PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สถานการณ์ข่าว26/12/57

กมธ./สปช.

สมาชิก สนช. ทยอยประชุมกรรมาธิการ แม้งดประชุมใหญ่ ขณะคณะกรรมาการสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดรับสมัครแทนตำแหน่งว่าง

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีคำสั่งงดประชุมในวันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2557 เนื่องจากไม่มีกฎหมายเร่งด่วนบรรจุในระเบียบวาระการประชุม แต่สมาชิก สนช. ยังมีภารกิจประชุมคณะกรรมาธิการชุดต่าง ๆ อาทิ คณะอนุกรรมาธิการอุดมศึกษาและการอาชีวศึกษา คณะกรรมาธิการการบริหาราชการแผ่นดิน ขณะเดียวกัน คณะกรรมาการสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดิน

มีมติยืนยันตามมติเดิมด้วยคะแนนไม่เป็นเอกฉันท์ให้ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงเป็นเหตุให้ต้องเริ่มกระบวนการสรรหาใหม่ โดยกำหนดเปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาผู้สมัครเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2557 - 7 มกราคม 2558 ส่วนการรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเข้มงวด บุคคลที่เข้ามาติดต่อต้องติดบัตรแสดงตนทุกครั้ง
---------

ธรรมนูญ โดยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้ข้อสรุปบางส่วนในเบื้องต้นแล้ว อาทิ ที่มาของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ที่มาของสภาผู้แทนราษฎร ที่มาของสมาชิกวุฒิสภา สำหรับวันนี้ 

จะพิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ ในส่วนของนิติธรรม ศาล และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ รวมถึงองค์กรอิสระ ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อสรุปในด้านสารัตถะทั้งหมด จะส่งต่อไปยังอนุกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ที่มี นางกาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์ เป็นประธาน ได้ดำเนินการยกร่างเบื้องต้นต่อไปจนถึงวันที่ 11 มกราคม 2558

อย่างไรก็ตาม วันนี้ ต้องมีแนวทางและโครงสร้างที่ชัดเจน ก่อนนำไปร่างเป็นรายมาตรา
--------------------
"บวรศักดิ์" ชี้ ความคิดเห็น ปชช.สำคัญที่สุดต่อการยกร่าง รธน. อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วม

บรรยากาศที่งานสัมมนาคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และคณะอนุกรรมาธิการการมีส่วนร่วม และร่วมฟังความคิดเห็นของประชาชน ในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เรื่อง "สานพลังเจ้าหน้าที่ของรัฐในการมีส่วนร่วมและรับฟังความเห็นต่อการยกร่างรัฐธรรมนูญ" ทั้งนี้ นางถวิลวดี บุรีกุล ประธานคณะอนุกรรมาธิการการมีส่วนร่วมและร่วมฟังความคิดเห็นของประชาชน กล่าว

รายงานวัตถุประสงค์ของการจัดโครงการสัมมนาครั้งนี้ โดยมี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวเปิดโครงการสัมมนาและกล่าวปาฐกถานำเกี่ยวกับกรอบการยกร่างรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ นายบวรศักดิ์ ระบุว่า ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 23 ก.ค. 2558 ความเห็นของประชาชนสำคัญต่อการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญอย่างมาก และทำให้ประชาชนทุกคนได้มีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ของประเทศไทย
-------------------
"บวรศักดิ์" ย้ำ รธน.ใหม่ เน้นเศรษฐกิจพอเพียง ไม่เลือกตั้งนายกฯ ส.ส. ไม่ต้องสังกัดพรรค นายกฯ ต้องเป็น ส.ส.

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนญ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯ จัดทำร่างรัฐธรรมนูญ โดยยึดกรอบรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 พร้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ และจะบรรจุเฉพาะหลักสำคัญ ส่วนรายละเอียดจะนำไปเขียนเป็นกฎหมายลูก

ทั้งนี้ การให้ประชาชนเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง จะทำให้รัฐบาลมีอำนาจมาก และจะนำไปสู่ความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความแตกร้าวในสังคม ควรสร้างภูมิคุ้มกัน โดยไม่ให้ผู้มีเงินมหาศาลเข้ามาควบคุมพรรคการเมืองได้ จึงเห็นว่า วิธีการเลือกตั้ง ส.ส.ต้องไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรค พร้อมกำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากสภาผู้แทนราษฎร ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรค หรือ เป็น ส.ส. เพื่อเปิดช่องให้สภาได้เสนอชื่อบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี กรณีที่บ้านเมืองเกิดวิกฤติ เพราะหากนายกรัฐมนตรีสังกัดพรรคการเมือง หรือเป็น ส.ส ก็เท่ากับเป็นการปิดประตูตาย และรัฐธรรมนูญ ก็ไม่สามารถหาทางออกในการแก้ปัญหาได้

อย่างไรก็ตาม การร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ จะยึดภูมิศาสตร์ สังคม สภาพปัญหาเป็นหลัก และรัฐธรรมนูญที่ร่างมาจะต้องไม่ผูกมัดจนเกินไป
----------------
"บวรศักดิ์" เห็นควร สรุปเนื้อหาร่าง รธน. โดยจะใช้ชื่อ “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูป”

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ ว่า เห็นควรให้มีการสรุปเนื้อหาสาระของร่างรัฐธรรมนูญ ที่คณะกรรมาธิการได้ดำเนินการ ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ที่สนใจ ประชาชน และฝ่ายต่าง ๆ ได้รับทราบว่า แนวทางร่างรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร จึงได้มอบให้ นายปกรณ์ ปรียากร และ นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกรรมาธิการ เป็นผู้ดำเนินการสรุปประเด็นสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ โดยจะใช้ชื่อ “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูป” ซึ่งในร่างดังกล่าว จะเป็นการสรุปเนื้อหาสาระของร่างรัฐธรรมนูญ โดยใช้ภาษาที่กระชับ เข้าใจง่าย และตอบคำถามที่สังคมสงสัย หรือเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายต้องการอยากทราบ เช่น การกำหนดนายกรัฐมนตรี ไม่จำเป็นต้องมาจาก ส.ส. ประเด็นที่มาของ ส.ว. เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูป จะต้องทำให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 5 มกราคม 2558 เพื่อที่จะได้นำร่างดังกล่าวไปถามความเห็นของฝ่ายต่าง ๆ รวมถึงประชาชนต่อไป
-----------------------
พล.อ.เลิศรัตน์ เผย กมธ.ยกร่างฯ มีมติไม่ยุบ กกต. ขณะที่คุณสมบัติต้องไม่มีตำแหน่งในพรรคการเมือง 

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงผลการประชุมในประเด็นข้อเสนอให้ยุบองค์กรอิสระบางองค์กร โดยที่ประชุมมีมติให้คงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไว้ตามเดิม โดยให้มีองค์ประกอบ 5 คน เช่นเดิม สามารถดำรงตำแหน่งได้ 6 ปี และทำหน้าที่ได้วาระเดียว

ทั้งนี้ คุณสมบัติต้องมีความรู้เรื่องการเมือง ซื่อสัตย์สุจริต และไม่มีตำแหน่งในพรรคการเมือง มีอำนาจหน้าที่กำกับการดูแลการเลือกตั้ง ให้ใบเหลืองในกรณีที่พบทุจริตในการเลือกตั้ง ส่วนการดำเนินคดีให้ศาลเป็นผู้พิจารณาความผิดและให้ใบแดง ซึ่งในรัฐธรรมนูญอาจมีการจัดตั้งศาลการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม กกต. ต้องรับรองผลการเลือกตั้งให้ได้ ร้อยละ 85 เพื่อให้มีผู้แทนเพียงพอในการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรและให้เพียงพอสำหรับเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี
-------------------------
พล.อ.เลิศรัตน์ เผย มติ กมธ.ยกร่างฯ ให้ ป.ป.ช. สามารถส่งฟ้องคดีได้เอง หากเกินเวลา

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเห็นว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีความสำคัญจึงให้คงไว้ ส่วนวาระการทำงานยังไม่ได้ข้อยุติ ได้หารือกันอยู่ระหว่าง 6-9 ปี และสามารถดำรงตำแหน่งได้วาระเดียว ส่วนคุณสมบัติต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต มีประสบการณ์ ต้องไม่มีตำแหน่งในพรรคการเมือง และให้ ป.ป.ช. ฟ้องคดีผ่านอัยการเพื่อนำสู่ศาลได้ แต่หากเกินเวลา ป.ป.ช. สามารถส่งฟ้องคดีได้เอง ส่วนอายุความให้ยกเว้นการนับอายุความในช่วงผู้ถูกกล่าวหาหลบหนี
////////

นายกฯ

นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ ตรวจสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ก่อนร่วมพิธีรำลึก 10 ปี สึนามิ ที่ จ.พังงา 

ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. วันนี้ ในเวลาประมาณ 08.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมคณะ จะเดินทางมาที่ฝูงเครื่องบิน กองการบิน กรมการขนส่งทหารบก ดอนเมือง เพื่อเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดภาคใต้ คือ ในช่วงเช้าจะเดินทางไปที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อรับฟังรายงานและตรวจเยี่ยมผู้ประสบปัญหาอุทกภัย ที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส

หลังจากนั้น ในช่วงเย็น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางต่อเนื่องไปเป็นประธานพิธีรำลึกครบรอบ 10 ปี เหตุการณ์ธรณีภัยพิบัติสึนามิ ในมหาสมุทรอินเดีย ณ อนุสรณ์สถานสึนามิ เรือ ต.813 อำเภอตะกั่วป่า
จังหวัดพังงา
---------------
นายกฯ บินลงใต้ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม ร่วมงานรำลึก 10 ปี สึนามิ ย้ำขอฝ่ายขัดแย้ง ช่วยแก้ปัญหาประเทศ 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ให้สัมภาษณ์ก่อนการเดินทางไปที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อตรวจเยี่ยมสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ว่า การเดินทางลงพื้นที่ในวันนี้เพื่อตรวจสอบสถาการณ์อุทกภัยใน 5 จังหวัดภาคใต้ และตรวจสอบการให้ความช่วยเหลือที่เคยได้สั่งการไป พร้อมดูในเรื่องความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และย้ำว่าปัญหาเรื่องน้ำจะต้องแก้ไขให้ได้ในปีหน้า นอกจากนี้จะพูดคุยกับผู้ว่าราชการจังหวัด ในเรื่องความพร้อมของการเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการส่งเสริมอุตสาหกรรม รวมทั้งขอความร่วมมือเอกชนในการตั้งโรงงานต่าง ๆ เพื่อยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ ส่วนที่วันนี้เป็นวันครบรอบ 10 ปี เหตุการณ์ธรณีภัยพิบัติสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย นั้น เชื่อว่าทุกคนยังคงเสียใจอยู่ ซึ่งต้องให้ความห่วงใยกับผู้ที่ยังมีชีวิต ทั้งนี้จะต้องนำมาเป็นบทเรียนในการสร้างระบบเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัยแผนเผชิญเหตุต่าง ๆ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ปัญหาของประเทศ จะต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ซึ่งรัฐบาลได้พยายามทำอย่างเต็มที่ และพร้อมรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ที่สร้างสรรค์ และขอร้องฝ่ายที่มีความเห็นขัดแย้งเข้ามาพูดคุยในช่องทางและขอให้มาร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาให้ได้
---------------------
พล.อ.ประวิตร ประชุมร่วมหน่วยงาน "แผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล" หาแผนนำสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิด “การประชุมเพื่อชี้แจงแผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล (พ.ศ.2558 - 2564) ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคงทางทะเล กว่า 400 คน เข้าร่วมประชุม ซึ่งการประชุมในครั้งนี้ จะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภาคเอกชนและภาคประชาชน ได้เข้าใจและรับทราบ อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อนแผนความมั่นคงทางทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

นอกจากนี้ ในการประชุมครั้งนี้จะมีการจัดอภิปรายกลุ่มเรื่อง "แผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล จะนำไปสู่ความมั่นคงมั่งคั่ง และยั่งยืนได้อย่างไร"
---------------------------
"ประวิตร" ปัดตอบ เรื่องที่มานายกฯ คนนอก โยน กมธ.รัฐธรรมนูญ ตกผลึก เข้มอาวุธป้องเหตุป่วนเทศกาลปีใหม่

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ มีมติที่มาของนายกรัฐมนตรีว่ามาด้วยการโหวตในสภา แต่ไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้งนั้น ตนเองไม่มีความคิดเห็นในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของทางคณะกรรมาธิการฯ และสภาปฏิรูปแห่งชาติ ที่จะต้องคิดให้ตกผลึกออกมา ส่วนเรื่องที่นายกรัฐมนตรี คิดจะใช้ ม.44 ในการควบคุมการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนนั้น พล.อประวิตร บอกว่า ก็เป็นความคิดที่ดี เพราะทุกวันนี้ สื่อชอบนำเสนอข้อมูลที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งอยู่ตลอด

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวถึงการดูแลรักษาความเรียบร้อยในช่วงปีใหม่ โดยเฉพาะเรื่องการใช้อาวุธมาสร้างสถานการณ์ ว่า ทางหน่วยงานความมั่นคง ได้ดูแลในเรื่องนี้อย่างเข้มงวดอยู่แล้ว นับตั้งแต่ที่มีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เกิดขึ้น โดยประชาชนไม่ต้องเป็นห่วง เพราะทางเจ้าหน้าที่จะดูแลความปลอดภัยอย่างดีที่สุด เพื่อให้ประชาชนได้มีความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่
------------
นายกฯ ลงใต้ เยี่ยมน้ำท่วม เปิดงานรำลึก 10 ปี สึนามิ

ภารกิจในช่วงบ่ายของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เเละหัวหน้าคณะรักษาความสงบเเห่งชาติ ภายหลังตรวจเยี่ยมสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ที่จังหวัดนราธิวาส เเล้ว นายกรัฐมนตรี จะรับฟังรายงานสถานการณ์ความมั่นคงจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เเละในเวลา 15.00 น. จะเดินทางไปยังท่าอากาศยานนานาชาติจังหวัดภูเก็ต เพื่อเดินทางไปยังจังหวัดพังงา ที่อนุสรณ์สถานสึ

นามิ เรือ ต.813 ในเวลา 17.00 น. เพื่อเป็นประธานในพิธีรำลึก 10 ปี สึนามิ ซึ่งกำหนดการเบื้องต้นนั้น จะมีการกล่าวสุนทรพจน์จากผู้แทนฝ่ายต่าง ๆ เเละพิธีวางพวงมาลา โดย นายกรัฐมนตรี จะ
กล่าวคำไว้อาลัย พร้อมจุดเทียนเเสดงความรำลึก หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรี จะเยี่ยมชมนิทรรศการการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติเเละสาธิตอุปกรณ์กู้ภัย
---------------------
พล.อ.ประวิตร ประชุมศูนย์แก้ปัญหาความมั่นคงแบบบูรณาการร่วม-ตรวจเข้มปีใหม่ทุกพื้นที่ หวัง ปชช.ให้ความร่วมมือ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมศูนย์แก้ปัญหาความมั่นคงแบบบูรณาการ ณ ศาลาว่าการกลาโหม โดยมี ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุมและมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อม ผู้ว่าราชการจังหวัดต่าง ๆ เข้าร่วมประชุมผ่านระบบทางไกลด้วย โดย พล.อ.ประวิตร ได้รับฟังแผนและมาตรการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดที่สำคัญของภูมิภาค และได้สั่งการให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เตรียมแผนงานและ

ปฏิบัติงานร่วมกัน โดยเฉพาะการเตรียมการในมาตรการป้องกันและการเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมาย ในการดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน และสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมทั้งให้ความสำคัญในการตรวจค้นอาวุธสงคราม ยาเสพติดและการค้ามนุษย์ในทุกพื้นที่อย่างจริงจัง

ขณะเดียวกัน ก็ขอให้ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจกับประชาชนและสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ได้ร่วมกันเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง และมีส่วนร่วมกันแก้ปัญหาในห้วงเทศกาลปีใหม่ร่วมกัน
////////////////
ปปช.

ประธาน ป.ป.ช. เผย เร่งสอบ ผอ.กองคลัง เทคโนพระจอมเกล้าฯ ยักยอก 1,600 ลบ. ส่วนสำนวนข้าว G to G เสร็จแล้ว ถก 20 ม.ค.

นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคมที่ผ่านมา มีการหารือกันถึงกรณีเงินส่วนกลางของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ถูกยักยอกสูญหาย จำนวน 1,600 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของมหาวิทยาลัยฯ กับเจ้าหน้าที่ธนาคาร และเกี่ยวข้องกับผู้อำนวยการส่วนการคลัง สถาบันฯ ทั้งนี้ ในเบื้องต้นได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปรวบรวมข้อมูลในเรื่องดังกล่าวแล้ว ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนมกราคม 58 เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไป

ส่วนอนุกรรมการไต่สวนฯ กรณีการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่มี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวกนั้น ขณะนี้ได้รวบรวมสำนวนส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และนักการเมืองเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะสรุปเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ในวันที่ 20 มกราคม 58
---------------------
ป.ป.ช. ไม่พิจารณาคำร้องอดีตรัฐมนตรี 5 ราย ยื่นคัดค้านแต่งตั้ง นายภักดี เป็นอนุกรรมการไต่สวนคดี 2 ล้านล้าน เพราะได้ข้อยุติในชั้นวุฒิสภาแล้ว

นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาตามคำร้องกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี รวม 35 คน กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น ในการร่วมกันมีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ.... (พ.ร.บ. 2 ล้านล้าน) คัดค้านการแต่งตั้ง นายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นอนุกรรมการไต่สวนฯ โดยให้เหตุผลว่า นายภักดี ขาดคุณสมบัติความเป็น ป.ป.ช. ตั้งแต่ต้น เพราะไม่ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัท องค์การเภสัช-ไทยเมอริเออชีววัตถุ จำกัด ว่า ทาง ป.ป.ช. ก็ได้ชี้แจงกรณีดังกล่าวไปแล้วว่า กรณีการลาออกของ นายภักดี นั้นเคยมีคนยื่นต่อวุฒิสภาในการขอถอดถอน ซึ่งที่ประชุมวุฒิสภาได้มีมติไม่ให้ นายภักดี พ้นจากตำแหน่ง จึงถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ได้ข้อยุติไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ก็ต้องรอดูว่าผู้ถูกกล่าวหาจะร้องคัดค้านอนุกรรมการไต่สวนฯ ในกรณีอื่นอีกหรือไม่ หากไม่มีการร้องคัดค้าน คณะอนุกรรมการไต่สวนก็จะดำเนินการกรณีดังกล่าวต่อไป

ทั้งนี้ สำหรับผู้ถูกกล่าวหาที่ส่งหนังสือคัดค้าน นายภักดี มีทั้งหมด 5 คน อาทิ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี
----------------------
//////////////////////
กกต.

เลขาธิการ เผย กกต. กำหนด Road Map การทำงาน 3 ระยะ ทั้งก่อนและหลัง จนกว่าจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า ในช่วงระหว่างนี้ไปจนกว่าจะมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอนาจักรไทยฉบับใหม่ คณะกรรมการการเลือกตั้งยังคงเดินหน้าทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติต่อไป โดยกำหนด Road Map ในการทำงาน 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 ก่อนมีรัฐธรรมนูญ เป็นระยะที่มุ่งสร้างความภาคภูมิใจในสถาบันพระมหากษัตริย์และความเป็นไทย ปลูกฝังความเป็นพลเมือง สร้างวิถีประชาธิปไตย ตลอดจนเตรียมความพร้อมในเรื่องการพัฒนา และแก้ไขกฎหมายก่อนมีรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นข้อมูลและเสนอสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) การพัฒนาระบบสืบสวนสอบสวนให้มีมาตรฐาน รวดเร็ว ส่วนระยะที่ 2 เมื่อมีรัฐธรรมนูญแล้ว เป็นระยะที่ต้องเร่งสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของ กกต. และระยะที่ 3 เข้าสู่การเลือกตั้ง มุ่งสร้างความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการเลือกตั้งและกระตุ้นให้ประชาชน เกิดจิตสำนึกในการเลือกตั้งที่สุจริตและเป็นธรรม
--------------
กกต. ยืนยัน ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากฝ่ายที่ทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้ พร้อมปฏิเสธมีหนังสือทักท้วง ไม่เห็นด้วยจากอัยการ

นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. กล่าวถึงแผนการทำงานทำงานของ กกต.ในปี 2558 ว่า กกต. ได้เตรียมแผนงานในกิจการทุกด้านไว้พร้อมแล้ว และสำนักงาน กกต. ยังเตรียมเสนอร่างประกอบรัฐธรรมนูญ แต่ก็ต้องดูก่อนว่ารัฐธรรมนูญนั้นจะออกมาในรูปแบบอย่างไร ส่วนข้อเสนอสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. กรณีอำนาจการให้ใบแดง ได้ให้ความเห็นว่าควรจะให้อำนาจ กกต.ในการให้ใบเหลือง-ใบแดง ก่อนประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส่วน สปช. จะมีความเห็นอย่างไรก็ไม่สามารถไปก้าวล่วงในคำวินิจฉัยได้

ทั้งนี้ นายศุภชัย กล่าวถึงกรณีการหาผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2557 ว่า ขณะนี้ กกต. กำลังรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ พร้อมทั้งมีการปฎิเสธว่ายังไม่เห็นหนังสือแย้งจากความเห็นอัยการในเรื่องการฟ้องดังกล่าว เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ และยากที่จะดำเนินการฟ้องร้องได้ พร้อมยืนยันว่าเป็นหน้าที่ของ กกต. หาก กกต.ไม่ฟ้อง ก็จะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และเป็นคนผิดเสียเอง
-----------------
'ภุชงค์' เผย กกต. ทำหน้าที่ครบ 1 ปีแล้ว ยันไม่ย่อท้อต่อการทำงาน ขณะที่ได้ปรับขอบเขตงานเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์

นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า นับตั้งแต่ กกต. ชุดปัจจุบันซึ่งเป็นชุดที่ 4 ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2556 และทำพิธีรับพระบรมราชโองการแต่งตั้งและเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2556 เพื่อไปทำหน้าที่สำคัญ ในการจัดการเลือกตั้งทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นนั้น โดยขณะนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่รวมระยะเวลา 1 ปีเศษ ซึ่งที่ผ่านมา กกต. ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งบนจุดเปลี่ยนของประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความขัดแย้ง

ของคนในชาติ อันเป็นปัญหาอุปสรรคต่อการจัดการเลือกตั้ง แต่ กกต. และพนักงานของสำนักงาน กกต. ก็ไม่ย่อท้อพร้อมที่จะทำงาน ยืนหยัดเคียงคู่กับ กกต.ตลอดช่วงที่ผ่านมา สำนักงาน กกต. ได้ปรับขอบเขตของงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ คสช. คือ การทำหน้าที่ฝ่ายธุรการของคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ซึ่งได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยมาแล้ว เมื่อเดือนสิงหาคม-กันยายน 2557 ที่ผ่านมา จึงถือเป็นอีกบทบาทหนึ่งของคณะกรรมการการเลือกตั้งและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่มีส่วนสำคัญ ในการสนับสนุนการปฏิรูปประเทศ
----------------
ศาลปกครองมีคำพิพากษายกฟ้องคดีพิพาท คดีละเมิดหน่วยงานทางปกครองฯ 

วันนี้ (26 ธ.ค.) ที่ศาลปกครอง มีคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง พิพากษายกฟ้องในคดีหมายเลขดำที่ 1295/2556 คดีหมายเลขแดงที่ 2085/2557 ซึ่งเป็นคดีพิพาทระหว่าง พลตำรวจเอกวุฑฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ (ผู้ฟ้องคดี) กับเลขานุการคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี) ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ

โดยผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า เลขานุการคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ละเลยต่อหน้าที่ไม่เชิญให้ผู้ฟ้องคดีเข้าร่วมการประชุมตั้งแต่การประชุมครั้งที่ 3/2556 - ครั้งที่ 5/2556 กรณีผู้ฟ้องคดีได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ก.ตร. ซึ่งมีหน้าที่เข้าร่วมการประชุมเพื่อลงมติต่าง ๆ ของ ก.ตร. ซึ่งเมื่อผู้ถูกฟ้องคดีไม่เชิญให้ผู้ฟ้องคดีเข้าร่วมการประชุม ทั้งที่ผู้ฟ้องคดียังดำรงตำแหน่ง ก.ตร. ทำให้ผู้ฟ้องคดีไม่มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมเพื่อทำหน้าที่ตามกฎหมายและต้องเสียค่าเบี้ยประชุมในการประชุมดังกล่าว

/////////////////////
คดีพงศ์พัฒน์

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผย เตรียมออกคำสั่งให้ 9 ตำรวจ เอี่ยวบ่อนออนไลน์ออกจากราชการไว้ก่อน ชี้ ยังไม่มีประสานมอบตัว 

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า อยู่ระหว่างดำเนินการทำหนังสือคำสั่งให้นายตำรวจทั้ง 9 นาย ที่ถูกออกหมายจับในคดีปราบปรามโต๊ะพนันฟุตบอลออนไลน์อาบูบาก้า เมื่อปี 2552 เครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ออกจากราชการไว้ก่อนระหว่างรอผลการสอบสวน คาดว่าจะมีคำสั่งได้ภายใน 1-2 วันนี้ ประกอบด้วย

พ.ต.อ.วัชรพล ทองล้วน ผู้กำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม
พ.ต.อ.อธิป แท่นนิล ผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการปราบปราม
พ.ต.ต.จักรพันธ์ ลีลานันทวงศ์ สารวัตรกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม
ร.ต.อ.นิธิพัฒน์ กังรวมบุตร รองสารวัตรกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ
พ.ต.อ.สุพัฒน์ ลิ้มอิ่ม ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
พ.ต.ท.อภิสิทธิ์ เมฆประยูร สารวัตรกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ
พ.ต.ท.วัฒนา ผลงานดี สารวัตรกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม
พ.ต.ท.พิพัฒน์ แฉวงราษฎร์ สารวัตรกลุ่มงานสนันสนุนคดีเทคโนโลยี ปอท.
ร.ต.อ.ศักรินทร์ เกษรเศียร รองสารวัตรกองกำกับการ 4 ปอท.

ทั้งนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวด้วยว่า หลังออกหมายจับได้ทำหนังสือประสานไปยังผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานที่ผู้ต้อง
หาซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจ 9 นายสังกัดอยู่ เพื่อให้ส่งตัวมาดำเนินการตามหมายจับในคดีอาญา แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการประสานเพื่อ
ขอเข้ามอบตัวแต่อย่างใด หลังจากนี้หากไม่เข้ามอบตัวเตรียมส่งชุดติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมเตรียมพิจาณา
ออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีนี้เพิ่มเติมในคดีนี้ด้วย

///////////////////
คดีความการเมือง

ศาลอาญา สั่ง ยกฟ้อง "กษิต ภิรมย์" ปราศรัยกล่าวหา "ทักษิณ" สั่งฆ่ามุสลิมภาคใต้ ชี้ เป็นการปราศรัยเพื่อปกป้องประโยชน์ของประเทศ

ศาลอาญา รัชดา อ่านคำพิพากษา ในคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ และ บ.ไทยเดย์ ดอทคอม และ บริษัทเอเอสทีวี ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากกรณี เมื่อวันที่ 3 พ.ย./ 11 พ.ย. และ 29 พ.ย. 2551 นายกษิต ได้กล่าวปราศรัย ที่ทำเนียบรัฐบาล กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ในหลายเรื่อง อาทิ โจทก์ เป็นคนไม่จงรักภักดี ต้องการล้มล้างสถาบัน สั่งเจ้าหน้าที่รัฐฆ่ามุสลิมภาคใต้ ฆ่าตัดตอนผู้ต้องหาคดียาเสพติด และต้องการเป็นประธานาธิบดี

โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อความที่จำเลยปราศรัย เมื่อพิจารณาตามความรู้สึกของประชาชนแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ แต่จำเลยเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มีชื่อเสียง และเป็นบุคคลสาธารณะ ประชาชนทั่วไปสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ เห็นว่า การปราศรัยของจำเลยที่ 1 นั้น เป็นการปราศรัยเพื่อปกป้องประโยชน์ของประเทศ ปกป้องสถาบัน เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
-------------------
ศาลอุทธรณ์ ยืนยกฟ้อง จตุพร หมิ่นประมาท อภิสิทธิ์ กล่าวหา เป็นรัฐบาลทรราช สั่งฆ่าประชาชน ปี 52  ชี้เป็นการแสดงความเห็นติชมด้วยความเป็นธรรม 

ศาลอาญา รัชดา นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดี ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์  ประธาน นปช. เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา

จากกรณี เมื่อวันที่  10 พ.ค.2552 จำเลยได้ปราศรัยด้วยเครื่องกระจายเสียงต่อหน้าประชาชน จำนวนกว่าหมื่นคน ใส่ความ รัฐบาลนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ (ขณะนั้น) ทำนองว่า  เป็นรัฐบาลภายใต้ทรราชฟันน้ำนม รวมทั้งกล่าวหาว่า โจทก์เป็นคนสั่งทหารให้ไปยิงประชาชน เป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือดฆ่าประชาชน  คดีนี้ศาลชั่นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยศาลอุทธรณ์พิเคราะห์จากพยานหลักฐานที่โจทก์ -จำเลย นำสืบ แล้วมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่า มูลเหตุแห่งคดี ที่จำเลย พูดเพราะเชื่อว่า เป็นข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เพื่อป้องกันประโยชน์ของตนเอง  และพูดเพื่อแสดงความเห็นติชมด้วยความเป็นธรรม  ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน ยกฟ้อง โดยนายจตุพร กล่าวขอบคุณศาล ที่พิพากษายืนยกฟ้อง ขณะที่ทนายความของนายอภิสิทธิ์  กล่าวว่า เตรียมยื่นฎีกา ต่อไป เพราะ 1 ในองคณะผู้พิพากษา ได้ทำความเห็นแย้งมีความยาวกว่า 20 หน้า โดยมีความเห็นว่า ควรลงโทษจำคุกนายจตุพร โดยไม่รอลงอาญา
---------------------
ศาลอาญา ยังไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราว 4 ชายชุดดำ ชี้พฤติการณ์ร้ายแรง คดีมีอัตราโทษสูง

นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ได้เดินทางมาศาลอาญา รัชดา เพื่อยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน มูลค่า 2.5 ล้านบาท ขอปล่อยชั่วคราว นายกิตติศักดิ์ หรือ อ้วน สุ่มศรี อายุ 45 ปี, นายปรีชา หรือ ไก่เตี้ย อยู่เย็น อายุ 24 ปี, นายรณฤทธิ์ หรือ นะ สุริชา อายุ 33 ปี และ นายชำนาญ หรือ เล็ก ภาคีฉาย อายุ 45 ปี จำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 และข้อหาพกพาอาวุธไปในที่ชุมชนจากกรณีที่พวกจำเลยร่วมกันพาอาวุธ เครื่องกระสุน และวัตถุระเบิด อาทิ เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79, ปืนเอ็ม 16, ปืนเอชเค 33 หรือ อาก้า ซึ่งนายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ ไปตามบริเวณแยกคอกวัว ถนนตะนาว, ถนนประชาธิปไตย แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร โดยไม่มีเหตุจำเป็น ซึ่งอัยการได้ยื่นฟ้องไปเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา

ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า ตามคำฟ้องและคำร้องฝากขังเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรง และความไม่สงบในการชุมนุมด้วยอาวุธร้ายแรงของกลุ่มติดอาวุธชายชุดดำ ที่กระทำต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมือง พฤติการณ์นับว่ามีความร้ายแรง คดีมีอัตราโทษสูง ในชั้นนี้จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง
//////////////////////
คนเดินทางกลับบ้าน

ประชาชนเตรียมตัวกลับบ้านช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ ขณะถนนพหลโยธินขาออกช่วงรังสิตรถยังเคลื่อนตัวตามปกติ

ความเคลื่อนไหวบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ซึ่งเป็นจุดบริการรถตู้โดยสารสายต่างจังหวัด อาทิ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดนครนายก จังหวัดอ่างทอง และจังหวัดสระบุรี เป็นต้น เริ่มมีประชาชนทยอยมาใช้บริการเป็นจำนวนมากเพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงวันหยุดยาวของเทศกาศปีใหม่

ส่วนการจราจรบริเวณถนนพหลโยธินขาออกไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดสระบุรี จำนวนรถยังไม่หนาแน่นมากนักและยังสามารถเคลื่อนตัวได้ตามปกติ ส่วนขาไปทางจังหวัดปทุมธานีและจังหวัดนครนายกยังคงเคลื่อนตัวสลับหยุดนิ่ง ขณะที่ฝั่งขาเข้าถนนพหลโยธิน ดอนเมือง และสะพานใหม่ รถยังสามารถเคลื่อนตัวได้
----------------
รอง ผบช.น. ปล่อยแถวตำรวจอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่สถานีขนส่งหมอชิต พร้อมปิดถนนบริเวณวัดเสมียนนารีเที่ยงวันยัน 6 โมงเช้า

พล.ต.ต.นิพนธ์ เจริญผล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เป็นประธานปล่อยแถวเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เทศกิจ กรุงเทพมหานคร และเจ้าหน้าที่สถานีขนส่งผู้

โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านจราจร บริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ให้กับประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ในช่วงเทศกาลปีใหม่

โดย พล.ต.ต.นิพนธ์ ระบุว่า บริเวณโดยรอบสถานีขนส่งหมอชิต ในช่วงเทศกาลต่าง ๆ จะมีปัญหาด้านการจราจร เพราะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา 6-7 แสนคน ในช่วงเทศกาล ประกอบกับ

ขณะนี้ถนนกำแพงเพชร 2 มีการก่อสร้างทางเชื่อมทางด่วนจึงทำให้ช่องจราจรลดลง

ทางตำรวจจึงร่วมกับสถานีขนส่งหมอชิต จัดระเบียบการจราจรโดยเฉพาะถนนกำแพงเพชร 6 ตั้งแต่แยกวัดเสมียนนารี จนถึง แยก ปตท. จะเปิดให้รถทั่วไปสัญจรในเวลา 06.00-12.00 น. เท่านั้น

และตั้งแต่ 12.00-06.00น. จะปิดถนน เพื่อให้รถทัวร์รับส่งผู้โดยสารเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 1 มกราคม 2558

นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนที่จะเดินทางมาขึ้นรถที่สถานีขนส่งหมอชิต ให้ใช้ถนนกำแพงเพชร หน้าตลาด อ.ต.ก. และกลับรถที่แยกโรงปูน และให้ใช้รถโดยสารสาธารณะที่มีบริการฟรีถึงเวลา 24.00

น.
-----------------------
บขส. เพิ่มเที่ยวรถเป็น 7 พันเที่ยวต่อวัน รองรับผู้โดยสารที่มีมากกว่า 1 แสนคน ในช่วงเทศกาลปีใหม่

นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. เปิดเผยว่า ทางสถานีขนส่งหมอชิตได้มีการเตรียมรถเสริมไว้รองรับประชาชนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วง

เทศกาลปีใหม่อีก 2,000 เที่ยว รวมเป็น 7,000 เที่ยวต่อวัน ซึ่งสามารถรองรับผู้โดยสารได้กว่า 100,000 คนต่อวัน โดยคาดว่าในวันที่ 29-30 ธันวาคม จะมีผู้โดยสารมากที่สุดประมาณ 200,000 คน

พร้อมกันนี้ ได้จัดเตรียมสถานที่ไว้อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่มารอขึ้นรถโดยสาร รวมถึงมีตำรวจและทหารคอยดูแลความปลอดภัย

ทั้งนี้ นายวุฒิชาติ กล่าวอีกว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยระหว่างเดินทาง เพราะทางขนส่งได้ตรวจสารเสพติด แอลกอฮอล์พนักงานขับรถทุกคนก่อนปฏิบัติงาน และระหว่างทางยังมี

การตั้งด่านร่วมกับตำรวจเพื่อตรวจสอบความพร้อมของพนักงานขับรถ โดยรถแต่ละคันจะมีพนักงานขับรถอย่างน้อย 2 คน เพื่อสับเปลี่ยนการปฏิบัติหน้าที่ทุก ๆ 4 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนระวังบุคคลแอบอ้างนำตั๋วมาจำหน่ายในราคาสูง และหากทางขนส่งพบจะมีการเปรียบเทียบปรับในราคาใบละ 10,000 บาท และให้ประชาชนใช้รถโดยสารสาธารณะ

เป็นหลักในการเดินทางมา พร้อมเผื่อเวลาในการเดินทางอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
------------------
ตร. ชี้รถออกต่างจังหวัดยังคล่องตัวทุกเส้นทาง ยันดูแลทุกจุดเป็นพิเศษ-ไร้อุบัติเหตุ

พล.ต.ต.สมชาย เกาสำราญ ผบก.กองบังคับการตำรวจทางหลวง เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า การจราจรในเส้นทาง สายเหนือ สายอีสาน สายใต้ ที่ประชาชนจะเดินทางออกต่างจังหวัดช่วงปี

ใหม่ในช่วงนี้ ยังคล่องตัวในทุกเส้นทาง โดยยืนยันว่า จะดูแลในทุกเส้นทางเป็นพิเศษ ทั้งนี้ ยังไม่มีอุบัติเหตุเกิดในเส้นทางดังกล่าวแต่อย่างใด

///////////////////

๑๐ ปีสึนามิ

ปภ.จัดงาน รำลึกครบรอบ 10 ปี ธรณีพิบัติภัยสึนามิ - ส่งเสริมชุมชนรับมือภัยพิบัติ

พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2548 กำหนดให้วันที่ 26 ธ.ค.ของทุกปีเป็นวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ เนื่องจากเป็นวันที่เกิดเหตุการณ์ธรรีพิบัติภัยสึนามิในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งนับเป็นภัยพิบัติรุนแรงที่สุดของประเทศก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เนื่องในวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติประจำปี 2557 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 10 ปีเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิ กระทรวงมหาดไทย จึงได้ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายจัดกิจกรรมวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ในวันที่ 26 ธ.ค.57 ณ อนุสรณ์สึนามิ บ้านน้ำเค็ม ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ความสูญเสียจากธรณีพิบัติภัยสึนามิ กระตุ้นเตือนให้ประชาชนตระหนักถึงความสูญเสียจากภัยพิบัติและเกิดความตื่นตัวในการเตรียมพร้อมับมือภัยพิบัติ
///////////////////
โยกย้าย ตร.

ผบ.ตร. เลื่อนแต่งตั้งโยกย้าย ตร. ระดับสารวัตรถึงรองผู้การ ปี 57 ให้เสร็จ ภายใน 15 ม.ค. 58 ชี้พร้อมดูแลประชาชนช่วงปีใหม่ทุกด้าน

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ครั้งที่ 15/2557 ว่า การประชุมวันนี้ไม่มีวาระพิเศษใด ๆ มีเพียงการให้การพิจารณา
แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ตั้งแต่ระดับสารวัตรถึงรองผู้บังคับการ ประจำปี 2557 เลื่อนออกไปจากกำหนดเดิมที่ต้องแล้วเสร็จภายใน 31 ธันวาคม เป็นให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 มกราคม 2558

ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าไปกว่าร้อยละ 90 แล้ว เหลือเพียงการตรวจสอบรายชื่อเล็กน้อยเท่านั้น

ซึ่งที่มีความล่าช้าไม่ได้มีสาเหตุมาจากปัญหาที่เกิดขึ้นภายในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แต่เป็นเพราะต้องมีการไกล่เกลี่ยกำลังพลให้เหมาะสมในทุกหน่วยงาน พร้อมยืนยันว่าการโยกย้ายครั้งนี้ไม่มีการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่ง โดยพร้อมจะให้ความเป็นธรรมและเท่าเทียมต่อทุกคน

ส่วนความคืบหน้าการดำเนินคดีกับเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และเครือข่าย โดยรูปแบบการดำเนินการจะมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อความถูกและเป็นธรรม โดยยังไม่ทราบว่าจะมีการออกหมายจับใครเพิ่มเติมหรือไม่ ต้องดำเนินการตามพยานหลักฐานและตามข้อเท็จจริง ส่วนการติดตามตัวผู้ต้องหาตามหมายจับ จะมีการประสานไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อตรวจสอบป้องกันการหลบหนีออกนอกประเทศ

สำหรับมาตรการดูแลประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ จะเน้นการอำนวยความสะดวกด้านจราจร และดูแลความปลอดภัยทุกพื้นที่ ซึ่งทาง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้ประสานนำกำลังเจ้าหน้าที่ทหารช่วยดูแลความสงบเรียบร้อย

ASTVผู้จัดการ คืนความสุขของขวัญปีใหม่ให้ “บิ๊กตู่” ชมทุกเรื่อง อวยทุกข่าว อย่างน้อยจนถึงสิ้่นปีนี้

ASTVผู้จัดการ คืนความสุขของขวัญปีใหม่ให้ “บิ๊กตู่” ชมทุกเรื่อง อวยทุกข่าว อย่างน้อยจนถึงสิ้่นปีนี้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
26 ธันวาคม 2557 16:33 น.

ASTVผู้จัดการ คืนความสุขของขวัญปีใหม่ให้ “บิ๊กตู่” ชมทุกเรื่อง อวยทุกข่าว อย่างน้อยจนถึงสิ้่นปีนี้
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ASTVผู้จัดการ คืนความสุขของขวัญปีใหม่ให้ “บิ๊กตู่” ชมทุกเรื่อง อวยทุกข่าว อย่างน้อยจนถึงสิ้่นปีนี้

ASTVผู้จัดการ คืนความสุขของขวัญปีใหม่ให้ “บิ๊กตู่” ชมทุกเรื่อง อวยทุกข่าว อย่างน้อยจนถึงสิ้่นปีนี้

ASTVผู้จัดการ คืนความสุขของขวัญปีใหม่ให้ “บิ๊กตู่” ชมทุกเรื่อง อวยทุกข่าว อย่างน้อยจนถึงสิ้่นปีนี้

ASTVผู้จัดการ แถลงการณ์ ลั่น คืนความสุขของขวัญปีใหม่ให้ “บิ๊กตู่” ชมทุกเรื่อง อวยทุกข่าว อย่างน้อยจนถึงสิ้่นปีนี้ หวังนำกฎอัยการศึกไปใช้ปราบพวกโกง หมิ่นสถาบัน แทนเล่นงานสื่อเล็กๆ 
      
       วันนี้่ (26 ธ.ค.) ที่บ้านเจ้าพระยา นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ได้ออกแถลงการณ์ถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้กล่าวระหว่างแถลงผลงานครบรอบ 3 เดือน แสดงความไม่พอใจต่อสื่อบางฉบับที่ติติงและตำหนิไม่ว่าใครจะเป็นนายกฯ พร้อมประกาศใช้กฎอัยการศึกมาตรา 44 จัดการ ว่า ด้วยเอเอสทีวีผู้จัดการ เชื่อว่า เราน่าจะอยู่ในข่ายที่ถูกพาดพิงถึง และเพื่อที่จะสนองนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้บริหารเอเอสทีวีผู้จัดการ จึงได้เรียกประชุม และพร้อมที่จะคืนความสุขให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงสิ้นปี 2557 เป็นอย่างน้อย ด้วยการชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ ในทุกเรื่อง ทุกข่าว และอวยในวิสัยทัศน์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ทุกเรื่อง ที่ทำมา
      
       ทั้งนี้ เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้หายเหนื่อยในการที่อุตส่าห์เสียสละเวลาเข้ามาแก้ไขปัญหาประเทศชาติ ไม่ว่านโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นการคืนความสุขให้กับประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ เราก็จะต้องทำให้คนที่ติดตามสื่อในเครือซาบซึ้งในความเสียสละของ พล.อ.ประยุทธ์ และจะได้ลดความโมโหลงเพื่อบุคลิกภาพที่ดีของ พล.อ.ประยุทธ์ จะได้ไม่เสียไป และก็หวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะได้นำกฎอัยการศึก ที่มีสิทธิ์เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปจัดการในเรื่องทางสังคมที่ พล.อ.ประยุทธ์ แจ้งว่า ต้องใช้เวลา มีกระบวนการที่ต้องกลั่นกรอง จึงอยากให้นำไปใช้จัดการกับปัญหาเหล่านั้น ทั้ง การทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ,ราคายางพาราตกต่ำ, การถอดถอนนักการเมืองที่คอร์รัปชัน, การละเมิดหมิ่นสถาบัน รวมถึงกรณี นายตั้ง อาชีวะ ที่ยังลอยนวลอยู่ในต่างประเทศ, การร่างรัฐธรรมนูญที่มีบางกลุ่มหมกเม็ดนิรโทษกรรมออกมา และบางคนที่หากินกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อการสืบต่ออำนาจ ต่อสายกับนักการเมือง
      
       โดยอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ นำไปจัดการกับคนพวกนั้นโดยเด็ดขาด แทนที่จะเสียเวลานำมาใช้กับสื่อเล็กๆ อย่างเราที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ต่อสู้กับนักการเมืองที่ฉ้อฉลมาทุกรัฐบาล ทุกพรรค ต่อสู้กับพวกหมิ่นสถาบัน และเป็นสื่อของประชาชน อย่างไรก็ตาม ก็คิดว่าท่าทีของเอเอสทีวีผู้จัดการที่กำลังจะคืนความสุขให้ พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นการมอบของขวัญปีใหม่ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ เหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังพยายามคืนความสุขให้กับสังคมไทยอยู่ ส่วนที่ทำไปแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จะมีความสุขในสิ่งที่พยายามคืนให้ พล.อ.ประยุทธ์ หรือไม่ ก็อยู่ที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว ก็คงเหมือนกับประชาชนคนไทยที่รู้อยู่แก่ใจในสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามคืนความสุขให้ ในความเป็นจริงแล้วได้รับมากหรือน้อยเพียงใด 

สงครามข่าวลือ รบ.ประยุทธ

สงครามข่าวลือเขย่ารัฐบาล จาก ปฏิวัติซ้อน ถึง 112 จาก บ้านสี่เสาฯ ถึง ไวต์เฮ้าส์

วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 12:40:00 น.

รายงานพิเศษ

สงครามข่าวลือ สงคราม IO เขย่ารัฐบาล "บิ๊กตู่" จาก ปฏิวัติซ้อน ถึง 112 จาก บ้านสี่เสาฯ ถึง ไวต์เฮ้าส์ สมการอำนาจ "1 ป. กับ 3 ป."

มติชนสุดสัปดาห์ 19-15 ธันวาคม 2557


กล่าวกันมาเสมอว่า ความวุ่นวายทางการเมือง และสงครามแย่งชิงอำนาจทางการเมืองไทยนั้น นอกจากเกิดจากนักการเมืองแล้ว ยังเป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันเองของทหารต่างขั้ว ต่างกลุ่ม เสมอ

จนเกิดวาทะที่ว่า ศึกสายเลือด จปร. จนมาสู่ ศึกสายเลือดเตรียมทหาร...

แม้แต่ยุคนี้ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ จนกระทั่งมาเป็นรัฐบาล คุมอำนาจในการบริหารประเทศเอง มีหัวหน้าคณะปฏิวัติ มาเป็นนายกรัฐมนตรีเอง ที่ทำให้มีอำนาจเบ็ดเสร็จก็ตาม

แม้จะไม่ได้เกิดการปฏิวัติซ้อน หรือการต่อต้านรัฐประหาร ในช่วง 24 ชั่วโมง หลังการรัฐประหาร หรือไม่มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มทหารที่จะทำการต่อต้านภายใน 72 ชั่วโมง ที่ตามสูตรปฏิวัติแล้ว จะถือว่าการปฏิวัตินั้นสำเร็จ

แม้ในยุค คสช. ที่มี บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า นี้จะไม่ได้ชิงนำคณะปฏิวัติเข้าเฝ้าฯ เพื่อยุติการต่อต้าน และเป็นการประกาศความสำเร็จ เช่นปฏิวัติครั้งก่อนก็ตาม แต่เขาก็เลือกในการทำหนังสือกราบบังคมทูลถวายรายงาน แทน พร้อมการขอพระราชทานพระบรมราชโองการ ในการแต่งตั้งให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหน้า คสช. ที่ถือว่า การรัฐประหาร และการเข้ามาเป็นรัฏฐาธิปัตย์ที่สมบูรณ์

ถึงแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ ที่หัวหน้าคณะปฏิวัติ ได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีเอง และมีช่วงฮันนีมูนที่ยาวนานก็ตาม

แต่ในที่สุด ปฏิบัติการเขย่ารัฐนาวาของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เริ่มต้นขึ้น หลังรัฐประหารมาได้ 6 เดือน และรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำงานมาเกือบ 3 เดือน ที่เชื่อกันว่า ช่วงฮันนีมูน ได้หมดลงแล้ว



แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะย้ำเสมอว่า ตนเองไม่ใช่นักการเมือง ไม่จำเป็นต้องหาเสียง หรือสร้างคะแนนนิยม แต่ทว่า หลายสิ่งอย่างที่รัฐบาล คสช. ทำไปนั้น ก็คือ ประชานิยม ในรูปแบบหนึ่ง ทั้งการคืนความสุข และการให้ของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน

แต่ในเมื่ออำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. แข็งแกร่งเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ดึงบิ๊กๆ ทหารที่มีบารมี และอดีต ผบ.เหล่าทัพที่ร่วมกันปฏิวัติ มาร่วม ครม. ด้วย แถมทั้งในฐานะหัวหน้า คสช. ยังมีอำนาจครอบจักรวาล ตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว ด้วยแล้ว ในหมู่ทหารนั้นรู้กันดีว่า วิธีการที่จะล้มรัฐบาลทหาร รัฐบาลคณะปฏิวัติ หรือแค่สั่นคลอนรัฐบาลทหารได้ ก็ต้องด้วยทหารด้วยกันเอง

จึงไม่แปลกที่การออกมาเตือน พล.อ.ประยุทธ์ ให้ระวังจะถูกปฏิวัติซ้อน ของ บิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีต ผบ.ทบ. จะถูกมองว่า เป็นปฏิบัติการเขย่ารัฐบาล

พร้อมๆ กับการปฏิบัติการทำสงครามข่าวสาร หรือที่ภาษาทหารเรียกว่า IO-Information Operation เพราะอย่าลืมว่า ต่างฝ่ายต่างก็เป็นทหาร ที่เรียนตำราเล่มเดียวกัน เรียนจากสถาบันเดียวกัน ย่อมทันกลทันเกมกัน

อันเป็นสงครามข่าวสาร ที่เป็นลักษณะของข่าวลือ ที่ในเวลานี้มีทั้งไลน์และโซเชียลมีเดีย เป็นเครื่องมือสำคัญ และพบว่า มีนักรบไซเบอร์ของฝ่ายต่อต้าน คสช. อยู่ไม่น้อย

และเป็นข่าวสารที่ทำให้เกิดความหวาดระแวงกันเองในหมู่ คสช. ด้วยกันเอง รวมทั้งระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ ผบ.เหล่าทัพ และโดยเฉพาะกับ บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ. ซึ่งเป็น ผบ.เหล่าทัพ ที่มีอำนาจและกำลังรบมากที่สุดในการก่อรัฐประหารซ้อน

แต่อย่าลืมว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ถอดสลักปฏิวัติซ้อน ตั้งแต่การตั้ง พล.อ.อุดมเดช มาร่วมคณะรัฐบาล ด้วยการให้เป็น รมช.กลาโหม แถมทั้งเป็นเลขาธิการ คสช. อีกด้วย รวมถึงการตั้ง ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่ มาเป็นสมาชิก คสช.

จนส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ มั่นใจว่า "ไม่มีใครคิดที่จะปฏิวัติซ้อนหรอก" เพราะเรื่องปฏิวัติตัวเองนั้น บิ๊กตู่ บอกไปแล้วว่า ไม่คิดจะทำแน่นอน



แต่อย่าลืมว่า หลัง พล.อ.ชวลิต ออกมาเตือนเรื่องปฏิวัติซ้อนนั้น เคยทำให้หุ้นตกมาแล้ว แม้จะไม่ได้มากมาย

และก็ทำให้ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. เกิดความสงสัย เมื่อเกิดปรากฏการณ์หุ้นตก เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาต่อเนื่องหลายวัน ว่าจะเกี่ยวข้องกับขบวนการเขย่ารัฐบาล คสช. หรือไม่

"มีความพยายามของพวกที่ปล่อยข่าว ปั้นข่าวในโซเชียลมีเดีย เพื่อทำให้เกิดกระแสข่าวลือต่างๆ" พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ

โดยเฉพาะการปล่อยข่าวลือในตลาดหุ้นไทย ที่แม้ว่าสาเหตุหลักจะเกิดจากปัจจัยจากสถานการณ์โลก ราคาน้ำมัน และสงคราม และการก่อการร้าย รวมถึงหุ้นดาวน์โจนส์ของสหรัฐอเมริกา ตกลงด้วยก็ตาม แต่ก็มีการเติมกระแสข่าวลือ ที่หวังผลทางการเมืองใส่เข้าไปในตลาดหุ้นด้วย ที่ยิ่งทำให้หุ้นตกลงอีก

แต่คราวนี้เป็นข่าวลือหลายกระแส อันเป็นจังหวะที่เกิดกรณีคดีของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบ.สอบสวนกลาง และอดีตบ้านอัครพงศ์ปรีชา จนมาถึง การขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตในการลาออกจากฐานันดรศักดิ์ของ ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ด้วย

รวมถึงข่าวลืออันไม่เป็นมงคล ที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกมายืนยัน พร้อมกับเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการพูดเรื่องสถาบัน

ด้วยเพราะมีการอาศัยสถานการณ์ในเวลานี้มีการกล่าวพาดพิงสถาบันและการปล่อยข่าวลือที่พล.อ.ประยุทธ์ ใช้คำว่า "ข่าวลือส่งเดช" ออกมา จนทำให้มีการเตือนเรื่อง การทำผิดมาตรา 112

อีกทั้งในการประชุมร่วมของคณะรัฐมนตรีกับ คสช. เมื่อ 16 ธันวาคมที่ผ่านมานั้น พล.อ.ประยุทธ์ ที่สวมหมวกทั้งนายกฯ และหัวหน้า คสช. สั่งให้บังคับใช้กฎหมาย ด้วยการติดตามผู้กระทำผิด ล่วงละเมิดสถาบัน โดยเฉพาะมาตรา 112 ทั้งในประเทศ และในต่างประเทศ อย่างจริงจังด้วย



ไม่แค่นั้น ในตลาดหุ้น ก็ยังมีข่าวที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในด้านการเงิน เช่น ข่าวลือที่ คสช. จะให้ยกเลิกธนบัตรฉบับละ 1 พันบาท โดยมีการนำไปโยงกับเรื่องสถาบัน และรวมไปถึงข่าวก่อนหน้านี้ที่ว่า เป็นอีกหนทางของ คสช. ในการดัดหลังนักการเมืองไทย ที่ชอบเก็บเงินสด ธนบัตรใบละพันบาทเป็นจำนวนมาก โดยไม่ได้นำเข้าสู่ระบบธนาคาร หรือระบบการเงิน เพื่อเอาไว้ใช้ในการเลือกตั้ง หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน

หลังการรัฐประหารของ คสช. แรกๆ เคยมีข่าวลือนี้ออกมาครั้งหนึ่ง จนทำให้ บิ๊กต๊อก พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ในเวลานั้น ออกมาปฏิเสธข่าวว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของแนวคิดในการยกเลิกธนบัตร

"ผมตัวเล็กนิดเดียว จะไปคิดเรื่องแบบนั้นได้ยังไง" แต่ทว่า ในเวลานั้น พล.อ.ไพบูลย์ ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่า ไม่ได้มีแนวคิดเช่นนั้น หรือไม่ นอกเสียจากยืนยันว่า ไม่ใช่แนวคิดของเขาตามที่มีข่าวลือออกมาในเวลานั้น

จนที่สุดกระแสข่าวลือนี้ก็กลับมาอีกครั้งในตลาดหุ้นไทยว่ากันว่าแนวคิดนี้เคยมีผู้เสนอไปยังคสช. เพื่อที่จะเป็นการทำให้นักการเมืองต้องขยับขยายการเก็บซ่อนเงินออกมาเพื่อนำมากระจาย แล้วแลกธนบัตรแบบใหม่ ข่าวนี้เคยออกมา จนทำให้นักการเมืองหันไปสะสมแบงก์ดอลลาร์แทนไม่น้อย เพราะกลัวว่า คสช. จะทำจริง

แต่ในประเด็นนี้ พล.อ.ประยุทธ์ สยบข่าวลือแล้วว่า "มันง่ายนักหรือไง การยกเลิกธนบัตร ไม่เคยมีความคิด เรื่องอื่นมีเยอะแยะ แต่ถ้าทำนั้นทำได้ แต่ไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่เวลาที่จะมาทำ"



กระนั้น ก็ยังมีข่าวลือที่ยังไม่จบ เพราะยังคงมีเชื้อมาจากที่ พล.อ.ชวลิต เคยออกมาเตือนเรื่องปฏิวัติซ้ำ รัฐประหารซ้อน มาแล้ว

ทั้งข่าวลือความขัดแย้งใน คสช. เช่นคู่ของ พล.อ.อุดมเดช ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. และ รมช.กลาโหม กับ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รอง ผบ.สส. และสมาชิก คสช. และ รมว.ยุติธรรม อันเป็นผลพวงจากการเป็นแคนดิเดตชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. ด้วยกันมา จนมาถึงกรณีที่ พล.อ.อุดมเดช จัดทัพหน่วยคุมกำลังระดับผู้บังคับการกรมใหม่ หลังขึ้นเป็น ผบ.ทบ. โดยย้ายนายทหารที่เป็นลูกน้องสายตรงของ พล.อ.ไพบูลย์ ออกจากการคุมกำลัง เพื่อกระชับอำนาจในมือ และปิดประตูการรัฐประหารซ้อน ที่เคยร่ำลือกันมาก่อนในเวลานั้น

แต่ทว่า เป้าหมายที่ พล.อ.ชวลิต หมายถึง ไม่ใช่บรรดา ผบ.เหล่าทัพ หรือ ผบ.ทบ. โดยตรง แต่หมายถึงกลุ่มนายทหารอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่ใช่ทหารแตงโม แต่ทว่า เป็นขั้วอำนาจเดียวกัน อาจจะไม่ใช่พวกเดียวกัน

โดยข่าวลือที่ออกมานั้น เล็งไปที่ความขัดแย้งของ "อำมาตย์เก่า" กับแผงอำนาจ คสช. ระหว่างขั้วอำนาจของ ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และนายทหารสาย "ลูกป๋า" กับแผงอำนาจ คสช. และบูรพาพยัคฆ์ ภายใต้การนำของ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. นั่นเอง

โดยมีการจับจุดที่เรื่องคาใจในอดีตของ พล.อ.ประวิตร กับ บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ลูกป๋า ตั้งแต่อยู่ใน ทบ. ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ตอนเป็น ผบ.ทบ. เคยสั่งเด้ง พล.อ.ประวิตร และเพื่อน ตท.6 ของ พล.อ.ประวิตร ที่กำลังขึ้นมามีบทบาทในเวลานี้ เข้ากรุ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว พล.อ.ประวิตร กับ พล.อ.เปรม ไม่ได้มีเรื่องคาใจใดๆ กัน แต่เคารพ พล.อ.เปรม มาตลอด แต่กับ พล.อ.สุรยุทธ์ นั้น เรียกว่า ต่างคนต่างอยู่ แต่ไม่ได้ขัดแย้งกัน

แต่คาดกันว่า นายทหารเจ้าของฉายา "ขงเบ้งแห่งกองทัพ" อย่าง พล.อ.ชวลิต นี้นั้น เล็งไปที่กลุ่มนายทหารเก่า หรือ อำมาตย์เก่า ที่เคยครองอำนาจ ที่จะเป็นผู้รัฐประหารซ้อนมากกว่า

อย่าลืมว่า พล.อ.ชวลิต นั้นเคยเป็น "ลูกรัก" และทำงานกับ พล.อ.เปรม มายาวนาน จึงรู้สไตล์แห่งการบริหารอำนาจของ พล.อ.เปรม เป็นอย่างดี เพราะฉายา "นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา" ก็เป็นที่เลื่องลือในเวลานั้น

ทว่า ทั้งหมดนี้เป็น "ข่าวลือ" ที่มีการปล่อยในตลาดหุ้น เพื่อซ้ำเติมให้หุ้นตก เพื่อหวังผลทางการเมือง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เชื่อว่า มี "ไอ้โม่ง" อยู่เบื้องหลังข่าวลือต่างๆ ที่ออกมา จนทำให้เขาเผยว่า กำลังตรวจสอบทั้งในโซเชียล มีเดีย และการส่งข้อความต่อๆ กัน โดยไม่รู้ที่มากันในไลน์



แต่ต้องไม่ลืมว่ากระแสข่าวแผงบูรพาพยัคฆ์ของ 3 ป. "ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์" กับสายบ้านสี่เสาเทเวศร์ นั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้ว จนเกิดการวัดบารมีและอำนาจระหว่าง บ้านสี่เสาฯ กับ ไวต์เฮ้าส์ ของ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ใน ร.1 รอ. ที่เปี่ยมอำนาจจนถูกเรียกขานว่าเป็น "ป๋าป้อม"

จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ต้องสยบข่าวลือทุกกระแส ด้วยการนำ ผบ.เหล่าทัพ ที่ไปร่วม ครม. เข้าพบ พล.อ.เปรม เพื่อขอรับคำแนะนำในฐานะที่ป๋าเปรมเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีผู้เปี่ยมประสบการณ์ เมื่อ 30 กันยายน 2557

จากนั้น 1 ตุลาคม 2557 พล.อ.ประวิตร ในฐานะรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ก็นำปลัดกลาโหม ผบ.สส. และ ผบ.เหล่าทัพ เข้าพบ พล.อ.เปรม เพื่อสยบข่าวความขัดแย้ง หรือความเป็นคนละแผงอำนาจ มาแล้ว

แต่เชื้อข่าวลือนี้ ทำให้เกิดความหวาดวิตกว่า จะเกิดการงัดข้ออำนาจกันเอง หากว่า ฝ่ายบูรพาพยัคฆ์ มีอำนาจมากเกินไป จนทำให้บ้านสี่เสาฯ อับแสงลง

จนที่สุด ขั้วของลูกป๋า กับ บูรพาพยัคฆ์ อาจต้องมีปฏิบัติการในการแย่งชิงกำลังรบ โดยเฉพาะ ผบ.เหล่าทัพ กันเกิดขึ้น โดยเฉพาะ พล.อ.อุดมเดช ผบ.ทบ. ที่ถือว่าเป็นลูกรักของ พล.อ.เปรม ด้วยเช่นกัน

แต่ก็ต้องไม่ลืมด้วยเช่นกันว่า พล.อ.อุดมเดช ผบ.ทบ. ก็เป็นน้องรัก สายทหารเสือราชินี ของ 3 ป. โดยเฉพาะกับ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร เช่นกัน



ส่วน ผบ.เหล่าทัพคนอื่น ก็ล้วนเป็นคนที่แกนนำ คสช. ที่เคยเป็นอดีต ผบ.เหล่าทัพ ได้แต่งตั้งเป็นทายาทอำนาจไว้ ทั้ง บิ๊กบี้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกลาโหม ซึ่งไม่ได้คุมกำลังรบ นั้น เป็นน้องรัก แบบที่เรียกว่า เด็กในคาถาของ พล.อ.ประวิตร เลยทีเดียว

ส่วน บิ๊กตี๋ พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ผบ.สส. ก็เป็นเพื่อนเตรียมทหาร 12 ของ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร อดีต ผบ.สส. ที่มาร่วม ครม. เป็นรองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ

ส่วน บิ๊กตั้ม พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผบ.ทร. ก็เป็นเพื่อนรักเตรียมทหาร 13 ของ บิ๊กเข้ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย อดีต ผบ.ทร. ที่มาเป็น รมว.ศึกษาธิการ

ส่วน บิ๊กตู่ พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง ผบ.ทอ. ก็เป็นน้องรักของ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง อดีต ผบ.ทอ. ที่มาเป็น รมว.คมนาคม ในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์

ดังนั้น จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงมั่นใจกับอำนาจในมือ และมั่นใจในกองทัพ แม้บางเสี้ยววินาทีอาจหวั่นๆ ในความดุเงียบ เด็ดขาดของ พล.อ.อุดมเดช นักรบเหรียญรามา เหมือนกัน ที่ปฏิบัติการเชือดทหารเวียดนาม ในสมรภูมิเขาพนมปะ มาด้วยกัน ตั้งแต่เป็นร้อยเอก นั่นเองก็ตาม

"ยังแน่นปึ้ก พี่น้องกัน ไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอก ใครจะทำ" พล.อ.ประยุทธ์ จึงไม่สะเทือนกับกระแสเสี้ยม จะถูกปฏิวัติซ้อน ล้มอำนาจ

แต่ทว่า มันเป็นการส่งสัญญาณ การทำสงคราม ข้อมูลข่าวสาร กับขบวนการเขย่ารัฐบาล ที่เป็นการร่วมกันของทั้งนักการเมือง และทหาร ทั้งทหารเก่า ทหารแก่ ทหารเด็ก ทหารประจำการ และทหารแตงโม รวมถึงทหารที่ถูกเขี่ยพ้นแผงอำนาจ

ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่อาจประมาทได้เช่นกัน...

สัญญานสงครามจาก"ปูติน"

“ปูติน” สั่งแบงก์ชาติรัสเซียกว้านซื้อทองคำล็อตใหญ่จากตลาดโลกอีกเกือบ “19 ตัน” นักวิเคราะห์ชี้ เป็นการปกป้อง ศก.หมีขาวที่ถูก US-ยุโรปรุมฟัด

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
26 ธันวาคม 2557 05:37 น.
Hot Issue : “ปูติน” สั่งแบงก์ชาติรัสเซียกว้านซื้อทองคำล็อตใหญ่จากตลาดโลกอีกเกือบ “19 ตัน”  นักวิเคราะห์ชี้ เป็นการปกป้อง ศก.หมีขาวที่ถูก US-ยุโรปรุมฟัด
        เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ข้อมูลล่าสุดชี้รัฐบาลรัสเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ทำการกว้านซื้อ “ทองคำล็อตใหญ่” จากตลาดโลกเพิ่มอีกเกือบ “19 ตัน” นักวิเคราะห์ชี้ทองคำคือหลักประกันความอยู่รอดของเศรษฐกิจแดนหมีขาวที่กำลังถูกสหรัฐฯ และประเทศลิ่วล้อในยุโรปเล่นงานด้วยมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากผลพวงของวิกฤตในยูเครน
      
       รายงานข่าวล่าสุดซึ่งอ้างข้อมูลจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) ซึ่งมีฐานอยู่ในกรุงลอนดอนของอังกฤษระบุว่า ธนาคารกลางรัสเซียทำการกว้านซื้อทองคำล็อตใหญ่คิดเป็น “น้ำหนักรวมเกือบ 19 ตัน” จากตลาดโลก ตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
      
       ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนตุลาคม ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียได้สั่งการให้แบงก์ชาติแดนหมีขาวกว้านซื้อทองคำที่มีน้ำหนักรวมเกือบ 19 ตันมาแล้วเช่นกัน ส่งผลให้รัฐบาลรัสเซียมีปริมาณทองคำสำรองในความครอบครองเพิ่มขึ้นกว่า “3 เท่าตัว” แล้วเมื่อเทียบกับปริมาณทองคำสำรองของรัสเซียในปี 2005
      
       รายงานล่าสุดยืนยันว่า ขณะนี้รัสเซียมีปริมาณทองคำสำรองในความครอบครองไม่น้อยกว่า 1,188 ตัน ซึ่งถือเป็นระดับการถือครองทองคำที่สูงที่สุดของรัสเซียนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 เป็นต้นมา ส่งผลให้ในขณะนี้รัสเซียกลายเป็นประเทศที่ถือครองทองคำสำรองเอาไว้มากเป็น “อันดับที่ 5 ของโลก”
      
       ด้านนักวิเคราะห์จากหลายสำนัก รวมถึง คาร์สเทน ฟริตช์ จากธนาคารคอมเมิร์ซบังก์ เอจี ในนครแฟรงก์เฟิร์ตของเยอรมนีให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดในการกว้านซื้อทองคำล็อตใหญ่จากตลาดโลกของรัสเซีย ไม่ต่างจากความพยายามของรัฐบาลปูตินในการปกป้องเสถียรภาพของเศรษฐกิจแดนหมีขาวและเงินสกุล “รูเบิล” ของตน ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ตกต่ำในตลาดโลก
      
       นอกจากนั้น การเดินหมากของปูตินด้วยการ “ถือไพ่ทองคำ” ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า ทองคำคือหลักประกันความอยู่รอดของเศรษฐกิจแดนหมีขาว ที่กำลังถูกสหรัฐฯ และประเทศลิ่วล้อในยุโรปเล่นงานด้วยมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากผลพวงของวิกฤตในยูเครน รวมถึงการที่รัสเซียทำการผนวก “สาธารณรัฐปกครองตนเองไครเมีย” จากยูเครน เข้ามาเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตนโดยสันติวิธีเมื่อ 21 มีนาคม
Hot Issue : “ปูติน” สั่งแบงก์ชาติรัสเซียกว้านซื้อทองคำล็อตใหญ่จากตลาดโลกอีกเกือบ “19 ตัน”  นักวิเคราะห์ชี้ เป็นการปกป้อง ศก.หมีขาวที่ถูก US-ยุโรปรุมฟัด
       
Hot Issue : “ปูติน” สั่งแบงก์ชาติรัสเซียกว้านซื้อทองคำล็อตใหญ่จากตลาดโลกอีกเกือบ “19 ตัน”  นักวิเคราะห์ชี้ เป็นการปกป้อง ศก.หมีขาวที่ถูก US-ยุโรปรุมฟัด

สะพานนนทบุรี1 เปิดใช้งานวันนี้

'บิ๊กจิน' เปิดสะพานนนทบุรี 1 ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา
“บิ๊กจิน” เปิดสะพานมหาเจษฎาบดินทร์ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่ของนนทบุรี อย่างไม่เป็นทางการ ระบายการจราจรช่วงเร่งด่วน เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน...
เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมนางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม และนายดรุณ แสงฉาย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดสะพานมหาเจษฎาบดินทร์ สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่ของ จ.นนทบุรี อย่างไม่เป็นทางการ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนได้ใช้งานสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา
นอกจากนี้ ได้ปล่อยขบวนรถอำนวยความปลอดภัยช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อช่วยระบายการจราจรช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า - เย็น ที่หนาแน่นของสะพานทั้ง 3 เส้นทางของ จ.นนทบุรี ที่คับคั่ง คือ สะพานพระนั่งเกล้า (เดิม) ที่มีปริมาณจราจรกว่า 54,000 คัน/วัน, สะพานพระราม 5 ที่มีปริมาณจราจรกว่า 96,000 คัน/วัน และสะพานพระนั่งเกล้า (ใหม่) ที่มีปริมาณจราจรกว่า 139,000 คัน/วัน
ทั้งนี้ ในการเปิดใช้สะพานแห่งใหม่นี้ มีจุดเริ่มต้นที่ ถนนนนทบุรี 1 และถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณทางโค้งใกล้โรงเรียนศรีบุญยานนท์ และไปสิ้นสุดโครงการที่ ถนนราชพฤกษ์ ระยะทางประมาณ 4.3 กม. สร้างขึ้นเพื่อจะช่วยบรรเทาการจราจรที่หนาแน่นในฝั่งท่าน้ำนนท์และฝั่งบางศรีเมือง ที่มีประชาชนนิยมใช้เป็นเส้นทางผ่าน พร้อมทั้งยังช่วยระบายรถยนต์ในช่วงวันหยุดของเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ ตลอดจนสามารถช่วยลดการจราจรในเส้นทางหลักที่สำคัญ เช่น ถนนรัตนาธิเบศร์ ถนนงามวงศ์วาน ถนนติวานนท์ ได้เป็นอย่างดี คาดว่าตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 58 เป็นต้นไป จะมีผู้ใช้เส้นทางข้ามสะพานแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่นี้มากถึง 48,000 คัน/วัน
สำหรับโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาดังกล่าว เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 55 กำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 17 มี.ค. 58 ค่าก่อสร้างประมาณ 3,795 ล้านบาท ด้วยงบประมาณแผ่นดินและเงินกู้ต่างประเทศในสัดส่วน 30 : 70 ซึ่งในส่วนของเงินกู้ต่างประเทศ ได้รับความร่วมมือจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ก่อสร้างด้วยรูปแบบ Extradosed bridge แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย.


โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพ-ระยอง

เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย สำหรับผลการศึกษาความเหมาะสม สำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการรถไฟความเร็วสูง สาย "กรุงเทพฯ-ระยอง" สำหรับรายละเอียดรถไฟความเร็วสูง "กรุงเทพฯ-ระยอง" ตามผลการศึกษาฉบับเดิม มีแนวเส้นทางพาดผ่าน 4 จังหวัด คือกรุงเทพฯ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง มีระยะทางรวม 193.5 กิโลเมตร จะสั้นลงประมาณ 27.5 กิโลเมตร จากเดิมอยู่ที่ 221 กิโลเมตร
มีจุดเริ่มต้นจากสถานีลาดกระบังไปจนถึงสถานีระยอง มีทั้งหมด 6 สถานี ได้แก่ ลาดกระบัง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ศรีราชา พัทยา และระยอง จะออกแบบสถาปัตยกรรมภายในอาคารบ่งบอกเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น ทั้งโครงการในผลการศึกษาระบุว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งโครงการ 152,000 ล้านบาท มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) อยู่ที่ 13% จะใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 54 เดือน หรือประมาณ 4 ปี กับอีก 5 เดือน
ตลอดเส้นทางจะมีเวนคืนที่ดินบางจุดที่ต้องการใช้พื้นที่เพื่อปรับรัศมีโค้งให้รองรับกับความเร็ว จะมี 3 จุดหลัก ๆ ที่จะต้องมีการเวนคืนที่ดินเพิ่ม โดยมีที่ดินจำนวน 835 ไร่ และสิ่งปลูกสร้างจำนวน 173 หลังคาเรือน ได้แก่ 1.บริเวณจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ดิน 292 ไร่ และสิ่งปลูกสร้าง 80 หลังคาเรือน 2.บริเวณเขาชีจรรย์ ที่ดิน 137 ไร่ และสิ่งปลูกสร้าง 15 หลังคาเรือน และ 3.บริเวณมาบตาพุด-ระยอง ที่ดิน 406 ไร่ และสิ่งปลูกสร้าง 78 หลังคาเรือน
ด้านรูปแบบการเดินรถ ออกแบบเป็นระบบรถไฟความเร็วสูงที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ความเร็ว 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 70 นาที ภายในขบวนรถมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และแยกการให้บริการมี 3 ระบบชั้น คือระดับชั้นวีไอพี, ชั้น 1 และชั้นธรรมดา
ขอขอบคุณภาพและข้อมูล จาก >> matichon.co.th/readnews.php?newsid=1419513169 <<