PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ม็อบนกหวีดตามราวี"ยิ่งลักษณ์"ที่มหาสารคาม

17.40น.นายกฯเดินทางถึงโรงแรมตักสิลา จ.มหาสารคามแล้ว พบปะประชาชนหน้าโรงแรม ในขณะที่ม็อบนกหวีดสารคามเป่าสุดแรง+ตะโกนไล่ออกไปๆ ทันทีที่เห็นขบวนรถนายกฯเข้าโรงแรมที่ห่างจากจุดชุมนุม200ม

วันศุกร์ที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๖


"ยิ่งลักษณ์"คุย กกต.ยันลุยเลือกตั้ง2ธ.ค.ไม่เลื่อน


20 ธ.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.20 น. นายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์ กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ เปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมพร้อมด้วย รมว.ต่างประเทศ รมว.ยุติธรรมได้มาเยี่ยมและพูดคุยกับ กกต.5 คน ประเด็นแรกที่พูดคุยและเห็นตรงกันว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึงมีความสำคัญและเป็นห่วงสถานการณ์ว่าการเลือกตั้งอย่างไร จะบริสุทธิ์ยุติธรรม ข้อสำคัญนายกฯเป็นห่วงว่าการดำเนินการของ กกต.จะมีงบประมาณเพียงพอหรือไม่
นอกจากนี้ นายกฯระบุว่าพร้อมให้การสนับสนุน โดยดูแลในเรื่องการรักษาความปลอดภัย การดูแลประชาชนให้มาใช้สิทธิใช้เสียง ซึ่งได้ฝากข้อกังวลใจว่า กกต.อยากจะเห็นกระบวนการเลือกตั้งเป็นกระบวนการที่เกิดผลทางประชาธิปไตยและนำไปสู่การรอมชอม เป็นการเลือกตั้งที่จะนำพาประเทศให้เดินหน้าไปได้จริงๆ นายกฯก็รับความกังวลใจของ กกต. โดยที่จะหาทุกวิถีทางให้เกิดความรอมรอม ดำเนินไปด้วยความสมานฉันท์
นายธีรวัฒน์ ได้ชี้แจงกรณีการเสนอประเด็นข้อกฎหมายที่เป็นทางออกการเมือง ว่า กกต.ขอสงวนท่าที เพราะเราคิดว่า สถานะ กกต.ต้องเป็นกลาง หากนำเสนอไปแล้ว ข้อกฎหมายเหล่านี้ก่อให้เกิดการถกเถียงกันจากจุดยืนของผลประโยชน์ ความคิดเห็นของ 2 ฝ่าย ดังนั้น กกต.ขอสงวนท่าทีว่า ไม่ใช่หน้าที่ กกต.จะให้ความเห็น เราเพียงแต่บอกทำอย่างไรการเมืองจะสมานฉันท์ เป็นไปตามระบบ ทำอย่างไรไม่ให้การเลือกตั้งเป็นวันมหาโกลาหล ทำให้เกิดความยุ่งยากตามมาอีกมากมาย
“ดังนั้นการจะให้ความเห็นทางกฎหมายเพื่อไปสอดคล้องกับความคิดข้างใดข้างหนึ่ง กกต.ไม่ทำ เราเข้าใจบทบาทของเรา หน้าที่ กกต.คือจัดการการเลือกตั้งตามกฎหมาย เมื่อมีกฎหมายกำหนดมาเราต้องทำ ต้องเดิน แต่จะไม่ให้ กกต.ห่วงใยสถานการณ์ในวันเลือกตั้ง พวกเรามีจิต วิญญาณ ความรู้สึก ความห่วงใย จึงยืนยันว่าเป็นห่วงการเลือกตั้ง”

"สมเกียรติ"เตือน"นายกปู"มวลชน"สุเทพ"คุณภาพ


20 ธ.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมเกียรติ อ่อนวิมล นักวิชาการและสื่อสารมวลชนอาวุโส ทวีตข้อความผ่านทวีตเตอร์ส่วนตัวที่ชื่อว่า “Somkiat Onwimon ‏@somkiatonwimon” แสดงความคิดเห็นหลังจากได้เห็นภาพมวลมหาประชาชน และมวลชนมหาศาลที่คอยให้การต้อนรับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ตลอดเส้นทางตั้งแต่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินไปตลอดเส้นทางจนถึงสาธรว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม น่าจะรู้ตัวดีว่าจบชีวิตในเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแล้ว
นายสมเกียรติ ทวีตว่า ไม่ได้มีความเกลียดชัง แต่อยากบอก น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่าต้องคิดให้ได้ เนื่องจากพลังประชาชนมากมายขนาดนี้ ต่างจังหวัดก็มีมวลชนไม่น้อยที่สนับสนุนนายสุเทพ ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมื่อวานบรรยากาศการต่อต้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีตดีอาญาไปต่างประเทศก็มีจำนวนมากเช่นกัน
“มวลมหาประชาชน เป็นคำเฉพาะ เรียกมวลชนที่สนับสนุนคุณสุเทพฯและ กปปส. ผมเรียกถูกแล้ว เป็นนิยามศัพท์เฉพาะครับ คำว่า "mob" ใช้ได้เฉพาะกับมวลชนที่รุนแรงไร้ระเบียบเท่านั้น เช่นพวกเสื้อแดงและเสื้อเหลืองในอดีตที่ใช้ความรุนแรงก่อเหตุร้ายคุมไม่อยู่ ผมสนับสนุนแนวปฏิรูปประเทศของคุณสุเทพเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ทุกเรื่อง ไม่สนับสนุนให้เลื่อนการเลือกตั้ง อยากปฏิรูปหลังเลือกตั้ง
นายสมเกียรติ  ทวีตไว้ด้วยว่า การประเมินคนสนับสนุนนายสุเทพว่ามากมหาศาลกว่าที่มองเห็นวันนี้ เป็นการประเมินเชิงคุณภาพ จากนี้สังคมต้องช่วยกันเปลี่ยนทัศนะฝูงชนที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้กลับมาสนับสนุนความดีความสุจริตยุติธรรมต้องให้ประชาชนทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนทุจริตคดโกงชาติ ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นคนต่ำคุณภาพที่จะนำประเทศไทย คนเสื้อแดงต้องไม่สนับสนุน

Former Thai PM Thaksin Shinawatra calls on Asia to enhance economic integration


Thaksin Shinawatra delivers speech calling on Asian countries to enhance economic integration with each other
  • By Alexander Cornwell, Staff Reporter
  • Published: 18:49 December 15, 2013
  • Gulf News
  • Image Credit: Arshad Ali/Gulf News
Dubai: Thaksin Shinawatra, the controversial former Prime Minister of Thailand, called on Asian countries to increase economic integration with each other in an awards ceremony speech in Dubai on Saturday night.
In the closing address of the 2013 Asian Business Leaders Forum (ABLF) Awards, the former Prime Minister said the need for Asia to come together has never been greater, pointing out that western countries are no longer importing as much as they used to from Asia.
“This is indeed the momentum to take the One Asia metamorphosis. Now is the time to build on Asia’s potential to make it the economic powerhouse … that it should be,” Shinawatra said.
The ABLF Awards recognises political and business figures from across Asia and the Middle East. Shinawatra is a former recipient of the event’s Statesman Award despite being ousted in a 2006 military coup following widespread allegations of corruption. He has since been convicted for political corruption and now lives in Dubai. However, his sister Yingluck, who is the current Prime Minister of Thailand, recently led an amnesty bill through parliament that would have pardoned him.
The proposed bill, subsequently rejected by the Senate, sparked widespread public and political protests leading to calls for political reform. Yingluck has since dissolved parliament and announced fresh elections to be held in February next year.
In his speech, Shinawatra said Asia was united in its vision for a vibrant and confident continent but that it had looked too much to the west.
“For many decades we have relied on the western model of development. Even in our regional interactions, we have always had an eye out for Europe,” he said.
It was unclear throughout Shinawatra’s 20-minute speech how Asia would come together except that it needs greater economic partnership. At times he spoke of the European Union and how at a cost of integration it had “produced a large degree of sameness and standardisation” leading to an “inability to compete, therefore reducing the economic interaction and diversification.”
Shinawatra did not outline the role the Asian governments would play in his One Asia or united economic Asia concept but later said he hoped “the message of One Asia will generate the interest of support and political view behind the call.”

Enhance connectivity
According to Shinawatra, Asia will need to diversify its assets and enhance connectivity between its countries if it is to grow its economy. He said Asian countries should again focus on production but increase intra-regional exports and imports. He also spoke on the vast income disparity across Asia and said enhancing the purchasing power of all Asians would contribute to global economic growth.
However, Shinawatra warned that Asia’s problem is that it has followed the western mode for production, emphasising on exporting mass-produced goods.
“To realising people’s right and potential in Asia we should recognise that the process of qualifying Asia’s role in production and assets in the past can be one important factor in upgrading the quality of life of our people but that … cannot draw on the early 20th century method of production,” he said.
He said that although Asia is a successful mass producer it risked falling into the same trap as the European Union, who he said has stopped thinking about diversity.
“Herein lies (sic) the key for Asia how to diversify its sources of growth and build strength from its diversity,” he said.
Thailand’s Deputy Prime Minister Kittiratt Na-Ranong attended Saturday night’s event and presented awards alongside Shinawatra. He would not comment on Yingluck’s decision to dissolve the Thai parliament.

′สุเทพ′ ถก เวที สรส. ย้ำต้องเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป 1-2 ปี

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ร่วมกับ กปปส. ได้ร่วมกันจัดเวทีเสวนาหัวข้อ"ปฏิรูปประเทศนำสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐวิสาหกิจ จากระบบการเมืองอุปถัมภ์" โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. กล่าวตอนหนึ่งว่า การซื้อเสียง การควบคุม ส.ส.และ ส.ว.การเร่งออกกฎหมาย และปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย สิ่งเหล่านี้ทำให้ประชาชนออกมาต่อสู้ เพื่อให้มีปฏิรูปก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง เพราะขณะนี้สมาชิกบ้านเลขที่ 111 และ 109 พ้นจากการถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปีแล้ว และพร้อมเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 คนพวกนี้ต้องโดนลงโทษมากกว่านี้ และ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ที่ช่วยพรรคไทยรักไทยทุจริตเลือกตั้ง แต่ศาลฎีกายกฟ้อง ก็ต้องแก้กฎหมายว่าประชาชนทุกคนสามารถฟ้องการทุจริตเลือกตั้งได้ ทั้งนี้ สิ่งที่น่ากลัวคือทุจริต และต้องแก้ไขความเหลื่อมล้ำในสังคม ใช้เวลา 1 ปีครึ่ง จากนั้นค่อยไปเลือกตั้ง ตนจะได้กลับบ้าน คราวนี้เราเซ็ต ซี่โร่โดยพลังประชาชน ต้องค่อยๆ ใช้เวลา อดทนไล่จนกว่าระบอบทักษิณจะหมด

“กกต.บอกว่า 2 กุมภาพันธ์ 57 อาจเลื่อนวันเลือกตั้งได้ เลื่อนนั้นไม่ใช่แค่ 2-3 เดือน แต่ต้องใช้เวลาเลื่อน 1-2 ปี รัฐบาลจะอ้างเป็นคนนำการปฏิรูป เพราะอาจเขียนกฎหมายให้ตัวเอง แบบนี้ไม่ได้ ต้องมอบให้ประชาชนทำ ผมเสนอให้มีนายกฯ คนกลางเข้ามาทำเรื่องนี้ และตนไม่เล่นการเมืองแล้ว คราวนี้ถ้าตนแพ้ก็ไม่รู้จะรวมประชาชนมาร่วมปฏิรูปได้แค่ไหน ไทยเฉยต้องปลุกมาช่วยกัน แม้แต่ นปช.ก็เชิญ เว้นแต่คนเสื้อแดงทักษิณและแกนนำนปช.ที่ขายวิญญาณให้ทักษิณ เช่น นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ไม่ต้องมา"นายสุเทพ กล่าว

“ไพศาล” เตือน “ธาริต” เคารพคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เปิดเผยกับสื่อมวลชนเมื่อบ่ายวันนี้ เตือนนายธาริต เพ็งดิษฐ์ และตำรวจให้เคารพคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยสองคดีซ้อนว่าการชุมนุมของ กปปส. เป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นสิทธิการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ ต้องถอนหมายจับและยกเลิกข้อหาทั้งหมด นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่ากรณีเกี่ยวกับการชุมนุมของ กปปส. และประชาชนที่ผ่านมานั้น ได้มีผู้นำคดีไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นสองเรื่อง และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกันทั้งสองคดี คือ คดีแรก นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้สั่งเลิกการชุมนุมโดยกล่าวหาว่าเป็นการชุมนุมที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ คดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ โดยสันติ และปราศจากอาวุธ จึงให้ยกคำร้อง

คดีที่สอง สมาคมทนายความไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้สั่งให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. และประชาชนเลิกชุมนุม คดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการชุมนุมของ กปปส. เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ ไม่ได้เป็นการชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงใด ๆ จึงให้ยกคำร้องเช่นเดียวกัน

นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทั้งสองคดีตรงกัน มีผลเด็ดขาดตามที่ศาลได้วินิจฉัย และมีผลผูกพันรัฐบาล รัฐสภา ศาล ตลอดจนองค์กรอื่นของรัฐ รวมทั้งดีเอสไอ ตำรวจ และพนักงานสอบสวนทั้งหลายด้วย ผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติย่อมเป็นกบฏต่อรัฐธรรมนูญ ย่อมผิดกฎหมายที่ต้องมีโทษทั้งทางการเมืองและทางอาญาด้วย ผลจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทั้งสองคดีนี้จะมีผลดังต่อไปนี้ ข้อแรก ดีเอสไอและตำรวจจะต้องยกเลิกข้อกล่าวหากบฏและข้อกล่าวหาอื่น ๆ ตลอดจนต้องยกเลิกเพิกถอนหมายทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญโดยพลัน จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หรือไม่รับรู้ไม่ได้เด็ดขาด ข้อสอง พนักงานสอบสวนจะต้องไปยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอยกเลิกหมายจับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในข้อหากบฏทันที หรือในกรณีที่จ่าศาลหรือศาลเห็นเองว่ามีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเช่นนี้แล้วก็มีอำนาจที่จะเพิกถอนหมายจับเสียเองก็ได้

และในส่วนของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็มีสิทธิ์ที่จะไปร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนหมายจับได้ทันทีด้วย ข้อสาม รัฐบาลจะต้องรีบยกเลิกประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงทันที เพราะเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยผูกพันเช่นนี้แล้วก็ทำให้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถ้าหากดึงดันผู้มีส่วนได้เสียสามารถไปฟ้องคดีต่อศาลปกครองให้เพิกถอนเสียได้ นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่ากรณีจึงต้องเตือนดีเอสไอ ตำรวจ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ และผู้รักษาการที่เกี่ยวข้องให้เคารพต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและปฏิบัติตามแนวทางที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้ และอยากจะฝากบอกไปถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือใครก็ได้ที่อ่านเรื่องนี้แล้วให้ไปบอกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ให้ไปขอถอนหมายจับเสีย และใครที่ถูกอายัดเงินตามคำสั่งของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ก็สามารถไปดำเนินการให้ยกเลิกการอายัดได้ทันทีด้วย นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีแรกมาพอสมควรแล้ว การฝ่าฝืนหรือเพิกเฉยหรือยังดึงดันดื้อรั้นเดินหน้ากล่าวหา กปปส. และประชาชนที่ชุมนุมจึงเป็นการทำผิดตามกฎหมาย เช่น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และมาตรา 200 จึงขอเตือนว่าให้ระวังว่าจะติดคุกหัวโต. http://www.paisalvision.com/news/paisal-new/10828-2013-12-19-08-14-39.html
////////////

ศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ มาร์ค-เทพ ชุมนุมราชดำเนิน ไม่ขัดมาตรา 68 ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่เอกสารผลการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่า คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยังได้พิจารณาคำร้องที่ นายกิตติ อธินันท์ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปัตย์ กระทำการเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่

จากกรณีที่ผู้ร้องได้กระทำการชุมนุมบริเวณ ถ.ราชดำเนิน โดยมีการปิดเส้นทางการจราจร อีกทั้งยังได้ดำเนินการเคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมไปปิดล้อม และบุกยึดสถานที่ราชการ สถานที่เอกชน และรัฐวิสาหกิจต่างๆ จนทำให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ รวมทั้งการที่นายสุเทพ ประกาศจะจัดตั้งสภาประชาชนเพื่อใช้อำนาจอธิปไตยสร้างกฎเกณฑ์และกติกาในการปกครองประเทศใหม่ จึงเห็นว่าการกระทำของนายสุเทพ ได้รับการสนับสนุนจากนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 3 และ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง

โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เห็นว่า การชุมนุมของประชาชนตามคำร้องเป็นการใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมือง โดยมีเหตุผลมาจากความไม่ไว้วางใจในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล อันถือเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และเป็นการเรียกร้องและแสดงพลังด้วยการสนับสนุนของประชาชนจำนวนมาก

ประกอบกับสถานการณ์ตามคำร้องได้พัฒนาไปสู่การยุบสภาและเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งแล้ว จึงยังไม่มีมูลกรณีตามคำร้องดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย