PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ระทึกแพร่คืนนี้5ทุ่มน้ำท่วมเมือง

นายทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักในพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำยม ในเขตอ.ปง จ.พะเยา ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำยม ที่จ.แพร่ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 16 สิงหาคม ระดับน้ำในแม่น้ำยม ที่สถานีวัดน้ำ Y. 20 บ้านห้วยสัก อ.สอง วัดได้ 9.00 เมตร ต่ำกว่าตลิ่ง 3.00 เมตรปริมาณน้ำไหลผ่าน 1,287 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งปริมาณน้ำยังลดลงเรื่อยๆ ถัดลงมาที่สถานีวัดน้ำ Y.1C บ้านน้ำโค้ง อ.เมืองแพร่ วัดระดับน้ำได้ 5.86 เมตร ต่ำกว่าตลิ่ง 2.34 เมตร ปริมาณน้ำไหลผ่าน 687 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยปริมาณน้ำยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

นายทองเปลวกล่าวว่า จากการประเมินสถานการณ์น้ำในแม่น้ำยม หากไม่มีฝนตกหนักลงมาเพิ่มเติมในพื้นที่ตอนบนของแม่น้ำยม คาดการณ์ว่าระดับน้ำในพื้นที่ตอนบนบริเวณอ.ปง จ.พะเยา และที่สถานี Y.20 บ้านห้วยสัก อ.สอง จ.แพร่ จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่สถานี Y.1C บ้านน้ำโค้ง อ.เมืองแพร่ คาดว่าเวลาประมาณ 23.00 น.ของวันที่ 16 สิงหาคม ระดับน้ำในแม่น้ำยมจะเริ่มล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นพื้นที่นอกเขตคันกั้นน้ำ และในเวลาประมาณ 07.00 น. ของวันที่ 17 สิงหาคม คาดว่าระดับน้ำจะสูงสุดประมาณ 9.50 เมตร สูงกว่าตลิ่งต่ำนอกคันกั้นน้ำประมาณ 1.30 เมตร และต่ำกว่าพื้นที่เศรษฐกิจประมาณ 0.50 เมตร จากนั้นระดับน้ำจะเริ่มลดลง เข้าสู่ภาวะปกติภายในช่วงเย็นวันเดียวกัน

“กรมชลประทาน จึงขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำยม นอกเขตคันกั้นน้ำ บริเวณ อ.เมืองแพร่ ให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำเอ่อล้นตลิ่งที่จะเกิดขึ้น โดยยกสิ่งของและทรัพย์สินไว้บนที่สูง พร้อมกับขอให้ติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิดด้วย ทั้งนี้ ทางผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ จัดทำทำนบกั้นน้ำตามจุดเสี่ยงต่างๆแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเอ่อท่วมพื้นที่ชั้นในตัวเมืองแพร่” นายทองเปลว กล่าว

นายทองเปลว กล่าวว่า ปริมาณน้ำในแม่น้ำยมจากจ.แพร่ จะไหลลงสู่พื้นที่จ.สุโขทัยเป็นลำดับต่อไป คาดว่าปริมาณน้ำก้อนใหญ่จะเดินทางถึงบริเวณสถานี Y.14 อฺ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ในวันที่ 18 สิงหาคม ในเกณฑ์ประมาณ 1,200 – 1,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน จะใช้ประตูระบายน้ำแม่น้ำยม หรือ บ้านหาดสะพานจันทร์ อ.สวรรคโลก ในการบริหารจัดการน้ำ ด้วยการพร่องน้ำหน้าปตร.แม่น้ำยมให้ลดต่ำลง เพื่อให้มีพื้นที่รับน้ำหลาก รวมทั้ง ผันน้ำส่วนหนึ่งด้านเหนือปตร.แม่น้ำยม เข้าสู่คลองหกบาทในอัตรา 180 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ไปลงคลองยม – น่านและแม่น้ำยมสายเก่า ในอัตรา 80 และ 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีตามลำดับ ก่อนจะระบายน้ำลงสู่แม่น้ำน่านด้านท้ายเขื่อนนเรศวร ซึ่งได้ลดปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนลง เพื่อให้น้ำที่ระบายผ่านคลองยม-น่าน ไหลลงสู่แม่น้ำน่านได้สะดวกมากขึ้น

