PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2560

"ประเทศเราเป็นยังงี้ แต่เขาก็ยังคุย"

‪"ประเทศเราเป็นยังงี้ แต่เขาก็ยังคุย"
"บิ๊กป้อม" สรุป Donald Trump เชิญ"บิ๊กตู่" เยือน ถือเป็นความสำเร็จของรัฐบาลคสช. แม้มาจาก รัฐประหาร ปัดตอบ กำหนดวันเลือกตั้ง "นายกฯ" พูดชัดแล้ว/ ไม่รู้ "ยิ่งลักษณ์ "จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น "ผมไม่รู้ ไม่รู้ "พูดกันไปเอง"
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม กล่าวถึงการเดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ว่า ภาพรวมถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และประเทศไทยและสหรัฐเอง ก็มีความร่วมมือในทุกๆเรื่องทั้งการค้าการต่างประเทศ
"นับว่าเป็นความสำเร็จเพราะประเทศของเรามีรัฐบาล ที่มาจากรัฐประหาร แต่ทางสหรัฐฯ ได้เชิญไปพูดคุย พร้อมทั้งให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอาเซียน"
ส่วนการเจราจา การลงทุนการค้ากับสหรัฐฯนั้น ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นกระทรวงพาณิชย์ ก็ยังคงต้องดำเนินการต่อไป
ส่วนกรณีที่ทางสหรัฐฯ จะเชิญ พล.อ.ประวิตร และหน่วยงานความมั่นคงของไทยไปพูดคุยนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ทางสหรัฐฯยังไม่ได้เชิญมา
เมื่อถามว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นห่วงเรื่องปัญหาชาวโรฮิงยา รัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา อาจจะขอความร่วมมือให้ไทยช่วยเจรจากับเมียนมาพล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พล.อ.อาวุโส มิน ออง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมา ที่ได้เดินทางมาคุยกับผม เมื่อเดือนที่แล้ว บอกว่า ชาวเบงกาลี มาตีเขาก่อน และ นางออง ซาน ซู จี ออกมาพูดไปแล้ว ทุกอย่างไม่เกี่ยวกับประเทศไทย

พล.อ.ประวิตร ยังระบุถึง การกำหนดวันเลือกตั้งในปีหน้าว่า นายกรัฐมนตรีพูดชัดเจนแล้ว
ส่วนกระแสข่าว นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นนั้น ผมไม่รู้ ไม่รู้ "พูดกันไปเอง"

6 ตุลา 2519

6 ตุลา 2519
ประวัติศาสตร์ความโหดร้ายต่อเพื่อนมนุษย์ ที่คนไทยยากจะลืม
เกริ่นนำก่อนว่าตัวผมนั้น เกิดไม่ทัน 6ตุลา แต่เท่าที่ชอบศึกษามา เป็นความขัดแย้งทางความคิด ผสมการเมืองหลายๆอย่าง ก็หวังว่าทุกวันนี้คนเราจะใช้การเจรจา มานั่งถกกันด้วยเหตุผล ดีกว่ามาใช้กำลังห้ำหั่นกัน จนเกิดการสังหารหมู่ใจกลางเมือง เพียงเพราะแค่สงสัยว่า " ไอ้นี่ เป็นคอมมิวนิสต์ "
หลัง 14 ตุลา 2516 นักศึกษาต่างเริงร่ากับความสำเร็จ ที่ขับไล่เผด็จการ ถนอม ประภาส ณรงค์ ออกไปได้
ว่ากันว่ากระเบื้องหลุดออกไปเพียง 3 แผ่นเท่านั้น แต่โครงสร้างทั้งหมดยังอยู่
นวพล เกิดขึ้นในปี 2517 เป็นหน่วยงานนึงของ กอ.รมน หรือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงในประเทศ ก่อตั้งโดยจอมพล ประภาส จารุเสถียร นวพลมุ่งที่จะรวบรวมพ่อค้า ประชาชน ที่หวาดกลัวคอมมิวนิสต์ ในปลายปี 2518 นวพลอ้างว่ามีสมาชิกจำนวนกว่าล้านคน แม้จะเกินจริงไปบ้าง แต่นวพลก็เป็นขบวนการฝ่ายขวาที่มีอิทธิพลมาก
กระทิงแดง เป็นอีกหน่วยของ กอ.รมน มีสมาชิกเป็นนักเรียนอาชีวะทั้งที่จบแล้วและยังไม่จบ ได้รับเบี้ยเงินเงินราชการลับ พกปืน และ ระเบิดอย่างเปิดเผย อีกทั้งยังใช้วิทยุวอร์กี้ ทอร์คกี้ของตำรวจ ในการปฏิบัติภารกิจ ทุกๆครั้งที่นักศึกษาชุมนุมประท้วง จะถูกโจมตีด้วยระเบิด ถึงขนาดบาดเจ็บ ล้มตาย แต่ตำรวจไม่สามารถจับใครได้ ผู้มีบทบาทในขบวนการนี้ คือ พล.ต สุดสาย หัสดิน หรือ เจ้าพ่อกระทิงแดง
ลูกเสือชาวบ้าน เกิดขึ้นในปี 2514 มีวัตถุประสงค์ รวบรวมข่าวสาร เกี่ยวกับ คอมมิวนิสต์รายงานให้กับรัฐบาล โดยมีคำขวัญว่า " ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ " ถูกปลุกเร้าให้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ และ ปกป้องราชบัลลังค์ #ฉะนั้นเมื่อปลุกระดมว่า นักศึกษาในธรรมศาสตร์ เป็นคอมมิวนิสต์ และ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ลูกเสือชาวบ้านจึงเข้าโจมตีนักศึกษาด้วย
++ สังคมไทยในยุคนั้น แตกแยกทางความคิด อย่างชัดเจน
ฝ่ายขวามองความเคลื่อนไหว เรียกร้องความยุติธรรมใดๆ ในสังคม เป็นคอมมิวนิสต์ ไปหมด และเห็นว่ามีวิธีเดียว ที่จะหยุดยั้งไว้ได้ คือ ใช้ความรุนแรง เรียกว่า " ขวาพิฆาตซ้าย "
19 กันยายน 2519 จอมพลถนอม กิตติขจร บวชเป็นสามเณรมาจากสิงค์โปร์ ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง ได้คุ้มไปอุปสมบทเป็นพระต่อที่วัดบวรนิเวศ
นายสุธรรม แสงประทุม เลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษา เรียกประชุมกลุ่มพลังต่างๆ ถึง 156 กลุ่ม วิเคราะห์กันว่า การกลับมาของจอมพลถนอม เป็นส่วนหนึ่งของแผนการทำรัฐประหาร อีกด้านนึง ญาติของวีรชน 14 ตุลา เข้าแจ้งความที่ ส.น ชนะสงคราม ให้ดำเนินคดีกับพระถนอม ในข้อหา บงการฆ่า และ ปฏิบัติหน้าที่โดยโมหะจริต
ขณะที่สถานีวิทยุยานเกราะ ก็ปลุกระดมให้รัฐบาล ฆ่านักศึกษา 3 หมื่นคน เพื่อคน 43 ล้าน ด้วยข้อหาสงสัยว่า " มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ "
กรณีประท้วงพระถนอมได้เกิดความวุ่นวายขึ้นทั่วไป การชุมนุมขับไล่เกิดขึ้นหลายจังหวัด ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีประกาศว่า ไม่สามารถคุมสถานการณ์ได้ จึงประกาศลาออกกลางสภา ในวันที่ 21 กันยายน 2519
คนประท้วงพระถนอม ถูกทำร้ายอยู่ร่ำไป วันที่ 22 กันยา 2519 พบศพชาย 2 คน ถูกแขวนคอ ทราบว่าเป็นพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ถูกตำรวจสายตรวจจับ ในขณะที่ติดโปสเตอรืประท้วงพระถนอม ก่อนจะถูกนำไปซ้อมที่โรงพักและตาย แล้วถูกนำมาแขวนคอ ต่อมาตำรวจ 5 คน ถูกจับในคดีนี้ และกลับถูกปล่อยตัวไปเงียบๆๆ
กรณีแขวนคอได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นไปอีก เมื่อนักศึกษานำไปเป็นการแสดงล้อเลียนรัฐบาล นสพ ดาวสยาม และ บางกอกโพสต์ ลงวันที่ 5 ตุลา 2519 ตีพิมพ์ว่า การแสดงของนักศึกษาพยายามแต่งหน้าให้เหมือน " องค์รัชทายาท "
ต่อมาได้เกิการถกเถียงกันว่า แต่งหน้าเหมือนศพจริงที่ถูกตีพิมพ์ หรือ แต่งหน้าให้เหมือนองค์รัชทายาท กันแน่
++++++ เท่านั้นแหละ +++++
สถานีวิทยุยานเกราะ ผู้นำชมรมวิทยุเสรี ติดตามเสมือนหนึ่งเป็นคำสั่งว่า การชุมนุมในธรรมศาสตร์ไม่ใช่เรื่องการเมืองแล้ว แต่เป็นการหมิ่นบรมเดชานุภาพ ขณะที่สถานีวิทยุยานเกราะ ก็โจมตี เรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั้งคืน
เช้ามืดวันที่ 6 ตุลา 2519
ประชาชนทั่วไป ลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดง ได้ล้อมธรรมศาสตร์ระดมเขวี้ยงก้อนอิฐเข้าไป ต่อมาในตอนเช้าทหารก็ยิง M 79เข้าไป น.ศ ตายคาที่กลางสนามบอลทันทีหลายคน และตอนสายทหารก็เข้าไปเคลียร์ได้สำเร็จ
โดยบางคนเห็นว่าข้างนอกน่าจะปลอดภัย เพราะเจ้าหน้าที่รัฐระดมยิงด้วยปืนกล ตลอดจนปืนไร้แสงสะท้อน เข้าไปข้างใน อยู่ก็คิดว่าตายแน่ เลยปีนรั้วหนีออกมา ก็โดนประชาชนที่โกรธแค้น รุมกระทืบตาย บางคนถูกลากไปเผานั่งยาง บางคนก็ถูกกระทืบเละก่อนนำไปแขวนคอ ที่ใต้ต้นมะขามสนามหลวง มีการเอารองเท้ายัดปาก ฟาดด้วยเก้าอี้ เอาไม่้รุมตีตอกอก จนสภาพสดแต่ละศพ แทบจำไม่ได้

ที่มา : เพจ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์อังคารพุธ 

โพลรัฐเผย 3 ปี ครม.ประยุทธ์สอบผ่านฉลุย คนไทยเกือบ 70% พอใจมากถึงมากที่สุด

The MATTER
1 ชม.
BRIEF: โพลรัฐเผย 3 ปี ครม.ประยุทธ์สอบผ่านฉลุย คนไทยเกือบ 70% พอใจมากถึงมากที่สุด แถมส่วนใหญ่ยังติดตามรายการคืนวันศุกร์ที่นายกฯจัด
.
เบื้องหลังคำพูดของท่านผู้นำที่ว่า กำลังจะ "หาคนมาเป็นพรรค" สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่เจ้าตัวจะประกาศวันในปี 2561 อาจจะมาจากโพลของรัฐนี้ ก็เป็นได้
.
แม้รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะยังไม่แถลงผลงานในโอกาสทำงานมา 3 ปี ซึ่งครบไปตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา (นับจากวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี) แต่ก็มีการประเมินผลงานกันเป็นการ 'ภายใน' โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัปดาห์ก่อน สำนักงานสถิติแห่งชาติได้รายงานผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในโอกาสรัฐบาลทำงานครบ 3 ปี จากกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุสิบแปดปีขึ้นไป จำนวน 5,800 คน ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 19 - 30 มิ.ย. 2560
.
ผลปรากฎว่า 68.3% ระบุว่า พอใจผลงานรัฐบาล มาก-มากที่สุด และให้คะแนนในภาพรวมเฉลี่ย 7.01 คะแนน โดยผลงานที่พึงพอใจสูงสุด ได้แก่ นโยบายทวงคืนผืนป่า การแก้ปัญหาผู้มีรายได้น้อย โครงการจัดสวัสดิการให้ประชาชน ฯลฯ
.
แต่ก็มีสิ่งที่อยากให้เร่งดำเนินการเพิ่มเติม ประกอบด้วย ควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้มีราคาแพง การแก้ปัญหายาเสพติด การแก้ปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ฯลฯ
.
ทั้งนี้ 79.8% ระบุว่า ติดตามรายการเดินหน้าประเทศไทย ที่ออกอากาศทุกวันช่วงหกโมงเย็น ไม่ว่าจะติดตามประจำหรือแค่บางครั้ง (มีแค่ 20.2% ที่ไม่ติดตามเลย) และ 79.3% ระบุว่า ติดตามรายการศาสตร์ของพระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่ พล.อ.ประยุทธ์จัดต่อเนื่องมา 3 ปีเศษ ออกอากาศทุกเย็นวันศุกร์ช่วงเวลาสองทุ่ม ไม่ว่าจะติดตามประจำหรือแค่บางครั้ง (มีแค่ 20.7% ที่ไม่ติดตามเลย)
.
อ่านรายละเอียดผลโพลนี้เพิ่มเติม (เป็นเอกสารสรุปสาระสำคัญเสนอต่อที่ประชุม ครม.) ได้ที่ https://cabinet.soc.go.th/doc_image/2560/993260055.pdf
.
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวกับคนไทยในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า ขณะนี้กำลังหาคนตั้งพรรคการเมืองให้สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป http://www.thaipost.net/?q=node/36458 ถือเป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวประกาศเช่นนี้ หลังจากเคยปฏิเสธว่าจะไม่ลงเลือกตั้ง แต่บ่ายเบี่ยงว่าจะกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งหรือไม่

เลือกตั้ง "อย่ามองข้าม" เรื่องสำคัญ

รู้จักกันแต่ "ฆ่าตัดตอน" โจรผู้ร้าย
เพราะอย่างนั้น.........
พอนายกฯ ประยุทธ์บอก "จะประกาศวันเลือกตั้งในปี ๒๕๖๑"
เลยทึกทักจับกระเดียดกันไปว่า ที่นายกฯ พูดหมายถึง
"ปีหน้า...คือปี ๒๕๖๑ มีเลือกตั้ง"
มัน "คนละเรื่องเดียวกัน" แท้ๆ เลย!
นั่นเพราะ รู้จักกันแต่ "ฆ่าตัดตอน" ทางอาชญากรรม ก็เลยนำความเข้าใจนั้นมา รวบรัด "ตัดตอน" ทางเลือกตั้ง!
เรื่อง "เลือกตั้ง" นั้น...........
ในหัวเลี้ยว-หัวต่อแผ่นดินของไทยตอนนี้ ถึงมีกรอบกำหนดว่าด้วยการเลือกตั้งไว้ก็จริง
แต่กว่าจะไปถึงขั้นตอน "กำหนดวันเลือกตั้ง" ได้
ยังต้องผ่านกรรมวิธีและกระบวนการ "ตามขั้นตอนกฎหมาย" อีกมากมายหลายอย่าง
ตรงนี้แหละ ต่อให้องค์รัฏฐาธิปัตย์ หรือประธาน สนช.ใครก็จะชี้เปรี้ยงลงไปว่า
วันนี้-ปีนี้-เดือนนี้ "เลือกตั้ง" นะ ในตอนนี้
ยัง "ทำไม่ได้"!
ทำได้เพียงอย่างที่นายกฯ "พูดกว้างๆ" ที่อเมริกา คือพูดตามขั้นตอน
เมื่อกฎหมายลูก อย่างน้อย ๔ ฉบับ ว่าด้วยการเลือกตั้งประกาศใช้ "วันไหน" แล้ว
นับจาก "วันนั้น" แหละ
กระบวนการเลือกตั้ง "เริ่มนับ ๑" ทันที ซึ่งจะบอกได้ว่า วันนั้น-วันนี้เลือกตั้ง!
แต่...เราทั้งหลายต้องไม่ลืม............
ประเทศไทยเรา อยู่ในช่วง "รอยต่อแผ่นดิน" ใช่ว่ามุ่งแต่จะเลือกตั้ง หวังอยากรู้-อยากเห็น-อยากได้ "รัฐบาลใหม่" กันอย่างเดียว ว่า
"ใครเป็นนายกฯ?"
ซึ่งกว่าจะถึงขั้นตอนนั้น รวมถึงขั้นตอนมี "รัฐบาลใหม่" เข้าบริหารประเทศ มันต้องใช้เวลาอีกยาวไกล
มันเป็น "ความยาวไกล" สัมพันธ์กับ "เรื่องสำคัญ" เฉพาะหน้าของบ้านเมืองเรา ที่ความสำคัญอื่นจะมาเหนือกว่าไม่ได้
เพราะอย่างนั้น...........
นายกฯ ประยุทธ์จึงพูดได้เพียง "กรอบกว้าง" ซึ่งผมมองว่า ไม่ใช่การเล่นลิ้น-ปลิ้นประเด็น เพื่อความยาว-ความสั้น ในการอยู่ทำหน้าที่รัฐบาล
ลองอ่านดู ที่นายกฯ บอกกับคนไทย ที่อเมริกา..............
".........พอประกาศวันเลือกตั้ง ไม่ว่าจะวันอะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องใช้เวลาอีก ๑๕๐ วัน
คืออีก ๓ เดือน ๕ เดือน เรื่องของพรรคการเมือง การลงบัญชี การส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง การหาเสียง
พอเสร็จแล้ว ได้ ส.ส.ก็ต้องตรวจสอบใบเหลือง-ใบแดง พอเสร็จก็เป็นเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาล ตั้งสภาฯ ทั้ง ส.ว.และ ส.ส.
ส่วนการตั้งรัฐบาล ต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๕-๖ เดือน ก็จะไปต้นปี ๒๐๑๘ ตามโรดแมปคือ ๒๐๑๘ กว่ากระบวนการจะเสร็จ
ใช่ว่า "เลือกตั้งวันนี้" แล้วรัฐบาลจะมาเลย......
มันไม่ใช่
เรียกว่าเป็นการเริ่มต้นกระบวนการเลือกตั้ง คือประกาศวันเลือกตั้ง มันมีกฎหมายอยู่ ทำเสร็จมา ๒๔๐ วัน
ต้องทูลเกล้าฯ ถวายอีก ๙๐ วัน...........
ลงมาแล้ว ประกาศใช้ มีผลเมื่อไหร่ ถึงจะมาทำต่อได้ทั้งหมด!
มีอีกตั้งหลายอย่าง รวมถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นอีก ที่กระทรวงมหาดไทยต้องดำเนินการ ฯลฯ"
นั่นคือ ต้นธันวา.นี้ จะครบ ๒๔๐ วัน "กฎหมายลูก" ต้องเสร็จ
ถึง สนช.แล้ว ในขั้นตอน สนช.ยังต้องใช้เวลาอีก ๖๐ วัน
เสร็จ ๖๐ วัน จาก สนช.........
ยังต้องนำกฎหมายแต่ละฉบับนั้น ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องหรือคณะกรรมาธิการดูอีก
ถ้ามีประเด็นเห็นแย้ง "ในแต่ละฉบับ" ยังต้องตั้งกรรมาธิการ ๓ ฝ่าย ถกกันให้ลงตัวอีก
ถ้าเห็นตรงไหนแก้ไขไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ต้องแจ้งกลับไปให้ สนช.ตั้งกรรมาธิการร่วมขึ้นมาพิจารณาอีก
ถ้าที่ประชุม สนช.ด้วยเสียงเกิน ๒ ใน ๓ "ไม่เห็นชอบ" กับที่ กรธ.แก้ไขในกฎหมายลูกฉบับไหน
กฎหมายลูกฉบับนั้น ก็ต้อง "ตกไป"!
เนี่ย...มันมีทั้งความเป็นไปได้และไม่เป็นไปได้ ถ้ากฎหมายลูกฉบับไหนเกี่ยวกับการเลือกตั้งตกไป
ก็ต้องย้อนกลับไปนับ ๑ กันใหม่ในฉบับนั้น ตั้งแต่ขั้นตอนร่างฯ ของอาจารย์มีชัยเลยทีเดียว
ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยตามเทอมเวลา นายกฯ นำร่างกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีก ๙๐ วัน
เมื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว
จากวันนั้นแหละ นับไปเลย.......
วันใด-วันหนึ่ง ภายใน ๑๕๐ วัน ต้องเลือกตั้ง!
พิจารณากันดีๆ พิจารณาตามภาวะกาลประเทศเรา จะเห็นว่า............
เมื่อเสร็จงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" ระหว่าง ๒๕-๒๙ ตุลา.๖๐ นี้แล้ว
ใน "รอยต่อแผ่นดิน"
นับจากที่ "นายพรเพชร วิชิตชลชัย" ประธาน สนช. กราบบังคมทูลเชิญ
"สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร" องค์พระรัชทายาท
เสด็จขึ้นทรงราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ ตามกฎมณเฑียรบาล
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระปรมาภิไธยว่า "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร" นั้น
เมื่องานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ" เสร็จสิ้นแล้ว
ก็ถึงวาระแห่งการ..........
"พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก" สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร" ขึ้นเป็น
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร" ในรัชกาลที่ ๑๐
นี่.....เป็นวาระสำคัญมาก
ที่ "รัฐบาลไทย" ต้องจัด "พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก"
จึงมองว่า รัฐบาล-ประชาชน ต้องจัด "พระราชพิธี" นี้ ให้เสร็จสิ้นไปก่อน
จากนั้น จะเลือกตั้งกันวันไหน-เมื่อไหร่ ค่อยว่ากัน!
เพราะถ้ายึดการเลือกตั้งเป็นเกณฑ์ ใน "ภาวะกาล" เช่นนี้ จะเป็นอย่างที่นายกฯ พูด
เมื่อประกาศวันเลือกตั้ง ประเทศจะมีเพียง "รัฐบาลรักษาการณ์" และเมื่อเลือกตั้งแล้ว...........
"ไม่แน่" จะตั้งรัฐบาลสมบูรณ์ได้เมื่อไหร่?
นั่นคือ จะนำเอา "พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก" ไปผูกติดไว้กับ "ความไม่แน่นอน" ในการมีรัฐบาล ซึ่งจะต้องจัดให้มี "พระราชพิธี" ที่แน่นอนอย่างนั้นได้อย่างไร?
จะด้วยเหตุนี้หรือไม่ ผมเพียงตรองตรึกด้วยสำนึกไทยเท่านั้น ส่วนคนอื่น เช่น นายกฯ จะคิดเห็นอย่างนั้นด้วยหรือไม่ ผมไม่ทราบ
ทราบตามที่ท่าน "ตอบคนไทย" ในสหรัฐฯ เมื่อวาน ที่บอกให้นายกฯ อยู่นานๆ ซึ่งท่านตอบว่า
"หลายคนบอกว่า ผมร้องเพลง "คืนความสุข" เมื่อไหร่จะคืนความสุขเสียที
ขอบคุณและขอให้คอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นนะ แต่ตอนนี้ผมพูดไม่ได้"
เอาเหอะ..........
ยังไงๆ ก็ต้อง "เลือกตั้ง" เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
เพียงแต่ต้องจัดลำดับความสำคัญก่อน-หลัง ให้ต้องตามกฎมณเฑียรบาลและราชประเพณีเป็นหลักใหญ่เท่านั้น.
เปลว สีเงิน 6/10/60

เสียงสะท้อนพระสังฆาธิการ-นักวิชาการ ปมคำสั่ง ‘มหาเถร’ จัดระเบียบสงฆ์-พุทธพาณิชย์

เสียงสะท้อนพระสังฆาธิการ-นักวิชาการ ปมคำสั่ง ‘มหาเถร’ จัดระเบียบสงฆ์-พุทธพาณิชย์


หมายเหตุ – ความเห็นพระสังฆาธิการและนักวิชาการ กรณีมหาเถรสมาคม (มส.) มีคำสั่งเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ที่ 1/2560ลงวันที่ 28 กันยายน ให้พระสังฆาธิการตรวจสอบพฤติกรรมและลงโทษพระภิกษุสามเณรในปกครอง ทั้งในเรื่องวัตรปฏิบัติและการจำกัดพื้นที่จำหน่ายวัตถุมงคลต่างๆ


พระเทพวินยากรณ์

พระเทพวินยากรณ์

เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช
รองเจ้าคณะภาค 16-17-18 (ธรรมยุต)
อาตมายังไม่เห็นจดหมายฉบับดังกล่าว แต่เมื่อ มส.ออกมาแบบนั้น เท่ากับเป็นการขีดกรอบให้พระสงฆ์พึงระมัดระวังการปฏิบัติตามกิจของสงฆ์ที่พึงกระทำ ความจริงกฎหมายมีอยู่แล้ว แต่ไม่ปฏิบัติ ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้น แต่เป็นเพียงส่วนน้อย ถามว่าอึดอัดใจหรือไม่กับเรื่องนี้ คงไม่ลำบากอะไร หากสงฆ์ปฏิบัติตามกฎก็อยู่กันตามปกติ
กรณีห้ามขายวัตถุมงคลในวัด จะทำให้ทางวัดขาดรายได้เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายภายในวัดหรือไม่นั้น ความจริงไม่ได้ห้ามขาย แต่ห้ามจำหน่ายภายในอุโบสถ แต่ภายนอกยังจำหน่ายได้ ควรทำแต่พองาม อย่ามากเกิน พุทธพาณิชย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้มีมากเกินไป อ้างสรรพคุณมากมาย โฆษณาเกินจริง ความจริงแล้ว มส.ไม่ได้ห้ามสร้าง แต่ห้ามโฆษณา ถามว่าจะกระทบต่อวัดเรื่องการจำหน่ายหรือไม่ ก็กระทบบ้าง เพราะพระไม่มีรายได้อะไร แต่ในวัดมีค่าใช้จ่าย ต้องพึ่งพาตนเองบ้างจากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธา แต่โดยภาพรวมแล้วเห็นว่าดีมากกว่าเสีย ถือเป็นทางออกที่ดีสำหรับสงฆ์ด้วย


พระราชโพธิวรคุณ

พระราชโพธิวรคุณ

เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสะเก็ด พระอารามหลวง จ.เชียงใหม่
เจ้าคณะอำเภอดอยสะเก็ด
เห็นด้วยกับคำสั่งเจ้าคณะปกครองสงฆ์ ยินดีสนองแนวทางดังกล่าว โดยเฉพาะไม่จำหน่ายวัตถุมงคลภายในโบสถ์และพระวิหาร ไม่ขึ้นป้ายทำพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล แต่มีข้อควรคิดว่าวัตถุมงคลบางอย่างควรห้าม เพราะไม่เหมาะสมกับชาวพุทธ เช่น พระพุทธรูปไปแปลงเป็นพระพุทธนวโกฏ มีเศียร 9 เศียร ทำให้ผิดไปจากพุทธลักษณะ บางรายไปทำกุมารทอง เงาะ ชูชก ผ้ายันต์ หรือเครื่องรางของขลัง ไม่อยากให้มอมเมาประชาชนเกินไป
ส่วนการสร้างพระพุทธรูปประดิษฐ์สถาน หรือพระเครื่อง ไม่ควรห้าม เพราะพระเป็นที่พึ่งของพุทธศาสนิกชนด้านจิตใจ แต่ควรอยู่ในความเหมาะสม อย่าเกินเลยไป สร้างพอดีๆ สร้างขึ้นมาเพื่อเจริญพุทธมนต์ ไม่ต้องทำพิธีปลุกเสกอะไร เพียงอัญเชิญพุทธคุณสถิตในพระพุทธรูป หรือพระเครื่องเหล่านั้น เพื่อมอบเป็นของสมนาคุณและพุทธานุสติ อาตมาคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร ส่วนการห้ามจำหน่ายวัตถุมงคลภายในโบสถ์ พระวิหาร ถือเป็นเรื่องถูกต้อง เพราะเป็นสถานที่สักการะ กราบไหว้บูชา ปฏิบัติธรรม และเผยแผ่คำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่สถานที่มอมเมาพุทธศาสนิกชน
อยากให้เข้าถึงพุทธธรรม ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป แต่เป็นการพัฒนาใหม่ อาทิ หลักสูตรคำสอน ปัจจุบันเน้นสอนบาลีอย่างเดียว ควรประยุกต์คำสอนปัจจุบัน โดยเฉพาะภาษาอังกฤษให้พระสงฆ์ สามเณรเรียนบาลีควบคู่ภาษาอังกฤษ ให้มีความรู้ทั้งทางโลก ทางธรรม และเห็นด้วยกับคำสั่งให้กวดขันพระภิกษุ สามเณร อยากให้พระสงฆ์ สามเณร มีสมาร์ทการ์ด อยากให้เลิกใช้ใบสุทธิ เพราะมีการปลอมแปลงขายกัน แม้แต่ตราเจ้าคณะอำเภอยังปลอมได้
อย่างไรก็ตาม กรณีการร่างกฎหมายควบคุมพระ ห้ามจับเงินทอง ไม่เห็นด้วย เพราะวัดมีค่าใช้จ่าย พัฒนาวัด ค่าคนงาน สร้างศาสนสถาน เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม หากมอบให้คณะกรรมการวัดดูแล บางครั้งก็ไม่ซื่อสัตย์ จึงไม่เห็นด้วยกับการให้คณะกรรมการหรือญาติโยมมาคุมวัด อยากให้พระสงฆ์บริหารจัดการกันเอง จัดระบบบริหารให้ดี โปร่งใส ตรวจสอบได้ ให้เป็นมาตรฐานทุกวัด และควรให้พระถือปัจจัยพอประมาณ ไม่อยากให้ใช้กฎหมายบังคับแบบสุดโต่งหรือหย่อนยานเกินไป ควรใช้กฎหมายแบบทางสายกลาง
รายได้ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่มอบแก่วัด ส่วนใหญ่เป็นค่าประจำตำแหน่ง ค่าน้ำ ค่าไฟ ตามระเบียบกฎหมายกำหนด ที่เหลือทางวัดต้องหารายได้เอง หากไม่ให้สร้าง และจำหน่ายวัตถุมงคล อาจมีผลกระทบต่อการบริหารจัดการและพัฒนาวัดได้ โดยเฉพาะวัดเล็กหรือวัดที่อยู่ห่างไกล ส่วนวัดหลวงหรือวัดขนาดใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะมีพุทธศาสนิกชนมาทำบุญ บริจาค ค่อนข้างมากอยู่แล้ว
โดยภาพรวมอำเภอดอยสะเก็ด วัดส่วนใหญ่ไม่ได้สร้างวัตถุมงคล หรือเครื่องรางของขลังมากนัก ซึ่งได้ประชุมพระสังฆาธิการ และเจ้าอาวาสทุกวัดแล้ว ให้ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าคณะปกครองสงฆ์ ทำอะไรให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม อย่าทำอะไรตามใจตัวเองเกินไปนัก
เหตุว่า หนึ่ง มีกฎหมายควบคุม หรือตีกรอบพระสงฆ์อยู่ สอง อยู่ในกรอบของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ สาม อยู่ในกรอบพระธรรมวินัย สี่ อยู่ในกรอบของสายตาประชาชน ดังนั้นต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสม เป็นพระสงฆ์ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเป็นพระดี มีคนเคารพ กราบไหว้ ถ้าเป็นพระไม่ดี ย่อมถูกโจมตีเช่นกัน อยากให้ช่วยกันสร้างภาพลักษณ์พระที่ดี เป็นพระนักปฏิบัติ หรือพระนักพัฒนา เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนตลอดกาล



พระราชสิทธิเมธี

พระราชสิทธิเมธี

เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร
กรณี มส.มีหนังสือถึงวัดแต่ละพื้นที่ งดพุทธพาณิชย์ ห้ามจำหน่ายพระเครื่อง ห้ามขึ้นป้ายโฆษณาพระเครื่อง คงต้องรอหนังสือจากพระผู้ใหญ่อย่างเป็นทางการเพื่องดการปุกเสกพระเครื่อง เรื่องนี้อาตมาเห็นด้วย และมีกฎมานานแล้วแต่ไม่บังคับใช้จริงจัง อีกทั้งควรทำมานานแล้ว การออกกฎมาแบบนี้เป็นเรื่องดี เพราะเป็นการเตือนสติพระที่อยู่นอกรีตที่ชอบอวดอุตริ นอกจากนี้ ยังเป็นการห้ามบุคคลที่ชอบหากินกับวัดกับพระ มีการจำหน่ายวัตถุมงคลเต็มไปหมด อย่างไรก็ตาม มส.ไม่ได้ห้ามว่าจำหน่ายวัตถุมงคล ไม่เช่นนั้นจะนำเงินตรงไหนมาพัฒนาวัด เพียงแต่ห้ามจำหน่ายในโบสถ์ ในวัด ขณะนี้ได้แจ้งไปยังทุกวัดกว่า 500 แห่ง ในจังหวัดพิจิตร ห้ามจำหน่ายวัตถุมงคลในอุโบสถ์แล้ว
พร้อมขอความร่วมมือเอาป้ายลงหรือห้ามโฆษณา ซึ่งทุกวัดขานรับพร้อมให้ความร่วมมือ


พระครูปภัสสรวรพินิจ (หลวงพ่อไพโรจน์)

พระครูปภัสสรวรพินิจ (หลวงพ่อไพโรจน์)

เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
ขณะนี้วัดห้วยมงคล ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ปกครองคณะสงฆ์อย่างเคร่งครัด และไม่มีผลกระทบกับการเช่าวัตถุมงคลเหรียญหลวงปู่ทวด เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาได้รับความนิยมจากลูกศิษย์ทั่วประเทศ ทำให้ที่ผ่านมาวัดมีรายได้มากกว่า 100 ล้านบาท
จากนั้นนำไปมอบให้โรงพยาบาลหัวหินเพื่อจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ และมอบให้องค์กรสาธารณกุศล การแจกวัตถุมงคลเนื่องในโอกาสสำคัญ รวมทั้งใช้งบประมาณในการพัฒนาวัดให้เป็นศูนย์รวมทางจิตใจของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในพื้นที่ อ.หัวหิน


ทวัฒน์ชัย แสนประสิทธิ์

ทวัฒน์ชัย แสนประสิทธิ์

กำนันตำบลกุดพิมาน
กรรมการวัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา
เดิมวัดบ้านไร่ให้เช่าบูชาวัตถุมงคลหลวงพ่อคูณที่ใต้อุโบสถ เมื่อมีคำสั่ง มส.ก็ได้ปฏิบัติตามและนำวัตถุมงคลไปจัดไว้ในสถานที่ที่เหมาะสม ขณะนี้วัตถุมงคลของวัดบ้านไร่เหลือไม่มาก หลังจากหลวงพ่อคูณละสังขารไป วัดก็ไม่ได้จัดสร้างวัตถุมงคลอีกเลย
ผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าวต้องมีบ้าง ทางวัดต้องปรับลดค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะค่าไฟฟ้าเดือนละเป็นแสนบาท เพราะรายได้ส่วนใหญ่มาจากแรงศรัทธาของประชาชน คำสั่งให้ยกเลิกในเรื่องต่างๆ นั้น วัดบ้านไร่ยังไม่ทราบว่าจะให้ยกเลิกตลอดไปหรือไม่ คงต้องรอคำสั่งที่ชัดเจนจากทางคณะสงฆ์ แต่ไม่ว่าคำสั่งจะออกมาเช่นไร วัดบ้านไร่พร้อมปฏิบัติตาม


อดิศร เนาวนนท์

อดิศร เนาวนนท์

คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
ข้อห้ามทั้งหมดน่าจะมาจาก 5 สาเหตุ คือ กรณีพระรูปหนึ่งที่ใช้ โซเชียลโจมตีศาสนาอื่น กรณีพระตุ๊ดพระแต๋วใช้โซเชียลในทางไม่เหมาะสมกับสมณเพศ พระที่ออกมาวิจารณ์การเมือง พระที่ประพฤติผิดเพศบรรพชิต เช่น ขายยาบ้าและเสพยาเสพติด และสุดท้ายคือ เรื่องพระและวัด เป็นพุทธพาณิชย์ โดยจุดแตกหักที่ทำให้ออกข้อห้ามเหล่านี้มา คือกรณีของรูปหนึ่งที่ถูกให้ลาสิกขา และเรื่องของพระพุทธพาณิชย์ ทั้งนี้ มหาเถรและรัฐบาล ต้องพิจารณาว่าการสั่งห้ามดังกล่าวจะแก้ปัญหาได้หรือไม่ โดยเฉพาะการห้ามเล่นโซเชียล ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไปมาก จะออกข้อห้ามเหมือนสมัยพุทธกาลคงเป็นไปได้ยาก เพราะพระจำนวนมากใช้โซเชียลในการสอนธรรมะ ซึ่งยุคนี้เข้าถึงประชาชนมากที่สุด และพระบางแห่งบางพื้นที่มีความจำเป็นต้องขับรถเอง เป็นต้น มหาเถรควรคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกจะไปออกข้อห้ามทั้งหมดโดยไม่คำนึงบริบทอื่นๆ คงสำเร็จยาก
ทุกวันนี้เกือบทุกวัดมีการติดป้ายโฆษณาบอกบุญญาติโยม เช่น สร้างโบสถ์ ฝังลูกนิมิต สร้างพระพุทธรูป สร้างวัตถุมงคล กฐิน ผ้า หรืองานอื่นๆ มากมาย การไม่ห้ามวัดเรี่ยไรหรือเชิญชวนทำบุญ ห้ามมีป้ายโฆษณาจะทำได้หรือ มหาเถรจะไปตระเวนปลดป้ายวัดลงอย่างนั้นหรือ เมื่อห้ามแล้วจะติดตามตรวจสอบอย่างไร การออกข้อบังคับมาดูเหมือนดีแต่ในทางปฏิบัติทำได้ยาก มหาเถรและรัฐบาลควรพิจารณาปัญหาเรื่องของพระเป็นเรื่องๆ ไป สำคัญควรให้ความรู้แก่พระสงฆ์จะเป็นเรื่องที่เหมาะสมกว่า

กลยุทธ์ เบนเป้า ประยุทธ์ จันทร์โอชา กรณี “เลือกตั้ง”

กลยุทธ์ เบนเป้า ประยุทธ์ จันทร์โอชา กรณี “เลือกตั้ง”



พลันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.และหัวหน้ารัฐบาล ยืนยันต่อ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งในปี 2561

ก็เท่ากับเป็นการให้ “คำมั่น”

เหมือนกับที่เคยให้คำมั่นต่อนายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ที่กรุงโตเกียว เหมือนกับที่เคยให้คำมั่นต่อผู้นำโลกในที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติ กรุงนิวยอร์ก

จึงเรียกกันว่า “ปฏิญญา โตเกียว” จึงเรียกกันว่า “ปฏิญญา นิวยอร์ก”

และสภาพการณ์อันเกิดขึ้น ณ กรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม จึงน่าจะสรุปและเรียกได้ว่า นี่คือ
“ปฏิญญา ทำเนียบขาว”

ทั้งๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เคยกล่าวเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง เหตุใดจึงให้น้ำหนักกับ
สถานการณ์อันเป็นที่มาแห่ง “ปฏิญญา ทำเนียบขาว” ค่อนข้างสูง

ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจ

ความเข้าใจที่สำคัญเป็นอย่างมากก็คือ คำประกาศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อหน้า ประธานาธิบดี

โดนัลด์ ทรัมป์ เกิดขึ้นอย่างสุกงอม

“ประธานาธิบดีสหรัฐไม่ได้ถาม แต่ผมได้แสดงความเชื่อมั่นออกไป”

เหตุผลพื้นฐาน 1 คือ “เพราะไม่ได้ปกปิดใคร” เหตุผลพื้นฐาน 1 คือ “เพราะไม่ได้บิดเบือนอย่างที่หลายคนกล่าวอ้าง”

ความหมายก็คือ เป็นการพูดตาม “รัฐธรรมนูญ”

ความจริง เนื้อหาการพูดในลักษณะเช่นนี้มิได้มีแต่เพียงจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น หาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็เคยพูด

นายวิษณุ เครืองาม ก็เคยพูด นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ก็เคยพูด

แต่ที่หนักแน่น จริงจัง ย่อมสัมผัสได้จากการพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ณ ทำเนียบขาว โดยมีประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประจักษ์พยาน

นี่คือ คำมั่นสัญญา เป็น “สัญญาประชาคม”

คําประกาศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อหน้าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มีผลในทางกดดันอย่างน้อยก็ 2 คณะโดยปริยาย

1 เป็นคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำ “กฎหมายลูก”

1 เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งแบกรับหน้าที่ในการพิจารณาร่างกฎหมายลูกอย่างน้อย 4 ฉบับต่อจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ

จะเสร็จหรือไม่เสร็จขึ้นอยู่กับ 2 คณะนี้

ที่บอกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยภายในเดือนธันวาคม 2560 ที่บอกว่าการเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นในห้วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2561

ก็มาจาก “ผลงาน” และความสำเร็จของ 2 คณะนี้

หากมองจากสภาพความเป็นจริงที่ไม่ว่าคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ล้วนเป็น 1 ใน “แม่น้ำ 5 สาย”

นั่นก็คือ ได้รับแต่งตั้งมาจากคสช. เป็นคณะที่ คสช.ต้องการให้ทำงานตามเป้าหมายที่กำหนดไว้จากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา

เพราะทุกคนล้วน “นั่งอยู่ในเรือแป๊ะ” ทั้งสิ้น

จากนี้แสงแห่งสปอตไลต์จึงย้ายออกจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ย้ายออกจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปยังอีก 2 คน

1 คือ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ 1 คือ นายพรเพชร วิชิตชลชัย

เป็นแสงแห่งสปอตไลต์จากพรรคการเมืองที่ต้องการเลือกตั้ง เป็นแสงแห่งสปอตไลต์จากพลเมืองที่ต้องการเลือกตั้ง

เปิดรับสมัครกกต.ชุดใหม่ 19 ต.ค.-10 พ.ย.นี้

เปิดรับสมัครกกต.ชุดใหม่ 19 ต.ค.-10 พ.ย.นี้



แฟ้มภาพ
กก.สรรหาเปิดรับสมัครกกต.ชุดใหม่ 19 ต.ค.-10 พ.ย.นี้

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการการการเลือกตั้ง (กกต.)ครั้งแรก เพื่อดำเนินการสรรหาบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกกต. ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งพ.ศ.2560 โดยมีนายชีพ จุลมนตร์ ประธานศาลฏีกา เป็นประธานกรรมการ และกรรมการประกอบด้วย นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. นายปิยะ ปะตังทา ประธานศาลปกครองสูงสุด นายเจริญศักดิ์ โรจนฤทธิ์พิเชษฐ์ บุคคลซึ่งศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้ง นายไพโรจน์ กัมพูสิริ บุคคลซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินแต่งตั้ง นายประเสริฐ โกศัลวิตร บุคคลซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติแต่งตั้ง ซึ่งที่ประชุมได้กำหนดกรอบและแนวทางในการสรรหา โดยเบื้องต้นกำหนดให้เปิดรับสมัครบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกกต.ระหว่างวันที่ 19 ตุลาคม ถึง10 พฤศจิกายน 60 ทั้งนี้กรรมการสรรหาจะนัดประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 18 ตุลาคม เพื่อพิจารณาร่างประกาศและระเบียบต่าง ๆก่อนเริ่มดำเนินการสรรหากกต. อย่างไรก็ตามคาดว่าจะสรรหากกต.ชุดใหม่แล้วเสร็จภายใน 90 วันตามที่กฎหมายพ.ร.บ.กกต.กำหนด หรือภายในวันที่ 12 ธันวาคม 60

100 บาทก็ยังดี

100 บาทก็ยังดี

หงส์รู้มังกรรู้ว่ารัฐบาลนายกฯบิ๊กตู่จ่ายแหลกแจกสะบัดอัดฉีดสะบึมส์ ยิ่งกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา
ใช้เงินมือเติบจนงบประมาณแผ่นดินขาดดุลติดลบตัวแดงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์

ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาฉบับใหม่กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 9 เปอร์เซ็นต์ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา

จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่ารัฐบาลฉวยจังหวะชุลมุนแอบขึ้นภาษีแวตจาก 7 เปอร์เซ็นต์ เป็น 9 เปอร์เซ็นต์ เพื่อแก้อาการช้ำรั่วทางการคลัง

สร้างความตื่นตระหนกตกใจกันใหญ่โต

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า รัฐบาลนายกฯลุงตู่ไม่ได้แอบขึ้นภาษีแวตจาก 7 เปอร์เซ็นต์ เป็น 9 เปอร์เซ็นต์อย่างที่ลือกันแซ่ดทั่วบ้านทั่วเมือง

พระราชกฤษฎีกาฉบับใหม่ที่ระบุอัตราภาษีแวต 9 เปอร์เซ็นต์เป็นเพดานภาษีที่กำหนดไว้เท่านั้นเอง
แต่อัตราภาษีแวตที่จัดเก็บจริงยัง 7 เปอร์เซ็นต์เท่าเดิม

เพราะพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ยังลำบากยากจนขืนบุ่มบ่ามขึ้นภาษีแวตพรวดเดียว 2 เปอร์เซ็นต์จะยิ่งซ้ำเติมประชาชนให้เดือดร้อนหนักกว่าเดิม

รัฐบาลก็โดนด่าเปิงแน่นอน

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าการขึ้นภาษีแวตอีก 1 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้รัฐบาลมีเงินไหลเข้ากระเป๋าอีกหนึ่งแสนล้านบาททันที

ถ้าขึ้นแวต 2 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลจะได้เงินหวานคอแร้งอีกสองแสนล้านบาทสบายๆ

แต่ในเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่เอื้ออำนวย การคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 เปอร์เซ็นต์อีก 1 ปี จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย

อย่างไรก็ดี เมื่อยังขึ้นภาษีแวตไม่ได้ แต่รายจ่ายรัฐบาลยังเพิ่มเป็นดินพอกหางหมูโตขึ้นๆทุกปีๆ

รัฐบาลจึงต้องใช้วิธีขึ้นภาษีบาปแก้ขัดหนักขัดเบา

คือรีดภาษีเพิ่มจากเหล้าเบียร์บุหรี่ไปพลางๆ

ล่าสุด รัฐบาลจัดเก็บรายได้จากภาษีเหล้าเบียร์บุหรี่ได้สูงถึง 2.1 แสนล้านบาทต่อปี

แยกเป็นรายได้จากภาษีเบียร์ 8.6 หมื่นล้านบาท ภาษีสุรา 6.2 หมื่นล้านบาท และภาษีบุหรี่ 6.5 หมื่นล้านบาท โดยประมาณ

เดือนก่อนรัฐบาลเพิ่งปรับเพิ่มภาษีเหล้าเบียร์บุหรี่ชุดใหญ่ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มอีกก้อนโต

“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่ารัฐบาลมีแผนยุทธศาสตร์จะนำเงินที่ได้จากการขึ้นภาษีบาปส่วนหนึ่งไปหว่านโปรยเพื่อเรียกคะแนนนิยมเพิ่มเติม

โดยจะแบ่งรายได้จากภาษีบาป 4 เปอร์เซ็นต์ ไปเพิ่มเบี้ยยังชีพให้คนชราที่ฐานะยากจน คนละ 100 บาทต่อเดือน

อัดฉีดเฉพาะผู้สูงอายุ 2.15 ล้านคน ที่ไปลงทะเบียนคนจนกับรัฐบาลจะได้รับอัดฉีดเพิ่มเดือนละ 100 บาท เท่ากัน

ท่านที่อายุ 60 ปีถึง 69 ปี ซึ่งรับเบี้ยยังชีพคนชราเดือนละ 600 บาทจะได้เพิ่มเป็นเดือนละ 700 บาท

ท่านที่อายุ 70 ปีถึง 79 ปี ซึ่งเคยรับเดือนละ 700 บาท จะได้เพิ่มเป็นเดือนละ 800 บาท

ท่านที่อายุ 80 ปีถึง 89 ปี ซึ่งได้รับเดือนละ 800 บาท จะได้เพิ่มเป็นเดือนละ 900 บาท

และท่านที่อายุ 90 ปีขึ้นไป ที่เคยรับเบี้ยยังชีพคนชราเดือนละ 1,000 บาท จะได้อัดฉีดเพิ่มเป็นเดือนละ 1,100 บาททั่วหน้ากัน

“แม่ลูกจันทร์” ถือว่าเป็นข่าวดีของพี่น้องคนชราที่มีฐานะยากจน

ถึงจะได้เพิ่มแค่เดือนละ 100 บาท หรือปีละ 1,200 บาท ก็ดีกว่า อยู่เปล่าๆนะโยม.

"แม่ลูกจันทร์"

เปิดเวทีเล็กลากเกม?

เปิดเวทีเล็กลากเกม?

ส่อ “แป้ก” สูง

จะปล่อยของขู่ หรือเอาจริง แต่ข่าวลอยลมที่ว่า “อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่มี “ทักษิณ ชินวัตร” พี่ชายเป็นแบ็กอัพ นอกจากเดินเกมขอสถานะ “ลี้ภัย” อาจเลยไปไกลถึงการจัดตั้ง “รัฐบาลพลัดถิ่น”

รายงานข่าวที่น่าจะปล่อยออกมาสวนทางสถานการณ์จริง

เพราะคิวร้อน ตั้งรัฐบาลซ้อนจะต้องลงล็อกเข้าเงื่อนไขอีกหลายประเด็น โดยเฉพาะหากรัฐบาลภายในประเทศไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ การเดินแผนนี้จะต้องมีประเทศบิ๊กๆหนุนหลัง

กับสถานการณ์ “อำนาจพิเศษ” ที่มี “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ประคองสถานการณ์ และเริ่มเห็นทิศทางไปในทางที่ดี หลังไปเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา

ผู้นำมหาอำนาจเพิ่งเล่นบทหวานใส่ผู้นำไทย กระเตงเข้าเอวกันหมาดๆ

ช่วยฟื้นเครดิต “ผู้นำนอกระบบ” จากไทยแลนด์ได้บาน

แผน “โลกล้อมประเทศ” สถาปนาอำนาจนอกราชอาณาจักร ถ้าจะเอาจริงจังตามกระแสข่าว นอกจากประเมินน้ำหนักเทียบกับสถานะอำนาจพิเศษฝ่ายท็อปบูตที่กระเตื้องขึ้นตามลำดับ

และที่สำคัญ กับสถานการณ์บ้านเมืองในห้วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ

“ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ลุยถั่ว ก็คง “หน้ามืดแปดด้าน” เต็มทีแล้ว

แล้วเอาเข้าจริง กระแสข่าวที่อ้างมาจากบทวิเคราะห์อ้างอิงแหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย ก็ถูกคนในเครือข่ายนายใหญ่ปฏิเสธไปแล้วว่าเป็นข่าวเท็จ

แต่อีกทางหนึ่งก็ยังมีเสียงคนการเมืองกระตุกรัฐบาล คสช.เร่งโรดแม็ปคืนอำนาจ

มัดคอ “บิ๊กตู่” ให้ประกาศดีเดย์เลือกตั้ง

หลังจากที่ผู้นำอำนาจพิเศษจากไทยแลนด์ ไปยืนยันกำหนดการคืนอำนาจที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

แต่กลายเป็นรายการตีขลุม ล็อกโปรแกรมผู้นำ สัญญาเลือกตั้งปี 2561

กระทั่งล่าสุด “บิ๊กตู่” ต้องเอ่ยปากย้ำกับคนไทยที่พำนักอาศัยอยู่กรุงวอชิงตัน และที่เดินทางมาจากเมืองอื่นๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนเดินทางกลับ ชนิดที่เคลียร์โรดแม็ปประชาธิปไตยให้ชัดอีกรอบ

“ปีหน้าได้ประกาศเลือกตั้งแน่นอน”

แจงรายละเอียดโปรแกรมคืนอำนาจ ตามรัฐธรรมนูญกำหนด ด้วยเงื่อนไขกรณีกฎหมายลูกเสร็จ ต้องมีกระบวนการทูลเกล้าฯถวาย 90 วัน จากนั้นใช้เวลาอีก 5 เดือน เตรียมการ
เลือกตั้ง ก็ประมาณเดือน พ.ย.2561

สอดคล้องกับคิวที่ กรธ.-สนช. แจงปฏิทินคลอดกฎหมายลูก สะเด็ดน้ำปลายปี 2561

เช่นเดียวกับที่ถูกจับจ้อง “บิ๊กตู่” ตอบคำถามเรื่องลงเลือกตั้งแบบทีเล่นทีจริง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ รวมทั้งขมวดปมตอบคำถาม จะอยู่ในตำแหน่งผู้นำช็อตต่อไปหรือไม่ อยู่ที่ประชาชนยังยอมรับหรือเปล่า

“ถ้าภาคประชาชนอยากให้ผมเข้าไป มันมีอย่างเดียว กฎหมายมันก็มีอยู่ ถ้าถามว่าอยากได้หรือสืบทอดอำนาจหรือไม่ ไม่อยากเลย”

ออกลูกอิดออด แต่ “แง้มช่อง” ให้กองเชียร์หนุน “อยู่ต่อ” กันเสร็จสรรพ

ตามรูปเกม อ่านสัญญาณแล้วอะไรๆน่าจะเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าก็มีประเด็นที่อาจประเมินกันได้ คิวเลือกตั้งอาจมาไม่ไวอย่างที่คิด นอกจากเงื่อนไขตัวแปรพิเศษในห้วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ

ยังน่าจะต้องอ่านทางจากปม “แฝง” ในโปรแกรมหลัก ที่ “บิ๊กตู่” พูดกับคนไทยในสหรัฐอเมริกา

แพลมไต๋ น่าจะจัดคิวเช็กระบบ “เลือกตั้งท้องถิ่น” นำร่อง

“ยังมีการเลือกตั้งท้องถิ่นอีก ที่กระทรวงมหาดไทยต้องดำเนินการ ที่เราหยุดไว้ เพราะถ้าเลือกตั้งตอนนี้เละไปอีก แต่ก็อยากให้ลองเลือกตั้งดู จะได้ดูว่าออกมาอย่างไร”

ไม่แน่ใจว่าจะเดินเข้าสูตร ขยับโปรแกรมใหญ่อีกหรือเปล่า.


ทีมข่าวการเมือง

(3ต.ค.60)“พ.อ.สมคิด”อดีต ส.ส.-สว.อุดรฯถึงแก่กรรม อายุ 100 ปี

“พ.อ.สมคิด”อดีต ส.ส.-สว.อุดรฯถึงแก่กรรม อายุ 100 ปี

ข่าวทั่วไป  :  3 ต.ค. 2560
พอสมคิด ศรีสังคม, คมชัดลึก, สส, อุดรธานี, พอสมคิด, อายุ, ศรีสังคม, อดีต, เดือน

“พ.อ.สมคิด ศรีสังคม” อดีต ส.ส.-สว.อุดรธานี และอดีตหัวหน้าพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย 

ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา อายุ 100 ปี 2 เดือน


          3 ตุลาคม 2560  เมื่อเวลา 04.58 น. ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี พ.อ.สมคิด ศรีสังคม อดีต สส. , 
อดีต สว.อุดรธานี และอดีตประธานโครงการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ได้ถึงแก่กรรมลงด้วย
อาการสงบ หลังจากป่วยด้วยโรคชรา สิริอายุ 100 ปี 2 เดือน ก่อนหน้านี้พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ซอยท่าน
ผู้หญิงพหลฯ ถ.งามวงศ์วาน เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เบื้องต้นจะตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่วัดในกรุงเทพ
มหานคร (รอคำยืนยันจากวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน) ก่อนเคลื่อนศพมาเก็บไว้ที่ อ.สร้างคอม จ.อุดร
ธานี เพื่อประกอบพิธีในเดือนธันวาคมนี้

“พ.อ.สมคิด”อดีต ส.ส.-สว.อุดรฯถึงแก่กรรม อายุ 100 ปี

ภาพ : ครอบครัว ศรีสังคม

          พ.อ.สมคิด ศรีสังคม เกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2460(ตามทะเบียนราษฎร์) ที่ ต.สร้างคอม อ.สร้าง
คอม จ.อุดรธานี บุตรของนายนั่น นางคำมี ศรีสังคม เป็นน้องคนสุดท้างจากพี่น้อง 8 คน ในครอบครัวชาว
นา และสมรสกับนางฟรานเซสกา ศรีสังคม มีบุตรชาย 1 คน (นายศักดา ศรีสังคม 081-7001078 บุตร
ชาย) บุตรสาว 3 คน
          เริ่มศึกษาที่โรงเรียนประชาบาลบ้านสร้างคอม , โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อุดรธานี , โรงเรียนฝึก
หัดครูกรุงเทพฯ , ปี 2479 กลับมาเป็นครูที่ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล พร้อมกับศึกษาวิชากฎหมาย จน
สำเร็จธรรมศาสตร์บัณฑิต และนิติศาสตร์บัณฑิต ม.ธรรมศาสตร์ , ปี 2484 สอบเข้ารับตำแหน่ง 
ผช.อัยการ 6 เดือน , ปี 2485 โอนเข้ารับตำแหน่งทหารในกรมพระธรรมนูญ , ปี 2492 สอบได้ทุนไป
ศึกษาต่อปริญญาตรีด้านสังคมศาสตร์ ที่ประเทศอังกฤษ กลับมารับราชการติดยศพันเอก ได้ย้ายไปเป็น
นักวิชาการ ธนาคารแห่งประเทศไทย ในปี 2506 จากการชักชวนของ ดร.ป๋วย อึ๊งภากร ผู้ว่าการธนาคาร
แห่งประเทศไทยขณะนั้น

“พ.อ.สมคิด”อดีต ส.ส.-สว.อุดรฯถึงแก่กรรม อายุ 100 ปี
ภาพ : ครอบครัว ศรีสังคม

          พ.อ.สมคิด ศรีสังคม ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในนามพรรคเสรีประชาธิปไตย
 ในปี 2512 และได้รับเลือกตั้งเพียงคนเดียว ก่อนจะออกมาตั้งพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย และมี
ตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรค จากนั้นลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายพรรค เป็นประธาน
โครงการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย(ครป.) ปี18-29 และมาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิ
สภา จ.อุดรธานี
///
               พันเอก สมคิด ศรีสังคม คือ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรธานีอดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดอุดรธานี และอดีต
ประธานโครงการรณรงค์เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย (ครป.)
พ.อ. สมคิด ศรีสังคม เกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2460 (บางแห่งระบุเป็น พ.ศ. 2459) ที่ตำบลสร้างคอม 
อำเภอสร้างคอมจังหวัดอุดรธานี ในครอบครัวชาวนา และสมรสกับนางฟรานเซสกา ศรีสังคม มีบุตรธิดา 4 คน
พ.อ. สมคิด ศรีสังคม เข้าเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ถึงปีที่ 5 ในโรงเรียนบ้านสร้างคอม และจบชั้นมัธยมปีที่ 8 ในปี พ.ศ. 
2478 โดยได้รับคะแนนระดับดีเยี่ยมของประเทศ (ได้คะแนนเกินร้อยละ 75) ต่อมาได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนฝึกหัดครู
ในกรุงเทพฯ จนจบหลักสูตรประกาศนียบัตรประโยคประถม (ป.ป.) และกลับมาเป็นครูที่โรงเรียนเดิม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2480 
พร้อมทั้งได้เรียนปริญญาตรีวิชากฎหมาย จนสำเร็จปริญญาธรรมศาสตร์บัณฑิต และนิติศาสตร์มหาบัณฑิต จากมหาวิทยา
ลัยธรรมศาสตร์ และในปี พ.ศ. 2492 ได้ไปศึกษาต่อปริญญาตรีทางด้านสังคมศาสตร์ ที่ประเทศอังกฤษ ใช้เวลา 8 ปี 
จึงกลับมาประเทศไทย[1]
สมคิด ศรีสังคม เริ่มทำงานครั้งแรกเป็นครูในปี พ.ศ. 2480 ที่โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ต่อมาหลังจบปริญญาวิชากฎหมาย
แล้ว เขาสอบได้เป็นข้าราชการกรมอัยการ กระทรวงมหาดไทย ตำแหน่งผู้ช่วยอัยการ แต่ทำงานได้เพียง 6 เดือน ก็สอบแข่ง
ขันได้เป็นทหารในกรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม ในปี พ.ศ. 2484 จากนั้นเขาได้ทุนไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ 
และกลับมารับราชการจนมียศสูงสุดเป็น พันเอก หลังจากนั้นเขาจึงลาออกจากราชการไปทำหน้าที่เป็นนักวิชาการ สังกัด
ธนาคารแห่งประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2506 โดยการชักชวนของ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยใน
ขณะนั้น
พ.อ.สมคิด ศรีสังคม ลงสมัครรับเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2512 ในสังกัดพรรคเสรีประชาธิปไตย ซึ่งมีนายจารุบุตร เรืองสุวรรณ
 เป็นหัวหน้าพรรค แต่เขาได้รับเลือกตั้งเพียงคนเดียว ต่อมาเขาได้ก่อตั้งพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย และดำรงตำแหน่ง
หัวหน้าพรรค ส่งสมาชิกพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2518 และ พ.ศ. 2519 ต่อมาย้ายมาร่วมงานกับ
พ.อ.สมคิด เป็นประธานโครงการรณรงค์เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย หรือ ครป. ในปี พ.ศ. 2518 
ถึงปี พ.ศ. 2529

            พ.อ. สมคิดถึงแก่กรรมด้วยโรคชราเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2560  โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพมหานครฯ