PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ข่าว7/2/60

-โปรดเกล้าสังฆราช

"ประยุทธ์" เผย ในหลวงโปรดเกล้า "สมเด็จพระมหามุนีวงศ์" เป็นสังฆราชองค์ใหม่

            พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  กล่าวถึงการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชว่า ตนได้นำรายชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติดำรงตำแหน่งพระสังฆราช 5 องค์ ให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพิจารณา

และเมื่อคืนวันที่ 6 กุมภาพันธ์   ตนได้รับแจ้งว่าทรงโปรดเกล้าฯ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่  ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้ จะจัดงานพิธี

สถาปนาในวันที่ 12 กุมภาพันธ์  เวลา 17.00 น. ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนินไปประกอบพิธีตามพระราชประเพณี  

           พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่าจากนี้ขอให้อย่าขัดแย้งกันอีกเลย ที่เลือกมาก็ดูเรื่องการปฏิบัติงานและคุณสมบัติอื่น ที่สำคัญเป็นพระราชอัธยาศัยของพระองค์ที่ทรงพิจารณาเอง
----------
สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2470 ณ ตำบลบางป่า อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี โยมบิดาชื่อนายนับ ประสัตถพงศ์ โยมมารดาชื่อนางตาล ประสัตถพงศ์ ครอบครัว

ประกอบอาชีพค้าขาย เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเทวานุเคราะห์ กองบินน้อยที่ 4 ตำบลโคกกระเทียม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ. 2480 ณ วัดสัตตนารถปริวัตรวรวิหาร ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี โดยมีพระธรรมเสนานี (เงิน นนฺโท) เป็นพระอุปัชฌาย์[2]
ต่อมาได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2491 ณ พัทธสีมาวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระจินดากรมุนี (ทองเจือ จินฺตากโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์

ด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม สามเณรอัมพร ประสัตถพงศ์ ไปอยู่จำพรรษาที่วัดตรีญาติ ต.พงสวาย เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม พ.ศ. 2483 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี จากนั้น พ.ศ. 2484

สามารถสอบได้นักธรรมชั้นโทและ พ.ศ. 2486 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก และสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค เมื่อพ.ศ. 2488 สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค

เมื่อ พ.ศ. 2490 ได้ย้ายมาอยู่จำพรรษา ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยสมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตากโร) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระจินดากรมุนี นำมาฝากกับสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) สกลมหาสังฆปริณายก

ภายหลังอุปสมบทเมื่อ พ.ศ. 2491 ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักเรียนวัดราชบพิธฯ จน พ.ศ. 2491 สามารถสอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค และ พ.ศ. ๒๔๙๓ สามารถสอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค

ต่อมา เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นนักศึกษารุ่นที่ 5 จบศาสนศาสตรบัณฑิต เมื่อปี พ.ศ. 2500 และได้เดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยพาราณสี (Banaras Hindu University) ประเทศอินเดีย จบการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2512 ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี

ปี พ.ศ. 2552 สภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ถวายศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพุทธศาสตร์

ปี พ.ศ. 2553 สภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถวายปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาธรรมนิเท

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 ในการแถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรีที่ ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้มีพระราชโองการโปรดเกล้า ฯ สถาปนาสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 20 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ โดยเหลือเพียงแค่รอประกาศอย่างเป็นทางการ

สำหรับ ตำแหน่งปัจจุบัน สมเด็จพระสังฆราชเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร/กรรมการมหาเถรสมาคม/กรรมการคณะธรรมยุต/กรรมการเถรสมาคมคณะธรรมยุต/ที่ปรึกษาเจ้า

คณะภาค 14-15 (ธรรมยุต)/แม่กองงานพระธรรมทูต

สมณศักดิ์
พ.ศ. 2514 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระปริยัติกวี
พ.ศ. 2524 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชสารสุธี ศรีปริยัติวราทร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. 2533 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเมธาภรณ์ สุนทรธรรมานุนายก วิสุทธิสาธกสาธุกิจ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. 2538 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมเมธาภรณ์ สุนทรวาสนวงศวิวัฒ ศรีปริยัติกิจจานุกิจ ปาพจนวิภูษิตคุณาลงกรณ์ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. 2543 เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่ พระสาสนโสภณ วิมลญาณอดุลสุนทรนายก ตรีปิฎกธรรมาลังการภูษิต ธรรมนิตยสาทร ศาสนกิจจานุกร ธรรมยุติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. 2552 เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ พิพัฒนพงศ์วิสุต พุทธปาพจนานุศาสน์ วาสนวรางกูร วิบูลศีลสมาจารวัตรสุนทร ตรีปิฎกธรรมวราลงกรณวิภูษิต ธรรมยุตติกคณิสสร

บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี

////////////
-ปรองดอง-

นายกฯเข้าทำเนียบแล้ว เตรียมประชุม ครม.ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด -รมว.วัฒนธรรม เตรียมนำคณะเข้าพบ 

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาลในวันนี้ มีการประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ โดยล่าสุดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เดินทางเข้ามาที่ทำเนียบแล้วเพื่อเป็นประธานการประชุม ท่ามกลางมาตราการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยก่อนเริ่มต้นการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมนำคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลมาฆบูชา ประจำปี 2560 นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการยังได้นำคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน เพื่อจัดแสดงผลงานของนักเรียน นักศึกษาที่มีความเป็นเลิศอีกด้วย

ส่วนวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีที่น่าสนใจจะมีการพิจารณา ขยายระยะเวลามาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยการยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา (VISA on Arrival : VoA) เป็นการชั่วคราว สำหรับ 21 ประเทศ เพิ่มเติม 6 เดือน และ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จะรับทราบแนวทางการดึงดูดและแรงจูงใจผู้มีความรู้ความสามารถ คุณวุฒิพิเศษ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและมีศักยภาพเป็นที่ประจักษ์ เป็นพนักงานราชการศักยภาพสูง
-----------
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง
ซึ่งมีรายชื่อคนนอก ว่ารายชื่อคณะกรรมการส่วนใหญ่เป็นผู้บริหาร โดยในส่วนของของที่ปรึกษาและกรรมการก็จะเป็นคนนอก ซึ่งมีอยู่ประมาณ 40 คน แต่วันนี้ยังเปิดเผยไม่ได้ ทั้งนี้รายชื่อที่มาเป็นที่ปรึกษาและกรรมการ ทุกคนคุ้นเคยอยู่แล้ว ที่เอ่ยชื่อมาก็มีชื่อทั้งหมด ทั้งนักวิชาการและคนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูป ขอให้รอดูกัน เดี๋ยวจะเปิดเผยให้ดู แต่ปัญหาก็คือรายชื่อคณะกรรมการที่เขาเลือกมาแล้วหลายท่าน เขาบอกว่ามาไม่ได้ อย่างนายประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ท่านขอช่วยงานข้างนอก ซึ่งจะส่งคนมาทำงานตรงนี้แทน ส่วนนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มีรายชื่อเป็นที่ปรึกษาและกรรมการก็ใช่ทั้งหมด ซึ่งรายชื่อที่ปรึกษาจะนำไปอยู่ในส่วนของคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง และในส่วนของคณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ ส่วนเรื่องคนนอกเดี๋ยวคณะกรรมการเขาพิจารณาเอง ไม่ใช่ว่าเอาเขามาอยู่ตรงไหนแล้วทำตามนั้น เขาก็ต้องทำตามใจตัวเองด้วย
-----
"พล.อ.ประวิตร" เตรียมประชุม คกก.ปรองดอง ย้ำฟังทุกฝ่าย พร้อมจะพยายามทำให้ดีที่สุด ให้เสร็จทัน 3 เดือน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการดำเนินการภายหลังมีการประกาศรายชื่อคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ว่า หลังจากนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการอำนวยการนัดแรกให้เร็วที่สุดภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย กรรมการบูรณาการข้อคิดเห็น และกรรมการทำข้อตกลงร่วมกันตามขั้นตอน โดยจะให้ทางกองทัพร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และตำรวจ ลงพื้นที่รับฟังข้อคิดเห็นจากทั่วประเทศ มารวมกับแนวทางการสร้างความปรองดองที่เคยมีผู้จัดทำไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อกำหนดแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในอนาคต รวมถึงจะมีการทำข้อตกลงกับพรรคการเมืองเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาความขัดแย้งในอนาคต ซึ่งจะพยายามทำให้ดีที่สุด ให้เสร็จทัน 3 เดือน แต่ยังไม่ชัดเจนว่าข้อตกลงร่วมกันจะเสร็จทันหรือไม่ แต่ยืนยันว่าจะรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย รวมถึงพรรคการเมือง และเชื่อว่าทุกฝ่ายยินดีที่จะให้ความร่วมมือ

