PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

มาเลย์รวบชาย6คน-อุปกรณ์บึ้ม-สงสัยIS ไทยชี้มีBRNร่วมวง-ประสานขอตัว

กรณีทางการมาเลเซียจับกุมชายต้องสงสัย 6 คนพร้อมของกลางอุปกรณ์ประกอบระเบิดจำนวนมากในรัฐกลันตันซึ่งติดกับจังหวัดนราธิวาสของไทยนั้น มีข่าวจากฝ่ายความมั่นคงไทยว่าชายกลุ่มนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มบีอาร์เอ็น 
kelantan2
          เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ได้จับกุมผู้ต้องสังสัยพร้อมอุปกรณ์ประกอบระเบิด เมื่อราววันที่ 15 มกราคม 2560 ภายในบ้านต้องสงสัยหลายหลังในพื้นที่ปาเสมัส รัฐกลันตัน ฝั่งตรงข้ามจังหวัดนราธิวาสของไทย
          ผู้ต้องสงสัยที่จับกุมได้เป็นชาย จำนวน 6 คน ส่วนของกลางมีหลายรายการ อาทิ สายชนวนจุดระเบิด แบตเตอรี่ และสารประกอบระเบิดต่างๆ โดยตำรวจมาเลเซียเชื่อว่า ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส
เปิดรายละเอียดปฏิบัติการตรวจค้น
          จากการตรวจสอบเพิ่มเติมได้รายละเอียดว่า จุดที่ทำการตรวจค้นเป็นหมู่บ้านเปอโรล รายา โปโฮน บูโละห์ เมอรันตี เจ้าหน้าที่ได้เข้าค้นบ้าน 5 หลัง จับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 4 คน คือ นายสายูตี บิน ฮารง อายุ 33 ปี นายซาอิ บิน อาลี อายุ 43 ปี นายซาการียา บิน นูร์ อายุ 40 ปี และ นายมะรอบี บิน ดามิ อายุ 47 ปี ทั้งหมดไม่มีเอกสารยืนยันภูมิลำเนา ส่วนของกลางที่ยึดได้ คือสารตั้งต้นในการผลิตระเบิด
          จากนั้น เจ้าหน้าที่ขยายผลไปยังบ้านกือแลมัส เข้าค้นบ้าน 1 หลัง สามารถจับกุมชายต้องสงสัยได้อีก 2 คน คือ นายมะรอสือดี บิน มะลี อายุ 50 ปี กับ นายไซฟูเลาะ บิล นิคอับดุลอาซิส อายุ 26 ปี ไม่มีเอกสารยืนยันภูมิลำเนาเช่นกัน    
          สำหรับของกลางที่ยึดได้ในบ้านต้องสงสัยที่ถูกตรวจค้นทั้ง 2 จุด คือ แกลลอนบรรจุสารเคมี เช่น โซเดียม คลอไรด์, ไฮโดรเจน เปอร์ออกไซด์, เอทิลแอลกอฮอล, สารซัลเฟอร์, โปแตสเซียมไนเตรท และเจลปิโตรเลียม
          นอกจากนั้นยังมีแผงวงจรอิเล็กทรอนิสก์ จำนวน 352 ชุด สวิทต์ไฟฟ้า 4 ตัว แผงวงจรไฟฟ้าที่ประกอบสมบูรณ์แล้วพร้อมใช้งาน 14 ชุด สายไฟฟ้าชนิดอ่อน สีแดงและสีแดง-ดำ ความยาว 9.6 เมตร วิทยุมือถือพร้อมเครื่องชาร์จ 2 เครื่อง กล้องส่องระยะไกล 1 ตัว  โทรศัพท์มือถือราคาถูกยี่ห้อโนเกียและซัมซุงรวม 5 เครื่อง และหนังสือแผงวงจร
ฝ่ายความมั่นคงเชื่อโยงกลุ่มป่วนใต้
          แหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ระบุว่า รัฐกลันตันเป็นพื้นที่กบดานและเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบจากจังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่ปาเสมัส ก่อนหน้านี้พบความเคลื่อนไหวของสมาชิกระดับปฏิบัติการจากอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส หลบหนีเข้าไปอาศัยอยู่ที่ปอเนาะกือแลมัส โดยลักลอบเดินทางไป-กลับผ่านช่องทางธรรมชาติ และเข้ามาปฏิบัติการในพื้นที่อำเภอตากใบ กับ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ขณะที่กือแลมัสเป็นหมู่บ้านที่ถูกทางการมาเลเซียตรวจค้นในครั้งนี้ด้วย
          เบื้องต้นหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่เชื่อว่า กลุ่มผู้ต้องสงสัย 6 คนที่ถูกจับกุม น่าจะเป็นเครือข่ายผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้ แต่เนื่องจากตอนถูกจับใช้ชื่อมาเลย์ จึงไม่สามารถตรวจสอบกับฐานข้อมูลที่มีอยู่ได้ เชื่อว่าอุปกรณ์ประกอบระเบิดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียยึดได้ น่าจะเป็นการเตรียมประกอบระเบิดแสวงเครื่อง แล้วนำกลับเข้ามาใช้ก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสและใกล้เคียงหลังน้ำลด
แฉมีหัวหน้ากองกำลังบีอาร์เอ็นยะลา
          มีรายงานอีกกระแสหนึ่งว่า ข้อมูลการจับกุม 6 ผู้ต้องสงสัยในรัฐกลันตันนี้ถูกรายงานไปยังรัฐบาลแล้ว และกองบัญชาการตำรวจสันติบาลได้พยายามประสานกับตำรวจสันติบาลมาเลเซีย เพื่อขอตัวผู้ต้องสงสัยบางรายมาดำเนินคดีในประเทศไทย เพราะมีข้อมูลว่าบางคนหรือทั้งหมดเป็นสมาชิกบีอาร์เอ็น กลุ่มติดอาวุธที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน เคลื่อนไหวในพื้นที่ชายแดนใต้และสร้างสถานการณ์ความไม่สงบมานานกว่า 13 ปี โดยในจำนวนนี้มี 1 คนเป็นระดับหัวหน้ากองกำลังที่รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดยะลาด้วย
          อย่างไรก็ดี ยังไม่มีท่าทีใดๆ ตอบกลับมาจากทางสันติบาลมาเลเซีย เนื่องจากเรื่องนี้ในระดับรัฐบาลถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ที่ผ่านมาไม่มีแถลงข่าวการจับกุมด้วย เพราะฝ่ายความมั่นคงมาเลเซียสงสัยว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มไอเอส
          นอกจากนั้นเมื่อเดือนที่แล้วยังมีการจับกุมบุคคลระดับผู้นำกลุ่มเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนทางใต้ของไทย พร้อมภรรยา ฐานให้ความช่วยเหลือกลุ่มเคลื่อนไหวในฟิลิปปินส์ ซึ่งอาจโยงไอเอสเช่นกัน โดยกลุ่มเคลื่อนไหวกลุ่มนี้มีชื่อเป็นสมาชิกร่วมอยู่ใน “องค์กรร่ม” ที่พูดคุยสันติสุขกับรัฐบาลไทยอยู่ด้วย โดยมีทางการมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวกการพูดคุย
          เหตุนี้เองปัญหานี้จึงมีความอ่อนไหวอย่างมากในมิติความมั่นคงของมาเลเซีย แม้บรรดาแกนนำบีอาร์เอ็นที่พำนักอยู่ในมาเลเซียและมีสายสัมพันธ์กับสันติบาลมาเลย์ จะพยายามขอให้ปล่อยตัว 6 ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมในรัฐกลันตัน แต่สันติบาลมาเลเซียก็ไม่ตอบรับ ทำให้ฝ่ายบีอาร์เอ็นค่อนข้างกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ไทยคาดมาเลย์ไม่ส่งตัวซ้ำรอยอดีต
          หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนใต้ ประเมินว่า การขอตัวผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมได้มาดำเนินคดีในไทย เพราะเชื่อว่าเกี่ยวโยงกับกลุ่มก่อความไม่สงบในบ้านเรานั้น เป็นเรื่องยากที่มาเลเซียจะดำเนินการ เพราะก่อนหน้านี้เมื่อเดือนธันวาคม 2552 ก็มีกรณีจับกุมชายฉกรรจ์ 3 คนพร้อมอุปกรณ์ประกอบระเบิดและเครื่องกระสุนจำนวนมากในรัฐกลันตันเช่นกัน โดยทั้งสามมีภูมิลำเนาอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และบางรายมีหมายจับของศาลไทยด้วย แต่ทางการมาเลเซียก็ไม่ยอมส่งตัวให้
          ชายฉกรรจ์ทั้ง 3 คนคือ นายมาหะมะซีดิ อาลี, นายมามะคอยรี สือแม และ นายมะยูนิส  เจะดอเลาะ ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลปาเสมัส แต่ภายหลังศาลยกฟ้องและปล่อยตัวไป

เหตุเงินคงคลังวูบ:พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ระบุว่า “สาเหตุคือ ช่วงสามเดือนนั้น รายได้รัฐหดหายไป 5.2% แต่ใช้จ่ายเพิ่ม 6% (เฉพาะธ.ค. 59 เดือนเดียว รายได้รัฐหายไป 22.7%) แต่รบ.กลับกู้สุทธิเพิ่มแค่ 5 พันล้านบาทเท่านั้น
.
ผลคือในสามเดือน รบ.ขาดดุลเงินสดสูงถึง 3.7 แสนล้านบาท จนเงินคงคลังเหลือแค่ 7.5 หมื่นล้านบาท ทั้งหมดนี้เพราะกระทรวงการคลังบริหารเงินสดเข้า-ออกผิดพลาด (รายรับลดฮวบเกินคาด และไม่ได้เตรียมกู้สำรอง) หรือเป็นตามที่ รมต.คลังอ้างว่า มีนโยบายเก็บเงินสดไว้น้อยๆ ไม่กู้เงินมากองไว้ จะได้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยและที่ขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบินก็ไม่เกี่ยว เป็นอย่างไหนผู้อ่านก็คิดดูเอาเองแล้วกัน”

ความเห็นนักการเมือง กรณีใช้ ม.44 ลดโทษผู้จ่ายสินบน

ค้านคลังแก้กม.ลดโทษผู้ให้สินบน แค่ปรับ-ไม่ติดคุก

"ราเมศ" ค้าน แนวคิดคลังแก้กม.อาญา ลดโทษคนให้สินบนเหลือแค่ปรับไม่ต้องติดคุก ชี้เดินผิด สวนทางนโยบายปราบโกง ส่งเสริมทุจริตมากขึ้น กระทบฐานความผิดหลายกรณีต้องแก้หมด หวัง

รัฐบาลทบทวน ด้าน"ชาญชัย" เผยกฎหมาย ป.ป.ช.กันคนชี้ทุจริตเป็นพยานไม่ต้องรับโทษอยู่แล้ว หวั่นแก้ตามคลัง ทำล้มคดีเพียบ หมดหวังเอาผิดสินบนข้ามชาติโรลส์-รอยซ์ หลัง ป.ป.ช. อ้างต้อง

รอชื่อคนรับสินบนจากต่างชาติ ส่อซ้ำรอย "ซีทีเอ็กซ์" เตรียมเอาผิดป.ป.ช. ย้อนหลัง
     
       นายราเมศ รัตนะเชวง ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีรมว.คลัง เตรียมเสนอให้นายกรัฐมนตรี แก้กฎหมายลดโทษผู้ให้สินบนจากจำคุกเหลือแค่โทษปรับ ว่า ตนไม่เห็นด้วย และ

เสียงของสังคมก็ไม่เห็นด้วย จึงอยากให้มีการทบทวนในเรื่องนี้ ซึ่งตนเห็นว่า ขณะนี้มีความผิดปกติหลายอย่าง ที่เกิดขึ้นกับรัฐบาล สนช. และ สปท. นายราเมศ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีปัญหาเกี่ยวกับ

ร่าง พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างหลายมาตราเอื้อทุจริต ทั้งที่ นายกฯ และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่า จะให้เป็นของขวัญกับคนไทยแต่เป็นของขวัญที่ไม่สมบูรณ์ เพราะมีการยกเว้นให้กับรัฐ

วิสาหกิจ ทั้งที่เป็นแหล่งที่มีงบประมาณ และมีการแสวงหาประโยชน์กันมากที่สุด กระทั่งเกิดกรณีรับสินบนข้ามชาติ จึงขอเรียกร้องให้นายกฯ ทบทวนเพื่อให้รัฐวิสาหกิจ มีหลักเกณฑ์ในการจัดซื้อ

จัดจ้างที่ชัดเจน โดยเสนอกฎหมายเฉพาะมาอีกหนึ่งฉบับ แทนที่จะเปิดช่องให้แต่ละรัฐวิสาหกิจไปออกระเบียบกันเอง
     
       "รัฐบาลขายฝันว่าเอาจริงกับการปราบทุจริต อยากให้ทำให้เห็นสักราย โดยเฉพาะกรณีที่มีสนช.สองคนพัวพันกับการทุจริต แต่กลับยังคงทำหน้าที่ปกติ จึงมีข้อสงสัยว่า มีการปิดตาข้างหนึ่งหรือ

ไม่ นอกจากนี้กระทรวงการคลัง ยังเสนอให้ลดโทษคนให้สินบนโดยอ้างต่างประเทศ ไม่อยากให้เกิดความสับสน โดยเห็นว่ากฎหมายที่บังคับใช้อยู่นั้น ดีอยู่แล้ว หากทำตามข้อเสนอของกระทรวง

การคลัง จะมีผลกระทบต่อฐานความผิดอีกหลายฐานความผิด ที่สำคัญ จะกระทบกับฐานความผิดต่อเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา แล้วกระบวนการยุติธรรมจะศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร หาก

เดินตามแนวนี้ จะส่งเสริมให้เกิดการทุจริตอย่างใหญ่หลวง เพราะแค่รับสารภาพ และเสียค่าปรับเท่านั้น จะเป็นมูลเหตุจูงใจทำให้คนกล้าให้สินบนมากขึ้น เพราะถ้าไม่ถูกจับได้ ก็สบาย แต่ถ้าถูกจับ

ได้ ก็แค่เสียค่าปรับ จึงอยากให้ คสช.และรัฐบาลทบทวน ถ้าเดินตามนี้ ถือว่าเป็นการเดินผิดทาง
     
       ด้านนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กฎหมายเดิมมีการระบุเกี่ยวกับคนให้ข้อมูลเรื่องการทุจริต เพื่อชี้มูลความผิดผู้อื่น ป.ป.ช.สามารถกันเป็นพยาน

ได้อยู่แล้ว ซึ่งก็จะไม่ต้องรับโทษเพื่อเอาตัวผู้กระทำผิด โดยมีการใช้มาแล้วหลายครั้ง เช่น กรณีการโกงสอบนายอำเภอ และกรณีผู้ประกอบการที่ให้สินบนกับเจ้าหน้าที่ ในคดีจำนำข้าว ดังนั้นการจะ

เขียนกฎหมายใหม่ ก็จะซ้อนกับกฎหมายป.ป.ช. มาตรา 123/5 วรรคสอง โดยสรุปคือ ให้ปรับบริษัทหรือนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตได้หนึ่งเท่า แต่ไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหายที่เกิดขึ้น หรือ

ประโยชน์ที่ได้รับ
     
       นอกจากนี้ มาตรา 103/6 ระบุว่า ให้กันผู้ร่วมกระทำความผิด หรือผู้ที่ถูกกล่าวหาให้เป็นพยานได้ ซึ่งเป็นกฎหมายที่บังคับใช้ตั้งแต่ปี 54 จึงสงสัยว่ากระทรวงการคลัง คิดครบถ้วนหรือยัง เพราะ

ถ้าทำตามที่กระทรวงการคลังเสนอ จะกระทบไปหลายคดี จนอาจนำไปสู่การวิ่งเต้นล้มคดีได้
     
       สำหรับการแก้ปัญหานั้น เสนอให้คดีทุจริตไม่มีอายุความ มีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจในการอนุมัติ อนุญาตทุกตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจ และห้ามนำคน

ในกระบวนการยุติธรรม เข้ามาเป็นคณะกรรมการบริหาร หรือบอร์ดในรัฐวิสาหกิจ เพราะแม้จะเป็นคนดี แต่เมื่อมีเรื่องทุจริตในองค์กรนั้น ก็จะเสียคนทุกที ซึ่งมีผลอาจทำให้เกิดปัญหาการขัดกัน

แห่งผลประโยชน์ ซึ่งควรเขียนให้ชัดเจนในกฎหมายลูก เพราะ ร่างรธน.ปี 59 ไม่ได้ระบุห้ามไว้อย่างชัดเจน
     
       "เรื่องของสินบนข้ามชาติโรลส์-รอยซ์ หากเป็นเช่นนี้เชื่อว่าจะจบเหมือนซีทีเอ็กซ์ คือเอาผิดใครไม่ได้ ทั้งที่เป็นยุคของการสะสางเอาคนผิดมาลงโทษ แต่คนที่มีหน้าที่โดยตรงยังไม่กระตือรือร้น

อ้างรอข้อมูลจากต่างชาติ ถ้าสุดท้ายเอาผิดใครไม่ได้ คนที่รับผิดชอบต้องได้รับผิดด้วย เพราะมีหน้าที่สะสาง ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องออกไป ถ้าหน้าด้านนั่งอยู่ตรงนี้อีก มีคนดำเนินคดีกับพวกท่านแน่ เรื่อง

ซีทีเอ็กซ์ ที่ป.ป.ช.ยกคำร้อง บอกว่าไม่มีชื่อ หลักฐานคนที่ได้รับสินบนนั้น ก็มีข้อสงสัยว่า จากการสอบก็รู้ว่าใครเกี่ยวข้องบ้างอ้างแค่ว่าไม่มีชื่อบุคคล ทำให้เอาผิดใครไม่ได้ จึงมีแนวโน้มว่า ป.ป.ช.

จะต้องถูกเอาผิดย้อนหลังด้วย พอมาถึงกรณีสินบนโรลส์-รอยซ์ ก็ดูจะซ้ำรอยเดิมอีก คิดว่าคนไทยคงไม่ยอม" นายชาญชัย กล่าว
//////////////
ความเห็นนักการเมือง กรณีใช้ ม.44 ลดโทษผู้จ่ายสินบน

นักการเมือง ค้านแนวคิด กระทรวงการคลัง เสนอนายกรัฐมนตรี ใช้ มาตรา 44 ลดโทษคนจ่ายสินบน เพราะอาจเป็นการส่งเสริมให้มีการทุจริตเพิ่มขึ้น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เห็นด้วยที่กระทรวงการคลังเสนอ

ให้ใช้มาตรา 44 ลดโทษให้ผู้ที่จ่ายสินบนให้ รับผิดทางแพ่งและอาญา เพื่อให้ได้ข้อมูลเอาผิดผู้ที่รับสินบนว่า อยากให้มีการศึกษาให้รอบคอบ เพราะ ในเมื่อเป็นความผิด จะเป็นเรื่องยากที่จะได้พยาน

หลักฐาน เพราะคนที่ให้สินบนก็คือผู้กระทำผิดด้วย และหากปราศจากความผิด จะเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ดี เนื่องจากเท่ากับว่าการจ่ายสินบนไม่ใช่ความผิด

ทั้งนี้มองว่า ปัญหาใหญ่ในประเทศ คือ การบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจสอบการทุจริตติดสินบนการจัดซื้อเครื่องยนต์โรลส์รอยซ์ของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่เป็นข่าว เพราะข้อมูล

ส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ แต่ในประเทศไทยกลับไม่มีการรับรู้มาก่อน ภาครัฐควรปรับปรุงด้านนี้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะการสืบสวนหาผู้กระทำผิด

"ชาญชัย" ชี้ ข้อเสนอลดโทษคนโกง-ส่งเสริมให้ทุจริต

ขณะที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เป็นข้อเสนอที่ไร้สาระ หากเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่ายิ่งส่งเสริมให้มีการทุจริตมากขึ้น แล้วก็มาสมยอมยุติคดีกัน ทั้งที่

มีกฎหมาย ปปช.ที่ทันสมัย และก้าวหน้ากว่าข้อเสนอของกระทรวงการคลังมาก ที่ผ่านมากระทรวงการคลังก็ถือเป็นปัญหาใหญ่ของการทุจริตในไทย ที่ส่งคนไปอยู่ในรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ และไปร่วม

ทุจริตด้วย พร้อมตั้งคำถามว่า คนทุจริตมีจิตสำนึก ธรรมาภิบาล หรือความรับผิดชอบต่อสังคมมากพอ เท่ากับต่างประเทศหรือไม่

"เรืองไกร" ค้านลดโทษจ่ายสินบน ชี้ เป็นความผิดแล้ว

ด้านนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ผู้ที่จ่ายเงินสินบนให้เจ้าหน้าที่รัฐถือว่าสมรู้ร่วมคิดในการทุจริตแล้ว จะมาลดโทษทางอาญาได้อย่างไร และมองว่าการปราบปราม

ทุจริตควรใช้วิธีการเช่นเดียวกับคดียาเสพติด ในการตรวจสอบทรัพย์สินของผู้เกี่ยวข้อง กับ ผู้ต้องสงสัย จะได้ไม่มีใครกล้ากระทำผิด ที่สำคัญวิธีการนี้ไม่จำเป็นต้องตามหาใบเสร็จเหมือนที่ผ่านมา

เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ได้ทำกันบนโต๊ะ

"พิชัย" มองใช้ม.44 ปราบโกงไม่ยั่งยืน

ส่วนนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและแกนนำพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องที่อยู่ในสังคมไทยมาโดยตลอด การจะใช้มาตรา44 มา

แก้กฎหมายคอร์รัปชั่น จะเป็นเรื่องที่ไม่ยั่งยืน

ทั้งนี้มองว่า ปัญหาพื้นฐานของคอร์รัปชั่นจะต้องแก้ที่วิธีคิด การปลูกฝังจิตสำนึก การปฎิบัติ และการยอมรับของประชาชน และการใช้มาตรา44 ของคสช.ต้องดูว่าจะใช้กับคนกลุ่มใด หากรัฐบาล

ไม่ปฎิบัติสองมาตรฐาน เอาจริงกับการแก้ปัญหาทุจริตกับทุกฝ่าย ก็จะถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี

"ศรีสุวรรณ" ติงเว้นโทษสินบน เอื้อประโยชน์นักการเมือง-ขรก.โกง

ปิดท้ายที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญ กล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายไม่เอาผิดทางอาญากับผู้ที่ให้สินบนนั้น แม้จะเป็นเจตนารมณ์ที่ดี แต่เนื่องจากระบบอุปถัมภ์ของ

ประเทศไทยมีมากเกินความสมควร ซึ่งอาจไปเอื้อประโยชน์ให้กับข้าราชการหรือนักการเมืองที่มีพฤติกรรมเหล่านี้ได้ และอาจกระตุ้นให้ผู้ประกอบการหรือเอกชนที่มีพฤติการทุจริตคอร์รัปชั่นได้

ใช้ประโยชน์ในการจ่ายสินบนให้กับผู้ที่มีอำนาจ หรือข้าราชการมากขึ้น

นายกฯบิ๊กตู่ ยัน ไม่เคยปกปิด เรื่อง "เงินคงคลัง" ลด

นายกฯบิ๊กตู่ ยัน ไม่เคยปกปิด เรื่อง "เงินคงคลัง" ลด
ขอให้เข้าใจ ขั้นตอนการใช้จ่าย ....เสียง อ่อย ขอโทษ ที่หงุดหงิด ตอบเรื่องเงินคงคลัง วานนี้ แจง ไม่เกี่ยว งบฯรส. ทหารปฏิวัติ ทำเงินคงคลัง ลดวูบ
ยันเบิก ตามจริง มีการเบิกจ่ายตามขั้นตอนงบประมาณไม่ใช่เงินหายเพราะเอาเงินมาให้ทหารหมด มันจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ถามอะไรแบบนี้/ยันเรามี"เงินสำรอง"มาก เป็นอันดับ 18ของโลก

ผบ.ทบ.ไม่รู้ทหารเอี่ยว “ไซซะนะ” ปัดเพิ่ม รปภ.VIP เผยรองนายกฯ ถกลาวล่าพวกหมิ่นฯ แล้ว

ผบ.ทบ.ชี้ใครก็คิดร้ายได้แต่ทำไม่ง่าย ไม่เพิ่มการรักษาความปลอดภัยรองนายกฯ บอกไม่น่ากังวล เผย “ประวิตร” ประสานลาวล่าพวกหมิ่นสถาบันฯ แล้ว อยู่ระหว่างคุยส่งผู้ร้ายข้ามแดน ยังไม่ได้ข้อมูลทหารเอี่ยว “ไซซะนะ” ถ้าตำรวจประสานก็พร้อมให้ความร่วมมือ ไม่ปกป้องคนผิด
       
       วันนี้ (7 ก.พ.) ที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีที่มีการขู่ลอบทำร้ายนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี ว่าที่ผ่านมามีกระแสข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยจากการตรวจสอบพบว่าเป็นการข่มขู่ทางโซเชียลมีเดีย ตนเคยพูดไปแล้วว่าใครก็สามารถคิดได้ แต่ในการกระทำนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ผ่านมาได้มีการตรวจสอบข้อมูลแล้ว ทั้งนี้ เรื่องการรักษาความปลอดภัยมีมาตรฐานตั้งแต่เริ่มต้น ไม่มีอะไรที่ต้องเพิ่มเติม คิดว่าเรื่องนี้ไม่มีความน่ากังวล ส่วนการที่ พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ระบุว่าเป็นกลุ่มเดียวกับที่หนีคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงอยู่ในประเทศลาวนั้น ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ประสานงานไปยังประเทศลาวแล้ว ขั้นตอนทั้งหมดอยู่ระหว่างการประสานเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน และบุคคลที่มีหมายจับ ส่วนคนที่เหลือเป็นการขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน
       
       นอกจากนี้ ผู้บัญชาการทหารบกกล่าวถึงกรณีอาจมีคนมีสีที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดของนายไซซะนะว่า ขณะนี้ก็ยังเป็นเพียงข้อมูล แต่รายละเอียดทั้งหมดมีทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการทางกองทัพยังไม่ได้รับการประสานมาว่ามีข้อมูลที่มีคนของกองทัพบกเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด แต่หากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานมาก็จะให้ความร่วมมืออย่างดีที่สุด ยืนยันว่าไม่มีการปกป้องกำลังพลที่ทำผิดอย่างแน่นนอน ทั้งนี้ ขบวนของนายไซซะนะเป็นขบวนการที่ใหญ่ และมีเครือข่ายหลายฝ่าย หากกองทัพได้รับการแจ้งเตือน แต่ที่ทราบเป็นเรื่องของบุคคลเป็นส่วนใหญ่ ตนยังไม่ได้รับข้อมูลว่ามีคนของกองทัพบกเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
       
       ส่วนการดูแลพื้นที่ชายแดนนั้น ได้เน้นย้ำตลอดโดยเฉพาะการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบกในวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา ในเรื่องการดูแลพื้นที่ชายแดน การเข้าออกของบุคคล การขนย้ายสิ่งเสพติด แต่คนเหล่านี้ดำเนินการเป็นขบวนการ เราจะไปตรวจสอบค้นให้หมดก็คงยาก แต่ที่สามารถทำได้คือกระบวนการที่เกาะติดยาวนาน และมีสายงานของกองบัญชาการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 

สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยาม โพสFBกรณี สังฆราช

สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยาม โพสFBกรณี สังฆราช
///
[ สังฆราชองค์ใหม่ ]

การที่จะทรงพระกรุณาโปรดให้สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อมฺพโร) เป็นสกลมหาสังฆปรินายกนั้น นับว่าเป็นทางออกในระยะสั้น ทั้งนี้ เพราะคณะธรรมยุตได้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชสืบต่อกันมาถึง ๓ พระองค์ด้วยกันแล้ว ทั้งๆ ที่คณะธรรมยุตมีสมาชิกเพียง ๖% ของคณะสงฆ์ทั้งหมด โดยที่ฝ่ายคณะมหานิกายไม่มีใครได้ดำรงตำแหน่งนี้สืบต่อกันมาหลายทศวรรษเอาเลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ก็เป็นความผิดของพระฝ่ายมหานิกายด้วยที่บัดนี้ไม่มีสมเด็จพระราชาคณะที่ทรงคุณวิเศษและมีสุขภาพอนามัยสมบูรณ์เอาเลยก็ว่าได้ การที่ข้ามสมเด็จวัดปากน้ำไปนั้นเป็นการสมควร แต่แล้วจะมองหาใครเล่าในฝ่ายมหานิกาย

ที่ทุกคนยกย่องเทิดทูนเคารพนับถือได้อย่างสนิทใจย่อมได้แก่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) แต่พระคุณท่านก็มีสุขภาพอนามัยไม่แข็งแรง ขืนให้มาเป็นประธานมหาเถรสมาคมตามตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เท่ากับเร่งให้พระคุณท่านถึงมรณภาพเร็วขึ้นเท่านั้น

สมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ที่วัดราชบพิธก็เช่นกันจะทรงทนบริหารงานคณะสงฆ์ในระบอบมหาเถรสมาคมได้ละหรือ ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง อย่าขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ต้องเลิกพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แล้วกลับไปใช้ฉบับ พ.ศ.๒๔๘๔ โดยปรับปรุงแก้ไขแต่เพียงเล็กน้อย ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ ในกรณีเช่นนี้ ไม่ว่าสมเด็จวัดราชบพิธ หรือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์องค์ใหม่ ย่อมทรงเป็นสกลมหาสังฆปรินายกได้ ดุจดังพระราชาที่อยู่ใต้กฎหมาย ทรงเป็นที่เคารพสักการะ โดยไม่ต้องบริหารงานคณะสงฆ์

การบริหารงานคณะสงฆ์ควรจะมีคณะสังฆมนตรี ซึ่งเราเคยมีสังฆนายกเป็นผู้นำ และมีสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง องค์การศึกษา องค์การเผยแผ่ และองค์การสาธารณูปการ โดยที่องค์การหลังนี้ไม่ควรเกี่ยวข้องเพียงเรื่องบูรณปฏิสังขรณ์พระอาราม หากควรโยงใยไปถึงสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติทั้งหมด เช่น หากการใช้ถุงพลาสติกและโฟมมาถวายพระ ห้ามสร้างอาคารใหม่ๆ ที่ทำลายของเดิมที่มีคุณค่าทางโบราณคดี หากให้วัดเป็นอารามสมนาม คือมีต้นไม้ขึ้นครึ้มขึ้นไปหมด ลดลานจอดรถยนต์ลง ลดเมรุเผาผีลง ฯลฯ

คณะสังฆมนตรีต้องได้รับเลือกมาจากสังฆสภา สังฆสภานั้นก็ควรจะได้รับการเลือกมาจากเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะเขต เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด โดยที่ท่านเหล่านี้ควรเสนอให้คณะสังฆมนตรีตั้งเจ้าคณะภาค และเจ้าคณะหนด้วย นอกไปจากนี้แล้วย่อมต้องมีคณะพระวินัยธร คณะพระธรรมธร ซึ่งทำหน้าที่ประดุจศาลสถิตยุติธรรม ไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายสังฆสภา ถ้าทำได้เช่นนี้ การพระศาสนาจะสามารถกระเตื้องขึ้นได้ แม้จะไม่ง่ายนัก แต่ก็จะไม่วิปลาสคลาดเคลื่อนยิ่งไปกว่านี้ ที่เสนอมาทั้งหมดนี้ก็ด้วยความปรารถนาดีเป็นที่ตั้ง หวังว่าจะมีการอภิปรายกันให้กว้างขวางและสรุปออกมาให้เป็นรูปธรรมให้จงได้

ขอให้สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ จงทรงพระเจริญ

ส. ศิวรักษ์
๗-๒-๖๐

ข่าว7/2/60

-โปรดเกล้าสังฆราช

"ประยุทธ์" เผย ในหลวงโปรดเกล้า "สมเด็จพระมหามุนีวงศ์" เป็นสังฆราชองค์ใหม่

            พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  กล่าวถึงการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชว่า ตนได้นำรายชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติดำรงตำแหน่งพระสังฆราช 5 องค์ ให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพิจารณา

และเมื่อคืนวันที่ 6 กุมภาพันธ์   ตนได้รับแจ้งว่าทรงโปรดเกล้าฯ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่  ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้ จะจัดงานพิธี

สถาปนาในวันที่ 12 กุมภาพันธ์  เวลา 17.00 น. ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนินไปประกอบพิธีตามพระราชประเพณี  

           พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่าจากนี้ขอให้อย่าขัดแย้งกันอีกเลย ที่เลือกมาก็ดูเรื่องการปฏิบัติงานและคุณสมบัติอื่น ที่สำคัญเป็นพระราชอัธยาศัยของพระองค์ที่ทรงพิจารณาเอง
----------
สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2470 ณ ตำบลบางป่า อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี โยมบิดาชื่อนายนับ ประสัตถพงศ์ โยมมารดาชื่อนางตาล ประสัตถพงศ์ ครอบครัว

ประกอบอาชีพค้าขาย เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเทวานุเคราะห์ กองบินน้อยที่ 4 ตำบลโคกกระเทียม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ. 2480 ณ วัดสัตตนารถปริวัตรวรวิหาร ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี โดยมีพระธรรมเสนานี (เงิน นนฺโท) เป็นพระอุปัชฌาย์[2]
ต่อมาได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2491 ณ พัทธสีมาวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระจินดากรมุนี (ทองเจือ จินฺตากโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์

ด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม สามเณรอัมพร ประสัตถพงศ์ ไปอยู่จำพรรษาที่วัดตรีญาติ ต.พงสวาย เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม พ.ศ. 2483 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี จากนั้น พ.ศ. 2484

สามารถสอบได้นักธรรมชั้นโทและ พ.ศ. 2486 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก และสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค เมื่อพ.ศ. 2488 สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค

เมื่อ พ.ศ. 2490 ได้ย้ายมาอยู่จำพรรษา ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยสมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตากโร) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระจินดากรมุนี นำมาฝากกับสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) สกลมหาสังฆปริณายก

ภายหลังอุปสมบทเมื่อ พ.ศ. 2491 ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักเรียนวัดราชบพิธฯ จน พ.ศ. 2491 สามารถสอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค และ พ.ศ. ๒๔๙๓ สามารถสอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค

ต่อมา เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นนักศึกษารุ่นที่ 5 จบศาสนศาสตรบัณฑิต เมื่อปี พ.ศ. 2500 และได้เดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยพาราณสี (Banaras Hindu University) ประเทศอินเดีย จบการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2512 ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี

ปี พ.ศ. 2552 สภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ถวายศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพุทธศาสตร์

ปี พ.ศ. 2553 สภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถวายปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาธรรมนิเท

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 ในการแถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรีที่ ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้มีพระราชโองการโปรดเกล้า ฯ สถาปนาสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 20 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ โดยเหลือเพียงแค่รอประกาศอย่างเป็นทางการ

สำหรับ ตำแหน่งปัจจุบัน สมเด็จพระสังฆราชเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร/กรรมการมหาเถรสมาคม/กรรมการคณะธรรมยุต/กรรมการเถรสมาคมคณะธรรมยุต/ที่ปรึกษาเจ้า

คณะภาค 14-15 (ธรรมยุต)/แม่กองงานพระธรรมทูต

สมณศักดิ์
พ.ศ. 2514 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระปริยัติกวี
พ.ศ. 2524 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชสารสุธี ศรีปริยัติวราทร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. 2533 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเมธาภรณ์ สุนทรธรรมานุนายก วิสุทธิสาธกสาธุกิจ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. 2538 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมเมธาภรณ์ สุนทรวาสนวงศวิวัฒ ศรีปริยัติกิจจานุกิจ ปาพจนวิภูษิตคุณาลงกรณ์ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. 2543 เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่ พระสาสนโสภณ วิมลญาณอดุลสุนทรนายก ตรีปิฎกธรรมาลังการภูษิต ธรรมนิตยสาทร ศาสนกิจจานุกร ธรรมยุติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. 2552 เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ พิพัฒนพงศ์วิสุต พุทธปาพจนานุศาสน์ วาสนวรางกูร วิบูลศีลสมาจารวัตรสุนทร ตรีปิฎกธรรมวราลงกรณวิภูษิต ธรรมยุตติกคณิสสร

บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี

////////////
-ปรองดอง-

นายกฯเข้าทำเนียบแล้ว เตรียมประชุม ครม.ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด -รมว.วัฒนธรรม เตรียมนำคณะเข้าพบ 

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาลในวันนี้ มีการประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ โดยล่าสุดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เดินทางเข้ามาที่ทำเนียบแล้วเพื่อเป็นประธานการประชุม ท่ามกลางมาตราการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยก่อนเริ่มต้นการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมนำคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลมาฆบูชา ประจำปี 2560 นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการยังได้นำคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน เพื่อจัดแสดงผลงานของนักเรียน นักศึกษาที่มีความเป็นเลิศอีกด้วย

ส่วนวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีที่น่าสนใจจะมีการพิจารณา ขยายระยะเวลามาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยการยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา (VISA on Arrival : VoA) เป็นการชั่วคราว สำหรับ 21 ประเทศ เพิ่มเติม 6 เดือน และ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จะรับทราบแนวทางการดึงดูดและแรงจูงใจผู้มีความรู้ความสามารถ คุณวุฒิพิเศษ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและมีศักยภาพเป็นที่ประจักษ์ เป็นพนักงานราชการศักยภาพสูง
-----------
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง
ซึ่งมีรายชื่อคนนอก ว่ารายชื่อคณะกรรมการส่วนใหญ่เป็นผู้บริหาร โดยในส่วนของของที่ปรึกษาและกรรมการก็จะเป็นคนนอก ซึ่งมีอยู่ประมาณ 40 คน แต่วันนี้ยังเปิดเผยไม่ได้ ทั้งนี้รายชื่อที่มาเป็นที่ปรึกษาและกรรมการ ทุกคนคุ้นเคยอยู่แล้ว ที่เอ่ยชื่อมาก็มีชื่อทั้งหมด ทั้งนักวิชาการและคนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูป ขอให้รอดูกัน เดี๋ยวจะเปิดเผยให้ดู แต่ปัญหาก็คือรายชื่อคณะกรรมการที่เขาเลือกมาแล้วหลายท่าน เขาบอกว่ามาไม่ได้ อย่างนายประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ท่านขอช่วยงานข้างนอก ซึ่งจะส่งคนมาทำงานตรงนี้แทน ส่วนนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มีรายชื่อเป็นที่ปรึกษาและกรรมการก็ใช่ทั้งหมด ซึ่งรายชื่อที่ปรึกษาจะนำไปอยู่ในส่วนของคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง และในส่วนของคณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ ส่วนเรื่องคนนอกเดี๋ยวคณะกรรมการเขาพิจารณาเอง ไม่ใช่ว่าเอาเขามาอยู่ตรงไหนแล้วทำตามนั้น เขาก็ต้องทำตามใจตัวเองด้วย
-----
"พล.อ.ประวิตร" เตรียมประชุม คกก.ปรองดอง ย้ำฟังทุกฝ่าย พร้อมจะพยายามทำให้ดีที่สุด ให้เสร็จทัน 3 เดือน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการดำเนินการภายหลังมีการประกาศรายชื่อคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ว่า หลังจากนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการอำนวยการนัดแรกให้เร็วที่สุดภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย กรรมการบูรณาการข้อคิดเห็น และกรรมการทำข้อตกลงร่วมกันตามขั้นตอน โดยจะให้ทางกองทัพร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และตำรวจ ลงพื้นที่รับฟังข้อคิดเห็นจากทั่วประเทศ มารวมกับแนวทางการสร้างความปรองดองที่เคยมีผู้จัดทำไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อกำหนดแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในอนาคต รวมถึงจะมีการทำข้อตกลงกับพรรคการเมืองเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาความขัดแย้งในอนาคต ซึ่งจะพยายามทำให้ดีที่สุด ให้เสร็จทัน 3 เดือน แต่ยังไม่ชัดเจนว่าข้อตกลงร่วมกันจะเสร็จทันหรือไม่ แต่ยืนยันว่าจะรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย รวมถึงพรรคการเมือง และเชื่อว่าทุกฝ่ายยินดีที่จะให้ความร่วมมือ

ส่วนผู้ที่จะมาร่วมในคณะกรรมการรับฟังความเห็นนั้น จะพยายามคัดเลือกผู้ที่มีความเป็นกลางให้มากที่สุด และแม้ว่านักวิชาการบางคน จะไม่ได้ร่วมเป็นกรรมการ แต่ก็จะมาช่วยงาน โดยไม่ขอเปิดรายชื่อ

--------
ผบ.ทบ.ไม่กังวลเรื่องโพสต์ข่มขู่นายกฯทางโซเชียล เร่งสอบสวนประสานประเทศเพื่อนบ้านขอตัว ยันไม่ปกป้องหากพบทหารโยงแก๊งค์"ไซซะนะ"

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีการข่มขู่ลอบสังหาร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผ่านทางโซเซียลมีเดีย ว่า เคยพูดไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยยืนยันว่า ในส่วนของการรักษาความปลอดภัยนั้น ทางกองทัพมีมาตราฐานตั้งแต่เริ่มต้นในการดูแลบุคคลสำคัญของประเทศ และส่วนตัวมองว่า เรื่องดังกล่าวไม่น่าเป็นห่วง หรือวิตกกังวล

ส่วนกรณีที่พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ระบุจากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มที่โพสต์ข้อความลักษณะดังกล่าวนั้น เป็นกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มที่หมิ่นสถาบัน ที่หลบหนีอยู่ใน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ก็ได้มีการติดตามและตรวจสอบมาอย่างต่อเนื่อง โดย รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้ติดต่อประสานงานเรื่องการส่งตัวผู้ร้ายข้มแดนไปแล้ว

นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงกรณีที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ปส.) ออกมาระบุว่า มีบุคคลมีสีในกองทัพเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการยาเสพติดของ นายไซซะนะ แก้วพิมพา ผู้ต้องหาคดียาเสพติดข้ามชาติชาวลาว ว่า หากเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานมา กองทัพก็จะช่วยดำเนินการให้ถึงที่สุด โดยจะไม่มีการปกป้องผู้กระทำผิดใด ๆ ทั้งสิ้น พร้อมกวดขันเจ้าหน้าที่กำลังพลตามแนวชายแดน ให้เข้มงวดในการตรวจตรา เพื่อป้องกันการขนถ่ายยาเสพติด และการเข้า-ออกประเทศของบุคคล
-------------
ผบ.ทบ. ให้โอวาทกำลังพล ทภ.1 ชื่นชมปฏิบัติภารกิจได้ดี กำชับรักษาความมั่นคงตามนโยบายที่รัฐบาล

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวให้โอวาทแก่กำลังพลในสังกัดกองทัพภาคที่ 1 โดยขอบคุณกำลังพล ที่ช่วยกันปฏิบัติภารกิจอย่างเรียบร้อย โดยเฉพาะการรักษาความสงบเรียบร้อยรอบพระบรมมหาราชวัง ที่ได้รับการชื่นชม ทั้งการประสานงาน และการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่เดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพ ในพระบรมมหาราชวัง อย่างมีประสิทธิภาพ

พร้อมยังได้กำชับให้กำลังพลของกองทัพบก เป็นกำลังหลักในการรักษาความมั่นคงของประเทศ ตามแนวทางนโยบายที่รัฐบาล สร้างการยอมรับและเข้าใจ การทำงานของกองทัพแก่ประชาชน ทั้งการใช้อำนาจอย่างเป็นธรรมในการรักษาความสงบเรียบร้อย และจัดระเบียบสังคม รวมทั้งการเป็นที่พึ่งให้ประชาชนตามกรอบกฎหมาย และขอให้กำลังพลทุกหน่วย มีความสามัคคี เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ะประชาชน
--------------
"วัชระ" ค้านรายชื่อ ป.ย.ป. หากมี "เลขาฯ ศาล" ร่วมเป็นกรรมการด้วย ชี้ไม่เหมาะสม หวั่นสร้างความสับสนให้กับประชาชน 

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงรายชื่อคณะกรรมการ ป.ย.ป. ที่มีการเผยแพร่ในขณะนี้ ซึ่งปรากฏตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ในคณะกรรมการเตรียมการเพื่อการสร้างความสามัคคีว่า เป็นเรื่องไม่เหมาะสม ไม่ควรมีหน่วยงานของฝ่ายตุลาการเข้าไปเกี่ยวข้องในคณะกรรมการชุดนี้เพราะเป็นเรื่องทางการเมือง เพราะอาจถูกครหาว่าก้าวก่ายหรือแทรกแซงของฝ่ายตุลาการได้ อีกทั้งยังเป็นห่วงภาพลักษณ์ของศาลยุติธรรม ที่ประชาชนอาจเข้าใจว่า เลขาธิการเป็นตัวแทนศาลยุติธรรม แม้ว่าความจริงจะไม่ใช่ตาม ส่วนตัวจึงไม่เห็นกับเรื่องนี้ เพราะเป็นสิ่งไม่จำเป็น และอาจสร้างความสับสนต่อสังคม เพราะการพิจารณาอรรถคดีของศาลต้องเป็นไปตามหลักนิติรัฐและนิติธรรม รัฐบาลจะไปก้าวก่ายแทรกแซงไม่ได้
------------------
"สุเทพ" ไปศาล ฟังไต่สวนพยานคดีกบฏ ยันพร้อมหนุนรัฐบาลทุกเรื่อง แต่ไม่เห็นด้วยหากนิรโทษเพื่อความปรองดอง 

เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปท.) พร้อมแกนนำ กปปส. ที่ถูกกล่าวหาในคดีกบฏ เดินทางไปยังศาลอาญา เพื่อรับฟัง
การไต่สวนสืบพยานฝ่ายโจทก์ โดย นายสุเทพ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเรื่องการสร้างความปรองดองของรัฐบาล ที่พยายามจะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้กับประชาชนในชาติ โดยระบุ
พูดไปแล้ว และไม่ขอพูดมากไปกว่าจุดยืนที่เคยพูดไว้ คือพร้อมที่จะสนับสนุนรัฐบาลในทุกด้าน และอยากให้รัฐบาลเร่งเดินหน้าเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองให้ชัดเจนก่อน

ทั้งนี้ นายสุเทพ ยืนยันว่า ต้องการให้ประชาชนคนไทยทุกคนเคารพ และปฏิบัติตามกรอบของกฎหมายบ้านเมือง ยืนยันคดีความต่าง ๆ จะสู้คดีความตามกระบวนการยุติธรรม และส่วนตัวก็ไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับกรณีการยกเว้นโทษนิรโทษกรรมหรือการลบล้างความผิดให้กับผู้ที่กระทำผิดกฎหมายเพื่อความปรองดอง
------------
///////////////
-รัฐธรรมนูญ

กรธ. คุยผู้แทนศาลประเด็นเนื้อหา พ.ร.ป.วิธีพิจารณาคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ไม่ยืดนัดอายุความให้ พิจารณาลับหลังแทน เตรียมเปิดเวทีอีกครั้งต้น มี.ค. นี้

นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า จากการเชิญผู้แทนของศาล หารือเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.ป.) วิธีพิจารณาคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว บางเรื่องมีความเห็นสอดคล้องกัน บางเรื่องก็จะต้องมีการปรับแก้ไขตัวร่างอีกเล็กน้อย ซึ่งถือว่ามีความคืบหน้าพอสมควร เช่นเรื่องการนับอายุความที่จะไม่ให้ยืดออกไป

เพราะหากยืดเวลาไป อาจทำให้หลักฐานเสียหาย สูญหายได้ และใช้การพิจารณาคดีลับหลังแทน ในกรณีผู้ถูกกล่าวหาไม่มาศาล หรือหลบหนี ซึ่งส่วนใหญ่เห็นตรงกัน ดังนั้นหลังจากนี้จะมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นอีกครั้ง ในช่วงต้นเดือน มี.ค. นี้ ก็น่าจะได้ข้อมูล ข้อเสนอแนะ จากฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นและมีข้อสรุปทั้งหมดที่ชัดเจนขึ้น

พร้อมกันนี้ โฆษก กรธ. ยังกล่าวว่า จากการลงพื้นที่ จ.อุดรธานี ขณะนี้อนุกรรมการกำลังเร่งสรุปประเด็นต่าง ๆ เพื่อเตรียมนำเข้าสู่ที่ประชุมเมื่อถึงเวลาพิจารณา ในเรื่องดังกล่าวด้วย รวมถึงเพื่อนำไปเป็นข้อมูลสำหรับการลงพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ด้วย ส่วนวันนี้จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ค้างไว้จากสัปดาห์ก่อนต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ยังเปิดเผยทิ้งท้ายว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ส่งร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญ มาให้แล้วเช่นกัน
---------
"นรชิต" แจง กรธ. ยังไม่ได้ข้อสรุปนับอายุความ คดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง ยังไม่ชัดเปิดให้อุทธรณ์กรณีใดบ้าง

นายนรชิต สิงหเสนี โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงการเชิญตัวแทนของศาลยุติธรรมมาให้ความเห็น ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองการ เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ว่า มีหลายประเด็นที่ กรธ. สอบถามเพื่อขอทราบรายละเอียดต่อการเขียนเนื้อหาในร่างกฎหมายดังกล่าว ว่า ควรปรับหรือต้องแก้ไขอย่างไรหรือไม่ และสอบถามถึงเจตนารมณ์ที่ได้บัญญัติไว้ในมาตราต่าง ๆ โดยสาระที่สำคัญเกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีผู้เสนอให้คดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องไม่มีอายุความ หรือยืดอายุความคดีให้นานที่สุด แต่ที่ประชุมยังไม่มีข้อสรุปในประเด็นนี้ เพราะพิจารณาข้อเท็จจริงพบว่าการยืดอายุความหรือการทำให้คดีไม่มีอายุความจะกระทบต่อการไต่สวน เช่น การไต่สวนบุคคลที่หากยืดอายุความของคดีอาจจะกระทบกับความทรงจำหรือการมีชีวิตอยู่ของผู้ที่จะให้ข้อมูลได้ หรือกรณีที่ต้องใช้การสืบจากเอกสาร ซึ่งโดยราชการจะมีข้อจำกัด คือเก็บเอกสารไว้ในระยะหนึ่งเท่านั้น เป็นต้น

ทั้งนี้ นายนรชิต กล่าวว่า ในกรณีการให้สิทธิ์อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกานั้น ที่ประชุมยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน จะให้ผู้ที่ถูกตัดสินมีสิทธิ์อุทธรณ์ได้ กรณีใดบ้าง ทั้งกรณีข้อเท็จจริงใหม่หรือข้อกฎหมาย แต่ในชั้นนี้การตัดสินหรือการมีคำสั่งของผู้พิพากษาศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง ซึ่งเป็นผู้พิพากษาระดับสูงแล้ว การอุทธรณ์ในข้อกฎหมายอาจจำเป็นน้อยกว่า ประเด็นข้อเท็จจริงที่มีเข้ามาใหม่

/////////////
-ทุจริต
------
"วัฒนา" FB ตั้งข้อสังเกต รัฐดันยทุรังขยายสัญญาให้เอกชนเพื่อใคร พร้อมยกข้อมูลหักล้างข้ออ้าง รมว.คลัง - กรมธนารักษ์

นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Watana Muangsook" ตั้งข้อสังเกตการขยายสัญญาให้กับเอกชนของรัฐบาล ว่า "ดันทุรัง" เป็นคำวิเศษณ์ ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 แปลว่า "ดื้อดึงไม่ยอมแพ้ ดื้อดึงไม่เข้าเรื่อง" อันเป็นพฤติกรรมของรัฐบาลที่หลีกเลี่ยงกฎหมายร่วมทุน ขยายอายุสัญญาและอนุมัติให้เอ็น ซี ซี เป็นผู้ลงทุนก่อสร้างศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์หลังใหม่ โดยไม่มีการแข่งขัน พร้อมอธิบายว่า เหตุผลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและอธิบดีกรมธนารักษ์ ในการชี้แจงนั้น เป็นคำแก้ตัวที่รับฟังไม่ขึ้น เพราะการที่เอกชนก่อสร้างโรงแรมไม่ได้ ติดผังเมืองของ กทม. ทำให้การชำระหนี้รายนี้ตกเป็นพ้นวิสัยโดยไม่ใช่ความผิดของใครทั้งสิ้น เอกชนจึงไม่สามารถฟ้องกรมธนารักษ์ได้ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 14493/2557 ความเสี่ยงที่กังวลจึงไม่มีฐานทางกฎหมายรองรับ, ข้อเสนอที่จะลงทุนตามโครงการเดิมจึงสิ้นสุดลงโดยไม่ต้องยกเลิกสัญญา เพราะตกเป็นพ้นวิสัย การลงทุนครั้งนี้จึงเป็นการลงทุนใหม่เพื่อก่อสร้างศูนย์ประชุมหลังใหม่แทนของเดิมที่จะถูกรื้อทิ้ง ซึ่งจะต้องยื่นแบบและขออนุญาตก่อสร้างใหม่ทั้งหมด, ที่กฤษฎีกาและอัยการสูงสุดตอบว่าการแก้ไขสัญญาทำได้หากไม่ทำให้รัฐเสียประโยชน์ก็ถูกต้องแล้ว แต่จะต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมาย เรื่องนี้อยู่ภายใต้บังคับของ พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ซึ่ง กรมธนารักษ์ จะต้องออกประกาศเชิญชวนให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน ส่วนการคัดเลือกจะ ไม่ใช้วิธีประมูลก็เป็นขั้นตอนภายหลังจากมีการประกาศเชิญชวนแล้ว และหากมั่นใจว่าเอกชนรายนี้เสนอประโยชน์สูงสุดให้รัฐแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะไม่ว่าจะเปิดให้มีการแข่งขันอีกกี่รอบเอกชนรายนี้ก็ต้องชนะอยู่ดี ที่สำคัญคือระยะเวลาตามสัญญาเดิมยังเหลืออยู่อีกหลายปี จึงมีเวลามากพอที่จะทำทุกอย่างให้ถูกต้องและโปร่งใสเพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐ แล้วจะรีบดันทุรังหาเรื่องเลี่ยงบาลีไปเพื่อใคร
--------------
"สามารถ" FB ไม่เห็นด้วย กทม. ประกาศยกเลิก BRT ขอทบทวนใหม่ แนะปรับปรุงการให้บริการ มั่นใจแก้ปัญหาขาดทุนได้ แน่นอน 

นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์" ว่า ยกเลิกบีอาร์ทีคิดดีแล้วหรือ เพราะพลันที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ประกาศยกเลิกให้บริการรถประจำทางด่วนพิเศษ หรือ บีอาร์ที ได้มีเสียงสะท้อนในเครือข่ายสังคมมากมาย ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่จะให้ยกเลิก พร้อมทั้งตำหนิการบริหารจัดการเดินรถของ กทม. ในฐานะผู้ริเริ่มทำโครงการเมื่อปี พ.ศ.2548 สมัยดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้ทำจนจบ หลังจากพ้นตำแหน่งรอง ผู้ว่าฯ กทม. แล้วทราบว่ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบโครงการบางประการ

ไม่เป็นไปตามแนวคิดที่ได้วางไว้ ทำให้ประสิทธิภาพของบีอาร์ทีลดลงเมื่อเปิดให้บริการในปี พ.ศ.2553
บีอาร์ที มีผู้โดยสารเฉลี่ยในวันทำการในปี พ.ศ.2559 ถึง 23,427 คนต่อวัน ถือว่ามากกว่าผู้โดยสารของบีอาร์ทีในต่างประเทศหลายเมือง ที่สำคัญ มีจำนวนผู้โดยสารพอ ๆ กับรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - เตาปูน ในขณะที่ค่าสร้างบีอาร์ทีถูกกว่าค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงถึงประมาณ 20 เท่า เมื่อดูผลประกอบการ ปรากฏว่าบีอาร์ทีขาดทุนเพียงแค่ประมาณ 500,000 บาทต่อวัน ในขณะที่รถไฟฟ้าสายสีม่วง ขาดทุนถึงประมาณ 3.5 ล้านบาทต่อวัน หาก กทม. อ้างการขาดทุนเป็นเหตุผลสำคัญในการยกเลิกบีอาร์ที ขอถามว่าเหตุใดการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จึงไม่ยกเลิกรถไฟฟ้าสายสีม่วง เหตุใดองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จึงไม่ยกเลิกการให้บริการถเมล์ หรือเหตุใดการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จึงไม่ยกเลิกการให้บริการรถไฟ เนื่องจากหน่วยงานเหล่านี้ต้องแบกภาระการขาดทุนหนักกว่า กทม. หลายเท่า

ทั้งนี้ นายสามารถ ระบุอีกว่า น่าเสียดายที่ กทม. ยกเลิกบีอาร์ทีโดยไม่คำนึงถึงข้อคิดเห็นของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ที่ไม่ได้ต้องการให้ยกเลิก แต่เสนอแนะให้ปรับปรุงการให้บริการให้ดีขึ้น เพราะตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 59 เป็นต้นมา กทม. ได้ปรับอัตราค่าโดยสารจากเดิม 5 บาทตลอดสาย เป็นการเก็บตามโซนหรือพื้นที่โดยมีค่าโดยสาร 2 อัตรา คือ 5 บาท และ 10 บาท ปรากฏว่า กทม. สามารถเก็บค่าโดยสารได้เพิ่มขึ้นถึง 27% ทำให้การขาดทุนลดลง

ดังนั้น การยกเลิกบีอาร์ทีเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุดของ กทม. เพื่อป้องกันปัญหา ที่เกรงว่าจะมาถึงตัวผู้รับผิดชอบ หากไม่ยกเลิก แต่จะเป็นทางเลือกที่ยากที่สุดของหน่วยงานอื่นที่ต้องการจะประยุกต์ใช้บีอาร์ทีในหัวเมืองหลักในภูมิภาค ดังนั้น ต่อจากนี้ การแก้ปัญหาจราจรก็จะมุ่งไปที่รถไฟฟ้าเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใด มีประชากรมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ทำให้เป็นการลงทุนมากเกินตัว ด้วยเหตุนี้ ก่อนถึงวันที่ 30 เม.ย. อยากขอให้ กทม. ทบทวนอีกครั้งหนึ่ง หากมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงบีอาร์ที มั่นใจว่า กทม. จะสามารถลดการขาดทุนได้แน่
/////////
-เงินคงคลัง-

นายกฯ อยากให้ทุกโรงเรียนมีเด็กเก่ง ช่วยคิดตัวเลขเงินคงคลังของรัฐบาล ฝากสื่อช่วยเรื่องปฏิรูปการศึกษา - ด้าน พล.อ.ประวิตร รอคุย คกก. ปรองดอง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นำคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจำปี 2560 ขณะเดียวกัน นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นำคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดแสดงผลงานของนักเรียน นักศึกษาที่มีความเป็นเลิศ พร้อมโชว์ทักษะคิดเลขเร็วให้นายกรัฐมนตรีรับชม ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อยากให้ทุกโรงเรียนเก่งแบบนี้เหมือนกันทั้งหมด และอยากให้เด็กมาช่วยคิดเลขบวก ลบ คูณ หาร ตัวเลขเงินคงคลังของรัฐบาลด้วย

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวกับเด็กและเยาวชนที่เข้าพบวันนี้ว่า ดีใจมากวันนี้ที่ได้พบกับทุกคน พร้อมขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจ เพราะการศึกษาสำคัญที่สุด และทุกคนถือเป็นความหวังของตนเอง จากนั้นมีเด็กและเยาวชน ได้เข้ามาขอถ่ายรูปพร้อมขอลายเซ็นจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งก่อนขึ้นประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า ฝากสื่อเรื่องการปฏิรูปการศึกษา เพราะมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการ และที่ผ่านมา ได้มีการดำเนินการแก้ไขเรื่องบุคลากรครู หลักสูตร ข้อสอบ และการประเมินผล ซึ่งในวันนี้เน้นในเรื่องของระบบไอทีมาช่วยในการสอนเพื่อให้เด็กทุกคนเข้าถึงและมีระบบ E-lreaning เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ขณะเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการสร้างความสามัคคีปรองดอง ซึ่งเป็นคณะกรรมการย่อยของคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) จะประชุมภายในสัปดาห์นี้หรือไม่ว่า ยังไม่ทราบ ขอดูก่อน
-------------
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง คาดหุ้นไทยปีนี้เคลื่อนไหวถึง 1,650 จุด

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยนั้น หากมีการประเมินแล้วโดยรวมยังมีความโดดเด่นในส่วนของภูมิภาค องค์ประกอบด้านเศรษฐกิจภายในประเทศหลาย ๆ ด้านยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ทั้งในส่วนของภาคการท่องเที่ยว การใช้จ่ายภาครัฐและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อีกทั้งการบริโภคภายในประเทศมีมากกว่าร้อยละ 50 ในส่วนของการส่งออก ที่มีประมาณ ร้อยละ 10

ทั้งนี้ ยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยยังคงมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะหลายฝ่ายมองและมีความกังวลในเรื่องของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายด้านต่าง ๆ ที่จะส่งผลต่อความเสี่ยง หลายประเทศอย่างโดยเฉพาะจีน รวมถึงในส่วนของประเทศไทยด้วย ทั้งนี้ เชื่อว่าผลกระทบต่าง ๆ จะเกิดในระยะสั้นเท่านั้นและยังเชื่อมั่นว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ จะสามารถบริหารนโยบายด้านเศรษฐกิจให้ดำเนินไปในทางที่ดีได้

ขณะที่แนวโน้มทิศทางของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ มีแนวโน้มที่จะเติบโต ไปถึงกรอบ 1,650 จุดได้ แต่ ยังคงมีความเสี่ยงและความผันผวนมากระทบ ต่อความเคลื่อนไหวของดัชนีในตลาดหุ้นเป็นระยะ ๆ ทางปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ
--------
ประธาน ส.อ.ท. มอง เงินคงคลังของประเทศลดลง ไม่น่ากังวล ชี้เงินมากไปไม่ใช่เรื่องดี ต้องอยู่ในระดับเหมาะสม

จากกรณีที่เงินคงคลังของประเทศคงเหลือ 74,000 ล้านบาท นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมเเห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. เปิดเผยว่า เงินคงคลังในระดับดังกล่าว ไม่ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจ เพราะการบริหารเงินคงคลังนั้น มีจำนวนมากเกินไปหรือมีน้อยเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่ควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม มีเพียงพอที่จะใช้จ่ายกรณีฉุกเฉิน ช่วงภัยภิบัติโดยไม่ต้องรอการพิจารณาจากสภาเป็นเวลานาน

อย่างไรก็ตาม เห็นว่า จำนวนเงินคงคลัง ไม่ได้มีการเชื่อมโยงกับฐานะการเงินของประเทศ โดยเงินตราสำรองระหว่างประเทศของไทยยังถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง จึงไม่อยากให้หลายฝ่ายกังวลจนเกินไป
--------
"พิชัย" ชี้ ปัญหาเงินคงคลังอาจแสดงถึงปัญหาประสิทธิภาพการบริหารเศรษฐกิจ ย้ำ ข้อมูลถึงนายกฯ ผิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่มีรายงานข่าวเงินคงคลังลดลงจาก 200,000 ล้านบาท เหลือเพียง 74,907 ล้านบาทนั้น ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัส ถ้ารัฐบาลยังไม่มีแผนงานจะใช้เงินในช่วงนี้ แต่ปริมาณเงินคงคลังที่ต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปี แสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการเงินคงคลังที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ได้มีการประมาณรายรับรายจ่ายของรัฐบาลให้ดีเพียงพอ โดยหากมองย้อนหลังจะพบว่ารัฐบาลไม่ได้มีการเตรียมพร้อมในทิศทางเศรษฐกิจ แต่พยายามจะหลอกตัวเองว่าเศรษฐกิจดี

ทั้งนี้ นายพิชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลยังเร่งออกมาตรการแจกเงินและอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงเป็นผลทำให้เงินคงคลังลดลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจที่แย่ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถเก็บภาษีได้อย่างที่ประมาณการไว้ ทำให้ปริมาณเงินคงคลังลดลง อีกทั้งแสดงถึงระบบการให้ข้อมูลของรัฐบาลที่ไม่ถูกต้องมาโดยตลอด โดยเฉพาะข้อมูลที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรี  ซึ่งหากผู้นำสูงสุดของประเทศยังมีข้อมูลเศรษฐกิจที่ไม่ถูกต้อง จะทำให้แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้อย่างแน่นอน
-----------
"สุรพงษ์" ฝากการบ้านนายกฯ ทบทวนเรื่องงบประมาณใหม่ ทุกโครงการต้องศึกษาว่าจุดคุ้มทุน หรือคืนทุนอยู่ตรงไหน

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกรทะรวงต่างประเทศ กล่าวว่า ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี รัฐบาล คสช. ได้จัดทำงบประมาณแบบขาดดุลทุกปี และยังทำงบประมาณกลางปีเพิ่มเติมอีก 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งทำให้ขาดดุลเพิ่มขึ้นจนเงินหมด และนำเงินในคลังที่เก็บสะสมออกมาใช้จ่ายอีก เท่ากับรายได้ไม่มี มีแต่รายจ่าย และรายจ่ายที่เกิดขึ้นก็เป็นรายจ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ จึงอาจเรียกว่า เริ่มจะถังแตก ถึงขั้นต้องทุบกระปุกนำเงินออกมาใช้ ดังนั้นโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะหยิบขึ้นมาทำก็น่าที่จะต้องศึกษากันใหม่ ว่า จุดคุ้มทุนหรือจุดคืนทุนนั้นอยู่ตรงไหน เปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่

ทั้งนี้ นายสุรพงษ์ ยังกล่าวว่า ในหลาย ๆ รัฐบาลได้มีการหาแนวทางในการลดค่าใช้จ่ายประจำ ซึ่งนับวันยิ่งสูงขึ้น ทั้งเงินเดือน สวัสดิการ ค่ารักษาพยาบาล บำเหน็จบำนาญ ฯลฯ แต่วันนี้กลับเดินมาซ้ำรอยเดิม สนช. ที่ควรจะทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการคณะต่าง ๆ ในรัฐสภา ที่ควรจะศึกษาหาข้อมูลเพื่อเสนอแนะหรือท้วงติง คัดค้านการทำงานของรัฐบาล คสช. ตลอดเวลาเกือบ 3 ปี คาดว่าคงจะไม่ได้ทำหน้าที่เท่าที่ควร ที่จะกล้าเสนอแนะท้วงติงรัฐบาล คสช. เพราะอาจจะเกรงใจหัวหน้า คสช. ถ้าจะให้ดีต้องหาคนมีความรู้ขึ้นมาทำหน้าที่โดยเร็วหรือไม่ก็ต้องรีบปรับ ครม. ชุดใหม่อีกรอบ ก่อนที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สภาวะล้มละลายหรือหนี้สินล้นพ้นตัว จึงขอฝากถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำไปคิดเป็นการบ้านโดยด่วน
---------------
คณะกรรมการเฟด แสดงความเห็น หนุนขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ อิงตัวเลขจ้างงานที่เพิ่งเผิดเผย

สำนักข่าว รอยเตอร์ส รายงาน นายแพทริค ฮาร์เกอร์ ประธานเฟด ฟิลาเดลเฟีย (FOMC Voter) ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยสนับสนุนการปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปีนี้

นาย ฮาร์เกอร์ บอกว่า เฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน มี.ค. (considered as a potential increase) โดยประเมินว่าภาคการจ้างงานสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขการจ้างงานที่ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังแสดงความมั่นใจต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงการขยายตัวของอัตราค่าจ้างในช่วงที่ผ่านมาอีกด้วย

ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญเป็นหลักในการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินต่อไป ทั้งนี้ ฮาร์เกอร์ กล่าวถึงกฎระเบียบ ในธุรกิจด้านฟินเทค โดยมองว่า การกำหนดกฎระเบียบในด้านดังกล่าวเป็นสิ่งที่จำเป็นและควรเริ่มดำเนินการก่อนเกิดวิกฤติเพื่อให้การพัฒนาด้านนวัตกรรมสามารถขยายตัวต่อไปได้

///////////////
-ไซซะนะ

รอง ผบช.ปส. เผย เตรียมเชิญ "ไผ่ วันพอยท์" - อดีตทายาทนักการเมือง และเจ้าของเต็นท์รถ รวม 4 คน สอบปมลัมโบร์กินี

พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบความเชื่อมโยงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง กรณีเส้นทางของรถลัมโบร์กินี ที่อยู่ในความครอบครองของ นายอัครกิตติ์ ว่า วันนี้พนักงานสอบสวน ได้ประสานเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องกับที่มาของรถลัมโบร์กินี เพื่อสอบถามข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดี โดยในจำนวนบุคคลดังกล่าว มีรายชื่อของ นายไผ่ ลิกค์ หรือ ไผ่ วันพอยท์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการรถแข่ง และเป็นทายาทอดีตนักการเมือง ซึ่งขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างติดต่อเพื่อมาให้ข้อมูล

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าว มีรายงานว่า นอกเหนือจาก นายไผ่ ลิกค์ ที่เจ้าหน้าที่จะเชิญมาให้ข้อมูลแล้ว ยังมีทายาทอดีตนักการเมืองอีก 2 คน และเจ้าของเต็นท์รถอีก 1 คน ที่ขายรถให้กับ นายเบนซ์ เจ้าหน้าที่จะเชิญมาสอบถามถึงความเชื่อมโยง รวมถึงเอกสารต่าง ๆ ในการทำธุรกรรมด้วย
-------------
รอง ผบช.ปส. เผย เชิญ "ไผ่ วันพอยท์" และเจ้าของเต็นท์รถย่านพระราม 3 สอบ ปมรถลัมโบร์กินี "เบนซ์ เรซซิ่ง" ขู่ออกหมายเรียกหากเบี้ยวพบวันนี้

พล.ต.ต.ชาตรี ไพศาลศิลป์ รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด หรือ รอง ผบช.ปส. เปิดเผยว่า วันนี้พนักงานสอบสวนได้ประสานเชิญ นายไผ่ ลิกค์ หรือ ไผ่ วันพอยท์ ทายาทอดีตนักการเมือง พร้อมด้วยเจ้าของเต็นท์รถยนต์ย่านพระราม 3 ที่ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง ซื้อรถยนต์ลัมโบร์กินี และเจ้าของทะเบียนรถยนต์ ในจ.ลำพูน รวม 3 คน มาให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ในฐานะพยาน โดยเจ้าหน้าที่จะสอบถาม นายไผ่ ลิกค์ หรือ ไผ่ วันพอยท์ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ นายณัฐพล นาคคำ หรือ บอย เพราะ นายบอย อ้างว่ารู้จักกับ ไผ่ วันพอยท์

ทั้งนี้ รอง ผบช.ปส. ระบุว่า หลังจากพนักงานสอบสวน ได้ติดต่อกับผู้ประสานงานของทั้ง 3 คน แล้ว ได้รับการยืนยันว่า ไม่สามารถติดต่อกับทั้ง 3 คนได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะให้เวลาตลอดทั้งวันนี้ หากทั้ง 3 คน ยังไม่มาพบพนักงานสอบสวน จำเป็นต้องออกหมายเรียกในวันพรุ่งนี้

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ นายเบนซ์ นั้น ล่าสุดยังไม่ได้นำเอกสาร หลักฐาน มายื่นเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน แต่อย่างใด และเตรียมที่จะเชิญมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีก ช่วงกลางเดือน ก.พ. นี้
---------------
ผบช.ปส. เผย อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานยึดรถหรูอีกกว่า 20 คัน เชื่อมโยงเครือข่ายยาเสพติดไซซะนะ พบข้อมูลเส้นทางยาเสพติดไปไกลถึงสหรัฐฯ โดยใช้ไทยเป็นทางผ่าน

พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กล่าวถึงกระแสข่าวในโซเชียลมีเดียที่โจมตีการทำงานของตำรวจไทย กล่าวหาว่าไม่มีหลักฐานกรณีจับกุมนายไซซะนะ แก้วพิมพา นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ และอาจหลุดคดีหากต่อสู้ในชั้นศาลว่า เป็นความเห็นของคนทั่วไปที่อาจไม่เข้าใจการทำคดี ซึ่งตำรวจกำลังขยายผลจากการจับกุมและยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ส่วนการอายัดรถลัมโบร์กินี ของ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง มาตรวจสอบนั้น เป็นเพียง 1 ในรถเป้าหมาย แต่ยังมีรถยนต์ซูเปอร์คาร์ รุ่นท็อป ที่มีราคามากกว่า 20 ล้านบาท อีกกว่า 20 คัน ที่อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานอายัดมาตรวจสอบอีกเร็ว ๆ นี้

ผบช.ปส. กล่าวยืนยันว่า การทำคดีนี้มีพยานหลักฐานชัดเจน ไม่กลัว และตอบคำถามสังคมได้ว่าตำรวจไทยมีไว้ทำไม และที่ผ่านมามีการประสานข้อมูลกับ สปป.ลาว อย่างใกล้ชิด พร้อมลงพื้นที่ภาคใต้หารือกับทหารได้เบาะแสเพิ่มเติมจำนวนมาก และประสานทางการมาเลเซียติดตามจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายนี้เพิ่มเติมด้วย ส่วนจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อความไม่สงบทางภาคใต้หรือไม่ เป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง

นอกจากนี้ พล.ต.ท.สมหมาย ยืนยันการทำงานของตำรวจปราบปรามยาเสพติดไม่ใช่การทำงานแบบฉาบฉวย แต่จะทำงานไปจนกว่าจะเกษียณอายุราชการ และมีการประสานข้อมูลเชิงลึกและลงพื้นที่หาข่าวอย่างต่อเนื่อง จนพบเส้นทางลำเลียงยาเสพติดที่ส่งไปยังประเทศที่สาม ทั้งมาเลเซีย ออสเตรเลีย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านด้วย
--------------
"ไผ่ วันพอยท์" พบตำรวจ ปส. แจงที่มาลัมโบร์กินี ยืนยัน ไม่รู้จัก "เบนซ์- บอย" เป็นการส่วนตัว แค่ประสานให้มีการซื้อรถราคา 14 ล้านบาท

นายไผ่ ลิกค์ หรือ ไผ่ วันพอยท์ ทายาทอดีตนักการเมือง เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับรถลัมโบร์กินี ที่อยู่ในความครอบครองของ

นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง โดยระบุว่าตนเองไม่ได้รู้จักกับ นายณัฐพล นาคคำ หรือ บอย และ นายอัครกิตติ์ เป็นการส่วนตัว แต่ยอมรับว่าทั้ง 2 คน มาติดต่อ ขอให้ช่วยแนะนำรถซูเปอร์คาร์ ในฐานะที่ตนเองอยู่ในแวดวงนักแข่งรถ จึงแนะนำให้ติดต่อกับเพื่อน ที่พามาด้วยในวันนี้ และตกลงที่จะซื้อรถลัมโบร์กินี ราคา 14 ล้านบาท เป็นรถติดไฟแนนซ์ และดาวน์รถไปประมาณ 5 - 6 ล้านบาท ที่เต็นท์รถชื่อ "เอก บลูโน ย่านพระราม 3"

โดย นายไผ่ ระบุว่า หลังจากได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่เมื่อช่วงเช้า เพื่อเข้ามาให้ข้อมูลในฐานะพยาน ตนก็เดินทางมาเข้าพบพนักงานสอบสวน และไม่ได้เตรียมเอกสารหลักฐานอะไรมา เพราะไม่มีหลักฐานตั้งแต่แรก เพราะตนเองเป็นแค่คนกลางประสานให้มีการซื้อขายรถกันเท่านั้น

ซึ่งขณะนี้ นายไผ่ ลิกค์ ได้เดินทางเข้าไปให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ภายในกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดแล้ว
---------------
ผบช.ตม. สั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง 2 ตำรวจในสังกัด ถ่ายภาพกับ ไซซะนะ ผู้ต้องหายาเสพติด พร้อมสั่งให้ช่วยราชการระหว่างสอบสวน

จากกรณีที่สังคมโซเชียลมีเดียของชาวลาวแชร์ภาพ นายไซซะนะ แก้วพิมพา นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ชาวลาว ถ่ายรูปคู่กับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จ.เลย และตำรวจพื้นที่รวม 3 นาย ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พล.ต.ต.ปฏิพัทธ์ สุบรรณ ณ อยุธยา ผบก.ตม.4 เปิดเผยว่า สำหรับผู้ใต้บังคับบัญชาในสังกัด ซึ่งปรากฏในภาพ คือ ร.ต.ท.วไลศักดิ์ อินทรักษ์ รอง สว.ตม.จ.เลย ได้ชี้แจงเบื้องต้นว่าเป็นภาพที่ถูกบันทึกเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในห้วงเวลานั้นมีคาราวานแรลลี่ข้ามไปกลับระหว่างชายแดนไทยลาวด้าน จ.เลย โดยไม่ทราบว่า นายไซซะนะ เป็นนักค้ายาเสพติด

ส่วนกรณีที่ไม่พบข้อมูลของ นายไซซะนะ ในระบบคอมพิวเตอร์ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ต.ปฏิพัทธ์ กล่าวว่า ขอเวลาตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า เพราะเหตุใดถึงไม่บันทึกข้อมูลการเข้า
ออกทางด่านตรวจคนเข้าเมืองเลย รวมถึงให้ตรวจสอบหนังสือขออนุญาตว่ามีการจัดคาราวานแรลลี่ข้ามพรมแดนจริงหรือไม่ แล้วมีการประสานกันอย่างไร

อย่างไรก็ตาม ช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้พิจารณาออกคำสั่งให้ ร.ต.ท.วไลศักดิ์ ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.บก.ตม.4 เพื่อสะดวกต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะ
กรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงแล้วเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.45 น. วันเดียวกันนี้ พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผบช.สตม. เดินทางมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเข้าพบ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยได้หารือเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ซึ่งทาง พล.ต.ท.ณัฐธร ระบุว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นกับผู้ใต้บังคับบัญชา และได้สั่งการให้ผู้บังคับการในสังกัดดำเนินการออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงของ ร.ต.ท.วไลศักดิ์ เจ้าหน้าที่ ตม.เลย

ขณะเดียวกัน ก็ให้ ผบก.ตม.2 ออกคำสั่งให้ ร.ต.อ.ภัทรพล ถ้วยทอง รอง สว.ฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง ตม.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ที่ ศปก.บก.ตม. เพื่อให้สะดวกแก่การสืบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง

ทั้งนี้ การตั้งคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าว สืบเนื่องจากแนวทางสอบสวนพบว่า นายตำรวจใน ตม. ต้องสงสัยมีพฤติการณ์เกี่ยวของกับ นายไซซะนะ ได้โทรศัพท์ติดต่อกับผู้ร่วมขบวนการค้ายาเสพติดรายดังกล่าวในการรับฝากรถยนต์ของกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดรายนี้ไว้ เพื่อนำรถยนต์มาจอดในอาคารจอดรถท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หากผลการสอบสวนระบุผิดจริง ก็จะมีบทลงโทษทั้งวินัยและอาญา ไม่มีการละเว้นหรือให้การช่วยเหลืออย่างแน่นอน
----------------
ผบช.ตม. ยัน ย้าย 1 นายตำรวจในสังกัดถ่ายภาพกับแก๊งค้ายาเสพติด สั่งตั้งคณะกรรมการสอบ คาด 1 สัปดาห์ รู้ผล

พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กล่าวถึงกรณีการเผยแพร่ภาพ 3 นายตำรวจถ่ายภาพร่วมกับ นายไซซะนะ แก้วพิมพา นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ชาวลาว ว่า ในจำนวนนี้มีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเพียง 1 นาย คือ ร.ต.ท.วไลศักดิ์ อินทรักษ์ รองสารวัตรตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเลย

ส่วนนายตำรวจอีก 2 นาย เป็นตำรวจจากหน่วยอื่น ซึ่งขณะนี้มีคำสั่งย้าย ร.ต.ท.วไลศักดิ์ มาช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตรวจคนเข้าเมือง 4 พร้อมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว และเบื้องต้นทราบว่าภาพถ่ายดังกล่าวถูกบันทึกไว้ตั้งแต่เมื่อประมาณ 2 - 3 ปีก่อน ในช่วงที่มีคาราวานแรลลี่ข้ามพรมแดนไทยลาว ส่วนผลการสอบข้อเท็จจริง นั้นคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ จึงจะทราบผล

อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบประวัติการเดินทางเข้าออก นายไซซะนะ แก้วพิมพา นักค้ายาเสพติดชาวลาว ตลอดระยะ 4 ปี ที่ผ่านมา เคยเดินทางเข้าออกประเทศไทยผ่านทางด่านตรวจคนเข้าเมืองติดชายแดนไทยลาว รวมทั้งสิ้น 51 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดหนองคาย
----------------
ตั้งกรรมการสอบ ร.ต.อ. สังกัดด่าน ตม.สุวรรณภูมิ พัน "ไซซะนะ" นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ชาวลาว

พ.ต.ท.หญิง อิศลักษมิ์ เฉลิมศรี รองผู้กำกับการรักษาราชการแทน ผกก. ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้มีคำสั่งให้แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ใจความว่า ด้วย ร.ต.อ.ภัทรพล ถ้วยทอง รอง สว.ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ถูกกล่าวหาว่า มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับ นายไซซะนะ แก้วพิมพา สัญชาติลาว ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ แนวทางการสืบสวนพบ ว่า ร.ต.อ.ภัทรพล ได้มีการโทรศัพท์ติดต่อกับผู้ร่วมขบวนการค้ายาเสพติดรายดังกล่าว ในการรับฝากรถยนต์ของกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดรายนี้ไว้ เพื่อนำ
รถยนต์เข้ามาจอดภายในอาคารจอดรถท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อันเป็นการกระทำ หรือละเว้นการกระทำใด ๆ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการและทำให้เสียระเบียบแบบแผนของตำรวจ
เหตุเกิดที่ ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต.หนองปรือ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการจึงอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 84 แต่งตั้ง

คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว โดยมี พ.ต.ท.ชัยพร ออฟูวงศ์ รอง ผกก.ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นประธาน

ทั้งนี้ หากคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เห็นว่า กรณีมีมูลว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยในเรื่องอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในคำสั่งนี้ หรือกรณีที่การสืบสวนข้อเท็จจริงพาดพิงไปถึงข้าราชการตำรวจผู้อื่น และคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจิงพิจารณาในเบื้องต้นแล้ว เห็นว่าข้าราชการตำรวจผู้นั้นมีส่วนร่วมหรือกระทำการในเรื่องที่สืบสวนข้อเท็จจริงนั้นอยู่ด้วย ให้ประธานคณะกรรมการรายงานมาโดยเร็ว
----------------
รอง โฆษก ตร. เผย สั่งย้ายตำรวจไทยถ่ายภาพร่วม "ไซซะนะ" แล้ว เบื้องต้นไม่พบเกี่ยวข้อง ชี้เจ้าตัวเข้ามาขอถ่ายภาพ ขณะอำนวยความสะดวกการเดินทางให้คาราวานจากประเทศลาว

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีโลกออนไลน์มีการเผยแพร่ภาพในเพจของ สปป.ลาว เป็นภาพของ นายไซซะนะ แก้วพิมพา ชาวลาว อายุ 42 ปี เครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่ทางฝั่งลาว ที่ถ่ายคู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย พร้อมกับระบุว่า เป็นเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของไทย ที่คอยอำนวยความสะดวกให้ นายไซซะนะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยคงจะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องคงไม่ได้ ว่าจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพถ่าย เมื่อประมาณ 2 ปีเศษ โดยเจ้าหน้าที่ในภาพเป็นตำรวจ สภ.ท่าลี่ จ.เลย จำนวน 2 นาย และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จ.เลย จำนวน 1 นาย

โดยขณะถ่ายภาพนั้น อยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกให้แก่คาราวานจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรจัดการแสดงทางด้าน จ.หนองคาย
และจะออกจากไทยทางจุดตรวจผ่านแดนถาวร บ้านนากระเซ็ง อ.ท่าลี่ จ.เลย โดยก่อนกลับคณะคาราวานในภาพดังกล่าว ได้ขอถ่ายภาพร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้ง 3 นายดังกล่าว พร้อมเชื่อว่าทั้ง 3
นาย ไม่น่ามีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายยาเสพติดแต่อย่างใด แต่เพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้นทางผู้บังคับบัญชาก็ได้มีคำสั่งให้ ร.ต.ท.วไลศักดิ์ ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.บก.ตม.4 เพื่อสะดวกต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงแล้วเพื่อให้เกิดความโปรงใสต่อไป
/////////////
ขบวนการIS

"พล.อ.ประวิตร" รอคุยมาเลย์ขอตัวผู้ต้องหาโยง BRN - ไม่เชื่อดวงตก บอกอาจเป็นปีที่ดีก็ได้ เพราะเกิดปีไก่ 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ทางการมาเลเซียจับตัวกลุ่มก่อเหตุความวุ่นวายได้ 6 คน ซึ่งมีสมาชิกกลุ่ม BRN รวมอยู่ด้วย ว่า ขณะนี้กำลังติดตามเรื่องอยู่ หากมีความชัดเจนว่าเคยเข้ามาก่อเหตุในประเทศไทย หรือมีหมายจับของไทยติดตัว ก็จะประสานขอเข้าร่วมรับฟังการสอบสวนหรือขอตัวมาดำเนินการในประเทศไทย

ซึ่งทางเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติได้ประสารกับมาเลเซียอยู่แล้ว จึงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ส่วนกลุ่มคนดังกล่าวจะมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มไอเอสหรือไม่นั้น รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ระบุว่า ไม่ทราบในเรื่องนี้ คงต้องรอการแลกเปลี่ยนทางการข่าวระหว่างไทยกับมาเลเซียในอนาคต

พร้อมกันนี้ พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวถึง กรณีที่ นายโสรัจจะ นวลอยู่ โหรชื่อดัง ทักว่า พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ ดวงตก ว่า ตนเองไม่เคยดูดวง ถ้าเป็นปีที่แล้วว่าไปอย่าง เพราะมีทั้งอาการป่วย ทั้งขาเจ็บ แต่ปีนี้ไม่เห็นมีอะไรจะตก แต่หากมองว่าปีนี้อาจปีของตนเอง ก็อาจเป็นได้ เพราะเกิดปีไก่ จากนั้นได้หยอกล้อกับผู้สื่อข่าวเรื่องอายุ ด้วยหน้าตายิ้มแย้มและอารมณ์ขัน
----------
กองทัพ ประสานมาเลย์ ขอตัว 1 ใน 6 ผู้ต้องหาที่เชื่อมโยงบีอาร์เอ็นแล้ว ตอบไม่ได้จะมีการส่งตัวมาหรือไม่ ยังไม่ชัดเชื่อมโยง IS 

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีที่ประเทศมาเลเซียจับกุมชายต้องสงสัย 6 คน พร้อมของกลางอุปกรณ์ประกอบระเบิดจำนวนมากในรัฐกลันตัน ซึ่งติดกับจังหวัดนราธิวาสของไทย ว่า จากการตรวจสอบในจำนวนที่จับกุมได้ 6 คน ซึ่งมี 1 คน มีทะเบียนประวัติของกลุ่มบีอาร์เอ็น เป็นผู้ต้องหาในเรื่องนี้อยู่ด้วย ซึ่งคิดว่าอาจจะใช่ โดยได้ทำเรื่องขอตัวไป แต่ทางประเทศมาเลเซียเองก็จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายก่อน จึงไม่ทราบว่า จะมีการส่งตัวกลับมาประเทศไทยหรือไม่ แต่ก็พยายามอย่างเต็มที่ 

พร้อมกันนี้ ระบุว่า บุคคลที่ถูกจับกุมทั้ง 6 คนนี้ มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มไอเอสทั้งหมด เพราะผู้ที่จะมีความเกี่ยวข้องนั้น มีหลายระดับ เพราะกลุ่มนี้เป็นเพียงผู้ที่รับทราบแนวความคิดผ่านทางโซเซียลมีเดีย และพื้นฐานเป็นไม่ได้มีอุดมการณ์ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านมาโดยตลอด และกวดขันช่องทางต่าง ๆ ที่จะมีกลุ่มนี้เข้ามา
///////////
เซลล์แมน

แพทย์โรงพยาบาลศิริราช แถลงยัน ศพเป็นเซลล์แมนที่หายตัวปริศนา ตรวจสอบพบตับ ไตล้มเหลว มีสารเสพติด - ญาติไม่ติดใจนพ.ปภาณุ สุทธิประสิทธิ์ แพทย์ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล แถลงผลการชันสูตรพลิกศพชายต้องสงสัย เป็น นายรัติภูมิ พิมพ์ใจใส เซลล์แมนที่หายตัวไป โดยจากการตรวจพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคลได้ชัดเจน และจากการผ่าชันสูตรพลิกศพไม่พบร่องรอยหรือบาดแผลการถูกทำร้าย แต่ผู้ตายมีภาวะตับและไตล้มเหลว อวัยวะภายในเสื่อมสลาย และจากการตรวจเลือด ชิ้นส่วนอวัยวะ พบมีสารเมทแอมเฟตามีนในปริมาณที่มาก ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะภายในล้มเหลวได้

แต่อย่างไรก็ตาม แพทย์ได้เก็บตัวอย่างเลือด ชิ้นส่วนอวัยวะและเส้นผม เพื่อสกัดหาสารเสพติดอีกครั้ง ส่วนบาดแผล 2 จุดบริเวณใบหน้าและท้ายทอยไม่ได้เป็นบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ สำหรับอาการคลุ้มคลั่ง ที่พบในกล้องวงจรปิด ก่อนที่จะนำตัวส่งโรงพยาบาลนั้น อาจจะเกิดจากฤทธิ์ของสารเมทแอมเฟตามีน ส่วนการรักษาอาการป่วยตลอด 10 วัน ในโรงพยาบาล นายรัติภูมิ ไม่ได้สติ แพทย์จึงรักษาตามอาการ

ด้าน พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า ในส่วนของคดีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน ที่มีการอ้างว่าผู้เสียชีวิตขโมยมาในทางคดีเมื่อผู้กระทำผิดเสียชีวิตลง คดีจะถูกยกฟ้อง แต่
ทางตำรวจจะพิสูจน์ทราบให้ได้ข้อเท็จจริง เพื่อให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตต่อไป

ด้าน นายละเอียด พิมพ์ใจใส บิดาของผู้เสียชีวิต กล่าวภายหลังการทราบผลชันสูตรพลิกศพว่า ไม่ได้ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต และไม่ขอให้มีการชันสูตรพลิกศพเป็นครั้งที่สอง แต่ขอให้ตำรวจทำคดีอย่างตรงไปตรงมา เพื่อขอความเป็นธรรมกับครอบครัวด้วย โดยหลังจากนี้จะนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่ อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ต่อไป
////////////////////////

ต่อยอดโรดแม็ปคสช. : กางพิมพ์เขียวพ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ

โฉมหน้ายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของประเทศไทย เจิดจรัสสมกับที่สังคมรอคอยแค่ไหน ขอให้โปรดติดตาม

เพราะร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ จะกำหนดกระบวนการและกลไกเดินหน้ายุทธศาสตร์ชาติ เริ่มจากการตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ จำนวน 25 คน ในจำนวนนี้มีฝ่ายการเมือง ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เป็นรองประธาน

กรรมการโดยตำแหน่ง 8 คน ประกอบด้วย เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานสภาเกษตรกร ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

ประธานสมาคมธนาคารไทย เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่งตั้งได้ไม่เกิน 14 คน เป็นได้ไม่เกิน 5 ปี

เมื่อแม่น้ำ 3 สายหมดวาระลง ประธานวุฒิสภาก็เข้าไปแทนประธาน สนช. ประธานสภาผู้แทนราษฎรก็เข้าไปแทนประธาน สปท. และมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเข้าไปแทน

ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี สามารถทบทวนพิจารณาทบทวนทุก 5 ปี หรือเมื่อมีสถานการณ์กระทบต่อวัตถุประสงค์หลักของยุทธศาสตร์ชาติอย่างมีนัยสำคัญ ก็สามารถทบทวนเปลี่ยนแปลงได้อีก

ขณะเดียวกัน คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน ก็เริ่มประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
เพื่อจัดลำดับความสำคัญการปฏิรูป นำไปสู่การปฏิบัติในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และการปฏิรูปที่นำวาระของ สปท.และของนายกรัฐมนตรีมากลั่นกรองจัดลำดับความสำคัญ

โครงสร้างยุทธศาสตร์เริ่มมีกรอบที่ชัดเจน เมื่อ ฝ่ายนิติบัญญัติ นำโดย สนช.ร่วมกับ สถาบันพระปกเกล้า จัดสัมมนาร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อทำให้เกิดกระบวนการการทำยุทธศาสตร์ชาติที่มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ

ตามหมวดการปฏิรูปประเทศในร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ กำหนดให้การปฏิรูปประเทศต้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย ให้ประเทศชาติมีความสงบเรียบร้อย มีความสามัคคีปรองดอง มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนาด้านจิตใจ

พร้อมกำหนดให้การดำเนินการปฏิรูปประเทศอย่างน้อยในด้านต่างๆให้เกิดผล เช่น ด้านการเมือง อาทิ ทำให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ยอมรับในความเห็นทางการเมืองโดยสุจริตที่แตกต่าง

มีกลไกแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองโดยสันติวิธี

ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน อาทิ ปรับปรุง พัฒนาโครงสร้าง ระบบการบริหารงานของรัฐและแผนกำลังคนภายในรัฐ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ๆ ปรับปรุงระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้มีความคล่องตัว เปิดเผย ตรวจสอบได้

มีกลไกในการป้องกันการทุจริตทุกขั้นตอน

ด้านกฎหมาย อาทิ มีกลไกให้ดำเนินการปรับปรุงกติกา กฎหมายที่อยู่ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต หรือการประกอบอาชีพ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน

ด้านกระบวนการยุติธรรม อาทิ กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในทุกขั้นตอนที่ชัดเจนของกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ประชาชนได้รับความยุติธรรมโดยไม่ล่าช้า สร้างกลไกเพื่อให้มีการบังคับการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในสังคม

ด้านการศึกษา อาทิ ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนทุกระดับ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามความถนัด ด้านเศรษฐกิจ อาทิ ปรับปรุงระบบภาษีอากรให้มีความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มพูนรายได้ของรัฐด้านต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้านอื่นๆ อาทิ จัดให้มีการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม รวมถึงการตรวจสอบกรรมสิทธิ์และการถือครองที่ดินทั้งประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหากรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินอย่างเป็นระบบ
การปฏิรูปประเทศจะเดินตามกฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนการปฏิรูปประเทศ ที่จะออกตามมาหลังมีประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ซึ่งอย่างน้อยต้องมีการจัดทำแผน การมีส่วนร่วมของประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขั้นตอนในการดำเนินการปฏิรูปประเทศ

ที่สำคัญได้กำหนดให้การปฏิรูปประเทศทุกด้าน ต้องกำหนดให้เริ่มดำเนินการปฏิรูปภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ

ผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวังว่าจะบรรลุในระยะเวลา 5 ปี

โดย พล.อ.ชูศักดิ์ เมฆสุวรรณ์ สปท. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ บอกกลางวงสัมมนาร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติว่า ร่างกฎหมายเริ่มต้นจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การบริหารราชการแผ่นดิน สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ทาง สปท.ได้สานงานต่อจาก สปช.เพื่อส่งไม้ต่อให้รัฐบาล
กฎหมายนี้เป็นขั้นตอนการจัดทำติดตามยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย ตรงกับแนวคิดของ พล.อ.ประยุทธ์ ครม.จึงมีมติให้จัดทำขึ้นมา ตอนนี้รอเวลาให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติประกาศใช้ รัฐบาลจะส่งร่างกฎหมายให้ สนช.พิจารณาออกเป็นกฎหมายต่อไป

เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ การแก้ไข พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 5 ปี เพียงแค่เสนอต่อรัฐสภา หากที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบก็สามารถแก้ไขได้

“ข้อกังวลของนักการเมืองที่เกรงว่า กฎหมายฉบับนี้จะบีบบังคับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นการกดดันการบริหารงานของรัฐบาลอย่างแน่นอน

เพราะกฎหมายเป็นเพียงแนวทางในการบริหารประเทศและตัวชี้วัดแบบกว้างๆ”

“ยุทธศาสตร์ชาติเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. กล่าวถึง ป.ย.ป.ที่ตั้งขึ้นมา

พร้อมมีความเชื่อมั่น ป.ย.ป.จะนำไปสู่การทำงานยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีหน้าที่บูรณาการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศในการสร้างความสามัคคีปรองดอง ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ นโยบายของ คสช.และ ครม.เป็นไปตามวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศในระยะยาวของนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำหนดจัดทำยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ตั้งแต่ปี 2560-2579 เพื่อพัฒนาประเทศ

และร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติได้กำหนดกรอบการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาล โดย ครม.จะต้องทำกฎหมายยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อกำหนดเป้าหมาย ระยะเวลาบรรลุเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ หลังจากนั้นจัดทำยุทธศาสตร์ชาติให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่กฎหมายยุทธศาสตร์ชาติใช้บังคับ

ทั้งหมดเดินตามโรดแม็ปที่วางเอาไว้

ฉะนั้นการสัมมนาครั้งนี้จะเป็นโอกาสดีเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับสมาชิก สนช. กมธ. และบุคลากรในรัฐสภา ได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นซึ่งกันและกัน เพื่อนำไปสู่การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ

ตามโครงสร้างของ ป.ย.ป. ทั้ง สนช. สปท.มีระบบการทำงานร่วมกัน หากคณะทำงานชุดใดมีนโยบายการปฏิรูปใดๆ เมื่อกลั่นกรองแล้วให้นำเสนอ ป.ย.ป.พิจารณาทันที เพื่อความรวดเร็วและเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปต่างๆ

และให้การทำงานของรัฐบาลเชื่อมโยงกัน การปฏิบัติบรรลุผล

เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ.
ทีมการเมือง ไทยรัฐ6/2/60

คอร์รัปชันถึงขั้นวิกฤติ

ภาพข่าวสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นประธานนำพระเถระจำนวน 500 รูป และพุทธศาสนิกชน สวดพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม อยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ

ทำให้สัมผัสได้กับความเข้มขลังของพระสงฆ์ที่น่าเลื่อมใส

เป็นความงดงามในกิจของอริยสงฆ์อย่างแท้จริง ที่ผุดขึ้นมากระตุกศรัทธา กลบกระแสความปั่นป่วนวุ่นวายในวงการพุทธจักรของไทยจากปัญหาของ “พระการเมือง” ที่ซาลงไป

เป็นอะไรที่รู้สึกได้ว่า วงการสงฆ์กำลังกลับคืนสู่ความสงบ

รับกับกระแสอันเป็นมงคลในห้วงใกล้วันพระใหญ่ “มาฆบูชา”

แต่ที่ยังวุ่นวายต่อเนื่อง ตามปรากฏการณ์ย้อนแย้ง บรรยากาศสวนทางกับโหมดปรองดอง

ล่าสุด พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำทับข้อมูลเองเลยว่า ตัวการโพสต์โซเชียลมีเดียขู่ฆ่า “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.กับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม

เป็นกลุ่มคนไทยที่หมิ่นสถาบันผ่านโซเชียลมีเดียในประเทศลาว

เพราะเหตุที่ได้รับผลจากการที่ทางการไทยเร่งรัดทางการลาวให้ช่วยติดตาม โดยทั้งหมดเป็นกลุ่มบุคคลที่มีรายชื่ออยู่แล้ว และแนวโน้มจะโดนเล่นงานตามกฎหมายอาญาที่เกี่ยวกับการข่มขู่ทำร้ายบุคคลสำคัญเพิ่มอีกข้อหาหนึ่ง

หน่วยข่าว สมช.คอนเฟิร์มข้อมูลอย่างเป็นทางการ

นั่นก็หมายถึงช่วยการันตีว่า ไม่ใช่ข่าวโคมลอย แบบที่มีเสียงถากถางพี่น้องบูรพาพยัคฆ์ปูดขึ้นมากลบกระแสในห้วงที่รัฐบาล คสช.กำลังเผชิญแรงเสียดทานรอบด้าน

อาการเหมือนรัฐบาลเลือกตั้งที่กำลังเผชิญภาวะศรัทธาแผ่ว

เลยต้องเล่นแต้มขอความเห็นใจ งัดมุกเรียกคะแนนสงสารกันตามฟอร์ม

เอาเป็นว่า ในอารมณ์ที่ขุนทหาร คสช.ต้องให้ความสำคัญกับคำขู่ฆ่าในโลกโซเชียล หยิบยกเอามาเป็นประเด็นใหญ่โต พูดกันอย่างเป็นการเป็นงาน

อีกนัยหนึ่งมันก็บ่งบอกความอ่อนไหวของสถานการณ์

ชักจะฝ่อกับแรงเสียดทานที่พุ่งเข้าใส่ทุกทิศทุกทาง

ปฏิรูป ปรองดอง คอร์รัปชัน นัวเนียพัวพันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน

แถมยังต้องมาเจอกับปมเศรษฐกิจล่าสุดที่กระตุกต่อมฉุน “นายกฯลุงตู่” หงุดหงิดอย่างแรงกับกระแสข่าวเงินคงคลังวูบเหลือแค่ 7.5 หมื่นล้านบาท ต่ำสุดในรอบหลายปี

ยืนยันเสียงแข็งสถานะการเงินการคลังไม่ได้อยู่ในขั้นถังแตก

ตามสถานการณ์แบบที่นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ต้องตั้งโต๊ะแถลงชี้แจงทันทีว่า เหตุที่ระดับเงินคงคลังในเดือนธันวาคม 2559 ที่ต่ำถึง 7.49 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเป็นการบริหารจัดการของกระทรวงการคลังที่ไม่ต้องการกู้เงินมากองไว้ จะได้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย

แม้จะต่ำกว่านี้กระทรวงการคลังยังมีวงเงินกู้ฉุกเฉินเพื่อรักษาสภาพคล่องอีก 8 หมื่นล้านบาท
ดังนั้น การที่เงินคงคลังไม่สูงมาก ทำให้ประหยัดดอกเบี้ยได้ถึง 2,000 ล้านบาท สามารถนำเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้

ต้องรีบกู้กระแสความมั่นใจกันหูตาเหลือก

เพราะมันเท่ากับซ้ำเติมภาวะความอ่อนไหวทางเศรษฐกิจ ที่ทีมงานของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ แบกโจทย์การบ้านหนักๆจนล้นบ่าแล้ว

แถมแนวโน้มที่หนักกว่าปมเงินคงคลังรัฐบาลถังแตก

นั่นก็คือเงื่อนสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่โยงกับปมคอร์รัปชันที่โยงมาจากสินบนข้ามชาติโรลส์รอยซ์ แบบที่ “ขุนคลัง” อย่างนายอภิศักดิ์จ่อเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ใช้มาตรา 44 ในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาของกระทรวงยุติธรรม

โดยลดโทษผู้ให้หรือถูกบังคับต้องจ่ายสินบน เหลือเพียงค่าปรับ และถูกทัณฑ์บนหากเปิดเผยหลักฐาน และระบุชื่อผู้เรียกรับสินบน เพื่อเอาผิดผู้สร้างความเสียหายแก่โครงการรัฐ

ต้องชงวิธีการปล่อยผีแลกจับโจร ท้าทายจริยธรรม ล้อเสียงต้าน เสียงโห่ฮา

เพราะถ้ายังไม่รู้สึกรู้สา ไม่ขยับให้เห็นการเอาจริงกับการปราบคอร์รัปชัน

ประเทศไทยเสี่ยงล้มละลายจาก “วัฒนธรรมโกง” ประจำชาติ.

ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ น.3(7/2/60)

เกิดจลาจลขึ้นในเมืองต่างๆ ของบราซิล

เกิดจลาจลขึ้นในเมืองต่างๆ ของบราซิล คนร้ายออกก่อการโดยอิสระ บางคนทำลายทรัพย์สินสาธารณะ บางคนเอาปืนมายิงคนเล่น บางคนบุกไปปล้นฆ่าข่มขืนผู้บริสุทธิ์ มิได้เกรงกลัวกฎหมาย
เหตุนี้สืบเนื่องจากวิกฤตการเงิน ทำให้รัฐบาลไม่มีปัญญาหาเงินมาสนับสนุนหน่วยงานรัฐเช่นสาธารณสุข การศึกษา และตำรวจ พวกข้าราชการเดือดร้อนมากเข้าก็ประท้วง เกิดเหตุเหล่าตำรวจบราซิลนัดสไตรค์ไม่ทำงานในสามสิบเมือง เพราะขาดรายได้
พอไม่มีตำรวจ โจรผู้ร้ายจึงออกมาไล่ก่อกรรมทำเข็ญโดยอิสระ เกิดเป็นความทุกเข็ญทั่วแผ่นดิน ไม่ใคร่มีใครกล้าลงพื้นที่ทำข่าวเพราะกลัวตาย สุจริตชนพากันหลบในบ้าน ที่ทำงานและโรงเรียนต้องหยุดหมด และข่าวสารที่เราทราบจากเหตุการณ์นี้ส่วนใหญ่มาจากสื่อโซเชียลเช่นทวิตเตอร์ของชาวบราซิลเอง
ปัจจุบันรัฐบาลได้ส่งทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ ซึ่งยังไม่ทราบจะบานปลายต่อไปหรือไม่ มีคนเรียกเหตุการณ์นี้ว่า "The Purge" เพราะคล้ายกับเนื้อเรื่องของหนังอเมริกันชื่อเดียวกัน

"บิ๊กป้อม" เผยรายชื่อ ปยป.ออกแล้ว

"บิ๊กป้อม" เผยรายชื่อ ปยป.ออกแล้ว รอเชิญประชุมนัดแรก /"ประเวศ-คณิต"ไม่ร่วม แต่มี"พลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์"อดีตผบสส.เพื่อนตท.6 ของ บิ๊กป้อม และนักวิชาการ "ปณิธาน-อเนก-สุจิต บุญบงการ-สุทธิพันธุ์ จิราธิวัฒน์"

ยัน 1 ใน6 ที่มาเลเซีย จับได้ เป็น BRN

"บิ๊กเจี๊ยบ" ยัน 1 ใน6 ที่มาเลเซีย จับได้ เป็น BRN มีหมายจับไทย ประสานขอตัว ไม่ยืนยัน เกี่ยว IS
‪พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.เผยว่า ทางการไทย ประสานมาเลเซีย ขอตัว 1ใน6 BRNที่มาเลเซียจับได้ ชี้มีหมายจับฝั่งไทย เชื่อต้องดำเนินคดีตามกม.มาเลเซียก่อน แต่ไม่มั่นใจว่า มาเลเซียจะส่งตัวให้เราหรือไม่
แต่ไม่ยืนยันว่า เชื่อมโยงกับกลุ่ม IS หรือไม่ เพราะความเกี่ยวข้องมีหลายระดับ อาจแค่มีแนวคิด‬ ที่รับมาจากการเผยแพร่ ผ่านโซเชี่ยลฯ แต่ยังไม่มีการยืนยัน ในระดับที่น่าเป็นห่วง เพราะเรามีการประสานกับเพื่อนบ้านในการดูแล ตามแนวชายแดนตลอด

"บทบาท ของชาติมหาอำนาจ ที่มีผลกระทบต่อการกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศไทย"



"บทบาท ของชาติมหาอำนาจ ที่มีผลกระทบต่อการกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศไทย"
"วิทยาลัยการทัพ"....บก เรือ อากาศ ระดมมันสมอง สัมมนาวิชาการ “บทบาทของชาติมหาอำนาจ ที่มีผลกระทบต่อการกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศไทย” เพื่อเตรียมพร้อมในการปรับตัวให้ทันกระแสโลก
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ นี้ พลเอกศุภกิจ นุตสถิตย์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประธานเปิดการสัมมนาวิชาการ เรื่อง บทบาทของชาติมหาอำนาจที่มีผลกระทบต่อการกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศไทย ที่สโมสรกองทัพบก
อันเป็นหนึ่งในกิจกรรมวิทยาลัยการทัพสัมพันธ์ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยในครั้งนี้วิทยาลัยการทัพบก เป็นเจ้าภาพและได้เชิญนักศึกษาหลักสูตรหลักประจำวิทยาลัยเสนาธิการทหาร สถาบันป้องกันประเทศ วิทยาลัยการทัพเรือและวิทยาลัยการทัพอากาศ กว่า 400 คนเข้าร่วมการสัมมนา
โดยมีหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยการกระทรวงศึกษาธิการ รองศาสตราจารย์ ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง พันเอกเศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติและนายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นวิทยากร
การสัมมนาในครั้งนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์ และการประเมินสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน เช่น ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ สถานการณ์การก่อการร้าย ภาวะเศรษฐกิจโลก แนวโน้มการแยกและแบ่งการปกครองตนเอง รวมทั้งท่าทีและบทบาทของประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย อังกฤษ อินเดีย ที่มีต่อเหตุการณ์เหล่านั้น
โดยมี พ.ต.หญิง ชลรัศมี งาทวีสุข พิธีกรช่อง5 คนดัง เป็นผู้ดำเนินรายการ

"บิ๊กเจี๊ยบ" เผยได้พบปะพูดคุยกับ บิ๊กแดงพลโท อภิรัชต์ แม่ทัพภาค1 มาโดยตลอด



ถึงกันตลอด.."บิ๊กเจี๊ยบ" เผยได้พบปะพูดคุยกับ บิ๊กแดงพลโท อภิรัชต์ แม่ทัพภาค1 มาโดยตลอด สื่อถึงกันทุกสัปดาห์ จึงรับทราบสถานการณ์ และงานทภ.1 มาตลอด ชี้บทบาทกองทัพภาคที่ 1 ในเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ ก็ทำได้ดี

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ตรวจเยี่ยมกองทัพภาคที่ 1 ทั้งในส่วนของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 (ศปก.ทภ1.) และกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) กองทัพภาคที่ 1 โดยมี บิ๊กแดง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาค 1 พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชา ในกองทัพภาค1 และผบ.หน่วยคุมกำลัง ให้การต้อนรับ และรับฟังนโยบาย จาก ผบ.ทบ.

พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ตนเอง ได้พบปะพูดคุยกับ พลโท อภิรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 1 มาโดยตลอด เรียกได้ว่าสื่อถึงกันทุกสัปดาห์ จนทำให้รับทราบสถานการณ์ และการบริหารงานในกองทัพภาคที่ 1 มาตลอด
ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 1 เป็นกำลังรบอันสำคัญของกองทัพบก โดยมีภารกิจปฏิบัติเช่นเดียวกับกองทัพภาคอื่นๆ ทั้งการป้องกันชายแดน การรักษาความมั่นคงภายใน การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ รวมทั้งภารกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับสงคราม และภารกิจที่ได้รับมอบหมายตามคำสั่ง

ขณะเดียวกันกองทัพภาคที่ 1 เป็นหน่วยทหารหลักที่มีที่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางบริหารราชการที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงเป็นหลัก

ซึ่งในรอบหลายปีที่ผ่านมา มีบทบาทกองทัพภาคที่ 1 ในเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศก็ทำได้ดี

อีกทั้งการสรุปการทำงานทุกกรอบงานก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย น่าชื่นชม ดังนั้น ผมขอขอบคุณกำลังพลทุกนาย ทั้งในสายสนามงานชายแดน งานภายในประเทศ และทุกกรอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
โดยเฉพาะการรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณโดยรอบพระบรมมหาราชวัง โดยทางกองทัพภาคที่ 1 ได้จัดตั้งกองอำนวยการร่วมรักษาความสงบเรียบร้อย (กอร.รส.) บริเวณโดยรอบพระบรมมหาราชวัง ในการดูแลทั้งเรื่องการประสานงาน การอำนวยความสะดวกพี่น้องประชาชน ซึ่งในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ผลการทำงานได้รับการชื่นชม และมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง

สำหรับสถานการณ์ในอนาคต นับแต่นี้ต่อไปพวกเราตระหนักว่ากองทัพบกเป็นกำลังหลักที่จะต้องดูแลความมั่นคงให้รัฐบาล เพื่อบริหารประเทศ ได้ตามแนวทางที่กำหนด ซึ่งการที่เป็นกำลังหลัก และทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 อย่าง คือ ปัจจัยที่ 1 ประชาชนส่วนใหญ่ต้องยอมรับ และเข้าใจ บทบาทการทำงานของกองทัพเป็นอย่างดี ซึ่งการที่ประชาชนจะยอมรับและเข้าใจ ต้องขึ้นอยู่ที่ตัวเราเองด้วยว่าต้องใช้อำนาจหน้าที่อย่างเป็นธรรมในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย และการรักษาความสงบเรียบร้อย รวมทั้งการจัดระเบียบสังคม ถ้าเราใช้อำนาจอย่างเป็นธรรมแล้ว ประชาชนก็จะยอมรับเองในที่สุด”

พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ใน ทำนองเดียวกันต้องเป็นที่พึ่งประชาชนด้วยทุกโอกาส เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งต้องทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผบ.ทบ.กล่าวว่า ปัจจัยที่ 2 พวกเราทุกคน ทุกหน่วยจะต้องมีความรักความสามัคคี มีความเป็นเอกภาพ และเป็นหนึ่งเดียวกัน

"ผมอยากให้พวกเราทุกคนต้องระลึกเสมอว่าทุกคนมาจากไผ่กอเดียว และเราเกิดจาก รากเหง้าเดียวกัน มีอุดมการณ์เดียวกัน คือ เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน
เพราะฉะนั้นถ้าพวกเราคิดเหมือนกันทั้ง 2 เรื่อง กองทัพบกจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี จนสามารถเป็นกำลังหลักของรัฐบาลในการบริหารประเทศได้อย่างมั่นคง"
/////////////
"เรามาจาก "ไผ่กอเดียวกัน"‬
‪บิ๊กเจี๊ยบ ผบ.ทบ.รบพิเศษ บุกถ้ำ "วงศ์เทวัญ-บูรพาพยัคฆ์" ขุมกำลังรบ กองทัพภาค1 ...ขอทหารเป็นหนึ่งเดียว รัก สามัคคี เป็น เอกภาพ เพราะเรามาจากไผ่ก่อเดียวกัน เกิดจากรากเหง้า เดียวกัน มีอุดมการณ์ แนวคิดอันเดียวกัน ทำเพื่อชาติ ศาสน์ พระมหากษัตริย์ และประชาชน เพื่อเป็นกำลังหลัก ในการสนับสนุนรัฐบาล ให้บริหารประเทศ ได้อย่างมั่นคง‬

บิ๊กแดง พลโท อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาค1 นำ ผบ.หน่วยคุมกำลังรบ ตบเท้า ยืดอก รับฟังโอวาท