีการเลือกตั้งและรัฐบาลไม่ต้องเป็นรัฐบาลรักษาการที่มีข้อจำกัดหลายประการ รัฐบาลมีอำนาจเกินขอบเขตเพราะมีมาตรา 44 เอาไว้ใช้ในการปกครอง ปัจจุบันประเทศไทยจึงไม่ได้เดินตามหลัก “นิติรัฐ” แต่เป็นการปกครอง “ตามอำเภอใจ” หรือ arbitrary rule ไม่ต้องเดินตามกฎหมาย rule of law แต่ปกครองโดย rule by law กล่าวคือออกกฎให้ตนกระทำอะไรก็ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เพราะตนเป็นคนออกกฎหมายมาใช้เอง บางทีออกกฎหมายวันนี้พรุ่งนี้ก็ทำเลย ส่วน สนช.หรือวุฒิสภา เป็นสภาฝักถั่ว ตั้งไว้ให้ดูดีและเป็นการหารายได้ให้กับพรรคพวกโดยจ่ายจากภาษีอากรของประชาชนเท่านั้นเอง
เมื่อรัฐบาลโดยคณะรัฐประหารหรือ คสช. ที่ยังกุมอำนาจรัฐอยู่โดยมาตรา 44 ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ก็เป็นของธรรมดาที่สมาชิกสภาผู้แทนผู้ขายวิญญาณ ผู้รับอามิสสินจ้างและได้ข่าวว่าคราวนี้มากด้วยถึง 100 ซึ่งไม่น่าเชื่อ คงซักครึ่งเดียวสำหรับเกรด A และครึ่งของเกรด A สำหรับเกรด B ไม่ได้ว่าใครโดยเฉพาะทุกฝ่ายก็คงเหมือนกัน เพียงแต่ที่มาของเงินต่างกันเท่านั้นเอง ตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของนักคณิตศาสตร์ที่จะต้องคำนวณให้เลขาธิการพรรค เลขาธิการพรรคก็เสนอหัวหน้าพรรค หัวหน้าพรรคก็นำเสนอเจ้าสัวผู้สนับสนุนพรรค เป็นเหมือนกันทั้งพรรครัฐบาลทหารและพรรครัฐบาลพลเรือนที่เตรียมตัวเป็นฝ่ายค้าน
สำหรับผู้สมัครผู้แทนราษฎร ก็ต้องพยายามเป็น ส.ส.ของพรรครัฐบาล หัวหน้าพรรคชาติไทยเคยปรารถนาว่าเป็นฝ่ายค้านนั้น “อดอยากปากแห้ง” เป็นฝ่ายค้านนานไม่ได้ หรือไม่ก็ด้วยเงื่อนไขอื่น เช่น มีคดีความ ถ้ามาร่วมอยู่ในพรรครัฐบาล รัฐบาลก็จะดูแลเรื่องความผิดและคดีความให้
สมัยหนึ่งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ต้องมีพรรคของตนเอง เพราะพรรคการเมืองกระจัดกระจาย เมื่อทหารกำหนดตัวนายกรัฐมนตรีแล้ว นายกฯเป็นคนเลือกพรรคเข้าร่วมรัฐบาล นายกรัฐมนตรีไม่ต้องมีพรรคของตนเอง มีแค่รัฐมนตรีของตนเอง 8 ถึง 10 คนคุมกระทรวงสำคัญๆ
แต่สมัยนี้มีพรรคใหญ่เกิดขึ้นคือพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยยืนจังก้าอยู่ จึงไม่เหมือนสมัยก่อน พรรคทหารสมัยก่อนไม่มีแต่สมัยนี้ต้องมีเพื่อเอาไปรวมกับสมาชิกวุฒิสภา วุฒิสภาลงมาเลือกนายกรัฐมนตรีได้ แต่มาร่วมลงคะแนนผ่านร่าง พ.ร.บ.ต่างๆ ไม่ได้ แล้วนายกรัฐมนตรีทหารที่มาจากเสียงของวุฒิสภาจะต่อท่อจะบริหารประเทศอย่างไร “ยุ่งตายห่า” เมื่อต้องการเสียงสมาชิกสภาผู้แทนก็ต้องจ่ายทุกครั้งที่ลงมติ สมัยก่อนยกมือครั้งนึงก็ต้องให้ลำไย 1 ชะลอม (ลำไย 1 ชะลอมหมายถึง 500,000 บาท) และสูงขึ้นเรื่อยๆ จน ส.ส.คนสุดท้ายต้องได้ 3 ชะลอม และบิดาของ ผบ.ทบ.ปัจจุบันนี้เป็นผู้รับผิดชอบ ว่าต้องให้ได้เสียงให้ครบ จะปล่อยให้อภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้
แต่ตอนนี้มีพรรคใหญ่อย่างเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ จะทำอย่างเดิมได้หรือไม่ แม้ว่าจะได้กี่ชะลอมก็ตามเพราะมีวินัยพรรคค้ำคออยู่ ไม่เหมือนแต่ก่อน เมื่อมีวินัยพรรคค้ำคออยู่อย่างนี้ สู้ยอมให้ดูดไปอยู่พรรครัฐบาลให้รู้แล้วรู้รอด ไม่ต้องรับเป็นชะลอมก็ได้ รับเป็นกล่องล่วงหน้าไปเลย แต่ที่รับล่วงหน้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่ทรยศ เพราะรัฐธรรมนูญเขียนว่าจะให้สมาชิกออกจากพรรคเพราะไม่โหวตตามพรรคไม่ได้ “ยุ่งตาย” แต่ก็มีกลไกตรวจสอบถ้าทรยศก็คงอยู่ไม่ได้
สมัยหนึ่งมีการจัดตั้งเพื่อจะยกเอาหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2535 หลังจากคณะรัฐประหารเชิญพลเรือนมาเป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับความยินยอมและเป็นที่ยอมรับของประชาชน หัวหน้าคณะ รสช.หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยอมรับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไปไม่รอด ต้องกลับมาตั้งต้นกันใหม่
การที่สื่อมวลชนถามแทนประชาชนว่าจะตระบัดสัตย์เลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีกหรือไม่ เรื่องการกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่อง “ซังกะบ๊วย” อย่างที่คนไม่มีมันสมองคิด เพราะเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่อง “จะตายห่ากัน” ทั้งประเทศ เพราะความสูญเสียมหาศาลที่เกิดขึ้นมันวัดออกมาเป็นจำนวนมากมาย ทั้งที่วัดเป็นตัวเงินได้และที่วัดเป็นตัวเงินไม่ได้ ความล้าหลังที่พาประเทศถอยกลับไปเป็นประเทศอนารยะ ป่าเถื่อน ไม่เป็นอารยะ เหมือนกับว่าคนไทยโง่เง่าเต่าตุ่น ปกครองตนเองไม่ได้ ต้องให้ทหารลากปืนมาจี้ขมับจึงจะปกครองกันได้ มิฉะนั้น “จะตายห่ากันหมด” รวมถึง “ไอ้คนพูด” อย่างหยาบคายที่ส่อถึงสกุลรุนชาติที่มาของตนด้วย
บ้านเมืองที่ “จะตายห่า” อย่างที่ผู้นำรัฐบาลพูดอยู่อย่างทุกวันนี้ ก็เพราะไม่เดินตามกฎเกณฑ์ของชาติและของประชาคมโลกเขาเดินกัน ไม่เคารพสิทธิมนุษยชน ไม่เคารพกฎบัตรสหประชาชาติ แต่มีมนุษย์กลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่ใช้เงินภาษีของประชาชนถืออาวุธ และไม่ยอมอยู่ใต้สถาบันการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชน ยึดเอาอำนาจการปกครองโดยหาเหตุผลความชอบธรรมใดๆ ไม่ได้เลย โดยการสร้างสถานการณ์ร่วมกับพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ปฏิเสธการเลือกตั้ง เพราะรู้ว่าถ้าต้องลงเลือกตั้งตัวก็แพ้เลือกตั้ง ไม่เคยชนะการเลือกตั้งเลย เพราะเป็นพรรคที่ไม่มีผลงาน เป็นพรรคที่หัวหน้าพรรคใช้วาทศิลป์หาเสียงเอาชนะการเลือกตั้งอย่างเดียว
การมีผู้ปกครองเป็น “เผด็จการ” ทหารไม่ใช่เรื่อง “ซังกะบ๊วย” เพราะเผด็จการจะทำอะไรก็ได้ กกต.แบ่งเขตเลือกตั้ง ไม่เป็นที่สบอารมณ์ เพราะนักการเมือง “ขี้เลีย” ไม่ได้เปรียบเท่าที่ควรถ้าแบ่งเขตแบบเดิม แม้จะมีมติไปแล้ว กำลังจะพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาอยู่แล้วก็สามารถใช้มาตรา 44 หยุดไว้ก่อนได้ แล้วประชาชนจะไม่ตายห่าได้อย่างไร ตัวเองยังกลัว “จะตายห่า” ถ้าพรรคที่ตัวหนุนหลังอยู่ได้ที่นั่งน้อยเกินไป ทั้งๆ ที่มีวุฒิสมาชิกที่ตนแต่งตั้งตั้งท่ายกมือเป็นฝักถั่วให้อยู่แล้ว อย่างนี้ประชาชนจะไม่ตายห่าได้อย่างไร “ตายห่าอยู่แล้ว”
วันนี้บ้านเราไม่ได้ปกครองด้วยหลักกฎหมาย หรือ “นิติรัฐ” rule of law แต่ปกครองตามอำเภอใจ อยากทำอะไรก็ทำ ถ้าขัดต่อกฎหมายหรือไม่มีกฎหมายให้อำนาจก็ใช้มาตรา 44 ทำอะไรก็ได้รวมทั้งออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเองไว้ล่วงหน้า ซึ่งเผด็จการรุ่นก่อนๆ ยังไม่มีใครทำ ขัดต่อหลักการปกครองและหลักนิติรัฐอย่างตรงไปตรงมา สงสาร “เนติบริกร” ที่ต้องกลืนน้ำลายลงท้องไปเรื่อยๆ
ประชาชนรากหญ้า กำลังจะตายห่าอยู่แล้ว..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น