PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ผบ.ทบ.จ่อดำเนินคดี2เกลอ

“บิ๊กแดง”สั่ง ทีมกม.คสช.ฟ้อง”เอกชัย-โชคชัย” สองเกลอนักเคลื่อนไหวการเมือง  แจ้งความเท็จ ทำเสียหาย กล่าวหาว่า “ผบ.ทบ.”ผิด ม.133 จะนำกองทัพรัฐประหาร 

มีรายงานว่า คสช.ได้ให้ฝ่ายกฎหมาย คสช. เข้าแจ้งความต่อตำรวจ ที่สน.ลาดพร้าว เพื่อดำเนินคดีกับ นายเอกชัย หงส์กังวาน และ นายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ นักกิจกรรมทางการเมือง 

ในข้อหาแจ้งความเท็จ ตามความผิดประมวลอาญามาตรา 137 ซึ่งระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ , มาตรา 172 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 173 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท

จากกรณีที่ นายเอกชัยและนายโชคชัย ได้แจ้งความดำเนินคดีกับ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการคสช. ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 กระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต นั้น 

ทั้งนี้ ฝ่ายกม.คสช.พิจารณา แล้วเห็นว่า การกระทำของทั้ง 2 คน ทำให้ภาพลักษณ์ ของกองทัพเสียหาย เนื่องจากวันที่พล.อ.อภิรัชต์ ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน เป็นวันที่มีการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) เท่ากับกล่าวหาว่า พล.อ.อภิรัชต์ จะนำกองทัพทำการรัฐประหาร

โดยหลังจากนี้ พนักงานสอบสวนจะเชิญ นายเอกชัย และนายโชคชัย มาให้ปากคำต่อไป

Cr.—ข่าวสด

09.00 INDEX เพื่อไทย ไทยรักษาชาติ พันธมิตรใหม่ “แนวร่วม”

09.00 INDEX เพื่อไทย ไทยรักษาชาติ พันธมิตรใหม่ “แนวร่วม”



การเปิดตัว “พรรคเพื่อธรรม” ก็สร้างความประหลาดใจอยู่แล้ว ยัง ตามมาด้วย “พรรคเพื่อชาติ”
และยังตามมาด้วย”พรรคไทยรักษาชาติ”ขึ้นมาอีก
จึงเท่ากับว่า มิได้มีแต่”พรรคเพื่อไทย”เพียงพรรคเดียว ตรงกันข้าม กลับประกอบส่วนขึ้นด้วยพันธมิตรในแนวร่วมอีกจำนวนหนึ่ง
เพื่อธรรม เพื่อชาติ และไทยรักษาชาติ
คำถามอยู่ที่ว่า ทั้งหมดนี้เสมอเป็นเพียงการงอกมาจากรากเหง้าเดิมในทางการเมือง
นั่นคือ ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย
ยังไม่มีใครตอบได้ว่า ตกลงพันธมิตรในแนวร่วมของพรรคเพื่อไทยมีพรรคการเมืองใดบ้าง

มีความเด่นชัดว่าระหว่างพรรคเพื่อไทย กับ พรรคเพื่อธรรม และกับพรรคเพื่อชาติ มีสายสัมพันธ์กันแน่นอน
ดูจาก นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์
ดูจาก นายยงยุทธ ติยะไพรัช นายสงคราม เลิศกิจไพโรจน์ และนายจตุพร พรหมพันธุ์
แล้วถามว่ากับ “พรรคประชาชาติ”เล่า

เพราะว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ก็แนบแน่นอย่างยิ่งตั้งแต่พรรคไทยรักไทย
แล้วการเข้าพรรคชาติไทยพัฒนาของ”ซุ้มนครปฐม”เล่า
ก็ตระกูล “สะสมทรัพย์”ก็แนบแน่นกับ พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย อย่างดียิ่ง และเมื่อเข้าไปก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคชาติไทยพัฒนาคึกคัก
โดยเฉพาะการเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการพรรคของ นายประ ภัตร โพธสุธน พร้อมกับการเป็นหัวหน้าพรรคของ น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา
นี่จะไม่เป็นพันธมิตรในอีกแนวร่วมหนึ่งหรอกหรือ

หากมองว่าพรรคเพื่อไทยเป็นจุดเริ่มต้น การเกิดขึ้นของพรรคเพื่อธรรม พรรคเพื่อชาติ ก็เหมือนกับพรรคแวดล้อม
เช่นเดียวกับ พรรคไทยรักษาชาติ
ขณะที่มิอาจมองข้ามพันธมิตรอย่างพรรคประชาชาติและพรรคชาติไทยพัฒนาไปได้
นี่คือ”พันธมิตร”ก่อนเข้าสู่สมรภูมิ”เลือกตั้ง”

นิวส์โน้ต : กัปตัน‘หญิง’ ประจำวันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม 2561

นิวส์โน้ต : กัปตัน‘หญิง’ ประจำวันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม 2561



บิ๊กลิตเติลเซอร์ไพรส์ ชาติไทยพัฒนา
ท็อป-วราวุธ ศิลปอาชา ถอยนั่งหัวหน้า สับไพ่ใหม่ ส่งพี่สาว ‘กัญจนา’ ขึ้นแท่น
แม่บ้านเลขาฯก็เปลี่ยนโผ ยกเก้าอี้ให้ยังบลัด ‘ประภัตร โพธสุธน’
เสียบแทน เสี่ยโต้ง-สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ที่วางตัว-ประกาศตัวไปก่อนหน้า
กลับลำกลางอากาศ ช็อกผู้โดยสารครั้งนี้
จะโยงตระกูลการเมืองดังนครปฐม ‘สะสมทรัพย์’ ย้ายร่วม ‘ประภัตร-จองชัย เที่ยงธรรม’ จับมือต่อรอง หรือด้วยเหตุผลกลใดก็ตามแต่
วงนอก วงใน สุพรรณฯยันศรีสะเกษ เมาธ์อื้ออึง ต่างๆ นานา
เสี่ยประภัตรก็เนื้อหอม
ตีจากก็ยุ่ง
เกลอเก่า ‘เสี่ยแม้ว’ ตื๊อยิก พลังประชารัฐก็จีบ ส่งเกี้ยว เทียบเชิญ

อยากได้เป็นขุนพล ตีเมืองหลวงชาติไทยฯ แย่ง ส.ส. ปักธงสุพรรณบุรี
ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อชาติไทยฯปรับทัพใหม่
ที่ดูจะวุ่นหน่อย ก็ ‘ท็อป’ เขามือดีล เอ็มโอยูพันธมิตรขั้วอำนาจ
รัฐมนตรีใหญ่พลเรือน บิ๊กลายพราง
ต่อท่อผ่านทางนี้ทั้งนั้น
ปรับใหม่ ท็อปไม่ใช่ตัวท็อป จะนับหนึ่ง จับเข่าจูนใหม่ หรือว่าใช้ช่องเดิม
ฝุ่นจางบางลง พี่น้อง ศิลปอาชาแฟมิลี่
คงเคลียร์จ๊อบ แบ่งงานได้ลงตัว
เพราะถึงเป็นเรื่องเล็กภายใน แต่สะพานเชื่อมเรื่องใหญ่อนาคตพรรค
คงไม่มีใครยอมให้ตกขบวน

น.3 คอลัมน์ : ปัจจัย คมแหลม เอา หรือ ไม่เอา ‘คสช.’ เกิดขึ้น ได้อย่างไร

น.3 คอลัมน์ : ปัจจัย คมแหลม เอา หรือ ไม่เอา ‘คสช.’ เกิดขึ้น ได้อย่างไร



ปัจจัยอะไรในทางการเมืองก่อให้เกิดแนวคิด “เอา” และ “ไม่เอา” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นและนับวันยิ่งทวีความแหลมคม

เรื่องนี้มิใช่เพราะมี “ใคร” เป็นผู้กำหนดและ “ชี้นำ”

ไม่มีทางที่พรรคเพื่อไทยจะสามารถ “บงการ” ให้เกิดขึ้นได้ แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการขึ้นมามีอำนาจของ คสช.

ไม่มีทางที่พรรคอนาคตใหม่จะสามารถ “กำหนด” เรื่องนี้ให้เป็น “วาระ”

แม้ว่าหลายคนในพรรคอนาคตใหม่จะตกเป็น “เหยื่อ” อย่างต่อเนื่องจากรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 กระทั่งถึงรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

เพราะคำตอบ 1 คือ รัฐธรรมนูญ

เพราะอีกคำตอบ 1 คือ ตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เอง

รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 อันเป็นผลผลิตของ คสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นหัวหน้า คสช.ต่างหากคือ รากฐานแห่งประเด็นนี้ในทางการเมือง

จุดเริ่มต้นน่าจะมาจากความต้องการในการสืบทอดอำนาจของ คสช. โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นตัวแทน

จึงได้กำหนดเอาไว้ใน “รัฐธรรมนูญ”

ไม่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ไม่ว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 อันดำเนินไปตามพิมพ์เขียวของเนื้อหาใจกลางของรัฐประหาร

นั่นก็คือ มิได้เป็นรัฐประหาร “ชั่วคราว”

ตรงกันข้าม รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นการทำเพื่ออุดช่องโหว่และความเสียหายอันเนื่องจากรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549

ที่เรียกกันว่า “เสียของ”

“อนุทิน” โชว์ ภูมิใจไทยเน้นชนะเขตเลือกตั้ง ทำไพรมารีคัด คะแนนต่ำ2หมื่น หมดสิทธิ์ลง

“อนุทิน” โชว์ ภูมิใจไทยเน้นชนะเขตเลือกตั้ง ทำไพรมารีคัด คะแนนต่ำ2หมื่น หมดสิทธิ์ลง



“อนุทิน” โชว์ “ภูมิใจไทยแสตนดาร์ด” เน้นชนะเขตเลือกตั้ง ทำไพรมารี่คัดผู้สมัครมีคะแนนนิยมเกิน 2 หมื่น ระบุ ไม่กลัวรัฐประหารซ้ำ หากทุกฝ่ายเล่นตามกติกา ยัน จุดยืนไม่เติมฟืนเข้ากองไฟ
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย(ภท.) กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่าอนาคตจะเกิดการรัฐประหารว่า หากทุกฝ่ายในบ้านเมืองเล่นตามกติกา เคารพกฎหมาย แก้ปัญหาตามระบบประชาธิปไตย และไม่นำพาเหตุการณ์ไปสู่เงื่อนไขให้อำนาจนอกระบบเข้ามาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดสถานการณ์ดังกล่าวขึ้น ทั้งนี้ จุดยืนของพรรคภูมิใจไทยคือเล่นตามกติกา คำนึงถึงชาติบ้านเมือง ความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชน ปัญหาปากท้องและทำให้สังคมมีความสงบสุข คนในชาติมีความสามัคคีเป็นปึกแผ่น เพราะตนเชื่อว่าประชาชนเบื่อการทะเลาะเบาะแว้งทางการเมืองตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมาแล้ว
“ที่ผ่านมาระบอบรัฐสภาดีอยู่แล้ว กลับไม่ใช้กติกา เท่ากับเปิดโอกาสทำให้ระบอบอื่นเข้ามาจัดการบ้านเมือง แล้วคนที่อยู่ในระบบก็แพ้หมด ถูกกันออกไปนอกเวที แต่โทษคนที่เข้ามาก็ไม่ได้ เพราะคนที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตย ไม่เคารพคำว่าประชาธิปไตย ไม่เคารพเสียงข้างมาก ดังนั้น หากทุกฝ่ายเคารพรัฐธรรมนูญที่ตราไว้ชัดเจนก็ไม่มีทางที่สิ่งแปลกปลอมนอกระบอบจะเข้ามา และผมขอยืนยันอีกครั้งว่าไม่ขอเติมฟืนเข้ากองไฟ ขออยู่อย่างสงบ สันติ ให้เกิดความสามัคคีในชาติ และพรรคภูมิใจไทยจะไม่ทำตัวมีปัญหาอย่างแน่นอน” นายอนุทินกล่าว

หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยังกล่าวถึงแนวทางจัดส่งผู้สมัครพรรคว่าต้องเป็นผู้สมัครที่มีคุณภาพ เนื่องจากถูกคัดกรองหลายด่าน ผ่านระบบไพรมารีโหวตในพื้นที่ของพรรค ถ้าใครได้ไม่ถึง 20,000 คะแนนก็หมดสิทธิ์ลงในระบบเขตที่มีโอกาสชนะการเลือกตั้ง เพราะถ้ายังขืนส่งลงสมัครก็เหมือนไปหลอกประชาชน เราไม่ต้องการถูกเลือกด้วยคะแนนสงสาร ส่วนผู้ลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะส่งลงสมัครเรียงตามลำดับความสำคัญของผู้ที่มีส่วนสนับสนุนพรรค เกินลำดับที่ 10 ก็ไม่รับประกันว่าจะได้ส.ส.แล้ว เพราะพรรคภูมิใจไทยเน้นชนะเขตเลือกตั้ง
“พื้นที่ไหนมีคะแนน 20,000 ขึ้นไป ชื่อจะปรากฏบนแอปพลิเคชันดาต้าแบงก์ ซึ่งโชว์คะแนนนิยมของผู้ที่จะลงสมัครแต่ละคนทันที ใครคะแนนไม่ถึงรายชื่อก็หลุด โปรแกรมนี้หลอกตัวเลขไม่ได้ และหากมีคะแนนของคนใหม่มากกว่าคนเดิม จำเป็นจะต้องเอาคนใหม่ที่มีคะแนนสูงกว่าเข้ามาแทน ซึ่งผู้สมัครทุกคนรับทราบแนวทางนี้เพราะมีความเป็นมืออาชีพตามมาตราฐานภูมิใจไทยสแตนดาร์ด” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยระบุ

จุดประเด็นปรองดองหลังเลือกตั้ง : ก่อนจุดชนวนการเมือง

ปฏิวัติเป็นทางเลือกสุดท้าย
และไม่การันตีจะเกิดปฏิวัติ
เป็นประเด็นเผ็ดร้อนในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ออกมาจากปาก “บิ๊กกบ” พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด และ “บิ๊กแดง” พล.อ. ผบ.ทบ. ตามลำดับ
นักการเมืองสองพรรคใหญ่ประสานเสียงถล่มอย่างไม่ไว้หน้า ต่างกับท่าทีของพรรคภูมิใจไทย สงบนิ่งในที่ตั้ง ท่าทีแบบนี้และท่าทีที่ผ่านมาถูกหลายฝ่ายมองว่าจะเป็น “ตาอยู่” ทั้งที่พรรคนี้มีจุดยืนทางการเมืองแล้ว
จุดยืนชัดเจนแค่ไหน ไปดูมุมคิดและตัวตนของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง ว่า ขณะนี้การเมืองยังแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย พรรคภูมิใจไทยไม่เคยยืนอยู่ในลำดับ 1 หรือ 2 หลายคนจึงเข้าใจว่าเราจะเป็นพรรคตาอยู่หรือเป็นพรรคอะไรก็ได้
เป็นมุมมองที่ผิด ไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของพรรคภูมิใจไทย ที่เลือกข้างชัดเจน ซึ่งจะเป็นไปตามความต้องการของประชาชน เปรียบเหมือนเป็นหางเสือกำหนดทิศทางว่าจะเดินไปทางไหน โดยการแปลตัวเลขคะแนนเสียงของผู้สมัคร ส.ส. ไปเป็นความต้องการของเจ้าของประเทศ
ถึงวันนั้นหลังเลือกตั้งมีการเลือกนายกรัฐมนตรี จะขอโหวตให้ผู้ที่มีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในฐานะที่เราไม่ได้มีส่วนได้เสีย ไม่ทำการเมืองเพื่อหวังจะต้องแสวงหาอำนาจรัฐโดยไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
ขอย้ำว่าคนเป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ แตกต่างกับบางพรรคการเมือง อาจจะบัญญัติคำว่าต้องเลือกคนใน เพื่อให้แคนดิเดตในพรรคของตัวเอง ซึ่งต้องเป็น ส.ส.เท่านั้นได้เปรียบทางการเมือง
หากอีกพรรคเสนอชื่อผู้ที่เป็น ส.ส.ในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรี พรรคนี้อาจจะเปิดประเด็นใหม่ว่า คนในต้องเป็น ส.ส.และพลเรือน หรือต้องเป็นผู้ที่ไม่มีส่วนได้เสียกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ฉะนั้น คำว่านายกรัฐมนตรีคนในหรือนายกรัฐมนตรีคนนอก ขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองไหนเป็นฝ่ายตั้งโจทย์ ฝ่ายไหนเป็นคนตอบโจทย์ สำหรับพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าจะเป็นคนในหรือคนนอก ขอให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
ไม่แน่อาจจะเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยก็ได้ หากประชาชนเลือก เพราะนโยบายโดนใจประชาชน และผู้ที่พรรคจะส่งลงสมัคร ส.ส.มีคุณภาพ เนื่องจากถูกคัดกรองหลายด่าน ผ่านระบบไพรมารีในพื้นที่ ถ้าใครได้ไม่ถึง 2 หมื่นคะแนนหมดสิทธิ์ลง
ขอส่งเฉพาะในเขตที่มีโอกาสชนะการเลือกตั้ง พื้นที่ใดมีคะแนนนิยมทั้งพรรคและผู้จะลงสมัครไม่ถึงเกณฑ์ ก็ไม่จับยัดเข้าไป ถ้ายังขืนส่งลงสมัครก็เหมือนไปหลอกประชาชน เราไม่ต้องการถูกเลือกด้วยคะแนนสงสาร
หากพื้นที่ใดมีดาวรุ่ง หัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคหรือจะมอบหมายให้แมวมองลงพื้นที่ไปดู
คนที่พรรคตัดสินจะส่งลงสมัครแล้ว เลขาธิการพรรคจะส่งคะแนนอัปเดตให้หัวหน้าพรรคตลอดเวลา โดยใช้แอปพลิเคชันดาต้าแบงก์ ซึ่งโชว์คะแนนนิยมของผู้ที่จะลงสมัครแต่ละคน หากมีคนใหม่เข้ามาในพื้นที่นั้นๆและมีคะแนนนิยมมากกว่าคนเดิมก็ห้ามโกรธกัน
ผมรู้ตลอดว่าพื้นที่ไหนคะแนนไม่ดี ก็ต้องวิเคราะห์ว่าจะส่งหรือไม่ พื้นที่ไหนมีคะแนน 2 หมื่นขึ้นไป ชื่อจะปรากฏบนแอปพลิเคชันทันที ใครคะแนนไม่ถึงรายชื่อก็หลุด โปรแกรมนี้หลอกตัวเลขไม่ได้
ขณะนี้มีประชาชนอยากจะเป็นสมาชิกพรรคประมาณ 2.3 ล้านคน ซึ่งเป็นแฟนคลับของผู้ที่จะลงสมัครแต่ละคนที่เข้าสังกัดพรรค
การคัดผู้ลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ มีกระบวนการอย่างไร นายอนุทิน บอกว่า จะส่งลงสมัครเรียงตามลำดับความสำคัญของผู้ที่มีส่วนสนับสนุนพรรค เกินลำดับที่ 10 ก็คิดไม่ค่อยออกแล้ว เราเน้นชนะเขตเลือกตั้ง
ในวันประชุมพรรคเคยประกาศถ้าเขตชนะหมด ไม่มีคะแนนเฉลี่ยให้ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ แล้วหัวหน้าพรรคซึ่งเป็นเบอร์ 1 ในผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อเข้าสภาไม่ได้ ถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของหัวหน้าพรรค อยากเห็นวันนั้นให้เป็นมงคลชีวิต
เคยประกาศพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีหากประชาชนเลือก นายอนุทิน บอกว่า คณะกรรมการบริหารพรรคคุยกับสมาชิกพรรคกี่ครั้ง ก็ยืนยันจะส่งหัวหน้าพรรคอยู่ในบัญชีรายชื่อคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงชื่อเดียว
เป็นหัวหน้าพรรคแล้วบอกไม่พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นทำไม ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องมาโดยชอบธรรม
หากเป็นนายกฯเพราะเป็นตาอยู่ คำว่าตาอยู่ในความหมายของผม ซึ่งถูกสั่งสอนตั้งแต่เด็กและอยู่ในจิตใต้สำนึกตลอดเวลาว่า เป็นคนฉวยโอกาส คบไม่ได้ เห็นแก่ตัว ฉะนั้นผมจะไม่เป็นตาอยู่
บนกระดานการเมือง พรรคภูมิใจไทยถูกดึงไปอยู่ขั้ว คสช. แต่นักการเมืองเกรดเอจากพรรคเพื่อไทย กลับไหลเข้าพรรคภูมิใจไทย ไม่ไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ปรากฏการณ์นี้สะท้อนอะไรได้บ้าง นายอนุทิน บอกว่า แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและศรัทธาของคนนอก เห็นพรรคภูมิใจไทยมีความมั่นคง ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ
ตั้งใจทำงานเพื่อบ้านเมืองและประชาชน แนวนโยบายแต่ละด้านทำได้ มีบันทึกในอดีตเมื่อเราเป็นรัฐบาล ก็ผลักดันสิ่งต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองได้สำเร็จ
กฎหมายยุทธศาสตร์ 20 ประกาศใช้แล้ว หลายพรรคการเมืองมองเรื่องนี้และรัฐธรรมนูญเป็นอุปสรรคสำหรับการบริหารประเทศ ทำไมพรรคภูมิใจไทยถึงไม่มีท่าทีในเรื่องนี้ กลับเดินหน้าเตรียมการเลือกตั้งโดยเฟ้นหาผู้สมัครและวางแนวนโยบายด้านต่างๆ นายอนุทิน บอกว่า ถ้าตั้งใจและมีเจตนามุ่งช่วยเหลือประชาชน แก้ปัญหาปากท้อง เรื่องอื่นก็เป็นรองหมด พลิกดูยุทธศาสตร์ชาติ รัฐธรรมนูญ ก็ไม่เห็นว่าจะกำหนดจนทำอะไรเพื่อประชาชนไม่ได้
ขอให้มีอำนาจรัฐจะรีบแก้ปัญหาของประชาชน ไม่ใช่นั่งดูยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อต้องการหาช่องโหว่และแก้ไข ซึ่งมันเปลี่ยนไม่ได้แล้ว
แต่ถ้าแก้ปัญหาให้ประชาชนแล้วติดขัดปัญหาที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ถึงเวลานั้นค่อยหาทางแก้ไข โดยจะต้องยึดความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก
“ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาจะมาเล่นการเมือง ชิงไหวชิงพริบตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้
สุดท้ายจะเปิดโอกาสให้อำนาจนอกระบบเข้ามา การรักษาระบบคืออย่าไปเล่นการเมืองมาก
อย่าทำอะไรที่มันเกิดความขัดแย้งในชาติ รัฐบาลคือผู้ดูแลเอาใจใส่แห่งรัฐ
รัฐไม่มีตัวตน รัฐคือประชาชน ดูแลแก้ไขปัญหาให้อยู่ดีกินดี
พรรคภูมิใจไทยตั้งเข็มมาทิศทางนี้ ไม่เล่นการเมืองไม่สร้างปัญหาขัดแย้ง ไม่ทะเลาะกับใคร
พร้อมเป็นตัวเชื่อมประสานถ้าเขาให้โอกาส แต่เป้าหมายหลักคือการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน”
ทีมข่าวการเมือง ถามว่า พรรคภูมิใจไทยจะเป็นสะพานเชื่อมสู่ความปรองดองได้อย่างไร นายอนุทิน บอกว่า ถึงเวลานั้นถ้าเราเป็นคนที่ทุกฝ่ายต้องฟัง ก็ประสานได้ง่าย และพร้อมเป็นตัวประสาน เพราะผมไม่มีปัญหากับใคร
แต่ถ้ามีคนมองว่า การไม่เลือกข้าง เป็นความผิด เพราะไม่มีจุดยืน ทำไมไม่มองว่าเป็นความประเสริฐที่ไม่ทะเลาะกับใคร ทะเลาะก็ทะเลาะกันไป ผมไม่ไปสู้ด้วย เพราะการทะเลาะและขัดแย้งทำให้บ้านเมืองฉิบหาย ถ้าคุณบาดเจ็บผมจะอาสาช่วยพาคุณไปส่งโรงพยาบาล
พรรคภูมิใจไทยขอเลือกเดินทางสงบ ไม่ขัดแย้งกับใคร ใครอยากขัดแย้งก็ไม่ต้องเลือกพรรคภูมิใจไทย เราเลือกข้างชัดเจนอยู่ข้างประชาชนและประเทศไทย
มาถึงวันนี้ถ้ายังเล่นเกมการเมือง ใช้วาทกรรมทางการเมืองสร้างความขัดแย้ง
โดยจับคนไทยและความเจริญของประเทศเป็นตัวประกัน ไม่คุ้มหรอก
ขอยืนยันและตอกย้ำอีกครั้งว่าไม่ขอเติมฟืนเข้ากองไฟ ขออยู่อย่างสงบ สันติ ให้เกิดความสามัคคีในชาติ
เชื่อว่าหลังการเลือกตั้ง ประชาชนที่ตัดสินว่าอนาคตประเทศไทยควรจะเป็นอย่างไร
จะไม่ยอมปล่อยสิทธิ์ของเขาให้ถูกจาบจ้วงหรือแปลความไปเป็นอย่างอื่น
นักการเมืองต้องแปลความต้องการของประชาชนให้ถูก
ถ้าแปลเข้าข้างตัวเอง ประวัติศาสตร์เคยจารึกไว้แล้ว...
...ต่อให้เข้มแข็งทางการเมืองแค่ไหน
...ถ้าไม่ฟังเสียงประชาชนก็อยู่ไม่ได้
ผู้นำพรรคการเมืองก็เหมือนกัน การกำหนดทิศทางหลังการเลือกตั้ง
คงต้องเข้าใจว่าถ้าไม่ปรองดองสามัคคีกัน จะต้องรอต่อไปอีก 5 ปี.
ทีมการเมือง

จับสัญญาณเข้ม “บิ๊กแดง” ส่งตรงนักการเมือง : พฤติกรรมเดิม หนังม้วนเก่า


การเมืองกำลังคึกคักกับยุค “ลุงตู่ดิจิทัล”
ตามปรากฏการณ์ที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. เปิดแนวรบโซเชียลมีเดีย เดินหน้าสื่อสารตรงกับผู้คนในสังคมผ่านโลกออนไลน์
ทั้งเพจเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ และเว็บไซต์ส่วนตัว
เปิดสื่อทุกช่องทาง จัดเต็มทุกแพลตฟอร์ม
และต้องยอมรับในความร้อนแรงยี่ห้อ “นายกฯลุงตู่” ที่จัดอยู่ในขั้นฮอต ประเมินจากยอดไลค์ ตัวเลขคนติดตามเพจส่วนตัวของนายกฯพุ่งขึ้นหลักแสนในเวลาไม่กี่วัน
ไม่นับยอดคอมเมนต์ที่มีทั้งเชียร์ทั้งด่า แห่มากันพึ่บพั่บ
โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่าเป็น “แอดมิน” จัดการเพจในโซเชียลฯด้วยตัวเอง ได้อ่านคอมเมนต์ เห็นข้อความที่มีคนส่งเข้ามาชื่นชม รวมถึงพวกที่ถล่มโจมตีกับตา
ไม่เว้นแม้แต่สไตล์ฮาร์ดคอร์ ด่าหยาบๆคายๆ
สถานการณ์แบบที่หลายฝ่ายประเมินคนจุดเดือดต่ำอย่าง “ลุงตู่” จะทนได้แค่ไหนกับ “มนุษย์โซเชียลฯ พันธุ์ไทย” พะยี่ห้อ “นักเลงคีย์บอร์ด” ที่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นเวทีปลดปล่อย
กับโลกของพวกไร้ตัวตน กระแสสมมติลอยๆ
ไหนจะมุกตลกร้าย คนรักเป็นร้อย คนเกลียดเป็นล้าน
แต่ผ่านมาถึงตรงนี้ “นายกฯลุงตู่” ก็ตบะแกร่งพอที่จะรับสภาพเงื่อนไขสถานการณ์ในโลกโซเชียลมีเดียที่ตัดสินใจกระโดดเข้าไปร่วมวงโรมรันพันตู
ใช้ลีลายิ้มสู้ กัดฟัน ไม่ตอบโต้
ดูท่าทางเหมือนเตรียมตัวเตรียมใจมาระดับหนึ่งแล้ว
และแนวโน้มก็เนียนๆ พลิกเป็นมุมน่ารักแบบที่แฟนเพจคนสำคัญอย่าง “เสี่ยโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายอดีตนายกฯทักษิณ ยังคอมเมนต์แซวภาพ “บิ๊กตู่” ถ่ายเซลฟี่กับทีม “หมูป่า” ที่ทำเนียบรัฐบาล
“เวลาลุงไม่ฉุน ลุงก็น่ารักดีนะเนี่ย”
สะท้อนยุทธศาสตร์การชิงกระแสในโซเชียลมีเดียเข้าเป้าระดับหนึ่ง
ถึงตรงนี้ มันเป็นการเฉลยคำตอบด้วยยุทธศาสตร์ในเชิงปฏิบัติ จังหวะการขยับของ พล.อ.ประยุทธ์เท่ากับยกระดับความชัดเจนในการตีตั๋วไปต่อหลังการเลือกตั้ง
พยายามทำทุกทางที่จะประคองกระแส นำมาซึ่งคะแนนความนิยม
อารมณ์มาถึงจุดที่นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ เปิดเผยกับสื่อมวลชนระหว่างร่วมคณะ พล.อ.ประยุทธ์เข้าร่วมประชุมผู้นำเอเชีย–ยุโรป ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม มีผู้นำมากกว่า 11 ประเทศที่มีความประสงค์จะพบหารือกับผู้นำไทย แต่ไม่สามารถที่จะหารือได้ครบทุกประเทศ
ซึ่งการที่เขาพูดคุยกับนายกฯประยุทธ์ ส่วนหนึ่งเพราะบรรดาผู้นำต่างก็สนใจกับโรดแม็ปของประเทศไทย ที่กำลังเดินไปสู่การเลือกตั้ง
และเขาก็รู้ แม้นายกฯจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ก็มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่
เพราะมีคนในรัฐบาลตั้งพรรคพลังประชารัฐ ก็ทำให้ฐานะนายกฯเข้มข้นขึ้น หมายความว่า แม้นายกฯจะไม่ได้เข้าสู่การเลือกตั้งโดยตรง แต่ก็เปิดโอกาสให้ตัวเอง
ซึ่งทำให้นานาประเทศรับรู้ว่า โอกาสที่นายกฯจะกลับมาอีกก็มี
เมื่อมีโอกาส มีมุมนี้ขึ้นมา ก็อาจจะเป็นมุมที่ทำให้ใครๆก็อยากจะพูดคุยกับผู้ที่อาจจะเป็นผู้นำคนต่อไปของประเทศไทยก็ได้
คนระดับ รมว.ต่างประเทศหงายไพ่ข้ามช็อต โชว์เลยว่า นานาชาติยังรู้
ประเทศไทยกำลังเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง โดยมี “นายกฯลุงตู่” เป็นตัวเต็งคัมแบ็ก
อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางบรรยากาศที่นักการเมือง ป้อมค่ายต่างๆกำลังคึกคักกับการเตรียมตัวกลับมาลงสนาม มันก็มีช็อตให้ต้องสะดุ้ง หูผึ่งไปตามๆกัน
กับจังหวะที่ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ขึ้นแท่นโพเดียม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเป็นครั้งแรกในฐานะจ่าฝูงกองทัพบก โดยสถานการณ์ก็เป็นไปตามคาด
ยึดพาดหัวยักษ์หนังสือพิมพ์ยกแผง
“บิ๊กแดง” ไม่รับปาก ไม่รับประกัน ไม่มีปฏิวัติ
เหมือนกับจุดประทัดท่ามกลางความเงียบ คำพูดของ ผบ.ทบ.ทำให้เกิดอาการแตกฮือในหมู่นักการเมือง โดยเฉพาะแนวร่วมพรรคเพื่อไทย เครือข่ายเสื้อแดง นปช. นักวิชาการสายต้านทหาร
ดาหน้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์ อ้างการพูดของ พล.อ.อภิรัชต์ได้ก่อความเสียหาย ทำลายบรรยากาศเลือกตั้ง ก่อความไม่ไว้วางใจให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
เป็นพฤติการณ์ของผู้นำทหารที่เสพติดอำนาจพิเศษ
แต่สังเกตให้ดี ในลีลาแบบพวกที่ได้ทีแห่กระแสต้านท็อปบูต เบอร์ใหญ่อย่างนายจาตุรนต์ ฉายแสง พะยี่ห้อคนเดือนตุลา แกนนำพรรคเพื่อไทย นายปิยบุตร แสงกนกกุล ทีมนิติราษฎร์ แห่งค่ายอนาคตใหม่
ตัวจี๊ดสายตรงดูไบอย่าง “เสี่ยไก่” นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำเพื่อไทย ที่หยิบยกโทษประหารชีวิตตามกฎหมายอาญา มาตรา 113 มาดักคอ ตัวแสบแบบ “เสี่ยเต้น” นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หัวขบวนเสื้อแดง ก็บลัฟ “บิ๊กแดง” เป็นนัย ถ้า กปปส.กับพันธมิตรฯป่วนจะรัฐประหาร แต่ถ้าเสื้อแดงป่วนจะเป็นลานประหาร
ล้วนแล้วแต่มีปมลึกกับทหารแบบฝังใจ
ตามฟอร์มกระตุกกระแสเลือกตั้ง ได้ทีแทรกวาระชักจูงประชาชนเลือกตั้งล้มท็อปบูต
ได้จังหวะแฝงเหลี่ยมหาเสียงกันตามสูตร
แต่ในมุมกลับกันมันก็แปลกที่นักการเมืองอีกส่วนหนึ่งกลับเห็นคล้อยกับคำพูดของ ผบ.ทบ.โดยเฉพาะ เซอร์ไพรส์ก็คือคิวของ “ตุ๊ดตู่” นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ที่ไม่อยากให้มองการพูดของ ผบ.ทบ.เป็นการปรามหรือขู่อะไร แต่ควรจะคิดร่วมกันหาทางออกดีกว่า
ทุกฝ่ายต้องเริ่มที่ตัวเอง คือไม่สร้างเงื่อนไขอย่างที่ ผบ.ทบ.ได้แสดงความห่วงใยออกมา
เช่นเดียวกับจอมหลักการอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็มองว่าการออกมาพูดเรื่องนี้ เป็นเพราะมองตามประวัติศาสตร์การเมืองมากกว่า คิดว่า ผบ.ทบ.คงอยากให้เห็นประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ส่วนตัวในฐานะนักการเมืองเรียกร้องมาตลอดว่าอย่าทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก
ไม่ควรชี้นิ้วต่อว่าใครเป็นต้นเหตุ แต่ควรจะย้อนดูตัวเอง
นักการเมือง “เสียงแตก” นั่นหมายถึง คำพูดของ พล.อ.อภิรัชต์ แปลความได้หลายทาง
เรื่องของเรื่อง โฟกัสบทสัมภาษณ์ครั้งแรกของ “บิ๊กแดง” นอกจากคำถามของนักข่าวเรื่องปฏิวัติแล้ว แนวโน้มตามท้องเรื่องหลักๆที่จ่าฝูงกองทัพบกตั้งใจส่งสัญญาณคลื่นความถี่สูงชัดๆ
มันอยู่ที่การเน้นย้ำ กองทัพบกจะใช้ศักยภาพและใช้ขีดความสามารถทุกอย่างในการปกป้องสถาบัน
ตีธงยกระดับความเข้มของภารกิจพิเศษในห้วงเปลี่ยนผ่าน
ส่วนมุมการเมืองก็พูดตามเนื้อผ้า เหมือนเลกเชอร์ย้อนอดีตโยงปัจจุบันข้ามไปอนาคต
การแก่งแย่ง ชิงการเมือง การเอาชนะ ไม่รู้จักแพ้ แล้วคนที่แพ้ก็คือประเทศ แทนที่เราจะแข่งขันทางการค้า แล้วต้องใช้เวลากี่ปีฟื้นฟูประเทศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย หลังเกิดเหตุการณ์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว มีการยกเลิกการนำเข้าส่งออกของต่างประเทศ เป็นเงินมหาศาลกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่
จุดไฟเผาเมืองเกิดกลียุค ปีเดียวสิ่งปลูกสร้างทำได้ แต่ในทางการค้าไม่ใช่ ความมั่นใจของต่างชาติในการลงทุนต้องใช้เวลานานกว่านั้น แต่วันนี้ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น อาจจะเห็นผลช้า ไม่ทันใจ ตนเองเชื่อว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำทุกอย่างอย่างรอบคอบ
“บิ๊กแดง” ไม่ยืนยันมัดคอตัวเอง แค่ทิ้งทุ่นไว้ในที ถ้าการเมืองไม่เป็นต้นเหตุแห่งการจลาจลก็ไม่มีอะไร
ในวงเล็บ ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ป่วนของนักการเมือง
มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ในเจตนาของคนเป็น ผบ.ทบ.ในฐานะเบอร์หนึ่งคุมกำลังฝ่ายความมั่นคงที่ต้องป้องปรามเหตุจลาจลวุ่นวาย เสี่ยงเสียเลือดเสียเนื้อ
เหนืออื่นใด มุมของ “บิ๊กแดง” มันก็ตรงกับประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่อยากกลับไปเผชิญฝันร้าย
ในจังหวะที่บ้านเมืองพ้นปากเหวมาไกล ภาพเปรียบเทียบตลอดช่วง 4-5 ปีที่การเมืองนิ่ง ปลอดจากม็อบป่วนเมือง เอื้อต่อการพัฒนาการทางเศรษฐกิจ รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ได้ฉุดลากเศรษฐกิจจากติดลบจากวิกฤติความขัดแย้งทางการเมือง จนกลับมาเป็นบวก ตั้งหลักได้แล้ว พื้นฐานแข็งแกร่ง แนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
มันน่าเสียดาย หากการเมืองจะป่วนลากกลับลงเหว
แน่นอน ในอารมณ์ที่ “บิ๊กแดง” สะท้อนออกมา มันอาจจะเข้าทางทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” ตีตั๋วต่อ เพื่อพาประเทศชาติเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย
ตรงกันข้าม มันเป็นความเสียหายทางการเมืองของเครือข่าย “ทักษิณ”
แต่มันก็คือความจริงที่เห็นกันอยู่ตรงหน้า ใครคือตัวปัญหา ใครคือฝ่ายแก้
เอาเป็นว่า ตามโจทย์ที่ ผบ.ทบ.โยนทุ่นออกมาล่วงหน้า ถ้ายังไม่แก้พฤติกรรม หนังม้วนเก่าฉายซ้ำ
เลือกตั้งแล้ววนกลับมาสู่วงจรอุบาทว์ ทุจริต คอร์รัปชัน หมิ่นสถาบัน ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ลากการเมืองในสภาออกไปป่วนบนถนน ปลุกม็อบชนกัน
มันก็หนีไม่พ้นต้องเจอกับ “บิ๊กแดง”.
“ทีมการเมือง”

ชักหัวร้อนกับ 'ไทยนิยม'


เอาเข้าจริงก็ว่าไปตามกรอบหลักการ ไม่น่าจะตื่นเต้นอะไร
เพราะที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. บอกกับผู้นำประเทศเนเธอร์แลนด์ และนอร์เวย์ ในการหารือทวิภาคี ก่อนการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม
ตามที่ พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ ระบุ คิวนี้ “บิ๊กตู่” ได้ชี้แจงถึงพัฒนาการของไทยว่า ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา การเมืองไทยมีความก้าวหน้าเป็นลำดับ และเป็นไปตามโรดแม็ป
รัฐบาลไทยมุ่งมั่นตั้งใจจริงที่จะปฏิรูปประเทศให้มีเสถียรภาพทางการเมือง มีระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง มีเศรษฐกิจที่เติบโตยั่งยืน ขณะนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการระยะสุดท้ายของโรดแม็ปที่ประกาศไว้
“คาดว่าจะสามารถจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 หรืออย่างช้าไม่เกินเดือนพฤษภาคม 2562”
ติดติ่ง “อย่างช้า” ก็ทำให้ตีความ “ลุงตู่ดิจิทัล” จ่อเลื่อนเลือกตั้งอีกแล้ว
เอาเป็นว่าจะ 24 ก.พ.2562 หรือเดือน พ.ค. ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะถ้ายึดตามโรดแม็ปเลือกตั้งที่ “ดร.วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ ก็เคยไล่เรียงโปรแกรมไว้เป็น 3 ขยัก
เดือนพฤษภาคมเป็นขยักสุดท้าย ถ้าขยับไปจริง ก็ไม่ใช่การพลิกพลิ้ว
แล้วตามรูปการณ์ก็น่าจะไม่มีอะไรพลิกผัน ล่าสุดมีกระแสข่าวรัฐมนตรี 4 ยอดกุมารที่ไปเป็นคีย์แมนแกนนำพรรคพลังประชารัฐ เลือกเวลา “เหมาะสม” ไขก๊อกลาออกได้แล้ว
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด สิ้นเดือนหน้า บุ๊กคิว 21 พ.ย.นี้ ลงลุยค่ายพลังประชารัฐเต็มตัว
เล่นไปตามเงื่อนเวลา กรอบกติกา
แล้วนั่นก็น่าจะเป็นไปในทำนองเดียวกัน กับกรณีที่ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ไปให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค ประเทศญี่ปุ่น ถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย
“ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยกวาดเก้าอี้ได้ถึง 300 ที่นั่ง จากทั้งหมด 500 ที่นั่งในสภาล่าง รัฐบาลก็ไม่อาจบริหารประเทศได้ เพราะว่าพวกเขาจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย”
ดังนั้น รัฐบาลอาจพังครืนภายในไม่กี่สัปดาห์ ไม่ใช่ไม่กี่เดือน
ฟันธงล่วงหน้า “ระบอบทหาร” อาจกำลังใกล้ถึงจุดจบ
นั่นก็ถือว่าถูกต้องตามหลักการ ประเมินด้วยเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าพรรคการเมืองในเครือข่ายเพื่อไทย และค่ายสาขา “เพื่อ” รวมทั้งพรรคเครือข่ายไม่เอาท็อปบูต กวาดที่นั่งทะลุเป้าตามที่ว่า
ณ วันนี้ ทุกขั้วค่ายยังไม่ออกจากจุดสตาร์ต “ทักษิณ” ก็โวได้หมด แต่ของจริงก็ว่ากันอีกเรื่อง
ในสถานการณ์ที่เครือข่ายการเมืองของตัวเองก็ยังกระเพื่อมไหวไม่จบ โดยในพรรคเพื่อไทยที่คิดว่าน่าจะนิ่ง ลูกข่ายเจ้าแม่–เด็กเฮียๆยังระดมทีม รวมตัวกันเขย่าเก้าอี้นางสิงห์ กทม.อยู่เลย
หรือค่ายเพื่อชาติ อาจกลายเป็นพรรคฐานที่มั่น “ประกาศอิสรภาพ” ของแกนนำมวลชน
คน นปช.ที่ไม่สบอารมณ์ “นาย” สู้ถวายหัวแล้วไม่ดูดำดูดี มีโอกาส “แหกขั้ว”
ทั้งหมดทั้งปวง ณ คาบนี้ อ่านจากอาการ “ลุงใจดี” ไม่มีโมโหโกรธาเลี่ยงภาพ “ลุงฉุน” วันนี้เดินสายชิลๆ ขณะที่ต่างชาติขอคิวพบยาวเหยียด อีกทางก็มุ่งปั่นงานโค้งสุดท้าย
กับสถานการณ์ที่มีทิศทางที่ดี สถิติตัวเลขเศรษฐกิจเป็นไปในทางบวก โจทย์อุ้มฐานรากเริ่มเห็นผล
สารพัดโปรเจกต์ประชารัฐเข้าเป้า
จะมีที่ทำเอาหัวร้อนนิดหน่อย กับโครงการที่อัดงบฯเฉียดแสนล้านบาท โปรเจกต์ “ไทยนิยม ยั่งยืน” ที่กระจายไปยังกระทรวงต่างๆที่กำลังถูกขั้วค่ายใหญ่ “ปชป.–เพื่อไทย” ปลีกจากศึกในออกมาดาหน้าถล่มปม “ผลาญงบฯ” หาเสียง
โปรเจกต์ที่หวังเป็นจุดขายชักจะส่อกลายเป็นจุดอ่อน เข้าโค้งสำคัญ “บิ๊กตู่” เริ่มจริงจังจนหงุดหงิด
ส่งสัญญาณเตรียมไล่บี้ทีละกระทรวงที่ยังอืดเป็นเรือเกลือ
เร่งเข็นไทยนิยมฯให้เข้าป้าย เติมแต้มไว้ให้ชัวร์.
ทีมข่าวการเมือง

เรียบร้อยโรงเรียนแม้ว!'ทักษิณ'หนีคำตัดสินคุก 2 ปีคดีโกงที่รัชดาฯจนหมดอายุความแล้ววันนี้(21)



21 ต.ค.61- คำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่พิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร (ขณะนั้น) ซื้อที่ดินรัชดาจำนวน 33 ไร่78 ตารางวา ในราคา 772 ล้านบาทจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันระบบการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551 นั้น และนายทักษิณได้หลบหนีคำตัดสินดังกล่าวอยู่นอกต่างประเทศนั้นได้สิ้นสุดอายุความแล้วในวันนี้ (21 ตุลาคม 2561) 
ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา ในหมวด 9 เรื่องอายุความ มาตรา 98 ระบุว่า เมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษผู้ใด ผู้นั้นยังมิได้รับโทษก็ดี ได้รับโทษแต่ยังไม่ครบถ้วนโดยหลบหนีก็ดี ถ้ายังมิได้ตัวผู้นั้นมาเพื่อรับโทษนับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด หรือนับแต่วันที่ผู้กระทำความผิดหลบหนีแล้วแต่กรณี เกินกำหนดเวลาดังต่อไปนี้ เป็นอันล่วงเลยการลงโทษจะลงโทษผู้นั้นมิได้
(1) ยี่สิบปี สำหรับโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุก ยี่สิบปี
(2) สิบห้าปี สำหรับโทษจำคุกกว่าเจ็ดปีแต่ยังไม่ถึงยี่สิบปี
(3) สิบปี สำหรับโทษจำคุกกว่าหนึ่งปีถึงเจ็ดปี
(4) ห้าปี สำหรับโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีลงมาหรือโทษอย่างอื่น
เท่ากับอายุความการลงโทษของนายทักษิณได้ครบ 10 ปี ในวันนี้.
///
(ข้อมูล)
24 ก.ย.61- แม้คำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่พิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร (ขณะนั้น) ซื้อที่ดินรัชดาจำนวน 33 ไร่78 ตารางวา ในราคา 772 ล้านบาทจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันระบบการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2561  กำลังจะสิ้นสุดอายุความ ในวันที่ 21 ตุลาคม 2561นี้  ก็ตาม แต่ไม่ทำให้นายทักษิณสามารถเดินทางกลับประเทศไทยโดยไม่ถูกจับกุมได้ เพราะยังคงมีอีกหลายคดีที่รอการพิจารณาคดีของศาล
ปัจจุบันนายทักษิณถูกออกหมายจับทั้งสิ้น 4 หมายจับ ประกอบด้วย 
1. คดีปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์   กรณีฟ้องว่านายทักษิณ อนุมัติเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำของเอ็กซิมแบงก์ให้กับรัฐบาลพม่า วงเงิน 4,000 ล้านบาท ในโครงการปรับปรุงระบบโทรคมนาคมของประเทศพม่า เพื่อเอื้อประโยชน์ในธุรกิจดาวเทียม ที่มีการสั่งซื้ออุปกรณ์จากบริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ และบริษัทในเครือตระกูล ชินวัตร
เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 51 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งให้ออกหมายจับเพื่อให้ติดตามตัวมาในนัดพิจารณาคดีครั้งแรกเนื่องจากนายทักษิณไม่มาศาลและหนีคดีไป และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว
2.คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 และ 3 ตัว( หวยบนดิน ) 
คดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดพิจารณาคดีครั้งแรกวันที่ 26 ก.ย.51 นายทักษิณ ไม่มาศาล ศาลจึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับ  และให้จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของนายทักษิณ เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะได้นำตัวมาพิจารณาคดี 
 3.คดีแปลงสัมปทานมือถือ–ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต 
คดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดพิจารณาคดีครั้งแรกวันที่ 15 ต.ค.51 และศาลได้ออกหมายจับนายทักษิณ จำเลย เนื่องจากไม่มาศาล และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความไว้เป็นการชั่วคราว
4.คดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้กว่า 9,000 ล้านบาท ให้กับกฤษดามหานคร 
คดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ออกหมายจับนายทักษิณ เมื่อวันที่ 11 ต.ค.2555  เนื่องจากไม่มาศาลนัดพิจารณาคดีครั้งแรก
ต่อมาวันที่ 20 มิ.ย.2561 ที่ผ่านมานี้เอง ศาลได้ออกหมายจับในคดีนี้อีกใบเนื่องจากนายทักษิณไม่มาศาล 
ส่วนคดี คดีซื้อขายที่ดินรัชดาฯที่ออกหมายจับเมื่อ 21 ต.ค. 2551 มีอายุความตามหมายจับ 10 ปี ครบกำหนดตุลาคมนี้ เช่นเดียวกับคดีทีพีไอ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ยกฟ้องนายทักษิณไปแล้ว ทำให้หมายจับสิ้นสุดลง
ทั้งนี้การที่พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 ที่ยกร่างขึ้นตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบังคับใช้ไปแล้ว ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สามารถพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ ทำให้นายทักษิณอาจต้องโทษจำคุกอีกครั้ง การกลับประเทศไทยเพราะอายุความสิ้นสุดลงนั้น อาจต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าสิบปี
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 95 ในคดีอาญา ถ้ามิได้ฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิดมายังศาลภายใน
กำหนดดังต่อไปนี้ นับแต่วันกระทำความผิดเป็นอันขาดอายุความ
(1) ยี่สิบปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกยี่สิบปี
(2) สิบห้าปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่าเจ็ดปีแต่ยังไม่ถึงยี่สิบปี
(3) สิบปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่าหนึ่งปีถึงเจ็ดปี
(4) ห้าปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่าหนึ่งเดือนถึงหนึ่งปี
(5) หนึ่งปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งเดือนลงมาหรือต้องระวางโทษอย่างอื่น
ก่อนนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาคดีกู้กรุงไทย จำคุก นายวิโรจน์ จำเลยที่ 3, ร.ท. สุชาย เชาว์วิศิษฐ์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นประธานบอร์ดบริหาร ธนาคารกรุงไทยในขณะนั้น คนละ 18 ปี รวมทั้ง ศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยกับพวกร่วมกันชดใช้เงินคืนให้กับธนาคารกรุงไทยด้วย.