PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

“สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง” เตือนการกู้เงินภาครัฐอาจจุดชนวนวิกฤต ศก.ครั้งใหม่

“สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง” เตือนการกู้เงินภาครัฐอาจจุดชนวนวิกฤต ศก.ครั้งใหม่ ผวาฟองสบู่แตกซ้ำรอยปี 40 ด้านนักธุรกิจบ.เอกชนหวั่นนโยบายรัฐก่อวิกฤตฟองสบู่".

“สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง” เจ้าของวลีดัง “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” หนึ่งในเหยื่อวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ปี 40 จนมีหนี้ท่วมกว่าแสนล้าน เตือนบทเรียน “ฟองสบู่แตก” หวั่นการกู้เงินภาครัฐทำให้จุดชนวน “วิกฤตครั้งใหม่” ชี้มีการกระตุ้นให้เอกชนลงทุนขยายธุรกิจเร็วเกินไป และไม่มีใครสามารถระบุได้ว่าจะได้ผลตอบแทนจริงตามที่เขียนกู้ไว้หรือไม่ ด้านนักธุรกิจภาคเอกชนเตือนนโยบายบริหารจัดการรัฐจะก่อให้เกิดวิกฤตฟองสบู่ครั้งใหม่ได้ หลังมีนโยบายก่อหนี้เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและรถคันแรก อยากเห็นรัฐหารือร่วมกับภาคธุรกิจก่อนประกาศใช้นโยบาย เผยวันนี้แบงก์ไทยไม่ปล่อยกู้ Real Sector แต่หันมาขูดรีดเงินค่าบริการต่างๆ

นายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) หรือ HEMRAJ เปิดเผยว่า การกู้เงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลจำนวน 2 ล้านล้านบาท รวมถึงการบริหารจัดการน้ำจำนวน 3.5 แสนล้านบาท อาจทำให้เกิดปัญหาวิกฤตฟองสบู่แตกได้อีกครั้ง

นายสวัสดิ์ให้เหตุผลว่า การลงทุนดังกล่าวของภาครัฐจะส่งผลให้ภาคเอกชนมีการลงทุนและขยายธุรกิจเร็วจนเกินไป ได้แก่หลายอุตสาหกรรมที่มีการพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับการลงทุนของทางภาครัฐ จึงทำให้การกู้เงินของรัฐบาลจะส่งผลให้มีภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น จึงอาจเป็นสัญญาณของการเกิดเหตุการณ์วิกฤตฟองสบู่แตกได้อีกครั้ง

ทั้งนี้ ยังแนะนำให้รัฐบาลนำจำนวนเงินที่จะไปพัฒนาท่าเรือที่ทวายในประเทศพม่ามาลงทุนและพัฒนาในประเทศไทย โดยประเมินว่าประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลางของประเทศในแถบอินโดจีน จึงมีโอกาสทำให้ประเทศคู่ค้าจากต่างประเทศสามารถเดินทางมาร่วมค้ากับประเทศไทยได้สะดวกกว่าในประเทศแถบเดียวกัน

“คาดว่าวิกฤตฟองสบู่ที่จะเกิดแก่ประเทศไทยในอีกครั้งนั้นอาจส่งผลมาจากการที่รัฐบาลกู้เงินในวงเงินที่สูง ซึ่งอาจทำให้หลายผู้ประกอบการมีความสนใจและลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย จึงทำให้มีการลงทุนเพื่อหวังผลกำไร”

ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครสามารถระบุได้ว่าจะได้รับผลตอบแทนในระยะสั้นหรือระยะยาว ซึ่งหากเป็นในระยะยาวนั้นทางภาคเอกชนอาจได้รับผลกระทบจากการที่กู้เงินจากธนาคารเพื่อมาลงทุน

อย่างไรก็ตาม ยังแนะนำให้รัฐบาลนำจำนวนวงเงิน 1 แสนล้านบาทที่จะเข้าไปลงทุนที่ท่าเรือทวายกลับมาลงทุนในประเทศไทย และพัฒนาท่าเรือต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางของแถบประเทศอินโดจีน

ทั้งนี้ นายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง เป็นนักธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีนกวางตุ้งที่อยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมเหล็กกล้า และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท เอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ป จำกัด (NTS) และบริษัท นครไทยสตริปมิล จำกัด (NSM) [1] ต่อมาได้ก่อตั้ง บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) เพื่อประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เมื่อ พ.ศ. 2531

ภายหลังวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 ธุรกิจของนายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ต้องแบกรับภาระหนี้กว่าแสนล้านบาท และเป็นที่มาของวลีดังในช่วงนั้นว่า “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” และดำเนินการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้

**ภาคเอกชนเตือนนโยบายบริหารจัดการรัฐจะก่อให้เกิดวิกฤตฟองสบู่ครั้งใหม่ได้ หลังมีนโยบายก่อหนี้เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและรถคันแรก อยากเห็นรัฐหารือร่วมกับภาคธุรกิจก่อนประกาศใช้นโยบาย เผยวันนี้แบงก์ไทยไม่ปล่อยกู้ Real Sector แต่หันมาขูดรีดเงินค่าบริการต่างๆ

นายบุญชัย เบญจรงคกุล ประธานกรรมการ บริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานเสวนา “ถอดบทเรียนฝ่าวิกฤตต้มยำกุ้ง” จัดโดยฐานเศรษฐกิจ วานนี้ (4 ก.ค.) ว่า สิ่งที่กังวลในขณะนี้ คือ การบริหารจัดการของภาครัฐที่มีการใช้เงินจำนวนมากลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้าสายต่างๆ และรถไฟความเร็วสูง หลังจากปีก่อนรัฐมีนโยบายบ้านหลังแรก และรถคันแรก ทำให้หนี้ในครัวเรือนเพิ่มขึ้น การออมของภาคประชาชนน้อยลง ซึ่งขณะนี้เริ่มมีสัญญาณที่บ่งชี้ว่าอาจจะเกิดปัญหาฟองสบู่ ซึ่งจะต่างจากปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้งเกิดจากปัญหาหนี้ภาคเอกชน แต่ครั้งนี้อาจจะเกิดจากการล้มเหลวจากรัฐบาล (Government Collapse) เพราะการบริหารงานประเทศจะต้องทำมากกว่านี้

โดยยอมรับว่าบทเรียนวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเข้มแข็งขึ้น เชื่อว่าแม้จะเกิดวิกฤตฟองสบู่ขึ้นอีกครั้งก็คงไม่รุนแรงสำหรับภาคเอกชน เนื่องจากที่ผ่านมา ภาคการผลิตที่แท้จริง (Real Sector)ไม่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากภาครัฐ เหมือนที่รัฐบาลหลายประเทศทำกัน ทำให้ธุรกิจต้องแข็งแกร่งเพื่ออยู่รอดให้ได้

ดังนั้น สิ่งที่ภาคเอกชนอยากเห็น คือ ภาครัฐมีการหารือหรือปรึกษากับภาคเอกชนก่อนจะตัดสินใจมีนโยบายใดที่มีผลกระทบในวงกว้างออกมา โดยภาคเอกชนเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และภาครัฐตระเตรียมนโยบายให้สอดคล้อง ไม่ใช่ไปคนละทิศละทาง โดยยึดนโยบายตามแผนการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เป็นกรอบของประเทศที่จะเดินหน้าต่อไป ไม่ว่ารัฐบาลจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

“วิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อ 16 ปีก่อน ทำให้ตนต้องเฉือนขายธุรกิจออกไป ซึ่งก็ไม่ได้โทษต่างชาติที่เข้ามาซื้อกิจการไทย แต่โทษคนที่เป็นผู้ปกครองเราทั้งรัฐบาล กระทรวงการคลัง และแบงก์ชาติ ที่ไม่ดูแลภาคเอกชนให้ดีกว่านี้”

นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บทเรียนจากวิกฤตปี 2540 เกิดจากความผิดพลาดของรัฐบาล ทั้งกระทรวงการคลัง และแบงก์ชาติ ดังนั้น รัฐบาลควรเยียวยาผู้ที่ได้รับความเสียหายจากความผิดพลาดดังกล่าวให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นๆ และทำให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นใหญ่ธนาคารพาณิชย์ไทย

ซึ่งโครงการตั้งโรงปูนไลน์ที่ 4 ขนาดกำลังผลิตประมาณ 4 ล้านตันนั้นพบว่าธนาคารพาณิชย์ไทยปล่อยกู้ไม่ถึง 20% ที่เหลือเป็นการปล่อยกู้เครื่องจักรจากต่างชาติทั้งเยอรมนี และเบลเยียม เนื่องจากปัจจุบันแบงก์ไทยส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือต่างชาติ เน้นให้สินเชื่อให้กับโครงการต่างชาติด้วยกันหรือบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้น รัฐบาลควรอนุญาตให้มีการตั้งแบงก์ของคนไทยขึ้นใหม่ได้ เพื่อช่วยเหลือภาค Real Sector ของไทยด้วยกัน

http://astv.mobi/AlgZriY และ http://astv.mobi/AlgZrpT

"เจ้าคณะศรีสะเกษร่อนหนังสือถึง “เณรคำ” สั่งศิษย์เลิกแอบอ้างเบื้องสูง- จี้มาให้สอบ ด้านจนท.ศิลปากรลงตรวจสอบพระแก้วมรกตเณรคำ 9 ก.ค.นี้

เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษร่อนหนังสือถึง “เณรคำ”สั่งลูกศิษย์ เลิกให้ข่าวแอบอ้างเบื้องสูง และเถรสมาคม ชี้ไม่เหมาะสมและทำให้เสื่อมเสีย พร้อมจี้เจ้าตัว กลับมาให้ปากคำด้วยตนเอง ขณะสำนักสงฆ์ขันติธรรมหงอย ไร้ญาติโยมเข้ากราบไหว้พระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างพระพุทธรูปจำลอง สำนักศิลปากรที่ 11 จ.อุบลราชธานี ลงพื้นที่ตรวจสอบพระแก้วมรกตจำลอง สำนักสงฆ์หลวงปู่เณรคำ ถูกต้องตามรูปแบบที่ขึ้นทะเบียนไว้หรือไม่ หากใช่ต้องขออนุญาตก่อสร้าง หากไม่ใช่ให้สังคมตัดสิน เพราะกฎหมายไม่ได้บัญญัติบทลงโทษไว้

เมื่อเวลา 16.00 น. วันนี้ (4 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดป่าศรีสำราญ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ พระครูวัชรสิทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดป่าศรีสำราญ ในฐานะเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษฝ่ายธรรมยุต กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีข่าวฉาวของ พระวิระพล ฉัตติโก หรือ หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์ที่พักสงฆ์ขันติธรรม ต.จาน อ.กันทรารมย์ จ. ศรีสะเกษ ว่า ขณะนี้พระครูวิสุทธิญาณ เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต ได้ลงนามในคำสั่งเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ฉบับที่ 2/2556 โดยมีประเด็นหลัก 2 เรื่อง ประกอบด้วย 1.ให้พระวิรพล ฉัตติโก หรือ หลวงปู่เณรคำ ในฐานะประธานที่พักสงฆ์ป่าขันติธรรม ไปให้การสอบอธิกรณ์เกี่ยวกับธรรมวินัยด้วยตนเอง

2.ให้ลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำ ระวังการให้สัมภาษณ์สื่อ โดยเฉพาะการกล่าวอ้างถึงสถาบันเบื้องสูงของไทย และการกล่าวอ้างถึงมหาเถรสมาคม ในทางที่ไม่ถูกต้องจนเป็นเหตุให้เกิดความไม่เหมาะสมและเสื่อมเสียต่อมหาเถรสมาคม โดยได้ยื่นหนังสือให้กับพระเสียน ติกขวิโร ซึ่งเป็นพระในที่พักสงฆ์ขันติธรรม ให้ทราบเรื่องและนำหนังสือ ส่งต่อให้กับหลวงปู่เณรคำ ต่อไป

ด้าน พระเสียน ติกขวิโร ได้เปิดเผยกับผู้สื่อขาวว่า ตนไม่ได้ติดต่อกับหลวงปู่เณรคำ โดยตรงแต่อย่างใด ซึ่งหนังสือฉบับนี้ จะดำเนินการส่งให้ หลวงปู่เณรคำ ผ่านทางอีเมล์อีกครั้ง เพื่อแจ้งให้ท่านทราบ ส่วนท่านจะเดินทางกลับมาชี้แจงหรือไม่ คงต้องขึ้นอยู่กับหลวงปู่เณรคำ ซึ่งตนไม่สามารถล่วงรู้ในเรื่องนี้ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่บริเวณที่พักสงฆ์ขันติธรรรม ยังมีเพียงกลุ่มญาติโยมประมาณ 4 -5 คน นั่งจับกลุ่มพูดคุยถึงข่าวฉาวของหลวงปู่เณรคำ และกลุ่มคนงานที่มาจัดเก็บสถานที่ในที่พักสงฆ์ หลังจากที่ในช่วงวันที่ 27 - 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา ได้มีการจัดงานมหาพิธีห่มผ้าฤดูฝนพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้บรรยากาศภายในที่พักสงฆ์ขันติธรรม เป็นไปด้วยความเงียบเหงา ไม่คึกคัก เหมือนในช่วงที่ผ่านมา ที่จะมีชาวพุทธจากทั่วสารทิศ เดินทางมาสักการะ และกราบไหว้ พระแก้วมรกตองค์จำลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก กันอย่างคึกคักไม่ขาดสาย

** นายขจร มุกมีค่า ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 11 จ.อุบลราชธานี กล่าวถึงการก่อสร้างพระแก้วมรกตจำลองของสำนักสงฆ์ขันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ยังไม่มีการยื่นขออนุญาตก่อสร้างต่อกรมศิลปากร จึงเตรียมผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ตรวจสอบในวันอังคารที่ 9 ก.ค. เพื่อดูรายละเอียดที่ได้ก่อสร้างไปแล้ว มีรายละเอียดคุณลักษณะตรงตามศิลปะของพระแก้วมรกตจำลองที่กรมศิลปากรกำหนดไว้หรือไม่

หากใช่ ก็ต้องดูรูปแบบของการก่อสร้างมีรายละเอียดอย่างไร และต้องขออนุญาตก่อสร้างตามระเบียบว่าด้วยการก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ พ.ศ. 2520 แต่ถ้าไม่ใช่ตามรูปแบบของพระแก้วมรกตจำลองที่ขึ้นทะเบียนไว้ ก็ต้องให้สังคมเป็นผู้ตัดสิน เพราะกรณีนี้กฎหมายไม่ได้บัญญัติบทลงโทษไว้

ส่วนการก่อสร้างจะมีมูลค่ามากน้อยเพียงใด สูงตามที่สำนักสงฆ์แจ้งต่อประชาชนหรือไม่ การตรวจสอบคงไม่สามารถนำมาคิดคำนวณเป็นตัวเงินได้ เพราะเจ้าหน้าที่จะดูเพียงวัสดุที่นำมาใช้มีความเหมาะสมถูกต้องตามรูปแบบที่กำหนดไว้ตามบัญชีหรือไม่เท่านั้น

http://astv.mobi/AbCfJ5u และ http://astv.mobi/AowEGYV

รัชกาลที่ ๔ กับ ประเทศสหรัฐอเมริกา (วันนี้วันชาติสหรัฐฯ)

สยามประเทศ และ สหรัฐอเมริกา (คนไทยสมัยก่อนเรียกว่าเมืองใหม่)
สวัสดีวันชาติสหรัฐอเมริกา สหรัฐครบรอบ ๒๓๗ ในวันนี้ ถึงแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็นแค่ประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมมาก่อนแต่ก็ถือว่าประเทศนี้มีการพัฒนาที่รวดเร็วมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ประเทศนี้มีความหลากหลายทางเชื้อชาติพันธุ์อย่างมาก และที่สำคัญไทยกับอเมริกา ก็เคยมีความสัมพันธ์ทางการฑูตพอสมควร ผมขอยกตัวอย่าง ในยุคประธานาธิบดีลินคอล์น สหรัฐอเมริกามีสัมพันธ์ทางการทูตกับสยามยุครัชกาลที่ 4 ผมขอยกตัวอย่างในเรื่องการที่รัชกาลที่ ๔ เคยทรงส่งพระราชสาร์สที่ว่าจะทรงส่งช้างไปให้สหรัฐอเมริกานั้นแล้วกันน่ะครับ

พระราชสาส์นของรัชกาลที่ 4 ที่มีผู้กล่าวขวัญถึงกันมากคือพระราชสาส์นที่มีผู้เข้าใจผิดว่าทรงมีพระประสงค์จะทรงพระราชทานช้างให้แก่ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น เพื่อใช้ในสงครามกลางเมือง ความจริงแล้วเป็นพระราชสาส์นที่ส่งไปถึงประธานาธิบดีเจมส์ บุคแนนโดยมีสาระแสดงความประสงค์จะพระราชทานช้างสยามให้ไปเลี้ยงในประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อให้แพร่พันธุ์และนำไปใช้เป็นสัตว์พาหนะสำหรับบรรทุกสิ่งของต่างๆ แต่พระราชสาส์นฉบับลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1861 กว่าจะเดินทางถึงสหรัฐอเมริกา ปรากฏว่าประธานาธิบดีเจมส์ บุคแนนได้ออกจากตำแหน่งไปแล้ว และผู้ชนะการเลือกตั้งและเข้ารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ต่อจากประธานาธิบดีเจมส์ บุคแนน คือ ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น ในสาส์นของประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ฉบับลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1862 กราบบังคมทูลถึงรัชกาลที่ 4 มีความว่าได้รับของพระราชทาน คือ ดาบ พระบรมฉายาลักษณ์ และงาช้าง 1 คู่ ซึ่งจะได้เก็บไว้เป็นสมบัติของชาติต่อไป

" ส่วนที่ได้ทรงเสนอว่าจะพระราชทานช้างให้ไปเลี้ยงเพื่อแพร่พันธุ์และใช้ประโยชน์ในการขนส่งสิ่งของต่างๆในสหรัฐอเมริกานั้น ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ได้ปฏิเสธอย่างสุภาพว่า สภาพอากาศในสหรัฐอเมริกาไม่เอื้ออำนวยที่จะเลี้ยงช้างได้ และตอนนี้สหรัฐอเมริกาก็มีเครื่องจักรไอน้ำใช้เป็นพาหนะสำหรับขนส่งสินค้าทั้งทางบกและทางน้ำได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว"

ดังสำนวนในภาษาอังกฤษในสาสน์ดังกล่าวว่าดังนี้
“Our political jurisdiction, however, does not reach a latitude so low as to favor the multiplication of the elephant, and steam on land, as well as on water, has been our best and most efficient agent of transportation in internal commerce.”

"ชาวนาพิจิตร ทำใบปลิวแฉ 3 หัวโจกโกงข้าว/คนร่วมแก๊งเจอหมายจับเพิ่ม"

พิจิตร - ออกหมายจับ “เสี่ยหนุ่ม” นายทุนโรงสีฉาวโกงชาวนา-ยักยอกข้าว อ.ต.ก. พร้อมพวกเพิ่มอีก 8 คนแล้ว รอง ผบก.ภ.ยันเร็ววันนี้จับได้แน่ ขณะที่ชาวนานำภาพ 3 ผู้ต้องหาหลักทำใบปลิวแจก วอนคนเห็นแจ้ง ตร.ด่วน ด้านสภาทนายฯ ตั้งโต๊ะรับร้องทุกข์ พร้อมเอาผิดทางแพ่ง-อาญาต่อ

วันนี้(4 ก.ค.56) พ.ต.อ.ธวัชชัย มวญนรา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตร เปิดเผยความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับโรงสีแอล-โกลด์ แมนูแฟคเจอร์ จำกัด อ.โพทะเล จ.พิจิตร ในข้อหาฉ้อโกงชาวนา และยักยอกทรัพย์ข้าวเปลือก-ข้าวสารในโครงการรับจำนำข้าวของ อ.ต.ก.ว่า หลังจากชาวนา อ.เมืองพิจิตร และชาวนาอ.โพทะเล เข้าแจ้งความตำรวจจึงได้รวบรวมหลักฐาน และสามารถจับกุมผู้ต้องหารายแรกแล้วคือ นายอำนาจ ดิษฐเสถียร เจ้าของท่าข้าวหัวดง ที่เป็นคนรับข้าวจากชาวนา

เมื่อนายอำนาจ ได้ให้การซัดทอดถึงผู้ร่วมขบวนการ จึงนำไปสู่การขอหมายจับเพิ่มอีก 8 ราย ได้แก่ 1. นายมุนินทร์ จันทรา “เสี่ยหนุ่ม” เจ้าของโรงสีแอล-โกลด์ แมนูแฟคเจอร์ จำกัด 2.นางสาวณัฐริญา บุญเกื้อ กรรมการผู้จัดการโรงสีฯ 3.นายณัฐกิตติ์ อนันต์ชรินทร์ เจ้าหน้าที่ประจำโรงสีฯ 4.นายศุภโชค นาทีทอง หรือ “แบ๊งค์” 5.นายสมาน เอี่ยมนาม 6. นายอำพร ธูปชู 7. นายพงศธร กันสุข และ 8.น.ส.ทุเรียน จอมใจ

ทั้งหมดกำลังหลบหนี แต่ตอนนี้ตำรวจชุดสายสืบได้เบาะแสเกี่ยวกับแหล่งหลบซ่อนของผู้ต้องหาแล้ว คาดว่าภายในเร็ววันนี้ คงจับกุมได้แน่นอน ซึ่งคดีดังกล่าวมีอายุความ 10 ปี

ขณะเดียวกันกลุ่มชาวนาพิจิตร ที่ถูกโรงสีแอล-โกลด์ แมนูแฟคเจอร์ จำกัด ฉ้อโกง ได้นำภาพ 3 ใน 8 ผู้ต้องหา คือ 1. นายมุนินทร์ จันทรา “เสี่ยหนุ่ม” เจ้าของโรงสีแอล-โกลด์ แมนูแฟคเจอร์ จำกัด 2. นางสาวณัฐริญา บุญเกื้อ กรรมการผู้จัดการโรงสีฯ 3.นายณัฐกิตติ์ อนันต์ชรินทร์ เจ้าหน้าที่ประจำโรงสีฯ ทำเป็นใบปลิวออกแจกจ่ายให้กับคนทั่วไป

พร้อมระบุด้วยว่า ตำรวจพิจิตหมดปัญญาจับ หากพบเห็นขบวนการโกงชาวนา ที่ออกหมายจับกลุ่มนี้ ขอให้แจ้งตำรวจ สภ.เมืองพิจิตร โทร 056-990401 หรือ โทร. 191 ให้ตำรวจทั่วประเทศไทยจับกุมตัวได้ทันที

ด้านนายวินัย ภัทรประสิทธิ์ ส.ส.พิจิตร เขต 1 พรรคชาติไทยพัฒนา ได้นำคณะทนายความ นำโดย ดร.เกียรติศักดิ์ วรวิทย์รัตนกุล และนายผาติ หอกิตติกุล ประธานชมรมทนายความจังหวัดพิษณุโลก และสภาทนายความจังหวัดพิจิตรกว่า 20 คน เดินทางไปที่วัดหนองนาดำ หมูที่ 5 ตำบลหัวดง อ.เมืองพิจิตร เพื่อรับเรื่องราวร้องทุกข์จากชาวนา 96 ราย ที่ถูกโรงสี แอล-โกลด์ แมนูแฟคเจอร์ จำกัด ฉ้อโกง พร้อมให้การช่วยเหลือในการดำเนินคดีทางแพ่ง และอาญากับกลุ่มผู้ต้องหาฉ้อโกงข้าว

นายวินัย ยังระบุด้วยว่า จะนำเรื่องนี้เข้าสอบถามกรรมาธิการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อจะให้ อ.ต.ก.รับผิดชอบ เพราะโรงสีดังกล่าวเป็นตัวแทนของ อ.ต.ก.ในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งอาจจะต้องให้สภาทนายความฟ้องเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ อ.ต.ก.พิจิตร ที่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์โครงการรับจำนำข้าวที่พิจิตรครั้งนี้ด้วย

http://astv.mobi/AowWoqf

(ภาพชุด)ทรงโปรดให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.เข้าเฝ้าฯที่บางปู

ทรงโปรดให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.เข้าเฝ้าฯ

 (4 ก.ค.56) เมื่อเวลา 14.18 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯลงที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช โดยประทับรถเข็นพระที่นั่ง ในการนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ศ.คลินิก นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ เป็นผู้ถวายการเข็นรถพระที่นั่ง พร้อมทั้งทีมแพทย์และพยาบาล ตามเสด็จฯด้วย โดยมีประชาชนที่ทราบข่าวมาเฝ้ารอรับเสด็จฯอย่างเนืองแน่น

จากนั้น ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานตากอากาศบางปู อ.บางปู จ.สมุทรปราการ เพื่อทอดพระเนตรโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ และทอดพระเนตรป่าชายเลน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดเส้นทางเสด็จฯ มีประชาชนชาวสมุทรปราการที่ทราบข่าว ต่างพร้อมใจกันมารับเสด็จฯอย่างเนืองแน่น แม้แดดจะร้อนแต่ทุกคนมีสีหน้าสดใส ต่างโบกธงชาติ และธงสัญลักษณ์พระปรมาภิไธยย่อ ภปร.และพร้อมใจกันเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ มีบางรายหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปีติที่ได้เห็นพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง

กระทั่งเวลา 15.10 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินถึงศาลาสุขใจ ภายในสถานตากอากาศบางปู ทรงมีพระพักตร์แจ่มใส และแย้มพระสรวล ทรงฉลองพระองค์เสื้อเชิ้ตลายดอกสีขาวสลับส้ม ทับด้วยสูทสีส้ม ทรงสวมสนับเพลาสีดำ รองพระบาทสีดำ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. นายสุรชัย อังเกิดโชค รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วยข้าราชการ เฝ้ารับเสด็จฯ โดย พล.อ.ประยุทธ์  ได้เข้าเฝ้าฯทูลถวายรายงานในขณะที่ทรงประทับบริเวณระเบียงตากอากาศบางปูด้วย




ในหลวงเสด็จฯบางปู

ปรมาจารย์การต่อสู้ โมริเฮอิ อูเอชิบา

โมริเฮอิ อูเอชิบา เกิดเมื่อวันที่ 14 เดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1883 (พ.ศ. 2426) ณ เมืองทานาเบ้ จังหวัดวากายามา ในประเทศญี่ปุ่น เขาเป็นเด็กน้อยที่อ่อนแอและขี้แย แต่โมริเฮอิก็ยังสมองดี เมื่อเขา อายุได้ 7 ปี เขาได้ศึกษาเล่าเรียน คำสอนของขงจื๊อ (ชิโชโกเกียว) โดยได้รับการสั่งสอนจากพระภิกษุ รูปหนึ่ง หลังจากเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษา เขาได้ฝึกการเล่นกีฬามวยปล้ำ ซูโม่ และว่ายน้ำ โดยได้ รับการสนับสนุนจากบิดาของเขาเอง

วันหนึ่งครูชั้นประถมศึกษาของเขาได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับ เซนดากาวา ผู้มีชื่อเสียงในการเล่น มวยปล้ำ ซูโม่ซึ่งมาจากเมืองทานาเบ้ เรื่องนี้จึงทำให้โมริเฮอิมีจิตใจตื่นเต้นไปกับเรื่องราวนี้ เมื่อโตขึ้น เขาจึง
เป็น เด็กที่มีจิตใจเข้มแข็งและกล้าแกร่ง

โมริเฮอิหยุดเรียนกลางคันในโรงเรียนชั้นเตรียมอุดมศึกษา หลังจากเขาเรียนไปได้ 1ปี และได้ หันเข้าไปเรียนในโรงเรียนฝึกหัดอ่านและดีดลูกคิด (โซโรบาน) หลังจากเขาศึกษาและฝึกฝนในเวลา เพียงปีเดียว เขาก็มีฝีมือเท่าเทียมกับครูของเขา เขาเป็นผู้ที่มีความสามารถมาก และเป็นที่รู้จักของคน ทั่วไป และทำให้เขาได้รับการว่าจ้างให้ทำงานในหน่วยงานคิดภาษี

โมริเฮอิ ลาออกจากงานเมื่อเขามีอายุได้ 18 ปี จากนั้นเขาเดินทางไปยังเมืองโตเกียว และได้เปิด ร้านค้าขายของเขาเอง มีชื่อร้านว่า อูเอชิบาสโตร์ (อูเอชิบา โซไก) เขาทำงานหนักมากในการค้าขาย
และมีคลังสินค้า และขายส่งโดยการส่งของด้วยเกวียนลากของด้วยตนเอง

โมริเฮอิ ไม่เคยคิดที่จะลืมการฝึกฝนในศิลปะการต่อสู้ของตัวเขาเองเลย หลังจากเขาได้ฝึก อบรมการเล่น ยูยิทสู ของโกเรียว และแบบของเคนยิทสู

โมริเฮอิ ได้ยกร้านค้าของเขา คือ อูเอชิบาสโตร์ ให้กับผู้ช่วยของเขา และเขาก็เดินทางกลับไป เมืองทานาเบ้ ในสมัยก่อนนั้นถ้าใครกลับไปยังบ้านเกิด หรือถิ่นที่เดิมต้องรับหมายเรียกทางทหาร และ ต้องตรวจร่างกายเพื่อเป็นทหาร และอีกทั้งเขาได้แต่งงานกับหญิงสาว ซึ่งเคยเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ เด็ก ๆ ชื่อว่า ฮัทสุ

ในปีต่อมาเขาได้รับราชการในกองทัพบก และตัวเขาเองได้แสดงความสามารถของเขาอย่าง ยอดเยี่ยมให้ผู้อื่นเห็นในขณะที่ฝึกวิชาทหารเพียงแต่ 3 ปี เขาก็ได้รับเลื่อนยศเป็นสิบเอก และได้รับ ขนานนามว่า เทพเจ้าของทหารทั้งหลายขณะที่อยู่ในกองทัพบก เขาได้ฝึกฝนอย่างหนักเกี่ยวกับ ศิลปะยาเกียว-เรียว (ยูยิทสู) โดยภายใต้การสอนของ มาซากัทสุ นาไก

โมริเฮอิ ปลดประจำการจากการรับใช้กองทัพบกมาเป็นเวลา 4 ปี และแล้วเขาก็เดินทางไป ฮอกไกโด เป็นผู้นำของกลุ่มบุกเบิกจากเมืองวากายามา 54 ครอบครัวด้วยกันไปตั้งรกรากที่นั่น เขาได้ตั้ง

รกรากใน ชิวาตากิ ในตำบล มอนเบทสุ ได้ทำการปลูกต้นมิ้นต์ และทำงานหนักในฟาร์ม โคนมด้วย เขาได้รับความเคารพนับถือมากและได้รับฉายานามว่า พระราชาของชิราตากิ (เป็นสมญา นามที่เพื่อนบ้านได้ตั้งให้)

บางครั้งโมริเฮอิได้ไปยังเมือง เองการู ใกล้ ๆ นั่นเอง ซึ่งที่นั่นเขาได้พบ โซกากุ ทาเกดะ เป็นอาจารย์ใหญ่ทาง ไดโตะ-เรียว ยูยิทสู ซึ่งใช้เป็นแบบอย่างยูโด พวกเขาทั้งสองคนได้รู้จักซึ่งกัน และกันในแนวความคิดของศิลปะป้องกันตัว และโมริเฮอิมีความเชียวชาญเทคนิค (ศิลปะป้องกันตัว) ของโซกากุด้วย

8 ปีผ่านไปในเมืองฮอกไกโดนั้น ซึ่งโมริเฮอิได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาหมู่บ้าน ชิวาตากิ ดังนั้นชีวิตของเขาจึงยุ่งและวุ่นวายมาก วันหนึ่งเขาได้รับโทรเลขว่า บิดาของเขาป่วยหนัก เขาจึงกลับ
ไปบ้านที่ทานาเบ้ทันที

ในเวลาต่อมาบิดาเขาก็สิ้นชีวิต และโมริเฮอิเกิดความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก เขาจึงได้ เดินทางไปเมืองอายาเบ้ใน จังหวัดเกียวโตและที่นั่นเขาได้พบกับ โอนิซาบุโร เดกูชิ ผู้นำของ โอโมโตเกียว
ซึ่งเป็นศาสนาหนึ่งของญี่ปุ่น ที่นั่นเขาได้รับการฝึกฝนการทำสมาธิ

ในปี ค.ศ. 1920 (พ.ศ. 2463) โมริเฮอิ ได้จัดตั้งยิมเนเซียม (สนามกีฬาในร่ม) ชื่อว่า อูเอชิบาจูกุ ในอายาเบ้ของจังหวัดเกียวโต ซึ่งเขาต้องการจะทำมานานแล้ว ในปี ค.ศ. 1922 (พ.ศ. 2465) เขาเป็น ผู้ฝึกสอนศิลปะป้องกันตัวในชื่อว่า ไอคิ บูจัทสึ (Aiki bujutsu) ซึ่งหมายความว่า การรวมพลังจิต พลังใจ และพลังกายเข้าด้วยกัน

วันหนึ่งมีนายทหารเรือคนหนึ่ง ซึ่งได้ยินเรื่องราวของอูเอชิบา จูกุ จึงมาท้าทาย โมริเฮอิ แข่งขัน ต่อสู้กับดาบไม้ของเขาโมริเฮอิ ยืนแน่วนิ่งด้วยมือเปล่า และพูดว่า "ตีผมได้เลย เวลาไหนก็ได้" นายทหารเรือคนนั้น พยายามตี โมริเฮอิ ด้วยความรุนแรง และเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาด้วยดาบไม้ของเขา แต่โมริเฮอิ หลบหลีก ไปอย่างง่าย ๆ นายทหารเรือผู้นี้ก็พยายามที่จะตีเขาอยู่ตลอดเวลา ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง แต่โมริเฮอิ เคลื่อนไหวหลบหลีกดูว่าทำด้วยความแผ่นเบาว่องไว แต่ในที่สุดนายทหารเรือผู้นั้น จึงหยุดตี และนั่งลงพักเหนื่อย

หลังจากนั้น โมริเฮอิ จึงอุทิศเวลาต่อการสอน ไอคิ บูจัทสึ ต่อไปประดุจดั่งว่าเขาเป็น ผู้มีพลัง ความสามารถมาก และเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป

ปี ค.ศ. 1922 (พ.ศ.2465) ก่อกำเนิดศิลปะไอคิยูยิสสู (Aiki jitsu) อันมีกำลังใจ, ใจ, ร่างกายรวมกันเป็นหนึ่งเดียว (กำลังใจ คือ กำลังที่ออกจากใจ , ใจซึ่งเป็นของตัวเราเอง, ส่วน ร่างกาย คือกายเนื้อ) 3
สิ่งนี้รวมกันเป็นรากฐานของไอคิโด

ปี ค.ศ. 1942 (พ.ศ.2485) ได้เปลี่ยนชื่อจาก "ไอคิบูโด" (Aikibudo) เป็น "ไอคิโด" (Aikido) ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ปี ค.ศ. 1960 (พ.ศ.2503) รัฐบาลญี่ปุ่นได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้ปรมาจารย์

ปี ค.ศ. 1961 (พ.ศ.2504) ได้รับเชิญจากอเมริกาให้ไปแสดงและสอนที่ฮาวาย

ปี ค.ศ. 1964 (พ.ศ.2507) จักรพรรดิ์ญี่ปุ่นได้พระราชทานเครื่องราชฯ ชั้นที่ 4

ปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ.2511) วันที่ 26 เดือน เมษายน เสียชีวิต (รวมอายุ 86 ปี) ได้รับเครื่อง ราชฯ ชั้นที่ 3 อีกครั้ง

จาก : vr2800.com

@//แอดมินกอล์ฟ

รวบหญิงพม่าเช่าเด็กทารกมานั่งขอทาน รายได้วันละ 800-2,000 บาท

วันนี้ (4 กรกฎาคม 2556) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว จ.เชียงใหม่ ได้จับกุมตัว นางแม้ตู่ หญิงพม่า วัย 40 ปี หลังก่อเหตุนำเด็กทารกเพศชายวัย 10 เดือนชาวพม่า มานั่งขอทานบริเวณสะพานแม่ข่า ย่านไนท์บาร์ซ่า ในตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อขอทานจากนักท่องเที่ยว พร้อมของกลางเงินธนบัตรและเงินเหรียญ ที่ได้จากการขอทานเกือบ 1,000 บาท

โดยทางด้าน นางมิ่งขวัญ วีระชาติ หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัว จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ผู้ต้องหาได้เช่าทารกเพศชายวัย 10 เดือนมาจากมารดาชาวพม่าที่มีฐานะยากจน โดยนั่งรถโดยสารมาจากเมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-พม่า เข้ามาทาง อ.แม่สาย จ.เชียงราย และนั่งรถต่อมายัง จ.เชียงใหม่ เพื่อมานั่งขอทานจากนักท่องเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่ โดยให้ค่าจ้างระยะเวลา 3 เดือน เป็นเงิน 500,000 จ๊าด หรือประมาณ 15,000 บาท ซึ่งแต่ละวันมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 800 บาท หากเป็นช่วงวันหยุดจะได้มากถึงวันละ 2,000 บาท ถือว่าสร้างรายได้เป็นอย่างดี แต่ผู้ต้องหาเช่าบ้านพักอาศัยอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ได้เพียง 13 วันก็ถูกจับกุมเสียก่อน

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาเป็นธุระจัดหาและนำพาคนมาขอทาน โดยแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากตัวเด็ก ซึ่งเป็นการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ มีโทษจำคุก 8-12 ปี หรือ ปรับตั้งแต่ 160,000-300,000 บาท อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังอยู่ระหว่างขยายผลโดยเชื่อว่ามีการทำเป็นขบวนการ และผู้ต้องหาอ้างว่ามีคนมีสีอยู่เบื้องหลังในการลักลอบเข้ามาในประเทศ


กลุ่มหนุมานบุกยื่นหนังสือพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ส.ส.ลาออกมาต่อสู้กับภาคประชาชน

เมื่อเวลา 14.15 น.(4ก.ค.56) กลุ่มหนุมานอาสา ประมาณ 10 คน ซึ่งใส่หน้ากากหนุมาน นำโดย นายสุรวัชระ สังขฤกษ์ เดินทางมายังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เพื่ออ่านแถลงการณ์ "หนุมานอาสา ปฏิรูปประเทศไทย" โดยเรียกร้องให้ สส.พรรคประชาธิปัตย์ลาออกจากการเป็นสส. เพื่อมาร่วมต่อสู้กับภาคประชาชน เพราะเห็นว่าการเมืองในระบบรัฐสภาในปัจจุบัน ถูกนักลงทุนซื้อเสียงเลือกตั้งเข้ามาเป็นรัฐบาล โดยเสียงของสส.พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถต่อรองหรือคัดค้านได้ จึงขอให้ร่วมต่อสู้กับภาคประชาชนเพื่อปฏิรูปประเทศไทย ไปสู่สังคมนิติธรรม ขจัดทุนนิยมผูกขาดสามานย์ สร้างสมดุลในสังคมและปกป้องสิทธิประโยชน์ ในสังขทรัพย์แหล่งพลังงานเพื่อเฉลี่ยรายได้ให้ประชาชนในรูปแบบสวัสดิการ เพื่อให้ชาติไทยพ้นวิกฤติ โดยมีนายกุลเดช พัวพัฒนกุล สส.อุทัยธานี พรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวแทนพรรครับแถลงการณ์ดังกล่าว


ในหลวงพระพักตร์สดใสเสด็จฯบางปูทอดพระเนตรโครงการน้ำ

ข่าวราชสำนัก วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2556 15:15น.
463638
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระพักตร์สดใส เสด็จฯ จากโรงพยาบาลศิริราช ไปยังสถานตากอากาศบางปู ทอดพระเนตรโครงการน้ำในพระราชดำริ พสกนิกรเฝ้ารอรับเนืองแน่น
เมื่อเวลา 14.18 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินลงจากชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานตากอากาศบางปู จ.สมุทรปราการ เพื่อทรงทอดพระเนตร โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมทั้งทรงเปลี่ยนพระอริยาบถ ทอดพระเนตรทัศนียภาพของสถานตากอากาศบางปู จ.สมุทรปราการ
ในการนี้ทรงฉลองพระองค์สูทสีส้ม มีพระพักตร์ที่สดใส พร้อมทรงพระสรวล ให้กับเหล่าพสกนิกรที่ได้มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน
อนึ่งที่บริเวณโรงพยาบาลศิริราชตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน ซึ่งมีเหล่าพสกนิกรประชาชนจำนวนมากต่างมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จเมื่อขบวนเสด็จพระราชดำเนินผ่าน เหล่าพสกนิกรต่างเปล่งเสียง ทรงพระเจริญ ดังกึกก้อง
 เวลา 15.10 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินถึงยังศาลาสุขใจ ภายในสถานตากอากาศบางปู จังหวัดสมุทรปราการ ด้วยฉลองพระองค์เสื้อเชิ้ตลายดอกสีขาวสลับส้ม พร้อมด้วยสูทสีส้ม ทรงสวมสนับเพลาสีดำ รองพระบาทสีดำ มีพระพักตร์ที่แจ่มใส ทรงแย้มพระโอษฐ์ ให้เหล่าพสกนิกรและข้าราชการที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ ในการเสด็จพระราชดำเนินในครั้งนี้ มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก นายสุรชัย อังเกิดโชค รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วยข้าราชการรอเฝ้าฯ รับเสด็จ
ต่อมาเวลา 16.15 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินถึงยังศาลาสุขใจ สถานตากอากาศบางปู เพื่อเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วย
ทั้งนี้ ตลอดเส้นทางเสด็จฯ มีประชาชนชาวสมุทรปราการ ที่ทราบข่าว ต่างพร้อมใจกันมารับเสด็จอย่างเนืองแน่น แม้แดดจะร้อน โดยต่างโบกธงชาติ และธงสัญลักษณ์พระปรมาภิไธย ย่อ ภ.ป.ร. และพร้อมใจกันเปล่งเสียง ทรงพระเจริญ ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ มีบางรายหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปีติที่ได้เห็นพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง

ขอบคุณภาพจาก @ชาญณรงค์ พรดิลกรัตน์
ที่มา : สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น.

ฉันเป็นเด็กหนีโรงเรียน

ระพี สาคริก

เธอเพื่อนรักทุกคน ฉันหวังว่าหลายคนคงทราบแล้วว่าขณะนี้ฉันมีอายุใกล้ 92 เข้าไปทุกขณะ หวนกลับไปนึกถึงช่วงปี พ.ศ. 2477 ซึ่งช่วงนั้นฉันเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 2 ชั้นเบื่อการเรียนให้ห้องเต็มที ถ้าจะถามว่าเหตุใดฉันจึงหนีโรงเรียน ความจริงตอบไม่ยากเลย ถ้ารู้จักใช้ปฏิภาณนั้นก็คือการกลับกระแสดังกล่าว แล้วเธอก็จะพบความจริงได้เอง

ถ้าจะให้ฉันเจาะคำถาม ฉันคงพูดว่า “ฉันคิดหนีโรงเรียนเพราะโรงเรียนไล่ตามฉันแต่ตามไม่ทัน ใช่หรือเปล่า

เมื่อฉันเรียนอยู่ในชั้นมัธยม 1 ใครๆก็คิดว่าตัวฉันเองเรียนเก่ง เพื่อนก็บอกว่าเรียนเก่ง ครูก็บอกว่าเรียนเก่ง เลยตัดสินใจให้ฉันข้ามชั้นเรียนหน้าตาเฉยโดยไม่ถามสักคำเดียว

ความจริงฉันเรียนอยู่ในชั้นทำไมคนเหล่านั้นจึงไม่สังหรณ์ใจว่าเหตุใดฉันจึงเรียนเก่ง

คำตอบก็คือก็เพราะตัวฉันเองไม่หวงวิชา รู้อะไรก็เปิดโอกาสให้เพื่อนๆถามได้อย่างอิสระ แม้แต่ครูถามฉันก็ไม่กลัว นี่แหละที่ฉันเบื่อการเรียนในชั้นที่มันมีแต่เรื่องซ้ำๆซากๆ

ถ้าถามฉันว่าหนีไปไหน คำตอบก็คือหนีไปเรียนเอง และเรียนในสิ่งที่ตนไม่เคยรู้มาก่อน แม้กระทั่งใครว่าฉันเก่งวิทยาศาสตร์ แต่ฉันก็ไปเรียนศิลปะ ฉันแอบไปนั่งเขียนรูปพระที่นังอนันตสมาคมอยู่ในเขาดินวนา บางครั้งก็ไปสังเกตอะไรต่อมิอะไรที่เราไม่เคยนำมาคิดวิเคราะห์

ปรกติคนทั่วไปมักเชื่อว่าการเรียนจะต้องอยู่ในโรงเรียนเท่านั้น แต่ฉันเป็นเด็กอุตริชน สิ่งใดที่ใครๆเขาว่ามันยากแสนยากฉันจะสนใจเรียนเองและค้นหาเหตุผลด้วยตนเองทั้งหมด แม้แต่วิชาสถิติฉันก็ไม่ยอมเรียนจากครูสอน

นี่แหละตัวฉันเองไม่เพียงแต่เป็นเด็กอุตริเท่านั้น แต่ยังเป็นเด็กดื้ออีกด้วย

ฉันนึกถึงภาษิตโบราณที่กล่าวไว้ว่า “ถ้าไม่มีเหตุนั้นก็ย่อมไม่มีเหตุนี้” เพราะฉะนั้นฉันจึงทำตัวเป็นอุตริชนมาตลอด กล้วยไม้ฉันก็ไม่ได้เรียนในโรงเรียน เพราะถ้าสนใจเรียนก็คงไม่มีใครมาสอนฉัน แต่เพราะการเรียนรู้ด้วยตัวเองนี่แหละที่มันทำให้เป็นคนมีความสามรถ อีกทั้งยังเป็นคนมีนิสัยกล้าหาญอีกด้วย

เธอลองอ่านดูก็แล้วกันว่าฉันได้งานประชุมกล้วยไม้โลกมาอย่างไร อ่านแล้วอย่าสงสัยนะเธอ ประเดี๋ยวจะเป็นเหมือนที่เคยพูดเอาไว้ว่า “จะจัดงานกล้วยไม้โลกก็ไปเอาคนที่เก่งเรื่องกล้วยไม้มาทำ

ฉันพูดอยู่เสมอว่าถ้าจะจัดงานประชุมกล้วยไม้โลกก็ต้องเอาคนที่ไม่รู้เรื่องกล้วยไม้โลกมาทำ ซึ่งจะทำให้ประสบความสำเร็จจอย่างแน่นอน

ฉันจะเฉลยปัญหาด้วยก็ได้ว่าเพราะเหตุใด เพราะคนที่เขาไม่ได้รู้เรื่องกล้วยไม้นั่นแหละเขารู้เรื่องมนุษย์ดีกว่าอย่างอื่น

ถ้าเธอไม่ลืมสัจธรรมบทหนึ่งซึ่งกล่าวไว้ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างมีมนุษย์เป็นเหตุทั้งสิ้น

โบราณก็ได้กล่าวฝากไว้ว่า “อยู่ที่ไหนก็ให้คนเขารัก จากไปก็ให้คนเขาคิดถึง”

หาใช่ “อยู่ที่ไหนก็ให้กล้วยไม้เขารัก จากไปก็ให้กล้วยไม้เขาคิดถึง”

แม้แต่การศึกษาธรรมะก็เช่นกัน เมื่อพูดถึงธรรมะก็ต้องเขาวัด ทั้งชีวิตเท่าที่ผ่านมาแล้ว ฉันไม่เคยได้ยินใครพูดเลยว่า “ธรรมประจำวัด มีแต่พูดว่าธรรมประจำใจ”

ฉันฝากไว้นิดเดียวว่าเวลาเธอเดินไปไหนมาไหนแล้วนิ้วหัวแม่เท้ามันสะดุดตะปู ก็ขอให้เธอหวนกลับมาดูว่าเธอสะดุดอะไรอยู่

บ้านระพี สาคริก พหลโยธิน 41 จตุจักร กรุงเทพฯ 10900

ระพี สาคริก
4 กรกฎาคม 2556