PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

แฉพุทธะอิสระ จับตร.ปิดตา-ข่มขู่-สอบกลางม็อบแจ้งวัฒนะ ที่มา ‘อั้งยี่ซ่องโจร’

(ข้อมูล)
แฉพุทธะอิสระ จับตร.ปิดตา-ข่มขู่-สอบกลางม็อบแจ้งวัฒนะ ที่มา ‘อั้งยี่ซ่องโจร’
วันที่ 24 พฤษภาคม 2561 - 22:07 น.


เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 24 พ.ค. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา พนักงานสอบสวน บก.ป.ได้ควบคุมตัว “พระพุทธะอิสระ” หรือ พระสุวิทย์ ทองประเสริฐ อายุ 59 ปี เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม และอดีตแกนนำ กปปส. เวทีแจ้งวัฒนะ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา คดีอั้งยี่ซ่องโจร และคดีปลอมพระปรมาภิไธย 2 สำนวน มาฝากขังครั้งแรกต่อศาลอาญา เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค.- 4 มิ.ย.นี้ เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น โดยคดีอั้งยี่ซ่องโจรยังจะต้องสอบพยานบุคคลอีกไม่น้อยกว่า 30 ปาก และรอผลตรวจสอบประวัติพิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องหา และผลการตรวจพิสูจน์ของกลางจากกองพิสูจน์หลักฐาน ส่วนคดีปลอมพระปรมาภิไธย ต้องรอสอบปากคำพยานอีก 5 ปาก และรอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือ


โดยคำร้องฝากขังคดีอั้งยี่ ซ่องโจร ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2557 ร.ต.ต.สมคิด เชยกมล และ ด.ต.วชิรพงศ์ อุ่นนวลบุรพงศ์ และร.ต.ต.สงวน คมขาว ผู้กล่าวหาที่ 1-3 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล ประจำ จ.นนทบุรี ได้รับคำสั่งให้สืบสวนหาข่าวม็อบชาวนาที่หน้ากระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี โดยทั้งหมดแต่งกายนอกเครื่องแบบ ซึ่งม็อบชาวนา ได้เดินจากหน้ากระทรวงพาณิชย์ เพื่อยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุดที่ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ เพื่อดำเนินคดีโครงการจำนำข้าว โดยผู้กล่าวหาทั้งสามก็ได้เดินทางมากับม็อบชาวนาด้วย ขณะนั้น “พระสุวิทย์” ผู้ต้องหา กับพวกได้ยึดพื้นที่ชุมนุมบริเวณดังกล่าวอยู่แล้ว

แล้วเมื่อยื่นหนังสือเสร็จ ผู้กล่าวหา ได้เดินทางกลับมาที่ลานจอดรถ ก็มีกลุ่มการ์ดของผู้ต้องหา 3-4 คน เดินเข้ามาขอดูโทรศัพท์ของผู้กล่าวหาที่ 2 โดยทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบแล้วจึงร่วมกันทำร้ายร่างกายจับมัดมือไพล่หลัง ใช้ผ้าปิดตา จากนั้นกลุ่มการ์ดวิ่งไปหา ผู้กล่าวหาที่ 1 แล้วร่วมกันทำร้ายเช่นเดียวกัน ส่วนผู้กล่าวหาที่ 3 หลบหนีไปได้ จากนั้นกลุ่มการ์ดได้ค้นตัวผู้กล่าวหาที่ 1-2 แล้วเอาโทรศัพท์มือถือ , นาฬิกา , สร้อยคอพร้อมพระไป และพาทั้งสองไปข้างเวที กปปส. ถ.แจ้งวัฒนะ บังคับขืนใจให้ตอบคำถาม กับบอกรหัสปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ และทำร้ายด้วยการเตะ ต่อยที่ใบหน้า , ศีรษะ , ลำตัว ก่อนใช้ถุงคลุมศีรษะแล้วรัดปากถุงกับลำคอเพื่อให้ขาดอากาศหายใจ

กระทั่งวันเดียวกัน (10 พ.พ.57) ผู้บังคับบัญชาของผู้กล่าวหา ได้แจ้งให้ ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ติดต่อกับ “พระสุวิทย์” ผู้ต้องหาให้ปล่อยตัว ซึ่งผู้ต้องหาให้ตำรวจไปพบที่บ้านทรงไทย ตรงข้ามกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยให้หัวหน้าการ์ดกลุ่มฉลามขาว การ์ดประจำตัวผู้ต้องหา มารอรับที่หน้าบริษัท CAT



เมื่อไปถึงก็พาไปเต็นท์หลังเวทีปราศรัย อยู่ห่างจากบ้านทรงไทยประมาณ 100 เมตร โดยผู้ต้องหา ใช้วิทยุสื่อสารติดต่อกับบุคคล ซึ่งมีการสอบถามว่าตำรวจสันติบาล 2 คนยังอยู่หรือไม่แล้วบอกว่าสารวัตรสืบประสานขอรับตัวกลับ โดยภายหลังผู้ต้องหาได้หันมาบอกกับตำรวจว่าปล่อยให้กลับอยู่แล้วแต่ให้ผู้บังคับบัญชาของตำรวจทั้งสองมารับเอง ซึ่งระหว่างนั้น 3-4 ชั่วโมงกลุ่มการ์ดได้เปลี่ยนกันซักถามและทำร้ายร่างกายผู้กล่าวหา 2 คน ขณะที่กลุ่มการ์ด ได้ใช้ผ้าเย็นเช็ดใบหน้าและลำตัวพร้อมทั้งทาแป้งเพื่อลบรอยบาดแผล แล้วให้ผู้กล่าวหาที่ 1 กล่าวคำสาบานว่าจะไม่เอาผิดกลุ่มการ์ด กปปส. ก่อนจะพาผู้กล่าวหาที่ 1-2 ไปพบผู้ต้องหา โดยให้นั่งลงกับพื้นซึ่งได้แก้มัดที่มือออกแล้วแต่ยังให้ปิดตาไว้กับกำชับว่าอย่าวิ่งหนี ถ้าหนีจะโดนลูกปืน หลังจากนั้นผู้ถูกกล่าวหาได้ซักถามผู้กล่าวหาทั้งสองต่อหน้าสื่อมวลชนประมาณ 30 นาที ซึ่งมีการเผยแพร่ทั้งภาพนิ่ง-วีดีโอ ลงยูทูปกับเว็บไซต์ข่าวหลายสำนัก

ต่อมาเวลา 17.00 น. วันเดียวกัน ผู้บังคับบัญชาของผู้กล่าวหา ได้โทรศัพท์คุยกับผู้ต้องหาเพื่อขอรับตัวกลับ กระทั่งเวลา 18.30 ผู้ต้องหาจึงปล่อยตัวทั้งสอง ภายหลังผู้กล่าวหาทั้งสองถูกส่งตัวไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ

การกระทำของกลุ่มการ์ด กับพวกที่ยังไม่ทราบว่าเป็นใครอีก 7 คน ซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการแต่งกายชุดดำอำพรางใบหน้า ได้กระทำตามความมุ่งหมายของผู้ต้องหา โดยทำร้ายผู้กล่าวหาที่ 1 มีแผลฟกช้ำ ใบหน้าและกลางอก , บาดแผลฉีกขาดริมฝีปาก , เยื่อแก้วหูฉีกขาดทั้ง 2 ข้าง , กระดูกซี่โครงขวาด้านหลังหัก และตับฉีกขาด ใช้เวลารักษานาน 6 สัปดาห์ ส่วนผู้กล่าวหาที่ 2 ได้รับบาดเจ็บแผลถลอกหน้าผากขวา 3 X 4 ซม. , แผลฟกช้ำตามร่างกายหลายแห่ง และโหนกแก้มซ้าย คางซ้าย ฟันซ้ายล่าง หักบิ่น และฟกช้ำกลางอก ต้นแขนขวา การกระทำของผู้ต้องหา และการกระทำของผู้ต้องหากับพวก ที่ทำให้ผู้กล่าวหาทั้งสองถูกประทุษร้ายต่อทรัพย์ อีกหลายรายการ รวมมูลค่า 60,900 บาท เป็นความผิด เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.

ซึ่งพนักงานสอบสวน ได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้วยื่นคำร้องขอศาลอาญาออกหมายจับ เมื่อวันที่ 23 พ.ค.61 โดยศาล ได้ออกหมายจับผู้ต้องหา เลขที่ 1115/2561 ลงวันที่ 23 พ.ค.61 กระทั่งวันที่ 24 พ.ค. พนักงานสอบสวนได้รับผู้ต้องหาตามหมายจับไว้ พร้อมแจ้งข้อหา ฐานใช้ผู้อื่นให้ร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่จะกระทำตามหน้าที่ จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายจิตใจ อันทำให้ได้รับอันตรายสาหัส , เป็นผู้ใช้ให้ผื่นอื่นร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังให้เจ้าหน้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ปราศจาก เสรีภาพในร่างกายและเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส , เป็นผู้ใช้ผู้อื่นร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ข่มขื่นใจให้ผู้อื่นกระทำการใด หรือจำยอม โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยอ้างอำนาจอั้งยี่ หรือซ่องโจร, เป็นผู้อื่นให้ปล้นทรัพย์ ให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และเป็นหัวหน้าผู้จัดการหรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในอั้งยี่หรือซ่องโจร ซึ่งได้กระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอั้งยี่หรือซ่องโจร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 , 298 , 310 วรรคสอง , 309 วรรคสองและวรรคสาม , 339 วรรคสอง , 340 วรรคแรกและวรรคสาม , 213 ประกอบ ม. 84 ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_1128927

รัฐบาล ‘อย่าย่ามใจ’ ระวัง ‘ไฟไหม้ฟาง’

รัฐบาล ‘อย่าย่ามใจ’ ระวัง ‘ไฟไหม้ฟาง’

ถึงแม้ว่าหากวัดกันด้วยจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 22 พฤษภาคม ไม่ถือว่ามีผู้เข้าร่วมมากมายอะไรนัก หากเทียบกับในช่วงการชุมนุมในช่วงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
แต่ต้องถือว่าเป็นความตื่นตัวทางการเมืองที่ชัดเจน ประชาชนทั่วไปสามารถแสดงออกทางการเมืองได้มากที่สุด เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมาของรัฐบาล คสช.
ครั้งนี้มีแนวร่วมออกมาแสดงจุดยืนต้องการให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วมากขึ้น แม้ว่าข้อเรียกร้องของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ต้องการให้รัฐบาลจัดการเลือกตั้งภายในเดือนพฤศจิกายน 2560 ตามที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ก่อนจะขยับออกไปเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 จะเป็นไปได้ยากก็ตาม เพราะจนถึงวันนี้กฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ยังไม่เสร็จสิ้นตามกระบวนการ
แต่การออกมาชุมนุมร่วมกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง เป็นการสะท้อนภาพของความไม่พอใจรัฐบาลชัดเจนมากขึ้น เป็นการสะท้อนความอึดอัดท่ามกลางการถูกกดเอาไว้ ไม่ให้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ทั้งที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
รัฐบาลอาจมองว่าการชุมนุมครั้งนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ มีการจับกุมแกนนำไปดำเนินคดี
แต่หากมองเช่นนั้น แสดงว่ารัฐบาลกำลังประมาท ถือว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และยังมีท่าทีไม่ยินดียินร้ายกับกลุ่มผู้ชุมนุม จนถึงขั้นใช้วิธีตอบโต้กลุ่มผู้เห็นต่างด้วยวิธีแข็งกร้าวดุดัน จับกุมขังคุกแกนนำ อาจจะคิดว่าทำให้กลุ่มผู้ออกมาเคลื่อนไหวกลัวเกรง ต้องหยุดการกระทำดังกล่าว
คงต้องบอกว่ารัฐบาลคิดผิด

วิธีคิดแบบนี้จะยิ่งทำให้สถานการณ์ของรัฐบาลถูกต้อนเข้ามุมเร็วขึ้นเรื่อยๆ เพราะจะกลายเป็นการสะท้อนภาพความเป็นรัฐบาลเผด็จการ ใช้อำนาจรุนแรงกับประชาชนที่ออกมาเรียกร้องสิทธิ
ในวันนี้จุดเป็นจุดตายของรัฐบาล คงหนีไม่พ้นเรื่องปากเรื่องท้อง ความเป็นอยู่ของประชาชน ภาวะเศรษฐกิจที่ทางรัฐบาลออกมาประกาศปาวๆว่าเศรษฐกิจกำลังดี ตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพี ขยายตัว 4.8% ตัวเลขการส่งออกในเดือนเมษายนเติบโต 12.3% แต่ความจริงแล้วสาเหตุเป็นเพราะนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ไม่ใช่เพราะฝีมือของรัฐบาลเสกให้เศรษฐกิจดี แต่ดีเพราะบรรยากาศเศรษฐกิจโลกดีขึ้น
ถ้าไปถามประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศว่าเศรษฐกิจดีจริงหรือ รายได้เพียงพอกับรายจ่ายหรือไม่ หนี้สินที่มีอยู่บรรเทาเบาบางลงหรือไม่ การค้าการขายคล่องแคล่วขึ้นหรือไม่ เชื่อว่าทุกคนคงรู้คำตอบที่แท้จริงดีอยู่แล้ว
ปัญหาที่เกิดขึ้นในวันนี้ และกำลังจะลุกลามบานปลาย รอวันปะทุแตกหัก เกิดจากความไม่ชัดเจนของรัฐบาลว่าตกลงจะกำหนดวันเลือกตั้งวันไหนกันแน่ จะปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้เมื่อไหร่ เกิดจากท่าทียึกยัก ราวกับหวงแหนอำนาจของรัฐบาล
ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยประกาศให้ชัด มีเพียงออกมาพูดอ้อมแอ้มว่าจะประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2561 และจนถึงขณะนี้เชื่อว่าคนจำนวนมากก็ยังไม่เชื่อ 100% ว่าจะมีเลือกตั้งจริง และก่อนหน้านั้นก็ขยับกำหนดการเลือกตั้งมาแล้ว ทำให้เป็นการบั่นทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลเองเรื่อยมา
ดังนั้นนับจากนี้รัฐบาลควรจะแสดงความชัดเจน ประกาศปลดล็อก กำหนดการเลือกตั้งให้ชัด เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมา ก่อนสถานการณ์จะเลวร้ายไปกว่านี้ เพราะอาจถึงขั้นประวัติศศาสตร์ความรุนแรงในอดีตอาจหวนคืนกลับมาอีกครั้งได้ไม่ยาก หากประชาชนเอือมระอากับรัฐบาลเต็มที
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับจากนี้ จึงอาจกลายเป็น”ไฟไหม้ฟาง” เพียงแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆ อาจกลายเป็นไฟไหม้โหมรุนแรงขึ้น เพราะอย่าลืมว่าที่มาของรัฐบาลนี้มาจากการยึดอำนาจประชาชน มีเชื้อไฟที่จุดติดได้ไม่ยากอยู่แล้ว

เปิดต้นตอ ปฏิบัติการย่ำรุ่ง ช่วงบิณฑบาต กองปราบ รวบ “พระชั้นผู้ใหญ่”เอี่ยวคดีเงินทอนวัด

เปิดต้นตอ ปฏิบัติการย่ำรุ่ง ช่วงบิณฑบาต กองปราบ รวบ “พระชั้นผู้ใหญ่”เอี่ยวคดีเงินทอนวัด


กลายเป็นประเด็น ดังสนั่นลั่นทุ่ง สะเทือนวงการสงฆ์ ! อีกครั้ง เมื่อช่วงฟ้าสาง “พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด” ผู้บังคับการกองปราบปราม นำกำลังตำรวจกว่า 100 นาย พร้อมหมายศาล คดีทุจริตเงินงบประมาณเผยแผ่พระพุทธศาสนา หรือ เงินทอนวัด ค้น 3 วัดดังในกรุงเทพฯ วัดสามพระยาวรวิหาร หรือ วัดบางขุนพรหม วัดสัมพันธวงศ์ วัดสระเกศ
จุดเริ่มต้นของปฏิบัติการครั้งนี้ หากจำกันได้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 16 พ.ค. “กองปราบปราม” ได้บุกค้นที่บ้านหรู หมู่บ้านสีวลี รามคำแหง ถ.ราษฎร์พัฒนา (ซอยมิสทีน) แขวงและเขตสะพานสูง กทม. มี
“ร.ท.ฐิติทัตน์ นิพนธ์พิทยา” เจ้าหน้าที่ทหารสังกัดศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย เป็นเจ้าของบ้าน ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลว่า มีหญิง ชาว จ.บุรีรัมย์ ” น.ส.นุชรา สิทธินอก อายุ 32 ปี ” เป็นอดีตแม่ค้าขายลูกชิ้น ตลาดสี่มุมเมือง มากถึง 25 ล้านบาท มาพักอาศัยที่บ้านแห่งนี้
โดยรับหน้าที่เป็นแม่บ้าน หญิงสาว คนดังกล่าว มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับ คดีเงินทอนวัด เพราะมีปรากฏข้อมูลเว้นทางการเงินว่า เธอคนนี้ รับโอนเงินจากพระชั้นผู้ใหญ่ กว่า 25 ล้านบาท เจ้าหน้าที่จึงนำกำลังเข้าตรวจค้นเก็บหลักฐาน เอกสารสำคัญ จากบ้านหลังดังกล่าว
ต่อมาอีกวัน 3 วัน คือวันที่ 19 พ.ค. กองปราบฯ ก็เปิดปฏิบัติรุกคืบ ค้นขยายผลอีกครั้ง รอบนี้นำกำลังพร้อมหมายศาล เข้าตรวจค้น บ้านเลขที่ 64/16 ในหมู่บ้านธรินภรณ์วิลล่า ต.วัดชลอ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เนื่องจากพบว่าเส้นทางเงิน จากสำนักพระพุทธศาสนาได้โอนเงินให้เจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อใช้ในกิจกรรมเกี่ยวกับการสอนโรงเรียนปริยะ แผนกสามัญ จำนวน 5 ล้านบาท

แต่เมื่อได้เงินมา เจ้าอาวาสวัดกลับโอนเงินจำนวนนั้นทั้งหมดมาที่บุคคลที่อยู่ในบ้านหลังนี้ นอกจากนี้ยังพบว่า บ้านหลังนี้ทำธุรกิจเปิดบริษัทเช่าที่ดินวัด
อย่างไรก็ตามกระแสข่าวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีชื่อของวัดและพระชั้นผู้ใหญ่ในกรุงเทพมหานคร ที่เข้ามาเกี่ยวข้องการตรวจสอบทุจริตเงินทอนวัด ทั้ง พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม และพระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
และล่าสุดช่วงเช้าเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าค้นตรวจค้นกุฏิ พระพรหมดิลก เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร
วัดสัมพันธวงศ์ วัดสระเกศ โดยในการตรวจค้นวัดดัง ได้เก็บหลักฐานมาจำนวนหนึ่ง และเชิญตัว มาทำการสอบสวนกองปราบปราม
และนี่จึงเป็นที่มาของปฏิบัติการรวบพระชั้นใหญ่ ช่วงย่ำรุ่ง บิณฑบาต !!

ยังลดได้อีก

ยังลดได้อีก



กรณีงบติดตั้งระบบไอทีรัฐสภาแห่งใหม่ ที่บานทะโร่ไปกว่าแปดพันล้านบาท
ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องโยนกลับไปให้ สำนักเลขาธิการรัฐสภาไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าการเหยียบเบรกของ “พล.อ.ประยุทธ์” ครั้งนี้ ประหยัดเงินภาษีประชาชนได้ถึง “สามพันล้านบาท”
เพราะ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. รีบสนองนโยบายผู้นำรัฐบาล สั่งลดวงเงินติดตั้งระบบไอทีจากที่ขออัดฉีดเพิ่มอีก 8,000 ล้านบาท
ให้เหลือไม่เกิน 5,000 ล้านบาท
การลดสเปกอุปกรณ์ไอทีที่โขกราคาแพงหูฉี่ให้ตํ่าลงอีกเล็กน้อย สามารถลดรายจ่าย (ที่ไม่ควรจ่าย) ไปได้พรวดเดียวถึง 3,000 ล้านบาท
เช่น นาฬิกาดิจิทัลเชื่อมสัญญาณดาวเทียมราคาตัวละ 70,000 บาท เปลี่ยนไปใช้นาฬิกาติดผนังขนาดใหญ่ 24 นิ้ว ใช้แบตเตอรี่ปกติ ราคาตัวละไม่เกิน 2,000 บาท
ประหยัดเงินของชาติไปได้อีกตัวละ 6.8 หมื่นบาท
ไมโครโฟนห้องประชุมอย่างหรู ชุดละ 1.35 แสนบาท ก็ลดสเปกไปใช้ไมโครโฟนดิจิทัลชุดละ 8 หมื่นบาท
ประหยัดเงินภาษีประชาชนไปได้อีกชุดละ 5.5 หมื่นบาท
จอทีวีดิจิทัลขนาด 65 นิ้ว ที่เคาะราคาไว้แพงระเบิดระเบ้อตัวละ 1.7 แสนบาท ก็ลดสเปกเป็นทีวีดิจิทัลตัวละ 5 หมื่นบาท
ประหยัดเงินแผ่นดินไปได้อีกตัวละ 1.2 แสนบาท
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าการปรับลดสเปกอุปกรณ์ไอทีที่มีราคาแพงเว่อร์เกินความจำเป็น ทำให้ลดวงเงินติดตั้งระบบไอทีได้รวดเร็วทันใจ เห็นผลทันตา
ลดได้พรวดเดียว 3,000 ล้านบาท!!
แต่ “แม่ลูกจันทร์” มองว่างบที่ลดลงเหลือ 5,000 ล้านบาทยังแพงไป...
ยังสามารถปรับลดลงได้อีก
ขึ้นอยู่ที่นายพรเพชร ประธาน สนช.ในฐานะผู้บริหารสูงสุดจะกล้าเอาจริงหรือเปล่า??
ถ้า นายพรเพชร ต้องการพิสูจน์ให้สังคมเห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าได้
ดำเนินการอย่างโปร่งใสเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“แม่ลูกจันทร์” กระชุ่นนายพรเพชรดำเนินการ 2 อย่าง
ข้อที่ 1 สั่งยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างวิธีพิเศษ เปลี่ยนไปใช้วิธีเปิดประมูลให้เอกชนเสนอราคาแข่งขันตามระเบียบราชการปกติ
รับประกันซ่อมฟรีว่ารัฐสภาใหม่จะได้ระบบไอทีคุณภาพดีในราคาต่ำกว่าการจัดซื้อวิธีพิเศษ
เช่น ไมโครโฟนตัวละ 80,000 บาท จะเหลือตัวละ 20,000 บาท
ข้อที่ 2 อุปกรณ์ไอที และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้งานในสภาปัจจุบันยังสามารถขนย้ายไปติดตั้งเพื่อใช้งานในสภาใหม่ได้หลายส่วน
ไม่ว่าอุปกรณ์ที่ใช้ในห้องประชุมใหญ่ หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในห้องประชุมคณะกรรมาธิการ
ไม่จำเป็นต้องโละทิ้งทั้งหมด!
รัฐสภาใหม่ไม่จำเป็นต้องจัดซื้ออุปกรณ์ใหม่ยกกระบิ
ถ้าหากอุปกรณ์ไอที ที่ยังใช้งานได้ดีจึงควรนำไปใช้ในสภาใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ดีกว่าจะขายทิ้งเป็นเศษเหล็ก
ย้ำอีกครั้ง...งบไอทีสภาใหม่ยังลดได้อีก
อยู่ที่นายพรเพชรคนเดียว...
จะกล้าเอาจริงหรือเปล่า??
"แม่ลูกจันทร์"

ไพบูลย์ แฉ 'พระผู้ใหญ่วัดดัง' อมเงินทอนวัด ขอตาสว่าง ปฏิรูปคณะสงฆ์

ไพบูลย์ แฉ 'พระผู้ใหญ่วัดดัง' อมเงินทอนวัด ขอตาสว่าง ปฏิรูปคณะสงฆ์



ไพบูลย์ แฉ “พระผู้ใหญ่” อมเงินทอนวัด ระบุ พบหลักฐานโอนเงินเข้าบัญชีสีกาคนหนึ่ง 25 ล้านบาท ชี้ กลุ่มชาวพุทธฯ-อดีตผู้ว่าฯ สตง.ตาสว่าง ย้ำต้องปฏิรูปคณะสงฆ์

วันที่ 17 พ.ค. นายไพบูลย์ นิติตะวัน ผู้ก่อตั้งพรรคประชาชนปฏิรูป กล่าวถึงกรณีกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) ได้ตรวจพบการทุจริตในวัดใหญ่แห่งหนึ่ง ในกทม. และมีพระชั้นผู้ใหญ่ เข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริตโดยพบว่ามีการนำเงินไปใช้ ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ทางสำนักพระพุทธศาสนา (พศ.) กำหนด จึงตรวจสอบเส้นทางการเงินกระทั่งพบว่า พระชั้นผู้ใหญ่ของวัดดัง ได้โอนเงินงบประมาณที่ทางวัดได้รับมาจากทาง พศ.จำนวน 25 ล้านบาท จาก 30 ล้านบาท ไปให้กับ ผู้หญิงรายหนึ่งที่พักอาศัยอยู่ในบ้าน จนนำไปสู่กรณีตำรวจกองปราบปราม เข้าตรวจค้นบ้านตามที่เป็นข่าว ทราบว่าเป็นกระบวนการทุจริตงบประมาณแผ่นดินของพระชั้นผู้ใหญ่ ที่มีกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน และอดีตผู้ว่าฯ สตง.คนหนึ่ง ออกมาปกป้องพระผู้ใหญ่ โดยพยายามกดดัน แทรกแซง เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องนี้ทุกวิถีทาง

แต่ตอนนี้มีหลักฐานปรากฎแล้วว่า พระชั้นผู้ใหญ่ในระดับกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เฉพาะวัดนี้เบิกงบประมาณแผ่นดินอ้างว่า เพื่อใช้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปแล้วหลายร้อยล้าน ปีละ 60 ล้านบาท โดยกรณีนี้ นำเงินหลวงมาเข้าบัญชีวัด ที่ตนเป็นเจ้าอาวาส จากนั้นก็โอนเงิน 25 ล้านบาท ไปเข้าบัญชีของสีกา แล้วให้สีกาเบิกเงินเป็นแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายคืนให้กับตนที่เป็นพระชั้นผู้ใหญ่ระดับกรรมการ มส. แล้วนำไปใช้ต่อ

“พฤติกรรมเช่นนี้ ทำให้เชื่อได้ว่า เข้าข่ายเป็นการฟอกเงินที่ได้จากการทุจริตเงินหลวงที่รับการอุดหนุนจากหน่วยงานรัฐ ซึ่งล่าสุดผมทราบว่า พระชั้นผู้ใหญ่ระดับกรรมการ มส.รายนี้ ขณะนี้กำลังอยู่ที่ต่างประเทศ จึงขอให้ทั้งกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน และอดีตผู้ว่าฯ สตง.คนที่ออกมารับรองความบริสุทธิ์ของพระชั้นผู้ใหญ่รายนี้ ได้หูตาสว่างขึ้นด้วย เพราะการที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอาผิดกับบุคคลที่ทุจริตเงินหลวงนั้น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ หรือพระชั้นผู้ใหญ่ ก็ตาม การทำหน้าที่ตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประชาชนทั้งประเทศต่างให้สนับสนุนการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันกันทั้งประเทศ ดังนั้น จึงขอให้กลุ่มชาวพุทธฯ และอดีตผู้ว่าฯ สตง.หยุดการเคลื่อนไหวในทางที่ไม่ถูกต้อง เพราะอาจจะกลายเป็นเข้าข่ายสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทำความผิดทุจริตเงินหลวงทั้งที่เป็นพระชั้นผู้ใหญ่ แต่กลับอาศัยพระพุทธศาสนามาแสวงหาประโยชน์เข้าตน โดยไม่ชอบด้วย ทั้งพระธรรมวินัยและกฎหมาย

ทั้งนี้ ผมเชื่อว่าการตรวจสอบทุจริตเงินหลวงของพระชั้นผู้ใหญ่ในระดับกรรมการ มส.โดยหน่วยงานของรัฐ เช่น ปปง.จะสามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินและขยายผลไปยังขบวนการหรือกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก ถือเป็นความเข้มแข็งของการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลนี้ และจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ นำไปสู่การปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ และการจัดการทรัพย์สินวัด และพระภิกษุให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย ตามแนวทางที่คณะผู้ก่อตั้งพรรค ปชช. เสนอนโยบายแก้ไขปัญหาโดยให้มี พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ฉบับ “ธรรมาธิปไตย” ขึ้นมาใช้แทน” นายไพบูลย์ กล่าว...

ได้เวลาบริหารแต้ม

ได้เวลาบริหารแต้ม



ได้จังหวะไปสูดออกซิเจนเข้าปอด หลังเจอม็อบอยากเลือกตั้งทำอากาศเป็นพิษที่กรุงเทพฯ
ตามอารมณ์เหน็บๆลูกติดพันแบบที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ปราศรัยกับชาวบ้าน ระหว่างหนีบพี่ใหญ่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม พร้อมทีมรัฐมนตรี ลงพื้นที่ จ.ราชบุรี ร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้เนื่องในวันต้นไม้แห่งชาติ
แต่ก็ยังหนีไม่พ้นถูกตั้งข้อสังเกตว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นรัฐมนตรีที่เป็นทหารใน คสช.แทบทั้งหมด แถมยังเข้มงวดกับมาตรการ รปภ.แบบที่ห้ามชาวบ้านเซลฟี่กับนายกฯเหมือนที่ผ่านมา
นั่นแสดงว่ายังไม่ไว้ใจสถานการณ์ม็อบของฝ่ายต่อต้านจะสงบราบคาบซะทีเดียว
เสียว ระวังตัวแจเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ประเมินจากภาพรวม ถ้าตัดฉากป่วนๆของม็อบอยากเลือกตั้งออกไป โฟกัสกระบวนท่าของ “นายกฯลุงตู่” ในโอกาสครบรอบ 4 ปี คสช. เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา
ชัดเจนเลยว่า ต้องการโชว์ไฮไลต์ไปอยู่ที่ฟลอร์ของเศรษฐกิจ
ตามจังหวะขยายผล รับข่าวดีที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 2561
ดีดตัวขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 4.8 โตสูงสุดในรอบ 20 ไตรมาส
แบบที่ “นายกฯลุงตู่” แถลงด้วยความปลาบปลื้มกับตัวเลขที่เป็นผลจากความพยายามทำงานอย่างหนักของรัฐบาล คสช. ลากเศรษฐกิจจากจุดต่ำเตี้ย ระดับ 0 กว่าๆมาถึงร้อยละ 4.8
โดยก่อนหน้านั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้สั่งการในที่ประชุม ครม.ให้เติมงบฯโครงการไทยนิยมยั่งยืน ลุยอัดฉีดเศรษฐกิจฐานราก เพื่อต่อยอดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตามท้องเรื่องแบบที่เห็นการเทกแอ็กชันของรัฐมนตรี 7 คน ที่รับผิดชอบโครงการไทยนิยมยั่งยืน ประกอบด้วยนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายศิริ จิระพงษ์พันธุ์ รมว.พลังงาน นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกฯ
ตั้งโต๊ะแถลงข่าวใหญ่ร่วมกัน ตีปี๊บรัฐบาลกดปุ่มเดินหน้าอัดฉีดงบประมาณ 100,000 ล้านบาท ในโครงการไทยนิยมยั่งยืน กระจายลงพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
โดยแยกเป็นในส่วนของกระทรวงการคลัง โครงการบัตรสวัสดิการคนจน 24,000 ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย อัดฉีดผ่าน 80,000 หมู่บ้านและชุมชนละ 200,000 บาท เพื่อทำถนนและประปา รวมถึงโครงการพัฒนาศักยภาพสินค้าโอทอป และหมู่บ้านท่องเที่ยว 3,200 แห่ง
ขณะที่กระทรวงเกษตรฯ มีงบฯ 24,000 ล้านบาท ฝึกอาชีพให้เกษตรกรทางด้านพืช ปศุสัตว์และประมง และเพิ่มเงินให้สหกรณ์ 307 แห่ง ไปเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้งบประมาณ 821 ล้าน พัฒนาด้านการท่องเที่ยวเชื่อมโยงหน่วยงานต่างๆ เน้นการพัฒนาชุมชนให้เกิดความยั่งยืน
ทั้งหมดทั้งปวงตั้งเป้าให้คนจนลดลงร้อยละ 50 ภายใน 1 ปีจากนี้
ขณะเดียวกันมันก็ยังมีมุมของวิกฤติเร่งด่วนเฉพาะหน้า ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่พุ่งกระฉูด ก่อให้เกิดโรคอารมณ์บูด ผู้คนเหมาด่ารัฐบาล “ลุงตู่” พาลถึงเรื่องเศรษฐกิจ
ทำให้ “ลุงตู่” นั่งไม่ติด ต้องรีบดับอารมณ์คนไทยขี้หงุดหงิด
ล่าสุดกระทรวงพลังงานเตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพลังงาน (กบง.) อนุมัติหลักการบรรเทาภาระความเดือดร้อนของประชาชนที่ใช้น้ำมันดีเซล
หากราคาน้ำมันสูงกว่า 80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ก็จะมีมาตรการใช้เงินกองทุนน้ำมัน 30,000 ล้านบาท มาอุ้มราคาน้ำมันดีเซล ลดภาระของประชาชน ประคองราคาขนส่งและสินค้า
เห็นได้ชัดเลยว่า ทีม “ลุงตู่” ต้องประคบประหงมเศรษฐกิจพร้อมๆประคองยุทธศาสตร์การเมือง
“บริหารกระแส” กันแบบสุดกำลัง
ทั้งนี้ ก็เพื่อเคลียร์เส้นทางไปถึงช็อตสำคัญ ตามโปรแกรมเดือนหน้ามิถุนายนนี้ พล.อ.ประยุทธ์จะโชว์ความชัดเจนทางการเมือง ทั้งเรื่องของกำหนดวันเลือกตั้ง รวมทั้งเส้นทางการลงสนามการเมือง เรื่องของการตีตั๋วต่อเป็น “นายกฯคนใน” ผ่านบัญชีพรรคพลังประชารัฐ
และอย่าได้แปลกใจถ้ายุทธการอัดฉีดฐานราก เงินจะหมุนไปถึงชาวบ้านชุกนับแต่นี้เป็นต้นไป
ซึ่งนั่นก็ว่ากันไม่ได้ กับเหลี่ยมรัฐบาลใช้งบประมาณหลวงหาเสียง
เพราะมุกนี้นักการเมืองก็ทำกันมาทุกยุคทุกสมัย.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน

จับ“พุทธะอิสระ”คาวัดอ้อน้อยคดีกรรโชก ซ่องโจรช่วง กปปส.ชุมนุม

จับ“พุทธะอิสระ”คาวัดอ้อน้อยคดีกรรโชก ซ่องโจรช่วง กปปส.ชุมนุม
กองปราบฯ ส่งคอมมานโดบุกจับ “พุทธะอิสระ” คาวัดอ้อน้อย ตามหมายจับกรรโชกทรัพย์ ซ่องโจร พร้อมบุกค้น 3 วัดดัง นิมนต์พระชั้นผู้ใหญ่สอบคดีทุจริตเงินทอนวัด
เมื่อ 24 พ.ค. 2561 กองปราบปรามแบ่งกำลังปฏิบัติการสั่นสะเทือนวงการสงฆ์ตั้งแต่ 06.00 น โดยสายหนึ่ง พ.ต.อ.เด่นหล้า รัตนกิจ ผกก.ปพ.บก.ป. นำกำลังคอมมานโด จับ“พระพุทธอิสระ” หรือ “พระสุวิทย์ ธมฺมธีโร” ที่วัดอ้อน้อย ตามหมายจับคดีกรรโชกทรัพย์
มีรายงานว่า คดีที่พุทธะอิสระถูกจับกุมครั้งนี้ คาดเป็นกรณีกรรโชกทรัพย์ 1.2 แสนบาท โรงแรมเอสซีปาร์ค แขวงวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร ในช่วงร่วมชุมนุมกับ กปปส. เมื่อ ปี 2557 นอกจากนี้ ยังถูกแจ้งข้อหาอื่น อาทิ ปล้นทรัพย์ อั้งยี่ และซ่องโจรด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างนำตัวเข้ากองปราบปรามเพื่อสอบปากคำ
ส่วนกำลังอีกสายหนึ่ง พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองปราบปราม นำกำลังตำรวจกว่า 100 นาย พร้อมหมายศาลเข้าตรวจค้นและนิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคดีเงินทอนวัด ประกอบด้วย วัดสามพระยา, วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร, วัดสัมพันธวงศาราม
สำนักข่าวหลายสำนัก ระบุว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้เชิญ พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา เจ้าคณะกรุงเทพฯ และกรรมการมหาเถรสมาคม กับพระลูกวัดมาสอบสวน
ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ยังอยู่ระหว่างการค้นวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พบเพียงผู้ช่วยเจ้าอาวาส 2 รูป แต่ไม่พบเจ้าอาวาส โดยเจ้าหน้าที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจค้นหาหลักฐานภายในวัด
ก่อนหน้านี้ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ร้องทุกข์กล่าวโทษคดีทุจริตเงินทอนวัดรอบที่ 3 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นกรณีกระทำความผิดอาญาคดีทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม
ทั้งนี้ เบื้องต้นพบว่าเกี่ยวข้องกับพระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป ประกอบด้วย พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร, พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการ มส. และเจ้าคณะภาค 4-7, พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรรมการ มส. และเจ้าคณะภาค 10, พระเมธีสุทธิกร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และพระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
PEACE NEWS

ย้อนรอย ทุจริต 40 วัดดังทั่วไทย

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เดินหน้าตรวจสอบทุจริตเงินทอนวัดตั้งแต่เดือน มิ.ย.2560 โดย ปปป.ส่งสำนวนคดีให้ ปปช.ชี้มูลความผิดแล้ว 3 ล็อต ประกอบด้วย 40 วัดดังทั่วประเทศไทย โดยในวันนี้นำหมายจับเข้าค้น 4 วัดดังใน กทม. เพื่อนิมนต์พระผู้ใหญ่รับทราบข้อหา

3 มิ.ย.2560 "เปิดทุจริตเงินทอนวัด"

พระครูใบฎีกา อนันต์ เขมานนฺโท เจ้าอาวาสวัดห้วยตะแกละ จ.เพชรบุรี ตัดสินใจร้องเรียนกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ปปป.และ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง.หลังพบพิรุธข้าราชการ พศ.ทอนเงินสร้างพระอุโบสถกลับไปถึง 10 ล้านบาท และวัดได้รับเงินจริงเพียง 1 ล้านบาทเท่านั้น

19 มิ.ย.2560 "เปิดรายชื่อวัด ล็อตที่ 1"

ปปป.ลงตรวจสอบพบทุจริตเงินทอน 12 วัด ได้แก่ วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา, วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน, วัดห้วยตาแกละ จ.เพชรบุรี, วัดราชบูรณะ (วัดนอก) จ.ชุมพร, วัดโพธิ์ศรี วัดโคกเลาะ วัดพระศรีเจริญ จ.อำนาญเจริญ, วัดวัฒนาราม วัดหาดปู่ด้าย วัดทุ่งต้ำ วัดบ้านอ้อ และวัดอุมลอง จ.ลำปาง โดยมีข้าราชการ พศ.และพลเรือนทุจริต 10 คน มูลค่าความเสียหาย 60 ล้านบาท มีการทอนเงินกลับมายังผู้บริหารระดับสูง พศ.ถึงร้อย 75

26 ก.ย.2560 "เปิดรายชื่อวัด ล็อตที่ 2"

ปปป.ลงพื้นที่ตรวจสอบพบทุจริตเงินทอนวัดจำนวน 23 วัด ได้แก่ วัดกวิศรารามฯ, วัดสุวรรณาราม, วัดพิชยญาติการามฯ, วัดบำเพ็ญเหนือ, วัดดาวดึงษาราม, วัดไร่ขิง, วัดบางระกำ, วัดราชสิทธารามฯ, วัดยางโองน้ำ, วัดยางโองสันกลาง, วัดยางโอนบน, วัดลาดแค, วัดโคกสารสัจจธรรม, วัดญาณเมธี, วัดปากดงสามัคคีธรรม, วัดหนองสะเอ้ง, วัดรังงามปทุมรักษ์, วัดศรีบุญนำ, วัดห้วยทราบขาว, วัดช้าง, วัดดอนสะท้อน, วัดท้องตมใหญ่ และวัดเล็บกระรอก
โดย 1 ใน 23 วัด พบว่ามีการทอนเงินกลับไปยังผู้บริหารระดับสูง พศ.มากสุดจำนวน 30 ล้านบาท น้อยสุดจำนวน 500,000 บาท วัดที่ได้รับความเสียหายในการทอนเงินวัดมากที่สุดส่วนใหญ่เป็นวัดในกรุงเทพมหานคร โดยมีข้าราชการ พศ.ทุจริต จำนวน 13 คน พระภิกษุสงฆ์ 4 รูป และพลเรือน 2 คน มูลค่าความเสียหาย 141 ล้านบาท

19 เม.ย.2561 "เปิดรายชื่อวัด ล็อตที่ 3"

ปปป.ตรวจสอบพบทุจริตเงินทอนวัด 10 วัด เปิดเผยรายชื่อเพียง 3 วัด คือ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดสัมพันธวงศาราม และวัดสามพระยา ข้าราชการ พศ.ที่ร่วมทุจริตยังเป็นกลุ่มเดียวกับล็อตที่ 1 ถึง 2 และล็อตที่ 3 นับเป็นการตรวจสอบพระเถระชั้นผู้ใหญ่ วัดดังในกรุงเทพมหานคร ถึง 5 รูป คือ 
  • พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร
  • พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการ มส. และเจ้าคณะภาคที่ 4 -7 
  • พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรรมการ มส. และเจ้าคณะภาค 10 
  • ผู้ช่วยเจ้าอาวาส 2 รูป คือ พระเมธีสุทธิกร และพระวิจิตรธรรมาภรณ์ 
ส่วนอีก 7 วัดที่เหลือ ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานคร ทั้งหมดได้เงินอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ ปี 2556 พระภิกษุสามเณร 2,500,000 รูป 72 ล้านบาท หรือ เฉลี่ยวัดละ 10 ล้านบาท

20 เม.ย.2561  ส่งสำนวน ป.ป.ช.พบเสียหาย 270 ล้าน

ปปป.ส่งสำนวนคดีทุจริตเงินทอนวัด ตั้งแต่ล็อตที่ 1 ถึง ล็อตที่ 3 ให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.พบมูลค่าความเสียหายกว่า 270 ล้านบาท

19 พ.ค.2561 พบ "นอมินี" เงินทอนพระผู้ใหญ่ 25 ล้านบาท

เจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปราม นำหมายค้นเข้าตรวจสอบที่บ้าน ร.ท.ฐิติทัศน์ นายทหารสังกัดศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) หลังตำรวจร่วมกับ ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบมีการโอนเงินงบเผยแพร่พระพุทธศาสนาวัด 12 แห่ง ไปยังแม่บ้านของ ร.ท.ฐิติทัศน์ และบัญชีของตัวเอง แต่วัดทั้ง 12 แห่งกลับไม่ได้รับเงิน 

ทั้งยังพบเส้นทางการเงิน เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ได้โอนเงินจำนวน 25 ล้านบาท เข้าบัญชีแม่บ้านของ ร.ท.ฐิติทัศน์ เช่นกัน  นอกจากนั้นยังพบปืนหลายชนิดกว่า 23 กระบอก เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวมาสอบสวนหาความเชื่อมโยง และออกหมายศาลเข้าตรวจค้นวัดสระเกศ

23 พ.ค.2561 "ออกหมายจับพระผู้ใหญ่"

ศาลอาญาอนุมัติหมายจับ พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาส และเจ้าคณะภาค 10 และพระอีก 3 รูปของวัดสระเกศ ได้แก่ พระศรีคุนาภรณ์ หรือพระมหาบุญทวี คำมา, พระครูสิริวิหารการ และพระครูวิจิตร ธรรมาภรณ์ หรือเจ้าคุณเทิด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ฐานร่วมความผิดคดีความผิดฟอกเงิน และยังออกหมายจับ น.ส.นุชรา สิทธินอก แม่บ้านที่บ้าน ร.ท.ฐิติทัศน์ นิพนธ์พิทยา


24 พ.ค.2561 "บุกค้นวัดดัง กทม."

ตำรวจกองปราบนำหมายศาลอาญา เข้าตรวจค้นวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เพื่อนิมนต์พระ 4 รูปไปรับทราบข้อกล่าวหา ขณะที่ค้นวัดสระเกศ ฯ ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ไม่พบตัว พระพรหมสิทธิ หรือ เจ้าคุณธงชัย เจ้าอาวาสวัด ตร.ตรวจสอบพบพิรุธ ทำประตูหลบหนี และสอบปากคำลูกศิษย์ และผู้ช่วยเจ้าอาวาส 2 รูป โดยลูกศิษย์ บอกเจ้าคุณธงชัย ออกไปจากวัดตั้งแต่เมื่อวานนี้ จากการตรวจสอบเส้นทางเงินในบัญชีเจ้าอาวาส พบเงินกว่า 130 ล้านบาท และยังพบการโอนเงินให้ฆราวาส 69 ล้านบาท 

ในวันเดียวกัน ตำรวจกองปราบปราม เข้าค้นวัดอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร วัดสามพระยา และวัดอ้อน้อย เพื่อนิมนต์พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร, พระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย มาที่กองปราบปราม เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาคดีเงินทอนวัด 

ย้อนรอยทุจริตเงินทอนวัด

เกือบ 2 ปี ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เดินหน้าตรวจสอบทุจริตเงินทอนวัด ขณะนี้ ปปป.ส่งสำนวนคดีให้ ปปช.ชี้มูลความผิดแล้ว 3 ล็อต ซึ่งพบว่า ตั้งแต่ล็อตที่ 1 ถึง ล็อตที่ 3 มีข้าราชการกลุ่มเดิมอยู่เบื้องหลังการทุจริตงบประมาณกว่า 270 ล้านบาท
ตั้งแต่เดือน มิ.ย.2560 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) ส่งสำนวนคดีทุจริตเงินทอนวัด ตั้งแต่ล็อตที่ 1 ถึง ล็อตที่ 3 ให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พบมูลค่าความเสียหายกว่า 270 ล้านบาท




ล็อตที่ 1 ตรวจสอบพบทุจริตเงินทอน 12 วัด มีข้าราชการ พศ.และพลเรือนทุจริต 10 คน มูลค่าความเสียหาย 60 ล้านบาท มีการทอนเงินกลับมายังผู้บริหารระดับสูง พศ.ถึงร้อย 75 การตรวจสอบเงินทอน 12 วัด เกิดขึ้นเพราะพระครูใบฎีกา อนันต์ เขมานนฺโท เจ้าอาวาสวัดห้วยตะแกละ จ.เพชรบุรี ตัดสินใจร้องเรียน ปปป.และ สตง.หลังพบพิรุธข้าราชการ พศ.ทอนเงินสร้างพระอุโบสถกลับไปถึง 10 ล้านบาท และวัดได้รับเงินจริงเพียง 1 ล้านบาทเท่านั้น



ล็อตที่ 2 ตรวจสอบพบทุจริตเงินทอนวัดจำนวน 23 วัด และ 1 ใน 23 วัดยังพบว่า มีการทอนเงินกลับไปยังผู้บริหารระดับสูง พศ.มากสุดจำนวน 30 ล้านบาท น้อยสุดจำนวน 500,000 บาท วัดที่ได้รับความเสียหายในการทอนเงินวัดมากที่สุดส่วนใหญ่เป็นวัดในกรุงเทพมหานคร โดยมีข้าราชการ พศ.ทุจริต จำนวน 13 คน พระภิกษุสงฆ์ 4 รูป และพลเรือน 2 คน มูลค่าความเสียหาย 141 ล้านบาท



ล็อตที่ 3 ตรวจสอบพบทุจริตเงินทอนวัดเงิน 10 วัด เปิดเผยรายชื่อเพียง 3 วัด คือวันสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดสัมพันธวงศาราม และวัดสามพระยา ข้าราชการ พศ.ที่ร่วมทุจริตยังเป็นกลุ่มเดียวกับล็อตที่ 1 ถึง 2 และล็อตที่ 3 นับเป็นการตรวจสอบพระเถระชั้นผู้ใหญ่ วัดดังในกรุงเทพมหานคร ถึง 5 รูป คือ พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะกรุงเทพฯ
พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการมส. และเจ้าคณะภาคที่ 4 -7 พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรรมการมส. และเจ้าคณะภาค 10 และผู้ช่วยเจ้าอาวาส 2 รูป คือ พระเมธีสุทธิกร และพระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยวัดสระเกศฯ



พฤติการณ์ของพระชั้นผู้ใหญ่ ที่อาจเข้าข่ายทุจริต คือ ร่วมมือกับผู้บริหาร พศ.เขียนโครงการขอเงินอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรมและเผยแพร่ศาสนา แต่นำเงินไปใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ เช่น สร้างกุฏิ บางกรณีเปิดรับบริจาคเงินจากญาติโยม ส่งพระนักธรรมทูตไปต่างประเทศ ทั้งที่ได้รับเงินอุดหนุนไปแล้ว และยังพบว่าข้าราชการ พศ.แทบไม่ได้จับเงิน หรือ ส่วนแบ่งเงินทอนกลับมา แตกต่างจากล็อตที่ 1 และ ล็อตที่ 2
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ การสอบสวนจะแยกออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนสำนักพระพุทธศาสนาดำเนินการ และอีกส่วนคือ ป.ป.ช. ดำเนินการ และย้ำว่า หากพบข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาด
นายสุวพันธุ์ กล่าวย้ำถึงการสอบสวนจะแยกส่วนกัน ระหว่างกระบวนการยุติธรรมและคณะสงฆ์ และยืนยันว่าจะต้องเป็นไปตามความถูกต้อง เป็นธรรม ตรงไปตรงมา และโปร่งใส โดยทุกอย่างต้องเป็นไปตามพยานหลักฐาน และกระบวนการยุติธรรม เพราะอีกบทบาทหนึ่งของรัฐบาล คือการส่งเสริมสนับสนุนให้ศาสนาเจริญรุ่งเรืองต่อไป
ขณะเดียวกัน พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ขอให้ทุกฝ่ายเชื่อมั่นในกระบวนการสอบข้อเท็จจริง และสอบสวนคดีทุจริตเงินทอนวัด คือคำกล่าวย้ำจากนายกรัฐมนตรี เพราะรัฐบาลเห็นตรงกันว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและรอบด้าน เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริง และไม่ให้ส่งผลกระทบกับสภาพจิตใจของประชาชน ทั้งนี้ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ด้านสังคม ได้กำชับ-สั่งการไปยังนายสุวพันธุ์ ในการกำกับดูแลสำนักพระพุทธศาสนา ให้ดำเนินการตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี และมั่นใจว่าผลออกมาชัดเจนอย่างไร ประชาชนคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ คงจะเข้าใจด้วย

อายัดบัญชีเจ้าอาวาสวัดสระเกศ 132 ล้าน เจ้าคุณธงชัย เผ่น พบเจาะประตูลับหนี!!

อายัดบัญชีเจ้าอาวาสวัดสระเกศ 132 ล้าน เจ้าคุณธงชัย เผ่น พบเจาะประตูลับหนี!!
จากกรณี ตำรวจกองปราบปรามและปอท. นำได้กำลังกว่า 100 นาย เข้าตรวจค้นดังในกรุงเทพมหานคร อาทิ วัดสามพระยาวรวิหาร วัดสัมพันธ์วงศ์ วัดสระเกศ วัดเขาออน้อย เพื่อตรวจสอบในคดีตามหมายจับ
พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. กล่าวว่า ได้มาตรวจค้นตั้งแต่ 06.00 น. ผลการตรวจค้นวัดสระเกศ มีพระ 4 รูป ผู้ต้องหาตามหายจับ ตอนนี้พบแล้ว 3 อยู่ อยู่ใน วัด 2 รูป ส่วนอีกรูป คือพระวิจิตรธรรมาภรณ์ตอนนี้พักรักษาตัวที่ รพ.สมิติเวช ได้ส่งกำลังเฝ้าดูแลแล้ว ส่วนพระพรหมสิทธิธงชัย สุขโข (เจ้าคุณธงชัย) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ ยังหาตัวไม่พบ อยู่ระหว่างค้นอยู่ แต่จากการสืบสวนเมื่อวานพบว่าพระพรหมสิทธิยังอยู่ที่วัด
“ก่อนเริ่มปฏิบัติการได้ส่งตำรวจมาเฝ้าอยู่ประตูใหญ่ ประตูเล็กรอบวัดทั้งหมดหมด เมื่อเช้านี้ เราไม่เจอตัวเจ้าอาวาสได้มาดูเส้นทางใกล้กุฎิ พบบริเวณด้านข้างได้ทำช่องทางออกใหม่ขึ้นมา ดูแล้วสามารถออกถนนใหญข้างนอกได้ ต้องยอมรับว่า เป็นจุดที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ตนไม่หนักใจ หลบหนีอย่างไรก็ตามติดตามจับกุมตัวมาให้ได้”พล.ต.ต.ไมตรี กล่าว
พล.ต.ต.ไมตรีกล่าวว่า สำหรับบัญชีเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ได้มีการตรวจสอบ พบบัญชีเงินฝากส่วนตัวพบ 10 บัญชี รวม เงิน 132 ล้านบาท เลขาฯปปง.ได้อายัดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ส่วนวัดสัมพันธวงศ์ กับวัดสามพระยา นั้น ได้มีตำรวจกองปราบเข้าไปด้วย จากการตรวจสอบ วัดสัมพันธวงศ์ ไม่พบพระพรหมเมธี เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ส่วนพระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยาได้ควบคุมตัวไปกองปราบแล้ว