นายทองเปลวกล่าวว่า พร้อมกันนี้ จะควบคุมปริมาณน้ำให้ไหลผ่านปตร.แม่น้ำยม ในเกณฑ์ประมาณ 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่ตัวเมืองสุโขทัย จากนั้นจะรับน้ำบางส่วนเข้าคลองสาขาเหนือตัวเมืองสุโขทัย ในเกณฑ์ 50 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที คงเหลือปริมาณน้ำผ่านตัวเมืองสุโขทัยประมาณ 550 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ตามความจุของลำน้ำที่ไหลผ่านตัวเมืองสุโขทัย รวมปริมาณน้ำที่กรมชลประทาน ใช้ปตร.แม่น้ำยมในการบริหารจัดการทั้งสิ้น 780 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ปริมาณน้ำส่วนที่เหลืออีกประมาณ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร จะใช้พื้นที่ด้านเหนือปตร.แม่น้ำยม เก็บกักและชะลอน้ำไว้ รอจนกว่าปริมาณน้ำในระบบชลประทานลดลงแล้ว จึงค่อยระบายน้ำส่วนที่เหลือนี้โดยไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วมต่อไป

ความเกี่ยวข้องมือระเบิด6จว.กับอำนาจเก่า

รายงาน-อาชญากรย่อมทิ้งร่องรอยไว้เสมอ ทำไมต้องเป็นหนุ่มสันกำแพงบ้านเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรีนามสกุลชินวัตรถึง 2 คน ?
นายศักรินทร์ คฤหัส อายุ 32 ปี ชาวสันกำแพง เชียงใหม่ ผู้ต้องหาตามหมายจับวางเพลิงที่ห้างเทสโก้ โลตัส นครศรีธรรมราช (ภาพนสพ.มติชน)
Last updated: 14 สิงหาคม 2559 | 13:15


รายงาน-อาชญากรย่อมทิ้งร่องรอยไว้เสมอ ทำไมต้องเป็นหนุ่มสันกำแพงบ้านเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรีนามสกุลชินวัตรถึง 2 คน ?
ระเบิดและเพลิงไหม้ระหว่างวันที่ 11-12 สิงหาคม 2559 ใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนเริ่มจากอ.เมือง จังหวัดตรังเวลา 15.00 น.วันที่ 11 สิงหาคมจนถึงเวลาสายๆของวันที่ 12 สิงหาคมที่หอนาฬิกา อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์นั้นน่าสนใจกับวิธีการเก็บรวบรวมหลักฐานสืบสวนและสอบสวนของเจ้าหน้าที่ซึ่งจะนำไปสู่การจับกุมผู้ทำผิด ตลอดจนการขยายผลไปถึงกลุ่มจ้างวาน

หนังสือพิมพ์หลายฉบับรายงานว่าการวางเพลิงห้างเทสโก้โลตัส นครศรีธรรมราช โดยข่าวเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมมีรายงานว่า ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ออกหมายจับ นายศักรินทร์ คฤหัส อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 190/65 หมู่ที่ 2 ต.ต้นเปา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ที่เป็นโรงเรือนอันเป็นที่เก็บหรือทำสินค้า(เผาห้างโลตัส จว.นครศรีธรรมราช)  

ผู้ต้องสงสัยรายนี้นำโทรศัพท์ไปซุกไว้ในจุดเกิดเหตุช่วงเวลา 18.33 น.ของวันที่ 11 สิงหาคม 2559 โดยทำทีถือตะกร้าซื้อของแล้วนำโทรศัพท์จากตะกร้าไปซุกไว้ในจุดต้นเพลิง โดยมีข้อมูลบ่งชี้ว่าผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มเดียวกับที่จังหวัดภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี และมีข้อมูลว่ามีรถเก๋งสีขาวติดแผ่นป้ายทะเบียนจังหวัดตรังเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย 

นายศักรินทร์พนักงานบริษัทเชฟรอนที่ได้รับสัมปทานขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย

เจ้าหน้าที่ใช้เฮลิคอปเตอร์บินไปตามจับกุมได้บนแท่นเจาะน้ำมันกลางอ่าวไทย มาสอบสวนปากคำที่มณฑลทหารบกที่ 41 กองทัพภาคที่ 4 ค่ายวชิราวุธ ต.ปากพูน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช โดยมี พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผบช.ภ.8 และพล.ต.ต.วันชัย  เอกพรพิชญ์ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช และ พล.ต.ธีร์ณฉัตรจินดาเงิน ผบ.มทบ. 41 ร่วมสอบปากคำ เบื้องต้นนายศักรินทร์ให้การปฎิเสธ ไม่ได้ก่อเหตุในครังนี้ แต่เข้าไปเพื่อซื้อถั่วเท่านั้น 

เจ้าหน้าที่พบว่า (จากกล้องวงจรปิด)ในช่วงเวลาเกิดเหตุนายศักรินทร์แต่งกายด้วยชุดที่สวมอยู่เดินไปเลือกถั่ว และหลังจากเลือกแล้วเสร็จ จึงเดินออกมา กลับไปพักผ่อนที่โรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่ง ตรงข้ามห้างโลตัส

จากนั้นเวลา 04.00 น.จึงออกเดินทางไปยังสนามบินบริษัท เพื่อขึ้น ฮ.ไปลงที่ฐานขุดเจาะกลางอ่าวไทย  เจ้าหน้าที่ได้ยึดเสื้อผ้าชุดที่ใส่เข้าห้างโลตัส ประกอบด้วย กางเกงยีนส์ 1 ตัว เสื้อยืดคอกลมสีน้ำตาล รองเท้าฟองน้ำ 1 คู่ ถุงถั่วโก๋แก่ขนาดเล็ก 2-3 ถุง 

เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนายศักรินทร์ขึ้น ฮ.บินเข้ากรุงเทพฯเพื่อให้ ผบ.ตร.สอบปากคำ ก่อนนำตัวไปสอบปากคำต่อที่มทบ.11

ทำไมต้องอำเภอสันกำแพง

สันกำแพงเป็นอำเภอหนึ่งในเขตปริมณฑลของนครเชียงใหม่ที่มีความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีการพัฒนาทุกๆด้าน เป็นอำเภอที่มีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ที่ขึ้นชื่อได้แก่ บ้านบ่อสร้าง เป็นแหล่งรวมหัตถกรรมการทำร่มกระดาษสา น้ำพุร้อนสันกำแพง ป่าดงปงไหว ตลอดเส้นทางจากตัวอำเภอเมืองไปยังอำเภอสันกำแพงจะรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ 2 ข้างทาง นอกจากจะเป็นอำเภอที่มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายแล้ว อำเภอสันกำแพงยังเป็นบ้านเกิดของนายกรัฐมนตรีไทยถึง 2 คน คือนายทักษิณ ชินวัตร และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

การจับกุมนายศักรินทร์ไม่ได้หมายความว่าอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นคนจ้างวาน อย่าเข้าใจผิด เพียงแต่ว่าเรื่องไปพ้องกันว่าเป็นคนอำเภอเดียวกัน อีกทั้งจะต้องระบุสันกำแพงก็เพื่อจะให้ได้ชัดเจนไม่ใช่ไประบุอำเภอพร้าวหรืออำเภออื่นใดเพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริง  หากระบุว่าเป็นคนเชียงใหม่ก็ถูก แต่อาจจะเสียหายคนเชียงใหม่ทั้งจังหวัดเพราะคนดีๆในเชียงใหม่มีมาก คนไม่ดีอาจมีหยิบมือเดียว  

เรื่องนี้จะต้องให้เจ้าหน้าที่สอบสวนและต่อแผงวงจรเหมือนที่พวกเขาใช้โทรศัพท์ยี่ห้อซัมซุง รุ่นฮีโร่ จุดให้เกิดระเบิดทั้งระเบิดทำลายและระเบิดทำให้เกิดเพลิงไหม้ อีกไม่นานเกินรอเรื่องก็น่าจะกระจ่าง  เหมือนเช่นเจ้าหน้าที่จับกุมคนแจกจดหมายบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญที่เชียงใหม่จนนำไปสู่การจับกุมตระกูลบูรณุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด,นายกเทศมนตรีตำบลช้างเผือกรวมแล้วกว่า 10 คน 

เรื่องนี้หากไม่มีพยานหลักฐานจะออกหมายจับและจับกุมคุมขังได้อย่างไร เจ้าหน้าที่ก็จะถูกแจ้งความกลับตามกฎหมายอาญามาตรา 157 แน่นอน ใครจะกล้าเสี่ยงหรือไปกลั่นแกล้งกันง่ายๆ  

อีกประการหากมีพยานหลักฐานไม่หนักแน่นที่จะนำไปสู่การเอาผิดได้ ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชก็คงไม่อนุมัติให้ออกหมายจับนายศักรินทร์ตามคำขอของพนักงานสอบสวนเป็นแน่

ตัวอย่างแกะรอยระเบิดที่ภูเก็ต-ขอความร่วมมือไปถึงมาเลเซีย 

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 12 สิงหาคม 2559  เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าตอง รับแจ้ง เกิดเหตุระเบิด จุดในพิ้นที่ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต จุดแรกที่บริเวณลานโลมาหาดป่าตอง จุดนี้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และจุดที่ บริเวณป้อมยามบางลา หน้าหาดป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต เบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นชายไทย ไม่ทราบชื่อ 1 ราย เจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตนำตัวส่งโรงพยาบาลป่าตอง เพื่อรักษาตัว

เจ้าหน้าที่ชุดเก็บพยานหลักฐานวัตถุระเบิด(อีโอดี) ลงพื้นที่ตรวจสอบและรวบรวมหลักฐาน  จากนั้นหน่วยพิสูจน์หลักฐาน จ.ภูเก็ตร่วมกับตำรวจภูธรภาค ได้สเก็ตภาพชายต้องสงสัย (จากปากคำของพยานผู้เห็นเหตุการณ์) คาดว่าเป็นผู้ลอบวางระเบิด ที่หาดป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต จุด และเร่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกสถานีแจกจ่ายในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง เพื่อที่จะนำตัวมาสอบปากคำในฐานะผู้ต้องสงสัย 

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม สำนักข่าวเบอร์นามา (Bernama) รายงานว่าเจ้าหน้าที่ของไทยขอความร่วมมือไปยังเจ้าหน้าที่มาเลเซียเพื่อตรวจหารายละเอียดเกี่ยวกับโทรศัพท์เพราะโทรศัพท์ยี่ห้อซัมซุง รุ่นฮีโร่ ที่นำมาใช้จุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องทางภาคใต้ของไทยนั้นทราบว่าถูกนำเข้ามาจากมาเลเซีย โดยเฉพาะมือถือเครื่องระเบิดที่ภูเก็ต  

แรงระเบิดไม่ได้ทำลายหมายเลข serial number ของโทรศัพท์ที่ระบุว่าออกโดยคณะกรรมการสื่อสารและมัลติมีเดียของมาเลเซีย ( Malaysian Communications and Multimedia Commissionรายงานข่าวกล่าว ตำรวจไทยจึงขอความร่วมมือเพื่อหาเจ้าของโทรศัพท์ เพราะถือเป็นหลักฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การจับกุม โดยหลักฐานที่ตำรวจไทยพบอันประกอบด้วยหมายเลข serial number และ phone chip ถูกส่งไปยังตำรวจมาเลเซียเรียบร้อย 

อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าซิม คาร์ด หรือ  SIM (Subsciber Identity Module) card ของโทรศัพท์ถูกทำลายไปเพราะแรงระเบิด  ดังนั้นอาจหายากมากขึ้นเพราะโทรศัพท์มือถืออาจจะเปลี่ยนมือไปหลายคนจากเจ้าของเดิม  

ชายผู้ต้องสงสัยวางระเบิดที่ภูเก็ต เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2559 เจ้าหน้าที่สเก็ตภาพออกแจกจ่ายตามตัวมาสอบปากคำ (ภาพจากนสพ. โพสต์ ทูเดย์)

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 

ตำรวจขอให้ได้มา 1 คนแล้วจะขยายผล

ในการแถลงข่าวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม นั้นพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าวในประเด็นที่ว่าที่เชื่อว่ากลุ่มคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกี่ยวข้องนั้นเป็นการก่อเหตุแบบรับงานหรือมาด้วยอุดมการณ์ความขัดแย้งว่า การสืบสวนยังไปไม่ถึงตรงนั้น ขอให้ได้ใครบางคนก่อน แล้วขยายความ อย่างเช่นคดีที่เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พอได้ตัวละคร 1 ตัวก็ขยายผลอย่างที่ปรากฏในข่าว มีการเชื่อมโยงอยู่แล้ว ถ้าได้คนใดคนหนึ่งมาก็ขยายได้ ตอนนี้พยายามทำเต็มที่ ส่วนกลุ่มเป้าหมายในการสืบสวนขอไม่เปิดเผย

ดังนั้นเราจะต้องรอการขยายผลของตำรวจ เชื่อว่าไม่นานตำรวจคนต่อจิ๊กซอว์ได้ครบวงจร แล้วการจับกุมก็จะตามมาเป็นระลอกเหมือนเหตุการณ์ที่เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง 

รายการนี้คงไม่มีแกนนำกลุ่มนปช.คนใดเดินไปมทบ.11 เพื่อเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวมือระเบิด เพราะไม่ใช่เรื่องความคิดเห็นทางการเมือง แต่เป็นเรื่องของการก่อวินาศกรรม ทำลายชีวิตทรัพย์สินและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชาติ สร้างความสะพรึงกลัวให้เกิดขึ้น  ผิดกฎหมายถึงขั้นประหารชีวิต

เชิญบุคคลมาพูดคุยที่มทบ.11 กรุงเทพฯคืออะไร

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยถึงกรณีเจ้าหน้าที่เชิญบุคคลมาพูดคุยและสอบถามเกี่ยวกับเหตุระเบิดและเพลิงไหม้หลายจุดในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ที่มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) กทม. ว่า เป็นไปตามมาตรการของกระบวนการซักถามในส่วนงานรักษาความสงบเรียบร้อยของฝ่ายความมั่นคง ซึ่งก็อยู่ในกรอบเวลาไม่เกิน 7 วัน เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา 

พ.อ.วินธัยยืนยันว่าการปฏิบัติต่อบุคคลที่ถูกเชิญตัวมาทุกคนจะเน้นการสอบถามซักถามพูดคุย ไม่มีการปฏิบัติในลักษณะของผู้ที่กระทำความผิด จนกว่าจะมีหลักฐานและพยานหลักฐานที่ชัดเจน  ถ้ากระบวนการซักถามเสร็จสิ้นแล้วพบว่าเข้าข่ายมีความผิดตามกฎหมาย  เจ้าหน้าที่จึงจะดำเนินการกล่าวหาตามขั้นตอนของกฎหมายปกติเหมือนในหลายกรณีที่ผ่านมา

ส่วนในกลุ่มบุคคลที่เจ้าหน้าที่เชิญตัวมาพูดคุยชุดนี้นั้น จะเข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมาย หรือเกี่ยวข้องกับคดีอะไรบ้างหรือไม่ เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ชุดปฎิบัติการที่ลงพื้นที่หาข่าวและเบาะแสในพื้นที่ สำหรับชีวิตความเป็นอยู่ในช่วงระหว่างการควบคุม เจ้าหน้าที่ทหารที่มทบ.11 นั้นจะไม่ต่างจากหลายคน คือทุกคนจะได้รับการปฏิบัติดูแลเป็นอย่างดีตามสมควรดังที่เป็นมาทุกครั้ง

ขอให้พี่น้องประชาชนได้มั่นใจในแนวทางการรักษากฎหมาย และกระบวนการรักษาความสงบเรียบร้อยให้กับบ้านเมืองตามที่ คสช.กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบันที่มีความต้องการให้เกิดความสงบเรียบร้อย พี่น้องประชาชนได้มีความสุข และขออย่าได้วิตกกังวลในเรื่องที่เกิดขึ้น ทางเจ้าหน้าที่ได้ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจในการคลี่คลายคดีนี้อย่างเต็มกำลังความสามารถจนนำมาสู่การจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้ในเร็ววันโฆษกคสช.กล่าว

อนึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำตัวบุคคล 6 คนจากภาคใต้ทั้งจากจ.ตรังและจ.นครศรีธรรมราชเดินทางเข้า มทบ.11 กรุงเทพฯตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม

วางระเบิดมุ่งชิงอำนาจรัฐ

3
เกษม อัชฌาสัย
ระหว่างนักวิเคราะห์ข่าวกับนักวิเคราะห์ยุทธศาสตร์มองการวางระเบิดครั้งใหญ่อย่างต่อเนื่องในไทยครั้งล่าสุด ในลักษณะที่แตกต่างกันคนละขั้ว
กล่าวคือนักวิเคราะห์ข่าวก็ว่าไปตามข่าวตาม ตามเหตุการณ์และความน่าจะเป็น ที่บางคนเยาะเย้ยว่าเป็นการวิเคราะห์แบบ “มั่วซั่ว”
ส่วนนักวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ว่าตามหลักการที่ร่ำเรียนมาในแง่วิชาการ มีข้อมูลลึกๆ ที่คนทั่วไปมักจะไม่รู้ ทำให้น่าเชื่อถือได้มาก
ดังนั้น คอลัมน์นี้ ก็จะวิเคราะห์ไปตามเหตุการณ์ที่เกิดและน่าจะเป็นและตามสามัญสำนึกเท่านั้น เพราะผู้เขียนเป็นเพียงนักข่าวและนักสังเกตการณ์ธรรมดาๆ
แต่ก็จะไม่วิเคราะห์คำถามที่ควรจะตั้งว่า “ใครอยู่เบื้องหลังวางระเบิด” เนื่องจากมีคนพูดกันมากแล้ว แต่จะมองลึกลงไป ในข้อมูลพื้นฐานตามหลักของการสื่อข่าวว่า
“อะไร” เกิดขึ้น “ที่ไหน” และ “เพื่ออะไร” กันแน่
สำหรับคำถามแรกว่า “อะไร”นั้น คำตอบคือการวางระเบิดแบบแสวงเครื่อง เอาทุกอย่างที่หาได้มาจัดทำระเบิด แล้วตั้งเวลาระเบิดไว้ล่วงหน้า หรือไม่ก็ใช้ “รีโมต คอนโทรล” ซึ่งหมายถึงเครื่องจุดระเบิดระยะไกล เช่นโทรศัพท์มือถือ จุดชนวนระเบิด
ดีที่ไม่ใช้ระเบิดแสวงเครื่องชนิดร้ายแรงมาก ๆ อย่างเช่น “ซีโฟร์” หรือ “รถยนตร์ประจุระเบิด” หรือ “ระเบิดฆ่าตัวตาย” (เดิมทีเรียก “ระเบิดพลีชีพ”) ซึ่งก็ไม่ใช่ความปราถนาดีของผู้ลงมือ แต่คงหาอะไรที่ร้ายแรงกว่าไม่ได้ง่ายๆ และคงแพงมาก ก็เลยใช้ระเบิดราคาที่ถูกกว่า ที่พกพาซุกซ่อนได้มิดชิดกว่า เลี่ยงการตรวจจับและหลบหนีได้ง่ายกว่า และไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะหาชนิดที่ร้ายแรงไม่ได้ หากจะทำจริงๆ
แต่ในครั้งนี้ก็ทำให้มีผู้ชีวิตไปถึงสี่ราย บาดเจ็บอีกกว่า ๒๐ ราย เพราะที่แน่ๆ ก็คือพวกนี้มุ่งประสงค์ต่อชีวิตและสร้างความหวาดกลัว ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของ “การก่อการร้าย” ไม่ใช่แค่การก่อวินาศกรรมธรรมดาๆ
การที่ตำรวจพยายามชี้แจงว่า ไม่ใช่ “การก่อการร้าย” แต่เป็นเพียง “การก่อกวน” นั้น ขออนุญาตค้านว่า “ไม่ใช่” และ “ไม่เชื่อ”
แต่เชื่อว่าเป็น “การก่อการร้าย” เพราะเข้าเกณฑ์หรือเงื่อนไขตามที่หลักสากลกำหนดพฤติการณ์เอาไว้ว่า
๑ เป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ซึ่งเป็นการล่วงละเมิดกฎหมายแห่งรัฐ
๒ ปรากฏแน่ชัดว่ามีความตั้งใจที่จะ ก.ข่มขู่และบีบคั้นพลเรือน ข.มุ่งมีอิทธิพลเหนือนโยบายแห่งรัฐด้วยวิธีข่มขู่หรือบีบคั้น หรือ ค. มีผลกระทบต่อกฏระเบียบ ด้วยการก่อความเสียหายอย่างกว้างขวาง โดยการลอบสังหาร หรือด้วยการลักพาตัว และ
๓.เหตุเกิดขึ้นในพื้นที่ซึ่งศาลแห่งรัฐมีอำนาจ
ทั้งสามสามข้อนี้ เป็นกฎเกณฑ์ที่ทางการสหรัฐซึ่งเป็นเจ้ากี้เจ้าการ กำหนดเอาไว้ในเรื่อง “การก่อการร้ายภายใน” (ประเทศ) ซึ่งก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับไทยได้
ส่วนไทยนั้นตรากฎหมายกำหนดลักษณะของพฤติกรรมการก่อการร้ายเอาไว้ ในรายละเอียดมากมายครอบคลุม โดยตราความผิดฐานก่อการร้ายขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๕๔๖ หลังเกิดเหตุการณ์ ๙/๑๑โจมตีสหรัฐวันเดียวหลายแห่ง โดยเฉพาะที่ “เวิร์ลด์ เทรด เซ็นเตอร์” ซึ่งน่ากลัวที่สุดในปี ๒๕๔๔
ทำให้ไทยพลอยต้องแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายอาญาให้ครอบคลุมวงการสากล ตามข้อเสนอแนะของสหประชาชาติ เพื่อความทันสมัยและเป็นการระแวดระวังเอาไว้ก่อนว่า ต่อจากนี้ไปตามที่สหรัฐเชื่อว่า การก่อการร้าย จะยิ่งทวีความร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งกว่าก่อนหน้า ซึ่งมีเพียงแค่การจี้และวางระเบิดเครื่องบินโดยสาร การลักพาตัวและการลอบสังหาร เป็นต้น
ในแง่หลักการแล้ว กฎหมายของไทยสรุปว่า”การก่อการร้าย”คือ
“การกระทำอันเป็นความผิดอาญา โดยการใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพต่อบุคคลใดๆ หรือกระทำการอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งต่อสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ หรือการกระทำการใด อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด หรือของบุคคลใดต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิด หรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ
โดยมีหลักสำคัญอยู่ว่า ต้องกระทำโดยมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือคุกคามรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ  ให้กระทำหรือไม่กระทำการใด อันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นปวนเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้นั้นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย”
โดยกฎหมายอาญาได้บัญญัติระวางโทษไว้ให้ประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ ๓๐ ปีถึง ๒๐ ปีและปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงหนึ่งล้านบาท”
สามย่อหน้าข้างบน คัดลอกมาจากงานเขียนของนาย”พิษณุ ผาสุกมโน”ที่เรียบเรียงเอาไว้ จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้
เพราะมิเช่นนั้น จะต้องเรียบเรียงขึ้นมาใหม่จากตัวบทกฎหมายโดยตรง ซึ่งจะเสียพื้นที่และเวลามาก
แต่น่าเสียดาย แม้กฎหมายไทยจะกำหนดโทษร้ายแรงไว้ถึงเพียงนี้.กลับปรากฎว่าการบังคับใช้กฎหมายของไทยโดยกลไกของรัฐ ไม่ได้เอาจริงเอาจัง จนแทบจะไม่รู้ว่ามีใครติดคุกบ้าง เพราะกระทำผิดกฎหมายฉบับที่ปรับปรุงแล้วนี้ รวมทั้งกรณีบุกเผาศาลากลางจังหวัด สังหารผู้ชุมนุม”กปปส.”ก็ยังไม่มีความพยายามใดๆ เอา”ผู้บงการ”มาลงโทษ ยังคงปล่อยให้ลอยนวล บ่อนทำลายประเทศอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ทั้งหมดที่เขียนมาทั้งหมดข้างบนนี้ คือคำอธิบายว่า อะไรคือการก่อการร้าย
ทีนี้ก็มาถึงคำถาม ๒ ที่ว่า “เกิดขึ้นที่ไหน”
คำตอบคือเกิดขึ้น “ในเมือง” ไม่ว่าที่จังหวัดตรัง หัวหิน ภูเก็ต นครศรีธรรมราช หรือสุราษฎร์ธานี ดังนั้น จึงเรียกว่าเป็นการ “ก่อการในร้ายเมือง”หรือ Urban Terrorism เช่นเดียวกันกับการวางระเบิดที่ศาลพระพรหมเมื่อปีที่แล้ว ก็เกิดขึ้นในเมือง หรือใจกลางเมืองหลวงเสียด้วย ไม่ใช่การก่อการร้ายที่เกิดขึ้นเพื่อยึดพื้นที่ในเขตชนบท หมายดึงดูดคนท้องถิ่นให้สนับสนุนเป็นแนวร่วมในอดีต อย่างเช่นพวกเวียดกงต่อสู้กับทางการเวียดนามใต้ ด้วยการยุทธในป่า ตามทุ่งนา แล้วหลบอยู่ตามหมู่บ้าน
หรือการจรยุทธตามป่าเขา สมัยที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิวนิสต์ในไทยยังลุกฮือ หมายขยายเขตปลดแอก แต่กระทำไม่สำเร็จ
แต่ที่กระทำสำเร็จก็มี โดยเฉพาะในกัมพูชา ซึ่งพลพรรค “เขมรแดง” รบชนะเข้ายึดอำนาจรัฐไว้ได้พักหนึ่ง ในลาว กลุ่ม”ลาวแดง”ก็เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลเวียงจันทน์ หรือในเวียดนาม เวียดกงร่วมกับเวียดนามเหนือ ยึดอำนาจรัฐไว้ได้จากเวียดนามใต้
หรือย้อนกลับไปในอดีต กรณีที่ “กองทัพแดง” ยึดอำนาจพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ที่ ๒ในรัสเซีย หรือกรณีทัพประชาชนของ “เหมา เจ๋อ ตุง” ยึดอำนาจในจีนได้ จากพรรค “ก๊กมินตั๋ง” จาก “เจียง ไคเช็ก” เป็นต้น
ส่วนคำถาม ๓ ที่ว่า การก่อการร้ายในไทยทำ”เพื่ออะไร”นั้น ตอบได้ว่า
กระทำเพื่อก่อกวน บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไม่ใช่ความพยายามแย่งชิงอำนาจรัฐโดยตรง แต่เป็นการช่วงชิงทีละน้อย ไปพร้อมๆกับการโฆษณาชวนเชื่อให้ “เห็นผิดเป็นชอบ” แทนที่การใช้กำลังขนาดใหญ่เข้ายึดอำนาจ ซึ่งสิ้นเปลืองมาก
ขณะที่ “การก่อการร้ายในเมือง” เป็นการโจมตีฉาบฉวย เกิดขึ้นในลักษณะที่ไม่แน่ไม่นอน คาดเดาไม่ถูก ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร ที่ไหนและอย่างไร
แต่ก็มีวัตถุประสงค์ เพื่อแย่งชิงอำนาจเช่นกัน ด้วยใช้ค่าใช้จ่ายที่ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับการใช้กองทัพนักรบอย่างในอดีต
ทั้งนี้ โดยมีเป้าหมายเข้าควบคุมและยึดอำนาจบริหารเอาไว้และเข้าปกครองประเทศเช่นกัน โดยปลุกระดมประชาชนที่มีสิทธิเสียงเลือกตั้งและนักการเมือง ผ่านกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง เป็นที่ยอมรับของสากล ซึ่งหลงสนับสนุนด้วย เพราะคิดว่าถูกต้องและชอบธรรม
ฉะนั้น การวางระเบิดคราวนี้และการวางระเบิดครั้งก่อนๆ ตลอดจนการวางระเบิด ลอบโจมตีราษฎรและฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐในสมัยรัฐบาล “อภิสิทธิ์-สุเทพ” จึงเป็นเหตุเป็นผลต่อเนื่องกัน ท้งนี้พินารณาได้จากปฏิกิริยาของฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาลปัจจุบัน ที่ผนึกกำลังกันพยายามบ่อนทำลายระบอบการปกครองเดิม ซึ่งมีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลัก หลังถูกทำรัฐประหารฐานโกงชาติ แต่กลับได้รับการสนับสนุนทั้งโดยตรงและอ้อมจากคนที่หลงผิดและจากต่างชาติที่หวังได้ประโยชน์จากรัฐบาลทุรยศ
ไม่มีอะไรที่สลับซับซ้อน เพราะไม่มีเหตุผลแวดล้อมอื่นๆ นอกเหนือไปจากนี้
วิเคราะห์เสร็จแล้ว นักข่าวก็ลาละครับ
ส่วนท่านผู้รู้จะวิเคราะห์ตามหลักยุทธศาสตร์กันอย่างไร เชิญหาอ่านได้จากที่อื่นและสรุปกันเอาเอง
เชื่อว่า ถึงจะวิเคราะห์และพยายามชี้หนทางแก้ไขอย่างไร แต่ถ้ารัฐไม่จงใจปราบจริง ให้ถึงรากเหง้าชนิดถอนรากถอนโคน ก็ไม่มีทางเอา”ตัวการ”มาลงโทษได้
จึงใคร่เขียนในบรรทัดสุดท้ายว่า การก่อการร้ายครั้งนี้ จะไม่ใช้ครั้งสุดท้าย