PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

"ถาวร" เปิดโปงแผน "ยิ่งลักษณ์" เผ่นไทย !!! เช่าเครื่องบินที่เชียงใหม่ ก่อนซบแดนมะกัน




"ถาวร  เสนเนียม"  โพสต์ FB เชื่อปูวางแผนไปฮ่องกง หวังสบโอกาลลี้ภัยต่อที่อเมริกา -เหยี่ยวข่าวแจง ได้เช่าเหมาเครื่องบิน 2 ลำที่เชียงใหม่   

 วันนี้ ( 13 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า     นายถาวร เสนเนียม อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค ถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขออนุญาตคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางไปประเทศฮ่องกง และกรณีที่รัฐบาลไทยหันไปให้ความร่วมมือทางการทหารกับประเทศจีน ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายที่ตรงกันข้ามกับความต้องการของสหรัฐอเมริกา

          ระบุข้อความดังนี้
 
          การตั้งด่านตรวจค้นรถ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร จะเป็นความบังเอิญหรือเป็นความตั้งใจก็ตามแต่ ข่าวแจ้งว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ขออนุญาตคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางไปฮ่องกง ก็เพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อขอลี้ภัยทางการเมือง ข่าวยังแจ้งอีกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เช่าเครื่องบินเหมาลำจำนวน 2 ลำไว้ทั้งที่จังหวัดเชียงใหม่และกรุงเทพฯ หาก คสช.อนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศตามคำขอ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ทันที ขณะเดียวกันช่วงเวลาดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้เดินทางมารอ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ฮ่องกงด้วย อย่างไรก็ตามทีมงานของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็มีการเตรียมพร้อม จะสังเกตได้ว่าเมื่อมีการตรวจค้นรถ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็มีภาพผ่านสื่อสารมวลชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นลบต่อ คสช.และรัฐบาล และเป็นบวกต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์


          นายถาวร กล่าวอีกว่า คสช.และรัฐบาลได้ดำเนินนโยบายตรงข้ามกับความต้องการของสหรัฐอเมริกา โดยหันไปร่วมมือกับประเทศจีนแทน เห็นได้จากโครงการฝึกร่วมคอบบร้าโกลด์ 2015 ตามปกติบุคคลสำคัญของไทยบางตำแหน่ง จะเดินทางเข้าร่วมพิธีเปิด แต่ครั้งนี้ไม่ได้เดินทางไป และก่อนหน้าพิธีเปิดฝึกร่วมคอบบร้าโกลด์ 3 วัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พร้อมผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพได้ให้การต้อนรับ พล.อ.ฉาง ว่านฉวน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะ อย่างเป็นทางการ ซึ่งข่าววงในแจ้งว่า การมาเยือนของ รมว.กลาโหมประเทศจีนครั้งนี้ ได้รับคำเชิญจากบุคคลสำคัญของไทย ผ่านทางอดีตรัฐมนตรีคนหนึ่ง ผู้ใกล้ชิดฐานอำนาจในรัฐบาลจีน สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวบุคคลสำคัญมากของไทย ที่เดินสายปาฐกถาให้โอวาทค่อนข้างถี่ยิบ และผิดปกติพอสมควร และหลายคำพูดมีปริศนาในทางการเมือง โดยเฉพาะการต่อต้านการทุจริตและให้รังเกียจผู้ที่ทำการทุจริต ซึ่งตนถือว่าท่านมีความปรารถนาดีอย่างยิ่งต่อบ้านเมือง

สายลับป.ป.ส.ร้องตร.กองปราบ ถูก'ชากานต์'อ้างเบื้องสูงปิดคดี

สายลับป.ป.ส.ร้องตร.กองปราบ ถูก'ชากานต์'อ้างเบื้องสูงปิดคดี
13 ก.พ.58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.30 น. นายเลปกร ศิริมังกร อายุ 36 ปี นักสืบสวนสอบสวนปฏิบัติการ 5 สำนักงาน ป.ป.ส.ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. ,พ.ต.อ.ประเสริฐ พัฒนาดี รอง ผบก.ป. ,พ.ต.อ.สรายุทธ สงวนโภคัย รอง ผบก.ป. เพื่อร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับนายชากานต์ ภาคภูมิ และนายปรีชา ดาราไตร ในข้อหา “หมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112”
นายเลปกร ร้องเรียนว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 57 ตนและเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.ได้นำหมายค้นศาลอาญาขอเข้าตรวจค้นบ้านทาวน์โฮม ย่านเกษตร-นวมินทร์ ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวพันกับการค้ายาเสพติด ระหว่างการเข้าตรวจค้น ผู้เช่าอาศัยบ้านหลังดังกล่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถามนายปรีชา ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน ก่อนที่นายปรีชา จะรีบเดินทางมา พร้อมกล่าวด้วยท่าทางที่ไม่พอใจ โดยมีการอ้างว่าบ้านหลังดังกล่าวมีผู้ใหญ่ดูแลอยู่ จากนั้นจึงต่อสายให้พูดโทรศัพท์กับชายคนหนึ่ง ทราบชื่อต่อมาภายหลังคือ นายชากานต์ และอ้างว่าเป็นเลขาฯของนายณัฐพล สุวะดี (ซึ่งขณะนั้นคือ พ.ต.ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา ราชองครักษ์) และไม่อนุญาตให้ตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว
ต่อมาวันที่ 17 ก.ย.57 นายชากานต์ และนายปรีชาได้เดินทางไปที่ ป.ป.ส.พร้อมทั้งเรียกพวกตนเข้าพบ แล้วมีการอ้างถึงเบื้องสูงฯ ก่อนที่นายชากานต์ จะบังคับให้ไหว้ขอโทษนายปรีชา ไม่เช่นนั้นจะหาวิธีการลงโทษพวกตน ซึ่งตอนนั้นยอมรับว่าเกรงกลัวอำนาจอย่างมาก จึงตัดสินใจไหว้ขอโทษทั้งสองคนไป กระทั่งเห็นข่าวว่าเครือข่ายสุวะดี ถูกจับกุม จึงนำเรื่องเรียนผู้บังคับบัญชา ก่อนเดินทางมาร้องทุกข์ในที่สุด
พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวว่า นายชากานต์ และนายปรีชา เป็นเครือข่ายผู้ต้องหาในคดีหมิ่นเบื้องสูง ตาม ม.112 ในหลายท้องที่และถูกจับกุมไปก่อนหน้า ซึ่งขณะนี้นายชากานต์ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ขณะที่นายปรีชา ยังคงหลบหนีอยู่ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะสอบปากคำ พร้อมรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนจะดำเนินการต่อไป


เปิดผลสรุป นิติวิทยาศาสตร์ ตร.สาเหตุการตาย "น้องโบว์-สารวัตรจ๊าบ" เหตุการณ์7 ตุลาเลือด

สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ข้อสรุปสาเหตุการบาดเจ็บและเสียชีวิตของผู้เข้าร่วมชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 บริเวณรัฐสภา กองบัญชาการตำรวจนครบาลและบริเวณโดยรอบ

1.กรณีการเสียชีวิตของ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี นายตำรวจนอกราชการ อดีต สวป.เมือง บุรีรัมย์ และเป็นน้องเขย นายการุณ ไสยงาม สว.สจ.บุรีรัมย์

1.1 พฤติการณ์ โดยย่อเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 เวลากลางวัน พ.ต.ท.เมธีฯ ได้เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตร ที่บริเวณแยกขัตติยาณี หน้าที่ทำการพรรคชาติไทย ถนนสุโขทัย เขตดุสิต กทม. พ.ต.ท.เมธีฯ ได้เข้าไปในรถยนต์จิ๊ปเซโรกี้ หมายเลขทะเบียน พต.9755 กทม. ขณะที่ พ.ต.ท.เมธีฯ อยู่ในรถคันดังกล่าว ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้น 1 ครั้ง ทำให้ พ.ต.ท.เมธีฯ เสียชีวิตทันที รถยนต์ฯ ได้รับความเสียหายและเกิดเพลิงไหม้ในเวลาต่อมา มีการใช้อุปกรณ์ดับเพลิงและรถดับเพลิงในการดับเพลิงจนสงบ ในห้วงเวลาดังกล่าวไม่มีการสลายฝูงชนแต่อย่างใด

1.2 การรักษาสถานที่เกิดเหตุและการตรวจสถานที่เกิดเหตุหลังเกิดเหตุแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดุสิตได้เข้าไปรักษาที่เกิดเหตุแล้วแจ้งให้ กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิดและ กองพิสูจน์หลักฐาน ร่วมตรวจที่เกิดเหตุ

1.3 พยานหลักฐานพบในที่เกิดเหตุ
1.3.1 เศษชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ
1.3.2 เศษคราบเขม่าวัตถุระเบิด
1.3.3 เศษภาชนะพลาติกสีขาว
1.3.4 เชื้อปะทุไฟฟ้าทับพลเรือน 1 ดอก
1.3.5 เศษชิ้นส่วนโลหะ
1.3.6 เศษกระดาษการ์ดและซิบการ์ด

1.4 ชนิดของสาระเบิดที่ตรวจพบภายในรถยนต์ฯ และวัตถุพยานต่างๆ
- สารระเบิดแรงสูงชนิด ที.เอ็น.ที. สารระเบิดแรงสูงชนิด R.D.X.
- สารระเบิดแรงสูงชนิด ที.เอ็น.ที. จะจุดตัวจนเกิดการระเบิดขึ้นได้ต้องใช้เชื้อปะทุไฟฟ้า หรือเชื้อปะทุ ชนวน เท่านั้น
- สารระเบิด R.D.X. เป็นระเบิดแรงสูงที่ใช้บรรจุในหลอดเชื้อประทุและฝักแคระเบิดทั่วไป
จากพยานหลักฐานดังกล่าวข้างต้น จึงน่าเชื่อได้ว่า พ.ต.ท.เมธีฯ เสียชีวิตจากระเบิดแสวงเครื่องซึ่งทำงานโดยอาศัยกระแสไฟฟ้าจากโทรทัศน์มือถือเป็นตัวจุดระเบิด และเกิดระเบิดภายในรถยนต์ดังกล่าว มิได้เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่อย่างใด

2.กรณีการเสียชีวิตของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือน้องโบว์

2.1 พฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยย่อ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ช่วงเวลาบ่าย กลุ่มผู้ชุมนุม จำนวนมาก ได้มุ่งหน้าไปที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล แต่ก่อนถึงกองบัญชาการตำรวจนครบาลเจ้าหน้าที่ได้วางเครื่องกีดขวางไว้ และได้มีนายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการเข้าไปเจรจากับกลุ่มพันธมิตรและระหว่างการเจรจานายตำรวจดังกล่าวถูกกลุ่มพันธมิตรทำร้ายได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจำเป็นต้องป้องกันตัวและผลักดันกลุ่มพันธมิตรให้ถอยร่นออกไป โดยใช้แก๊สน้ำตาเป็นเครื่องผลักดันและสลายการชุมนุม เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง หลังจากกลุ่มพันธมิตรถอยร่นไปแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบภายหลัง มีกลุ่มผู้ชุมนุมบาดเจ็บและเสียชีวิต และผู้เสียชีวิตทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิหรือน้องโบว์ฯ

2.2 การรักษาสถานที่เกิดเหตุและผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุ
- หลังจาก น.ส.อังคณาฯ เสียชีวิตมีบุคคลที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมากเข้าไปในสถานที่เกิดเหตุ และเคลื่อยย้ายศพโดยพลการทำให้วัตถุพยานถูกทำลาย
- เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถเข้าไปรักษาที่เกิดเหตุและตรวจสถานที่เกิดเหตุได้ เนื่องจากมีการปิดล้อมของกลุ่มผู้ชุมนุม
- มีหน่วยงานบางหน่วยงานที่ไม่มีหน้าที่โดยตรง ได้เข้าทำการตรวจพื้นที่เกิดเหตุ โดยไม่คำนึงถึงระยะเวลาหลังเกิดเหตุ ไม่มีการรักษาสถานที่เกิดเหตุ ขาดทักษะและประสบการณ์ในการใช้เครื่องมือที่นำมาตรวจสอบผิดวัตถุประสงค์ของการใช้งาน อาจเป็นเหตุให้ผลการตรวจพิสูจน์คลาดเคลื่อนได้อาจส่งผลเสียต่อรูปคดีได้

2.3 พยานหลักฐานต่างๆ ที่พบ
- จากภาพถ่ายศพ มีบาดแผนขนาดใหญ่บริเวณชายโครงด้านซ้ายและใต้ท้องแขนซ้ายท่อนบน ลึกถึงกระดูก และมีรอยสะเก็ดเป็นจุดเล็กๆ ที่หลังเท้า ข้างเท้า และบริเวณใกล้ตาตุ่มเท้าซ้ายบาดแผลดังกล่าวน่าจะเกิดจากสารระเบิดน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 200 กรัม ในขณะที่แก๊สน้ำตาที่ผลิตจากประเทศจีนมีสารระเบิดหรืออาร์ดีเอ๊กซ์ (R.D.X.) น้ำหนักเพียง 7 กรัม เท่านั้น
- กรณีที่กองพิสูจน์หลักฐานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจเสื้อผ้าที่ น.ส.อังคณาฯ หรือน้องโบว์ ใส่ในขณะเกิดเหตุ โดยตรวจพบสารเคมีที่เป็นวัตถุระเบิดชนิด C4 ติดอยู่ที่เสื้อยืดสีเหลืองและเสื้อชั้นในสภาพฉีกขาดและตรวจพบสารเคมี ชนิด R.D.X. ติดอยู่ที่กางเกงยีนส์ขายาว

2.4 ชนิดของสารระเบิดที่ตรวจพบ
- สารระเบิดแรงสูง ชนิด C4
- สารระเบิดแรงสูงชนิด อาร์.อี.เอ๊กซ์ (R.D.X.)
- สารระเบิดแรงสูง ชนิด C4 จะจุดตัวจนเกิดการระเบิดขึ้นได้ต้องใช้เชื้อปะทุไฟฟ้า หรือเชื้อปะทุชนวนเท่านั้น
- สารระเบิด R.D.X. เป็นระเบิดแรงสูงที่มีความไวใช้บรรจุในหลอดเชื้อปะทุฝักแคระเบิดทั่วไป
- แก๊สน้ำตาที่ผลิตจากประเทศจีน ภายในบรรจุ สารอาร์ ดี เอ๊กซ์ (R.D.X.) น้ำหนักประมาณ 7 กรัม ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายการระเบิด (Booster) เพื่อให้แก๊สน้ำตาฟุ้งกระจายออกไปเท่านั้น ไม่มีวัตถุประสงค์ในการทำให้บาดเจ็บหรือสังหารบุคคลแต่อย่างใด
- จากพยานหลักฐานดังกล่าวข้างต้น จึงน่าเชื่อได้ว่า น.ส.อังคณาฯ หรือน้องโบว์ เสียชีวิตจากสาระเบิดขนาดน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 200 กรัม ในระยะชิดติดตัว และระเบิดดังกล่าวมีสะเก็ตเล็กๆ โดยสังเกตจากบาดแผลที่บริเวณตาตุ่มซ้ายและเท้าซ้าย เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดจากแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีสารระเบิด R.D.X. เพียง 7 กรัม ในแก๊สน้ำตาไม่มีสารระเบิดชนิด C4 และไม่มีสะเก็ด แต่จะเสียชีวิตจากสารระเบิดชนิดใดและของผู้ใดนั้นไม่สามารถยืนยันได้ เพราะพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุถูกทำลาย มีการเคลื่อยย้ายผู้ตายออกจากที่เกิดเหตุโดยพลการ และมีการตรวจสถานที่เกิดเหตุแล้ว และไม่ได้มาตรฐานตามหลักสากล

3.กรณีบาดเจ็บของ นายบัญชา บุญแก้ว อายุ 30 ปี ผู้เข้าร่วมชุมนุม

3.1 พฤติการณ์โดยย่อ เมื่อวันที่ 7  ม.ค. 2552 ช่วงเช้า นายบัญชา บุญแก้ว ผู้บาดเจ็บและผู้ชุมนุมจำนวนมาก เช่นไม้เหล็ก ไม้กอล์ฟ ไม้เบสบอล ฯลฯ ได้ร่วมกันทำการปิดล้อมรัฐสภา เพื่อขัดขวางการแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรี โดยมีการใช้ลวดนามปิดกั้น และการราดน้ำมันบนพื้นถนน เพื่อขัดขวางการปฏิบัติงานของ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการผลักดันฝูงชนเพื่อเปิดทาง ให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาลเข้าประชุมที่สภาผู้แทนราษฎร เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาและปฏิบัติการตามหน้าที่ เพราะเป็นการกระทำผิดโดยซึ่งหน้า โดยได้มีการกระทำเป็นขั้นตอน มีการเจรจาและร้องขอแต่ไม่เป็นผล กลับมีการด่าว่าดูหมิ่นเจ้าพนักงานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานและใช้กระสุนซึ่งเป็นลูกแก้วและหัวน๊อตโลหะระดมยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องป้องกันตัวและผลักดันฝูงชนดังกล่าว โดยใช้แก๊สน้ำตายิงและขว้างเพื่อผลักดันโดยหลีกเลี่ยงการใช้กำลังและอาวุธปราบปราม แต่กลุ่มพันธมิตรก็ตอบโต้ต่อสู้เจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดเวลา จนเกิดการชุลมุนบางส่วนต่อสุ้ บางส่วนถอยหนีบางส่วนอยู่กับที่เพราะได้รับผลจากแก๊สน้ำตา ในขณะนั้นมีการวิ่งชนกัน หกล้มเหยียบทับกัน และมีเสียงระเบิดดังขึ้นหลายครั้งจนแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของแก๊สน้ำตาหรือระเบิดชนิดใดหลังจากทำการผลักดันกลุ่มพันธมิตรออกจากบริเวณสามแยกอู่ทองในตัดสามแยกพิชัย ข้างประชุมประตูประสาทเทวริทธิ์ เขตดุสิตกรุงเทพได้แล้ว พบว่า
- มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตา และระเบิดไม่ทราบชนิด หลายคน ที่บาดเจ็บมากคือ นายบัญชา ซึ่งได้บาดเจ็บขาขาดอยู่ใก้ป้อมสามแยกอู่ทองในตัดสามแยกพิชัย ข้างประตูประสาทเทวริทธิ์ฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้การช่วยเหลือและนำส่ง รพ.ในเวลาต่อมา

3.2 การรักษาสถานที่เกิดเหตุและการตรวจสถานที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุแล้วอยู่ระหว่างการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ปราบจลาจล มีการผลักดันและโต้ตอบจากผู้ชุมนุม กลุ่มผู้ชุมนุมได้ใช้กำลังเข้าทำร้ายเจ้าพนักงานและทำการผลักดันเจ้าหน้าที่ จนต้องถอยร่นออกจาก บริเวณประตูประสาทเวริทธิ์ฯ จึงไม่สามารถเข้าไปตรวจสถานที่เกิดเหตุได้
- ต่อมาวันที่ 8 ต.ค. 2551 เวลาประมาณ 09.30 น. จึงได้มีคำสั่งจาก พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมกุล ผบก.ตปพ. ให้ไปทำการตรวจสถานที่เกิดเหตุตามจุดต่างๆ โดยรอบรัฐสภาและกองบัญชาการตำรวจนครบาลกลุ่มงานเก็บกู้วัตถุระะเบิดฯ ออกไปตรวจสถานที่เกิดเหตุตามคำสั่ง ผบก.ตปพ. และได้ไปตรวจที่เกิดเหตุกรณีระเบิดบริเวณใกล้ป้อมสามแยกอู่ทองในตัดสามแยกพิชัย ข้างประตูประสาทเทวริทธิ์ เขตดุสิต กรุงเทพ ซึ่งเป็นจุดที่นายบัญชาฯ ได้รับบาดเจ็บด้วย

3.3 พยานหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ

3.2.1 เศษคราบเขม่าวัตถุระเบิด สีดำติดอยู่บริเวณเสาและพื้นนที่เกิดเหตุชัดเจน

3.2.2 พบหลุมระเบิดกว้างประมาณ 10 ซ.ม. ลึก 3 ซ.ม.

3.2.3 มีคราบโลหิตอยู่บริเวณพื้นที่เกิดเหตุเป็นวงกว้าง

3.4. ชนิดของสาระเบิดที่ตรวจพบ
จากการตรวจสอบทางเคมีและสังเกตจากสีและกลิ่นของเขม่าวัตถุระเบิด ในที่เกิดเหตุเชื่อว่าเป็นสารระเบิดชนิดแรงต่ำ ประเภทดินดำหรือดินเทาน้ำหมึกไม่เกิน 500 กรัม
- ดินดำหรือดินเทาเป็นวัตถุระเบิดแรงต่ำมีคุณสมบัติไวต่อความร้อน การกระทบกระแทกเสียดสี
จากพยานหลักฐานข้างต้นจึงเชื่อได้ว่าการบาดเจ็บของนายบัญชาฯ ซึ่งขาขาดไปหนึ่งข้างนั้นเกิดจากการระเบิดของระเบิดแสวงเครื่องที่ทำขึ้นเองโดยใช้ดินดำหรือดินเทาน้ำหนักไม่เกิน 500 กรัม บรรจุอยู่ในภาชนะที่ห่อหุ้ม แล้วเกิดการกระทบกระแทกเสียดสีอย่างรุนแรงเกิดระเบิดขึ้น จนนายบัญชาฯ ได้รับบาดเจ็บสาหัสดังกล่าว กรณีนี้ระเบิดดังกล่าวจะต้องอยู่ชิดติดกับอวัยวะส่วนที่ฉีกขาดของนายบัญชาฯ และเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งแก๊สน้ำตามีสารระเบิด R.D.X. เพียง 7 กรัมเท่านั้น

4.กรณีการบาดเจ็บของ นายชิงชัย อุดมเจริญกิจ (ตี๋) มีบาดแผลบริเวณลำคอ หน้าอก และแขนขวาจากเหตุการณ์โดยถือวัตถุอยู่ในมือข้างซ้ายตลอดเวลา

4.1. พฤติกรรมที่เกิดขึ้น โดยย่อ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ช่วงเวลาปายกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนมากพร้อมอาวุธ ได้มุ่งหน้าไปที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลแต่ก่อนถึง กองบัญชาการตำรวจนครบาลเจ้าหน้าที่ได้วางเครื่องกีดขวางไว้และได้มีนายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการเข้าไปเจรจากับกลุ่มพันธมิตรและระหว่างการเจรจานายตำรวจดังกล่าวถูกกลุ่มพันธมิตรทำร้ายได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจำเป็นต้องป้องกันตัว และผลักดันกลุ่มพันธมิตรให้ถอยร่นออกไปโดยใช้แก๊สน้ำเป็นเครื่องผลักดันและสลายการชุมนุมเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กำลังหลังจากกลุ่มพันธมิตรถอยร่นไปแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบภายหลังว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมบาดเจ็บและเสียชีวิต และในผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสคือ นายชิงชัย อุดมเจริญกิจ (ตี๋)

4.2. การรักษาสถานที่เกิดเหตุและผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุ
- เจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานสอบสวน สน.ดุสิตและเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ร่วมกันตรวจสถานที่เกิดเหตุ

4.3 พยานหลักฐานต่างๆ ที่พบ
- จากภาพถ่าย นายชิงชัยฯ (ตี๋) มีบาดแผลที่บริเวณลำคอ หน้าอกและแขนขวาขาด โดยถือวัตถุอยู่ในมือข้างซ้ายตลอดเวลา
-พยานหลักฐาน และวัตถุพยานอื่นในส่วนของกลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิดไม่มี


4.4 ชนิดของสารระเบิดที่ตรวจพบ
- ไม่มี เนื่องจากไม่ได้รับแจ้งให้ไปทำการตรวจ จากพยานหลักฐานดังกล่าวข้างต้น จึงน่าเชื่อได้ว่า การบาดเจ็บของนายชิงชัย หรือตี๋ฯ น่าจะเกิดจากการกำวัตถุระเบิดอยู่ในมือจนเกิดระเบิดขึ้น จนได้รับบาดเจ็บดังที่กล่าวแล้วข้างต้น แต่ระเบิดดังกล่าวที่กำไว้ จะเป็นระเบิดชนิดใด แบบไหน ไม่สามารถยืนยันได้ เนื่องจากขาดพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ และพยานบุคคลมาประกอบการพิจารณา
- ส่วนวัตถุที่อยู่ในมือข้างซ้ายตลอดเวลานั้น ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นวัตถุระเบิดหรือสิ่งใดเนื่องจากมีหลักฐานที่ปรากฏในรูปภาพเท่านั้น

ประกาศใช้ กฎหมายใหม่ 11 ฉบับ

ในช่วงค่ำที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ กฎหมายใหม่ 11 ฉบับ ทั้ง ระดับพระราชบัญญัติ และพระราชกฤษฎีกา


กฎหมายทั้ง 11 ฉบับ ประกอบด้วย

พระราชบัญญัติราชบัณฑิตยสภา พ.ศ. ๒๕๕๘

พระราชบัญญัติการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๘

พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๕๕๘

พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘

พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘

พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๕๘

พระราชบัญญัติการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการที่แต่งตั้งตามประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับ พ.ศ. ๒๕๕๘

พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลพระธาตุขิงแกง อำเภอจุน จังหวัดพะเยา ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๘

พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลโนนสะอาด อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. ๒๕๕๘

พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนเขตอำเภอท่าปลากับอำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. ๒๕๕๘

พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘

สถานการณ์ข่าว13ก.พ.58

ความมั่นคง

พล.อ.อุดมเดช ยืนยัน ม.112 มีความจำเป็น ใช้ปกป้องสถาบัน ไม่ละเมิดสิทธิ์ ปชช. มอบ มทภ.1 เร่งทำความเข้าใจกลุ่มเคลื่อนไหว

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวก่อนเดินทางไปเป็นประธานในพิธีปิดการทดสอบยิงปืนทางยุทธวิธีภายในกองทัพบก ณ สนามยิงปืนทางยุทธวิธี ศูนย์การทหารม้า จังหวัดสระบุรี ถึงการเชิญผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทยมาชี้แจงการทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า ทางผู้ช่วยทูตได้มีความเข้าใจกับสถานการณ์ในไทย โดยเฉพาะในเรื่องของการใช้กฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มีความจำเป็นต้องใช้เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่คนไทยทุกคนเคารพรัก รวมถึงการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย โดยยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการไปละเมิดสิทธิมนุษยชนส่วนบุคคลของประชาชน

ส่วนกรณีที่มีบุคคลที่โดนเรียกตัวเข้าปรับความเข้าใจแล้วกลับไปเคลื่อนไหวหรือมีการโพสต์ข้อความผ่านทางโซลเชียลอีกนั้น จะพยายามทำความเข้าใจต่อไป โดยจะสั่งให้แม่ทัพภาคที่ 1 ได้ดำเนินการตรวจสอบและทำความเข้าใจต่อไป
-------------------
โฆษก ทบ. แจง กลุ่มต้านแก้ไข มาตรา 46 พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร ชี้ ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน

พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มองค์กรสิทธิ์แถลงคัดค้านการแก้ไข มาตรา 46 พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 ที่ คณะรัฐมนตรีได้เสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ให้อำนาจทหารมีอำนาจสั่งขังพลเรือนโดยไม่มีองค์ตุลาการในการตรวจสอบว่า กลุ่มองค์กรสิทธิ์ดังกล่าวยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย ซึ่งมีสาระสำคัญของกฎหมาย คือ จะมีผลบังคับกับเฉพาะทหาร หรือบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารเท่านั้นและเป็นการให้อำนาจกับผู้บังคับบัญชาเฉพาะเหตุจำเป็นหรือมีเหตุสุดวิสัยเท่านั้น เช่น กรณีเรือรบไปปฏิบัติราชการในต่างประเทศ  หรือ เหตุแห่งคดีเกิดขึ้นในพื้นที่บริเวณชายแดนที่หน่วยทหารยังติดพันการรบ ซึ่งการที่ผู้บังคับหน่วยทหารจะไปร้องขอให้ศาลสั่งขังยังไม่สามารถทำได้ หากไม่ดำเนินการใดจะเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมในองค์กรทหาร

สำหรับคดีตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 37/2557 พนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งก็คือตำรวจ จะเป็นผู้มีอำนาจสอบสวนผู้ต้องหาพลเรือน กรณีถ้ามีเหตุสุดวิสัยจำเป็นไม่สามารถนำผู้ต้องหาไปศาลทหารได้ภายในเวลา 48 ช.ม. ก็เป็นเรื่องของทางตำรวจที่จะต้องควบคุมตัวผู้ต้องหาเอง และเมื่อเหตุจำเป็นสุดวิสัยสิ้นสุดลง ทางตำรวจก็ต้องนำตัวผู้ต้องหาไปขออำนาจศาลทหารในการสั่งขังต่อไป ซึ่งกรณีนี้จะไม่เกี่ยวหรือเชื่อมโยงกับอำนาจการควบคุมของผู้บังคับบัญชาทหารแต่อย่างใด

ทั้งนี้ จึงไม่อยากให้บางบุคคลนำเสนอข้อมูลด้วยทัศนคติแนวคิดแบบดั้งเดิมในลักษณะที่มีข้อมูลไม่ครบ เพราะบางครั้งอาจส่งผลให้สังคมสับสน เข้าใจผิดได้

//////////////
กมธ.ยกร่าง

สนช.-สปช. ทยอยเข้าสภาเตรียมประชุม กมธ. ขณะการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด ด้าน กมธ.ยกร่างฯ นัดพิจาณณาข้อคิดเห็นปฏิรูปช่วงบ่าย

บรรยากาศความเคลื่อนไหวที่รัฐสภาเช้านี้ มีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ดูแลรักษาความปลอดภัยบริเวณประตูเข้า-ออกอย่างเข้มงวด แม้จะไม่มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เนื่องจาก นาย

พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้สั่งงดการประชุมในวันนี้ เนื่องจากไม่มีวาระค้างการพิจารณา

อย่างไรก็ตาม สมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มีภารกิจประชุมกรรมาธิการคณะต่างๆ อาทิ คณะทำงานจัดทำข้อมูลการปฏิรูปการศึกในพื้นที่

จังหวัดชายแดนใต้ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ... คณะกรรมาธิการการบริหารราชแผ่นดิน และคณะอนุกรรมาธิการตรวจรายงานการประชุม

สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เริ่มทยอยเดินทางมาสภาเพื่อเตรียมประชุมแล้ว

ทั้งนี้ ในส่วนของคณะกรรมาธิยกร่างรัฐธรรมนูญ จะประชุมในเวลา 13.00 น. เพื่อพิจารณาข้อเห็นเห็นจากคณะกรรมาธิการปฏิรูปทั้ง 18 คณะ ก่อนที่จะพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ภาค 4 การปฏิรูป

และสร้างความปรองดองเป็นรายมาตราต่อไป
-------------------
"ถวิลวดี" ย้ำ นำความเห็น ปชช.ที่มีหลากหลายไปพิจารณาครบถ้วน หลังยกร่างรายมาตราเสร็จ นำไปสอบถามความพึงพอใจอีกช่วง เม.ย. นี้

ดร.ถวิลวดี บุรีกุล กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะ ประธานอนุกรรมาธิการการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า ในการเปิดเวทีรับฟังความคิด

เห็นหลาย ๆ เวทีที่ผ่านมา ได้รับความคิดเห็น ข้อเสนอแนะที่หลากหลาย และเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญเป็นอย่างมาก รวมถึงเป็นประโยชน์กับการปฏิรูปประเทศในอนาคตด้วย

พร้อมกับยืนยันว่า ทุกความเห็นถูกนำมาประกอบการพิจารณาทั้งสิ้น

ส่วนการประชุม กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ในวันนี้จะเป็นการพิจารณาในส่วนของเนื้อหา ความเห็นการปฏิรูปประเทศ ที่ถูกส่งมาจาก 18 คณะกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งถือว่ามี

ความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับการนำมาเขียนเป็นรายมาตรา ในภาค 4 การปฏิรูปและสร้างความปรองดองต่อไป

ทั้งนี้ ดร.ถวิลวดี ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า ในส่วนของเวทีรับฟังความเห็นนั้น จะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยสัปดาห์นี้จะจัดที่ จ.อุดรธานี ส่วนสัปดาห์ต่อไป ที่ จ.สงขลา, สุรินทร์, พิษณุโลก, ชลบุรี และ

กรุงเทพฯ จากนั้นก็จะมีการเปิดเวทีเพื่อนำร่าง รธน. ที่มีการพิจารณารายมาตราเสร็จแล้ว ไปสอบถามความเห็นของประชาชนต่อไปในช่วงเดือน เม.ย. เป็นต้นไป
-----------------------
กมธ.ยกร่างฯ เตรียมพิจารณาข้อเสนอปฏิรูป 18 คณะ ทบทวนเนื้อหารายมาตรา เริ่มลงรายละเอียดภาค 4 สัปดาห์หน้า

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยถึงการประชุมคณะกรรมาธิการยกรัฐธรรมนูญ ที่จะมีขึ้นในช่วงบ่ายวันนี้ ว่า จะเป็นการทบทวนร่างรัฐ

ธรรมนูญเป็นรายมาตราในส่วนที่ได้มีการพิจารณาไปแล้ว พร้อมกันนี้ จะนำความเห็นและข้อเสนอแนะจากคณะกรรมาธิการปฏิรูปทั้ง 18 คณะมาพิจารณา โดยไม่อนุญาตให้สื่อเข้าร่วมสังเกตการณ์

ทั้งนี้ จะเริ่มพิจารณาเป็นรายมาตราในภาค 4 การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง ซึ่งมี 2 หมวด คือ การปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม และการสร้างความปรองดอง ในวัน

จันทร์ 16 ก.พ. นี้

อย่างไรก็ตาม สำหรับในภาค 4 การปฏิรูปและการสร้างความปรองดองนั้น ถือเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย
-------------------------
นายกฯ ปาฐกถาพิเศษ ย้ำ ปีนี้ รบ.จะพาประเทศพ้นขัดแย้ง ขอทุกภาคส่วนร่วมมือ เตรียมพร้อม ปชต.ไม่กลับสู่วังวนเดิม ไร้ทุจริต ไม่ปรองดองคนผิด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้เดินทางเข้ามาปฏิบัติงานที่ทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่ในช่วงเช้า โดยได้เป็นประธานเปิดงานและกล่าว
ปาฐกถาพิเศษในการสัมมนาทางวิชาการประจำปีของการใช้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ. 2540 ในหัวข้อเรื่อง "ข้อมูลข่าวสารกับความโปร่งใสในการบริหารงานภาครัฐ" ตึก
สันติไมตรี ซึ่งมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รวมถึงข้าราชการส่วนต่าง ๆ เข้าร่วมจำนวนมาก ท่ามกลางมาตราการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษว่า ในปี 2558 เป็นปีที่รัฐบาลจะนำพาประเทศพ้นความขัดแย้งและขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ซึ่งทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อนำประเทศพ้นวิกฤตต่าง ๆ เช่น เรื่องการลดความขัดแย้ง การทุจริต กระบวนการทางกฎหมาย ต้องเตรียมความพร้อมเรื่องประชาธิปไตยไม่ให้กลับมาวังวนเดิม ซึ่งนโยบาย 11 ด้าน มีความคืบหน้า โดยเฉพาะการบริหารราชการแผ่นดินไม่ให้เกิดการทุจริต

อย่างไรก็ตาม รัฐบาล และ คสช. มีการดำเนินงานใน 3 เรื่อง คือ การบริหารราชการแผ่นดินปกติ การปฏิรูปประเทศในระยะต่าง ๆ และ การรักษาความสงบและสร้างความปรองดอง แต่ไม่ใช่การปรองดองกับคนที่กระทำความผิด และขอให้ยอมรับกลไกทางกฎหมาย อีกทั้งการขับเคลื่อนงบประมาณต้องสุจริตโปร่งใส
----------------------
คำนูณ แจงขั้นตอน ประชุม กมธ.ยกร่างฯ วันนี้ พิจารณาข้อเสนอปฏิรูป 18 กมธ. สปช. ไม่ลงเนื้อหารายมาตรา 

คำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในช่วงบ่ายวันนี้ว่า เป็นการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้า ข้อเสนอแนะในหมวดการปฏิรูปจากคณะกรรมาธิการปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ทั้ง 18 คณะ ซึ่งจะต้องดูว่าในแต่ละคณะจะมีเนื้อหาที่เสนอเข้ามาอย่างไร ผลเป็นอย่างไร

โดยคณะกรรมาธิการส่วนใหญ่ได้มีการขอเพิ่มเติมรายละเอียดเนื้อหาเล็กน้อยในบางประเด็น และขณะนี้คณะกรรมาธิการปฏิรูป ทั้ง 18 คณะ ได้เริ่มทยอยส่งข้อเสนอมาบ้างแล้ว และจะต้องส่งมาให้ภายในวันนี้ ส่วนการประชุมวันนี้จะไม่มีการพูดคุยใน ภาค 4 การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง เพราะจะต้องดูรายละเอียดความคืบหน้าของกรรมาธิการปฏิรูปทั้ง 18 คณะก่อน

อย่างไรก็ตาม จะมีการเริ่มลงรายละเอียดเป็นรายมาตราในภาค 4 วันจันทร์ที่ 16 ก.พ. นี้
-----------------------
"น.พ.ชูชัย" แจงขั้นตอนพิจารณาเนื้อหาปฏิรูปบัญญัติ ใน รธน.ย้ำความเห็น ปชช.สำคัญที่สุด น้ำอ้อย ขอเขียนกลาง รายงาน 

น.พ.ชูชัย ศุภวงศ์ รองประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะผู้รับผิดชอบเรื่องการปฏิรูป ได้ชี้แจงถึงขั้นตอนการพิจารณาในส่วนของการปฏิรูปทั้ง 18 ด้าน ซึ่งก่อนหน้านี้ คณะกรรมาธิการปฏิรูปแต่ละด้าน ได้เสนอประเด็นมาด้านละ 20-40 ประเด็น ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะบัญญัติข้อเสนอทั้งลงในรัฐธรรมนูญ ดังนั้น จึงมีการหารือกันและขอปรับลดประเด็นต่าง ๆ จนเหลือ8-9 ประเด็น และล่าสุดเมื่อนำเข้าสู่การหารืออีกครั้ง เพื่อให้เกิดความกระชับมากขึ้น จึงรวบรวมประเด็นโดยให้แต่ละด้านเสนอได้ไม่เกิน 3 ประเด็น

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุด ในเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญ ยังเป็นในส่วนของการรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาการยกร่างรัฐธรรมนูญ
---------------
น.พ.ชูชัย เห็นด้วยทำประชามติ รธน.ใหม่ ขณะ คำนูณ เผย ยกร่างที่พัทยา ถกผู้นำการเมือง และสถาบันการเมือง

น.พ.ชูชัย ศุภวงศ์ รองประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะผู้รับผิดชอบเรื่องการปฏิรูป กล่าวถึงการทำประชามติ ว่า ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันในเรื่องดังกล่าว แต่ส่วนตัวเห็นว่า ควรมีการทำประชามติ เพราะเชื่อว่าจะเป็นสัญญาณที่ดีถึงการยอมรับรัฐธรรมนูญจากประชาชน เช่นเดียวกันกับบทลงโทษที่อาจมีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ถึงการดำเนินการปฏิรูปที่จะมีผลผูกพันในอนาคต

ขณะที่ นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการเดินทางไปเก็บตัวคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่จังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ 23-28 กุมภาพันธ์ นี้ ว่า จะเป็นการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราในส่วนที่แขวนไว้ และจะพิจารณาในส่วนของภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดี และสถาบันการเมืองหมวด 1 ระบบผู้แทนที่ดีและผู้นำการเมืองที่ดี ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญ และอยู่ในความสนใจของทุกภาคส่วน
///////////////////
เคลื่อนไหวนายกฯ

นายกฯ มีกำหนดเปิดงานปาฐกถาพิเศษ "ข้อมูลข่าวสารกับความโปร่งใสในการบริหารงานภาครัฐ" ก่อนร่วมประชุม คกก.พัฒนาระบบนวัตกรรมประเทศ

ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. วันนี้ ในเวลาประมาณ 09.00 น. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในการสัมมนาทางวิชาการประจำปีของการใช้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ. 2540 ในหัวข้อเรื่อง "ข้อมูลข่าวสารกับความโปร่งใสในการบริหารงานภาครัฐ" ที่ ตึกสันติไมตรี

ขณะที่ในเวลาประมาณ 13.30 น. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศครั้งที่ 1/2558 ที่ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี
----------------------
ม.ล.ปนัดดา ชี้ จิตสำนึกสำคัญที่สุดทำบ้านเมืองสงบสุข ข้าราชการที่ดีต้องคานอำนาจการเมืองเพื่อความอยู่รอดของประเทศ

ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางมาเป็นประธานในการนำเสนอผลงานวิจัยกลยุทธ์การขับเคลื่อนค่านิยมหลักของไทย 12 ประการ สู่การปฏิบัติในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร วิภาวดีรังสิต

พร้อมกันนี้ ม.ล.ปนัดดา ได้กล่าวปาฐกถา ว่า การศึกษาไม่จำเป็นต้องท่องจำ แต่เป็นหน้าที่ครู อาจารย์ ที่จะต้องทำให้เด็กเข้าใจ รวมถึงต้องอบรมให้เด็กมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไทยที่คนรอบข้างต่างชื่นชม และสิ่งสำคัญคือการทำให้ประเทศกลับมามีความสมัคคี ยุติความแตกแยกทางการเมือง และการทุจริตคอร์รัปชั่น ดำรงไว้ซึ่งความมีเกียรติของชาติไทย เพราะบ้านเมืองจะสบงสุขได้ จิตสำนึกถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

พร้อมทั้งย้ำว่า ข้าราชการที่ดีมีหน้าที่คานอำนาจของนักการเมือง ไม่ยอมรับสินบน เพื่อความอยู่รอดของประเทศ และรักษาไว้ซึ่งระบบเกียรติศักดิ์
-----------------------
นายกฯ ปัดตั้งธงคดีจำนำข้าว "ยิ่งลักษณ์" ขอเวลา จนท.ล่ามือระเบิด ขณะปมสัมปทานปิโตรเลียม ให้ ก.พลังงานทำความเข้าใจกลุ่มเห็นต่าง 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ปฏิเสธว่า ทางรัฐบาล และ คสช. ไม่มีการตั้งธงเรื่องคดีโครงการรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่วนกรณีที่เมื่อวานนี้ตนเองเปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมต่อสู้คดีนั้น เป็นการพูดเมื่อตอนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังเป็นรัฐบาล

พร้อมกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ลงชื่อชะลอการเปิดสัมปทานปิโตเลียม รอบที่ 21 ว่า จะให้ทางกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหารือกับกลุ่มผู้คัดค้าน เพื่อหาทางออกร่วมกัน ซึ่งการพูดคุยกันด้วยข้อเท็จจริงว่าหากในอนาคตเกิดปัญหาด้านพลังงานจะทำอย่างไร แต่ยืนยันว่าจะต้องมีการเปิดสัมปทานดังกล่าวในวันที่ 18 ก.พ. นี้ไปก่อน ซึ่งข้อตกลงยังมีการปรับเปลี่ยนได้บางส่วน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการหาตัวผู้ก่อเหตุลอบวางระเบิดบริเวณทางเชื่อมรถไฟฟ้าหน้าห้างสยามพารากอนว่า ขออย่าเร่งรัดในเรื่องนี้ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบอยู่
---------------------
นายกฯ ออกจากทำเนียบแล้ว ไปประชุม คกก.พัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศ ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาล ขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลเพื่อเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศ ครั้งที่ 1/2558 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี

ขณะที่บรรยากาศตลาดน้ำวิถีไทย คลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งจัดขึ้นเป็นวันที่ 2 เริ่มมีประชาชนทยอยเดินทางมาเที่ยวชมงานบ้างแล้ว โดยตลาดบกจะเปิดให้ประชาชนซื้อของกิน ของใช้ ในเวลา 11.00 น. - 20.00 น. ส่วนตลาดน้ำเปิดในเวลา 15.00 น.- 20.00 น. ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่เทศกิจคอยดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เดินทางมาร่วมงานด้วย
--------------------
ทูตฝรั่งเศส พบ หม่อมอุ๋ย ร่วมมือสร้างรถขนส่งมวลชน ยัน เดินหน้าร่วมยื่นประมูลสำรวจปิโตรเลียม รอบ 21

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ให้การต้อนรับ นายตีแยรี วีโต (H.E. Thierry VITEAU) เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำประเทศไทย ในการเข้าเยี่ยมคารวะ โดย รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ฝรั่งเศส มีความสนใจที่จะร่วมลงทุนเกี่ยวกับการก่อสร้างรถไฟความเร็วปานกลางรูปแบบเดียวกับที่ไทยร่วมลงทุนกับจีน และญี่ปุ่น เนื่องจากมีความถนัด แต่ฝ่ายไทย ได้ดำเนินการมีความคืบหน้าไปมากแล้ว จึงแนะนำให้ฝรั่งเศส มาร่วมลงทุนด้านการวางระบบการเดินรถขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร หากภาคเอกชนของฝรั่งเศส มีความสนใจก็สามารถร่วมแข่งขันกับเอกชนไทยได้ ทั้งนี้ ฝรั่งเศส ได้ยืนยันจะเดินหน้ายื่นซองสำรวจปิโตรเลียมรอบที่ 21 ในนามบริษัท โทแทล จำกัด และพร้อมยื่นซองแข่งขันภายในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ นี้ ซึ่งข้อมูลล่าสุดมีบริษัทที่สนใจซื้อซองประมูล 13 ราย

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน อยู่ระหว่างการแก้ไขหลักเกณฑ์ในพระราชบัญญัติปิโตรเลียม โดยยกเลิกระบบสัมปทาน มาเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต ซึ่งต้องเจรจากับเอกชนที่ร่วมสัมปทานในแหล่งสำรวจ 3 บ่อใหญ่ ที่เคยสำรวจแล้วพบปิโตรเลียม
-------------------------
เกษตรกรพอใจ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เผย นำเข้าน้ำมันถั่วเหลือง 1.5 ล้านตัน

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร  เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ว่า ในวันนี้ ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้นำเข้าน้ำมันถั่วเหลือง ในปริมาณ 1.5 ล้านตัน ทั้งนี้ ใน 1 ปี สามารถนำน้ำมันถั่วเหลืองที่ผลิตภายในประเทศ 5 หมื่นตัน ซึ่งไม่เพียงพอกับความต้องการ เนื่องจากปริมาณการใช้อยู่ที่ 2 ล้านตัน แต่มีเงื่อนไขให้ซื้อน้ำมันภายในประเทศให้หมดก่อน ในราคา 15-18 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเกษตรกรก็มีความพอใจ ซึ่งเป็นการอนุมัติในทุกปีอยู่แล้ว
/////////////////////////////
ปปช.คดีชินวัตร

ป.ป.ช.ยันเป็นธรรม คดี "สมชาย" สลายม็อบ ปัดจ้องทำลายตระกูลชินวัตร โต้พยายามยื้อเวลา "อภิสิทธิ์"

นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งข้อสังเกตการทำงานของ ป.ป.ช. ไม่ยึดหลักนิติธรรมในการฟ้องคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยตัวเอง ว่า ป.ป.ช. ทำงานทุกอย่างโดยยึดหลักกฎหมาย และทำตามหน้าที่ เมื่ออัยการสูงสุดไม่สั่งฟ้องคดีนี้ แต่ ป.ป.ช.เห็นว่าพยานหลักฐานมีความสมบูรณ์เพียงพอที่เอาผิดนายสมชายได้ ก็ย่อมมีสิทธิ์ยื่นฟ้องคดีเองได้ พร้อมทั้งยืนยันว่าการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ไม่มีเรื่องประเด็นทางการเมือง หรือต้องการทำลายคนตระกูลชินวัตรเข้ามาเกี่ยวข้อง ยึดพยานหลักฐานเป็นหลัก

ส่วนคดีการสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. ปี 53 สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ล่าช้า เนื่องจากคดีดังกล่าวยังมีความไม่สมบูรณ์ ป.ป.ช. ต้องรอฟังคำสั่งศาลเรื่องการชันสูตรพลิกศพ และต้องดูรายละเอียดข้อกฎหมายเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้รอบคอบ ไม่มีสองมาตรฐาน