PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ทิดเทือกยันชัด เปิดอ้า-ไร้กรอบเวลา

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 31 ก.ค. 2558 05:20

เปิดอ้า-ไร้กรอบเวลา พท.จวกยืด‘โรดแม็ป’ ตอกวิษณุกบในกะลา
“สุเทพ” นำทีม 12 แกนนำ กปปส.เปิดตัวมูลนิธิมวลมหา ปชช. เพื่อปฏิรูปประเทศ “ทิดเทือก” นั่งแป้นประธานคุมบังเหียนกดดันรัฐบาล คสช.ต้องปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง ไร้กรอบเวลา พร้อมอาสาเป็นกระบอกเสียงตอบโต้ต่างชาติ ลั่นเคลื่อนไหวไม่เกี่ยวโยง ปชป.-ไม่หวนเล่นการเมือง “กษิต” รับหน้าเสื่อช่วยงานด้านต่างประเทศ ก๊วน 40 อดีต ส.ว.เด้งรับ “ไพบูลย์” จ่อชงเข้า สปช. อ้างสางงานหลักให้ลุล่วง “เสรี” เชียร์วางกรอบ-เป้าหมายให้ชัดก่อน ด้าน “ดิเรก” ขวางลำยื้อเวลา ซัดยิ่งเพิ่มปัญหา พท.คาใจ “เทือก” ออกโรงฉลุย ดักคออย่าสร้างเงื่อนไขเขย่าโรดแม็ป นปช.ฉะลั่นกลองรบหวังล้มเลือกตั้ง กมธ.ตั้งแท่นทบทวนรอบสุดท้ายร่าง รธน.มั่นใจไม่อคติเสียงโหวตผ่านแน่ “ปึ้ง” ตอก “บิ๊กตู่” เด็กๆยิงมุกลืมชื่อ “ทักษิณ” ปึ้งเฉ่งวิษณุพวกกบในกะลากล่าวหานายใหญ่ให้ร้ายประเทศ
กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำกปปส.เดินหน้าเคลื่อนไหวทำงานการเมืองภาคประชาชนหลังจากลาสิกขาออกมา ล่าสุดได้เปิดตัว มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศอย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศเจตนารมณ์ผลักดันให้รัฐบาลนี้ต้องปฏิรูปประเทศให้เสร็จสิ้นก่อนจะมีการเลือกตั้ง โดยไม่มีกรอบระยะเวลา
“ทิดเทือก”เปิดตัวมูลนิธิมวลมหา ปชช.
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 ก.ค. ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล สี่แยกราชประสงค์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ อย่างเป็นทางการ มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธานกรรมการมูลนิธิฯ โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารนำโดย พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ สังกัดกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) พร้อมด้วย พ.ท.ภาสกร กุลวิวรรณ ผบ.ม.พัน. 1 พล.ม.2 นำนายทหารร่วม 10 นาย มาสังเกตการณ์และพร้อมบันทึกภาพเหตุการณ์ ก่อนหารือกับนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รองประธานกรรมการมูลนิธิฯ โดย พ.อ.บุรินทร์ ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นการพูดคุยเพื่อตกลงขั้นตอนและการดำเนินงาน ยืนยันว่าการแถลงข่าวหากมีประเด็นที่ผิดไปจากระเบียบหรือมาตรฐานที่เคยปฏิบัติไว้ คือ มีประเด็นทางการเมือง จะดำเนินคดีทางกฎหมายทันที ทั้งนี้ภายในงานยังมีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมอย่างคึกคัก อาทิ นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู อดีตรองหัวหน้าพรรค นายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศและอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช และนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต ส.ส.กทม.
ขอเป็นศูนย์กลางดันปฏิรูปก่อน ลต.
ต่อมาเวลา 10.00 น. นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขานุการคณะกรรมการฯ กล่าวเปิดตัวมูลนิธิฯและคณะกรรมการว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะรับเป็นประธานมูลนิธิฯ นายถาวร เสนเนียม นายอิสสระ สมชัย นายวิทยา แก้วภราดรัย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เป็นรองประธานมูลนิธิฯ นายพุฒิพงษ์ ปุณณกันต์ นายชุมพล จุลใส นายสกลธี ภัทธิยกุล นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ ร่วมเป็นคณะกรรมการมูลนิธิฯ ตนเป็นเลขานุการมูลนิธิฯ และ น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร เป็นผู้ช่วยเลขานุการฯ โดยมีวัตถุประสงค์การจัดตั้งมูลนิธิฯคือ 1. สนับสนุนการศึกษาวิจัย สัมมนา หรือการประชุม รวบรวมความรู้ ความคิดเห็น ในรูปแบบต่างๆเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม 2.ติดตามศึกษารวบรวม และวิเคราะห์รายงานข้อมูลและสถานะของประเทศเป็นระยะ 3. ดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์หรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ 4. ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความเป็นกลาง

“ณัฐวุฒิ” เย้ยอนาคตประเทศอนาถาถึงขั้นต้องมีมูลนิธิมาดูแล

“ณัฐวุฒิ” เย้ยอนาคตประเทศอนาถาถึงขั้นต้องมีมูลนิธิมาดูแล ชี้เหมือนเป็นผลดีแต่ยิ่งกดดันรัฐบาล

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับมูลนิธิมวลมหาประชาชนนั้น ชวนให้ฉุกใจคิดว่า เรามาถึงจุดที่อนาคตประเทศไทยดูอนาถาจนถึงขั้นต้องมีมูลนิธิเข้ามาดูแลได้อย่างไร การแสดงตัวเป็นพวกเดียวกัน และประกาศสนับสนุนปฏิรูปก่อนเลือกตั้งโดยไม่มีกรอบเวลานั้น ดูเหมือนจะเป็นผลดี แต่แท้จริงแล้วเป็นการสร้างแรงกดดันใส่รัฐบาลที่ยืนยันโรดแมปมาตลอด เป็นไปได้ว่า ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งจะเป็นข้ออ้างที่ใช้สร้างสถานการณ์ต่างๆ ขึ้นมาอีก ทั้งที่นับวันคำว่าปฏิรูปก็ดูเลื่อนลอยไร้รูปธรรมมากขึ้นทุกที ลองเอาทุกคนที่นั่งบนเวทีแถลงข่าวมาแยกห้องให้อธิบายคำว่าปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง เชื่อว่าจะไปกันคนละทิศละทาง ถ้าเปลี่ยนคำพูดเป็นจัดการอีกฝ่ายให้เสร็จก่อนเลือกตั้งนั้น น่าจะตรงความจริงมากกว่า
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่อ้างว่า จะเสนอเนื้อหาปฏิรูปหรือรัฐธรรมนูญนั้น ก็สงสัยว่าเขาทำกันปีกว่าจนเกือบเสร็จแล้ว จะมาเสนออะไรตอนนี้ รวมความก็คือแถลงทางการเมืองทั้งสิ้น แต่ดูเหมือนรัฐบาลจะจงใจไม่ได้ยิน ทั้งนี้ หากประเมินให้ลึกลงไปอีกจะเห็นว่า สถานการณ์นี้ปี่กลองเริ่มเชิด บนเวทีมีนักมวยอยู่เต็มไปหมดจนชักมองไม่ออกว่าใครจะชกกับใคร หรือใครเป็นพวกใคร ทางออกเดียวที่เกิดประโยชน์สูงสุดคือ ต้องมีกติกาที่เป็นสากลโดยประชาชนเป็นกรรมการ และก่อนที่รัฐบาลจะเดินหน้าต่อไปนั่น อยากฝากสำนวนไทยไว้เป็นข้อคิดว่า เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด แต่ถ้าเดินตามกำนันให้ระวังกำนันกับพวกดีๆ ก็แล้วกัน 
“การแถลงข่าวคราวนี้ ถือเป็นมาตรฐานใหม่เพราะกลุ่มผู้แถลงสามารถแต่งกายแบบเดียวกับที่ใช้เคลื่อนไหวก่อนยึดอำนาจได้ ในสัปดาห์หน้า ผมตั้งใจจะชวนแกนนำนปช.ใส่เสื้อสีแดงเปิดแถลงข่าวเรื่องสถานการณ์นกกรงหัวจุกในประเทศไทยบ้าง ก็มั่นใจว่าจะได้รับอนุญาต ส่วนรายละเอียดจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง”นายณัฐวุฒิกล่าว 

ประยุทธ์พระเอ้ก พระเอก !!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
31 กรกฎาคม 2558 01:18 น.

เกาะกระแส
       
       00 ถ้าบอกว่าในบรรดาผู้นำของหลายชาติที่เป็น"พระเอก" ก็น่าจะนับเอา "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช.ของเราติดไปด้วยอีกคนหนึ่งเป็นแน่ ดูอย่างกรณีที่สหรัฐอเมริกา "กดหัว" ประเทศไทย ด้วยการคงอันดับ"เทียร์ 3" นั่นคืออยู่ในกลุ่มที่ไม่มีการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์หรือการค้าทาสยุคใหม่รุนแรง ความหมายก็คือ ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศป่าเถื่อน ล้าหลังเหมือนกับอีกหลายประเทศที่สหรัฐฯ เป็นคนชี้นิ้วกำหนดให้เป็น แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้ยิ้มรับ ไม่สนใจ บอกว่าเราทำดีที่สุดแล้ว เรามีมาตรการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง แม้ผลจะออกมาแบบนี้ เราก็จะเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างเข้มข้นต่อไป จะร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ และนานาชาติต่อไป แถมยังแสดงความยินดีกับมาเลเซีย เพื่อนบ้านของเราที่ได้รับเลื่อนอันดับขึ้นมาเป็น เทียร์ 2 นอกจากนี้ยังออกมาปรามคนที่เป็นเดือดเป็นแค้นที่เราถูกกระทำโดยการรณรงค์ในโลกโซเชียลฯ บอยคอตสินค้าสัญชาติอเมริกัน แต่ลุงตู่ ก็ออกมาเบรกว่าอย่าทำเลย แหม พระเอ้ก พระเอกซิไม่มีละ !!
       
       00 แต่เอาเถอะ จะอย่างไรก็แล้วแต่ แต่น่าจะถึงเวลาที่เราจะต้องหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังเสียที โดยเฉพาะการปฏิรูปภายในทุกภาคส่วนที่เวลานี้เหมือนกับว่า "หยุดนิ่ง" กับที่แล้ว และสิ่งที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังหัวหมุนอยู่ ก็เป็นเรื่องเศรษฐกิจปากท้องที่กำลังที่กำลังมีปัญหาหนักข้อขึ้นทุกวัน ซึ่งก็ถูกต้องแล้วที่ต้องเอาเวลาไปหมกมุ่นแก้ปัญหา เพราะเกี่ยวข้องกับชาวบ้าน แต่ก็ต้องต้องไม่ลืมเช่นเดียวกันว่า หากโครงสร้างเดิมๆ ยังอยู่ ระบบข้าราชการยังห่วยแตกอยู่แบบนี้ และที่สำคัญ นี่คือความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่จะนิ่งเฉยไม่ได้เป็นอันขาด ที่ผ่านมามักจะอ้างว่าก็กำลังพิจารณาในสภาปฏิรูปฯ สนช.กำลังพิจารณากม.หลายฉบับ มีการยกร่างรธน. ทุกอย่างกำลังเดินไปตามโรดแมป มันก็ใช่ แต่มันรู้สึกล่องลอยพิกล เพราะผู้นำไม่ได้มีท่าทีชัดเจน หรือมีการส่งสัญญาณเอาจริงเอาจังให้เห็น มิหนำซ้ำยังไม่สนใจ โยนไปให้รัฐบาลหน้า ความหมายแบบบ้านๆ ก็คือ "กูไม่ยุ่งแล้ว" อย่างนั้นหรือเปล่า
       
       00 เรื่องปฏิรูปตำรวจก็เฉย ไม่สนใจแล้ว การกระจายอำนาจ ก็เงียบ หลังจากเจอขรก.มหาดไทยเป่าหู ซึ่งแน่นอนว่า จะแก้ปัญหาหรือปรับโครงสร้างหน่วยงานใด หากไปถามหน่วยงานนั้นฝ่ายเดียวมันก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เหมือนกับการปฏิรูปตำรวจ ถ้าให้ตำรวจเป็นคนทำ คำตอบก็รู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ก็ไม่ต่างจากการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มท.1 ไปถามบิ๊กมท. ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้เลย
       
       00 กำลังได้บทเรียนสาสมขึ้นทุกวันสำหรับ ทักษิณ ชินวัตร ที่ไม่สำนึก ยังสำคัญตัวเองผิด ด้วยการอาสาขอมาช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจของไทยให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็โดนตอกกลับไปจนหน้าหงายว่า "ลืมชื่อ" คนแบบนี้ไปนานแล้ว แม้แต่ "ลูกน้องเก่า" อย่าง วิษณุ เครืองาม ที่มาวันนี้ให้บทเรียนกลับไปอย่างเจ็บแสบว่า "แค่หยุดพูดทำลายชาติ" ก็ถือว่าช่วยแล้ว ไงล่ะ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ พับเผื่อย !!
       
       00 น่าจับตาจริงๆ กับบทบาทของ สุเทพ เทือกสุบรรณ หลังจากลาสิกขาออกมา ล่าสุด ประกาศว่าจะเดินหน้าเร่งรัดให้เกิดการปฏิรูป 6 ข้อ ตามฉันทามติของมวลมหาประชาชน ภายใต้มูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ โดยไม่หวนกลับไปปชป. อีก ไม่ลงเลือกตั้ง ไม่รับตำแหน่งทางการเมือง แต่คำถามก็คือบรรดาแกนนำคนอื่นล่ะ จะเล่นการเมืองอยู่หรือเปล่า !! 

รมว.มท. ไม่กังวลความเคลื่อนไหวของนายสุเทพ เนื่องจากเห็นว่าไม่มีประเด็นทางการเมือง

รมว.มท. ไม่กังวลความเคลื่อนไหวของนายสุเทพ เนื่องจากเห็นว่าไม่มีประเด็นทางการเมือง และเป็นเพียงการแถลงทิศทางของมูลนิธิเท่านั้น ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าเป็นทิศทางที่ไม่มีปัญหา
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีความเคลื่อนไหวหลังการลาสิกขาบท ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่ม กปปส. ในการแถลงข่าวจัดตั้งมูลนิธิมวลมหาประชาชนเมื่อวานนี้ (30 ก.ค. 58) โดยไม่มีความรู้สึกกังวล เนื่องจากเห็นว่าเนื้อหาที่แถลง เป็นเพียงการกำหนดทิศทางของมูลนิธิ ซึ่งสอดคล้องกับโรดแมปของ คสช. และยังอยู่ภายใต้การสอดส่องจากเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจเป็นอย่างดี จึงเห็นว่าไม่เป็นประเด็นทางการเมืองแต่อย่างไร
ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองอื่นๆนั้น พล.อ.อนุพงษ์ ยืนยันว่าจะใช้มาตรฐานเดียวกันในการดูแลทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม หากจะมีกลุ่มการเมืองอื่น ออกมาเคลื่อนในลักษณะเดียวกัน ก็ต้องให้ คสช.เป็นผู้พิจารณาความเหมาะสม

โอ๊ค โพสFB:ที่ยืนเรียงหน้ากันอยู่นี่ มีใครกล้าพูดมั๊ยครับว่า น่าจะมีสักคน ที่ไม่ใช่นักการเมือง..??

ที่ยืนเรียงหน้ากันอยู่นี่ มีใครกล้าพูดมั๊ยครับว่า น่าจะมีสักคน ที่ไม่ใช่นักการเมือง..??
บอกเลย นักการเมืองล้วนๆ 100% ครับ แต่ที่ปัจจุบันเรียกตัวเองว่านักการเมืองไม่ถนัดปาก เป็นเพราะว่าเมื่อเล่นกันตามเกม สู้กันตามระบอบประชาธิปไตย กลับต้องพ่ายแพ้เลือกตั้งทุกครั้ง เป็นอย่างนี้ติดต่อกันมาร่วม 20 ปี มันก็ต้องใช้วิธีตุกติกนอกกติกา เพื่อให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาลกันบ้าง
ไม่ต้องย้อนยุคไปถึงตอนใช้ "วิชามาร" ส่งคนไปตะโกนในโรงหนัง เพื่อหวังจัดตั้งรัฐบาลหรอกครับ เอาแค่ 20 ปีที่ผ่านมา เขาทำกันอย่างไร พรรคฯที่แพ้เลือกตั้ง จึงจะได้เป็นรัฐบาลกับเขาบ้าง
ครั้งแรก ใช้" วิชาหมองู" จับงูเห่าพลิกมาอยู่ข้างตัวเอง จึงได้เป็นรัฐบาล
ครั้งที่ 2 ใช้ "วิชาทหารราบ" จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จึงได้เป็นรัฐบาล
มาครั้งล่าสุด ใช้ "วิชานกหวีด" หวังปฏิรูปประเทศด้วยการ เตะหมูเข้าปากทหาร แล้วคิดว่าจะเอื้อต่อพรรคพวกตนในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ปัจจุบันกลับส่งผลกระทบรุนแรงต่อ ภาวะเศรษฐกิจ ต้องซบเซาย่ำแย่กันไปหมด ทั้งในระดับเจ้าสัว ปานกลาง และรากหญ้า เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า บวกกับการไม่ยอมรับ จากเกือบทุกประเทศทั่วโลก เศรษฐกิจจึงจมดิ่งในทุกระดับ
"เรามาถึงจุดๆนี้ กันได้อย่างไร"
เริ่มจากนักการเมืองกลุ่มนี้หรือไม่? ที่แปลงกายเป็นชาวบ้าน ด้วยการลาออกจากนักการเมือง แล้วสถาปนาตัวเอง เป็นมวลมหาประชาชน ปลุกม็อบปั่นป่วนบ้านเมือง เขี่ยลูกใส่พาน วิงวอนขอรถถังออกมาวิ่ง จนกระทั่งสำเร็จ
เมื่อทหารออกมายึดอำนาจ ได้ปกครองประเทศสำเร็จ ก็มีเหตุการณ์ที่ตัวหัวโจกนำป่วนเมืองดันผิดคิว ไปตลกบริโภคทวงบุญคุณทหาร ส่งใบเสร็จค่าป่วนเมือง 1,000 ล้าน ปรากฏไม่มีขุนพลคนไหนขำด้วย จึงต้องหนีไปบวช บ้านเมืองก็ทำท่าจะสงบอยู่พักหนึ่ง
ปรากฏว่าอยู่ๆก็ลาสิกขาบท สึกออกมาได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็แผลงฤทธิ์ดอกแรกด้วยการ ทำหนังสือสั่งผบ.ตร.ไม่ให้ย้ายกองบัญชาการตำรวจภูธรฯ ออกไปจากจังหวัดตัวเอง ตามด้วยดอก 2 ใน 2-3 วันต่อมา ด้วยการแถลงข่าวการเมืองล้วนๆ โดยอ้างชื่อมูลนิธิฯเป็นตัวบังหน้า อย่างที่เห็นกัน
การเมืองหรือไม่การเมือง เด็กอมมือมันก็ดูออกครับ คอยดูกันเถอะที่ว่าไม่เล่นการเมือง เรียงหน้ากันอยู่บนเวทีทั้งหมดนี่ พอใกล้เลือกตั้งเมื่อไหร่ วิ่งกลับเข้าสังกัดพรรคฯ ลงเลือกตั้งแทบทั้งหมด เหลือไม่เกิน 1-2 คนหรอกที่อยู่เฝ้ามูลนิธิฯ คอยเป็นหัวเชื้อป่วนเมือง เพื่อกู้ชีพให้พรรคในยามแพ้เลือกตั้งครั้งหน้า คอยดูเถอะ
ย้ำกันอีกทีก็ได้ ที่เห็นยืนหน้าสลอนบนเวที บอกไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองกันอยู่นี่ คนไหนที่จะไม่ลงเลือกตั้งในครั้งหน้า ช่วยแมนๆกู้ศรัทธาคืน ด้วยการประกาศตัวออกมาให้ชัดเจนหน่อย
พวกสาวกนกหวีดก็เหมือนกัน เจ็บแล้วต้องจำกันบ้าง ครอบครัวจะอดตาย เงินเดือนน้อย ข้าวของแพง บางคนต้องตกงาน ในขณะที่ บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ ค่าเทอมลูกต้องจ่าย แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร
เรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร..? เจ็บแล้วต้องจำกันบ้างครับ
ไม่ใช่ว่าพอยังมีลมหายใจกันอยู่ ก็เอาแต่เป่ากันอย่างเดียว
ปรี๊ดด..ปรี๊ดด..ปรี๊ดด..ปรี๊ดด..ปรี๊ดด..!!
ภาพจาก ไทยรัฐออนไลน์

ชูวิทย์ โพส : รู้ทันสุเทพ

รู้ทันสุเทพ
“สุเทพเปิดตัวมูลนิธิมวลมหาประชาชน ยันปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ไปพร้อมกับ คสช.”
ผมพูดถึงคุณสุเทพในสถานะที่แตกต่างกันอย่างต่อเนื่อง จนวันนี้ประชาชนอยากรู้ว่า คุณสุเทพจะรอดพ้นความรับผิดชอบต่อสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นจากตัวเองอย่างไร?
ผมพยายามอย่างมากที่จะให้ความเป็นธรรมกับคุณสุเทพ แม้ว่าจะยากเย็นต่อการกระทำดังกล่าว
คุณสุเทพเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงจาก "ระบอบประชาธิปไตย" ไปสู่ "รัฐบาลทหาร" จากนั้นก็โกนหัวเข้าวัด ให้ทุกคนเข้าใจว่าเป็นผู้เสียสละ ทำเพื่อประเทศชาติ และจะหันหลังให้การเมืองมุ่งสู่ร่มกาสาวพัสตร์
แต่ขณะบวชเป็นพระก็ยังอดไม่ได้ช่างใจไม่อยู่ แสดงตัวสนับสนุนรัฐบาลทหารว่าเป็น "พวกของเรา" และมองอีกฝั่งที่อยู่ตรงกันข้ามว่าเป็น "พวกอื่น" อย่างกับตอนอยู่ในสภา เป็น ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ไม่ผิดเพี้ยนทั้งๆที่ห่มผ้าเหลือง
พอสึกพ้นประตูวัด ขนคิ้วยังไม่ทันขึ้น ก็รีบจัดตั้ง "มูลนิธิมวลมหาประชาชน" หยอดคำหวานใส่ คสช. ว่าจะขอร่วมลงเรือปฏิรูปด้วย
ที่จริงแล้ว คุณสุเทพส่งสัญญาณทวงบุญคุณรัฐบาลทหารเสียมากกว่า "ที่มีวันนี้ได้ เพราะ กปปส. จัดให้"
คุณสุเทพยังย้ำต่อว่า มูลนิธิไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ขอโทษนะครับ ที่นั่งหน้าสลอนกันอยู่บนเวทีแถลงข่าวก็นักการเมืองทั้งนั้น แถมสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ล้วนๆ
ผมหวนคิดถึง "กำนันสุเทพ" ที่ล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์เมื่อสองปีก่อน บรรดากองเชียร์พากันบูชา เชื่อว่าคุณสุเทพไม่ผิดคำพูด ทำเพื่อประเทศชาติ แล้วจะเลิกเล่นการเมือง กลายเป็นคนแก่หลังเกษียณ ใช้ชีวิตเลี้ยงหลานอยู่ที่สุราษฎร์อย่างมีความสุข
ท้ายสุดคุณสุเทพ "สับขาหลอก" ใช้วาทกรรม "ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมืองในสภา แต่ขอจัดการเมืองภาคประชาชน" หักหลังมวลมหาประชาชนคนกลางที่หลงเชื่อหัวปักหัวปำตอนเป่านกหวีด
ให้มันได้อย่างนี้สิ พ่อคนดีของมวลมหาประชาชน (ประชาธิปัตย์)
อำนาจทางการเมืองไม่ได้มีพื้นฐานมาจากความจริงเท่านั้น คุณสุเทพจึงยังคงไม่ยอมหยุด
ที่ต้องจับตาดูคุณสุเทพ ไม่ใช่เฉพาะประชาชนอย่างเราๆท่านๆ แต่รัฐบาลทหารเองก็อย่าวางใจก็แล้วกัน
ดีไม่ดี รู้ไม่ทัน พลาดท่าไปหลงเชื่อคุณสุเทพ แล้วจะหาว่าชูวิทย์ไม่เตือน

สองภารกิจ “ทิดสุเทพ” ป้อง คสช.- ปั้น “มาร์ค” ขึ้นผู้นำ

สองภารกิจ “ทิดสุเทพ” ป้อง คสช.- ปั้น “มาร์ค” ขึ้นผู้นำ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
31 กรกฎาคม 2558 07:26 น

รายงานการเมือง

      
       ภายหลังลาสิกขาจบ บทบาท “พระสุเทพ ปภากโร” กลับมาสามัญชนคนธรรมดาที่รู้กันดีในนาม “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการ กปปส. ทำให้ทุกองคาพยพทางการเมืองหันมาจับจ้องความเคลื่อนไหวของ “ลุงกำนัน” อีกครั้ง
      
       รู้กันดีว่า “ลุงกำนัน” คือ ศูนย์รวมใจของเหล่า กปปส. ที่ต่อสู้อย่างยาวนาน จนเปิดช่อง - เปิดเกมให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยึดอำนาจ “รัฐบาลปูแดง” จนพูดกันไปว่า “สุเทพ” รู้กันกับ “ประยุทธ์” ก่อนการยึดอำนาจ
      
       และยืนยันความปึ้กไปอีกหลังรัฐประหารที่ “บิ๊กตู่” โดย คสช. เปิดไฟเขียวให้ “กำนันสุเทพ” และพลพรรคเคลื่อนไหวทางการเมืองในพื้นที่ภาคใต้ได้อย่างอิสระ ต่างจาก “นักการเมือง” ขั้วตรงข้ามที่ถูกขังตาย - ขังลืม ไม่ให้มีโอกาสกระดิก หรือเคลื่อนไหวในพื้นที่ฐานเสียงได้อย่างอิสระ จนบางคนเริ่มออกมาบ่นกันว่า อีกไม่นานคงอดตาย
      
       งานแรกของ “ลุงกำนัน” คือ การออกนำ 12 อดีตแกนนำ กปปส. ที่ออกหน้าร่วมกันนำม็อบอยู่ร่วมปีแปลงร่างเป็น “คณะกรรมการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ” โดยประกาศ 3 ภารกิจหลัก
      
       1. ระดมประชาชนที่มีทัศนคติ - อุดมการณ์ทางการเมือง ที่สอดคล้องกับ กปปส. ร่วมกันเป็นเจ้าของมูลนิธิมวลมหาประชาชน แต่ตั้งเงื่อนไขรับบริจาคเฉพาะเงินคนไทย เพื่อจะยืนยันว่า เงินทุกบาท - ทุกสตางค์ ไม่มีเบื้องหลัง เหมือนขั้วตรงข้าม
      
       2. ยืนยันเจตนารมณ์ของมูลนิธิที่ต้องการปกป้องชาติ - สถาบัน - ประชาชน โดยเฉพาะกรณีที่นานาชาติ - องค์กรระหว่างประเทศ ที่ไม่เข้าใจการทำงานจะส่งคนในเครือข่าย อาศัยคอนเนกชันเก่า เข้าชี้แจงทำความเข้าใจทันที
      
       โดยข้อนี้ “ลุงกำนัน” มอบหมายให้ “กษิต ภิรมย์” อดีต รมว.ต่างประเทศ อาศัยคอนเนกชันเก่า ๆทางการทูตทำความเข้าใจทันที เพราะรู้กันดีว่า “จุดอ่อน” ของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” อยู่ที่เกมการเมืองระหว่างประเทศ ที่ไม่สามารถสู้รบปรบมือกับ “นช.แม้ว” ที่มีพลังเงินมหาศาล จนสามารถจ้างผีโม่แป้ง ระดม “ล็อบบียิสต์” รุมถล่มรัฐบาลและประเทศไทยได้
      
       บทเรียนล่าสุดที่โดน “นช.แม้ว” เล่นงาน คือ การประกาศจัดอันดับการค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกาที่ “ดอน ปรมัตถ์วินัย” รมช.ต่างประเทศ ยังออกมายอมรับเองว่า มี “ล็อบบียิสต์” จากฝากฝั่งยุโรปเขียนโจมตีไทย เพื่อกดดัน “มะกัน” ให้คงลำดับไทยให้อยู่เทียร์ 3 ต่อไป
      
       ทว่า เหมือน “ลุงกำนัน” ยังไม่ไว้ใจ “กษิต” มากนัก เพราะมีรายการผิดคิวกันกลางฟลอร์เล็ก ๆ เมื่อสื่อพยายามซักถาม “กษิต” แต่กลับโดนปิดไมค์กะทันหัน นั่นเพราะ “ลุงกำนัน” รู้นิสัยใจคอกันดี ว่า เป็นพวกไหลไปตามน้ำ ขณะนี้ กปปส. กระแสพอได้มีมวลชนในมือ “กษิต” ที่ไม่ได้เป็นเนื้อแท้ กปปส. จึงไม่ควรมีแอกชันมาก ส่วน “กษิต” เองก็เต็มใจที่จะเล่นบท “กาฝาก” ตามที่ถูกวางตัวไว้
      
       ภารกิจข้อที่ 3 มูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ จะถูกจัดตั้งให้เป็นศูนย์กลางรับข้อเสนอปฏิรูปประเทศ พร้อมสนับสนุนรัฐบาล - คสช. ให้ปฏิรูปจนสำเร็จ โดยไม่เกี่ยงว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร
      
       บรรทัดนี้ต้องขีดเส้นใต้คำว่า “ไม่เกี่ยงว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร” ไว้ด้วย
      
       เหมือน “ลุงกำนัน” ทำงานคู่ขนานไปกับรัฐบาล - คสช.- สนช.- สปช. ในการปฏิรูปประเทศ เพื่อวางโครงสร้างการเมืองในอนาคต โดยอาจจะมีธงสกัดกั้น “ใครบางคน” และเปิดทางให้ “ใครบางคน” โดยไม่สนใจว่า จะทอดยาวจนเลยโรดแมปของ คสช. หรือไม่อย่างไร
      
       ยังคงยึดถือวลี “ปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง” เป็นสรณะอย่างหนักแน่น
      
       สิ่งที่ชัดเจนมาที่สุดจากปาก “ลุงกำนัน” คือ การตัดขาดลาจาก “พรรคประชาธิปัตย์” แม้ทางปฏิบัติจะไม่ร่วมสังฆกรรมกันจริง ๆ แต่ในทางลับจำเป็นต้องเดินคู่ขนานกันไป เพราะอย่าลืมว่า “มวลชน” ฐานเสียงของของ “พรรคสีฟ้า” มีไม่น้อยที่ศรัทธาพรรค แต่ไม่ได้ศรัทธา “ลุงกำนัน” และมีไม่น้อยเช่นกันที่ศรัทธา “ลุงกำนัน” แต่ไม่ศรัทธาพรรค
      
       เมื่อฐานเสียง - มวลชน ยังคงทับซ้อนกันอยู่ จึงไม่มีเหตุผลที่ “ลุงกำนัน” จะตัดขาด “พรรคสีฟ้า” แบบไม่ให้เหลือเยื่อใยในตอนนี้ เพราะยังคงต้องใช้ยุทธศาสตร์น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าต่อไป
      
       ที่สำคัญ อย่าลืมว่า จากก้นบึ้งหัวใจของ “ลุงกำนัน” นอกจากลูก - เมียแล้ว มี “พี่มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นี่แหละที่ “ลุงกำนัน” รักหมดหัวใจ ตราบใดที่ “มาร์ค” ยังคงสวมหัวโขนเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ “ลุงกำนัน” ก็ไม่มีวันทิ้ง “พี่มาร์ค” ไปได้
      
       แต่ที่ต้องประกาศลาขาด เพราะต้องการแสดงให้ว่าแนวทางปฏิรูปประเทศที่จะเดินไปปราศจากการเมือง หากยังติดบ่วงคอ ปชป. ราคาทางการเมืองของ “ลุงกำนัน” จะลดลงทันที
      
       จริงอยู่ในช่วงชุมนุม กปปส. มีหลายครั้งหลายหนที่เกิดอาการขบเกลียวกันระหว่าง “อภิสิทธิ์ - สุเทพ” หลายคำพูดถูกนำไปเปรียบเทียบเชือดเฉือนระหว่างกันบ้าง แต่ลึก ๆ แล้วในฐานะที่เคยเป็น “คอหอย - ลูกกระเดือก” กันมาก่อน ทำให้ทั้งคู่เข้าใจบทบาทซึ่งกันและกันดี จึงเชื่อว่าไม่มีอะไรติดค้างในใจ
      
       การประกาศตัดขาดจากพรรคประชาธิปัตย์ของ “สุเทพ” ยังซ่อนกลเอาไว้เพียบ เพราะชั่วโมงนี้ “ลุงกำนัน” รู้ดีว่าสถานะของ “พี่มาร์ค” ในพรรคไม่ค่อยจะมั่นคงสักเท่าไร มีความพยายามจากมือที่มองเห็น - คนที่รู้จักกันดี พยายามเลื่อยขาเก้าอี้ผู้นำพรรค เพื่อเตรียมการสำหรับการเลือกตั้งหนต่อไป
      
       ซึ่ง “สุเทพ” ย่อมรู้ตื้นลึกหนาบางในพรรคดี หากมี “คลื่นใต้น้ำ” ที่ว่า ก็ต้องผ่าน “ลุงกำนัน” ให้ได้ก่อน เพราะแม้จะตัดขาดออกมานำม็อบเต็มตัว แต่ก๋ยังมีอิทธิพลอยู่คับ “พรรคสีฟ้า”
      
       สถานะของ “ลุงกำนัน” ในฐานะผู้นำมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ จึงเป็นทั้งองครักษ์ปกป้อง “รัฐบาลบิ๊กตู่” ให้อยู่ในอำนาจอย่างปลอดภัย และนานที่สุดเท่าที่จะต้านทานกระแสได้ เป็นองครักษ์ประจำกาย “พี่มาร์ค” ที่จะค้ำชูให้ขึ้นเป็น “ผู้นำประเทศ” อีกสมัย
      
       ชั่วโมงนี้ “มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ” ได้สถาปนาตัวเองเป็นมูลนิธิทางการเมืองไปแล้ว ถนนทุกสายจึงจับจ้องมากเป็นพิเศษ เรียกได้ว่า ไม่แพ้มูลนิธิดัง ๆ อย่าง “มูลนิธิรัฐบุรุษ” ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี “มูลนิธิป่ารอยต่อฯ” ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
      
       จับตาดูให้ดีว่าขุนทหาร - นักธุรกิจ - นักลงทุนคนไหน ควักกระเป๋าบริจาคเงินให้ “มูลนิธิ กปปส.” อาจชี้ให้เห็นถึงนัยทางการเมืองได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังสะท้อนพลังต่อรองทางการเมือง และแสดงให้เห็นภาพรวมการเมืองในอนาคตได้
      
       ไทม์มิงลาสิกขาของ “ลุงกำนัน” ประจวบกับไทม์มิง “ขาลง” ของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” ที่ปัญหารุมเร้าทุกด้าน นี่คือ จังหวะที่ “ลุงกำนัน” ต้องลงมาเดินหมากด้วยตัวเอง
      
       งานนี้มีหวังว่า เมื่อมีการปรับ ครม. หรือชงชื่อ “ว่าที่รัฐมนตรี” คงต้องมีสื่อไปถาม “ลุงกำนัน” ว่าไฟเขียวหรือไม่ด้วยกระมัง 

“สมชาย” นมัสการครูบาน้อยเตชปัญโญ ลงนะหน้าทอง 9 จุด หลังฝันร้ายกลัวจะเป็นจริง



“สมชาย” นมัสการครูบาน้อยเตชปัญโญ ลงนะหน้าทอง 9 จุด หลังฝันร้ายกลัวจะเป็นจริง
เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 30 ก.ค. ที่วัดศรีดอนมูล ต.ชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ นายสมชาย วงค์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และญาติ พร้อมผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง เดินทางเข้ากราบนมัสการ พระครูสิริศีลสังวร หรือครูบาน้อยเตชปัญโญ เจ้าอาวาสวัด และเป็นครูบาดังทางภาคเหนือ และแจ้งสาเหตุที่เดินทางมาวัด เนื่องจากฝันบางอย่างแล้วทำให้รู้สึกไม่สบายใจ จึงตัดสินใจเดินทางมาทำบุญและกราบนมัสการครูบาน้อย เพื่อให้ช่วยให้คำแนะนำและให้ศีลให้พร เพื่อเป็นสิริมงคลและไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่านคิดมาก
จากนั้นทางครูบาน้อยก็ทำพิธี ลงนะหน้าทองให้กับนายสมชายในแบบ 9 จุดทั้งที่ตัวหน้า-หลัง และที่หน้าผาก ที่แก้มซ้ายขวา ฝ่ามือทั้งสอง รวม 9 จุด จากนั้นก็ทำพิธีโดยใช้ไม้เท้าของหลวงปู่ทิม สัมผัสจุดทองเปลวทั้ง 9 ที่ตัวของนายสมชาย จากนั้น ก็ใช้ไม้เท้าของหลวงปู่ทิมเป่าคาถา ที่กระหม่อมให้อีกและทางวัดมอบ พระรูปหล่อครูบาน้อยให้กับนายสมชาย และสายสิญจน์สีแดงใส่ข้อมือทั้งสองให้กับนายสมชายเป็นอันเสร็จพิธี
นายสมชาย เปิดเผยว่า ตอนนี้ตนอายุ 68 ปี แล้วเมื่อวานฝันบางสิ่งบางอย่าง ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ และคิดว่าฝันดังกล่าวนั้นจะเป็นความจริงด้วย จึงได้ตัดสินใจเดินทางมาหาครูบาน้อยเตชปัญโญ เพื่อให้พระเดชพระคุณท่านให้คำแนะนำ ซึ่งท่านก็แนะนำให้ตนคิดดี และปล่อยวาง อย่ายึดติดทำใจให้สบาย เมื่อคิดดีสู่ดีพูดดี ทุกอย่างก็จะดี เมื่อได้รับคำแนะนำและได้รับศีลและพรจากครูบาน้อยทำให้ตนรู้สึกสบายใจอย่างมาก