PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

รอน พอล :"ต้องด่า FED ที่ทำให้ตลาดหุ้นพัง ไม่ใช่จีน"





"ต้องด่า FED ที่ทำให้ตลาดหุ้นพัง ไม่ใช่จีน" - รอน พอล อดีตวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯกล่าว (Ron Paul: Blame the Fed, Not China for Market Crash)
--------------
เมื่อวานนี้อ่านเจอบทความหนึ่งของนักการเมืองผู้มีวิสัยทัศน์ของสหรัฐฯที่ Sputnki นำมาลงข่าว เห็นว่าน่าสนใจมาก จึงขอแปลมาให้แฟนเพจได้อ่านบ้าง เป็นเรื่องเกี่ยวกับที่ไปที่มาของสาเหตุการที่ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงระนาวเมื่อสัปดาห์ก่อน ในมุมมองของนาย Ron Pual ซึ่งเป็นคุณหมอ นักเขียน นักการเมืองชาวอเมริกัน เป็นอดีตสมาชิกวุฒิสภาสังกัดพรรครีพับลิกัน อดีตผู้แข่งขันลงสมัครประธานาธิบดีของสหรัฐฯ 2 สมัย ปัจจุบันอายุ 80 ปี

สำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียเกริ่นนำว่า "การที่ตลาดหุ้นพังเป็นครั้งประวัติศาสตร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไม่ได้มีสาเหตุมาจากจีน แต่มีสาเหตุมาจากธนาคารกลางของสหรัฐฯ (US Federal Reserve) ตามความเห็นของ Ron Paul อดีตวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯ"

ในคอลัมน์ (FEATURED ARTICLES) ซึ่งเผยแพร่ในเว็บไซต์ของของเขา (The Ron Paul Institute for Peace and Prosperity - สถาบัน Ron Paul เพื่อสันติและความเจริญรุ่งเรือง) เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา Paul ได้ตำหนิความผิดพลาดเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินที่มีข้อบกพร่องของเฟด และไม่ใช่เพราะการลดค่าเงินหยวนของจีนเมื่อเร็วๆนี้ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าว

อดีตวุฒิสมาชิกจากรัฐเท็กซัสกล่าวว่า "นโยบายเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯเป็นการบิดเบือนเศรษฐกิจ (distort the economy) สร้างฟองสบู่ขึ้นมา ซึ่งในทางกลับกันก็ได้ทำให้ตลาดหุ้นเฟื่องฟูด้วย และสร้างภาพลวงตาของความร่ำรวยออกไปอย่างกว้างขวาง ฟองสบู่ได้เกิดระเบิดขึ้นอย่างหลีเลี่ยงไม่ได้ ตลาดพัง และเศรษฐกิจจมลงสู่ภาวะถดถอย"

Paul กล่าวต่ออีกว่า "การเพิ่มจำนวนสมาชิกนิติบัญญัติของอเมริกา ถือว่าเป็นข้อเสนอที่ไม่ถูกต้องเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องในระบบการเงินของสหรัฐฯด้วยการบังคับให้เฟดปฏิบัติตามนโยบายการเงินที่อยู่บนกฎระเบียดต่างๆ"

"การบังคับให้เฟดปฏิบัติตามกฎระเบียบไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าการให้อำนาจแก่ธนาคารกลางลับเพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ย เป็นสูตรสำหรับ (แก้ไข) ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยต่างๆเป็นราคาของเงิน ( Interest rates are the price of money) และก็เหมือนกับราคาของสิ่่งอื่นๆทั้งหมด ซึ่งควรจะมีการกำหนดโดยตลาด ไม่ใช่โดยธนาคารกลางและแน่นอนว่าไม่ใช่โดยสภาคองเกรส คองเกรสควรจะเริ่มทำการฟื้นฟูระบบการเงินในตลาดเสรีมากกว่า" พอลกล่าว

อดีตผู้สมัครแข่งขันประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า "ขั้นตอนแรกก็คือผ่านการตรวจสอบและกฎหมายเกี่ยวกับเฟด เพื่อให้ประชาชนสามารถเรียนรู้ความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับเฟดได้ในที่สุด สภาคองเกรสควรจะผ่านร่างกฎหมายที่รับประกันได้ว่าประชาชนใดๆสามารถที่ใช้สกุลเงินต่างๆเป็นทางเลือกที่ปราศจากการคุกคามจากรัฐบาล" (รอน พอลนี่แกเป็นนักเสรีนิยมเต็มตัวจริงๆ)

"เมื่อฟองสบู่ระเบิดออกมาและชนเข้ากับภาวะถดถอย สภาคองเกรสและเฟดควรละเว้นจากการพยายาม 'กระตุ้น' เศรษฐกิจผ่านการเพิ่มการใช้เงิน อนุมัติเงินช่วยเหลือ และการทำให้เงินเฟ้อ หนทางเดียวที่เศรษฐกิจจะฟื้นฟูกลับมาได้ดังเดิมอีกครั้งก็คือสภาคองเกรสและเฟดปล่อยให้ภาวะถอถอย (recession) ทางเศรษฐกิจวิ่งไปจนถึงที่สุด"

กลยุทธ์นี้จีนนำมาแล้วในช่วงที่ตลาดหุ้นจีนตกรอบที่สามแล้วก็ต่อด้วยวิกฤต Black Moday จีนครั้งนี้จีนบอกชัดเลยว่าจะไม่แทรกแซงตลาดหุ้น หมายถึงไม่อุดเงินเข้าไปอุ้มเหมือนกับสองครั้งแรกอีก มันอยากร่วงก็ปล่อยให้มันร่วงไป เพราะมันลุกลามไปทั่วโลก จะให้จีนแก้ไขคนเดียวได้ไง ถึงทำไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา เหมือนกับสร้างทำนบกั้นน้ำหวังสกัดซึนามิอย่างนั้นหรือไม่ได้ผลหรอก เมื่อสหรัฐฯเห็นว่างานนี้จีนไม่หลงกลอีกแล้ว ก.พาณิชย์ของสหรัฐฯก็ออกมาประกาศว่า อ่ะฮ้าาา ช่วงไตรมาสที่สองนี้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ซะอีก 

แค่นี้... ตลาดหุ้นในสหรัฐฯกลับมาเป็นบวกทันที และตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลกก็ดีขึ้นตามไปด้วยรวมทั้งจีนด้วย ต่อมาราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 5 วันติดๆ มันผิดปรกติไปหรือเปล่า? 

เมื่อคืนนี้ชะแว็บไปชาร์ตราคาน้ำมันดิบ WTI ของสหรัฐฯจากเว็บไซต์ของบีบีซีอินเตอร์ดู เริ่มปักหัวดิ่งลงมาแล้วครับ วันนี้ขอดูอีกรอบ เพราะเมื่อคืนนี้อาจจะสายตามัวฟ่าฟางก็ได้ อ้าว! ดิ่งจริงๆอ่ะ จากที่ขึ้นไปถึง 48.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในวันที่ 31 ส.ค. วันนี้ตกลงมาอยู่ที่ 44.49 เหรียญต่อบาร์เรลซะงั้น 

ก็บอกแล้วว่ามันผิดปรกติ มีบางคนกำลังเล่นกลอยู่แน่ๆ อาการขึ้นแบบผิดปรกติแบบนี้ ฝืนธรรมชาติขึ้นต่อไปได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ตก และมันก็ต๊ก! จริงๆด้วยสิครับท่าน

กลับมาที่ลุงพอลต่อนะครับ พอลกล่าวต่ออีกว่า "ไม่เพียงแต่จีนไม่ควรจะถูกตำหนิเนื่องจากหุ้นตกเท่านั้น แต่กรุงปักกิ่งได้ซื้อพันธบัตรจากกระทรวงการคลังของสหรัฐฯเอาไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งได้ช่วยให้ประเทศสหรัฐฯอเมริกาเลื่อนวันชำระบัญชีออกไปได้ (postpone the day of reckoning)"

(เอิ่มมมม… ดูเหมือนว่างานนี้ประชาธิปไตยจักรวรรดิเฮเกจะได้รับความกรุณาจากคอมมิวนิสต์จีนให้ลอดพ้นจากหายนะที่ตัวเองสร้างขึ้นมานะครับ โปรอเมริกาเซ็งอีกอ่ะดิ.... คริๆ)

รอน พอล ซัดเฟดอีกว่า "เหตุผลหลักที่ประเทศต่างๆ เช่นจีน มีความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือด้านการเงินให้กับหนี้สินของพวกเราก็คือ สถานสกุลเงินสำรองของโลกของดอลล่าร์สหรัฐฯ  อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณหลายอย่างที่บ่งชี้ว่าความกังวลต่อการขาดความรับผิดชอบ (irresponsibility) ทางด้านการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ และความไม่พอใจในนโยบายต่างประเทศของพวกราจะเป็นสาเหตุให้สกุลเงินอื่น (หรือหลายสกุล) เข้าไปแทนที่เงินดอลล่าร์ในฐานะที่เป็นสกุลเงินสำรองทั่วโลก หากว่าสิ่งนี้เกิดขึ้น สหรัฐฯจะเผชิญกับวิกฤตดอลล่าร์ครั้งใหญ่หลวง (แน่ๆ)"

ท่านรอน พอลไม่ต้องกังวลครับ มันจะเกิดขึ้นแน่ๆ ถ้าท่านติดตามอ่านเพจ "ปอกเปลือก ทรราช" อยู่ประจำท่านก็จะเห็นข่าวที่เกี่ยวกับจีนและรัสเซียและพันธมิตรกำลังสร้างตลาดใหม่ๆขึ้นมาโดยไม่ใช้เงินดอลล่าร์สหรัฐฯเป็นสกุลเงินกลางในการค้าขายระหว่างประเทศในกลุ่มใหม่เช่น SCO, EEU, CIS และ BRICS ต่อไปก็จะเป็น EEU+ASEAN หละครับ เพจนี้นำข่าวแบบนี้มาลงให้อ่านอยู่เรื่อยๆ เมื่อวานนี้ก็พึ่งจะเล่าให้ฟังไปแล้วหนึ่งข่าว เล่นเอาโปรอเมริกาหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปเลย คริๆ

รอน พอลกล่าวต่ออีกว่า "ยิ่งกว่านั้น ชาวอเมริกันหลายคนเชื่อโดยผิดๆ (many Americans falsely believe) ว่าพวกเขาจะต้องเสียสละเสรีภาพ (liberties) ต่างๆของพวกเขาเพื่อที่จะได้รับความมั่นคงทางเศรษฐกิจและส่วนบุคคล" (ว้าววว! เล่นกันขนาดนั้นเลยหรือจักรวรรดิเฮเก)

สุดท้ายอดีตวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯก็กล่าวว่า "ท้ายที่สุดแล้ว สหรัฐฯก็จะต้องละทิ้งรัฐรัฐสงคราม (warfare state) สวัสดิการ (welfare state) และระบบกฤษฎีกาทางการเงิน ที่เติมเชื้อเพลิงให้กับความเติบโตของสัตว์ทะเลตัวมหึมา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้น เพราะว่าแนวความคิดของเสรีภาพจะได้รับชัยชนะ ไม่ใช่เพราะว่าวิกฤตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทำให้รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่น" (ก็เมื่อนักการเมืองระดับอาวุโสของสหรัฐฯออกมาพูดอย่างนี้แล้ว ก็สงสัยสิว่า ตกลงแล้วในสหรัฐฯนี่มีเสรีภาพตามคำโฆษณาชวนเชื่ออยู่จริงๆหรือ?)

ไม่มีความคิดเห็น: