PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เปิดสถิติการดำเนินคดีพลเรือนในศาลทหาร ปี 2

เปิดสถิติการดำเนินคดีพลเรือนในศาลทหาร ปี 2+++
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รับข้อมูลจากกรมพระธรรมนูญ ระบุว่าตั้งแต่ 22 พ.ค. 2557- 31 พ.ค. 2559 มีคดีของพลเรือนที่ถูกดำเนินคดีในศาลทหารจำนวน 1,546 คดี คิดเป็นจำนวนผู้ต้องหาและจำเลยรวม 1,811 คน เป็นคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดี 517 คดี และคดีที่ศาลพิจารณาคดีเสร็จสิ้นแล้ว 1,029 คดี
จากสถิติดังกล่าว ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนมีข้อสังเกต ดังนี้
1. การที่ คสช. ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 – 1 เม.ย. 2558 ส่งผลให้คดีซึ่งเกิดระหว่างการประกาศกฎอัยการศึกดังกล่าวนั้นไม่สามารถอุทธรณ์และฎีกาได้ สถิติดังกล่าวไม่ได้แบ่งแยกเวลาทำให้ไม่สามารถทราบได้ว่าคดีที่ไม่มีสิทธิในการอุทธรณ์ฎีกามีจำนวนเท่าใด
2. จากสถิติคดีทั้งในพื้นที่ต่างจังหวัดและกรุงเทพมหานครพบว่า ประเภทคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณาในศาลทหารมากที่สุดยังคงเป็นประเภทคดีตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 สถิติคดีที่สูงแสดงให้เห็นว่ามีคดีเพียงส่วนน้อยซึ่งเกี่ยวข้องทางการเมืองเท่านั้น แต่คดีส่วนใหญ่เป็นคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยเหตุซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจทางการเมือง แต่กลับต้องถูกดำเนินคดีในศาลทหาร ซึ่งมีหลักประกันสิทธิการได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมน้อยกว่าศาลยุติธรรรม
3. เมื่อเทียบกับสถิติการดำเนินคดีพลเรือนในศาลทหารช่วง 22 พ.ค. 2557- 30 ก.ย. 2558 มีพลเรือนซึ่งถูกดำเนินคดีมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญาในศาลมณฑลทหารบก 2 ราย ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลล่าสุดที่ได้รับ คือ ไม่มีคดีมาตรา 116 ในศาลมณฑลทหารบกเลย
นอกจากนี้สถิติคดีมาตรา 116 ในศาลทหารกรุงเทพ 5 คดีนั้นยังน้อยกว่าความเป็นจริง ซึ่งศูนย์ทนายความฯทราบว่า มีคดีอย่างน้อย 6 คดี คือ คดีของนายจตุรนต์ ฉายแสง คดีของสมบัติ บุญงามอนงค์ คดีพลเมืองรุกเดินของพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ คดีมอบดอกไม้ให้พันธ์ศักดิ์ของลุงปรีชา คดีของรินดาซึ่งโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก และยังคงมีอีกหลายคดีที่อยู่ในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของอัยการทหาร เช่น คดี 14 ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ คดี 8 แอดมินเพจเรารักประยุทธ์ เป็นต้น ข้อมูลสถิติดังกล่าวจึงอาจยังไม่ครบถ้วนตามความเป็นจริง
4. เมื่อเทียบกับคดีในความรับผิดชอบของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเฉพาะที่อยู่ในเขตอำนาจศาลทหารทั้งหมด 53 คดี โดยมีคดีที่สิ้นสุดแล้ว 16 คดี ซึ่งล้วนแต่เป็นคดีที่จำเลยรับสารภาพและไม่มีการสืบพยานในชั้นศาล แต่คดีที่ยังไม่สิ้นสุดอีก 37 คดี ที่จำเลยต่อสู้คดี ยังไม่มีคดีใดเลยที่ศาลทหารพิจารณาเสร็จสิ้นในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา เนื่องจากศาลทหารไม่มีระบบการนัดพิจารณาคดีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเมื่อพยานซึ่งนัดไว้ล่วงหน้าไม่มาศาลโดยอ้างเหตุติดราชการ ศาลก็จะมีคำสั่งให้เลื่อนการสืบพยาน ทำให้เสียวันนัดดังกล่าวไป และโดยปกติศาลทหารจะนัดสืบพยานเพียงครึ่งวันในช่วงเช้าเท่านั้น ทำให้การพิจารณาคดีของศาลทหารเป็นไปอย่างล่าช้าเมื่อเทียบกับคดีประเภทเดียวกัน คือข้อหาฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่ง คสช.ที่อยู่ในเขตอำนาจศาลยุติธรรม เนื่องจากเหตุในคดีเกิดก่อนการประกาศให้คดีฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่ง คสช. พิจารณาในศาลทหาร อาทิ คดีฝ่าฝืนการชุมนุมทางการเมืองของอภิชาติ พงษ์สวัสดิ์ ในศาลแขวงปทุมวัน และคดีฝ่าฝืนคำสั่งเรียกรายงานตัวของสมบัติ บุญงามอนงค์ในศาลแขวงดุสิต ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้คดีในศาลชั้นต้น ปรากฎว่าคดีดังกล่าวล้วนพิจารณาและพิพากษาแล้วทั้งสิ้น แต่คดีฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่ง คสช.ในศาลทหาร อาทิ คดีฝ่าฝืนการรายงานตัวของจิตรา คชเดช กลับยังพิจารณาไม่เสร็จสิ้น
อ่านรายละเอียดทั้งหมดที่ http://www.tlhr2014.com/th/?p=1650

"ใครที่ไม่เกี่ยวข้องก็อย่าร้อนตัว"



"ใครที่ไม่เกี่ยวข้องก็อย่าร้อนตัว"
"นายกฯบิ๊กตู่" เผยมาเลเซีย รับเรื่องไปพิสูจน์หลักฐานมือถือ ระเบืดใต้ ไปตรวจสอบแล้วอยู่ระหว่างดำเนินการ ขออย่าถามอีก ยันให้ความเป็นธรรมทุกคน ไม่มีแพะ หรือแกะในคดีนี้แน่นอน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า ในการเดินทางไปร่วมประชุม International Conference on Blue Ocean Strategy ครั้งที่ 1 ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ไม่ได้มีการพูดคุยกับนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เกี่ยวกับเหตุระเบิดและพบหลักฐานโทรศัพท์ที่มาจากทางมาเลเซีย
โดยในความเป็นจริงทางมาเลเซีย ได้รับหลักฐานไปแล้วอยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบ ซึ่งวันนี้ฝ่ายความมั่นคง คุยกันอยู่แล้ว
"บางครั้งบางเวลาก็ไม่เหมาะที่จะคุยในบางเรื่อง ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาทุกเรื่องไปคุย และพันกันทุกเรื่อง ซึ่งทางมาเลเซียก็ไม่ได้คุยกับผมคนเดียว มีหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศกลุ่มมุสลิม OIC
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีการสรุปสถานการณ์ล่าสุดอย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงเขาทำงานกันอยู่ และได้มีการชี้แจง รวมทั้งอยากขอร้องสื่อมวลชนว่าทำอย่างไรจะช่วยสร้างความเข้าใจให้เกิดมากยิ่งขึ้น และรัฐบาลไม่ได้ปิดบังข้อมูล แต่เป็นเรื่องการสอบสวน ซึ่งต้องให้โอกาสเจ้าหน้าที่ในการทำงานบ้าง อย่างบางคดีต้องใช้เวลานาน
ขณะเดียวกัน สื่อก็ต้องช่วยกันสร้างให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพ ซึ่งจะมีผลต่อการท่องเที่ยว ถ้าสื่อถามทีละฝ่ายทีละประเด็นก็จะผิดเพี้ยนไปหมด ประชาชนก็จะเกิดความสับสน ผมจึงอยากขอร้องสื่อหยุดถาม โดยหลายมีความชัดเจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะแถลงให้ทราบเอง
ในส่วนของความคืบหน้าก็มีต่อเนื่องเรื่อย ๆ และยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้งทั้งสิ้น ใครที่ไม่เกี่ยวข้องก็อย่าร้อนตัว เรื่องนี้ขอให้ถามฝ่ายความมั่นคง
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อผู้สื่อข่าวจากเดอะเนชั่น พยายามสอบถามถึงความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ของคุณนั่นแหละที่ออกไปต่างประเทศล้วน ๆ ระวังด้วย ระวังว่าข่าวจะทำให้ประเทศชาติเสียหาย คุณเขียนอะไรออกไป ประเทศชาติอยู่ตรงไหน ถ้าคุณจะขยายไปเรื่อย ๆ ให้ประเทศชาติเสียหายก็เรื่องของคุณ อย่ามาโทษผม"
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีรายงานหรือไม่ว่าทางฝ่ายความมั่นคง และตำรวจ มองว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับการทำประชามติ นั้นจริงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้อนถามว่า "เขาบอกหรืออย่างไร เขาบอกแต่เพียง ยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้ง ซึ่งมีหลายปัจจัยด้วยกัน ซึ่งผมก็ฟังเขาพูดอยู่
"สื่ออย่าไปโยงแต่เรื่องการเมืองอย่างเดียว มันหลายอย่างผสมกันไป เดี๋ยวฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ดำเนินการได้ ใจเย็น ๆ เดี๋ยวเขาก็สืบจนได้ จะเห็นได้ว่าเราให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ผิดก็ผิด ไม่ผิดก็คือไม่ผิด ก็ดูแลกันแค่นั้นเอง"
สิ่งที่สำคัญที่สุดวันนี้ต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่บ้าง อย่าต้องให้มาตอบคำถามสื่อทุกวัน วันนี้คดีมีมากมายเป็นหมื่นเป็นแสนคดี อย่าลืมว่าเจ้าหน้าที่ต้องทำคดีอื่นด้วย
สำหรับเหตุระเบิดคดีนี้เจ้าหน้าที่ก็ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ จัดทีมขึ้นมาโดยมีพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงไปดูแลในพื้นที่ เจ้าหน้าที่เขาให้ความสำคัญ ฝ่ายความมั่นคงต้องใช้สายข่าวทั้งตำรวจ ทหาร และความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งหมด เขาทำหมดแล้วเพียงแต่ว่าเกิดเหตุปุ๊บก็จะสามารถจับได้ปั๊บ ไม่มีใครจับใครได้นอกจากโจรจี้ปล้น ต้องอาศัยการสืบสวนสอบสวน และทำอย่างไรจะไม่ให้ใครเดือดร้อนจากการกระทำทางกฎหมาย
" ยืนยันว่าไม่มีแพะ หรือแกะใด ๆ ทั้งสิ้น อย่าหาว่าผมโมโห ยืนยันว่าไม่โกรธ เพียงแต่มันกดดันที่ผมจะต้องตอบคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ หลายคนจี้คำถามมาโดยตลอด และถ้าผมต้องตอบทุกคำถามมันก็ตาย ผมก็เครียดจะให้ผมตอบทุกวัน ครับผมฯ มันไม่ใช่
วันนี้ผมกำลังทำงานอยู่ อีกหลายเรื่องยังรอผมอยู่ อีกสักครู่ทูตต่างประเทศก็จะมาพบ เขาคงไม่มาถามผมในเรื่องระเบิด แต่มีคำถามว่าจะร่วมมือกับไทยได้อย่างไร
วันนี้นักท่องเที่ยวก็ไม่ได้ลดลง ไม่มีการยกเลิกเที่ยวบิน มีแต่คนไทยที่ลดลง ถ้าเจ้าบ้านยังไม่แสดงความไว้เนื้อเชื่อใจ สร้างความเชื่อมั่นกันเอง ทุกอย่างมันก็จบหมด ผมขอฝากไว้ด้วยแล้วกัน ให้ช่วยกันคิด"

บิ๊กตู่ แบะท่าพร้อมเป็นนายกฯ เปรยวันข้างหน้า คงมีคนดีมาให้เป็นผู้นำ



บิ๊กตู่ แบะท่าพร้อมเป็นนายกฯ เปรยวันข้างหน้า คงมีคนดีมาให้เป็นผู้นำ ประเทศนี้มีคนดีกว่าผม แต่ถ้าหาคนดีไม่ได้ ค่อยมาคุยกับผม /ขอบคุณ"ไพบูลย์"เสนอเป็นนายกฯ แต่อย่ามาลากผมไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองในตอนนี้ แนะ รอดูตอนจบ นี่เพิ่งสร้างตอนแรก

พลเอกประยุทธ์ ถูกถามถึงกรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ประกาศตั้งพรรคการเมือง เพื่อรองรับพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ หลังเลือกตั้ง นั้น
" เป็นเรื่องของนายไพบูลย์ ต้องขอขอบคุณในความหวังดี แต่ผมยังไม่เกี่ยวข้องอะไรทั้งสิ้น จะให้ติดต่อมาเท่าไหร่ ผมก็ไม่ต่อด้วยอยู่แล้ว มันไม่ใช่เวลาในตอนนี้
นายไพบูลย์จะพูดอะไรก็ไป สังคมก็ดูเอา อย่ามาลากผมไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองในตอนนี้ ยังไม่ใช่ตอนนั้นมันคนละเรื่อง วันนี้ผมกำลังแก้ปัญหาประเทศอยู่
เมื่อถามว่านายไพบูลย์ให้ความเห็นว่าคนที่รับร่างรัฐธรรมนูญคือคนที่อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งนายกฯในอนาคต นายกฯกล่าวว่า ก็ไปถามคนรับร่างฯ จะมาถามอะไรผม ไม่ตอบ
เมื่อถามว่าวันนี้มีทั้งเสียงเชียร์และเสียงเฉยๆ กับการให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯต่อ นายกฯกล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลา อย่าเพิ่งมาพูดตอนนี้ ไม่ขอตอบทั้งสิ้น เพราะพูดไปก็ขัดแย้งกับคนนี้คนนั้น ผมไม่พูดไม่ใช่เวลา ยังไม่ถึงเวลาเลือกตั้ง ไม่ตอบ จบ
บ้านเมืองกำลังจะขับเคลื่อนวุ่นวายจะตาย ไปถามเรื่องอนาคตจะตายกันวันนี้ยังไม่สนใจ เศรษฐกิจต่างๆ เหล่านี้กำลังขับเคลื่อน ก็ดีขึ้นทำไมไม่ขยายให้บ้าง สศช. แถลงตัวเลขจีดีพี ออกมารู้หรือไม่ ขยายกันแต่เรื่องระเบิด ตัวเลขมันคงขึ้นหรอก อย่ามาโทษผม
เมื่อถามว่าทำไมเวลาถูกถามเกี่ยวกับเรื่องการเมืองต้องโมโหทุกครั้ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มันไม่ใช่เวลาของผม วันนี้ผมเป็นอะไร เป็นหัวหน้าคสช. เป็นนายกฯ ที่มาจากกระบวนการเหล่านี้ แล้วมาถามการเมืองปกติมันไปได้มั้ย การเมืองที่เป็นประชาธิปไตยสากลที่ท่านบอกต้องการมันคงละเรื่องกับวันนี้ ถึงเวลาแล้วไปว่าตรงโน้น จะให้มันแตกวันนี้ก่อนหรือยังไง
เมื่อถามว่าวันนี้นายกฯ ทำและมองอนาคตของประเทศไทย ขณะที่คนไทยเขาก็มองอนาคตคนที่จะมาเป็นผู้นำเหมือนกัน นายกฯกล่าวว่า ปัดโธ่! เอาวันนี้ก่อน วันหน้าท่านก็เลือกกันเอง อยากเลือกใครก็เลือก อย่าเพิ่งเอาตนไปเกี่ยวข้องตรงโน้น มันก็จะตีกันตรงนี้ ทะเลาะกันตรงนี้ก่อนแล้วบ้านเมืองจะไปได้หรือไม่ ใครก็ใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งทางการเมืองไปเติมอย่างอื่นเข้าอีก ท่านต้องช่วยในการรักษาความสงบเรียบร้อย ประคับประคองไปก่อน รัฐธรรมนูญออกมารอดูกฎหมายลูกเสร็จแล้วก็ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ เตรียมกฎหมายจัดการเลือกตั้งเพื่อเตรียมสู่กระบวนการเลือกตั้ง มันอีกตั้งยาวแต่มาถามในสิ่งที่ยังไม่เห็นในวันข้างหน้า อย่างที่เคยพูดไว้กลัวผีที่มองไม่เห็นจะกลัวกันทำไมวันนั้น
"ใครก็ได้ ผมคิดว่ามีคนดีมากกว่าผมอีกเยอะแยะในประเทศนี้ ไปดูก็แล้วกัน ถ้าหาคนดีไม่ได้ค่อยมาพูดกับผม"
“ไม่เคยโกรธ ไม่เคยโมโห เพียงแต่เสียงดังหน่อยเข้าใจฉันสิ ฉันก็หวังดีกับชาติบ้านเมืองเหมือนกับเธอนั่นแหละ ซึ่งผมก็เข้าใจการทำงานของสื่อแล้วจะเห็นว่าหลังๆ ผมอารมณ์ดีตลอด ผมไม่อยากตอบ เพราะตอบก็ขุ่นข้องหมองใจกันเปล่าๆ ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เจตนา
สิ่งสำคัญต้องมองประเทศชาติมาก่อนว่าควรจะอย่างไรในตอนนี้ แล้ววันหน้าจะอย่างไรก็เป็นคนละเรื่อง
"เหมือนหนังคนละตอน กำลังสร้างหนังต้นเรื่องอยู่ เรื่องการเป็นประเทศมั่นคง มั่งคั่ง ปลอดภัย กำลังสร้างหนังเริ่มตอนแรก แต่ไปเอาตอนจบมาว่าแล้ว มันจะไปได้ไหม หนังเรื่องนี้จะสร้างจบไหม คงสร้างไม่จบเพราะมันต่อกันไม่ได้ เนื่องจากแตกกันตั้งแต่ฉากแรก
อย่าหาว่าฉันโมโห ไม่เคยโกรธเพียงแต่มันกดดันฉันที่ต้องตอบคำถามที่ไม่มีคำตอบ หลายคนก็ยื่นคำถามว่า หากฉันต้องตอบทุกคำถามฉันก็ตาย ฉันก็เครียดสิ จะให้ฉันครับผมหรือท่านครับ มันไม่ใช่เพราะผมกำลังทำงานอยู่ มีอีกหลายเรื่องที่ยังรออยู่” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ความสับสนปมระเบิด

ช่วงนี้ข่าวจากทั้งสื่อกระแสหลักและโซเชียลมีเดียสร้างความสับสนต่อสาธารณชนเป็นอย่างมาก ในประเด็นเบื้องหลังขบวนการวินาศกรรมทำลายชาติเป็นฝีมือของใครกันแน่ระหว่างกลุ่มอำนาจเก่าที่ต้องการบ่อนทำลายเศรษฐกิจความมั่นคงของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังพ่ายแพ้เกมคว่ำร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงอย่างยับเยินจากผลการทำประชามติ หรือจะเป็นฝีมือของกลุ่มใต้ แต่ไม่ว่ากลุ่มไหนล้วนแล้วแต่ระยำอุบาทว์ทั้งสิ้น

ฝ่ายตำรวจโดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ล่าสุดก็ยังฟันธงว่าแรงจูงใจในการก่อวินาศกรรมมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลการลงประชามติเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมหาชนส่วนใหญ่แสดงฉันทามติเห็นชอบรับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงแบบขาดลอย

ผบ.ตร.ย้ำว่า เหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นเป็นการก่อวินาศกรรมไม่ใช่ก่อการร้าย เพราะหากเป็นการก่อการร้ายต้องแสดงตัวชัดเจน แต่เหตุการณ์วินาศกรรมระเบิดและเผาใน 7 จังหวัดภาคใต้เป็นการลอบก่อเหตุส่อเจตนามุ่งผลทางการเมือง หวังบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาลและคสช.

คำชี้แจงของผบ.ตร.นั้นเป็นการเปิดเผยความจริงเพียงบางส่วนซึ่งสาธารณชนต้องเข้าใจเพราะข้อมูลเบื้องลึกบางอย่างยัง
ไม่สมควรเปิดเผยเพราะอาจทำให้ยากต่อการขยายผลทางคดี ซึ่งแม้พยานหลักฐานที่ฝ่ายตำรวจมีอยู่พอจะบ่งชี้ได้ว่าการก่อวินาศกรรมเป็นฝีมือของกลุ่มอำนาจเก่า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการโจรก่อการร้ายในชายแดนภาคใต้ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง แย้มเป็นนัยว่า อาจจ้างพวกโจรมือปืนรับจ้างมาร่วมก่อเหตุ

ทั้งนี้ เหตุการณ์ลอบก่อวินาศกรรมด้วยระเบิดหลายครั้งที่ผ่านมาก็มีเบาะแสว่ามีการจ้างโจรใต้ประเภทปลายแถวมาก่อเหตุ อาทิ ที่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงหรือแม้แต่ที่ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี

กลุ่มอำนาจเก่านั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายซึ่งเหตุการณ์ก่อจลาจล ก่อวินาศกรรมหรือก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองช่วงที่ผ่านมาก็มีการจ้างนักรบรับจ้างจากประเทศเพื่อนบ้านมาร่วมก่อเหตุการณ์รุนแรงซึ่งพวกนี้พอก่อเหตุก็หลบออกนอกประเทศจับมือใครดมไม่ได้ และช่วงหลังก็ใช้วิธีจ้างโจรใต้ปลายแถวเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นและตัดตอนไม่ให้สาวมาถึงตัวคนสั่งการ

สำหรับขบวนการโจรใต้นั้นมีอยู่หลายกลุ่มและบางกลุ่มไม่ได้เป็นพวกที่มีอุดมการณ์อะไรโดยเฉพาะโจรใต้รุ่นใหม่ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากขบวนการค้ายาเสพติด แก๊งค้ามนุษย์ หรือสินค้าเถื่อน โจรใต้วัยรุ่นบางคนมีพฤติกรรมไม่ต่างจากพวกเด็กแว้น บางคนติดยาเสพติดหรือพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาสนองความต้องการของตัวเอง

เพราะฉะนั้นกลุ่มอำนาจและโจรใต้จึงอาจเป็นเรื่องเดียวกัน ดังนั้น สาธารณชนขอให้ใจเย็นรอดูผลงานของฝ่ายตำรวจที่มั่นใจว่าจะกระชากหน้ากากขบวนการวินาศกรรมทำลายชาติได้แน่ ซึ่งแม้จะช้าหน่อยแต่ชัวร์มีหลักฐานมัดแน่นขบวนการอุบาทว์ทำลายชาติยกแก๊ง ยังดีกว่ารีบร้อนจับแพะ และที่สำคัญอย่าให้กลายเป็นคดีคลื่นกระทบฝั่งเหมือนที่ผ่านๆ มาก็แล้วกัน

ทีมข่าวการเมือง

“ทนาย ดร.ทักษิณ” ร้อง ปอท.ดำเนินคดี "อาทิตย์" และผู้ใช้งานสื่อออนไลน์ โพสต์ใส่ร้ายโยงระเบิดภาคใต้


‪#‎NEWSROOM‬ ‪#‎TV24‬ ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ผู้รับมอบอำนาจจาก ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มายื่นคำร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต และผู้ที่กระทำการใส่ร้าย ดร.ทักษิณ ที่กล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ โดย น.ส.ขัตติยา ได้กล่าวว่า จากกรณีที่มีการก่อเหตุความไม่สงบในช่วงก่อนการลงประชามติใน 3 จังหวัดภาคใต้และการก่อเหตุวางระเบิดในหลายจังหวัดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากคนไทยทั้งประเทศต่างเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ พร้อมทั้งขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ของรัฐในการสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดโดยเร็ว
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่คนไทยควรมีความเมตตาและปรารถนาดีต่อกันเพื่อร่วมแก้ปัญหาพาประเทศไปข้างหน้า กลับมีบุคคลบางคนซึ่งมีตำแหน่งทางสังคมสูงกล่าวหาใส่ร้าย ดร.ทักษิณ ว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก่อการร้ายใน 3 จังหวัดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 มาจากกลุ่ม ดร.ทักษิณ กับสหรัฐฯและยังมีบางคนจงใจส่ง ข้อความเท็จต่อๆกันไปในสื่อออนไลน์ใส่ร้าย ดร.ทักษิณว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2559
การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการนำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จและเป็นการใส่ร้ายและมีประมาณอดีตนายกรัฐมนตรีโดยการโฆษณาในขณะที่กระบวนการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องยังไม่มีข้อสรุป อีกทั้งในขณะที่ยังหาตัวผู้กระทำผิดไม่ได้แต่บุคคลดังกล่าวกลับมีเจตนาหมิ่นประมาทใส่ร้าย ดร.ทักษิณ ด้วยความเท็จที่ปรุงแต่งจากความเชื่อและอคติส่วนบุคคล
ดังนั้นในวันนี้ตนในฐานะผู้รับมอบอำนาจจาก ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อกล่าวโทษเอาผิดกับ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ และผู้ที่โพสต์ข้อความใส่ร้าย
นอกจากนี้ น.ส.ขัตติยา ยังกล่าวอีกว่า ดร.ทักษิณ ไม่ได้โกรธแค้นบุคคลดังกล่าวเป็นการส่วนตัวแต่จำเป็นต้องดำเนินการตามกฏหมายเพื่อปกป้องสิทธิจากการถูกกล่าวหาโดยปราศจากข้อเท็จจริงเพื่อให้บุคคลที่กระทำการอันเป็นการละเมิดกฏหมายได้ยุติการกระทำผิดทางอาญาและรับผิดชอบการกระทำของตนตามกฏหมาย
พร้อมขอเรียนว่า ดร.ทักษิณ แม้จะทำนักอยู่ในต่างประเทศก็ยังคงมีความรักและปรารถนาดีต่อคนไทยไม่ต่างจากผู้นำของไทยทุกคน และเชื่อเสมอว่าความรัก ความสามัคคี และความจริง จะช่วยนำประเทศก้าวข้ามเหตุการณ์นี้ไปได้และขอส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกฝ่ายในการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริงมาลงโทษให้ได้

มท.ชงโยกย้ายซี10ลอตแรก พท.-ปชป.ชิงดักคอแก้รธน.

ไทยรัฐ

ปชป.-พท.ประสานเสียงดักคอ กรธ.วิรัตน์ ลั่นอย่าทำหัวหมอปรับแก้ รธน.เกินคำถามพ่วง นิพิฏฐ์ ขู่บิดเบือนหลักการเจอส่งศาล รธน.ตีความรัชดาชงโมเดลไพรมารี่เลือก ส.ส.ชัยเกษม ย้ำคำ มีชัยไม่ใช้ทางลัด อำนวยเตือนคิดให้ดีผลที่จะตามมาสามารถเชื่อแต่งตัวนายกฯคนนอกรอแล้วนิกรชี้พรรคเก่าแก่ไม่ยอมเป็นเป้านิ่งแน่ กรธ.ยันต้องยึดตามสเต็ป ม. 272 ให้สิทธิ ส.ส.ซาวเสียงก่อน ยังไม่พอใจร่าง กสม.เรียกแจงซ้ำ สนช.ส่ง สุรชัย เคลียร์เจตนาตีความไปถึงไหน พีระศักดิ์ ยึดหลักการไม่มีหมกเม็ด ไพบูลย์ ฟุ้งหนักดัน บิ๊กตู่ นั่งนายกฯ คนนอก 100% มท.ชงโผโยกย้ายซี 10 ลอตแรกเข้า ครม. ลือหึ่งต่ออายุ ฉัตรชัย-มณฑลโยกประยูรนั่งรองปลัดฯ เด้ง ผวจ.ตรัง-เพชรบุรี เข้ากรุ ราชทัณฑ์รีบแจงไผ่ ดาวดินยังอยู่ดี แอมเนสตีฯไล่บี้หนัก ดึงสมาชิกทั่วโลกร่วมกดดันรัฐบาลปล่อยตัวไร้เงื่อนไขการพิจารณาปรับแก้ไขบทเฉพาะกาลในร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามคำถามพ่วง ยังคงถูกจับตามอง จากฝ่ายต่างๆ ว่าจะเป็นไปตามพิมพ์เขียวเปิดให้มีนายกรัฐมนตรีคนนอกหรือไม่ โดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) นัดถกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เจ้าของคำถามพ่วง เพื่อเคลียร์หาความชัดเจนแล้วกรธ.คาดบทเฉพาะกาลเสร็จ ส.ค.

เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่รัฐสภา นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาปรับแก้ไขบทเฉพาะกาลในร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามคำถามพ่วง ว่าวันที่ 19 ส.ค. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะส่งตัวแทนมาประชุมกับ กรธ. เพื่อให้ความเห็นประเด็นคำถามพ่วง ทั้งเรื่องเจตนารมณ์และเนื้อหาว่าต้องปรับแก้ไขจุดใด เชื่อมโยงไปที่มาตราใดบ้าง โดยเฉพาะในมาตรา 272 คาดว่า กรธ.จะแก้ไขเสร็จภายในเดือน ส.ค.นี้ การปรับแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญตามแนวทางที่ประชาชนให้ความเห็นชอบ หากจะบอกว่าง่ายก็ไม่ถึงกับง่าย เพราะมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกันอยู่ กรธ. จะทำแบบรวดเร็วโดยไม่สนใจเรื่องรายละเอียดคงไม่ได้ เราต้องดูทั้งหมดด้วย ยอมรับเป็นห่วงเรื่องระยะเวลาการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ จำนวน 10 ฉบับ ที่มีเวลาจำกัด เป็นพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับ เป็นกฎหมายอื่นอีก 6 ฉบับ แบ่งเป็นเกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ 4 ฉบับ อีก 2 ฉบับที่เป็นเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับศาล กรธ.ได้ประสานเป็นการภายในให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการแล้ว ส่วนจะมีการเพิ่มเติมสัดส่วน กรธ.เข้ามาอีกหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่ได้ทาบทามใครเข้ามา

นายกฯคนนอกยึดสเต็ป ม.272

นายเธียรชัย ณ นคร กรธ.กล่าวว่า กรธ.ส่วนใหญ่ เห็นตามหลักการว่า ขั้นตอนการลงมติและเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ต้องยึดตามมาตรา 88 มาตรา 159 และมาตรา 272 คือ ส.ส.จะต้องเป็นผู้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีตามบัญชี หากเลือกกันไม่ได้ต้องให้ ส.ส. จำนวน 250 คน จาก 500 คน หรือเกินกึ่งหนึ่ง มีมติเพื่อไปขอเสียงจากสมาชิกรัฐสภา 500 คน จาก 750 คน หรือ 2 ใน 3 สำหรับการงดเว้นให้ ส.ส.สามารถเสนอชื่อนายกฯนอกบัญชีได้ กรธ. เห็นว่าสเต็ปที่วางไว้เป็นตามหลักการที่จำเป็น คือต้องคงความสำคัญของ ส.ส.ในการเสนอบัญชีนายกฯไว้กับประชาชนก่อนการเลือกตั้ง และในคำถามพ่วงมีถ้อยคำเพียงให้ ส.ว.มีส่วนร่วมลงมติเลือกนายกฯเท่านั้น ไม่มีถ้อยคำให้ ส.ว.มีสิทธิเสนอชื่อนายกฯ แต่ต้องรอหารือร่วมกับ สนช.ก่อน จึงจะทราบว่าเจตนาของคำถามพ่วงคืออะไร และยังต้อรอดูคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญต่อไป

ขอคุย สนช.เจตนาตีความถึงไหน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า การประชุม กรธ. เมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. เป็นประธาน ที่ประชุมยังไม่ตัดสินใจว่าจะตั้งอนุกรรมการขึ้นมาพิจารณาจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญทั้ง 10 ฉบับหรือไม่ จะรอความชัดเจนหลังการพูดคุยกับ สนช.ก่อน โดยเฉพาะมาตรา 272 เรื่องข้อยกเว้นเปิดช่องนายกฯคนนอกหลังการเลือกตั้ง มาแก้ไขวรรคเพิ่มเติมตามคำถามพ่วง ต้องพูดคุยให้ชัดเจนว่าแปลความหมายอย่างไร ต้องการแค่ไหนอย่างไร การตีความหมายของ กรธ. ถูกต้องตรงตามเจตนาหรือไม่ รวมไปถึงการพิจารณาออกกฎหมายลูกฉบับอื่น ยังมีเวลาก่อนตัดสินใจว่าจะตั้งอนุกรรมการหรือไม่

ให้อำนาจ มีชัย แต่งตั้ง กรธ.เพิ่ม

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กรธ.เตรียมยกเลิกอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญทุกชุด ที่ตั้งขึ้นมาในช่วงยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมด รวมถึงทีมโฆษก กรธ.ก็จะยกเลิกทั้งหมดเช่นกัน นายมีชัยสั่งการในที่ประชุมให้นายอุดม รัฐอมฤต โฆษก กรธ.รับผิดชอบเป็นผู้ให้ข่าวเพียงคนเดียวนับจากนี้ ส่วนจะพิจารณาตั้ง กรธ.เพิ่มหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว กำหนดให้ตั้ง กรธ.ได้ 30 คน จึงสามารถตั้งเพิ่มได้อีก 9 คน เพราะขณะนี้มี กรธ.รวมทั้งสิ้น 21 คน ที่ประชุมจึงมอบอำนาจให้นายมีชัยเป็นคนตัดสินใจเพียงคนเดียวว่าจะตั้ง กรธ.เพิ่มหรือไม่ หรือเห็นสมควรจะเลือกใครมาเป็น กรธ. เพราะใน 21 คนชุดเดิมนี้ นายมีชัยเป็นคนเลือกเอง

พีระศักดิ์ยันยึดหลักการไม่หมกเม็ด

วันเดียวกัน นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสนช.กล่าวว่า การนัดหารือพูดคุยระหว่าง สนช. กับ กรธ. เพื่อพิจารณาปรับแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญตามคำถามพ่วง ทำให้งานเป็นไปตามโรดแม็ป ตามขั้นตอนไม่โยนกันไปมา เราเพียงเสนอไปแต่จะรับฟังปรับแก้ แค่ไหน ขึ้นอยู่กับ กรธ. แต่ยืนยัน สนช.จะไม่เสนอ หรือทำอะไรเกินเลยจากหลักการ ไม่ต้องกังวล เรา คำนึงถึงหลักความถูกต้อง ที่นักการเมืองบอกถ้าทำเกินเลยหลักการ อาจมีคนส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความนั้น คงไม่ต้องส่ง เพราะเมื่อ กรธ. แก้ไขร่างเสร็จต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอยู่ดี ไม่ต้องเป็นห่วง รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด เราระมัดระวังเต็มที่ ไม่หมกเม็ด ไม่หัวหมอแน่ อย่ากังวลเกินไป

แต่ สนช.จะเอาปลดล็อกข้ามหัว ส.ส.

ด้านนายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน รองประธานคณะกรรมาธิการสามัญพิจารณาศึกษาเสนอแนะ และรวบรวมความเห็นเพื่อการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ สนช.กล่าวว่า กมธ.จะพิจารณาหาข้อสรุปว่า ต้องแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญมาตราใดบ้างให้สอดคล้องกับคำถามพ่วง ส่วนมาตรา 272 เรื่องการงดเว้นนายกฯนอกบัญชีนั้น เห็นด้วยกับนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.ว่า หากการประชุมร่วมรัฐสภานัดแรกเพื่อร่วมกันลงมติเลือกนายกฯไม่ได้ ก็ให้ขอมติ 2 ใน 3 ของสมาชิกรัฐสภา เพื่อให้สามารถเสนอชื่อนายกฯนอกบัญชีได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้ 2 ขยัก คือให้ ส.ส.เกินกึ่งหนึ่งมีมติก่อนจึงค่อยขอเสียง 2 ใน 3 ของรัฐสภา

ส่งสุรชัย แจงเจตนารมณ์ต่อ กรธ.

นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกวิป สนช.กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติให้นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. เข้าชี้แจงที่มาและเหตุผลของคำถามพ่วงต่อ กรธ. ในวันที่ 19 ส.ค. ซึ่ง สนช.จะชี้แจงโดยตีความตัวอักษรของคำถามพ่วงเป็นหลัก เพื่อเป็นแนวทางให้ กรธ.นำไปปรับแก้ไขก่อนส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป ยืนยันว่า สนช.จะไม่ชี้แจงเกินตามที่ สนช.ได้ไปชี้แจงกับประชาชน

โดยเฉพาะอำนาจ ส.ว.ในช่วงเปลี่ยนผ่านตามคำถามพ่วงนั้น จะไม่ให้อำนาจ ส.ว.อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแน่นอน

กรธ.ไม่พอใจร่าง กสม.เรียกแจงซ้ำ

นายภัทระ คำพิทักษ์ กรธ.กล่าวว่า กรธ.ได้นำ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่ กสม.ชุดปัจจุบันนำเสนอมาพิจารณา แต่เห็นว่าเนื้อหายังไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติในร่างรัฐธรรมนูญ กรธ.จึงมีมตินัดกสม.มาชี้แจงอีกรอบวันที่ 31 ส.ค. ส่วนเรื่องการปรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติให้สอดคล้องกับคำถามพ่วง กรธ.ยังไม่มีมติว่าจะแก้ไขในมาตราใดบ้าง ต้องรอฟังตัวแทนของ สนช.วันที่ 19 ส.ค.ก่อน ทั้งนี้ในหลักการของการปรับปรุงร่าง ต้องให้เป็นไป ตามเจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญที่ กรธ.เป็นผู้เขียนบทบัญญัติในประเด็นที่เกี่ยวข้องด้วย

สดศรี ค้านเซ็ตซีโร่ล้างไพ่ใหม่

นางสดศรี สัตยธรรม อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกระแสการเซ็ตซีโร่พรรคการเมือง ว่า ไม่เห็นด้วยกับการเริ่มต้นโดยเซ็ตซีโร่พรรคการเมืองใหม่ทั้งหมด เหมือนกับการยุบพรรค ต้องเริ่มต้นหาสมาชิกใหม่ ต้องมาจดทะเบียนจัดตั้งพรรคใหม่ การเริ่มต้นใหม่อาจเป็นปัญหากับพรรคการเมืองที่มีอยู่เดิมได้ โดยเฉพาะพรรคที่ก่อตั้งมานาน ส่วนกรณีมีข่าวว่าคณะทำงานยกร่างกฎหมายลูกของ กกต. เตรียมนำ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง ปี 2524 มาเป็นแนวทางการจัดตั้งพรรคการเมืองนั้น มองว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง ควรต้องไปดูว่าร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติ เอื้ออำนวยกับการใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2524 หรือไม่ เท่าที่ดูน่าจะไปกันไม่ได้ เพราะหลักของการทำกฎหมายลูกจำเป็นต้องดูกฎหมายแม่ หรือตัวรัฐธรรมนูญเป็นหลัก อยากฝากให้ กกต.พิจารณาว่าการยกร่างกฎหมายลูก ควรดูที่เนื้อหาของตัวรัฐธรรมนูญ มากกว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2524

ปชป.ดักคอห้ามหัวหมอคิดเอาเอง

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง ที่เพิ่งผ่านประชามติไปนั้น การเลือกนายกรัฐมนตรีต้องให้ ส.ส.เป็นผู้เสนอชื่อเลือกนายกฯตามบัญชี แต่ถ้าเลือกกันไม่ได้ ในบทเฉพาะกาลมาตรา 272 ต้องให้เสียงกึ่งหนึ่งของ ส.ส.หรือเกิน 250 คน เสนอต่อประธานรัฐสภา ให้รัฐสภามีมติยกเว้นไม่ต้องเสนอชื่อนายกฯจากบัญชีรายชื่อ จากนั้นจึงใช้เสียงของรัฐสภา คือ ส.ส. และ ส.ว.ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ยกเว้นการเสนอชื่อนายกฯจากบัญชีรายชื่อ ถือเป็นขั้นตอนตามกฎหมายที่เสนอให้ประชาชนลงประชามติ ดังนั้นจะปรับแก้ไขกันอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามหลักการนี้ และคำถามพ่วงที่ผ่านประชามติแล้ว ใครจะไปตัดตอน เพิ่มเติม ให้ขาดหรือเกินไปจากนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถือว่าไม่เคารพเสียงของประชาชน

นิพิฏฐ์ ขู่บิดเบือนส่งศาล รธน.แน่

ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การจะเสนอให้โหวตนายกฯคนนอกนั้น ตามหลักการ ส.ส.ต้องได้เลือกก่อน ตามบัญชีรายชื่อที่เสนอมาของแต่ละพรรค แต่ถ้าเลือกไม่ได้ ค่อยไปขอยกเว้น โดยต้องให้ ส.ว.ยินยอมด้วย แต่ถ้ามีใครมาแก้ไขโดยตัดข้ามขั้นตอนของ ส.ส.ออกไป คิดว่าทำไม่ได้ ไม่เช่นนั้นรูปแบบการเลือกนายกฯจะต่างจากร่างที่นำไปให้ประชาชนลงประชามติ เรื่องนี้ไม่อยากให้คิดว่าใครโกหกหรือไม่โกหก แต่ตนไม่คิดว่าใครจะกล้าทำ ถ้ามีคนทำอาจต้องถูกส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ว่าไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว และไม่เป็นไปตามร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงที่ผ่านประชามติไป

รัชดาชงโมเดลไพรมารี่เลือก ส.ส.

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า มีข้อเสนอเพื่อประกอบการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ควรนำระบบไพรมารี่เพื่อเลือกตัวแทนประชาชนที่จะลงรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ของแต่ละพรรค ในทุกเขตเลือกตั้งก่อน เปิดโอกาสให้คนดีที่เป็นเลือดใหม่เข้ามา จึงจะปฏิรูปการเมืองได้ระดับหนึ่ง หากให้แต่ละพรรคทำกันเองคงไม่ได้เปิดกว้าง เพราะไม่ใช่ทุกพรรคที่มีสาขาพรรคครอบคลุมทุกเขตเลือกตั้ง สุดท้ายก็ได้ผู้สมัครที่ใกล้ชิดกับสาขาพรรค และส่วนใหญ่เป็นคนหน้าเดิมๆ หากการเมืองไม่ต้องใช้ทุนเป็นตัวตั้ง เชื่อว่าการทุจริตคอร์รัปชัน การซื้อสิทธิขายเสียงจะลดน้อยลง จึงขอให้ผู้ร่างกฎหมายลูกออกแบบโดยคำนึงถึง 1.ส่งเสริมให้คนดีมีความสามารถเข้ามาเล่นการเมือง ต้องไม่ใช่การเมืองของคนรวย หรือใช้ทุนเป็นที่ตั้ง 2.ต้องไม่เป็นภาระทางการเงินต่อพรรคการเมือง หากยิ่งต้องใช้เงิน จะยิ่งเปิดช่องให้นายทุนเข้ามีบทบาทต่อพรรค กลับเข้าสู่วงจรเดิม ไม่ได้นักการเมืองน้ำดีในวงการเมืองไทยยุคปฏิรูป

สาธิต เห็นลางจะโดนเซ็ตซีโร่

นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอให้ กรธ.ตั้งหลักคิดให้ดีในการยกร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญทั้ง 4 ฉบับ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรค การเมือง แม้จะมีการยืนยันว่าไม่มีการเซ็ตซีโร่พรรคการเมืองเดิมที่มีอยู่ แต่มีข่าวออกมาว่าจะมีการเขียนกฎหมายพรรคการเมืองโดยอิงมาจาก พ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 2524 ก็เสมือนเป็นการเซ็ตซีโร่เช่นกัน หากต้องการส่งเสริมให้พรรคการเมืองเข้มแข็งจริง ก็ควรให้พรรคการเมืองพัฒนาการตัวเอง กฎหมายที่ออกมาต้องเอื้อต่อการสนับสนุนพรรค ไม่ใช่บั่นทอนพรรคใหญ่ที่มีมาแต่เดิม และส่งเสริมพรรคขนาดกลางและเล็กให้มีอำนาจต่อรอง การเมืองจะมีเสถียรภาพได้อย่างไร ยิ่งทราบว่า สปท.เสนอแนวคิดลักษณะบังคับประชาชนที่เป็นสมาชิกพรรค การเมืองทุกคน ต้องเสียเงินค่าสมาชิกพรรคปีละ 200-300 บาท โดยอ้างเหตุผลว่าทุกคนจะได้มีส่วนร่วมและเป็นเจ้าของพรรค แต่ตนกลับเห็นว่าเป็นการตัดการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนที่ต้องการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เพราะทุกคนต่างมีภาระค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว

ใช้นอมินีทำแทนจะจัดการอย่างไร

นายไชยวัฒน์ ไตรยสุนันท์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากข้อเสนอของคณะกรรมาธิการ ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนกาตปฎิรูปประเทศ (สปท.) ที่ให้ผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง ส.ส. ต้องแสดงความจำนงล่วงหน้า 1 ปีก่อนมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง และต้องผ่านการอบรมในหลักสูตรของ กกต. เพื่อนำใบรับรองที่ผ่านการอบรมและมีสิทธิสมัครลงรับเลือกตั้ง รวมถึงการห้ามใส่ซองช่วยงานบุญต่างๆของชาวบ้านนั้น เท่าที่หารือกับอดีต ส.ส.ยังมีความเห็นต่างอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่เห็นว่าดี ทำให้ผู้สมัคร ส.ส.เสมอภาค แต่ในทางปฏิบัติจะควบคุมได้จริงหรือไม่

เพราะสามารถหลบเลี่ยงโดยใช้นอมินีได้ อาทิ ทีมงาน หรือคนสนิทของผู้สมัครใส่ซองแทน ที่สุดแล้วก็เป็นปัญหาอีก รวมถึงการกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงนั้น ถามว่าหากผู้สมัครใช้นอมินีทำการแทน จะลงโทษอย่างไร ต้องเสียเวลาต่อสู้คดีอีกกี่ปี

ชัยเกษม ย้ำคำ มีชัยไม่ใช้ทางลัด

ที่พรรคเพื่อไทย นายชัยเกษม นิติสิริ อดีต รมว.ยุติธรรม และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ประเด็นที่มานายกฯคนนอกคงอยู่ที่ กรธ.แล้วว่าจะปรับแก้ไขอย่างไร แต่โดยหลักการต้องเกิดปัญหาเลือกนายกฯโดย ส.ส.ไม่ได้ก่อน แล้วถึงให้ ส.ว.มีสิทธิมาร่วมเลือก ถ้าไปทำตั้งแต่แรกเลย เท่ากับไม่ต้องเสนอ 3 ชื่อว่าเป็นใครเลย เอาตามใจชอบมาคิดแก้ในเวลานี้มันดูแปลกๆ กลายเป็นว่าไปลัดขั้นตอนที่ควรจะเป็น ประธาน กรธ.ก็พูดมาตลอดว่า ส่วนนี้มีไว้สำหรับการแก้ไขปัญหากรณีที่ไม่สามารถหาได้จากรายชื่อ

พท.เตือนคิดให้ดีผลที่จะตามมา

นายอำนวย คลังผา อดีต ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เงื่อนไขของการได้มาซึ่งนายกฯคนนอก ตามร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องเกิดเฉพาะในภาวะวิกฤติ ที่ ส.ส.ไม่สามารถเลือกนายกฯได้ตามบัญชี ดังนั้น ก่อนจะใช้ช่องทางดังกล่าวจำเป็นต้องมีวิกฤติจริงๆ ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาการยอมรับ และนำไปสู่ความขัดแย้งเหมือนในอดีต หรือยิ่งกว่า เพราะขั้นตอนการเลือกนายกฯ อาจเกิดปัญหาการยอมรับจากประชาชน เพราะ ส.ว.ที่โหวตเลือกนั้นมาจากการแต่งตั้งที่ไม่ผ่านประชาชน ดังนั้น ก่อนที่รัฐสภาจะทำอะไร ต้องคิดให้รอบคอบถึงผลที่จะตามมาด้วย

แต่งตัวนายกฯคนนอกรอไว้แล้ว

นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญออกแบบเปิดช่องให้มีนายกฯคนนอกอยู่แล้ว เพราะวิธีการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมจะเกิดการเฉลี่ยคะแนน จนไม่มีพรรคการเมืองใดมีเสียงข้างมากจนแต่งตั้งนายกฯเองได้ และมี ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้ง เปรียบเหมือนพรรคการเมืองพรรคใหญ่รออยู่แล้ว ในที่สุดต้องเปิดช่องให้เลือกนายกฯคนนอก ซึ่งคาดว่ามีการเตรียมการไว้แล้ว สิ่งที่เป็นห่วงคือ เสถียรภาพของรัฐบาลอาจต้องล้มลุกคลุกคลาน การทำงานติดขัด ต้องมาเสียเวลาจัดการเรื่องการเมือง ขาดโอกาสพัฒนาประเทศ ขณะที่ร่างรัฐธรรมนูญก็เขียนให้แก้ยาก หากเกิดทางตันแล้วปัญหาจะวนมาเหมือนเดิมอีกหรือไม่

เชื่อพรรคเก่าแก่ไม่ยอมอยู่นิ่งแน่

ขณะที่นายนิกร จำนง ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และ สปท. กล่าวว่า ทางพรรคคงต้องเริ่มมาพูดคุยกัน โดยไม่ผิดกฎเกณฑ์ที่ คสช.กำหนด ส่วนการพิจารณากฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งทั้ง 4 ฉบับ ต้องเปิดรับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน ยังดีใจที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. ยืนยันจะรับฟังความเห็นของฝ่ายการเมือง ส่วนกฎหมายเลือกตั้งก็ต้องฟังจาก 3 เส้า คือ กกต.คือผู้คุมกฎ พรรคการเมืองเป็นผู้เล่น และประชาชน เป็นผู้ใช้สิทธิ ถือเป็น 3 ส่วนสำคัญ ส่วนแนวคิดเรื่องเซ็ตซีโร่ ถ้ามองตื้นๆอาจมีผลดี แต่ถ้าไม่มีเหตุผลเพียงพอจะกลายเป็นได้ไม่คุ้มเสีย แต่พรรคชาติไทยพัฒนาเป็นคนไม่กลัวฝน เคยเปียกมาแล้วจากที่พรรคชาติไทยถูกยุบ จะเซ็ตซีโร่อีกก็ไม่มีความหมาย คสช.ต้องตอบให้ได้ว่าทำเพื่ออะไร ถ้ามีพรรคการเมืองที่มีอายุมากกว่าพรรคชาติไทยต้องถูกยุบ คงมองออกใช่หรือไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกกันอย่างไร คิดว่าเขาคงไม่อยู่เฉย กลายเป็นประเด็นขัดแย้งขึ้นมาอีก

ไพบูลย์ ฟุ้งดัน บิ๊กตู่ ถึงฝั่งฝัน

วันเดียวกัน นายไพบูลย์ นิติตะวัน ผู้ริเริ่มก่อตั้งพรรคประชาชนปฏิรูป และอดีตกลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวว่า แนวทางผลักดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. เป็นนายกฯรอบสองภายหลังการเลือกตั้งนั้น พรรคประชาชนปฏิรูปจะไม่เสนอบัญชีรายชื่อเพื่อชูบุคคลใดเป็นนายกฯ แต่จะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯคนนอกตามมาตรา 272 เพียงคนเดียว เชื่อว่าจะได้เป็นนายกฯ 100 เปอร์เซ็นต์ ประเมินว่าหลังการเลือกตั้งปลายปี 2560 พรรคประชาชนปฏิรูปจะได้ ส.ส.เข้ามามาก เพราะประชาชนเบื่อนักการเมืองระบบเก่า โดยพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ จะได้ ส.ส.ลดลง 20 เปอร์เซ็นต์จากผลการเลือกตั้งปี 2554 เดิมพรรคเพื่อไทยได้ ส.ส.ประมาณ 270 เสียง และพรรคประชาธิปัตย์ได้ประมาณ 160 เสียง

เปิดไต๋กรุยทางนายกฯคนนอก

นายไพบูลย์กล่าวว่า เชื่อว่าสุดท้ายทั้ง 2 พรรคจะไม่มีใครได้เป็นนายกฯ แม้จะร่วมกับพรรคการเมืองอื่น แต่คะแนนเสียงสนับสนุนคงไม่เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา หรือเกิน 375 เสียง เนื่องจาก ส.ว.จำนวน 250 เสียง กับเสียงของพรรคประชาชนปฏิรูป และพรรค การเมืองอื่นจะงดออกเสียง หรืออีกกรณีหากพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์จับมือกัน โดยมีพรรคขนาดกลางประกอบ แม้เสียงทั้งหมดก่อนโหวตนายกฯจะเกิน 375 เสียง แต่สุดท้ายเชื่อว่าจะทำไม่สำเร็จ เพราะจะมี ส.ส.ที่โหวตสวนมติพรรคแน่นอน เพราะอาจประเมินว่าการทำงานในอนาคตไม่สามารถไปกันรอด เพราะคนละอุดมการณ์

เมื่อเข้าเงื่อนไขตามที่คาดการณ์นี้ สุดท้ายจะมีการเจรจากันเองของ ส.ส.ในสภาฯ รวบรวมเสียง ส.ส.เพื่อดำเนินการลงมติเลือกนายกฯ ตามข้อยกเว้นมาตรา 272 จากนั้นพรรคประชาชนปฏิรูปจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ และเชื่อว่ารัฐสภาจะให้ความเห็นชอบลงมติเป็นนายกฯคนนอกในที่สุด สาเหตุที่พรรคประชาชนปฏิรูปเสนอ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ เพราะมีความเหมาะสมที่สุด มีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ 1.เป็นคนดี 2.ซื่อสัตย์ และ 3.มีความสามารถ ขณะที่นักการเมืองหรือคนอื่นเวลานี้ ไม่มีคุณสมบัติครบ 3 ข้อแบบไม่เห็นฝุ่นนายไพบูลย์กล่าว

บิ๊กตู่บินถกผู้นำทะเลสีน้ำเงิน

เมื่อเวลา 05.15 น. ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำคณะประกอบด้วย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ พล.อ.ปทีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ออกเดินทางไปเยือนสหพันธรัฐมาเลเซีย เพื่อเข้าร่วมประชุมนานาชาติว่าด้วยกลยุทธ์ทะเลสีน้ำเงิน (International Conference on Blue Ocean Strategy) ครั้งที่ 1 ที่กรุงปุตราจายา แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ให้สัมภาษณ์เพียงแต่กล่าวทักทายสื่อมวลชน

ชูปรับกระบวนทัศน์คิดนอกกรอบ

ต่อมาเวลา 12.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติปุตราจายา พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นกล่าวถ้อยแถลงในการเสวนาระหว่างผู้นำ หัวข้อ เปลี่ยนประเทศ ผ่านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม” ว่า พวกเรากำลังอยู่ในโลกที่มีความไม่แน่นอน ซับซ้อน เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เผชิญชะตากรรมร่วมกันมากขึ้นจากโลกที่เชื่อมต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสภาวะโลกร้อน ปัญหาหมอกควันข้ามชาติ ปัญหาก่อ การร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ จำต้องปรับกระบวนทัศน์คิดนอกกรอบเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ปรับจากการแข่งขันกันในอุตสาหกรรมในตลาด จากการต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายจากทะเลสีแดง สู่ ทะเลสีคราม คิดค้นพัฒนานวัตกรรมที่ไม่ได้มุ่งเอาชนะในการแข่งขัน ขณะนี้ประเทศไทยเผชิญความท้าทายหลายประการ และกำลังปฏิรูปเพื่อวางรากฐานประเทศ

แสวงหาจุดแข็งร่วมมือแข่งขัน

นายกฯกล่าวอีกว่า ท่ามกลางสภาวะการแข่งขัน ประเทศต่างๆ สามารถร่วมมือกันเพื่อให้ทะเลสีครามเป็นทะเลที่มีคลื่นสงบ มีความมั่งคั่ง และความอุดมสมบูรณ์ เป็นทะเลแห่งความหวังและโอกาส ด้วยการแสวงหาจุดแข็งของแต่ละประเทศ สนับสนุนกันและกัน ด้านการวิจัยพัฒนาและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เช่น ประเทศในกลุ่มอาเซียน อาจร่วมกันศึกษาจุดอ่อนจุดแข็งของแต่ละประเทศ เพื่อร่วมกันพัฒนาสินค้าและบริการ ภายใต้อาเซียน แบรนด์ เพื่อรองรับตลาดด้านสุขภาพ การท่องเที่ยว อาหาร สิ่งแวดล้อมพลังงาน สินค้า ทั้งในภูมิภาคและนอกภูมิภาค ส่งเสริมความร่วมมือไตรภาคีระหว่างประเทศที่มีรายได้สูง รายได้ปานกลางและรายได้น้อย ร่วมมือไปสู่เป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นทะเลแห่งความหวังและโอกาส

บินกลับถึงไทยปิดปากงดแถลง

จากนั้นเวลา 15.10 น. ที่ บน.6 พล.อ.ประยุทธ์เดินทางกลับถึงประเทศไทย โดยเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศได้จัดเตรียมห้องและโพเดียมไว้ให้ พล.อ.ประยุทธ์แถลงข่าว พร้อมกับประสานให้ผู้สื่อข่าวและช่างภาพไปรออยู่ในห้องแถลงข่าว แต่ปรากฏว่าเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะลงเครื่องบิน ได้เดินขึ้นรถกลับออกจาก บน.6 ไปทันทีโดยไม่มีการแถลงและให้สัมภาษณ์ใดๆ นอกจากนี้ยังเลื่อนกำหนดการเดินทางกลับเร็วกว่าเดิม 1 ชั่วโมง

เลขาฯนายกฯปัดนัดทวิ นาจิบ

พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกฯไปร่วมประชุมและกล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมนานาชาติว่าด้วยกลยุทธ์ทะเลสีน้ำเงินเพียงอย่างเดียว ไม่ได้มีการหารือทวิภาคีกับนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ตามที่เป็นข่าวและไม่มีในกำหนดการหารือกับนายนาจิบตั้งแต่ต้น ส่วนเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่แถลงผลการไปเยือนมาเลเซียกับผู้สื่อข่าวนั้น พล.อ.วิลาศไม่ได้ชี้แจงเหตุผลให้ทราบ

มท.ชงโผโยกย้ายซี 10 เข้า ครม.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ต้องเลื่อนไปเป็นวันที่ 17 ส.ค. เพราะนายกฯต้องเดินทางไปเยือนมาเลเซียนั้น กระทรวงมหาดไทยเตรียมเสนอรายชื่อโยกย้ายข้าราชการตำแหน่งระดับบริหารสูง (ซี10) ประกอบด้วย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการกระทรวง ให้ ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบ จำนวน 19 ตำแหน่ง เป็นการเสนอรายชื่อในลอตแรก ที่เป็นการโยกย้ายในระนาบเดียวกัน นอกจากนี้จะมีการต่ออายุราชการอธิบดี 2 กรมที่อยู่ในตำแหน่งเดิมครบ 4 ปี ออกไปอีก 1 ปีในตำแหน่งเดิม คือนายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และนายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง และคาดว่าจะย้ายนายประทีป กีรติเรขา รองปลัดกระทรวงฯ ไปเป็นอธิบดีกรมที่ดิน แทนนายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ที่จะเกษียณอายุราชการ โยกนายประยูร รัตนเสนีย์ ผวจ.พระนครศรีอยุธยา มาเป็นรองปลัดกระทรวง

เด้งผวจ.ตรังเพชรบุรีเข้ากรุฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นอกจากนี้จะมีการโยกนายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ ผวจ.สกลนคร เป็น ผวจ.ขอนแก่น นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผวจ.สระแก้ว เป็น ผวจ.ชลบุรี นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผวจ.อุตรดิตถ์ เป็น ผวจ.ระยอง นายบัณฑิตย์ เทวีทิวารักษ์ ผวจ.เพชรบูรณ์ เป็น ผวจ.สระบุรี นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผวจ.พะเยา เป็น ผวจ.พิษณุโลก นายเดชรัฐ สิมศิริ ผวจ.ตรัง และนายสนิท ขาวสอาด ผวจ.เพชรบุรี เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย หลังการโยกย้ายครั้งนี้จะมีการสรรหาข้าราชการระดับบริหารสูง จากตำแหน่งระดับบริหารต้น คือรองผู้ว่าราชการจังหวัด รองอธิบดี ภายใน 45 วัน รวมถึงมีการโยกสลับในระดับบริหารสูงไปในครั้งเดียวกันอีกครั้งด้วย

จับตา กษ.คลังชิงดำช่วยชาวนา

นอกจากนี้ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ จะเสนอต่อที่ประชุม ครม. ให้พิจารณามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรปี 2559/60 วงเงิน 15,597.34 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามโครงการเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสมเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่น หรือโครงการจ้างเลิกทำนา ซึ่งโครงการนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ตั้งแต่ต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา และผ่านการพิจารณาของสำนักงบประมาณแล้ว ขณะที่กระทรวงการคลัง ก็เตรียมเสนอที่ประชุม ครม. เพื่อขออนุมัติวงเงินแบบให้เปล่ากับเกษตรกรชาวนาด้วยเช่นกัน จึงเป็นที่จับตามองว่า ที่ประชุม ครม.จะพิจารณาออกมาในทิศทางใด เพราะเป็นโครงการในลักษณะคล้ายกัน และก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าทั้ง 2 กระทรวงออกมาตรการที่คล้ายกัน เพื่อแย่งชิงผลงานกันเอง

ขอโซเชียลอย่าอ้างชื่อสร้างเพจ

อีกเรื่อง พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่มีผู้เขียนเพจรายหนึ่ง ระบุถึงสถานการณ์ระเบิดป่วนเมืองที่เกิดขึ้น มีการอ้างชื่อ พล.อ.ประยุทธ์โดยใช้ภาษาบางส่วนที่ไม่เหมาะสมนั้น ต้องขอบคุณประชาชนที่เข้าใจข้อเท็จจริง และไม่แชร์ต่อกันจนอาจสร้างความเสียหาย โดยนายกฯขอว่าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก หากใครจะคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องใด หรือต่อบุคคลใด ขอให้รับผิดชอบความคิดเห็นเหล่านั้นเอง ใช้ชื่อตนเองไม่ควรใช้ชื่อบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นชื่อนายกฯหรือชื่อบุคคลใดก็ตาม เพราะถือเป็นการเผยแพร่ที่พาดพิง และอาจเข้าข่ายละเมิดผู้อื่น นายกฯมีจุดยืนชัดเจนเสมอมาที่จะไม่ทะเลาะ ไม่วิพากษ์วิจารณ์ใคร แม้จะมีความพยายามชวนทะเลาะให้ร้าย หรือวิพากษ์วิจารณ์ ก็ขอเก็บทุกอย่างไว้ในใจ เพื่อใช้เวลาที่มีอย่างจำกัดทำหน้าที่บริหารและปฏิรูปประเทศ เพื่อความสงบ ความมั่นคงยั่งยืนของประเทศ และประชาชนคนไทย

แจงไผ่ ดาวดินในคุกยังแข็งแรง

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน กรมราชทัณฑ์ได้ออกเอกสารแถลงการณ์กรณีการควบคุม ไผ่ ดาวดิน ในเรือนจำอำเภอภูเขียว ระบุว่า จากกรณีนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน ถูกฝากขังผัดแรกในเรือนจำอำเภอภูเขียว จ.ชัยภูมิ ในคดีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่าเรือนจำ อ.ภูเขียว ได้ปฏิบัติต่อผู้ต้องหาเหมือนบุคคลทั่วไป โดยสภาพร่างกายของนายจตุภัทร์ยังแข็งแรง สามารถพูดคุยได้ปกติ และทำกิจกรรมเล่นดนตรีร่วมกับผู้ต้องขังคนอื่นในเรือนจำ และเรือนจำได้เปิดให้เยี่ยมปกติ โดยเมื่อวันที่ 15 ส.ค. นายจตุภัทร์มีไข้เล็กน้อย ทางเรือนจำได้ให้พบ นพ.เปรมชัย ธัญญะผลิน แพทย์จากโรงพยาบาลภูเขียว พบว่าอาการดีขึ้น ไม่มีภาวะแทรกซ้อน และจะดูแลรักษาตามอาการต่อไป

แอมเนสตี้ฯบี้ปล่อยตัวไร้เงื่อนไข

ขณะที่สำนักเลขาธิการใหญ่ แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ออกปฏิบัติการด่วนเชิญชวนสมาชิกทั่วโลก ส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีและ รมว.ยุติธรรมของไทย เรียกร้องให้ปล่อยตัวนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน โดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข และให้ยุติการดำเนินคดีอาญาใดต่อนายจตุภัทร์ และนายวศิน พรหมณี ซึ่งทั้งสองคนเป็นสมาชิกขบวนการประชาธิปไตยใหม่ (NDM) โดยยกเลิกกฎหมายและคำสั่งที่มุ่งเอาผิดทางอาญาต่อการใช้สิทธิมนุษยชนเสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุม และการสมาคมอย่างสงบ ซึ่งการรณรงค์ดังกล่าวจะมีไปถึงวันที่ 21 ก.ย.2559