PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2562

'บิ๊กตู่' ยกพระบรมราโชวาท คนไม่ดีต้องถูกดำเนินการ ต้องแลกถ้าอยากให้บ้านเมืองสงบ ให้กลับมาเคารพกฎหมาย

26 มี.ค.62 -  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยทันทีที่มาถึงโพเดี้ยมแถลงข่าว ได้กล่าวทักทาย สวัสดีกับช่างภาพ สื่อมวลชน ก่อนที่จะนำกระดาษที่จดคำถามต่างๆของสื่อมวลชนคืนให้กับนักข่าวอาวุโส พร้อมกล่าวว่า 
"คำถามทั้งหมดจากผู้สื่อข่าวต่างๆ ที่ถามมา ผมขออนุญาตส่งคืน ผมไม่ขอตอบคำถามนี้ และขอเรียนชี้แจงกับสื่อว่า ผมยังไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดตั้งรัฐบาล ทั้งหมดเป็นเรื่องของฝ่ายการเมือง อย่างไรก็ตามในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ขอขอบคุณคนไทยทุกคน ที่ร่วมกันแสดงพลังในการมาออกเสียงเลือกตั้งเป็นจำนวนมากพอสมควร ผมก็จะตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ของผมในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคสช. และรัฐบาล ไปจนมีรัฐบาลใหม่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตอนนี้เมื่อเราได้ให้กำลังใจในเรื่องประชาธิปไตย และเลือกตั้งไปแล้ว เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สงบ สันติ จึงอยากให้ทุกคนกลับมามุ่งสู่พิธีสำคัญของเรา คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งจะมีในหลายกิจกรรมด้วยกัน โดยจะเริ่มตั้งแต่เม.ย.เป็นต้นไป รัฐบาลได้มีการแต่งตั้งคณะทำงาน คณะกรรมการในระดับจังหวัดเพื่อเตรียมการในเรื่องเหล่านี้ โดยพิธีจะเริ่มจากพิธีพลีกรรม ตักน้ำ ตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย.เป็นต้นไป โดยพระราชพิธีดังกล่าวจะมี 3 ห้วงด้วยกัน คือ ช่วงก่อนพิธีบรมราชาภิเษกในเดือน เม.ย. จากนั้นก็จะเป็นในช่วงเดือนพ.ค. ระหว่างวันที่ 4-6 พ.ค. และจะมีพิธีหลังจากนั้นอีกช่วงหนึ่งในเดือนเดียวกัน ซึ่งมีหลายกิจกรรมและหลายโครงการ ที่เป็นของรัฐบาลและหน่วยงานต่างๆที่มีส่วนร่วม ซึ่งได้มีการเสนอโครงการต่างๆเข้ามา และคณะกรรมการได้พิจารณาแล้ว ซึ่งพิธีเหล่านั้นพวกเราทุกคนจะต้องทำให้สมพระเกียรติ บ้านเมืองจะต้องสงบเรียบร้อย มีความรักความสามัคคี
"ผมอยากให้ใช้โอกาสนี้นำพาประเทศไทย ไปสู่ความสงบสันติอย่างยั่งยืน ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เพื่อประเทศไทยของเรา" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในส่วนของรัฐบาลจะเดินหน้าทำหน้าที่แก้ไขปัญหาให้ประชาชนต่อไป โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจฐานรากที่ยังมีปัญหามาก ซึ่งที่ผ่านมาทุกๆรัฐบาลก็ยังแก้ปัญหาไม่เสร็จ แต่รัฐบาลนี้ได้พยายามที่จะแก้ปัญหา เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถ ยืนยันว่าประเทศไทยยังมีความหวังทุกอย่าง การเมืองก็ต้องศึกษาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ใช่มองปัญหาแต่ในประเทศเราอย่างเดียวต้องมองทั่วโลกเผื่อไว้ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามที่จะหลีกเลี่ยงพูดถึงการเมืองโดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาลที่กำลังมีปัญหา โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 32 นาทีและกล่าวในช่วงท้ายว่า "นี่คือการบ้านการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ใช่การเมือง ตราบใดที่ผมเป็นรัฐบาลอยู่ก็จะทำแบบนี้ ทำให้เหมือน 5 ปีที่ผ่านมาและทำให้ดีขึ้น เพียงแต่ขอความเข้าใจ และขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนโดยรวม วันหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็สุดแท้แต่ประชาชนแล้วแต่จะพิจารณา วันนี้ต้องขอขอบคุณทุกคนในเรื่องของการเลือกตั้ง ขอบคุณข้าราชการทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเลือกตั้ง ขอบคุณพี่น้องตำรวจทหารที่ทำงานในพื้นที่ชายแดน ทั้งภารกิจในเรื่องของความไม่สงบ ทุกคนที่ได้เสียสละชีวิตไม่ได้เรียกร้องค่าตอบแทนอะไรมากมายไปกว่าปกติพึ่งมีพึ่งได้ตามกฎหมาย ทั้งเบี้ยเลี้ยงและเงินเดือนก็ไม่ได้ขอเพิ่มอะไร ถือเป็นหน้าที่ของทหารทุกคนที่ต้องทำงานทุกวัน”
นายกฯ กล่าวว่า คนไม่ดีก็ต้องถูกดำเนินการ ตามพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ระบุว่า ให้คนดีปกครองบ้านเมือง หรือปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อดูแลประชาชนทุกกลุ่มให้สมศักดิ์ศรี ในการเป็นข้าราชการที่ดีของแผ่นดิน เป็นพระบรมราโชวาทที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้เมื่อหลาย 10 ปีแล้ว ก็ยังคงมีความทันสมัยอยู่ในการสืบสานรักษาต่อยอด ความมีอัตลักษณ์ของประเทศไทย อะไรที่เป็นอัตลักษณ์ไม่ดี ทุจริต โกงกิน การทำผิดกฎหมายเป็นบ่อเกิดของสังคมที่ไม่ปกติสุข เพราะฉะนั้นก็ต้องแลก ถ้าอยากให้เป็นบ้านเมืองที่สงบก็ต้องกลับมาเคารพกฎหมาย ก็ต้องมาปรับแก้ทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีผลกระทบซึ่งกันและกัน ถ้ามองแต่ประโยชน์ส่วนตัวก็คงเป็นไปไม่ได้ เราต้องได้ประโยชน์ทั้งโดยตรงและส่วนรวม ไม่มีอะไรที่จะได้มาง่ายๆ บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่ง่ายขนาดนั้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามถ้าไม่คำนึงถึงประวัติศาสตร์ ปัญหาที่ทับซ้อนก็คงไม่ได้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคน  ผมเคารพคะแนนเสียงของประชาชนทุกคนที่ออกมาเลือกตั้งในครั้งนี้ ขอขอบคุณทุกคนด้วยใจจริง ขอบคุณสื่อทุกคน วันนี้ผมก็อยากจะบอกทุกคนว่า วันนี้ผมมีความสบายใจมากขึ้น ผมเคยบอกแล้วว่าประเทศไทยก็ต้องเดินหน้าไปแบบนี้ ไม่ได้ไปรักษาอำนาจ สืบทอดอำนาจ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงไม่ต้องให้มีการเลือกตั้งหรอก แต่กลไกอื่นๆที่เกิดขึ้นก็เป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญ ตามผลประชามติก็ว่ากันไปตามนั้น เคารพเสียงประชาชนเขาบ้าง แค่นั้นเอง อย่าให้ทะเลาะเบาะแว้งกันอีกเลย อย่าไปให้ความสนใจกันมากนัก เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองเขาไปดำเนินการอย่ามาถามผมอีก"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำถามที่สื่อมวลชนได้ถามพล.อ.ประยุทธ์ในวันนี้ และไม่ได้รับคำตอบ อาทิ หลายพรรคการเมืองมองว่า "นายกรัฐมนตรีคนใหม่" จะสง่างาม ถ้า ส.ว. 250 คน งดออกเสียง และให้ ส.ส. ในสภา 500 คน เลือกกันเองก่อน เห็นด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด , นายกฯมีความเห็นอย่างไรต่อกรณีการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งสังคมมีข้อกังขาว่าการจัดตั้งรัฐบาลควรยึดจากจำนวนตัวเลขส.ส.ที่ได้ หรือจำนวนคะแนนป๊อปปูล่าโหวต ,ส่วนตัวนายกฯพอใจกับจำนวนตัวเลขส.ส.ที่พปชร.ได้หรือไม่ หลังจากที่ไปช่วยปราศรัยในเวทีสุดท้ายที่สนามเทพหัสดินทร์ ,นายกฯประเมินการจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ของ กกต.อย่างไร สอบผ่านหรือไม่ เพราะมีคำร้องเรียนจำนวนมาก และกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯระบุว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมามีการทุจริต.

จงเชื่อเส้นทางประชาชนกำหนด

"อนาคตใหม่"...........
      สมราคาตัวแทน "วัยรุ่นเลือดร้อน" ดีจริงๆ!
      เปิดเวทีปุ๊บ (๒๔ มี.ค.๖๒)
      ด้วยจำนวน ๓๐ ส.ส.เขตในมือ ถ้ารวมปาร์ตี้ลิสต์ด้วย ไม่หนี ๘๐
      "ธนาธร-ปิยบุตร" ก็เปรี้ยงเข้าก้านคอทหาร ๓ ทีซ้อน
      เปรี้ยงแรก ต้องแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
      เปรี้ยงที่สอง มาตรา ๒๗๙ ที่รับรองการใช้อำนาจ คสช.ทั้งหมดในรัฐธรรมนูญ ถือเป็นมรดกบาป ต้องล้างทิ้งไปเลย ไม่ให้มี
      เปรี้ยงที่สาม ต้องปฏิรูปกองทัพให้อยู่ใต้อำนาจรัฐบาลพลเรือน เพื่อปิดทางรัฐประหาร
      และชวนทุกพรรค เข้าไปร่วมกันตั้งรัฐบาลกับเขา
      ยกเว้น........
      พรรคพลังประชารัฐ, รวมพลังประชาชาติไทย และประชาชนปฏิรูป ธนาธรไม่ชวน
      พรรคไหนร่วม ต้องยอมรับ ๓ เงื่อนไขนี้ ไม่งั้น ไม่ต้องร่วม!
      ผมก็ว่า ไม่อ้อมค้อม รวบรัดชัดเจนดี
      ยิ่งประกาศ อนาคตใหม่จะร่วม "พรรคเพื่อไทย" ตั้งรัฐบาลด้วยแล้ว ชัดยิ่งกว่าชัชชาติ
      ธนาธรไม่สนตำแหน่งนายกฯ.......
      พร้อมสนับสนุน "สุดารัตน์" ขึ้นนั่งเก้าอี้นายกฯ หญิงคนที่ ๒ ของประเทศ ต่อจากยิ่งลักษณ์!
      เปิดฉากก็ระดม หมัด, เท้า, เข่า, ศอก กะน็อก "ทหาร-กองทัพ" แต่วินาทีแรกเช่นนี้ เรียกว่าได้ใจพระเดชพระคุณแฟนๆ วัยโจ๋ไปเลยทีเดียว
      ผมก็ชอบ สไตล์ "ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง" แบบนี้
      แต่ขอเตือนด้วยหวังดีซักนิด....
      ห้าวได้ แต่อย่าเหิม เป็นมวยบ้าน้ำต้นยกมากไป เดี๋ยวจะยืนระยะไม่อยู่
      ก่อนเลือกตั้ง ก็เห็นบอก จะไม่สนับสนุนนายกฯ ที่ไม่ได้มาจาก ส.ส.มิใช่หรือ?
      แล้วสุดารัตน์ถือว่ามาจาก ส.ส.หรือเปล่า รุ่นใหม่ ไม่ปดนะจ๊ะ!
      เสียแฟนๆ กว่า ๕ ล้านเสียงยังพอว่า
      เสียใจตัวเองภายหลังนี่ซี น้ำตาหล่นหลังพวงมาลัย ไฟมันจะชอร์ตเอานะ
      ธนาธรเคยบอก จะสืบสานงานอภิวัฒน์ประชาธิปไตย ๒๔๗๕
      ก็อยากนำข้อความมูลค่าล้ำทองคำของท่าน "อาจารย์ปรีดี พนมยงค์" ที่ให้สัมภาษณ์เอเชียวีกไว้ เมื่อปี ๒๕๒๓ มาให้อ่านซักนิด
      "ในปี ค.ศ.๑๙๒๕ เมื่อเราเริ่มจัดตั้งกลุ่มแกนของพรรคอภิวัฒน์ในปารีส ข้าพเจ้ามีอายุเพียง ๒๕ ปีเท่านั้น
        หนุ่มมาก หนุ่มทีเดียว ขาดความจัดเจน
        แม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้ว และได้คะแนนสูงสุด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี
        ข้าพเจ้าไม่มีความจัดเจน และโดยปราศจากความจัดเจน บางครั้ง ข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตำรา
        ข้าพเจ้าไม่ได้นำความเป็นจริงในประเทศของข้าพเจ้ามาคำนึงด้วย
        ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ
        ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้า เป็นความรู้ตามหนังสือ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์มาคำนึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะมี
        ในปี ค.ศ.๑๙๓๒ ข้าพเจ้าอายุ ๓๒ ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์
        แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจนมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ"
        ครับ....
      ไปทางไหน ตอนนี้ มีแต่คนเห่อธนาธร "อนาคตใหม่" เพื่อไม่เป็นการตกรถ-ตกเรือ ผมขอเห่อโหนไปด้วยละกัน
      อนาคตใหม่ คงคุยกับเพื่อไทยลงตัว ร่วมเป็นแกนตั้งรัฐบาลระบอบทักษิณภายใต้แพ็กเกจจิงใหม่นั่นแหละ
      บ่ายวาน หลังจากเพื่อไทยยิ้มแห้งติดเหงือกแต่วันก่อน เมื่อเห็นพลังประชารัฐคะแนนนำ โอกาสเป็นแกนตั้งรัฐบาลหมดไป
      พออนาคตใหม่ที่ "แยกกันไปตี" กลับมา "รวมกันเดิน" เสร็จสรรพ อนาคตใหม่ เป็น "พลังเสริมบารมี" ให้เพื่อไทย
      จากที่ริบหรี่ เป็นกระดี่ได้น้ำ
      ปลุกกันขึ้นมานั่งเรียงแถวประกาศ "เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล"
      เพื่อไทย+อนาคตใหม่ ไม่หนี ๒๐๐ ขึ้นอยู่แล้ว จะว่าไป โอกาสรวมเสียงได้เกิน ๒๕๑ ตั้งรัฐบาล ก็มีอยู่
      แค่ประชาธิปัตย์ หรือ ภูมิใจไทย พรรคใดพรรคหนึ่งมาร่วมด้วย
      ๓๐๐ เสียง เป็นรัฐบาลใสๆ
      เอาสุดารัตน์ใส่พานเสนอที่ประชุมรัฐสภาให้เป็นนายกฯ ก็มีความชอบธรรม
      ถ้า ๒๕๐ วุฒิสมาชิกยังเล่นแง่
แง่มันจะเสียบตูดวุฒิสมาชิกแหงแก๋ บอกไม่เชื่อ!
      แต่...พ่อแม่พี่น้อง มันไม่ง่ายเหมือนถอนสายบัวจิ้มน้ำพริกอย่างนั้นหรอก
      ไม่ต้องคิดอย่างอื่น แค่เงื่อนไข ๓ ข้อของอนาคตใหม่ ล้มรัฐธรรมนูญ, ล้างมาตรา ๒๗๙, ล้างกองทัพ
      คิดหรือ ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย ซึ่งกว่าจะมาถึงวันนี้ ล้วนมีประสบการณ์โลกเป็นจริงโชนโชก จะตกประวัติศาสตร์ ว่าด้วยบทรำพึงท่านอาจารย์ปรีดี
      "ข้าพเจ้าไม่ได้นำความเป็นจริงในประเทศของข้าพเจ้ามาคำนึงด้วย"
        ด้วยเหตุผลนี้ ไม่ปฏิเสธว่า "เพื่อไทย+อนาคตใหม่" จะเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้
      คือจัดน่ะ จัดได้ แต่จะตั้งได้หรือไม่นั้น
      "ไม่แน่ดอก"!  
      เพราะเท่าที่ดูผลเลือกตั้งหยาบๆ ทั้งหมด ทั้งเพื่อไทย-พลังประชารัฐ อยู่ในแถว มีสิทธิ์เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลได้ทั้ง ๒ พรรค
      แฟรงก์ๆ แฟร์ๆ เอาเป็นว่า........
      ต่างฝ่าย ต่างไปจีบ-ไปฉุด เอาพรรคอื่นๆ มาเป็นพวกให้ได้ก็แล้วกัน ฝ่ายไหนได้มารวมแล้วมากกว่า
      ก็เอาไปเลย!
      ทางฝ่ายพลังประชารัฐ มีความเป็นไปได้ที่ลงตัวมากที่สุด "พลังประชารัฐ+ภูมิใจไทย+ประชาธิปัตย์"
      แค่นี้ ก็ยันแดน "เพื่อไทย" รุกคืบไม่ขึ้นอยู่แล้ว!
      พูดถึงเลือกตั้ง เบื่อพูดเรื่องจำนวนว่าพรรคไหนได้กันเท่าไหร่
      เพราะป่านนี้แล้ว คนลงคะแนนแค่ ๓๒-๓๕ ล้าน ทำยังกะอินเดีย ที่เลือกตั้งด้วยคน ๙๐๐ ล้าน ใช้เวลาเป็นเดือนจึงจะรู้ผล
      แต่เอาเถอะ ผมเข้าใจและเห็นใจ กกต.เพราะการเลือกตั้งระบบจัดสรรปันส่วนผสม มันเป็นของใหม่ เพิ่งใช้เป็นครั้งแรก
      เราก็อย่าเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้งให้มากไป เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง แล้วจะเข้าใจคำว่า "คนดู" กับ "คนทำ"!
      ระบบและวิธีครั้งนี้ เหมือนเรือที่เพิ่งต่อเสร็จบนคาน
      เข็นลงน้ำแล้วนั่นแหละ.......
      ถึงจะรู้ ว่ามันมีข้อสมบูรณ์ ข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไขอย่างไร
      ก็ให้เวลา ให้โอกาส กกต.หน่อย ไม่ใช่เอะอะ ก็ด่าเขา จับผิดเขา ในโลก ที่ไม่ผิดเลย มีคนเดียว คือตัวเอง!
      คนอื่นคิดไงไม่รู้นะ ส่วนตัวผม บอกได้ว่า "ผิดหวัง" กับการเลือกตั้งหนนี้
      ไม่ใช่ผลเลือกตั้ง
      แต่ผิดหวัง กับ "จำนวนคน" ที่ออกมาเลือกตั้ง!
      คือคาดการณ์กันว่า คราวนี้ จะออกมาเลือกตั้งกันเป็นประวัติการณ์ถึงระดับ ๘๐% ขึ้นไป
      เอาเข้าจริง มาเข้าคูหากันแค่ ๖๕-๗๐% น้อยกว่าปี ๒๕๕๔ ด้วยซ้ำ
      สูตรคำนวณที่ว่า ๘ หมื่นต่อ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ๑ คน เหลือแค่ ๖๕,๐๐๐ คะแนน ก็ได้ ๑ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แล้ว
      ช่วงเอ้อเร้อ-เอ้อเต่อ คะแนนยังสรุปไม่ได้นี้ เกิดคำถามขึ้นว่า แล้วจะยังไงกันต่อ?
      ความจริง "เทอมเวลา" มีอยู่แล้ว รู้เป็นกฎ-กติกาไว้ เพื่อไม่ต้องรำคาญในการตามเกม
      -ระหว่างนี้ จนถึงเมษายน
      จะเป็นช่วงแจก ใบเหลือง ใบแดง จัดเลือกตั้งซ่อม ในเขตที่มีปัญหา
      -๙ พ.ค. กกต.รับรองผลเป็นทางการ
      -๑๒ พ.ค. คสช.นำรายชื่อ ๒๕๐ ส.ว.ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย
      (สนช.สิ้นสุดการทำหน้าที่)
      -๒๓ พ.ค.(๑๕ วัน นับจากวันประกาศผลเลือกตั้ง)
      พระมหากษัตริย์ทรงเรียกประชุมรัฐสภา และทรงเปิดประชุมรัฐสภานัดแรก
      -เลือกประธานสภาผู้แทนฯ และประธานวุฒิสภา โหวตตัวนายกฯ ด้วยเสียง "มากกว่ากึ่งหนึ่ง" ของทั้งสองสภา
      นำชื่อนายกฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายประมาณปลาย มิ.ย.
      ครม.แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ประมาณ ก.ค.
      ระหว่างนี้ จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่........
      "รัฐบาล คสช." ยังคงทำหน้าที่รัฐบาลถาวร "มีอำนาจเต็ม" ต่อไปเรื่อยๆ
      ก็อยากจะบอกว่า อย่าใช้ความรู้สึก "ผิดหวัง-สมหวัง" ตอบสนองการเลือกตั้ง
      ทุกคนที่ได้รับเลือก ไม่ว่าพรรคไหน-คนไหน จะชอบ-ไม่ชอบ ให้เข้าใจ ว่านั่นคือ "ตัวแทนเรา"
      จงเชื่อใจในเกียรติ "ความเป็นคนไทยร่วมชาติ" เรารักประเทศ เขาก็รักประเทศ
      ประชาชนคือครรภ์ผู้ให้กำเนิด ๕๐๐ ส.ส.
      ถ้าคนไหนเนรคุณ......
      คลอดมันได้ ก็เอามันไป "เชิงตะกอน" ได้
      เลือกตั้งไม่ได้มีหนเดียว!

คอลัมน์ เปลว สีเงิน ไทยโพสต์
26/3/62

แบบนี้ก็ได้ด้วย!พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์อ้างได้รับฉันทามติจากประชาชน ให้เข้ามาบริหารประเทศ

26 มี.ค.62 -  พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย นายสามารถ แก้วมีชัย ผู้สมัครส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงข่าว  
นายชูศักดิ์อ่านแถลงการณ์ว่า ผลจากการเลือกตั้งได้สะท้อนให้เห็นถึงระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมที่จะทำให้เกิดปัญหาตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่มีพรรคการเมืองใดมีเสียงข้างมากเพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้เอง และผลที่จะเกิดขึ้นต่อการเป็นรัฐบาลผสม ที่จะทำให้ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งเรื่องดังกล่าวพรรคเพื่อไทย ได้คัดค้านและแสดงความไม่เห็นด้วยมาตั้งแต่ต้น
ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการขณะนับคะแนนได้ประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทย ได้จำนวน ส.ส. มากที่สุดประมาณ 137 คน ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ได้ ส.ส. ประมาณ 118 คน จึงต้องถือว่าพรรคเพื่อไทยได้รับฉันทามติจากประชาชน เพื่อให้เข้ามาบริหารประเทศ แต่พรรคพลังประชารัฐกลับอ้างคะแนนเสียงรวมของประชาชน ทั้งที่คะแนนดังกล่าวได้แปลงมาเป็นจำนวน ส.ส.แล้ว นอกจากนี้เมื่อรวมจำนวน ส.ส. ของพรรคการเมืองทุกพรรคที่ประกาศชัดเจนก่อนการเลือกตั้งว่าคัดค้านการสืบทอดอำนาจ ก็มีจำนวน ส.ส. มากกว่า 250 คน และมีจำนวนคะแนนเสียงมากกว่าคะแนนเสียงของพรรคที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจกว่า 6 ล้านเสียง 
พรรคเพื่อไทยเห็นว่าผลการเลือกตั้งเบื้องต้นสะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่สนับสนุนให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ดังนั้น การที่พรรคการเมือง บางพรรคจะร่วมตั้งรัฐบาลและสนับสนุนให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปนั้น น่าจะเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งรัฐบาลเช่นนี้จะไม่ได้ความยอมรับจากประชาชนและจะเป็นรัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาอื่นๆ ของประชาชนได้เลย
นายภูมิธรรมกล่าวว่า ในวันที่27มี.ค. เวลา10.00น. พรรคเชิญผู้สมัครส.ส. และว่าที่ส.ส.ประชุม บอกเล่าถึงสถานการณ์ต่างๆ โดยจะมีตัวอย่างพื้นที่ที่พบปัญหามาชี้แจงต่อสื่อมวลชน ส่วนอุปสรรคในการรวบรวมเสียงในการตั้งรัฐบาล สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือ ใครที่ได้เสียงข้างมากในสภาฯ ควรได้จัดตั้งรัฐบาลก่อน วันนี้ฝ่ายรัฐบาลมีกลไกลทุกอย่างในมือ ทั้ง250สว.ที่เป็นกลไกลที่ถูกวางเอาไว้ แต่สำหรับการได้เสียงข้างมาก รัฐยังต้องการ 251เสียง จึงจะบริหารประเทศได้ เชื่อว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐยังไม่ได้ 251เสียง ไม่เช่นนั้น คงจะประกาศออกมาแล้ว ในส่วนของพรรคเพื่อไทย ได้พบปะพูดคุยกับพรรคการเมืองต่างๆไปบ้างแล้ว ล้วนเป็นไปในทิศทางที่ดี ส่วนจะถึง 376เสียงหรือไม่ เรายังมีเวลาถึง 9พ.ค. ในวันนี้เรายังเชื่อมั่นและมีหวังอย่างเต็มเปี่ยม เชื่อว่าขณะนี้ฝ่ายรัฐบาลยังไม่ได้ 251เสียง เชื่อว่าอีก300กว่าเสียง อยากเห็นเป็นไปตามเจตนารมณ์ในการเปลี่ยนแปลง เชื่อว่าทุกคน อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน  
“วันนี้พรรคเพื่อไทย ยังไม่เรียกร้องอะไร ขอให้กกต.แถลงออกมาให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัยว่า ไปตกแต่งตัวเลขหรือไม่ การตอบว่าไม่มีเครื่องคิดเลข ไม่รู้ว่าใช้ความรู้จากส่วนไหนมาตอบ เรายังไม่คิด เอาเรื่องความไม่ชัดเจนตรงนี้ ไปถึงขั้นล้มการเลือกตั้ง เพียงแค่ ต้องการความชัดเจนเพื่อความเป็นธรรม ถ้ากกต.เคลียร์ไม่ได้ ควรต้องรับผิดชอบ”นายภูมิธรรมกล่าว
ซักว่าฝ่ายประชาธิปไตย ตอบรับกับพรรคเพื่อไทย ไปเท่าไหร่แล้ว นายภูมิธรรมกล่าวว่า เร็วๆนี้จะได้ฟังข่าวดี ขณะนี้มีความคืบหน้าอยู่เรื่อยๆ
ถามว่าในการหาเสียงพรรคชูให้คุณหญิงสุดารัตน์ เป็นนายกฯ และตอนยื่นแคนดิเดตนายกฯ พรรคก็ส่งแคนดิเดตนายกฯถึง3คน แล้วจะยกตำแหน่งนี้ให้คนในพรรคอื่น นายภูมิธรรมกล่าวว่า ตรงนี้คุยกันได้ ไม่มีปัญหา การตั้งรัฐบาลอยู่ที่เราต้องการยืนยันในเจตนารมณ์ประชาชน ที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศออกไปจากสถานการณ์เดิมๆที่เป็นมาอยู่ 5ปี เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญสุด ส่วนเรื่องอื่นๆเป็นเรื่องรอง.
 

26 มี.ค.62 - นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กลุ่มก้าวต่อไปเพื่อประชาธิปไตย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า มิพักต้องกล่าวถึงกติกาอัปลักษณ์ การใช้อำนาจรัฐ อำนาจเงิน และวิธีการสารพัดรูปแบบเพื่อสร้างความได้เปรียบของฝ่ายผู้มีอำนาจ เพราะมีคนพูดถึงมากมายต่อเนื่องอยู่แล้ว รวมทั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส ชอบธรรมในการจัดการเลือกตั้งของกกต. ซึ่งควรมีคำตอบที่ชัดเจนให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด
มองแค่ผลคะแนนตามที่กกต.แถลงอย่างไม่เป็นทางการเพียงมิติเดียว ก็พอเห็นอะไรที่จะแลกเปลี่ยนกันได้บ้าง
ผมพูดมาตลอดสิบกว่าปีกระทั่งหลังการยึดอำนาจรอบนี้ เมื่อมีวงประชุมให้ไปแสดงความเห็นเรื่องความปรองดอง ก็ชี้ชัดต่อหน้าแม่ทัพนายกองทั้งหลายว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นอยู่ ไม่ใช่เรื่องเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เสื้อแดงกับเสื้อเหลืองหรือนกหวีด
ทั้งหมดเป็นการต่อสู้กันระหว่างแนวคิดอนุรักษ์นิยมกับเสรีนิยม กลุ่มมวลชนฝ่ายต่างๆไม่ใช่เหตุ แต่เป็นผลของความขัดแย้งนี้
ผลคะแนนที่ออกมาน่าจะอธิบายข้อสรุปดังกล่าวได้ ว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมเทคะแนนส่วนใหญ่ไปที่พรรคพลังประชารัฐ เพื่อสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่ฝ่ายเสรีนิยมลงคะแนนให้พรรคการเมืองที่ประกาศจุดยืนต่อต้านการสืบทอดอำนาจ โดยมีพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ยืนเป็นหลัก
ขั้วตรงกลางหรือทางเลือกที่สามไม่มีอยู่จริง พรรคประชาธิปัตย์จึงถูกปฏิเสธจากทั้งสองฝ่าย เหลือเพียงฐานมวลชนของพรรคที่ยังสนับสนุน
ลุงกำนัน ไม่ใช่ผู้นำจิตวิญญาณของมวลชนกปปส. แม้โค้งสุดท้ายจะปลุกพลังนกหวีดขึ้นสู้ แต่ผลคะแนนก็เป็นอย่างที่ทราบ
การเมืองหลังจากนี้ยังคงเป็นการต่อสู้กันของคู่ปรับเดิม เบื้องต้นเป็นการช่วงชิงจัดตั้งรัฐบาล หลังจากนั้นไม่ว่าฝ่ายใดได้อำนาจบริหาร เกมหักล้างกันในรัฐสภาจะเข้มข้นและเป็นกระแสสูง อาจมีนอกสภาสนับสนุนทั้งสองฝ่ายบ้าง แต่การขับเคลื่อนมวลชนขนาดใหญ่ในบริบทนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น
ทั้งนี้ หากเป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจ ฝ่ายค้านจะต่อสู้ในสภาซึ่งจำนวนเสียงก้ำกึ่งเป็นด้านหลัก แต่ถ้าเป็นรัฐบาลซีกประชาธิปไตย ฝ่ายค้านมีแนวโน้มจะใช้กลไกนอกรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญออกแบบไว้ และหรือวิธีนอกรัฐธรรมนูญเข้าจัดการ
รัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะขาดเสถียรภาพ อายุงานคงไม่ยาว เรื่องครบเทอมไม่ต้องเอามาพูดกัน
มองจากผลคะแนน เชื่อว่าทิศทางของประเทศยังคงมีความหวังสำหรับฝ่ายประชาธิปไตย เพราะอีกฝ่ายใช้ทุกวิธีการแล้วยังพ่ายแพ้ต่อพรรคการเมืองที่ประกาศต่อต้านการสืบทอดอำนาจ
ยิ่งรวมคะแนนทั้งหมดยิ่งชัดว่า อำนาจเผด็จการเอาชนะประชาชนในการเลือกตั้งไม่ได้
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้นี้ไม่มีชัยชนะเด็ดขาด ยึดอำนาจกี่ครั้งเลือกตั้งกี่หน ก็ไม่มีฝ่ายใดสลายพลังของอีกฝ่ายให้หมดไปได้
มีทางเดียวคือสร้างดุลยภาพทางการเมืองเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติ หากทำเรื่องนี้ได้ประเด็นอื่นจะเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าแก้เรื่องการเมืองไม่ได้ เราจะติดกับดักตัวเองอยู่อย่างนี้ อีกสิบปีข้างหน้าก็ยังต้องสู้กันเรื่องเดิมในสภาพบ้านเมืองที่เสียหายหนักขึ้นทุกที
ผู้มีอำนาจควรยอมรับความพ่ายแพ้ การอ้างผลคะแนนรวมของประชาชนทั้งที่จำนวนส.ส.น้อยกว่า และส่งผู้สมัครมากกว่าพรรคเพื่อไทยถึง 100 เขตเป็นท่าทีของคนกระหายอำนาจ มากกว่ามุ่งแก้ไขปัญหาของประเทศ
ส่วนพรรคเพื่อไทยก็ไม่ควรคิดว่าชนะ แต่พึงตระหนักว่านี่คือโอกาสอีกครั้งที่ประชาชนหยิบยื่นให้ เพราะชัยชนะที่แท้จริงอยู่ที่การนำพาประชาชนพ้นวิกฤติเศรษฐกิจ ความขัดแย้ง ยาเสพติด การทุจริตคอร์รัปชัน ไปสู่อนาคตที่ดีกว่าให้ได้ และต้องรอดพ้นเกมสมคบคิดเพื่อโค่นล้มแบบเดิมๆให้ได้ด้วย
การบ้านข้อใหญ่อีกเรื่องคือ ผลการเลือกตั้งครั้งนี้สะท้อนว่าพลังทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยลดลงหรือไม่ ?
จะมีบทสรุปเพื่อก้าวเดินต่อไปท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร ?
การเหยียดยืนขึ้นของพรรคอนาคตใหม่เป็นเรื่องน่าทึ่ง แม้หลายพื้นที่ซึ่งได้รับชัยชนะอาจมีผลจากการหายไปของพรรคไทยรักษาชาติ แต่การตั้งข้อสังเกตุดังกล่าวในวันสำเร็จของอนาคตใหม่คงเป็นเรื่องไม่งาม
การแสดงความยินดีเป็นเรื่องพึงกระทำ อนาคตใหม่จะเผชิญความเป็นจริงทางการเมืองและมีพัฒนาการต่อไปอย่างไรเป็นเรื่องน่าติดตาม
อนึ่ง เกมต่อรองทางการเมืองแบบเก่ายังมีอยู่ การเสนออามิสจูงใจส.ส.ให้ย้ายพรรค หรือยกมือตามที่ต้องการก็ยังมี นักการเมืองหักเหลี่ยมกันเอง นักการเมืองหักหลังประชาชนจะยังไม่หมดไป กลุ่มคนที่ประกาศตัวว่าสะอาดกว่าใครอาจเป็นฝ่ายที่ใช้วิธีสกปรกที่สุดในสถานการณ์นี้
นี่เป็นภาพที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและจะชวนคุยไว้เท่านี้ก่อน หลังจากนี้คงใช้สิทธิ์สนทนากันเรื่อยๆ
ประชาชนเขาจะคุยกัน คงไม่มีใครห้ามนะครับ

สะพัด!เพื่อไทยยอมหมด ใช้เก้าอี้นายกฯล่อ'ธนาธร-เสี่ยหนู'รวม300เสียงหวังล้ม'บิ๊กตู่'


26 มี.ค.62-รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า สำหรับการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล แกนนำคนสำคัญของพรรค ไม่ว่าจะเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ แคนดิเดตนายกฯของพรรค นายภูมิธรรม เวชยชัย ยินดีรับฟังทุกเงื่อนไขของพรรคที่ได้เสียงรองลงมา ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย พรรคอนาคตใหม่
หนึ่งในเงื่อนไขหากมีการหยิบยื่นมาเจรจาต่อรอง คือตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อไทยยินดีหากจะไม่ใช่คนของพรรค เช่นเดียวกับกระทรวงเกรดเอ หากมีการเจรจาต่อรอง พรรคเพื่อไทยยินดีรับทุกข้อเสนอ เพราะภารกิจหลักที่เป็นเป้าหมายของพรรคนาทีนี้ คือ รวบรวมเสียงให้เกินกว่า300เสียง สกัดกั้นการสืบทอดอำนาจ ล้มพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ให้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย.

'เจ๊หน่อย'ชักเคว้ง!หลังถูก'หญิงอ้อ-พจมาน'เบรกหัวทิ่ม

ผลการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศที่คาดว่าจะพอฟันธงได้ว่าใคร สอบได้-สอบตก น่าจะอยู่ช่วงเกือบๆ สองทุ่มไม่เกินสามทุ่มของคืนวันอาทิตย์นี้ ถึงตอนนี้ทุกฝ่ายต่างเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.มากที่สุด บนการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์การเมืองหลายสำนักว่ามีโอกาสสูงที่ พท.จะไม่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แม้แต่คนเดียว หรือเต็มที่ก็ไม่น่าเกิน 5-8 คน เพราะจำนวน ส.ส.เขตไปทับเต็มจำนวน ส.ส.ที่พึงได้ของเพื่อไทยเกือบหมด ยกเว้นแต่คะแนนผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทยจะมาแบบสูงลิ่วเกิน  8 หมื่นคะแนนหลายเขต นั่นถึงจะทำให้มีโอกาสได้ปาร์ตี้ลิสต์
สิ่งที่ต้องติตตามต่อไปก็คือ หากเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งแต่ได้ ส.ส.ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง แล้วจะเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ เพราะมีด่านหิน ส.ว. 250 เสียงรอขวางการโหวตเลือกนายกฯ อยู่
ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าหากที่สุดเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจริง จะส่งชื่อแคนดิเดตคนใดไปชิงตอนโหวตนายกฯ ในที่ประชุมร่วมรัฐสภา หลังส่งไปสามชื่อคือ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และชัยเกษม นิติสิริ
ยิ่งหาก พท.และพรรคพันธมิตรอย่าง อนาคตใหม่-เพื่อชาติ-เสรีรวมไทย-ประชาชาติ รวมเสียงกันจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ แล้วเกิดแคนดิเดตสองคนของเพื่อไทย คือ คุณหญิงสุดารัตน์และชัยเกษมไม่ได้เป็น ส.ส. ขณะที่ชัชชาติไม่ได้ลงปาร์ตี้ลิสต์ ก็จะเกิดปมปัญหาขึ้นมาอีก เพราะก่อนหน้านี้ทั้งธนาธรและปิยบุตร สองแกนนำอนาคตใหม่แสดงจุดยืนชัดเจนว่านายกฯ ต้องมาจาก ส.ส.
ดังนั้นหากสุดารัตน์และชัยเกษมไม่ได้เป็น ส.ส. แล้วเสียงเพื่อไทยไม่เกินไปจาก 250 เสียงมากในการตั้งรัฐบาล ก็จำเป็นต้องพึ่งเสียงพรรคอนาคตใหม่มาตั้งรัฐบาล-โหวตนายกฯ ซึ่งนั่นจะมีปัญหาแน่  เพราะดูแล้ว ธนาธร-ปิยบุตร คงไม่ยอมกลืนน้ำลาย จบอนาคตการเมืองด้วยการพลิกลิ้นมาหนุนแน่นอน ถ้าขืนทำเช่นนั้นทั้งคู่ที่อายุยังไม่มากและยังเหลือชีวิตการเมืองอีกหลายสิบปีมีอันจบเห่แน่นอน
ด้วยเหตุนี้ เส้นทางเข้าทำเนียบฯ-ตึกไทยคู่ฟ้าของแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย โดยเฉพาะ เจ๊หน่อย-สุดารัตน์ จึงมีขวากหนามพอสมควร ทั้งขวากหนามในการตั้งรัฐบาล-การโหวตนายกฯ-การลุ้นให้เพื่อไทยได้มีโควตาปาร์ตี้ลิสต์เพื่อให้ตัวเองได้เป็น ส.ส. รวมถึงขวากหนามเสียงสนับสนุนจากเพื่อไทยและพรรคเครือข่าย ในการหนุนให้เจ๊หน่อยได้เป็นนายกฯ เพราะอย่าง พรรคเพื่อชาติ เอง ก็รู้กันดีว่ายงยุทธ ติยะไพรัช และจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่กินเส้นกับสุดารัตน์มาตลอด
ที่สำคัญในเพื่อไทยเองก็มีกระแสข่าวในทางลับออกมาว่า แรงหนุนสุดารัตน์จากผู้มีบารมีตัวจริงในเพื่อไทยอย่าง หญิงอ้อ-คุณหญิงพจมาน เริ่มมีปัญหาในระยะหลัง โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์วันที่ 8 ก.พ.ในการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของ ทษช. แล้วเกิดเหตุพลิกผันในช่วงค่ำคืนจนนำไปสู่การยุบพรรค
ท่ามกลางกระแสข่าวว่าหลังเหตุการณ์คืนวันที่ 8 ก.พ. ระดับแกนนำเพื่อไทยตัวจริงนัดไปคุยกันเพื่อหารือสถานการณ์ในสถานที่ลับแห่งหนึ่ง ที่คาดว่าจะเป็นโรงแรมเอสซีปาร์ค ซึ่งในวงดังกล่าวหัวโต๊ะ ของวงหารือสายข่าวอ้างว่า มีคนเห็นผู้มาร่วมประชุมคนหนึ่งหน้าตาช่างดูคล้ายคลึงกับ คุณหญิงพจมาน ผู้มากบารมีแห่งเพื่อไทย
มีกระแสข่าวลือออกมาจากวงประชุมลับที่ว่า มีช่วงหนึ่งเจ๊หน่อยแสดงอาการฟึดฟัดๆ ไม่พอใจ หลังรู้ว่าแคนดิเดตนายกฯ ของ ทษช.คือใคร เพราะแสดงให้เห็นว่าทักษิณมีชื่อคนที่จะดันให้เป็นนายกฯ อยู่ในใจมานานแล้ว เสียงโอดครวญดังกล่าวพลันเงียบลงทันที เมื่อมีเสียงตัดบทจากผู้มากบารมีตัวจริงในเพื่อไทยว่า
“หน่อยพอได้แล้ว อ้อทนหน่อยมามากพอแล้ว ยังดีนะที่คนในพรรคไม่เชื่อหน่อย เลยเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยไปสามชื่อ ไม่ใช่ชื่อหน่อยชื่อเดียว”
ข่าวบอกว่าหลังการหารือดังกล่าวเสร็จสิ้นลง กระแสหนุนสุดารัตน์ให้เป็นนายกฯ ก็เริ่มมีความไม่แน่นอนตามมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผู้มากบารมีคนดังกล่าวคือคนที่หนุนหลังให้เธอชิงเก้าอี้นายกฯ 
...ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากพี่น้องตระกูลชินวัตร!!!!
หมายเหตุรายงานนี้เขียนเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2562

ที่มา: ไทยโพสต์

วิกฤตที่ต้องมองเห็น!'แก้วสรร'เปิดโปงเป้าหมายสูงสุดของ'ธนาธร-ทักษิณ'



26 มี.ค.62 - นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง "วิกฤต...ที่ต้องมองเห็น!"ผ่านเว็บไซต์ thaipost โดยมีเนื้อหาดังนี้
ถาม    วิกฤตที่ก่อตัวจากการเลือกตั้งครั้งนี้ คืออะไร
ตอบ    การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้  ถูกบิดผันจนกลายเป็นการเลือกข้าง  ไปแล้วว่า ใครจะเอาหรือไม่เอาลุงตู่  นี่คือกับดักทางสังคมการเมืองที่อันตรายมากๆ 
มาบัดนี้ผมเข้าใจแล้วว่า ที่คุณธนาธรเขาประกาศว่า  จะดึงบ้านเมืองกลับไปต่อกับปี ๒๔๗๕ นั้นคืออะไร 
ถาม    ปฏิเสธสถาบัน อย่างนั้นหรือ
ตอบ    ถ้าพวกเขาสามารถทำให้กระแสปฏิเสธ คสช. กระพือกลายเป็นกระแสปฏิเสธทั้งกองทัพและสถาบันกษัตริย์ได้สำเร็จ ว่า  แท้จริงทั้งสองสถาบันนี้คือธาตุชีวิตของ คสช.  ที่เป็นสิ่งกีดขวางต่อการสร้างสรรค์อนาคตใหม่ของมวลชนเมืองไทยมาตลอด ...ถ้าทำให้เห็นอย่างนี้ได้เมื่อใด ปี ๒๕๖๒ ก็จะต่อติดกับปี ๒๔๗๕ ทันที
ถาม    กระแสปฏิเสธ คสช.คือหนุ่มสาว ๗ ล้านคน หรือ
ตอบ    ทางนี้มีทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่แหละครับ  ในบ้านผมมีหมดเลย ใครไม่มีความสุข ไม่เห็นอนาคต ไม่พอใจใน ๕ ปีที่ผ่านมา ก็มารวมกันตรงโหวตนี้   ครั้นพอเห็นทหารเต็มรัฐบาล เต็มรัฐวิสาหกิจ เต็มสภา บวกด้วยเพลงหนักแผ่นดินจากวิทยุทหาร กองทัพ ก็กลายเป็นจำเลยใหญ่ไปเลย
พอมา ๘ กุมภา และ ภาพงานแต่งงานที่ฮ่องกง สถาบันก็ถูกดึงลงมาในเวทีฝักฝ่ายนี้อีก ทักษิณเขาจงใจมากๆ
การตั้งพรรคกางใบเรือขึ้นมารับกระแสความไม่พอใจ ความเขม่นเหม็นหน้า คสช. แล้วปั่นปลุกต่อไปให้กลายเป็นความเกลียดชังสถาบันแห่งความมั่นคงนี่แหละครับ  คือคำอธิบายในอดีต หลุมพรางในอนาคตอันใกล้นี้
ถาม    ไฮไลต์ ของกระแสนี้อยู่ตรงจุดไหนครับ
ตอบ    มันจะสั่งสมไปเรื่อยๆ ตามจังหวะการเมืองต่างๆ ทั้งการให้ใบเหลืองใบแดงของ กกต.ใน ๑ เดือนข้างหน้า ทั้งการแต่งตั้ง สว.จากกลุ่มดาวเทียม คสช.ต่างๆ   และจะระเบิดตูมตามหนักที่สุดตรงการตั้งนายกฯรัฐมนตรี  ถ้าฝ่ายแดงเขารวมได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทน  แล้ว คสช.ไปเอาเสียง สว.มาปฎิเสธไม่ให้เขาเป็น นายกฯ  อย่างนี้ระเบิดแน่ๆ  ระเบิดกลางถนนเลย
ถาม    ถ้าฝ่าย คสช.ได้เสียงข้างมากของ สส.ล่ะครับ    
ตอบ    ถ้า อาศัยกองทัพงูเห่า  ก็เป็นเรื่องเหมือนกัน
ถาม    ประชาธิปัตย์ จะยอมร่วมมือกับ คสช.หรือไม่?
ตอบ    การปฏิเสธทั้งคุณประยุทธ์ และพรรคเพื่อไทยของคุณอภิสิทธิ์ นั้น   แท้จริงคือการปฏิเสธการ “เลือกข้าง”   ที่ก่อตัวเริ่มจากความพยายามที่จะอยู่ต่อของ คสช.  และจากวาทะกรรม ฝ่ายประชาธิปไตย-ฝ่ายเผด็จการ ของฝ่ายแดง   ถ้ากลับสู่การ “เลือกตั้ง”ได้จริงๆ   คือ คสช.หยุดไม่อยู่ต่ออีกแล้ว ดังนี้คุณอภิสิทธิ์ถึงบอกว่า ก็พร้อมร่วมกับ พลังประชารัฐ 
นี่แหละครับคือจุดยืนก่อนเลือกตั้งของ ปชป.
ถาม    หลังเลือกตั้ง จะเปลี่ยนไปได้ไหม
ตอบ    เป็นไปได้ว่าจะร่วมมือให้เสียงตั้งลุงตู่เป็น นายกฯ ก่อน   แต่ตอนจัดตั้งรัฐบาลนั้น ปชป.ไม่ร่วมด้วย   จะลอยตัวเป็นพรรคลอย คือไม่ค้านและไม่ร่วมสังฆกรรมเป็นฝ่ายค้านกับพวกแดง จุดยืนพรรคลอยไม่เลือกข้างแบบนี้ พรรคพลังธรรมโดยลุงจำลองเคยยืนมาแล้ว ผมเชื่อว่าแนวทางนี้น่าจะยังเป็นทางเลือกหนึ่งอยู่ในวันนี้
ถาม    ในภายหน้า  ถ้าฝ่ายแดงผลักดัน แก้กฎหมายให้การแต่งตั้งทหารเป็นสิทธิขาดของรัฐบาล จะสำเร็จไหม   
ตอบ    ถ้ามีเสียงข้างมากในสภาสนับสนุน ก็สำเร็จผ่านสภาได้ในทางกฎหมาย
ถาม    แล้วออกกฎหมายยกเลิกคำพิพากษาคดีทักษิณล่ะครับ  
ตอบ    ไม่สำเร็จ เพราะกฎหมายที่กระทบกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรงเช่นนี้ รัฐธรรมนูญเขียนให้วุฒิสมาชิกเขาประชุมร่วมตัดสินใจด้วย  ฝ่ายแดงเขาคงต้องหาทางช่วยโดยแก้รัฐธรรมนูญ
ถาม    มีทางหรือครับ
ตอบ  ถ้าแก้เป็นเรื่องๆ ก็ติด สว.ด้วยอยู่ดี  ถ้าจะอุบไต๋ไว้คอยตอนลงมือแก้ทั้งฉบับนี่  ก็ต้องแก้ตรงกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญก่อน ซึ่งก็ติดทั้ง สว.และข้อกฎหมายด้วย  เพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยตัดสินมาแล้วว่าทำไม่ได้
สรุปแล้วต่อให้ฝ่ายแดงได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทน ก็ทำไม่ได้หรอกครับ
ถาม    เมื่อชัดเจนว่าฝ่ายแดงเขารื้ออะไรไม่ได้อย่างนี้  เป็นไปได้หรือไม่ที่ คสช.จะยอมสลายอำนาจ
ตอบ    คงยากครับ   ขอแต่เพียงให้มีสติทางการเมืองบ้างก็พอแล้ว  ถ้า สส.แดงเขาหนุนใครเป็นนายกฯ ได้ด้วยเสียงเกินกึ่ง  ก็อย่าหน้าด้านไปขวางเขาเลย  
รู้ไหมว่านี่คือเป้าหมายสูงสุดที่ธนาธรกับทักษิณต้องการจะให้เกิดขึ้น            
ขืนพวกคุณทำอย่างนี้ สังคมไทยต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ แน่นอน
รู้จักไหม...คำว่า “กูไม่กลัวมึง!”

'ทักษิณ'ให้สัมภาษณ์บีบีซี:ผมเป็นเพื่อนทูลกระหม่อมฯ มา30ปี ไม่เคยคิดดึงฟ้าต่ำ เรามีแต่ยกฟ้าสูง



    ภาพ:บีบีซีไทย
26 มี.ค.62-  บีบีซีภาษาไทยเผยแพร่บทสัมภาษณ์ นายทักษิณ ชินวัตร  ระบุว่า หลังงานแต่งงานของลูกสาวคนเล็ก แพทองธาร ชินวัตร และนายปิฎก สุขสวัสดิ์ ที่โรงแรมโรสวูด ในฮ่องกงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายทักษิณ ชินวัตร พำนักอยู่ที่เขตเศรษฐกิจพิเศษของจีนต่ออีกหลายวัน พร้อมให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศหลายสำนักวิจารณ์ผลการเลือกตั้งว่า "ไม่ปกติ"
ภาพความยิ่งใหญ่ของงานมงคลสมรส ที่มี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จร่วมงาน ก่อให้เกิดเสียงชื่นชมและวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วประเทศไทย นายทักษิณชี้แจงเรื่องนี้ว่าเป็นมิตรภาพที่มีกันมานานกว่า 30 ปี
"ผมเป็นเพื่อนกับท่านมาสามสิบปี ตั้งแต่สมัยท่านยังอยู่กับปีเตอร์ เจนเซ่น และก็คบกัน ท่านให้เกียรติกับผมเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง เป็นลักษณะใกล้ชิดกันเหมือนเพื่อน ผมรู้อุปนิสัยท่านดีว่าขยัน ชอบทำงาน และอยากเห็นบ้านเมืองดี" อดีตนายกรัฐมนตรีวัย 69 ปี ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยที่โรงแรมแห่งหนึ่งบนฝั่งเกาลูนของเกาะฮ่องกง
แม้นคนจำนวนมากเชื่อว่าตัวเขาคือผู้อยู่เบื้องหลังการเสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ เป็นผู้สมัครในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) จนเป็นต้นเหตุให้พรรคถูกยุบโดยศาลรัฐธรรมนูญ แต่ ทักษิณ ระบุว่า "ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง" กับกระบวนการเสนอชื่อ
"เป็นเรื่องของพรรค ไม่ใช่ของผม ผมอยู่เมืองนอกในฐานะผู้สังเกตการณ์ เป็นกองเชียร์เฉย ๆ" เขาปฏิเสธ"เราไม่เคยคิดดึงฟ้าต่ำ เรามีแต่ยกฟ้าสูง แต่บังเอิญว่ามันเป็นเรื่องที่ท่านทรงสละ ต้องมองให้ดีว่าท่านรักบ้านเมือง รักประชาชน ท่านอยากทรงเสียสละที่จะมาทำงานให้บ้านเมือง ในเมื่อว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านบอกว่าไม่ได้ ไม่ได้ก็ท่านก็จบ ไม่ได้ ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น อย่าไปคิดว่าดึงฟ้าต่ำ คนที่ดึงฟ้าต่ำจริง ๆ ไม่ใช่ผมหรอก ผมมีแต่ยกย่องเทิดทูน แน่นอน"

ประชาธิปัตย์บนทางสองแพร่ง ?

ประชาธิปัตย์บนทางสองแพร่ง ?

หลังความพ่ายแพ้เหนือความคาดหมายของประชาธิปัตย์ เกิดคำถามขึ้นว่า ประชาธิปัตย์จะเดินต่ออย่างไร?

1. จะทบทวนยุทธวิธี ทบทวนยุทธศาสตร์ เพื่อฟื้นฟูพรรคให้กลับมาได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอีกครั้ง

2. จะเอาประโยชน์เฉพาะหน้าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับพลังประชารัฐ แล้วเดินหน้าไปสู่ความล้มเหลวกลายเป็นพรรคต่ำสิบในอนาคต

หากต้องการทบทวนยุทธวิธี ทบทวนยุทธศาสตร์ เพื่อฟื้นฟูพรรค ประชาธิปัตย์ควรกลับมายืนในจุดที่ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา ให้ประชาชนมั่นใจในความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของประชาธิปัตย์ ซึ่งกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ประชาชนตัดสินใจไม่เลือกประชาธิปัตย์ 

ในอดีตสมัยท่านชวนเป็นหัวหน้าพรรค ได้ตัดสินใจไม่ร่วมรัฐบาลกับรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย นั้น เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ท่านชวนและสมาชิกพรรคใช้เวลาฟื้นฟูพรรค จากจำนวน ส.ส. เพียง 48 คน จนได้ ส.ส. เป็นอันดับหนึ่ง 79 คน ทำให้ท่านชวนได้เป็นนายกรัฐมนตรี ประชาชนกลับมาเชื่อมั่นศรัทธาประชาธิปัตย์ก็เพราะ ท่านชวนนำประชาธิปัตย์เข้าต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่กับฝ่ายเผด็จการทหารที่แปรงร่างเป็นพรรคสามัคคีธรรม

แต่ถ้าหากประชาธิปัตย์เอาประโยชน์เฉพาะหน้าเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งก็คงมีเหตุผลร้อยแปดมาอธิบายเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการตัดสินใจนี้ ชะตากรรมของประชาธิปัตย์ก็คงเหมือนพรรคการเมืองหลายพรรคในอดีต เช่น กิจสังคม ชาติไทย ชาติพัฒนา ฯลฯ จำนวน ส.ส. ลดน้อยถอยลง หรือหายไปจากสารบบการเมืองไทย เพราะเมื่อเข้าสู่การเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ประชาธิปัตย์รู้อยู่แล้วว่า แทบทำอะไรตามนโยบายและแนวทางของพรรคไม่ได้เลย

การถอนทุนอย่างมโหฬารจะเกิดขึ้น
บุฟเฟ่ต์คาบิเน็ตจะกลับมา

เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมาใครๆก็รู้ ประชาธิปัตย์ก็รู้ว่าพรรคใดโกงเลือกตั้ง พรรคใดสั่งยัดบัตรผี พรรคใดซื้อเสียงอย่างสะบั้นหั่นแหลก

ประชาธิปัตย์จะยอมอยู่ร่วมเพื่อรับรองความสุจริตของพรรคการเมืองเหล่านั้นหรือ ?

ประชาธิปัตย์มีแต่จะตกต่ำและล้มเหลวไปพร้อมกับรัฐบาลประยุทธ์และพลังประชารัฐ

คำถามนี้หลายคนในพรรคประชาธิปัตย์น่าจะหาคำตอบให้กับตนเองได้

ในระบบการเมืองแบบรัฐสภานั้น การหยัดยืนเป็นพรรคฝ่ายค้านที่เข้มแข็งจะสามารถทำประโยชน์ให้กับประชาชนได้มากกว่า การทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน จะทำให้ความเชื่อมั่น ความศรัทธา ของประชาชนที่มีต่อประชาธิปัตย์กลับคืนมาอีกครั้ง
แม้ไม่ได้เป็นรัฐบาลประชาธิปัตย์ก็อยู่ในฐานะฝ่ายค้านได้

แม้ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรเพราะมีการรัฐประหารประชาธิปัตย์ก็อยู่ได้ 

ประชาธิปัตย์ไม่เคยปิดพรรค

อย่าให้ความอยาก ความกระสัน ของสมาชิกบางท่านมาทำลายหลักการและอุดมการณ์ของพรรค เพราะเราต้องรักษาประชาธิปัตย์ไว้ให้ลูกหลานรักษาประชาธิปัตย์ไว้ให้อนุชนคนรุ่นหลังต่อไป

ปล. หากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ผู้สนับสนุนพรรค หรือผู้ที่รักพรรคประชาธิปัตย์ท่านใดเห็นด้วยหรือแม้ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคแล้วเห็นด้วย ก็ขอความกรุณาเผยแพร่ต่อไปด้วยนะครับ เพื่อจะได้เป็นข้อคิดเตือนใจให้กับใครบางคนที่กำลังจะพาประชาธิปัตย์เดินไปสู่หุบเหว
ไทกร พลสุวรรณ
26 มีนาคม 2562