ส่วนผู้ที่จะมาร่วมในคณะกรรมการรับฟังความเห็นนั้น จะพยายามคัดเลือกผู้ที่มีความเป็นกลางให้มากที่สุด และแม้ว่านักวิชาการบางคน จะไม่ได้ร่วมเป็นกรรมการ แต่ก็จะมาช่วยงาน โดยไม่ขอเปิดรายชื่อ

--------
ผบ.ทบ.ไม่กังวลเรื่องโพสต์ข่มขู่นายกฯทางโซเชียล เร่งสอบสวนประสานประเทศเพื่อนบ้านขอตัว ยันไม่ปกป้องหากพบทหารโยงแก๊งค์"ไซซะนะ"

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีการข่มขู่ลอบสังหาร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผ่านทางโซเซียลมีเดีย ว่า เคยพูดไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยยืนยันว่า ในส่วนของการรักษาความปลอดภัยนั้น ทางกองทัพมีมาตราฐานตั้งแต่เริ่มต้นในการดูแลบุคคลสำคัญของประเทศ และส่วนตัวมองว่า เรื่องดังกล่าวไม่น่าเป็นห่วง หรือวิตกกังวล

ส่วนกรณีที่พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ระบุจากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มที่โพสต์ข้อความลักษณะดังกล่าวนั้น เป็นกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มที่หมิ่นสถาบัน ที่หลบหนีอยู่ใน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ก็ได้มีการติดตามและตรวจสอบมาอย่างต่อเนื่อง โดย รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้ติดต่อประสานงานเรื่องการส่งตัวผู้ร้ายข้มแดนไปแล้ว

นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงกรณีที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ปส.) ออกมาระบุว่า มีบุคคลมีสีในกองทัพเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการยาเสพติดของ นายไซซะนะ แก้วพิมพา ผู้ต้องหาคดียาเสพติดข้ามชาติชาวลาว ว่า หากเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานมา กองทัพก็จะช่วยดำเนินการให้ถึงที่สุด โดยจะไม่มีการปกป้องผู้กระทำผิดใด ๆ ทั้งสิ้น พร้อมกวดขันเจ้าหน้าที่กำลังพลตามแนวชายแดน ให้เข้มงวดในการตรวจตรา เพื่อป้องกันการขนถ่ายยาเสพติด และการเข้า-ออกประเทศของบุคคล
-------------
ผบ.ทบ. ให้โอวาทกำลังพล ทภ.1 ชื่นชมปฏิบัติภารกิจได้ดี กำชับรักษาความมั่นคงตามนโยบายที่รัฐบาล

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวให้โอวาทแก่กำลังพลในสังกัดกองทัพภาคที่ 1 โดยขอบคุณกำลังพล ที่ช่วยกันปฏิบัติภารกิจอย่างเรียบร้อย โดยเฉพาะการรักษาความสงบเรียบร้อยรอบพระบรมมหาราชวัง ที่ได้รับการชื่นชม ทั้งการประสานงาน และการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่เดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพ ในพระบรมมหาราชวัง อย่างมีประสิทธิภาพ

พร้อมยังได้กำชับให้กำลังพลของกองทัพบก เป็นกำลังหลักในการรักษาความมั่นคงของประเทศ ตามแนวทางนโยบายที่รัฐบาล สร้างการยอมรับและเข้าใจ การทำงานของกองทัพแก่ประชาชน ทั้งการใช้อำนาจอย่างเป็นธรรมในการรักษาความสงบเรียบร้อย และจัดระเบียบสังคม รวมทั้งการเป็นที่พึ่งให้ประชาชนตามกรอบกฎหมาย และขอให้กำลังพลทุกหน่วย มีความสามัคคี เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ะประชาชน
--------------
"วัชระ" ค้านรายชื่อ ป.ย.ป. หากมี "เลขาฯ ศาล" ร่วมเป็นกรรมการด้วย ชี้ไม่เหมาะสม หวั่นสร้างความสับสนให้กับประชาชน 

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงรายชื่อคณะกรรมการ ป.ย.ป. ที่มีการเผยแพร่ในขณะนี้ ซึ่งปรากฏตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ในคณะกรรมการเตรียมการเพื่อการสร้างความสามัคคีว่า เป็นเรื่องไม่เหมาะสม ไม่ควรมีหน่วยงานของฝ่ายตุลาการเข้าไปเกี่ยวข้องในคณะกรรมการชุดนี้เพราะเป็นเรื่องทางการเมือง เพราะอาจถูกครหาว่าก้าวก่ายหรือแทรกแซงของฝ่ายตุลาการได้ อีกทั้งยังเป็นห่วงภาพลักษณ์ของศาลยุติธรรม ที่ประชาชนอาจเข้าใจว่า เลขาธิการเป็นตัวแทนศาลยุติธรรม แม้ว่าความจริงจะไม่ใช่ตาม ส่วนตัวจึงไม่เห็นกับเรื่องนี้ เพราะเป็นสิ่งไม่จำเป็น และอาจสร้างความสับสนต่อสังคม เพราะการพิจารณาอรรถคดีของศาลต้องเป็นไปตามหลักนิติรัฐและนิติธรรม รัฐบาลจะไปก้าวก่ายแทรกแซงไม่ได้
------------------
"สุเทพ" ไปศาล ฟังไต่สวนพยานคดีกบฏ ยันพร้อมหนุนรัฐบาลทุกเรื่อง แต่ไม่เห็นด้วยหากนิรโทษเพื่อความปรองดอง 

เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปท.) พร้อมแกนนำ กปปส. ที่ถูกกล่าวหาในคดีกบฏ เดินทางไปยังศาลอาญา เพื่อรับฟัง
การไต่สวนสืบพยานฝ่ายโจทก์ โดย นายสุเทพ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเรื่องการสร้างความปรองดองของรัฐบาล ที่พยายามจะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้กับประชาชนในชาติ โดยระบุ
พูดไปแล้ว และไม่ขอพูดมากไปกว่าจุดยืนที่เคยพูดไว้ คือพร้อมที่จะสนับสนุนรัฐบาลในทุกด้าน และอยากให้รัฐบาลเร่งเดินหน้าเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองให้ชัดเจนก่อน

ทั้งนี้ นายสุเทพ ยืนยันว่า ต้องการให้ประชาชนคนไทยทุกคนเคารพ และปฏิบัติตามกรอบของกฎหมายบ้านเมือง ยืนยันคดีความต่าง ๆ จะสู้คดีความตามกระบวนการยุติธรรม และส่วนตัวก็ไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับกรณีการยกเว้นโทษนิรโทษกรรมหรือการลบล้างความผิดให้กับผู้ที่กระทำผิดกฎหมายเพื่อความปรองดอง
------------
///////////////
-รัฐธรรมนูญ

กรธ. คุยผู้แทนศาลประเด็นเนื้อหา พ.ร.ป.วิธีพิจารณาคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ไม่ยืดนัดอายุความให้ พิจารณาลับหลังแทน เตรียมเปิดเวทีอีกครั้งต้น มี.ค. นี้

นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า จากการเชิญผู้แทนของศาล หารือเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.ป.) วิธีพิจารณาคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว บางเรื่องมีความเห็นสอดคล้องกัน บางเรื่องก็จะต้องมีการปรับแก้ไขตัวร่างอีกเล็กน้อย ซึ่งถือว่ามีความคืบหน้าพอสมควร เช่นเรื่องการนับอายุความที่จะไม่ให้ยืดออกไป

เพราะหากยืดเวลาไป อาจทำให้หลักฐานเสียหาย สูญหายได้ และใช้การพิจารณาคดีลับหลังแทน ในกรณีผู้ถูกกล่าวหาไม่มาศาล หรือหลบหนี ซึ่งส่วนใหญ่เห็นตรงกัน ดังนั้นหลังจากนี้จะมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นอีกครั้ง ในช่วงต้นเดือน มี.ค. นี้ ก็น่าจะได้ข้อมูล ข้อเสนอแนะ จากฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นและมีข้อสรุปทั้งหมดที่ชัดเจนขึ้น

พร้อมกันนี้ โฆษก กรธ. ยังกล่าวว่า จากการลงพื้นที่ จ.อุดรธานี ขณะนี้อนุกรรมการกำลังเร่งสรุปประเด็นต่าง ๆ เพื่อเตรียมนำเข้าสู่ที่ประชุมเมื่อถึงเวลาพิจารณา ในเรื่องดังกล่าวด้วย รวมถึงเพื่อนำไปเป็นข้อมูลสำหรับการลงพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ด้วย ส่วนวันนี้จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ค้างไว้จากสัปดาห์ก่อนต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ยังเปิดเผยทิ้งท้ายว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ส่งร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญ มาให้แล้วเช่นกัน
---------
"นรชิต" แจง กรธ. ยังไม่ได้ข้อสรุปนับอายุความ คดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง ยังไม่ชัดเปิดให้อุทธรณ์กรณีใดบ้าง

นายนรชิต สิงหเสนี โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงการเชิญตัวแทนของศาลยุติธรรมมาให้ความเห็น ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองการ เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ว่า มีหลายประเด็นที่ กรธ. สอบถามเพื่อขอทราบรายละเอียดต่อการเขียนเนื้อหาในร่างกฎหมายดังกล่าว ว่า ควรปรับหรือต้องแก้ไขอย่างไรหรือไม่ และสอบถามถึงเจตนารมณ์ที่ได้บัญญัติไว้ในมาตราต่าง ๆ โดยสาระที่สำคัญเกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีผู้เสนอให้คดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องไม่มีอายุความ หรือยืดอายุความคดีให้นานที่สุด แต่ที่ประชุมยังไม่มีข้อสรุปในประเด็นนี้ เพราะพิจารณาข้อเท็จจริงพบว่าการยืดอายุความหรือการทำให้คดีไม่มีอายุความจะกระทบต่อการไต่สวน เช่น การไต่สวนบุคคลที่หากยืดอายุความของคดีอาจจะกระทบกับความทรงจำหรือการมีชีวิตอยู่ของผู้ที่จะให้ข้อมูลได้ หรือกรณีที่ต้องใช้การสืบจากเอกสาร ซึ่งโดยราชการจะมีข้อจำกัด คือเก็บเอกสารไว้ในระยะหนึ่งเท่านั้น เป็นต้น

ทั้งนี้ นายนรชิต กล่าวว่า ในกรณีการให้สิทธิ์อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกานั้น ที่ประชุมยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน จะให้ผู้ที่ถูกตัดสินมีสิทธิ์อุทธรณ์ได้ กรณีใดบ้าง ทั้งกรณีข้อเท็จจริงใหม่หรือข้อกฎหมาย แต่ในชั้นนี้การตัดสินหรือการมีคำสั่งของผู้พิพากษาศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง ซึ่งเป็นผู้พิพากษาระดับสูงแล้ว การอุทธรณ์ในข้อกฎหมายอาจจำเป็นน้อยกว่า ประเด็นข้อเท็จจริงที่มีเข้ามาใหม่

/////////////
-ทุจริต
------
"วัฒนา" FB ตั้งข้อสังเกต รัฐดันยทุรังขยายสัญญาให้เอกชนเพื่อใคร พร้อมยกข้อมูลหักล้างข้ออ้าง รมว.คลัง - กรมธนารักษ์

นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Watana Muangsook" ตั้งข้อสังเกตการขยายสัญญาให้กับเอกชนของรัฐบาล ว่า "ดันทุรัง" เป็นคำวิเศษณ์ ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 แปลว่า "ดื้อดึงไม่ยอมแพ้ ดื้อดึงไม่เข้าเรื่อง" อันเป็นพฤติกรรมของรัฐบาลที่หลีกเลี่ยงกฎหมายร่วมทุน ขยายอายุสัญญาและอนุมัติให้เอ็น ซี ซี เป็นผู้ลงทุนก่อสร้างศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์หลังใหม่ โดยไม่มีการแข่งขัน พร้อมอธิบายว่า เหตุผลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและอธิบดีกรมธนารักษ์ ในการชี้แจงนั้น เป็นคำแก้ตัวที่รับฟังไม่ขึ้น เพราะการที่เอกชนก่อสร้างโรงแรมไม่ได้ ติดผังเมืองของ กทม. ทำให้การชำระหนี้รายนี้ตกเป็นพ้นวิสัยโดยไม่ใช่ความผิดของใครทั้งสิ้น เอกชนจึงไม่สามารถฟ้องกรมธนารักษ์ได้ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 14493/2557 ความเสี่ยงที่กังวลจึงไม่มีฐานทางกฎหมายรองรับ, ข้อเสนอที่จะลงทุนตามโครงการเดิมจึงสิ้นสุดลงโดยไม่ต้องยกเลิกสัญญา เพราะตกเป็นพ้นวิสัย การลงทุนครั้งนี้จึงเป็นการลงทุนใหม่เพื่อก่อสร้างศูนย์ประชุมหลังใหม่แทนของเดิมที่จะถูกรื้อทิ้ง ซึ่งจะต้องยื่นแบบและขออนุญาตก่อสร้างใหม่ทั้งหมด, ที่กฤษฎีกาและอัยการสูงสุดตอบว่าการแก้ไขสัญญาทำได้หากไม่ทำให้รัฐเสียประโยชน์ก็ถูกต้องแล้ว แต่จะต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมาย เรื่องนี้อยู่ภายใต้บังคับของ พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ซึ่ง กรมธนารักษ์ จะต้องออกประกาศเชิญชวนให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน ส่วนการคัดเลือกจะ ไม่ใช้วิธีประมูลก็เป็นขั้นตอนภายหลังจากมีการประกาศเชิญชวนแล้ว และหากมั่นใจว่าเอกชนรายนี้เสนอประโยชน์สูงสุดให้รัฐแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะไม่ว่าจะเปิดให้มีการแข่งขันอีกกี่รอบเอกชนรายนี้ก็ต้องชนะอยู่ดี ที่สำคัญคือระยะเวลาตามสัญญาเดิมยังเหลืออยู่อีกหลายปี จึงมีเวลามากพอที่จะทำทุกอย่างให้ถูกต้องและโปร่งใสเพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐ แล้วจะรีบดันทุรังหาเรื่องเลี่ยงบาลีไปเพื่อใคร
--------------
"สามารถ" FB ไม่เห็นด้วย กทม. ประกาศยกเลิก BRT ขอทบทวนใหม่ แนะปรับปรุงการให้บริการ มั่นใจแก้ปัญหาขาดทุนได้ แน่นอน 

นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์" ว่า ยกเลิกบีอาร์ทีคิดดีแล้วหรือ เพราะพลันที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ประกาศยกเลิกให้บริการรถประจำทางด่วนพิเศษ หรือ บีอาร์ที ได้มีเสียงสะท้อนในเครือข่ายสังคมมากมาย ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่จะให้ยกเลิก พร้อมทั้งตำหนิการบริหารจัดการเดินรถของ กทม. ในฐานะผู้ริเริ่มทำโครงการเมื่อปี พ.ศ.2548 สมัยดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้ทำจนจบ หลังจากพ้นตำแหน่งรอง ผู้ว่าฯ กทม. แล้วทราบว่ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบโครงการบางประการ

ไม่เป็นไปตามแนวคิดที่ได้วางไว้ ทำให้ประสิทธิภาพของบีอาร์ทีลดลงเมื่อเปิดให้บริการในปี พ.ศ.2553
บีอาร์ที มีผู้โดยสารเฉลี่ยในวันทำการในปี พ.ศ.2559 ถึง 23,427 คนต่อวัน ถือว่ามากกว่าผู้โดยสารของบีอาร์ทีในต่างประเทศหลายเมือง ที่สำคัญ มีจำนวนผู้โดยสารพอ ๆ กับรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - เตาปูน ในขณะที่ค่าสร้างบีอาร์ทีถูกกว่าค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงถึงประมาณ 20 เท่า เมื่อดูผลประกอบการ ปรากฏว่าบีอาร์ทีขาดทุนเพียงแค่ประมาณ 500,000 บาทต่อวัน ในขณะที่รถไฟฟ้าสายสีม่วง ขาดทุนถึงประมาณ 3.5 ล้านบาทต่อวัน หาก กทม. อ้างการขาดทุนเป็นเหตุผลสำคัญในการยกเลิกบีอาร์ที ขอถามว่าเหตุใดการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จึงไม่ยกเลิกรถไฟฟ้าสายสีม่วง เหตุใดองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จึงไม่ยกเลิกการให้บริการถเมล์ หรือเหตุใดการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จึงไม่ยกเลิกการให้บริการรถไฟ เนื่องจากหน่วยงานเหล่านี้ต้องแบกภาระการขาดทุนหนักกว่า กทม. หลายเท่า

ทั้งนี้ นายสามารถ ระบุอีกว่า น่าเสียดายที่ กทม. ยกเลิกบีอาร์ทีโดยไม่คำนึงถึงข้อคิดเห็นของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ที่ไม่ได้ต้องการให้ยกเลิก แต่เสนอแนะให้ปรับปรุงการให้บริการให้ดีขึ้น เพราะตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 59 เป็นต้นมา กทม. ได้ปรับอัตราค่าโดยสารจากเดิม 5 บาทตลอดสาย เป็นการเก็บตามโซนหรือพื้นที่โดยมีค่าโดยสาร 2 อัตรา คือ 5 บาท และ 10 บาท ปรากฏว่า กทม. สามารถเก็บค่าโดยสารได้เพิ่มขึ้นถึง 27% ทำให้การขาดทุนลดลง

ดังนั้น การยกเลิกบีอาร์ทีเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุดของ กทม. เพื่อป้องกันปัญหา ที่เกรงว่าจะมาถึงตัวผู้รับผิดชอบ หากไม่ยกเลิก แต่จะเป็นทางเลือกที่ยากที่สุดของหน่วยงานอื่นที่ต้องการจะประยุกต์ใช้บีอาร์ทีในหัวเมืองหลักในภูมิภาค ดังนั้น ต่อจากนี้ การแก้ปัญหาจราจรก็จะมุ่งไปที่รถไฟฟ้าเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใด มีประชากรมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ทำให้เป็นการลงทุนมากเกินตัว ด้วยเหตุนี้ ก่อนถึงวันที่ 30 เม.ย. อยากขอให้ กทม. ทบทวนอีกครั้งหนึ่ง หากมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงบีอาร์ที มั่นใจว่า กทม. จะสามารถลดการขาดทุนได้แน่
/////////
-เงินคงคลัง-

นายกฯ อยากให้ทุกโรงเรียนมีเด็กเก่ง ช่วยคิดตัวเลขเงินคงคลังของรัฐบาล ฝากสื่อช่วยเรื่องปฏิรูปการศึกษา - ด้าน พล.อ.ประวิตร รอคุย คกก. ปรองดอง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นำคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจำปี 2560 ขณะเดียวกัน นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นำคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดแสดงผลงานของนักเรียน นักศึกษาที่มีความเป็นเลิศ พร้อมโชว์ทักษะคิดเลขเร็วให้นายกรัฐมนตรีรับชม ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อยากให้ทุกโรงเรียนเก่งแบบนี้เหมือนกันทั้งหมด และอยากให้เด็กมาช่วยคิดเลขบวก ลบ คูณ หาร ตัวเลขเงินคงคลังของรัฐบาลด้วย

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวกับเด็กและเยาวชนที่เข้าพบวันนี้ว่า ดีใจมากวันนี้ที่ได้พบกับทุกคน พร้อมขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจ เพราะการศึกษาสำคัญที่สุด และทุกคนถือเป็นความหวังของตนเอง จากนั้นมีเด็กและเยาวชน ได้เข้ามาขอถ่ายรูปพร้อมขอลายเซ็นจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งก่อนขึ้นประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า ฝากสื่อเรื่องการปฏิรูปการศึกษา เพราะมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการ และที่ผ่านมา ได้มีการดำเนินการแก้ไขเรื่องบุคลากรครู หลักสูตร ข้อสอบ และการประเมินผล ซึ่งในวันนี้เน้นในเรื่องของระบบไอทีมาช่วยในการสอนเพื่อให้เด็กทุกคนเข้าถึงและมีระบบ E-lreaning เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ขณะเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการสร้างความสามัคคีปรองดอง ซึ่งเป็นคณะกรรมการย่อยของคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) จะประชุมภายในสัปดาห์นี้หรือไม่ว่า ยังไม่ทราบ ขอดูก่อน
-------------
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง คาดหุ้นไทยปีนี้เคลื่อนไหวถึง 1,650 จุด

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยนั้น หากมีการประเมินแล้วโดยรวมยังมีความโดดเด่นในส่วนของภูมิภาค องค์ประกอบด้านเศรษฐกิจภายในประเทศหลาย ๆ ด้านยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ทั้งในส่วนของภาคการท่องเที่ยว การใช้จ่ายภาครัฐและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อีกทั้งการบริโภคภายในประเทศมีมากกว่าร้อยละ 50 ในส่วนของการส่งออก ที่มีประมาณ ร้อยละ 10

ทั้งนี้ ยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยยังคงมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะหลายฝ่ายมองและมีความกังวลในเรื่องของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายด้านต่าง ๆ ที่จะส่งผลต่อความเสี่ยง หลายประเทศอย่างโดยเฉพาะจีน รวมถึงในส่วนของประเทศไทยด้วย ทั้งนี้ เชื่อว่าผลกระทบต่าง ๆ จะเกิดในระยะสั้นเท่านั้นและยังเชื่อมั่นว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ จะสามารถบริหารนโยบายด้านเศรษฐกิจให้ดำเนินไปในทางที่ดีได้

ขณะที่แนวโน้มทิศทางของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ มีแนวโน้มที่จะเติบโต ไปถึงกรอบ 1,650 จุดได้ แต่ ยังคงมีความเสี่ยงและความผันผวนมากระทบ ต่อความเคลื่อนไหวของดัชนีในตลาดหุ้นเป็นระยะ ๆ ทางปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ
--------
ประธาน ส.อ.ท. มอง เงินคงคลังของประเทศลดลง ไม่น่ากังวล ชี้เงินมากไปไม่ใช่เรื่องดี ต้องอยู่ในระดับเหมาะสม

จากกรณีที่เงินคงคลังของประเทศคงเหลือ 74,000 ล้านบาท นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมเเห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. เปิดเผยว่า เงินคงคลังในระดับดังกล่าว ไม่ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจ เพราะการบริหารเงินคงคลังนั้น มีจำนวนมากเกินไปหรือมีน้อยเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่ควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม มีเพียงพอที่จะใช้จ่ายกรณีฉุกเฉิน ช่วงภัยภิบัติโดยไม่ต้องรอการพิจารณาจากสภาเป็นเวลานาน

อย่างไรก็ตาม เห็นว่า จำนวนเงินคงคลัง ไม่ได้มีการเชื่อมโยงกับฐานะการเงินของประเทศ โดยเงินตราสำรองระหว่างประเทศของไทยยังถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง จึงไม่อยากให้หลายฝ่ายกังวลจนเกินไป
--------
"พิชัย" ชี้ ปัญหาเงินคงคลังอาจแสดงถึงปัญหาประสิทธิภาพการบริหารเศรษฐกิจ ย้ำ ข้อมูลถึงนายกฯ ผิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่มีรายงานข่าวเงินคงคลังลดลงจาก 200,000 ล้านบาท เหลือเพียง 74,907 ล้านบาทนั้น ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัส ถ้ารัฐบาลยังไม่มีแผนงานจะใช้เงินในช่วงนี้ แต่ปริมาณเงินคงคลังที่ต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปี แสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการเงินคงคลังที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ได้มีการประมาณรายรับรายจ่ายของรัฐบาลให้ดีเพียงพอ โดยหากมองย้อนหลังจะพบว่ารัฐบาลไม่ได้มีการเตรียมพร้อมในทิศทางเศรษฐกิจ แต่พยายามจะหลอกตัวเองว่าเศรษฐกิจดี

ทั้งนี้ นายพิชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลยังเร่งออกมาตรการแจกเงินและอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงเป็นผลทำให้เงินคงคลังลดลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจที่แย่ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถเก็บภาษีได้อย่างที่ประมาณการไว้ ทำให้ปริมาณเงินคงคลังลดลง อีกทั้งแสดงถึงระบบการให้ข้อมูลของรัฐบาลที่ไม่ถูกต้องมาโดยตลอด โดยเฉพาะข้อมูลที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรี  ซึ่งหากผู้นำสูงสุดของประเทศยังมีข้อมูลเศรษฐกิจที่ไม่ถูกต้อง จะทำให้แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้อย่างแน่นอน
-----------
"สุรพงษ์" ฝากการบ้านนายกฯ ทบทวนเรื่องงบประมาณใหม่ ทุกโครงการต้องศึกษาว่าจุดคุ้มทุน หรือคืนทุนอยู่ตรงไหน

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกรทะรวงต่างประเทศ กล่าวว่า ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี รัฐบาล คสช. ได้จัดทำงบประมาณแบบขาดดุลทุกปี และยังทำงบประมาณกลางปีเพิ่มเติมอีก 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งทำให้ขาดดุลเพิ่มขึ้นจนเงินหมด และนำเงินในคลังที่เก็บสะสมออกมาใช้จ่ายอีก เท่ากับรายได้ไม่มี มีแต่รายจ่าย และรายจ่ายที่เกิดขึ้นก็เป็นรายจ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ จึงอาจเรียกว่า เริ่มจะถังแตก ถึงขั้นต้องทุบกระปุกนำเงินออกมาใช้ ดังนั้นโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะหยิบขึ้นมาทำก็น่าที่จะต้องศึกษากันใหม่ ว่า จุดคุ้มทุนหรือจุดคืนทุนนั้นอยู่ตรงไหน เปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่

ทั้งนี้ นายสุรพงษ์ ยังกล่าวว่า ในหลาย ๆ รัฐบาลได้มีการหาแนวทางในการลดค่าใช้จ่ายประจำ ซึ่งนับวันยิ่งสูงขึ้น ทั้งเงินเดือน สวัสดิการ ค่ารักษาพยาบาล บำเหน็จบำนาญ ฯลฯ แต่วันนี้กลับเดินมาซ้ำรอยเดิม สนช. ที่ควรจะทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการคณะต่าง ๆ ในรัฐสภา ที่ควรจะศึกษาหาข้อมูลเพื่อเสนอแนะหรือท้วงติง คัดค้านการทำงานของรัฐบาล คสช. ตลอดเวลาเกือบ 3 ปี คาดว่าคงจะไม่ได้ทำหน้าที่เท่าที่ควร ที่จะกล้าเสนอแนะท้วงติงรัฐบาล คสช. เพราะอาจจะเกรงใจหัวหน้า คสช. ถ้าจะให้ดีต้องหาคนมีความรู้ขึ้นมาทำหน้าที่โดยเร็วหรือไม่ก็ต้องรีบปรับ ครม. ชุดใหม่อีกรอบ ก่อนที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สภาวะล้มละลายหรือหนี้สินล้นพ้นตัว จึงขอฝากถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำไปคิดเป็นการบ้านโดยด่วน
---------------
คณะกรรมการเฟด แสดงความเห็น หนุนขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ อิงตัวเลขจ้างงานที่เพิ่งเผิดเผย

สำนักข่าว รอยเตอร์ส รายงาน นายแพทริค ฮาร์เกอร์ ประธานเฟด ฟิลาเดลเฟีย (FOMC Voter) ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยสนับสนุนการปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปีนี้

นาย ฮาร์เกอร์ บอกว่า เฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน มี.ค. (considered as a potential increase) โดยประเมินว่าภาคการจ้างงานสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขการจ้างงานที่ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังแสดงความมั่นใจต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงการขยายตัวของอัตราค่าจ้างในช่วงที่ผ่านมาอีกด้วย

ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญเป็นหลักในการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินต่อไป ทั้งนี้ ฮาร์เกอร์ กล่าวถึงกฎระเบียบ ในธุรกิจด้านฟินเทค โดยมองว่า การกำหนดกฎระเบียบในด้านดังกล่าวเป็นสิ่งที่จำเป็นและควรเริ่มดำเนินการก่อนเกิดวิกฤติเพื่อให้การพัฒนาด้านนวัตกรรมสามารถขยายตัวต่อไปได้

///////////////
-ไซซะนะ

รอง ผบช.ปส. เผย เตรียมเชิญ "ไผ่ วันพอยท์" - อดีตทายาทนักการเมือง และเจ้าของเต็นท์รถ รวม 4 คน สอบปมลัมโบร์กินี

พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบความเชื่อมโยงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง กรณีเส้นทางของรถลัมโบร์กินี ที่อยู่ในความครอบครองของ นายอัครกิตติ์ ว่า วันนี้พนักงานสอบสวน ได้ประสานเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องกับที่มาของรถลัมโบร์กินี เพื่อสอบถามข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดี โดยในจำนวนบุคคลดังกล่าว มีรายชื่อของ นายไผ่ ลิกค์ หรือ ไผ่ วันพอยท์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการรถแข่ง และเป็นทายาทอดีตนักการเมือง ซึ่งขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างติดต่อเพื่อมาให้ข้อมูล

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าว มีรายงานว่า นอกเหนือจาก นายไผ่ ลิกค์ ที่เจ้าหน้าที่จะเชิญมาให้ข้อมูลแล้ว ยังมีทายาทอดีตนักการเมืองอีก 2 คน และเจ้าของเต็นท์รถอีก 1 คน ที่ขายรถให้กับ นายเบนซ์ เจ้าหน้าที่จะเชิญมาสอบถามถึงความเชื่อมโยง รวมถึงเอกสารต่าง ๆ ในการทำธุรกรรมด้วย
-------------
รอง ผบช.ปส. เผย เชิญ "ไผ่ วันพอยท์" และเจ้าของเต็นท์รถย่านพระราม 3 สอบ ปมรถลัมโบร์กินี "เบนซ์ เรซซิ่ง" ขู่ออกหมายเรียกหากเบี้ยวพบวันนี้

พล.ต.ต.ชาตรี ไพศาลศิลป์ รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด หรือ รอง ผบช.ปส. เปิดเผยว่า วันนี้พนักงานสอบสวนได้ประสานเชิญ นายไผ่ ลิกค์ หรือ ไผ่ วันพอยท์ ทายาทอดีตนักการเมือง พร้อมด้วยเจ้าของเต็นท์รถยนต์ย่านพระราม 3 ที่ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง ซื้อรถยนต์ลัมโบร์กินี และเจ้าของทะเบียนรถยนต์ ในจ.ลำพูน รวม 3 คน มาให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ในฐานะพยาน โดยเจ้าหน้าที่จะสอบถาม นายไผ่ ลิกค์ หรือ ไผ่ วันพอยท์ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ นายณัฐพล นาคคำ หรือ บอย เพราะ นายบอย อ้างว่ารู้จักกับ ไผ่ วันพอยท์

ทั้งนี้ รอง ผบช.ปส. ระบุว่า หลังจากพนักงานสอบสวน ได้ติดต่อกับผู้ประสานงานของทั้ง 3 คน แล้ว ได้รับการยืนยันว่า ไม่สามารถติดต่อกับทั้ง 3 คนได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะให้เวลาตลอดทั้งวันนี้ หากทั้ง 3 คน ยังไม่มาพบพนักงานสอบสวน จำเป็นต้องออกหมายเรียกในวันพรุ่งนี้

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ นายเบนซ์ นั้น ล่าสุดยังไม่ได้นำเอกสาร หลักฐาน มายื่นเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน แต่อย่างใด และเตรียมที่จะเชิญมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีก ช่วงกลางเดือน ก.พ. นี้
---------------
ผบช.ปส. เผย อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานยึดรถหรูอีกกว่า 20 คัน เชื่อมโยงเครือข่ายยาเสพติดไซซะนะ พบข้อมูลเส้นทางยาเสพติดไปไกลถึงสหรัฐฯ โดยใช้ไทยเป็นทางผ่าน

พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กล่าวถึงกระแสข่าวในโซเชียลมีเดียที่โจมตีการทำงานของตำรวจไทย กล่าวหาว่าไม่มีหลักฐานกรณีจับกุมนายไซซะนะ แก้วพิมพา นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ และอาจหลุดคดีหากต่อสู้ในชั้นศาลว่า เป็นความเห็นของคนทั่วไปที่อาจไม่เข้าใจการทำคดี ซึ่งตำรวจกำลังขยายผลจากการจับกุมและยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ส่วนการอายัดรถลัมโบร์กินี ของ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง มาตรวจสอบนั้น เป็นเพียง 1 ในรถเป้าหมาย แต่ยังมีรถยนต์ซูเปอร์คาร์ รุ่นท็อป ที่มีราคามากกว่า 20 ล้านบาท อีกกว่า 20 คัน ที่อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานอายัดมาตรวจสอบอีกเร็ว ๆ นี้

ผบช.ปส. กล่าวยืนยันว่า การทำคดีนี้มีพยานหลักฐานชัดเจน ไม่กลัว และตอบคำถามสังคมได้ว่าตำรวจไทยมีไว้ทำไม และที่ผ่านมามีการประสานข้อมูลกับ สปป.ลาว อย่างใกล้ชิด พร้อมลงพื้นที่ภาคใต้หารือกับทหารได้เบาะแสเพิ่มเติมจำนวนมาก และประสานทางการมาเลเซียติดตามจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายนี้เพิ่มเติมด้วย ส่วนจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อความไม่สงบทางภาคใต้หรือไม่ เป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง

นอกจากนี้ พล.ต.ท.สมหมาย ยืนยันการทำงานของตำรวจปราบปรามยาเสพติดไม่ใช่การทำงานแบบฉาบฉวย แต่จะทำงานไปจนกว่าจะเกษียณอายุราชการ และมีการประสานข้อมูลเชิงลึกและลงพื้นที่หาข่าวอย่างต่อเนื่อง จนพบเส้นทางลำเลียงยาเสพติดที่ส่งไปยังประเทศที่สาม ทั้งมาเลเซีย ออสเตรเลีย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านด้วย
--------------
"ไผ่ วันพอยท์" พบตำรวจ ปส. แจงที่มาลัมโบร์กินี ยืนยัน ไม่รู้จัก "เบนซ์- บอย" เป็นการส่วนตัว แค่ประสานให้มีการซื้อรถราคา 14 ล้านบาท

นายไผ่ ลิกค์ หรือ ไผ่ วันพอยท์ ทายาทอดีตนักการเมือง เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับรถลัมโบร์กินี ที่อยู่ในความครอบครองของ

นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง โดยระบุว่าตนเองไม่ได้รู้จักกับ นายณัฐพล นาคคำ หรือ บอย และ นายอัครกิตติ์ เป็นการส่วนตัว แต่ยอมรับว่าทั้ง 2 คน มาติดต่อ ขอให้ช่วยแนะนำรถซูเปอร์คาร์ ในฐานะที่ตนเองอยู่ในแวดวงนักแข่งรถ จึงแนะนำให้ติดต่อกับเพื่อน ที่พามาด้วยในวันนี้ และตกลงที่จะซื้อรถลัมโบร์กินี ราคา 14 ล้านบาท เป็นรถติดไฟแนนซ์ และดาวน์รถไปประมาณ 5 - 6 ล้านบาท ที่เต็นท์รถชื่อ "เอก บลูโน ย่านพระราม 3"

โดย นายไผ่ ระบุว่า หลังจากได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่เมื่อช่วงเช้า เพื่อเข้ามาให้ข้อมูลในฐานะพยาน ตนก็เดินทางมาเข้าพบพนักงานสอบสวน และไม่ได้เตรียมเอกสารหลักฐานอะไรมา เพราะไม่มีหลักฐานตั้งแต่แรก เพราะตนเองเป็นแค่คนกลางประสานให้มีการซื้อขายรถกันเท่านั้น

ซึ่งขณะนี้ นายไผ่ ลิกค์ ได้เดินทางเข้าไปให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ภายในกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดแล้ว
---------------
ผบช.ตม. สั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง 2 ตำรวจในสังกัด ถ่ายภาพกับ ไซซะนะ ผู้ต้องหายาเสพติด พร้อมสั่งให้ช่วยราชการระหว่างสอบสวน

จากกรณีที่สังคมโซเชียลมีเดียของชาวลาวแชร์ภาพ นายไซซะนะ แก้วพิมพา นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ชาวลาว ถ่ายรูปคู่กับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จ.เลย และตำรวจพื้นที่รวม 3 นาย ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พล.ต.ต.ปฏิพัทธ์ สุบรรณ ณ อยุธยา ผบก.ตม.4 เปิดเผยว่า สำหรับผู้ใต้บังคับบัญชาในสังกัด ซึ่งปรากฏในภาพ คือ ร.ต.ท.วไลศักดิ์ อินทรักษ์ รอง สว.ตม.จ.เลย ได้ชี้แจงเบื้องต้นว่าเป็นภาพที่ถูกบันทึกเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในห้วงเวลานั้นมีคาราวานแรลลี่ข้ามไปกลับระหว่างชายแดนไทยลาวด้าน จ.เลย โดยไม่ทราบว่า นายไซซะนะ เป็นนักค้ายาเสพติด

ส่วนกรณีที่ไม่พบข้อมูลของ นายไซซะนะ ในระบบคอมพิวเตอร์ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ต.ปฏิพัทธ์ กล่าวว่า ขอเวลาตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า เพราะเหตุใดถึงไม่บันทึกข้อมูลการเข้า
ออกทางด่านตรวจคนเข้าเมืองเลย รวมถึงให้ตรวจสอบหนังสือขออนุญาตว่ามีการจัดคาราวานแรลลี่ข้ามพรมแดนจริงหรือไม่ แล้วมีการประสานกันอย่างไร

อย่างไรก็ตาม ช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้พิจารณาออกคำสั่งให้ ร.ต.ท.วไลศักดิ์ ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.บก.ตม.4 เพื่อสะดวกต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะ
กรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงแล้วเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.45 น. วันเดียวกันนี้ พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผบช.สตม. เดินทางมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเข้าพบ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยได้หารือเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ซึ่งทาง พล.ต.ท.ณัฐธร ระบุว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นกับผู้ใต้บังคับบัญชา และได้สั่งการให้ผู้บังคับการในสังกัดดำเนินการออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงของ ร.ต.ท.วไลศักดิ์ เจ้าหน้าที่ ตม.เลย

ขณะเดียวกัน ก็ให้ ผบก.ตม.2 ออกคำสั่งให้ ร.ต.อ.ภัทรพล ถ้วยทอง รอง สว.ฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง ตม.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ที่ ศปก.บก.ตม. เพื่อให้สะดวกแก่การสืบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง

ทั้งนี้ การตั้งคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าว สืบเนื่องจากแนวทางสอบสวนพบว่า นายตำรวจใน ตม. ต้องสงสัยมีพฤติการณ์เกี่ยวของกับ นายไซซะนะ ได้โทรศัพท์ติดต่อกับผู้ร่วมขบวนการค้ายาเสพติดรายดังกล่าวในการรับฝากรถยนต์ของกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดรายนี้ไว้ เพื่อนำรถยนต์มาจอดในอาคารจอดรถท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หากผลการสอบสวนระบุผิดจริง ก็จะมีบทลงโทษทั้งวินัยและอาญา ไม่มีการละเว้นหรือให้การช่วยเหลืออย่างแน่นอน
----------------
ผบช.ตม. ยัน ย้าย 1 นายตำรวจในสังกัดถ่ายภาพกับแก๊งค้ายาเสพติด สั่งตั้งคณะกรรมการสอบ คาด 1 สัปดาห์ รู้ผล

พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กล่าวถึงกรณีการเผยแพร่ภาพ 3 นายตำรวจถ่ายภาพร่วมกับ นายไซซะนะ แก้วพิมพา นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ชาวลาว ว่า ในจำนวนนี้มีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเพียง 1 นาย คือ ร.ต.ท.วไลศักดิ์ อินทรักษ์ รองสารวัตรตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเลย

ส่วนนายตำรวจอีก 2 นาย เป็นตำรวจจากหน่วยอื่น ซึ่งขณะนี้มีคำสั่งย้าย ร.ต.ท.วไลศักดิ์ มาช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตรวจคนเข้าเมือง 4 พร้อมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว และเบื้องต้นทราบว่าภาพถ่ายดังกล่าวถูกบันทึกไว้ตั้งแต่เมื่อประมาณ 2 - 3 ปีก่อน ในช่วงที่มีคาราวานแรลลี่ข้ามพรมแดนไทยลาว ส่วนผลการสอบข้อเท็จจริง นั้นคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ จึงจะทราบผล

อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบประวัติการเดินทางเข้าออก นายไซซะนะ แก้วพิมพา นักค้ายาเสพติดชาวลาว ตลอดระยะ 4 ปี ที่ผ่านมา เคยเดินทางเข้าออกประเทศไทยผ่านทางด่านตรวจคนเข้าเมืองติดชายแดนไทยลาว รวมทั้งสิ้น 51 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดหนองคาย
----------------
ตั้งกรรมการสอบ ร.ต.อ. สังกัดด่าน ตม.สุวรรณภูมิ พัน "ไซซะนะ" นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ชาวลาว

พ.ต.ท.หญิง อิศลักษมิ์ เฉลิมศรี รองผู้กำกับการรักษาราชการแทน ผกก. ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้มีคำสั่งให้แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ใจความว่า ด้วย ร.ต.อ.ภัทรพล ถ้วยทอง รอง สว.ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ถูกกล่าวหาว่า มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับ นายไซซะนะ แก้วพิมพา สัญชาติลาว ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ แนวทางการสืบสวนพบ ว่า ร.ต.อ.ภัทรพล ได้มีการโทรศัพท์ติดต่อกับผู้ร่วมขบวนการค้ายาเสพติดรายดังกล่าว ในการรับฝากรถยนต์ของกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดรายนี้ไว้ เพื่อนำ
รถยนต์เข้ามาจอดภายในอาคารจอดรถท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อันเป็นการกระทำ หรือละเว้นการกระทำใด ๆ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการและทำให้เสียระเบียบแบบแผนของตำรวจ
เหตุเกิดที่ ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต.หนองปรือ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการจึงอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 84 แต่งตั้ง

คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว โดยมี พ.ต.ท.ชัยพร ออฟูวงศ์ รอง ผกก.ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นประธาน

ทั้งนี้ หากคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เห็นว่า กรณีมีมูลว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยในเรื่องอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในคำสั่งนี้ หรือกรณีที่การสืบสวนข้อเท็จจริงพาดพิงไปถึงข้าราชการตำรวจผู้อื่น และคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจิงพิจารณาในเบื้องต้นแล้ว เห็นว่าข้าราชการตำรวจผู้นั้นมีส่วนร่วมหรือกระทำการในเรื่องที่สืบสวนข้อเท็จจริงนั้นอยู่ด้วย ให้ประธานคณะกรรมการรายงานมาโดยเร็ว
----------------
รอง โฆษก ตร. เผย สั่งย้ายตำรวจไทยถ่ายภาพร่วม "ไซซะนะ" แล้ว เบื้องต้นไม่พบเกี่ยวข้อง ชี้เจ้าตัวเข้ามาขอถ่ายภาพ ขณะอำนวยความสะดวกการเดินทางให้คาราวานจากประเทศลาว

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีโลกออนไลน์มีการเผยแพร่ภาพในเพจของ สปป.ลาว เป็นภาพของ นายไซซะนะ แก้วพิมพา ชาวลาว อายุ 42 ปี เครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่ทางฝั่งลาว ที่ถ่ายคู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย พร้อมกับระบุว่า เป็นเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของไทย ที่คอยอำนวยความสะดวกให้ นายไซซะนะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยคงจะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องคงไม่ได้ ว่าจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพถ่าย เมื่อประมาณ 2 ปีเศษ โดยเจ้าหน้าที่ในภาพเป็นตำรวจ สภ.ท่าลี่ จ.เลย จำนวน 2 นาย และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จ.เลย จำนวน 1 นาย

