PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561

จับสัญญาณเข้ม “บิ๊กแดง” ส่งตรงนักการเมือง : พฤติกรรมเดิม หนังม้วนเก่า


การเมืองกำลังคึกคักกับยุค “ลุงตู่ดิจิทัล”
ตามปรากฏการณ์ที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. เปิดแนวรบโซเชียลมีเดีย เดินหน้าสื่อสารตรงกับผู้คนในสังคมผ่านโลกออนไลน์
ทั้งเพจเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ และเว็บไซต์ส่วนตัว
เปิดสื่อทุกช่องทาง จัดเต็มทุกแพลตฟอร์ม
และต้องยอมรับในความร้อนแรงยี่ห้อ “นายกฯลุงตู่” ที่จัดอยู่ในขั้นฮอต ประเมินจากยอดไลค์ ตัวเลขคนติดตามเพจส่วนตัวของนายกฯพุ่งขึ้นหลักแสนในเวลาไม่กี่วัน
ไม่นับยอดคอมเมนต์ที่มีทั้งเชียร์ทั้งด่า แห่มากันพึ่บพั่บ
โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่าเป็น “แอดมิน” จัดการเพจในโซเชียลฯด้วยตัวเอง ได้อ่านคอมเมนต์ เห็นข้อความที่มีคนส่งเข้ามาชื่นชม รวมถึงพวกที่ถล่มโจมตีกับตา
ไม่เว้นแม้แต่สไตล์ฮาร์ดคอร์ ด่าหยาบๆคายๆ
สถานการณ์แบบที่หลายฝ่ายประเมินคนจุดเดือดต่ำอย่าง “ลุงตู่” จะทนได้แค่ไหนกับ “มนุษย์โซเชียลฯ พันธุ์ไทย” พะยี่ห้อ “นักเลงคีย์บอร์ด” ที่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นเวทีปลดปล่อย
กับโลกของพวกไร้ตัวตน กระแสสมมติลอยๆ
ไหนจะมุกตลกร้าย คนรักเป็นร้อย คนเกลียดเป็นล้าน
แต่ผ่านมาถึงตรงนี้ “นายกฯลุงตู่” ก็ตบะแกร่งพอที่จะรับสภาพเงื่อนไขสถานการณ์ในโลกโซเชียลมีเดียที่ตัดสินใจกระโดดเข้าไปร่วมวงโรมรันพันตู
ใช้ลีลายิ้มสู้ กัดฟัน ไม่ตอบโต้
ดูท่าทางเหมือนเตรียมตัวเตรียมใจมาระดับหนึ่งแล้ว
และแนวโน้มก็เนียนๆ พลิกเป็นมุมน่ารักแบบที่แฟนเพจคนสำคัญอย่าง “เสี่ยโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายอดีตนายกฯทักษิณ ยังคอมเมนต์แซวภาพ “บิ๊กตู่” ถ่ายเซลฟี่กับทีม “หมูป่า” ที่ทำเนียบรัฐบาล
“เวลาลุงไม่ฉุน ลุงก็น่ารักดีนะเนี่ย”
สะท้อนยุทธศาสตร์การชิงกระแสในโซเชียลมีเดียเข้าเป้าระดับหนึ่ง
ถึงตรงนี้ มันเป็นการเฉลยคำตอบด้วยยุทธศาสตร์ในเชิงปฏิบัติ จังหวะการขยับของ พล.อ.ประยุทธ์เท่ากับยกระดับความชัดเจนในการตีตั๋วไปต่อหลังการเลือกตั้ง
พยายามทำทุกทางที่จะประคองกระแส นำมาซึ่งคะแนนความนิยม
อารมณ์มาถึงจุดที่นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ เปิดเผยกับสื่อมวลชนระหว่างร่วมคณะ พล.อ.ประยุทธ์เข้าร่วมประชุมผู้นำเอเชีย–ยุโรป ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม มีผู้นำมากกว่า 11 ประเทศที่มีความประสงค์จะพบหารือกับผู้นำไทย แต่ไม่สามารถที่จะหารือได้ครบทุกประเทศ
ซึ่งการที่เขาพูดคุยกับนายกฯประยุทธ์ ส่วนหนึ่งเพราะบรรดาผู้นำต่างก็สนใจกับโรดแม็ปของประเทศไทย ที่กำลังเดินไปสู่การเลือกตั้ง
และเขาก็รู้ แม้นายกฯจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ก็มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่
เพราะมีคนในรัฐบาลตั้งพรรคพลังประชารัฐ ก็ทำให้ฐานะนายกฯเข้มข้นขึ้น หมายความว่า แม้นายกฯจะไม่ได้เข้าสู่การเลือกตั้งโดยตรง แต่ก็เปิดโอกาสให้ตัวเอง
ซึ่งทำให้นานาประเทศรับรู้ว่า โอกาสที่นายกฯจะกลับมาอีกก็มี
เมื่อมีโอกาส มีมุมนี้ขึ้นมา ก็อาจจะเป็นมุมที่ทำให้ใครๆก็อยากจะพูดคุยกับผู้ที่อาจจะเป็นผู้นำคนต่อไปของประเทศไทยก็ได้
คนระดับ รมว.ต่างประเทศหงายไพ่ข้ามช็อต โชว์เลยว่า นานาชาติยังรู้
ประเทศไทยกำลังเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง โดยมี “นายกฯลุงตู่” เป็นตัวเต็งคัมแบ็ก
อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางบรรยากาศที่นักการเมือง ป้อมค่ายต่างๆกำลังคึกคักกับการเตรียมตัวกลับมาลงสนาม มันก็มีช็อตให้ต้องสะดุ้ง หูผึ่งไปตามๆกัน
กับจังหวะที่ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ขึ้นแท่นโพเดียม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเป็นครั้งแรกในฐานะจ่าฝูงกองทัพบก โดยสถานการณ์ก็เป็นไปตามคาด
ยึดพาดหัวยักษ์หนังสือพิมพ์ยกแผง
“บิ๊กแดง” ไม่รับปาก ไม่รับประกัน ไม่มีปฏิวัติ
เหมือนกับจุดประทัดท่ามกลางความเงียบ คำพูดของ ผบ.ทบ.ทำให้เกิดอาการแตกฮือในหมู่นักการเมือง โดยเฉพาะแนวร่วมพรรคเพื่อไทย เครือข่ายเสื้อแดง นปช. นักวิชาการสายต้านทหาร
ดาหน้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์ อ้างการพูดของ พล.อ.อภิรัชต์ได้ก่อความเสียหาย ทำลายบรรยากาศเลือกตั้ง ก่อความไม่ไว้วางใจให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
เป็นพฤติการณ์ของผู้นำทหารที่เสพติดอำนาจพิเศษ
แต่สังเกตให้ดี ในลีลาแบบพวกที่ได้ทีแห่กระแสต้านท็อปบูต เบอร์ใหญ่อย่างนายจาตุรนต์ ฉายแสง พะยี่ห้อคนเดือนตุลา แกนนำพรรคเพื่อไทย นายปิยบุตร แสงกนกกุล ทีมนิติราษฎร์ แห่งค่ายอนาคตใหม่
ตัวจี๊ดสายตรงดูไบอย่าง “เสี่ยไก่” นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำเพื่อไทย ที่หยิบยกโทษประหารชีวิตตามกฎหมายอาญา มาตรา 113 มาดักคอ ตัวแสบแบบ “เสี่ยเต้น” นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หัวขบวนเสื้อแดง ก็บลัฟ “บิ๊กแดง” เป็นนัย ถ้า กปปส.กับพันธมิตรฯป่วนจะรัฐประหาร แต่ถ้าเสื้อแดงป่วนจะเป็นลานประหาร
ล้วนแล้วแต่มีปมลึกกับทหารแบบฝังใจ
ตามฟอร์มกระตุกกระแสเลือกตั้ง ได้ทีแทรกวาระชักจูงประชาชนเลือกตั้งล้มท็อปบูต
ได้จังหวะแฝงเหลี่ยมหาเสียงกันตามสูตร
แต่ในมุมกลับกันมันก็แปลกที่นักการเมืองอีกส่วนหนึ่งกลับเห็นคล้อยกับคำพูดของ ผบ.ทบ.โดยเฉพาะ เซอร์ไพรส์ก็คือคิวของ “ตุ๊ดตู่” นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ที่ไม่อยากให้มองการพูดของ ผบ.ทบ.เป็นการปรามหรือขู่อะไร แต่ควรจะคิดร่วมกันหาทางออกดีกว่า
ทุกฝ่ายต้องเริ่มที่ตัวเอง คือไม่สร้างเงื่อนไขอย่างที่ ผบ.ทบ.ได้แสดงความห่วงใยออกมา
เช่นเดียวกับจอมหลักการอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็มองว่าการออกมาพูดเรื่องนี้ เป็นเพราะมองตามประวัติศาสตร์การเมืองมากกว่า คิดว่า ผบ.ทบ.คงอยากให้เห็นประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ส่วนตัวในฐานะนักการเมืองเรียกร้องมาตลอดว่าอย่าทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก
ไม่ควรชี้นิ้วต่อว่าใครเป็นต้นเหตุ แต่ควรจะย้อนดูตัวเอง
นักการเมือง “เสียงแตก” นั่นหมายถึง คำพูดของ พล.อ.อภิรัชต์ แปลความได้หลายทาง
เรื่องของเรื่อง โฟกัสบทสัมภาษณ์ครั้งแรกของ “บิ๊กแดง” นอกจากคำถามของนักข่าวเรื่องปฏิวัติแล้ว แนวโน้มตามท้องเรื่องหลักๆที่จ่าฝูงกองทัพบกตั้งใจส่งสัญญาณคลื่นความถี่สูงชัดๆ
มันอยู่ที่การเน้นย้ำ กองทัพบกจะใช้ศักยภาพและใช้ขีดความสามารถทุกอย่างในการปกป้องสถาบัน
ตีธงยกระดับความเข้มของภารกิจพิเศษในห้วงเปลี่ยนผ่าน
ส่วนมุมการเมืองก็พูดตามเนื้อผ้า เหมือนเลกเชอร์ย้อนอดีตโยงปัจจุบันข้ามไปอนาคต
การแก่งแย่ง ชิงการเมือง การเอาชนะ ไม่รู้จักแพ้ แล้วคนที่แพ้ก็คือประเทศ แทนที่เราจะแข่งขันทางการค้า แล้วต้องใช้เวลากี่ปีฟื้นฟูประเทศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย หลังเกิดเหตุการณ์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว มีการยกเลิกการนำเข้าส่งออกของต่างประเทศ เป็นเงินมหาศาลกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่
จุดไฟเผาเมืองเกิดกลียุค ปีเดียวสิ่งปลูกสร้างทำได้ แต่ในทางการค้าไม่ใช่ ความมั่นใจของต่างชาติในการลงทุนต้องใช้เวลานานกว่านั้น แต่วันนี้ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น อาจจะเห็นผลช้า ไม่ทันใจ ตนเองเชื่อว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำทุกอย่างอย่างรอบคอบ
“บิ๊กแดง” ไม่ยืนยันมัดคอตัวเอง แค่ทิ้งทุ่นไว้ในที ถ้าการเมืองไม่เป็นต้นเหตุแห่งการจลาจลก็ไม่มีอะไร
ในวงเล็บ ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ป่วนของนักการเมือง
มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ในเจตนาของคนเป็น ผบ.ทบ.ในฐานะเบอร์หนึ่งคุมกำลังฝ่ายความมั่นคงที่ต้องป้องปรามเหตุจลาจลวุ่นวาย เสี่ยงเสียเลือดเสียเนื้อ
เหนืออื่นใด มุมของ “บิ๊กแดง” มันก็ตรงกับประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่อยากกลับไปเผชิญฝันร้าย
ในจังหวะที่บ้านเมืองพ้นปากเหวมาไกล ภาพเปรียบเทียบตลอดช่วง 4-5 ปีที่การเมืองนิ่ง ปลอดจากม็อบป่วนเมือง เอื้อต่อการพัฒนาการทางเศรษฐกิจ รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ได้ฉุดลากเศรษฐกิจจากติดลบจากวิกฤติความขัดแย้งทางการเมือง จนกลับมาเป็นบวก ตั้งหลักได้แล้ว พื้นฐานแข็งแกร่ง แนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
มันน่าเสียดาย หากการเมืองจะป่วนลากกลับลงเหว
แน่นอน ในอารมณ์ที่ “บิ๊กแดง” สะท้อนออกมา มันอาจจะเข้าทางทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” ตีตั๋วต่อ เพื่อพาประเทศชาติเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย
ตรงกันข้าม มันเป็นความเสียหายทางการเมืองของเครือข่าย “ทักษิณ”
แต่มันก็คือความจริงที่เห็นกันอยู่ตรงหน้า ใครคือตัวปัญหา ใครคือฝ่ายแก้
เอาเป็นว่า ตามโจทย์ที่ ผบ.ทบ.โยนทุ่นออกมาล่วงหน้า ถ้ายังไม่แก้พฤติกรรม หนังม้วนเก่าฉายซ้ำ
เลือกตั้งแล้ววนกลับมาสู่วงจรอุบาทว์ ทุจริต คอร์รัปชัน หมิ่นสถาบัน ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ลากการเมืองในสภาออกไปป่วนบนถนน ปลุกม็อบชนกัน
มันก็หนีไม่พ้นต้องเจอกับ “บิ๊กแดง”.
“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: