PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

สื่อฯจีนตอกกลับสหรัฐฯกรณีปล่อยข่าวผ่านสื่อฯขู่ว่าจะแซงชั่นจีนเรื่องการเจาะข้อมูลในโลกไซเบอร์ มันส์!





สื่อฯจีนตอกกลับสหรัฐฯกรณีปล่อยข่าวผ่านสื่อฯขู่ว่าจะแซงชั่นจีนเรื่องการเจาะข้อมูลในโลกไซเบอร์ มันส์!
------------
ในที่สุดจีนก็ขยับตอบโต้ทันควัน ไม่ยอมให้จักรวรรดิเฮเกโมนีออกมาเห่าหอนให้หนวกหูน่ารำคาญแก่ชาวโลก วันนี้ (1 ก.ย.58) สำนักข่าว Global Times ของจีนลงบความสั้นๆเรื่อง "กรุงวอชิงตันเล่นเกมตกเป็นเหยื่อของการแฮ็กข้อมูลในช่วงเวลาที่สำคัญ" (Washington plays hacking victim game at sensitive time) (ข่าวเก่าเกี่ยวกับกรณีนี้สามารถอ่านย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/fisont/posts/1716493888570744)
สื่อฯจีนขึ้นย่อหน้าแรกเลยว่า... หนังสือพิมพ์ The Washington Post (ของสหรัฐฯ) ได้รายงานเมื่อวันเสาร์ว่า ทำเนียบขาวกำลังเตรียมออกมาตรการแซงชั่นทางเศรษฐกิจที่คาดไม่ถึงหลายชุด ต่อต้านบริษัทและบุคคลชาวจีนที่ได้รับผลประโยชน์จากการขโมยความลับทางการค้าจากรัฐบาลของสหรัฐฯ โดยกล่าวอ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่นิรนาม (เสกขึ้นมาเอง เพี้ยง!) ซึ่งในรายงานกล่าวว่า "คาดว่าจะมีการตัดสินใจในเร็วๆนี้ บางทีอาจจะภายใน 2 สัปดาห์" (เป็นเรื่องจนได้ เรื่องอะไรที่จีนจะปล่อยให้จอมพันธพาลโลกออกมาเที่ยวกล่าวหาและข่มขู่ประเทศต่างๆได้ตามอำเภอใจไปวันๆ ต้องมีอาการออกมาเตะปากสุนัขบ้างหละงานนี้)
หมัดที่1: ขณะนี้ กำลังอยู่ในช่วงที่ประะธานาธิบดีสีจิ้นผิงจะเดินทางไปเยือนกรุงวอชิงตันเป็นครั้งแรก การแซงชั่นบริษัทธุรกิจของจีนเพียงเพราะข้อกล่าวหาที่ไม่มีการตรวจสอบ (unverified accusations) เป็นการกระทำที่จงใจและขาดความรับผิดชอบที่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีเปรี้ยวบูด (จีนเตือนพวกที่ขาดความรับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเองเหมือนเด็กที่ขาดวุฒิภาวะว่างั้นเถอะ)
หมัดที่2: กรุงวอชิงตันได้เจตนาที่จะเต้าข่าวที่สร้างปัญหายุ่งยากต่างๆขึ้นมาในความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี เช่น การใช้เรื่องการรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ ด้วยการส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย และพยายามที่จะทำให้ประชาคมนานาชาติจับตามาที่ประเด็นนี้ นั่นหมายถึงการทับถมความกดดันมาที่จีน เพื่อขับเคลื่อนการต่อรองอย่างหนักกับกรุงปักกิ่งในการประชุมสุดยอดระหว่างปธน.สีกับปธน.โอบามา ในทางกลับกันลุงแซม (Uncle Sam) ก็อาจจะได้รับผลประโยชน์มากขึ้น ในขณะที่กำลังบีบบังคับให้จีนประนีประนอมบางอย่าง (นั่นแหละคือความเจ้าเล่ห์เพทุบายของจักรวรรดิเฮเกหละ คิดว่าจีนจะไม่รู้ทันเกมนี้หละสิ แต่พวกนี้ก็ยังหน้าด้านงัดมุกนี้ออกมาเล่นอยู่อีกนะ)
หมัดที่3: การปฏบัติแบบนี้สะท้อนให้เห็นถึงโหมดความความคิดแบบเฮเกโนนิก (hegemonic ลัทธิอยากเป็นเจ้าโลกแต่เพียงผู้เดียว) ที่สอดคล้องกันของกรุงวอชิงตัน (เอ… เท่าที่สังเกตจากสื่อฯต่างประเทศหลายแห่งพักหลังนี้จะนิยมเรียกสหรัฐฯว่าเป็น hegemony มากขึ้นเรื่อยๆนะ) - พฤติกกรรมเที่ยวตำหนิผู้อื่นอย่างหยาบโลนทีเล่นทีจริง (wantonly blaming others) ในขณะเดียวกันก็สงวนอภิสิทธิ์ของตัวเองเอาไว้ เนื่องจาก (จักรวรรดิเฮเก) เป็นผู้กำหนดกฎในโลกไซเบอร์ เปิดปฏิบัติการเครือข่าวเฝ้าระวังสอดแนมไปทั่วโลก กรุงวอชิงตันก็มีความเชี่ยวชาญในการเล่นเกมตกเป็นเหยื่อในช่วงเวลาที่หัวเรี่ยวหัวต่อ เกมนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับกรุงวอชิงตันแม้แต่น้อย แต่สามารถสร้างผลประโยชน์ให้กรุงวอชิงตันได้อย่างมหาศาล อย่างน้อยที่สุด ก็ปรากฏออกมาว่าจีนเป็นฝ่ายที่สูญเสียมติมหาชนทั่วโลก (ขาดความน่าเชื่อถือในสายตาชาวโลก) (พฤติกรรมตัวเองทำชั่วแล้วรีบร้องแรกแหกกระเชอ เอะอะโวยวายโยนอี้ให้คนอื่น บอกว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำมักจะเจอบ่อยๆในกลุ่มโปรอเมริกา เขาคงเรียนมาจากสำนักเดียวกัน)
หมัดที่4: จีนเคยเป็นประเทศที่สุภาพมากๆ (too polite) ต่อกรณีข้อพิพาทต่างๆเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ท และได้ตามใจความหยิ่งจองหอง (arrogance) ของกรุงวอชิงตันมาแล้ว เนื่องจากท่าทีที่อ่อนโยน (mild) ของจีนไม่สามารถเอาชนะการตอบแทน (reciprocation) จากฝ่ายสหรัฐฯได้ กรุงปักกิ่งก็จะเลิกทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัวแบบนั้นอีกต่อไป (Beijing should just quit keeping such a low profile) และจะสวนกลับไปยังกรุงวอชิงตันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน/หนามยอกเอาหนามบ่ง (tit for tat) (เยสสสส!)
สื่อฯจีนสั่งสอนจักรวรรดิเฮเก: จีนไม่กลัวการเต้าข่าวปลุกปั่นมติมหาชนของสหรัฐฯ และไม่กลัวว่าสหรัฐฯจะลงมือกับจีน ตลอดหลายปีมานี้ รัฐบาลสหรัฐฯเก่งเรื่องการสร้างมติมหาชนเพื่อสนองเป้าหมายของตนเอง การรักษาความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีในทางบวกจะต้องได้รับความเพียรพยายามจากทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่คาดว่าความสัมพันธ์ Sino-US จะสามารถแก้ไขปัญหาหลายๆอย่างในความท้าทายทั่วโลกที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันนี้ หากทำเนียบขาวจริงจังในการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีความสำคัญมากที่สุดในศตวรรษที่ 21 นี้ จักรวรรดิเฮเกควรจะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ (ไม่รู้ว่าจักรวรรดิเฮเกจะสำนึกบ้างหรือเปล่านะ?)
ข้าวหลามยักษ์ Guam killer: จีนบอกว่าการที่จีนเล่นบทเป็นผู้ดีสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาตลอดนี้เหมือนยิ่งทำให้จักรวรรดิเฮเกอันธพาลโลกย่ามใจมากขึ้นและเที่ยวหาเรื่องชาวบ้านไปทั่ว งั้นจีนก็จะเปลี่ยนมาเล่นบท "tit for tat" กับจักรวรรดิเฮเกบ้างหละนะ และแล้วเมื่อวันที่ 31 ส.ค.58 ที่ผ่านมา สำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียก็พาดหัวข่าวว่า "จีนเผยโฉมขีปนาวุธฉายา 'นักฆ่าเกาะกวม' ที่ร้ายกาจที่สุดออกมาเป็นครั้งแรก" (China Reveals Deadliest 'Guam Killer' Missile for First Time) รายงานข่าวบอกว่าจีนจะนำขีปนาวุธ Guam Killer นี้เข้าร่วมแสดงในงานพิธีสวนสนาม V-Day ในวันที่ 3 ก.ย.58 ในกรุงปักกิ่งที่จะถึงนี้ด้วย
ขีปนาวุธพิสัยสั้น Dong Feng (DF, East Wind) DF-15B แบบ ballistic (SRBM), และ DF-16 พิสัยกลาง (MRBM), DF-21C MRBM, และขีปนาวุธข้ามทวีป DF-5B (ติดหัวรบนิวเคลียร์) (ICBM), ขีปนาวุธ DF-31 A ICBM, DF-10 cruise missile สำหรับโจมตีภาคพื้นดิน (LACM) และ DF-26 ขีปนาวุธแบบ ballistic พิสัยปานกลาง (IRBM) ซึ่งมีชื่อว่า "Guam killer" จะถูกนำไปร่วมในขบวนพาเหรดด้วย
DF-26C พัฒนาต่อยอดมาจากขีปนาวุธ DF-21 ซึ่งมีฉายาว่า "ผู้ให้บริการนักฆ่า" (carrier killer) DF-26C มีพิสัยทำการอยู่ที่ 3,500 - 4,000 กม. ซึ่งสามารถที่จะส่งไป (ทางอากาศ) ให้กับกองทัพของสหรัฐฯบนเกาะกวมได้สบายๆ ซึ่งเป็นฐานทัพที่ใหญ่ที่สุดและอยู่ใต้สุดของหมู่เกาะ Mariana Islands ภายในรัศมีของขีปนาวุธจีน (ดูเหมือนว่าจักรวรรดิเฮเกคงอยากจะลองชิมข้าวหลามรสชาติใหม่ของเฮียสีซะกระบอกหละมั๊ง?)

ไม่มีความคิดเห็น: