PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

กต.ถอนพาสปอร์ต'อ๋อย' เหตุจ้อวิจารณ์รัฐ-คสช. | เดลินิวส์


กต.ถอนพาสปอร์ต'อ๋อย' เหตุจ้อวิจารณ์รัฐ-คสช. | เดลินิวส์
„บัวแก้วรับลูกตำรวจ สั่งถอนพาสปอร์ต "จาตุรนต์"เหตุวิจารณ์การทำงานรัฐบาล-คสช. เจ้าตัว ลั่นใช้สิทธิทวงคืน กังขา กต.ใช้อำนาจอะไร วันพุธที่ 2 กันยายน 2558 เวลา 18:33 น. เมื่อวันที่ 2 ก.ย. แหล่งข่าวกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการยกเลิกหนังสือเดินทาง(พาสปอร์ต) ทุกเล่มของนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รมว.ศึกษาธิการ แกนนำพรรคเพื่อไทย ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ได้ส่งหนังสือมาเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อยื่นคำร้องขอให้กระทรวงการต่างประเทศ ยกเลิกพาสปอร์ต ซึ่งขณะนี้มีผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในหนังสือระบุถึงสาเหตุการยกเลิกพาสปอร์ตของนายจาตุรนต์ว่า มาจากการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่นายจาตุรนต์ เป็นผู้ต้องหาคดีขัดคำสั่ง คสช.ที่ไม่เข้ารายงานตัว ในการกระทำการยุยง ปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบ หรือละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 กรณีร่วมปาฐกถาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ขณะที่นายจาตุรนต์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวถึงดังกล่าวว่า เบื้องต้นตนยังไม่ทราบรายละเอียด เพราะยังไม่ได้รับแจ้งจากทางกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้หากเป็นไปตามข่าวจริงตนก็คงจะต้องไปขอทราบเหตุผลว่ายกเลิกด้วยเหตุอะไร และคงต้องดำเนินการเพื่อให้ได้สิทธิกลับคืนมา นอกจากนี้ ตนไม่แน่ใจว่ากระทรวงการต่างประเทศใช้อำนาจตามกฎหมายใดในการยกเลิกหนังสือเดินทางของตน และใช้อย่างถูกต้องหรือไม่. มีรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้ทำหนังสือได้ทำหนังสือเวียนแจ้งให้สถานเอกอัครราชทูตไทยและสถานกงสุลใหญ่ไทยที่ประจำการทั่วโลกได้ทราบถึงการยกเลิกพาสปอร์ตทุกเล่มของนายจาตุรนต์ด้วย..“

อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/politics/345617

บิ๊กปัอม พร้อม บิ๊กโด่ง และ เลขาฯสมช.ใหม่-ปัจจุบัน เยือนจีน2-5กย พบ นายกฯจีน

บิ๊กปัอม พร้อม บิ๊กโด่ง และ เลขาฯสมช.ใหม่-ปัจจุบัน เยือนจีน2-5กย พบ นายกฯจีน แลถกกลาโหม

บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร เผยไปจีน2-5กย.เป็นตัวแทนนายกฯพบ"นายกฯจีน"และกลาโหมจีน ไม่มีกำหนดไปเยี่ยมอุยกูร์ ที่ซินเจียง เพราะไกล วอนอย่าโยงระเบิด ไม่ได้ไปคุยเรื่องอุยกูร์ แต่ไปคุยเริ่อง ข้าว และความมั่นคง และ การที่ นายกฯจะไปจีน กลาง กย.นี้ในคณะมี พลเอกอุดมเดช ผบทบ./รมช. พลเอกทวีป เนตรนิยม เลขาฯสมชใหม่ พลเอกอนุสิษฐ์ คุณากร เลขาฯสมช.ไปด้วย

“พลเอกประวิตร” พร้อม "พลเอกอุดมเดช" ยกคณะเยือนจีน พบนายกฯจีน-ผู้นำทหาร ระบุพร้อมติดตามความคืบหน้าขายข้าว-ยางพาราที่จีนชะงักซื้อจากไทย ยันหารือความมั่นคง
ที่ท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 ดอนเมือง กองทัพอากาศ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มอบหมายให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม พร้อมด้วยพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) นายอนุสิษฐ คุณากร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และพล.อ.ทวีป เนตรนิยม ว่าที่เลขาธิการสมช.คนใหม่ เดินทางไปเยือนสาธารณประชาชนจีนระหว่างวันที่ 2-5 ก.ย. 58 ตามคำเชิญของรัฐบาลจีนเพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านความมั่นคงและด้านเศรษฐกิจ
พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางว่า การเดินทางในครั้งนี้ไปเป็นตัวแทนนายกฯ จะไปพบกับ นายกรัฐมนตรีของจีน และผู้นำทางทหารของจีน ตลอดจนหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงของจีน เพื่อพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
นอกจากนี้ยังไปดูเรื่องการค้าขายข้าวที่เคยดำเนินการมาก่อนหน้านี้ ที่จีนจะซื้อข้างจากไทย 2 ล้านตัน ภายหลังจากที่เราได้ติดต่อประสานงานไปแล้ว แต่ทางจีนยังซื้อไม่หมดเพราะก่อนหน้านั้นทางจีนตกลงซื้อข้าวจากไทย จำนวน 2 ล้านตัน และยางพารา2 แสนตัน ซึ่งทางการจีนได้ลงนามในสัญญาไปบางส่วนแล้ว ตลอดจนถึงงานด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหมด้วย
พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่ได้ไปคุย เรื่อง โครงการเรือดำน้ำจีน ที่ ทร.เสนอซื้อ 3ลำ 3.6 หมื่นล้าน

บิ๊กป้อมติง อย่าเพิ่งฟันธง "อุยกูร์" บึ้มแก้แค้น

บิ๊กปัอม เผยตรวจ DNA "เสื้อเหลือง"ที่จับจากชายแดนเขมร ปัดเป็น"อุยกูร์"ซินเจียง ยังไม่รู้สัญชาติ ติงอย่าโยงอุยกูร์ จะขัดแย้งระหว่างประเทศ พลเอกประวิตร โวยสื่อโยงระเบิดแก้แค้นไทยส่งอุยกูร์ไปจีน อย่าสร้างความขัดแย้ง ยันหารือUNHCR ก่อนส่งอุยกูร์ไปจีน ยันไปจีน คราวนี้ ไม่คุยกับจีน เรื่องนี้ เพราะเขาไม่เกี่ยว เผยนายกฯสั่งตั้งคณะกรรมการเพื่อความมั่นคง รวมกระทรวงมั่นคงทั้งหมด-ICTให้ผมเป็นประธาน รับมือภัยความมั่นคง ระบุ การจับกุมผู้ต้อสงสัยเหตุระเบิดเพิ่มเติมได้ ถือเป็นผลงานตำรวจ แต่ยังไม่ขอสรุปว่าผู้ที่ถูกจับได้เป็นคนสัญชาติใด เพราะต้องรอการตรวจสอบอย่างละเอียดจากเจ้าหน้าที่
บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวก่อนเดินทางเยือนจีน2-5กย. พร้อมด้วย พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รมว.กลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก ถึงความคืบหน้าการสอบสวน ผู้ต้องสงสัยว่า จากพยานหลักฐานต่างๆพบว่า มีความใกล้เคียงกันเยอะ แต่คงต้องตรวจสอบลายนิ้วมือ รวมถึง DNA ก่อน จึงจะสามารถสรุปได้ว่าใช่ผู้ก่อเหตุตัวจริงหรือไม่ เบื้องต้น ยังไม่ขอสรุปว่าบุคคลที่จับกุมได้เป็นสัญชาติใด และเกี่ยวข้องกับชาวอุยกูร์หรือไม่ เพราะต้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบอย่างรอบคอบ แต่ ยังไม่ได้ทำการประสานสถานทูตจีนหรือตุรกีในการขอร่วมตรวจสอบทางคดี เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนและจับตาเครือข่ายที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด รวมถึง ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า เหตุดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นอีก ไม่ให้มีการตาย หรือสูญเสีย แม้แต่นักข่าวเอง ขอให้เชื่อมั่นการทำงานของเจ้าหน้าที่ และ ชื่นชมการจับกุมว่า เป็นผลงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง ขนาดว่าเรามีเทคโนโลยีต่ำ เครื่องมือมีน้อย จะซื้ออะไรก็โดนโจมตี ตลอด เตือนสื่ออย่าโยงระเบิดแก้แค้นไทยส่งอุยกูร์ไปจีน อย่าสร้างความขัดแย้ง ระหว่างประเทศ รอผลสอบสวนก่อน ยันหารือUNHCR ก่อนส่งอุยกูร์กลับไปจีน
พลเอกประวิตร เผยนายกฯสั่งตั้งคณะกรรมการเพื่อความมั่นคง รวมกระทรวงมั่นคงทั้งหมด-ICTให้ผมเป็นประธาน รับมือภัยความมั่นคง

“พล.ต.อ.จักรทิพย์” เผย ตามพาสปอร์ต "เสื้อเหลือง" ที่ถูกจับระบุเป็น อุยกูร์

“พล.ต.อ.จักรทิพย์” เผย ตามพาสปอร์ต "เสื้อเหลือง" ที่ถูกจับระบุเป็น อุยกูร์ แต่ตรวจสอบเพิ่ม ต้องใช้ล่ามเพราะพูดภาษาตุรกี เผยยอมรับสารภาพอยู่ในพื้นที่ตอนเกิดเหตุ แต่ปฏิเสธไม่ใช่คนวางระเบิด ย้ำยังไม่ตัดประเด็นใดออก ภายใน-ภายนอก-การเมือง ยัน ตำรวจจะทำให้ดีที่สุด ทำงานหนักกีนทุกวัน ไม่ได้หยุดเลย กว่า10วันแล้ว ชมตำรวจเก่ง จับได้ ขณะที่หลายประเทศที่มีระเบิด จับได้น้อยมาก
ที่ บน.6 ดอนเมือง กองทัพอากาศ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) เดินทางมาเข้าพบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม ก่อน พลเอกประวิตร ขึ้นเครื่องบินไปปฏิบัติภารกิจเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ให้สัมภาษณ์ภายหลัง ว่าความคืบหน้าคดีเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์และท่าเรือสาทรว่า มีความคืบหน้าไป 70% แล้ว
ส่วนการจับผู้ต้องสงสัย เสื้อเหลือง ตามวงจรปิด ที่จับได้ที่จ.สระแก้ว นั้น รองผบตร. กล่าว ตนยังไม่ได้พูดคุยด้วย และได้ส่งตัวให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลทันที เพราะหน้าที่ในการสอบสวนเป็นเรื่องของนครบาล
เมื่อถามว่า เป็นชาวอุยกูร์หรือไม่ พลตำรวจเอก จักรทิพย์ กล่าวว่า ตามพาสสปอร์ตเขาเป็นแบบนั้น เราก็ดูตามเอกสาร แต่ทั้งนี้ต้องรอการยืนยันว่าเป็นเอกสารจริงหรือปลอมด้วยหรือไม่
เมื่อถามว่าชายที่จับได้ยอมพูดอะไรหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า เขาก็พูดบางส่วน โดยเท่าที่ผมดู เขาพูดเป็นภาษาตุรกี ซึ่งต้องมีการใช้ล่ามในการแปล และพบว่า เข้า-ออกไทย กัมพูชา หลายครั้ง
เมื่อถามต่อว่ามีแนวโน้มใกล้เคียงกับชายเสื้อเหลืองที่ปรากฏในกล้องวงจรปิดในวันเกิดเหตุหรือไม่ รองผบ.ตร. กล่าวว่า รออีกนิดได้ไหม แต่ทุกอย่างก็เชื่อมโยงหมด ทั้งนี้ต้องรอคุยกับเขา แต่ทุกอย่างแนวทางการสืบสวนมันใกล้เคียง
เมื่อถามว่าเจ้าตัวปฏิเสธหรือว่ายอมรับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ธรรมชาติของผู้ต้องหาเขาต้องปฏิเสธอยู่แล้ว แต่ที่เขายอมรับคือว่าตอนเกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ เขาบอกว่าอย่างนั้น
เมื่อถามว่ามีความเกี่ยวข้องกับนาย ADEM ผู้ต้องสงสัยที่จับได้คนแรกอย่างไรบ้าง รองผบ.ตร. กล่าวว่า “อ๋อ เกี่ยวโยงกันอยู่แล้วเรื่องนี้ เขาอยู่ด้วยกัน พักอยู่ใกล้ๆกันอยู่แล้ว แต่เขายังไม่เล่าให้ฟังว่าใครเชื่อมโยงอะไรยังไง
"ยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุด" ว่าที่ ผบคร.กล่าว
ส่วนชายเสื้อฟ้า เราพูดกันเอง แต่เราก็ต้องตามหาอยู่แล้ว และเขาก็ยังไม่ได้บอกเบาะแสอะไร เราไม่ต้องคุยกับเขามากอยู่แล้ว เราก็เดินของเราอยู่แล้ว
เมื่อถามว่ามีข่าวว่า น.ส.วรรณา สวนสัน จะขอเข้ามอบตัว พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ได้ข่าวนี้เช่นกัน แต่ตนไม่ได้เกี่ยวข้องในส่วนนั้น เป็นเรื่องของพนักงานสอบสวนก็ดำเนินการไป
เมื่อถามว่ามาถึงจุดนี้ใกล้เข้าไปถึงตัวผู้บงการหรือยัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ก็อยากให้ถึงเหมือนกัน เพราะทำมาเต็มที่ 10กว่าวันแล้ว เดินมาไม่ได้หยุดเลย
เมื่อถามว่าจะมีการออกหมายจับเพิ่มอีกหรือไม่ รองผบ.ตร. กล่าวว่า ทางฝ่ายสอบสวนน่าจะมี เพราะตนเห็นโครงแล้ว ซึ่งใครที่เกี่ยวข้องเราก็จะนำตัวมาพิสูจน์ทราบทั้งหมด เพราะคดีนี้เป็นคดีใหญ่
เมื่อถามว่านอกจากน.ส.วรรณา ยังมีคนไทยที่จะโดนหมายจับหรือเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า คราวที่แล้ว เราก็นำตัว ผู้หญิงที่ขายโทรศัพท์มาแล้ว แต่ถ้าพาดพิงถึงใครเราก็จะนำตัวมาพิสูจน์ทราบทั้งหมด ซึ่งมีอีกหลายคน
เมื่อถามว่าที่เตรียมออกหมายจับอีกกี่คน รองผบ.ตร. กล่าวว่า ขอให้ถามผบ.ช.น. เพราะมีหน้าที่สืบสวน และเชื่อว่าเครือข่ายเชื่อมโยงยังมีอีกมาก
เมื่อถามว่าตอนนี้บอกได้หรือยังว่าสาเหตุของการก่อเหตุมาจากอะไร พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ยังไม่อยากบอกว่าสาเหตุอะไร มันยังมีหลายสาเหตุ ไม่อยากตัดประเด็นใดประเด็นหนึ่ง เดี๋ยวผิดพลาดไปมันลำบาก รวมทั้งยังไม่ได้ตัดประเด็นภายในประเทศและการเมือง ทุกประเด็นยังอยู่ครบหมด เราค่อยๆต่อจิ๊กซอว์ไปเรื่อยๆ
เมื่อถามว่ามาถูกเป้าถูกทางแล้วใช่หรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า “ผมเชื่อว่าจากประสบการณ์การทำงานมาถูกทางอยู่แล้ว ผมว่าเร็วกว่าคดีเหตุระเบิดที่อื่นด้วยซ้ำ ที่อื่นเป็นปีกว่าจะได้รู้ตัว แต่นี่เราแค่14-15วันเอง ทำมาได้ขนาดนี้
ส่วนความร่วมมือของนายเอเดมผู้ต้องสงสัยคนแรกนั้น ธรรมชาติของพวกนี้โอกาสที่เขาจะพูดมีน้อย แต่เราก็มีพยานหลักฐานอย่างอื่นมาสนับสนุนอยู่แล้ว
ส่วนจะเป็นชาวตุรกีหรือไม่ ผมจำไม่ได้ เพราะตัวละครมันเยอะ เพราะเท่าที่ดูน่าจะเป็นพาสปอร์ตปลอมทั้งนั้น แต่รูปเขาเป็นรูปจริง ศัพท์เขาเรียกว่าผ่าเล่ม เพราะผมเคยเป็นผู้บังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

คสช.ปล่อยภาพ ตามหา"เสื้อฟ้า" เพื่อมายืนยัน "เสื้อเหลือง" หรือใครรู้จัก ติดต่อ1599

คสช.ปล่อยภาพ ตามหา"เสื้อฟ้า" เพื่อมายืนยัน "เสื้อเหลือง" หรือใครรู้จัก ติดต่อ1599
คสช.ได้เผยแพร่ภาพนี้ให้สื่อ โดยระบุว่า โฆษก สตช. ขอความร่วมมือให้ชายในภาพที่สวม"เสื้อสีฟ้า" (มุมขวาล่าง) หรือประชาชนที่รู้จักบุคคลดังกล่าวติดต่อมายัง 1599 เพื่อให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นผู้ที่สามารถถ่ายภาพคนร้ายที่สวม"เสื้อเหลือง"ไว้ได้
คสช.ขอความร่วมมือ เจ้าของสถานประกอบการ หอพัก แจ้ง ตม. ข้อมูล ต่างชาติที่มาเข้าพัก/
พันเอกวินธัย สุวารี โฆษก คสช.แถลงผ่านทร. จากศูนย์ติดตามสถานการณ์คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ว่า จากผลการประชุมพิจารณามอบเงินช่วยเหลือเพิ่มเติม ให้กับญาติผู้เสียชีวิต โดยมีหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติให้ใช้เงินกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อจ่ายให้กับญาติผู้เสียชีวิตชาวไทย ซึ่งจะทำให้ได้รับเงินช่วยเหลือในจำนวนเดียวกับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ
นอกจากนี้ในส่วนของกรุงเทพมหานครกำลังดำเนินการให้การช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยใช้เงินจากโครงการ “รวมกันเราทำได้” หรือ “Together We Can” จ่ายให้กับญาติผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง
เนื่องจากผลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มีความคืบหน้าเป็นอย่างมากในห้วงเวลานี้ และได้รับความสนใจจากทุกภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และป้องกันความสับสน จึงขอให้ประชาชนได้ติดตามรับฟังข้อมูลอย่างเป็นทางการจาก ศูนย์ติดตามสถานการณ์คณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นหลัก ทั้งนี้หากมีความชัดเจนในประเด็นต่างๆ จะชี้แจงให้พี่น้องประชาชนทราบโดยทันที
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือการทำงานของเจ้าหน้าที่ จึงขอความร่วมมือให้ ประชาชนผู้เป็นเจ้าบ้านและผู้ประกอบการโรงแรม ห้องพัก หอพักต่างๆ ที่มีคนต่างชาติเข้าพักอาศัย กรุณาแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ ที่ทำการตรวจคนเข้าเมือง หรือสถานีตำรวจในพื้นที่ ภายใน ๒๔ ชั่วโมง นับตั้งแต่เวลาที่คนต่างชาติเข้ามาพักอาศัย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พุทธศักราช ๒๕๒๒ และเป็นการสร้างหลักประกันและส่งเสริมความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว
ได้อีกทางหนึ่ง
คสช.ได้เผยแพร่ภาพนี้ให้สื่อ โดยระบุว่า โฆษก สตช. ขอความร่วมมือให้ชายในภาพที่สวม"เสื้อสีฟ้า" (มุมขวาล่าง) หรือประชาชนที่รู้จักบุคคลดังกล่าวติดต่อมายัง 1599 เพื่อให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นผู้ที่สามารถถ่ายภาพคนร้ายที่สวม"เสื้อเหลือง"ไว้ได้

ทูตเผยบึ้ม ราชประสงค์ "สหรัฐอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์"





ทูตเผยบึ้ม ราชประสงค์ "สหรัฐอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์" ‪#‎ไทยโพสต์‬
วันนี้(2 ก.ย.) บนชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นายดับเบิลยู แพทริค เมอร์ฟี่ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย พร้อมด้วยคณะทูตทหารสหรัฐอเมริกา เดินทางเข้าพบปะนายธงชัย ลืออดุลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา
นายดับเบิลยู แพทริค เมอร์ฟี่ กล่าวภายหลังการพบปะพูดคุย ถึงเหตุระเบิดกรุงเทพฯ ว่าระเบิดที่แยกราชประสงค์ และสะพานสาทร ตนในฐานะตัวแทนของรัฐบาลอเมริกัน ทางสถานทูตได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปให้กับเหยื่อของทุกรายในเหตุระเบิด นอกจากนี้ยังประณามการก่อเหตุรุนแรงที่รับไม่ได้นี้ด้วย ส่วนเกี่ยวกับเรื่องการสอบสวนจะอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทย ซึ่งสหรัฐฯเองก็เคยเสนอให้ความร่วมมือ ความช่วยเหลือไปบ้างเหมือนกัน
"ส่วนความพอใจกับการจับกุมคนร้ายได้นั้น คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องคดีต้องเป็นเรื่องของภายในของเจ้าหน้าที่ฝ่ายของไทย แต่ว่าสามารถพูดได้ว่า ทางสหรัฐอมริกาเองอยากทำตัวเป็นประโยชน์เหมือนกัน ในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนกับประเทศไทย "นายดับเบิลยู แพทริค เมอร์ฟี่ กล่าว.

รอน พอล :"ต้องด่า FED ที่ทำให้ตลาดหุ้นพัง ไม่ใช่จีน"





"ต้องด่า FED ที่ทำให้ตลาดหุ้นพัง ไม่ใช่จีน" - รอน พอล อดีตวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯกล่าว (Ron Paul: Blame the Fed, Not China for Market Crash)
--------------
เมื่อวานนี้อ่านเจอบทความหนึ่งของนักการเมืองผู้มีวิสัยทัศน์ของสหรัฐฯที่ Sputnki นำมาลงข่าว เห็นว่าน่าสนใจมาก จึงขอแปลมาให้แฟนเพจได้อ่านบ้าง เป็นเรื่องเกี่ยวกับที่ไปที่มาของสาเหตุการที่ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงระนาวเมื่อสัปดาห์ก่อน ในมุมมองของนาย Ron Pual ซึ่งเป็นคุณหมอ นักเขียน นักการเมืองชาวอเมริกัน เป็นอดีตสมาชิกวุฒิสภาสังกัดพรรครีพับลิกัน อดีตผู้แข่งขันลงสมัครประธานาธิบดีของสหรัฐฯ 2 สมัย ปัจจุบันอายุ 80 ปี

สำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียเกริ่นนำว่า "การที่ตลาดหุ้นพังเป็นครั้งประวัติศาสตร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไม่ได้มีสาเหตุมาจากจีน แต่มีสาเหตุมาจากธนาคารกลางของสหรัฐฯ (US Federal Reserve) ตามความเห็นของ Ron Paul อดีตวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯ"

ในคอลัมน์ (FEATURED ARTICLES) ซึ่งเผยแพร่ในเว็บไซต์ของของเขา (The Ron Paul Institute for Peace and Prosperity - สถาบัน Ron Paul เพื่อสันติและความเจริญรุ่งเรือง) เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา Paul ได้ตำหนิความผิดพลาดเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินที่มีข้อบกพร่องของเฟด และไม่ใช่เพราะการลดค่าเงินหยวนของจีนเมื่อเร็วๆนี้ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าว

อดีตวุฒิสมาชิกจากรัฐเท็กซัสกล่าวว่า "นโยบายเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯเป็นการบิดเบือนเศรษฐกิจ (distort the economy) สร้างฟองสบู่ขึ้นมา ซึ่งในทางกลับกันก็ได้ทำให้ตลาดหุ้นเฟื่องฟูด้วย และสร้างภาพลวงตาของความร่ำรวยออกไปอย่างกว้างขวาง ฟองสบู่ได้เกิดระเบิดขึ้นอย่างหลีเลี่ยงไม่ได้ ตลาดพัง และเศรษฐกิจจมลงสู่ภาวะถดถอย"

Paul กล่าวต่ออีกว่า "การเพิ่มจำนวนสมาชิกนิติบัญญัติของอเมริกา ถือว่าเป็นข้อเสนอที่ไม่ถูกต้องเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องในระบบการเงินของสหรัฐฯด้วยการบังคับให้เฟดปฏิบัติตามนโยบายการเงินที่อยู่บนกฎระเบียดต่างๆ"

"การบังคับให้เฟดปฏิบัติตามกฎระเบียบไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าการให้อำนาจแก่ธนาคารกลางลับเพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ย เป็นสูตรสำหรับ (แก้ไข) ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยต่างๆเป็นราคาของเงิน ( Interest rates are the price of money) และก็เหมือนกับราคาของสิ่่งอื่นๆทั้งหมด ซึ่งควรจะมีการกำหนดโดยตลาด ไม่ใช่โดยธนาคารกลางและแน่นอนว่าไม่ใช่โดยสภาคองเกรส คองเกรสควรจะเริ่มทำการฟื้นฟูระบบการเงินในตลาดเสรีมากกว่า" พอลกล่าว

อดีตผู้สมัครแข่งขันประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า "ขั้นตอนแรกก็คือผ่านการตรวจสอบและกฎหมายเกี่ยวกับเฟด เพื่อให้ประชาชนสามารถเรียนรู้ความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับเฟดได้ในที่สุด สภาคองเกรสควรจะผ่านร่างกฎหมายที่รับประกันได้ว่าประชาชนใดๆสามารถที่ใช้สกุลเงินต่างๆเป็นทางเลือกที่ปราศจากการคุกคามจากรัฐบาล" (รอน พอลนี่แกเป็นนักเสรีนิยมเต็มตัวจริงๆ)

"เมื่อฟองสบู่ระเบิดออกมาและชนเข้ากับภาวะถดถอย สภาคองเกรสและเฟดควรละเว้นจากการพยายาม 'กระตุ้น' เศรษฐกิจผ่านการเพิ่มการใช้เงิน อนุมัติเงินช่วยเหลือ และการทำให้เงินเฟ้อ หนทางเดียวที่เศรษฐกิจจะฟื้นฟูกลับมาได้ดังเดิมอีกครั้งก็คือสภาคองเกรสและเฟดปล่อยให้ภาวะถอถอย (recession) ทางเศรษฐกิจวิ่งไปจนถึงที่สุด"

กลยุทธ์นี้จีนนำมาแล้วในช่วงที่ตลาดหุ้นจีนตกรอบที่สามแล้วก็ต่อด้วยวิกฤต Black Moday จีนครั้งนี้จีนบอกชัดเลยว่าจะไม่แทรกแซงตลาดหุ้น หมายถึงไม่อุดเงินเข้าไปอุ้มเหมือนกับสองครั้งแรกอีก มันอยากร่วงก็ปล่อยให้มันร่วงไป เพราะมันลุกลามไปทั่วโลก จะให้จีนแก้ไขคนเดียวได้ไง ถึงทำไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา เหมือนกับสร้างทำนบกั้นน้ำหวังสกัดซึนามิอย่างนั้นหรือไม่ได้ผลหรอก เมื่อสหรัฐฯเห็นว่างานนี้จีนไม่หลงกลอีกแล้ว ก.พาณิชย์ของสหรัฐฯก็ออกมาประกาศว่า อ่ะฮ้าาา ช่วงไตรมาสที่สองนี้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ซะอีก 

แค่นี้... ตลาดหุ้นในสหรัฐฯกลับมาเป็นบวกทันที และตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลกก็ดีขึ้นตามไปด้วยรวมทั้งจีนด้วย ต่อมาราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 5 วันติดๆ มันผิดปรกติไปหรือเปล่า? 

เมื่อคืนนี้ชะแว็บไปชาร์ตราคาน้ำมันดิบ WTI ของสหรัฐฯจากเว็บไซต์ของบีบีซีอินเตอร์ดู เริ่มปักหัวดิ่งลงมาแล้วครับ วันนี้ขอดูอีกรอบ เพราะเมื่อคืนนี้อาจจะสายตามัวฟ่าฟางก็ได้ อ้าว! ดิ่งจริงๆอ่ะ จากที่ขึ้นไปถึง 48.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในวันที่ 31 ส.ค. วันนี้ตกลงมาอยู่ที่ 44.49 เหรียญต่อบาร์เรลซะงั้น 

ก็บอกแล้วว่ามันผิดปรกติ มีบางคนกำลังเล่นกลอยู่แน่ๆ อาการขึ้นแบบผิดปรกติแบบนี้ ฝืนธรรมชาติขึ้นต่อไปได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ตก และมันก็ต๊ก! จริงๆด้วยสิครับท่าน

กลับมาที่ลุงพอลต่อนะครับ พอลกล่าวต่ออีกว่า "ไม่เพียงแต่จีนไม่ควรจะถูกตำหนิเนื่องจากหุ้นตกเท่านั้น แต่กรุงปักกิ่งได้ซื้อพันธบัตรจากกระทรวงการคลังของสหรัฐฯเอาไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งได้ช่วยให้ประเทศสหรัฐฯอเมริกาเลื่อนวันชำระบัญชีออกไปได้ (postpone the day of reckoning)"

(เอิ่มมมม… ดูเหมือนว่างานนี้ประชาธิปไตยจักรวรรดิเฮเกจะได้รับความกรุณาจากคอมมิวนิสต์จีนให้ลอดพ้นจากหายนะที่ตัวเองสร้างขึ้นมานะครับ โปรอเมริกาเซ็งอีกอ่ะดิ.... คริๆ)

รอน พอล ซัดเฟดอีกว่า "เหตุผลหลักที่ประเทศต่างๆ เช่นจีน มีความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือด้านการเงินให้กับหนี้สินของพวกเราก็คือ สถานสกุลเงินสำรองของโลกของดอลล่าร์สหรัฐฯ  อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณหลายอย่างที่บ่งชี้ว่าความกังวลต่อการขาดความรับผิดชอบ (irresponsibility) ทางด้านการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ และความไม่พอใจในนโยบายต่างประเทศของพวกราจะเป็นสาเหตุให้สกุลเงินอื่น (หรือหลายสกุล) เข้าไปแทนที่เงินดอลล่าร์ในฐานะที่เป็นสกุลเงินสำรองทั่วโลก หากว่าสิ่งนี้เกิดขึ้น สหรัฐฯจะเผชิญกับวิกฤตดอลล่าร์ครั้งใหญ่หลวง (แน่ๆ)"

ท่านรอน พอลไม่ต้องกังวลครับ มันจะเกิดขึ้นแน่ๆ ถ้าท่านติดตามอ่านเพจ "ปอกเปลือก ทรราช" อยู่ประจำท่านก็จะเห็นข่าวที่เกี่ยวกับจีนและรัสเซียและพันธมิตรกำลังสร้างตลาดใหม่ๆขึ้นมาโดยไม่ใช้เงินดอลล่าร์สหรัฐฯเป็นสกุลเงินกลางในการค้าขายระหว่างประเทศในกลุ่มใหม่เช่น SCO, EEU, CIS และ BRICS ต่อไปก็จะเป็น EEU+ASEAN หละครับ เพจนี้นำข่าวแบบนี้มาลงให้อ่านอยู่เรื่อยๆ เมื่อวานนี้ก็พึ่งจะเล่าให้ฟังไปแล้วหนึ่งข่าว เล่นเอาโปรอเมริกาหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปเลย คริๆ

รอน พอลกล่าวต่ออีกว่า "ยิ่งกว่านั้น ชาวอเมริกันหลายคนเชื่อโดยผิดๆ (many Americans falsely believe) ว่าพวกเขาจะต้องเสียสละเสรีภาพ (liberties) ต่างๆของพวกเขาเพื่อที่จะได้รับความมั่นคงทางเศรษฐกิจและส่วนบุคคล" (ว้าววว! เล่นกันขนาดนั้นเลยหรือจักรวรรดิเฮเก)

สุดท้ายอดีตวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯก็กล่าวว่า "ท้ายที่สุดแล้ว สหรัฐฯก็จะต้องละทิ้งรัฐรัฐสงคราม (warfare state) สวัสดิการ (welfare state) และระบบกฤษฎีกาทางการเงิน ที่เติมเชื้อเพลิงให้กับความเติบโตของสัตว์ทะเลตัวมหึมา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้น เพราะว่าแนวความคิดของเสรีภาพจะได้รับชัยชนะ ไม่ใช่เพราะว่าวิกฤตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทำให้รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่น" (ก็เมื่อนักการเมืองระดับอาวุโสของสหรัฐฯออกมาพูดอย่างนี้แล้ว ก็สงสัยสิว่า ตกลงแล้วในสหรัฐฯนี่มีเสรีภาพตามคำโฆษณาชวนเชื่ออยู่จริงๆหรือ?)

'สัญญาณภัย'ใน'จิตสำนึก'พร่อง เปลว สีเงิน

02/9/58 ไทยโพสต์

"พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ" บอกวันก่อน..........!
"การจับกุมผู้ต้องสงสัยในคดีวางระเบิดที่แยกราชประสงค์และสะพานสาทร เป็นผลจากการสืบของฝ่ายความมั่นคง"
ครับ...ขอชื่นชม "ฝ่ายมั่นคง" จากใจ
หน่วยนี้ ปิดทองหลังพระมาตลอด ทองเพิ่งล้นทะลักออกมาข้างหน้าค่าเหนือเงินไร้สาระ ๓ ล้าน ที่เอามากองออกโทรทัศน์ประจานวุฒิภาวะน่าละอายของใครบางคน วันก่อน
แน่นอน งานรักษาชาติบ้านเมือง เฉพาะหน่วยเดียวทำไม่สำเร็จ นี่เช่นกัน ต้องชื่นชมฝ่ายทหารและตำรวจด้วยเช่นกัน
ประสานการข่าว การสืบ การจับ ผนึกเป็นหนึ่งยูนิตในการทำงาน ชนิดไม่มีการเกี่ยงเอาหน้า-เอาตา
จนคดี "บอมบ์ราชประสงค์" มีผลงาน แสดงถึงศักยภาพคน-ศักยภาพประเทศ ที่ใครก็หยามไม่ได้ ดังประจักษ์
จับมิสเตอร์ X ๑ ในแก๊งคนแรก ที่อพาร์ตเมนต์หนองจอก เมื่อ ๒๙ ส.ค.๕๘........
ด้วยศิลปศาสตร์การสอบปากคำของทหารและตำรวจ มิสเตอร์ X เป็นกุญแจไขไปสู่ขบวนการวินาศกรรมผสม "ไทย-ต่างชาติ"
ที่เป็นขุมกำลังลับ ผนึกตัว "ก่อชั่ว" ในชาติ มานาน!
ถึงขณะนี้ ศาลออกหมายจับแล้ว ๗ คน เป็นไทย ๑ คือนางไมซาเลาะห์ ต่างชาติ ๖ รวมทั้งมิสเตอร์ X
ล่าสุด เมื่อวาน (๑ ก.ย.๕๘)...........
"กองกำลังบูรพา" จับต่างชาติรูปร่างลักษณะเหมือนชายเสื้อเหลืองตามหมายจับได้อีก ๑ คน จากชายแดนไทย-เขมร อรัญประเทศ สระแก้ว ขณะจะซอกซอนออกไป
สรุปขณะนี้ คุมตัวต่างชาติไว้ ๒ คน นางไมซาเลาะห์ "คนไทย" ขอมอบตัว ส่วนอีก ๔ เป็นต่างชาติ ประกาศจับแล้ว
ก็ชัดไปเปลาะว่า ขบวนการวินาศกรรมไทยแก๊งนี้ เท่าที่จับได้ ล้วนต่างชาติ ทางการยังไม่ระบุ เป็นชาติอะไร แต่มีความน่าจะเป็น....คนตุรกี
ล่าสุดที่จับได้ กระเดียดทางซินเจียงอุยกูร์!
อีกอย่างที่ต้องพูด การทำงานครั้งนี้ องค์ประกอบที่ทำให้คดีคลี่คลายมีผลสัมฤทธิ์เร็ว คือ
พระเดช....ด้วย "อำนาจ ม.๔๔"
ที่นายกฯ ประยุทธ์ ใช้เป็นพระคุณ ควบคุมตัวผู้ต้องหา "เพื่อค้นหา" ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง!
เพราะทั้ง ๒ คนที่คุมตัวไว้ ยังไม่มีใครยอมรับ และหลักฐานที่จะใช้ยืนยันถึงการทำผิด ยังไม่สมบูรณ์ถึงระดับ
คนแรก เพียงข้อหา มีวัตถุระเบิด
คนที่สอง เพียงต้องสงสัยเป็นชายเสื้อเหลือง ตามหมายจับของศาล!
ยังไม่ใช่ผู้ต้องหาในความผิดจากเหตุการณ์บอมบ์ราชประสงค์เมื่อ ๑๗ สิงหา โดยตรง การจะคุมตัวไว้นานๆ ระหว่างสอบสวน กฎหมายปกติไม่เอื้อนัก
ดังนั้น ม.๔๔ จึงเป็นคุณมหันต์
คุมตัวสอบสวนได้ ๗ วัน ทำให้การทำงานของชุดคลี่คลายคดีเดินหน้าไปได้ ไม่ถูกเงื่อนเวลาบีบรัด จนมีผลเป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์บ้านเมืองดังประจักษ์!
ถ้าเป็นหนัง-ละคร ช่วงนี้ถือว่า "ไคลแมกซ์" เราไม่ควรวิพากษ์ล้ำหน้าการแสดงบนเวที เป็นการเสือกรู้-เสือกฉลาด ที่กวนบาทเพราะผิดกาละ
ดู...และลุ้น ด้วยเอาใจช่วยเจ้าหน้าที่เขานั่นแหละ ดีที่สุด!
โม่งแดง มือบอมบ์ คือใคร........
และใคร คือ BIG BOSS ในแก๊งผสม "ไทย-ต่างชาติ" ที่ตั้งขบวนการป่วนชาติครั้งนี้?
ใจเย็นๆ ดูไปด้วยกัน จะคั่นฉากด้วยข่าว "ถอดยศทักษิณ" ซักนิดก่อนก็ได้
"ผมเห็นหนังสือแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงนาม ไม่ว่าผมจะลงนามวันไหนก็เหมือนกัน ถ้าลงนามเมื่อใด ก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อไป อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม ครม."
นายกฯ ประยุทธ์บอกนักข่าวเมื่อวาน (๑ ก.ย.๕๘) หลังจาก ผบ.ตร.สมยศแย้มข่าวว่า.......
"ขณะนี้ ได้รับหนังสือตอบกลับจากคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารทางราชการ (สขร.) แล้ว
ขั้นตอนหลังจากนี้ อยู่ในความรับผิดชอบผม จากนั้นจะส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป หากเป็นไปได้ จะถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้แล้วเสร็จก่อนเกษียณ ๑ ตุลาคมนี้”

อืมมมม...ยามฟ้าจะใส เมฆหนาที่คลุมทึบยาวนาน พลันสลาย โอ้โฮ...เฮะ พร้อมๆ กัน!

เรื่องเงินกู้กรุงไทย ที่หลงอยู่อีก ๔ ราย คุณสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดี DSI บอกวานซืน....

"อยู่ระหว่างคัดสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดีฟอกเงิน โดยเชื่อมโยงและขยายผลถึงผู้ที่นำเงินจากการปล่อยกู้ไปใช้ประโยชน์
จะประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดี วันที่ ๗ ก.ย.นี้ คาดว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาผู้กระทำผิดได้ภายใน ๑ เดือน"

หมกสนิทมา ๘ ปี.........!
หวุดหวิดจะหมดอายุความ จู่ๆ ด้วย "กรรมจัดสรร" บุคคลทั้ง ๔ ที่อาจมีสิทธิ์ได้รับแจ้งข้อหา มีดังนี้
"นายพานทองแท้ ชินวัตร นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขาธิการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ นายวันชัย หงษ์เหิน สามีนางกาญจนา และนายมานพ ทิวารี บิดา น.ต.ศิธา ทิวารี"

ก็กลับไปเรื่องขบวนการวินาศกรรมต่อ มีประเด็นหนึ่งที่อยากให้สังเกตด้วยกัน
พลันที่หน่วยมั่นคงและทหารจับกุมผู้ต้องหาที่อพาร์ตเมนต์หนองจอก-มีนบุรี
ผบ.ตร.สมยศ สั่งย้ายตำรวจท้องที่ ตั้งแต่ระดับผู้กำกับลงมา รวม ๑๖ นาย ใน ๒ โรงพัก คือมีนบุรี และหนองจอก
เหตุผล คือ ไม่รู้-ไม่เห็นอะไรในท้องที่ ทั้งที่ขบวนการร้ายเข้าไปฟักไข่ยั้วเยี้ย
อีกราย เมื่อวาน สั่งย้ายนายตำรวจชุดประจำด่านตรวจคนเข้าเมืองสระแก้ว
การย้ายเป็นเรื่องปกติ จะเห็นว่าระยะนี้บ่อยมาก รวมๆ แล้วเป็นร้อยนาย จนน่าสงสัย ย้ายไปเก็บกรุมากมาย แล้วเอาตำรวจที่ไหนไปทำงานแทน?
และคนที่ย้าย เผลอๆ เดือน-ครึ่งเดือน ก็เห็นแอบย้ายให้กลับไปหน้านวลอยู่ที่เดิม-เหมือนเดิมแล้ว!
ก็เป็นที่ทราบทั่วไป การจะได้ "กินพื้นที่" สำคัญๆ เป็นผู้กำกับอยู่กรุง อยู่ ตม.นั้น
ต้องปึ้ก..และปึกๆ ถึงจะได้ลงตำแหน่ง!

ดังนั้น การย้ายตำรวจประจำด่านสระแก้ว ลำพังแค่กองกำลังบูรพาไปจับต่างชาติคล้ายเสื้อเหลือง
ตม.สระแก้ว "เส้นใหญ่" เกินย้ายด้วยสาเหตุแค่นั้น แต่ที่ ผบ.ตร.สมยศระบุ หลังไปพบนายกฯ ตรงนี้ นับว่าน่าตระหนก....

"สำหรับคำสั่งนี้ สืบเนื่องจากหน่วยความมั่นคงสืบทราบว่า มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับขบวนการลักลอบนำพาชาวอุยกูร์เข้ามาในประเทศ โยงใยกับขบวนการก่อเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์และท่าน้ำสาทร"

น่าตระหนกจริงๆ ทั้งอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต!

ย้อนไปตั้งแต่ ๑๙ กันยา ๔๙ ที่พลเอกสนธิ ยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ จนเกิดความแตกแยกในชาติ เป็นเหลือง-แดง เรื่อยมา ถึงขั้นจลาจล ฆ่ากันตาย ต่อเนื่องมาร่วม ๑๐ ปี

ด่านข้ามจากไทยไปเขมรตรงนี้ เป็นด่านที่ "ฝ่ายไหน" ใช้ประโยชน์ อำนวยประโยชน์ เพื่อการทำลายล้างไทยกันเอง ก็ทราบกันดีอยู่

ที่เป็นอย่างนั้นได้ ก็ต้องถามกันว่า...........

"ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง" ตรงนี้ ทำหน้าที่ ซื่อตรงด้วยจิตสำนึก ยึดประโยชน์ชาติบ้านเมือง "ด้านความมั่นคง" เป็นหลัก
หรือ...เพื่อความมั่นคง BIG BOSS คนไหน เป็นหลัก มีอย่างนั้นหรือเปล่า?

ผมจึงว่า...บ้านเมืองไทยวันนี้ "ปลวก" จากกากเดนต่างชาติที่ไหลเข้ามา มันก่อรังจากใต้ดิน เติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

โดยที่เราทั้ง รัฐ-ราษฎร์ ไม่สนใจ และไม่ตระหนักถึงภัยชาติ ที่คืบคลานจ้องเขมือบหัว ก็ยังไม่รู้สำนึกตัวกัน!

ไม่ต้องไกล แค่ "รามคำแหง-หนองจอก-มีนบุรี" ท่านนายกฯ ลองให้คนไปเดินเล่น ก็จะพบว่า

คนไทยเจ้าของประเทศ กลายเป็นคนแปลกหน้า เป็นคนส่วนน้อย ในดงคนต่างชาติ-ต่างภาษา ไปแล้ว!

ขนาด ตม.ยังต้องย้ายด้วยเหตุผลด้านมั่นคง ก็ไม่ต้องคิด "ระดับชาวบ้าน" จะใส่ใจไยดีด้านมั่นคง

ถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่ต้อง "ยกเครื่อง" ใหม่หมดทั้งประเทศ การเมืองเรื่องเลือกตั้ง อย่าเพิ่งคลั่ง เป็น "งั่งประชาธิปไตย" กันนักเลย.

นับถอยหลังถลกหนังเสือ


เสมา ขุนศึกรักสถาบัน


นับถอยหลังถลกหนังเสือ
+++++++++++
รู้กันบ้างมั๊ยว่าถอดยศทักษิณแล้วได้อะไร..หรือได้แต่ เฮๆๆกันตามกระแส..ไม่รู้จะบอกให้ครับ..มาอ่าน 8 ข้อนี้กัน..หลักการที่สำคัญที่สุดคือ เข้าข่ายว่าผู้ใดไม่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ผู้นั้นไม่ควรมียศฐาบรรดาศักดิ์ และต้องริบเครื่องราชย์คืน..มันจะเจ็บจิ๊ดเข้าไปในหัวใจคที่โดน และวงศ์ตระกูล รวยเท่าไหร่ไม่เกี่ยวแต่มันเกี่ยวตรงที่มันจะหมดความเชื่อถือในสังคมโลกว่าแม้แต่กษัตริย์ตนเองยังทรยศได้..แล้วจะซื่อสัตย์กับประเทศที่มันไปซุกหัวได้อย่างไร
1. ยศ และ เครื่องราชฯ เป็นพระบรมราชโองการโปรดเกล้าพระราชทาน ถือเป็นเรื่องปกติของข้าราชการประจำ และข้าราชการการเมืองจะได้รับตามที่หน่วยงานเสนอตามระเบียบ
2. การเรียกคืนยศและเครื่องราชฯ ก็เช่นเดียวกันเป็นเรื่องของหน่วยงานหรือรัฐบาลโดยสำนักนายกฯ เป็นผู้ประมวลเรื่องเสนอไปยังสำนักพระราชวัง แล้วมีพระบรมราชโองการลงมาโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการ
3. จากข้อ 1 และ 2 แล้วทำไมถึงยังไม่ดำเนินการเรียกคืนสักที ?
– 3.1 ทักษิณไม่แคร์เลย สมใจมันด้วยถ้าถูกเรียกคืนฯ ทักษิณต้องการอย่างยิ่งให้มีพระบรมราชโองการให้เรียกคืนด้วยซำ้ไป เป็นเรื่องลึกที่มันต้องการ แต่พวกเราอาจไม่รู้ทันมัน
– 3.2 จากข้อ 3.1 เพราะอะไร?
เพราะทักษิณจะได้เอาประเด็นนี้ยืนยันตามที่พูดจาบจ้วงมาตลอดว่า “มันถูกรังแกจากสถาบันเบื้องสูงโดยผ่านทางองคมนตรี” ซึ่งจะเข้าทางมันทันทีที่มีการเรียกคืน มันจะป่าวประกาศให้ต่างประเทศเข้าใจผิดสถาบันฯและเห็นใจมันมากขึ้น และก็อาจเชื่อมันด้วยว่าสถาบันฯรังแกมันจริง
4. ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองรู้เกมของทักษิณ จึงยังไม่ดำเนินการตามที่ประชาชนจำนวนมากต้องการ เป็นเรื่องง่ายมากหากรัฐบาลจะทำจริง แต่เห็นว่าขณะนี้ไม่ควรตกหลุมพรางให้ทักษิณใช้ประเด็นนี้สร้าง”เงื่อนไข”
5. พระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะเป็นที่เคารพสักการะของคนไทย พระองค์อยู่เหนือการเมือง พระราชอำนาจพระองค์แทบไม่มีด้วยซ้ำ แต่ต่างประเทศและคนไทยบางกลุ่มไม่เข้าใจ
6. ยืนยันว่าทักษิณมีความต้องการให้คนไทยที่ชื่นชอบมันและต่างประเทศเข้าใจว่า ทักษิณ ยิ่งลักษณ์และโครตเหง้ามัน ไม่เป็นที่โปรดปรานของราชสำนัก แลจะเอาประเด็นนี้เป็นตัวชูทันที ที่ผ่านมาทักษิณก็ใช้ล็อบบี้ยิสต์เดินแผนนี้มาตลอด
7. ผมอยากให้เรารู้ทันในความเจ้าเล่ห์ของมันและกลุ่มไม่เอาเจ้า ที่พยายามให้ต่างประเทศเข้าใจว่าสถาบันเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองกับทักษิณ ตามที่มันเที่ยวพูดในที่ต่างๆ เพื่อให้แผนโลกล้อมประเทศของมันประสบความสำเร็จ
8. ใครจะคิดอย่างไรกับพระองค์ท่าน แม้จะเกลียดชังพระองค์ด้วยเหตุผลความเชื่ออะไรก็ตาม พระองค์ยังทรงถือว่า ทุกคน “เป็นพสกนิกรของพระองค์ด้วยทรงพระเมตตาและห่วงใยเหมือนลูกของพระองค์”
------------------------------------------
ขอบคุณข้อมูลดีๆ : Nakorn Suthon ·

ใบตองแห้ง:นับถอยหลังแยกขั้วรอบใหม่ ทายท้าวิชามาร

2015-09-02 06:59:00 ข่าวหุ้น

ไม่มีอะไรน่าแปลกใจที่สุเทพ เทือกสุบรรณ สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ สวนทางอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เรียกร้องให้ สปช.คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ
เพราะสุเทพประกาศจุดยืนมวลชนนกหวีด คนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมี “ม็อบอาหารดี” ที่ยกระดับศีลธรรมถึงขั้นปฏิเสธอำนาจจากเลือกตั้งไม่ว่าพรรคไหน บทเรียนรัฐประหาร 49 สอนว่าถ้าคืนอำนาจให้มาจากเลือกตั้งอีก จะมีกี่ศาลกี่องค์กรอิสระก็ต้องพึ่งรถถังอยู่ดี ฉะนั้นครั้งนี้ก็เขียนให้รถถังเป็นอำนาจสูงสุดในรัฐธรรมนูญซะดีกว่า
จะว่าไป ร่างรัฐธรรมนูญ คสช.คือการสานต่ออุดมคติพันธมิตร “การเมืองใหม่ 70-30” และ กปปส.”สภาประชาชน” ที่ต้องการให้อำนาจจากสรรหา (ผู้ทรงคุณวุฒิคุณธรรมตัวแทนคนชั้นนำคนระดับบน) อยู่เหนืออำนาจจากเลือกตั้ง (นักการเมืองชั่วที่คนระดับล่างคนชนบทเลือกมา) เพียงแต่เมื่อกองทัพเป็นกำลังหลักในการยึดอำนาจ ก็ต้องได้บทบาทเหนือกว่า
ถ้าดูโครงสร้างรัฐธรรมนูญจะเห็นชัด บทเฉพาะกาลมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ 5 ผบ.เหล่าทัพโดยตำแหน่ง อีก 11 คนน่าจะมาจาก “ผู้ดี” ข้าราชการ Elite ประชาสังคม ที่ สนช.สรรหา
ถ้าพ้นบทเฉพาะกาล ส.ว. 123 คนก็มาจากอดีต ผบ. อดีตปลัด ตัวแทนคนชั้นกลางอาชีพต่างๆ และ NGO โดยอีกด้านก็เพิ่มอำนาจสกัดปราบปรามให้องค์กรอิสระและศาล
ถ้าดูกรรมการสรรหาองค์กรอิสระนอกจากสายศาล ยังมีอธิการบดี ยังมีกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน เป็นเรื่องขำๆ ที่หอการค้าจะได้เลือก ปปช. นี่คืออุตส่าห์พยายามดึง Elite ทุกภาคส่วนเข้าไปกินโต๊ะแชร์ เพื่อกดอำนาจจากเลือกตั้ง
ระบอบนี้ไม่มีที่ยืนให้พรรคการเมืองใดทั้งสิ้น แม้แต่ ปชป.ที่อุตส่าห์บอยคอตต์เลือกตั้งร่วมมือร่วมม็อบกันมา เว้นแต่จะยอมรับเลือกตั้งเป็นพิธีกรรม รัฐบาลเป็น “เจว็ด” ซึ่งที่จริง ปชป.น่าจะชอบเป็น “ปลัดประเทศ” แต่ทำไงได้ ด้วยจุดยืนพรรคการเมืองที่ต้องการอำนาจผ่านเลือกตั้ง อภิสิทธ์คนหล่อจะกลืนน้ำลายได้ไง
ปชป.จะหาทางออกอย่างไรก็ช่างเถอะ คำถามว่าระบอบนี้จะยืนอยู่ได้อย่างไร สำคัญกว่า
จุดขายของระบอบนี้คือ หนึ่ง “พลเมืองเป็นใหญ่” ต่างจากรัฐธรรมนูญ 2550 เพราะแบ่งเศษให้คนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมีลงไปถึง NGO ที่ชอบอำนาจทางลัดได้ติดสอยอำนาจกับกองทัพและรัฐราชการ สอง อ้างความจำเป็นในการปฏิรูปพัฒนาศักยภาพการแข่งขัน (เช่นปัดรังควานกระทรวงไอซีที)
ส่วนการ “กดหัว” อำนาจเลือกตั้งของคนชั้นล่าง พวกเขาเชื่อว่าไม่มีปัญหาเพราะอำนาจคนดีจะพยายามลดความเหลื่อมล้ำพร้อมกับสอนศีลธรรมให้รู้จัก “พอ” ฉะนั้น “ไม่เป็นประชาธิปไตย” ซัก 5 ปีไม่น่าจะมีปัญหา
แต่ปัญหาคือคำว่า “ไม่เป็นประชาธิปไตย” ไม่ใช่แค่เว้นวรรคพักอำนาจนักการเมือง มันต้องสูญเสียอะไรอีกหลายอย่างเป็นเดิมพัน เช่นความเสมอภาค ความชอบธรรม ความมีกฎเกณฑ์กติกา และความยุติธรรม
เอาง่ายๆ ไม่เอาเลือกตั้งก็ต้องสรรหา ซึ่งคลาดเคลื่อนนิดเดียวเท่านั้นก็ “เล่นพวก” “อุปถัมภ์” การได้อำนาจและใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรม การใช้กฎหมายอย่างไม่ยุติธรรม โดยเอาความเชื่อเรื่องศีลธรรมคนดีคนชั่วเป็นที่ตั้ง ก็เสียทั้งหลักการและศีลธรรม
ระบอบนี้อาจดูยิ่งใหญ่ มีทหารมีตุลาการมีคนชั้นนำคนระดับบน แต่เมื่อฝืนเหตุผลฝืนความชอบธรรมวันหนึ่งก็จะสะดุดและเผชิญหน้ากับคนชั้นล่างคนชั้นกลางเสียงข้างน้อยที่ยึดมั่นประชาธิปไตย ซึ่งจะเป็นการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย

                                                                                                                ใบตองแห้ง

"ป๋าเปรม""คอร์รัปชัน"ปัญหาใหญ่น่าอับอาย ประชานิยมทำปชช.ชาติอ่อนแอ


"ป๋าเปรม" หวัง ผู้นำ สร้างไทย กลับไปเป็นผู้นำในภูมิภาค เช่นแต่ก่อน ยอมรับปัญหาภายใน ทำเราถอยหลังไป10ปี ยัน "คอร์รัปชัน" เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ น่าอับอาย ยกระบอบประชานิยมทำประชาชนและชาติอ่อนแอ ห่วง เด็กรุ่นใหม่และผู้ใหญ่บางคนบอกโกงไม่ใช่เรื่องเสียหาย ชี้ คนที่พูดแบบนั้น เห็นแกตัวเองมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ลั่นเลิกกราบไหว้ เลิกคบค้าสมาคม คนฉ้อราษฎร์บังหลวง ให้เห็นเป็นที่น่ารังเกียจของคนไทยทุกคนที่ไม่โกงชาติบ้านเมือง
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวเปิดงาน “60 ปี คณะรัฐประศาสนศาสตร์” ที่จัดขึ้นโดยคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
พลเอกเปรม กล่าวปาฐกถาตอนหนึ่ง ว่า ปัจจุบันคนไทยมี 67 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากเมื่อ 60 ปีก่อน 4 เท่า เท่ากับว่าข้าราชการทั้งหลายต้องปรับปรุง พัฒนาการบริหารภาครัฐให้ดีที่สุด ให้สอดคล้องกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น
ก่อนหน้านี้ ประเทศไทยเรียกได้ว่าเป็นผู้นำของภูมิภาคเอเชีย แต่เมื่อถอยหลังไปอย่างน้อย 10 ปี ประเทศไทยโชคไม่ดี มีปัญหาเยอะ การพัฒนาชะงักงัน ทำให้ประเทศไทยถอยหลังไปอยู่ในลำดับหมายเลขที่ไม่น่าจะต้องอยู่
"ผมเห็นว่า รัฐบาลที่เป็นผู้นำ จำเป็นต้องช่วยกันดึงความเป็นผู้นำภูมิภาคของเรากลับคืนมาให้ได้"
ขณะเดียวกัน ระบอบประชานิยม เป็นปัญหาที่ทำให้ประชาชนบางคนไม่คิดจะทำอะไรเอง ทำให้ประเทศและคนของเราอ่อนแอ ปัญหาคุณธรรมและจริยธรรม ค่านิยมในสังคมเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ
"เด็กรุ่นใหม่และผู้ใหญ่บางคนพูดว่า การโกงไม่ใชเรื่องเสียหาย ถ้าเราได้ประโยชน์ เป็นเรื่องที่ไม่ควรพูด และทำให้คนเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าโกงก็ไม่เป็นไร ซึ่งคนที่พูดแบบนั้นเป็นคนที่พูดเพื่อประโยชน์ของตัวเองมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้"
พล.อ.เปรม ยังกล่าวถึงปัญหาคอร์รัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวง ว่า เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ นำความอับอายขายหน้ามาสู่ประเทศ เพราะฉะนั้นคนไทยทุกคนต้องช่วยกัน แม้เราจะมีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่ ป.ป.ช. ก็ไม่มีแรงมากพอที่จะทำ ฉะนั้น คนที่ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวงต้องช่วย ป.ป.ช. ปราบปราม
โดยวิธีที่จะช่วย ป.ป.ช. คือ สอนคนไทยให้เข้าใจว่าคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาเลวร้ายที่สุด ขายหน้าที่สุด จะปล่อยปละละเลยไม่ได้ รวมทั้งต้องสอนให้คนรู้จักคุณธรรม จริยธรรม เราต้องเลิกเคารพนับถือคนคอร์รัปชั่น เลิกกราบไหว้คนฉ้อราษฎร์บังหลวง เลิกคบค้าสมาคมกับคนพวกนี้ ให้เขาเห็นว่าเป็นที่น่ารังเกียจของคนไทยทุกคนที่ไม่โกงชาติบ้านเมือง
(ที่มาข่าว: ผู้จัดการ ออนไลน์)

เปิดคลิป !มัด'ยิ่งลักษณ์'คดีข้าว ชี้ ไม่ใช่แค่ละเว้น-แต่ทุจริตด้วย



เปิดคลิป !มัด'ยิ่งลักษณ์'คดีข้าว ชี้ ไม่ใช่แค่ละเว้น-แต่ทุจริตด้วย
1 ก.ย.58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (31 ส.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว พร้อมทีมทนายความ นำโดย นายนรวิชญ์ หล่าแหล่ง เดินทางมาตรวจพยานหลักฐานนัดแรก ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า ในสำนวนฟ้องร้องคดีกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในโครงการรับจำนำข้าว ของอัยการ ในฐานะโจทก์ที่ยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้พิจารณาล่าสุด เมื่อวันที่ 31 ส.ค.58 ที่ผ่านมา มีการระบุถึงข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตรวมอยู่ในสำนวน นอกเหนือจากข้อกล่าวหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพียงอย่างเดียว เนื่องจากปรากฎหลักฐานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน โดยยืนยันว่า มีการทำสัญญาข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจีจริง จึงเข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตด้วย
แหล่งข่าวจากสำนักงานอัยการ ให้สัมภาษณ์ยืนยัน หลังจากที่อัยการสูงสุดมีความเห็นว่า ควรสั่งฟ้องคดีนี้ พนักงานอัยการได้หารือกัน และเพิ่มเติมข้อกล่าวหาเรื่องทุจริตส่วนนี้เข้าไปในสำนวนในช่วงที่ ป.ป.ช.ชี้มูล เพราะมีข้อมูลเกี่ยวกับคำให้สัมภาษณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมอยู่ด้วย ซึ่งอัยการเห็นว่าน่าจะเข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตด้วย
แหล่งข่าวยังกล่าวด้วยว่า ในการนัดตรวจพยานหลักฐาน เมื่อวันที่ 31 ส.ค.58 ที่ผ่านมา อัยการในฐานะฝ่ายโจทก์ ได้อ้างพยานเอกสารทั้งหมด 160 แฟ้ม ขณะที่ฝ่ายจำเลย น.ส.ยิ่งลักษณ์ อ้างพยานเอกสารทั้งหมด 61 แฟ้ม โดยจำนวนแฟ้มที่เพิ่มขึ้นมามากกว่าจำนวนแฟ้มของฝั่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นสำนวนคดีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคดีการทุจริตระบายข้าวจีทูจี ที่มีการฟ้องร้องคดีทุจริต ในส่วนของ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวก ที่นำมาใช้ประกอบการพิจารณาคดีในส่วนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพิ่มเติม
"อัยการเห็นว่า ข้อกล่าวหาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในคดีนี้ ไม่ใช่แค่การปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิับัติหน้าที่โดยมิชอบเท่านั้น แต่ยังเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ด้วย อัยการจึงเขียนสำนวนให้มีความชัดเจนมากขึ้น แล้วเพิ่มแฟ้มสำนวนจีทูจีของนายบุญทรงประกอบเข้าไป โดยในบัญชีรายชื่อพยานของฝ่ายอัยการ มีการระบุถึงสื่อมวลชน จำนวน 2 ช่องด้วย"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะที่ การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เรื่องการระบายข้าวดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ต.ค.55 โดยนักข่าวถามว่า "เคยเห็นสัญญาซื้อขายข้าว (แบบรัฐต่อรัฐ) มั๊ย" น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบว่า "เคยเห็นค่ะ เป็น MOU" จากนั้น นายบุญทรง ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ชี้แจงเพิ่มเติมว่า "เป็น sale contract ครับ ไม่ใช่ MOU"

สื่อฯจีนตอกกลับสหรัฐฯกรณีปล่อยข่าวผ่านสื่อฯขู่ว่าจะแซงชั่นจีนเรื่องการเจาะข้อมูลในโลกไซเบอร์ มันส์!





สื่อฯจีนตอกกลับสหรัฐฯกรณีปล่อยข่าวผ่านสื่อฯขู่ว่าจะแซงชั่นจีนเรื่องการเจาะข้อมูลในโลกไซเบอร์ มันส์!
------------
ในที่สุดจีนก็ขยับตอบโต้ทันควัน ไม่ยอมให้จักรวรรดิเฮเกโมนีออกมาเห่าหอนให้หนวกหูน่ารำคาญแก่ชาวโลก วันนี้ (1 ก.ย.58) สำนักข่าว Global Times ของจีนลงบความสั้นๆเรื่อง "กรุงวอชิงตันเล่นเกมตกเป็นเหยื่อของการแฮ็กข้อมูลในช่วงเวลาที่สำคัญ" (Washington plays hacking victim game at sensitive time) (ข่าวเก่าเกี่ยวกับกรณีนี้สามารถอ่านย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/fisont/posts/1716493888570744)
สื่อฯจีนขึ้นย่อหน้าแรกเลยว่า... หนังสือพิมพ์ The Washington Post (ของสหรัฐฯ) ได้รายงานเมื่อวันเสาร์ว่า ทำเนียบขาวกำลังเตรียมออกมาตรการแซงชั่นทางเศรษฐกิจที่คาดไม่ถึงหลายชุด ต่อต้านบริษัทและบุคคลชาวจีนที่ได้รับผลประโยชน์จากการขโมยความลับทางการค้าจากรัฐบาลของสหรัฐฯ โดยกล่าวอ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่นิรนาม (เสกขึ้นมาเอง เพี้ยง!) ซึ่งในรายงานกล่าวว่า "คาดว่าจะมีการตัดสินใจในเร็วๆนี้ บางทีอาจจะภายใน 2 สัปดาห์" (เป็นเรื่องจนได้ เรื่องอะไรที่จีนจะปล่อยให้จอมพันธพาลโลกออกมาเที่ยวกล่าวหาและข่มขู่ประเทศต่างๆได้ตามอำเภอใจไปวันๆ ต้องมีอาการออกมาเตะปากสุนัขบ้างหละงานนี้)
หมัดที่1: ขณะนี้ กำลังอยู่ในช่วงที่ประะธานาธิบดีสีจิ้นผิงจะเดินทางไปเยือนกรุงวอชิงตันเป็นครั้งแรก การแซงชั่นบริษัทธุรกิจของจีนเพียงเพราะข้อกล่าวหาที่ไม่มีการตรวจสอบ (unverified accusations) เป็นการกระทำที่จงใจและขาดความรับผิดชอบที่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีเปรี้ยวบูด (จีนเตือนพวกที่ขาดความรับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเองเหมือนเด็กที่ขาดวุฒิภาวะว่างั้นเถอะ)
หมัดที่2: กรุงวอชิงตันได้เจตนาที่จะเต้าข่าวที่สร้างปัญหายุ่งยากต่างๆขึ้นมาในความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี เช่น การใช้เรื่องการรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ ด้วยการส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย และพยายามที่จะทำให้ประชาคมนานาชาติจับตามาที่ประเด็นนี้ นั่นหมายถึงการทับถมความกดดันมาที่จีน เพื่อขับเคลื่อนการต่อรองอย่างหนักกับกรุงปักกิ่งในการประชุมสุดยอดระหว่างปธน.สีกับปธน.โอบามา ในทางกลับกันลุงแซม (Uncle Sam) ก็อาจจะได้รับผลประโยชน์มากขึ้น ในขณะที่กำลังบีบบังคับให้จีนประนีประนอมบางอย่าง (นั่นแหละคือความเจ้าเล่ห์เพทุบายของจักรวรรดิเฮเกหละ คิดว่าจีนจะไม่รู้ทันเกมนี้หละสิ แต่พวกนี้ก็ยังหน้าด้านงัดมุกนี้ออกมาเล่นอยู่อีกนะ)
หมัดที่3: การปฏบัติแบบนี้สะท้อนให้เห็นถึงโหมดความความคิดแบบเฮเกโนนิก (hegemonic ลัทธิอยากเป็นเจ้าโลกแต่เพียงผู้เดียว) ที่สอดคล้องกันของกรุงวอชิงตัน (เอ… เท่าที่สังเกตจากสื่อฯต่างประเทศหลายแห่งพักหลังนี้จะนิยมเรียกสหรัฐฯว่าเป็น hegemony มากขึ้นเรื่อยๆนะ) - พฤติกกรรมเที่ยวตำหนิผู้อื่นอย่างหยาบโลนทีเล่นทีจริง (wantonly blaming others) ในขณะเดียวกันก็สงวนอภิสิทธิ์ของตัวเองเอาไว้ เนื่องจาก (จักรวรรดิเฮเก) เป็นผู้กำหนดกฎในโลกไซเบอร์ เปิดปฏิบัติการเครือข่าวเฝ้าระวังสอดแนมไปทั่วโลก กรุงวอชิงตันก็มีความเชี่ยวชาญในการเล่นเกมตกเป็นเหยื่อในช่วงเวลาที่หัวเรี่ยวหัวต่อ เกมนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับกรุงวอชิงตันแม้แต่น้อย แต่สามารถสร้างผลประโยชน์ให้กรุงวอชิงตันได้อย่างมหาศาล อย่างน้อยที่สุด ก็ปรากฏออกมาว่าจีนเป็นฝ่ายที่สูญเสียมติมหาชนทั่วโลก (ขาดความน่าเชื่อถือในสายตาชาวโลก) (พฤติกรรมตัวเองทำชั่วแล้วรีบร้องแรกแหกกระเชอ เอะอะโวยวายโยนอี้ให้คนอื่น บอกว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำมักจะเจอบ่อยๆในกลุ่มโปรอเมริกา เขาคงเรียนมาจากสำนักเดียวกัน)
หมัดที่4: จีนเคยเป็นประเทศที่สุภาพมากๆ (too polite) ต่อกรณีข้อพิพาทต่างๆเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ท และได้ตามใจความหยิ่งจองหอง (arrogance) ของกรุงวอชิงตันมาแล้ว เนื่องจากท่าทีที่อ่อนโยน (mild) ของจีนไม่สามารถเอาชนะการตอบแทน (reciprocation) จากฝ่ายสหรัฐฯได้ กรุงปักกิ่งก็จะเลิกทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัวแบบนั้นอีกต่อไป (Beijing should just quit keeping such a low profile) และจะสวนกลับไปยังกรุงวอชิงตันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน/หนามยอกเอาหนามบ่ง (tit for tat) (เยสสสส!)
สื่อฯจีนสั่งสอนจักรวรรดิเฮเก: จีนไม่กลัวการเต้าข่าวปลุกปั่นมติมหาชนของสหรัฐฯ และไม่กลัวว่าสหรัฐฯจะลงมือกับจีน ตลอดหลายปีมานี้ รัฐบาลสหรัฐฯเก่งเรื่องการสร้างมติมหาชนเพื่อสนองเป้าหมายของตนเอง การรักษาความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีในทางบวกจะต้องได้รับความเพียรพยายามจากทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่คาดว่าความสัมพันธ์ Sino-US จะสามารถแก้ไขปัญหาหลายๆอย่างในความท้าทายทั่วโลกที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันนี้ หากทำเนียบขาวจริงจังในการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีความสำคัญมากที่สุดในศตวรรษที่ 21 นี้ จักรวรรดิเฮเกควรจะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ (ไม่รู้ว่าจักรวรรดิเฮเกจะสำนึกบ้างหรือเปล่านะ?)
ข้าวหลามยักษ์ Guam killer: จีนบอกว่าการที่จีนเล่นบทเป็นผู้ดีสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาตลอดนี้เหมือนยิ่งทำให้จักรวรรดิเฮเกอันธพาลโลกย่ามใจมากขึ้นและเที่ยวหาเรื่องชาวบ้านไปทั่ว งั้นจีนก็จะเปลี่ยนมาเล่นบท "tit for tat" กับจักรวรรดิเฮเกบ้างหละนะ และแล้วเมื่อวันที่ 31 ส.ค.58 ที่ผ่านมา สำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียก็พาดหัวข่าวว่า "จีนเผยโฉมขีปนาวุธฉายา 'นักฆ่าเกาะกวม' ที่ร้ายกาจที่สุดออกมาเป็นครั้งแรก" (China Reveals Deadliest 'Guam Killer' Missile for First Time) รายงานข่าวบอกว่าจีนจะนำขีปนาวุธ Guam Killer นี้เข้าร่วมแสดงในงานพิธีสวนสนาม V-Day ในวันที่ 3 ก.ย.58 ในกรุงปักกิ่งที่จะถึงนี้ด้วย
ขีปนาวุธพิสัยสั้น Dong Feng (DF, East Wind) DF-15B แบบ ballistic (SRBM), และ DF-16 พิสัยกลาง (MRBM), DF-21C MRBM, และขีปนาวุธข้ามทวีป DF-5B (ติดหัวรบนิวเคลียร์) (ICBM), ขีปนาวุธ DF-31 A ICBM, DF-10 cruise missile สำหรับโจมตีภาคพื้นดิน (LACM) และ DF-26 ขีปนาวุธแบบ ballistic พิสัยปานกลาง (IRBM) ซึ่งมีชื่อว่า "Guam killer" จะถูกนำไปร่วมในขบวนพาเหรดด้วย
DF-26C พัฒนาต่อยอดมาจากขีปนาวุธ DF-21 ซึ่งมีฉายาว่า "ผู้ให้บริการนักฆ่า" (carrier killer) DF-26C มีพิสัยทำการอยู่ที่ 3,500 - 4,000 กม. ซึ่งสามารถที่จะส่งไป (ทางอากาศ) ให้กับกองทัพของสหรัฐฯบนเกาะกวมได้สบายๆ ซึ่งเป็นฐานทัพที่ใหญ่ที่สุดและอยู่ใต้สุดของหมู่เกาะ Mariana Islands ภายในรัศมีของขีปนาวุธจีน (ดูเหมือนว่าจักรวรรดิเฮเกคงอยากจะลองชิมข้าวหลามรสชาติใหม่ของเฮียสีซะกระบอกหละมั๊ง?)