โดยขณะถ่ายภาพนั้น อยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกให้แก่คาราวานจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรจัดการแสดงทางด้าน จ.หนองคาย
และจะออกจากไทยทางจุดตรวจผ่านแดนถาวร บ้านนากระเซ็ง อ.ท่าลี่ จ.เลย โดยก่อนกลับคณะคาราวานในภาพดังกล่าว ได้ขอถ่ายภาพร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้ง 3 นายดังกล่าว พร้อมเชื่อว่าทั้ง 3
นาย ไม่น่ามีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายยาเสพติดแต่อย่างใด แต่เพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้นทางผู้บังคับบัญชาก็ได้มีคำสั่งให้ ร.ต.ท.วไลศักดิ์ ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.บก.ตม.4 เพื่อสะดวกต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงแล้วเพื่อให้เกิดความโปรงใสต่อไป
/////////////
ขบวนการIS

"พล.อ.ประวิตร" รอคุยมาเลย์ขอตัวผู้ต้องหาโยง BRN - ไม่เชื่อดวงตก บอกอาจเป็นปีที่ดีก็ได้ เพราะเกิดปีไก่ 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ทางการมาเลเซียจับตัวกลุ่มก่อเหตุความวุ่นวายได้ 6 คน ซึ่งมีสมาชิกกลุ่ม BRN รวมอยู่ด้วย ว่า ขณะนี้กำลังติดตามเรื่องอยู่ หากมีความชัดเจนว่าเคยเข้ามาก่อเหตุในประเทศไทย หรือมีหมายจับของไทยติดตัว ก็จะประสานขอเข้าร่วมรับฟังการสอบสวนหรือขอตัวมาดำเนินการในประเทศไทย

ซึ่งทางเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติได้ประสารกับมาเลเซียอยู่แล้ว จึงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ส่วนกลุ่มคนดังกล่าวจะมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มไอเอสหรือไม่นั้น รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ระบุว่า ไม่ทราบในเรื่องนี้ คงต้องรอการแลกเปลี่ยนทางการข่าวระหว่างไทยกับมาเลเซียในอนาคต

พร้อมกันนี้ พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวถึง กรณีที่ นายโสรัจจะ นวลอยู่ โหรชื่อดัง ทักว่า พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ ดวงตก ว่า ตนเองไม่เคยดูดวง ถ้าเป็นปีที่แล้วว่าไปอย่าง เพราะมีทั้งอาการป่วย ทั้งขาเจ็บ แต่ปีนี้ไม่เห็นมีอะไรจะตก แต่หากมองว่าปีนี้อาจปีของตนเอง ก็อาจเป็นได้ เพราะเกิดปีไก่ จากนั้นได้หยอกล้อกับผู้สื่อข่าวเรื่องอายุ ด้วยหน้าตายิ้มแย้มและอารมณ์ขัน
----------
กองทัพ ประสานมาเลย์ ขอตัว 1 ใน 6 ผู้ต้องหาที่เชื่อมโยงบีอาร์เอ็นแล้ว ตอบไม่ได้จะมีการส่งตัวมาหรือไม่ ยังไม่ชัดเชื่อมโยง IS 

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีที่ประเทศมาเลเซียจับกุมชายต้องสงสัย 6 คน พร้อมของกลางอุปกรณ์ประกอบระเบิดจำนวนมากในรัฐกลันตัน ซึ่งติดกับจังหวัดนราธิวาสของไทย ว่า จากการตรวจสอบในจำนวนที่จับกุมได้ 6 คน ซึ่งมี 1 คน มีทะเบียนประวัติของกลุ่มบีอาร์เอ็น เป็นผู้ต้องหาในเรื่องนี้อยู่ด้วย ซึ่งคิดว่าอาจจะใช่ โดยได้ทำเรื่องขอตัวไป แต่ทางประเทศมาเลเซียเองก็จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายก่อน จึงไม่ทราบว่า จะมีการส่งตัวกลับมาประเทศไทยหรือไม่ แต่ก็พยายามอย่างเต็มที่ 

พร้อมกันนี้ ระบุว่า บุคคลที่ถูกจับกุมทั้ง 6 คนนี้ มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มไอเอสทั้งหมด เพราะผู้ที่จะมีความเกี่ยวข้องนั้น มีหลายระดับ เพราะกลุ่มนี้เป็นเพียงผู้ที่รับทราบแนวความคิดผ่านทางโซเซียลมีเดีย และพื้นฐานเป็นไม่ได้มีอุดมการณ์ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านมาโดยตลอด และกวดขันช่องทางต่าง ๆ ที่จะมีกลุ่มนี้เข้ามา
///////////
เซลล์แมน

แพทย์โรงพยาบาลศิริราช แถลงยัน ศพเป็นเซลล์แมนที่หายตัวปริศนา ตรวจสอบพบตับ ไตล้มเหลว มีสารเสพติด - ญาติไม่ติดใจนพ.ปภาณุ สุทธิประสิทธิ์ แพทย์ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล แถลงผลการชันสูตรพลิกศพชายต้องสงสัย เป็น นายรัติภูมิ พิมพ์ใจใส เซลล์แมนที่หายตัวไป โดยจากการตรวจพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคลได้ชัดเจน และจากการผ่าชันสูตรพลิกศพไม่พบร่องรอยหรือบาดแผลการถูกทำร้าย แต่ผู้ตายมีภาวะตับและไตล้มเหลว อวัยวะภายในเสื่อมสลาย และจากการตรวจเลือด ชิ้นส่วนอวัยวะ พบมีสารเมทแอมเฟตามีนในปริมาณที่มาก ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะภายในล้มเหลวได้

แต่อย่างไรก็ตาม แพทย์ได้เก็บตัวอย่างเลือด ชิ้นส่วนอวัยวะและเส้นผม เพื่อสกัดหาสารเสพติดอีกครั้ง ส่วนบาดแผล 2 จุดบริเวณใบหน้าและท้ายทอยไม่ได้เป็นบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ สำหรับอาการคลุ้มคลั่ง ที่พบในกล้องวงจรปิด ก่อนที่จะนำตัวส่งโรงพยาบาลนั้น อาจจะเกิดจากฤทธิ์ของสารเมทแอมเฟตามีน ส่วนการรักษาอาการป่วยตลอด 10 วัน ในโรงพยาบาล นายรัติภูมิ ไม่ได้สติ แพทย์จึงรักษาตามอาการ

ด้าน พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า ในส่วนของคดีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน ที่มีการอ้างว่าผู้เสียชีวิตขโมยมาในทางคดีเมื่อผู้กระทำผิดเสียชีวิตลง คดีจะถูกยกฟ้อง แต่
ทางตำรวจจะพิสูจน์ทราบให้ได้ข้อเท็จจริง เพื่อให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตต่อไป

ด้าน นายละเอียด พิมพ์ใจใส บิดาของผู้เสียชีวิต กล่าวภายหลังการทราบผลชันสูตรพลิกศพว่า ไม่ได้ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต และไม่ขอให้มีการชันสูตรพลิกศพเป็นครั้งที่สอง แต่ขอให้ตำรวจทำคดีอย่างตรงไปตรงมา เพื่อขอความเป็นธรรมกับครอบครัวด้วย โดยหลังจากนี้จะนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่ อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ต่อไป
////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น: