PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2562

ระทึกยุบทษช.





    คุมเข้มศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดียุบพรรค ส่งตำรวจ 1.5 พันนายรักษาความปลอดภัย "ศรีวราห์" ยันไข่แดงรัศมี 500 เมตร  M79 ยิงไม่ถึง ขณะที่ไทยรักษาชาติสั่งงดหาเสียง แนะมวลชนฟังข่าวอยู่กับบ้าน แต่กลุ่มอยากเลือกตั้งเสนอตัวไปฟังแทน ช่างกล้า "โบว์" ดักคอศาล อ้างหากจะมีใครนำพระราชโองการมาอ้างอิงใช้เสมือนเป็นกฎหมาย จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อหลักการนิติรัฐ
    สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้จัดเตรียมความพร้อมของสถานที่ในการอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 7 มี.ค. เวลา 15.00 น. การอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ได้สงวนสิทธิ์การขอเข้าฟังการคำวินิจฉัยในห้องพิจารณา แต่ได้เตรียมการถ่ายทอดสัญญาณจากห้องพิจารณามาที่จอโทรทัศน์วงจรปิดที่จะติดตั้ง 3 จุด ในบริเวณลานกิจกรรมของศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ อาคารเอ โดย 2 จุดได้จัดเตรียมไว้ให้สื่อมวลชน ส่วนอีกหนึ่งจุดได้เตรียมให้ประชาชนที่สนใจสามารถรับชมการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้
    สำหรับการรักษาความปลอดภัยภายในศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นไปอย่างเข้มข้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจมารักษาความปลอดภัย ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่และเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล รวมถึงหน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด พร้อมสุนัขตำรวจที่จะเข้ามาตรวจความเรียบร้อยตั้งแต่ช่วงเย็นวันนี้ พร้อมประกาศปิดลานจอดรถด้านหน้า รวมถึงปิดประตูหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ โดยให้เจ้าหน้าที่ของศาลเข้าช่องทางเดียวคือประตูฝั่งลานกิจกรรมเท่านั้น ส่วนบุคคลภายนอกจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามายังพื้นที่ของศาลรัฐธรรมนูญ
    พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) กล่าวว่า  การวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยนั้นจะมีไม่ต่ำกว่า 1,500 นาย ประกอบด้วย ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด (EOD) ตำรวจสื่อสาร ชุดอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.อคฝ.) กองกำกับการสุนัขตำรวจ 4 นาย และเจ้าหน้าที่ได้นำอุปกรณ์กล้องวงจรปิดมาติดตั้งเพิ่มอีก 70 ตัว รักษาความปลอดภัยพื้นที่โดยรอบศาลรัฐธรรมนูญที่ศาลประกาศเป็นพื้นที่ควบคุม รวมทั้งตั้งจุดตรวจจุดสกัด รวมถึงจุดคัดกรอง โดยเฉพาะพื้นที่รัศมี 500 เมตร จากที่ทำการศาลจะต้องปลอดภัยที่สุด และอยู่ในระยะที่ผู้ไม่หวังดีไม่สามารถใช้เครื่องยิงลูกระเบิด M79 ยิงถึงได้
    บริเวณด้านนอกตำรวจสื่อสารได้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดจำนวน 70 ตัวโดยรอบพื้นที่ สามารถมองเห็นทุกจุดที่มีการเคลื่อนไหว รวมถึงติดตั้งระบบวิทยุสื่อสาร วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อเฝ้าติดตามและรายงานสถานการณ์ได้ทันที ล่าสุดยังไม่มีฝ่ายใดทำหนังสือขออนุญาตชุมนุมให้กำลังใจพรรคไทยรักษาชาติบริเวณศาลและพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนประชาชนหากจะเดินทางมาศาล จะต้องไม่ทำผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ในส่วนของสื่อมวลชน ศาลไม่อนุญาตให้เข้าฟังคำวินิจฉัย แต่ได้เตรียมพื้นที่และอุปกรณ์ในการรับฟังคำพิพากษาไว้ให้ ซึ่งศาลอนุญาตให้คู่กรณีทั้ง 2 ฟังเข้าฟังคำวินิจฉัยฝ่ายละ 16 คน
    “เตือนไปยังกลุ่มผู้ไม่หวังดี ว่าขอให้อย่าเคลื่อนไหวหรือทำอะไรที่อยู่นอกเหนือกฎหมาย ส่วนแกนนำพรรคไทยรักษาชาติ มีการดูแลให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ไม่ถึงกับส่งกำลังเจ้าหน้าที่ไปเฝ้าที่ที่ทำการพรรค แต่การข่าวยังไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด  ซึ่งส่วนตัวมั่นใจว่าจะสามารถดูแลความเรียบร้อยได้ในวันพรุ่งนี้” 
    ด้าน พ.ต.อ.ปริญญา เหลืองอุทัย ผู้กำกับการ สน.ทุ่งสองห้อง กล่าวว่า การรักษาสงบเรียบร้อยและความปลอดภัย ทาง สน.ทุ่งสองห้องก็จะปฏิบัติตามแผนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้วางไว้ โดยทาง สน.จะจัดกำลังไปสนับสนุนประมาณ 30 นาย ซึ่งจนถึงขณะนี้ในทางการข่าวก็ยังไม่ได้รับแจ้งว่าจะมีการก่อความวุ่นวายใดๆ
    สำหรับความเคลื่อนไหวพรรคไทยรักษาชาติ โดยในช่วงเช้าวันที่ 7 มี.ค. คณะกรรมการบริหารพรรคจะหารือร่วมกับประธานฝ่ายยุทธศาสตร์เลือกตั้ง ประธานรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ฝ่ายกฎหมาย เพื่อสรุปประเด็นในขั้นสุดท้ายอีกครั้งว่าจะหยิบยกประเด็นใดบ้างมาแถลงต่อศาล ซึ่งเบื้องต้นทางพรรคมอบหมายให้ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช ในฐานะหัวหน้าพรรค เป็นผู้แถลงปิดคดีด้วยวาจา นอกจากนี้จะมีการหารือในการส่งตัวแทนของพรรคไปร่วมฟังคำวินิจฉัย ตามที่ศาลอนุญาตให้ตัวแทนแต่ละฝ่ายส่งตัวแทนไปได้ฝ่ายละ 16 คน 
    นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานรณรงค์หาเสียง พรรคไทยรักษาชาติ เผยว่า กรรมการบริหารพรรค แกนนำบางส่วนและทีมกฎหมายจะไปฟังที่ศาล และแจ้งให้หัวหน้าทีมรณรงค์ทั้ง 7 ชุด บอกผู้สมัครทุกเขตและทีมงานในพื้นที่ติดตามข่าวสารที่บ้านหรือศูนย์ประสานงาน ช่วงเวลาอ่านคำวินิจฉัยจะไม่มีกิจกรรมรณรงค์ใดๆ ส่วนสมาชิกพรรคและพี่น้องประชาชนผู้สนับสนุน ขอให้ติดตามข่าวที่บ้านเช่นเดียวกัน เพื่อความสะดวก เรียบร้อย และให้ความร่วมมือกับกระบวนการของศาล
     นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักษาชาติ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนจะเฝ้าติดตามอยู่ที่พรรค เนื่องจากทราบมาว่าศาลรัฐธรรมนูญได้จำกัดที่นั่งของผู้ที่จะเข้าร่วมการฟังคำวินิจฉัย ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ไม่เดือดร้อน ยังจะทำหน้าที่ในการตรวจสอบต่อไป จะตรวจสอบทหาร นักการเมือง ซึ่งยังทำได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องเป็น ส.ส. 
    เขาบอกว่า สำหรับมวลชนที่นัดแนะอยากมาร่วมให้กำลังใจทางพรรคนั้น ไม่อยากให้เดินทางมาที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะจะดูไม่เรียบร้อย กลัวจะมีเรื่องแทรกซ้อน ซึ่งทางพรรคระมัดระวังในเรื่องนี้ ควรรอฟังผลที่บ้าน ทั้งนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร อยากให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.เหมือนเดิม
    อย่างไรก็ตาม นายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ หรือ "ฟอร์ด เส้นทางสีแดง" แกนนำกลุ่มประชาชนอยากเลือกตั้งเปิดเผยว่า กลุ่มประชาชนคนอยากเลือกตั้งประมาณ 20-30 คน จะเดินทางมาร่วมรับฟังคำวินิจฉัย โดยกลุ่มพวกตนจะนัดหมายใส่เสื้อสีเป็นสัญลักษณ์กลุ่มเท่านั้น แต่ไม่มีการถือป้ายข้อความใดๆ เพราะเกรงว่าจะเสี่ยงต่อการทำผิดละเมิดศาล
    นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งนี้นั้นน่าจับตามองที่สุด ทั้งเรื่องการร้องเรียนเรื่องการยุบพรรคไทยรักษาชาติและพรรคอนาคตใหม่ และการกลับไปกลับมาของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคประชารัฐ ที่บอกว่าจะลงพื้นที่หาเสียงแบบบังเอิญต่อจากนี้ไป 
    พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า การวินิจฉัยเป็นเรื่องของศาล ตนไม่ก้าวล่วง และขอไม่พูดถึงผลที่จะตามมา หากศาลพิพากษาว่ามีความผิด แต่ตนตั้งข้อสังเกต กกต.ว่าการดำเนินการทุกขั้นตอนเป็นไปด้วยความรวดเร็ว หากเทียบกับคดีต่างๆ ที่ตนร้องไปยัง กกต.ก่อนหน้านี้
    "การวินิจฉัยเป็นเรื่องของศาล เวลาผมยื่นเรื่องให้ กกต.ให้พิจารณาตามคำร้อง ดำเนินการช้า แต่เรื่องนี้ กกต.ใช้เวลาเพียงวันเดียวก็ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยได้ ส่วนการพิจารณาการเสนอชื่อทูลกระหม่อมฯ หากมองว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ก็ตั้งข้อสังเกตว่าพรรคพลังประชารัฐก็เสนอ พล.อ.ประยุทธ์ คนที่ยึดอำนาจมา ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ระบุ
    น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง กล่าวว่า หลักการของการยุบพรรค หากจะมีใครนำพระราชโองการมาอ้างอิงใช้เสมือนเป็นกฎหมาย จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อหลักการนิติรัฐของประเทศไทย พฤติการณ์ของคดียุบพรรคไทยรักษาชาติ ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยเลย การเสนอชื่อใครเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคใด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ระบุไว้ชัดเจน ถ้าขาดคุณสมบัติเสมือนไม่ได้เสนอชื่อ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นปฏิปักษ์กับการปกครอง 
    เธอบอกว่า หลักการยุบพรรคควรจะเกิดขึ้นเมื่อมีความผิดอาญาร้ายแรงเท่านั้น เป็นมาตรฐานสากล จะไม่ยุบพรรคง่ายๆ เพราะพรรคเป็นตัวแทนอุดมการณ์ของประชาชน ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะคงอยู่ในหลักการของความเป็นนิติรัฐ ให้นานาชาติเห็นว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นมีความบริสุทธิ์ยุติธรรม ที่ทุกพรรคมีสิทธิเป็นตัวเลือกให้ประชาชน
    นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหาร ศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า การตัดสินคดียุบพรรคไทยรักษาชาติ เชื่อว่าจะไม่ส่งผลต่อจำนวน ส.ส.ที่คำนวณไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากคะแนนเสียงสามารถถ่ายโอนไปเลือกพรรคการเมืองอื่นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลได้ แต่เป็นห่วงผู้สมัครที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นต้องได้รับผลกระทบ ไม่สามารถลงรับสมัครเลือกตั้งได้ ดังนั้นควรจะมีการเยียวยา.

ย้อนรอยกิจกรรม "ปกป้องกองทัพ" ของ อภิรัชต์ คงสมพงษ์

พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) นำกำลังผู้บังคับหน่วยคุมกำลังกว่า 700 นายทั่วประเทศ แสดงพลัง กล่าวคำปฏิญาณ รักษากองทัพบก ในเช้าวันที่ 7 มี.ค. ที่บริเวณลานพระบรมราชานุสาวรี รัชกาลที่ 5 ภายในกองบัญชาการกองทัพบก 

08.30 น. ของ วันพฤหัสบดีที่ 7 มี.ค. พล.อ. อภิรัชต์ จะเป็นประธานในพิธีปฏิญาณตน เบื้องหน้า พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 ภายในกองบัญชาการกองทัพบก โดยมีผู้บังคับหน่วยระดับกองพัน ผู้บังคับการกรม ผู้บัญชาการกองพล ผู้บัญชาการมณฑลทหารบก ทั่วประเทศ กว่า 700 นาย เข้าร่วมกล่าวคำปฏิญาณว่า "ข้าพระพุทธเจ้า จักรักษามรดกของพระองค์ท่าน ไว้ด้วยชีวิต" จำนวน 3 รอบ เพื่อแสดงออกถึงการทำหน้าที่ทหารในการรักษากองบัญชาการกองทัพบก ที่รัชกาลที่ 5 ทรงเป็นผู้ก่อตั้ง หลังจากนั้นจะเป็นการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก วาระพิเศษ ซึ่งจะประชุมทุก 3 เดือน โดยเป็นการประชุมผู้บังคับหน่วยระดับกองพันขึ้นไป 

พิธีดังกล่าวมีขึ้น หลังกองทัพบกร้องทุกข์กล่าวโทษ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กับเจ้าพนักงานตำรวจ ใน 2 ฐานความผิด คือ ฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่ และฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ด้วยวิธีการเผยแพร่ ด้วยประการใด ๆ ต่อสาธารณชน จากกรณีที่ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ต่อว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารขณะลงพื้นที่หาเสียง ในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี

พล.ต. ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ และทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกแถลงการณ์เมื่อ 6 มี.ค. ว่า พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ กระทำกิริยาและใช้คำพูด ในลักษณะดูหมิ่นหยามเกียรติ และศักดิ์ศรีความเป็นทหาร หน่วยทหาร ตลอดจนผู้บังคับบัญชาหน่วยทหาร รวมถึงกล่าวดูถูกเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานให้เกิด ความอับอาย เสมือนเป็นการบังคับ มิให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ ในกรอบที่กฎหมายกำหนด พร้อมกล่าวว่า กองทัพบกซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งที่อยู่เคียงข้างกับประชาชน เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน จึงไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใด มาดูหมิ่น หยามเกียรติและศักดิ์ศรี ของหน่วยงาน จึงได้ดำเนินการร้องทุกข์กับตำรวจ

"เสธ.แดง" vs "บิ๊กแดง" 

ความเป็นทหารอยู่ในสายเลือดของ พล.อ. อภิรัชต์ ผู้ยึดตามรอยเท้าของบิดา พล.อ. สุนทร คงสมพงษ์ ผู้มีคติประจำตัวว่า "ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน" ทุกครั้งที่กองทัพบกหรือผู้บังคับบัญชาถูกท้าทาย "บิ๊กแดง" เสนอตัวออกมาตอบโต้ "ผู้ไม่หวังดี" เสมอ

8 ธ.ค. 2552 พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ "เสธ.แดง" ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกให้สัมภาษณ์สื่อวิจารณ์ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ไม่พอใจที่ออกมาระบุกองกำลังอดีตทหารพรานค่ายปักธงชัย และออกมาข่มขู่อีกรอบเมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2553 

ทำให้เกิดปฎิกริยาอย่างรุนแรงลามไปยังทหารทั่วประเทศ จนมีการเคลื่อนไหวแสดงพลังเพื่อต่อต้านการกระทำของ พล.ต. ขัตติยะ ของหน่วยทหารต่าง ๆ ที่คุมกำลังรบ เริ่มเมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2553 ทหารจากกองบังคับการกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ร.2 รอ.) กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ค่ายจักรพงษ์ จ.ปราจีนบุรี

ต่อมา 28 ม.ค. 2553 ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) พ.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ร.11 รอ. (ยศขณะนั้น) พร้อมด้วย นายทหารระดับผู้บังคับหน่วยของกองทัพบก ร่วมกันแถลงข่าวตอบโต้ พฤติกรรมของ พล.ต. ขัตติยะ เพื่อปกป้อง พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. และปกป้องศักดิ์ศรีของกองทัพบก โดยได้เชิญผู้บังคับกองพันและทหารในสังกัดบางส่วนมานั่งรับฟังการแถลงข่าว รวม 17 กองพัน

ต่อมา ม.ค. 2556 พล.อ. อภิรัชต์ ได้มีปัญหากับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการต่อบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ ที่เขียนตอบโต้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ขณะนั้น) หลังตำหนิสื่อในเครือผู้จัดการว่า "เขียนข่าวห่วย" โดย พล.อ. อภิรัชต์ ได้มีการออกมาตอบโต้นายสนธิ เพื่อปกป้องสถาบันทหารและ ปกป้อง พล.อ. ประยุทธ์ และก่อให้เกิดความไม่พอใจในกลุ่มทหารทำให้ กลุ่มนายทหารชั้นประทวนจากกองทัพภาคที่ 1 และมณฑลทหารบกที่ 11 จำนวนกว่า 50 นาย เดินทางไปที่บ้านพระอาทิตย์ ที่เป็นที่ตั้งสำนักงานของหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2556 เพื่อแสดงความไม่พอใจ โดยทหารกลุ่มดังกล่าวระบุว่า การเดินทางมาในวันนี้เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อการเขียนบทความดังกล่าว

เดินหน้ามาที่กลางเดือน ก.พ. ปีนี้ พลันที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย และหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรคฯ กล่าวปราศรัยเสนอนโยบายตัดงบกลาโหม 10% และยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ผู้สื่อข่าวก็นำเรื่องไปถาม พล.อ. อภิรัชต์ พร้อมกับคำตอบที่ได้ว่า "ก็ให้ไปฟังเพลงหนักแผ่นดินไง"






ฟังผลอยู่กับบ้านกลัวเหตุแทรกซ้อน

มี.ค.62 - นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาาติ(ทษช.) โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กแฟนเพจ  Chaturon Chaisang  ระบุว่า "กำลังจะกลับจากภูเก็ตเข้ากรุงเทพ วันนี้ไม่มีรายการหาเสียงครับ

พรุ่งนี้จะไปฟังคำตัดสินที่ศาลรัฐธรรมนูญ ทราบว่ามีที่นั่งจำกัด ส่วนสื่อมวลชนสามารถฟังในห้องที่มีการถ่ายทอดวงจรปิด

ขอแนะนำท่านที่สนใจ ติดตามข่าวสารจากสื่อมวลชน และเพื่อป้องกันเหตุแทรกซ้อน ขอความกรุณางดการไปให้กำลังใจที่ศาลรัฐธรรมนูญครับ"

'อนุทิน'ยันภูมิใจไทยยืนคนละขั้วทหาร-พปชร. ลั่นนายกฯต้องมาจากส.ส.

6 มี.ค.62 -  นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย(ภท.) ให้สัมภาษณ์ประเด็นทางการเมือง โดยกล่าวถึงเสียงตอบรับจากการลงพื้นที่หาเสียง ว่า จากการลงพื้นที่ พบว่าประชาชนให้การตอบรับอย่างอบอุ่น และพรรคได้รับการตอบรับเกินความคาดหมายในเรื่องนโยบายซึ่งเน้นแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชนเป็นหลัก โดยการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ ตนได้พบปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คือประชาชนหยิบแผ่นพับนโยบายของพรรคมาอ่านอย่างละเอียด ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ ในพื้นที่ที่มีการปลูกข้าวจำนวนมาก ประชาชนต่างชื่นชอบนโยบายข้าวแบ่งปันกำไร รวมถึงการนำบุรีรัมย์โมเดลไปพัฒนาจุดเด่นของแต่ละจังหวัดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว 

นายอนุทิน กล่าวว่า สำหรับนโยบายการพักหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) 5 ปี เพราะเราไม่ต้องการให้ลูกหลานรับปริญญาพร้อมกับใบแจ้งหนี้ รวมถึงต้องปลดภาระผู้ค้ำประกัน  ใครกู้ยืมคนนั้นต้องเป็นคนจ่าย ไม่ใช่ไปติดตามจากคนอื่น ทั้งนี้ รัฐเองก็มีส่วนก่อให้เกิดหนี้ดังกล่าวด้วย จึงต้องรับภาระในระดับหนึ่ง ส่วนนโยบายปลูกกัญชาเสรี  แม้ว่าจะมีเสียงสะท้อนเป็นจำนวนมาก แต่พรรคยืนยันในนโยบายดังกล่าว ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกัญชาได้ เพราะเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนอย่างแท้จริง  ยืนยันไม่ใช่การมอมเมาประชาชน นั่นเป็นวาทกรรมของคนที่คิดไม่ถึงว่านโยบายนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน  และในความเป็นจริง ทุกอย่างอยู่ที่การควบคุมโดยกฎหมาย  ซึ่งตามข้อเท็จจริง กัญชาไม่ต่างจากเหล้าและบุหรี่ คนที่มีสติสัมปชัญญะในการใช้ก็จะสามารถควบคุมตัวเองได้ แต่ใครที่ใช้มากเกินไปก็ต้องใช้กฎหมายควบคุม อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการที่พรรคเสนอนโยบายดังกล่าว ไม่ได้เป็นการเสนอให้คนมาเสพกัญชา แต่เป็นการให้สิทธิประชาชนปลูกเพื่อสร้างรายได้ อีกทั้งนโยบายของพรรค ยังป้องกันการผูกขาดสัมปทานกัญชาจากนายทุนเพื่อให้ประชาชนได้พัฒนาหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์โดยไม่ติดลิขสิทธิ์ทางปัญญา 

เมื่อถามว่า จากการแลกเปลี่ยนหารือกับทูตหลายประเทศ  เขามองสถานการณ์การเมืองไทยอย่างไร นายอนุทิน ทุกชาติเห็นตรงกันว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีการเลือกตั้ง จึงจะยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างสง่างาม ไม่ถูกกดดัน ไม่ถูกเอาเปรียบ หรือถูกตั้งเงื่อนไขใดๆ จ้องหน้าใครก็ไม่ต้องก้มหน้าหลบสายตา ดังนั้น รัฐบาลต้องมาจากเสียงของประชาชน 

เมื่อถามว่า พรรคภท.ถูกมองว่าใกล้ชิดกับทหาร รวมถึงพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) นายอนุทินกล่าวว่า ถ้าใกล้ชิดจริง ทำไมจึงถูกด่าว่าเลอะเทอะ โดยเฉพาะนโยบายกัญชา ส่วนหลังเลือกตั้ง พรรคจะร่วมรัฐบาลกับใครได้หรือไม่นั้น เราจะยึดประชาชนเป็นหลัก วันนี้พิสูจน์ได้แล้วว่าเราไม่ได้ติดหนี้บุญคุณใครและไม่มีจับมือกับใครก่อน ต่างคนต่างแข่งขันเหมือนกับการตีกอล์ฟที่ต้องทำผลงานของตนเองให้ดีที่สุด และเชื่อว่าจะมีส.ส.มากพอที่จะเข้าไปผลักดันนโยบายและแก้ปัญหาได้ในสภาฯ

เมื่อถามว่า พรรคตั้งเป้าได้จำนวนส.ส.กี่ที่นั่ง  นายอนุทิน กล่าวว่า ขอเก็บไว้กับตัวเองและผู้บริหารพรรค ทุกคนทราบหมดว่าจะได้ส.ส.เข้ามากี่คน ซึ่งจะไม่เป็นไปตามผลการสำรวจที่ผ่านมา ทั้งนี้ ตนคาดหวังว่าจะได้ทำในสิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยนำพาประเทศไปข้างหน้าแบบไร้ความขัดแย้ง ตนเชื่อว่าพรรคภท.จะเป็นส่วนที่ทำให้เกิดสิ่งที่ดี ส่วนแนวโน้มรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง จะมีเสถียรภาพหรือไม่นั้น ตนหวังว่าต้องมีพรรคภท.ร่วมรัฐบาล จึงจะทำให้รัฐบาลมีความมั่นคง ถ้ามีพรรคภท. จะไม่มีขั้วและจะบอกทุกฝ่ายให้ไปในทางสายกลาง ตนเชื่อว่าทุกพรรคมีความตั้งใจและอยากเห็นประเทศชาติก้าวหน้า แต่ที่ผ่านมามันไม่มีทางลง ดังนั้น ครั้งนี้ก็สามารถผ่านมาทางพรรคภท.ได้

“แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่พรรคภูมิใจไทยจะสนับสนุน  ต้องเป็นส.ส. และมาจากเสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎร เราไม่ยอมให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มาจากประชาชนมาเป็นผู้กำหนด เรารับไม่ได้ที่จะให้คนที่ไม่ได้มาจากประชาชนมาเลือกนายกฯ   และไม่เห็นด้วยกับการที่ให้ 250 ส.ว.มาโหวตเลือกนายกฯ  รวมถึงการเป็นนายกฯเสียงข้างน้อยที่มีคะแนนปริ่มๆ ประเทศจะเสียหาย ดังนั้น ส.ส.ต้องตระหนัก ทำให้นายกฯสง่างามและรัฐบาลสามารถทำงานได้ตามกลไกรัฐสภาที่มีฝ่ายบริหารและฝ่ายตรวจสอบ ที่ผ่านมาเราเสียโอกาสมามากแล้ว คน 500 คนจะไปเดินตามคน 250 คนได้อย่างไร แต่คน 500 คนต้องเป็นผู้นำคน 250 คน เพราะพวกเขาเป็นตัวแทนของคนไทย ต้องมีเสียงดังและสิทธิที่มากกว่า” นายอนุทินกล่าว

เมื่อถามถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)จะไม่ขึ้นเวทีปราศรัยในวันที่ 10 มีนาคม ที่จ.นครราชสีมา นายอนุทินกล่าวว่า  แต่ละพรรคมีกลยุทธ์กลเม็ด แต่วิธีการสร้างความนิยมนั้น ตนขอให้ทุกพรรคต่อสู้บนความยุติธรรม อย่าชกใต้เข็มขัด และตนไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ใคร อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าพรรคภท.ไม่เล่นกีฬาสีอีกแล้ว และมองว่าสิ่งสำคัญของการทำงานการเมืองนั้น ไม่ใช่การเป็นรัฐบาล แต่คือการที่นักการเมืองต้องนำพาตัวเองไปเป็นผู้แทนราษฎร นี่คือสิ่งที่ถือว่าประสบความสำเร็จในอาชีพนักการเมือง

เมื่อถามว่า มีความกังวลหรือไม่ต่อกระแสข่าวที่ว่า หากมีบางคนไม่ชนะการเลือกตั้ง การเลือกตั้งอาจจะเป็นโมฆะได้ นายอนุทินกล่าวว่า คนตัดสินคือประชาชน คนสั่งการให้ใครเป็นอะไรคือประชาชน ดังนั้น ใครจะมา T.K.O.(แพ้น็อก) หรือจะไปน็อกพี่น้องประชาชนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งประเทศ ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่า Be my guest(เชิญตามสบาย) ส่วนผมจะเป็นคนลอยอังคารให้. 


ผบ.พล.ร.2รอ.-ทีมโฆษกคสช.เปรี้ยง!!

ผบ.พล.ร.2รอ.-ทีมโฆษกคสช.เปรี้ยง!!

อัด”เสรีพิศุทธ์” ดูหมิ่นหยามเกียรติ ศักดิ์ศรีความเป็นทหาร-หน่วยทหาร- ผู้บังคับบัญชา ชี้ ติงวิจารณญาณ วุฒิภาวะ กิริยามารยาท ชี้ “พันโท” ผ่านการคัดเลือกแล้วทั้งคุณวุฒิ วุฒิภาวะที่เหมาะสม แสดงตัวตนอย่างชัดเจน ด้วยการแต่งกาย เครื่องแบบทหารโดยไม่มีอาวุธ  ชี้  ทบ.จะปกป้องครอบครัว กำลังพลกองทัพบก เผยแจ้งความ 2 ฐานความผิด ดูหมิ่นเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่ -ฐานหมิ่นประมาท

          

“บิ๊กเล็ก” พลตรี ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ และทีมโฆษก คสช. กล่าวว่า  จากการเผยแพร่คลิป พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ต่อว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ขณะลงพื้นที่หาเสียง ในพื้นที่จ.ปราจีนบุรีนั้น ในนามของกองทัพบก ขอเรียนให้เข้าใจว่า กองทัพและกองทัพบก มีภารกิจหลายประการ ตั้งแต่ การป้องกันประเทศ, การรักษาความมั่นคงภายใน, การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และ การพัฒนาประเทศ 

สำหรับกำลังพลที่ปรากฏในภาพข่าวนั้น เป็นกำลังพลนายทหารสัญญาบัตร ซึ่งในห้วงเวลาดังกล่าวอยู่ระหว่าง การปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ 

โดยเป็นเจ้าหน้าที่กองร้อยรักษาความสงบ มณฑลทหารบกที่ 12  ซึ่งปฏิบัติงานและปฏิบัติภารกิจตามคำสั่ง คสช. 

ทั้งนี้ กองร้อยรักษาความสงบ มีภารกิจหลักที่ต้องดำเนินการจำนวน 7 กลุ่มงาน โดยกรอบการปฏิบัติงานหลักคือ การรักษาความสงบเรียบร้อย รักษาความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สิน ของพี่น้องประชาชนรวมถึงที่สำคัญ คือการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ 

ซึ่ง การปฏิบัติภารกิจดังกล่าวเป็นไปตามกรอบที่กฎหมายกำหนด และได้มีการปฏิบัติมาแล้วเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 4 ปี 

รวมถึงในระหว่างที่ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ลงพื้นที่หาเสียงนั้น เจ้าหน้าที่ดังกล่าว อยู่ในระหว่าง การปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบที่กฎหมายกำหนด โดยปฏิบัติภารกิจในการ สังเกตการณ์ อำนวยความสะดวก 

และที่สำคัญคือ การรักษาความปลอดภัย ให้กับประชาชนในพื้นที่ 

ทั้งนี้การลงพื้นที่หาเสียงของผู้สมัครแต่ละครั้ง กองทัพบกโดยหน่วยทหาร ที่มีความรับผิดชอบอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ก็จะจัดเจ้าหน้าที่ลงปฏิบัติงานในลักษณะเช่นเดียวกัน อย่างเท่าเทียมกัน สำหรับผู้สมัครทุกคน และ ทุกพรรค โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ เนื่องจาก การลงพื้นที่หาเสียงแต่ละครั้ง มีประชาชนมาร่วมรับฟัง เป็นจำนวนมาก สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดเหตุการณ์ จากผู้ไม่ประสงค์ดีได้ 

เจ้าหน้าที่ ที่จัดลงอำนวยความสะดวก และรักษาความปลอดภัยนั้น มีจำนวนมากน้อยตามลักษณะของพื้นที่ และจำนวนประชาชน และที่สำคัญ แต่ละหน่วยได้พิจารณา คัดเลือกบุคคลที่มี วุฒิภาวะ ก่อนการลงปฏิบัติงานในทุกครั้ง

เช่นเดียวกับ กำลังพลที่ถูกหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยต่อว่า ซึ่งเป็นนายทหารชั้นยศพันโท ที่มีคุณวุฒิ วัยวุฒิ และ วุฒิภาวะที่เหมาะสม 

นอกจากนี้ กำลังพลดังกล่าว มีการแสดงตัวตนอย่างชัดเจน ด้วยการแต่งกาย เครื่องแบบทหารโดยไม่มีอาวุธ เพื่อแสดงให้เห็นว่า เป็นเจ้าหน้าที่ ลงปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่ ประกอบกับมีกิริยาวาจา ที่สุภาพเรียบร้อย มิได้ข่มขู่ คุกคาม รบกวน หรือขัดขวาง การลงพื้นที่หาเสียงดังกล่าวแต่อย่างใดทั้งสิ้น
   
จากการกระทำของ พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ที่กระทำกิริยาและใช้คำพูด ในลักษณะดูหมิ่นหยามเกียรติ และศักดิ์ศรีความเป็นทหาร หน่วยทหาร ตลอดจน ผู้บังคับบัญชาหน่วยทหาร รวมถึงกล่าวดูถูกเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานให้เกิด ความอับอาย เสมือนเป็นการบังคับ มิให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ ในกรอบที่กฎหมายกำหนด กองทัพบกซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่ง ที่อยู่เคียงข้างกับประชาชน เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน จึงไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใด มาดูหมิ่น หยามเกียรติและศักดิ์ศรี ของหน่วยงาน 

จึงได้ดำเนินการ ร้องทุกข์กล่าวโทษ พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส กับเจ้าพนักงานตำรวจ ใน 2 ฐานความผิด คือ ฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่ และ ฐานหมิ่นประมาท โดยการโฆษณา ด้วยวิธีการเผยแพร่ ด้วยประการใดๆ ต่อสาธารณชน
   
อนึ่ง พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เป็นผู้ที่มีคุณวุฒิ และ วัยวุฒิ รวมถึง เคยดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งในอนาคต หากท่านจะได้รับ การคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่ง สำคัญของบ้านเมือง ท่านควรที่น่าจะมีวิจารณญาณ มีวุฒิภาวะ มีกิริยามารยาท และ การปฏิบัติที่ดีกว่านี้ กับข้าราชการด้วยกัน 
   
อย่างไรก็ตาม กองทัพบก ขอยืนยันว่า จะอยู่เคียงข้างกับพี่น้องประชาชน ตลอดเวลา และ ในขณะเดียวกันก็จะปกป้องเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ของความเป็นกองทัพบก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับ กำลังพลของกองทัพบก  

พร้อมที่จะปกป้องครอบครัว กำลังพลกองทัพบก และ แสดงให้ อดีตผู้บังคับบัญชา และอดีตกำลังพลของกองทัพบก เห็นถึงเกียรติยศและศักดิ์ศรีของทหาร ที่ยังคงดำรงอยู่เคียงข้าง สถาบันหลักของประเทศ และพี่น้องประชาชน

เป็นเรื่อง!'บิ๊กแดง'นำผู้บังคับหน่วยคุมกำลังทั่วประเทศ แสดงพลังรักษากองทัพบกไว้ด้วยชีวิต

6 มี.ค.62 - มีรายงานว่า ในวันที่ 7 มี.ค. ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)เรียกประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก วาระพิเศษ และการประชุมผู้บังคับหน่วยระดับกองพันขึ้นไป โดย มีผู้บังคับหน่วยระดับกองพัน ผู้บังคับการกรม ผู้บัญชาการกองพล ผู้บัญชาการมณฑลทหารบก ทั่วประเทศ กว่า 700 นาย

โดยก่อนการประชุม ในเวลา 08.30 น.จะมีการรวมตัวกันบริเวณลานพระบรมราชานุสาวรี รัชกาลที่ 5 หน้าหอประชุมกิติขจร พล.อ.อภิรัชต์ จะนำกล่าวคำปฏิญาณตนว่า"ข้าพุทธเจ้าจะรักษามรดกของพระองค์เท่าชีวิต" เพื่อแสดงออกถึงการทำหน้าที่ทหารในการรักษากองบัญชาการกองทัพบก ที่รัชกาลที่ 5 ทรงเป็นผู้ก่อตั้ง

เรื่องมิบังควรของ 'ทษช.'


ศาลรัฐธรรมนูญจะยุบ
    หรือไม่ยุบ     
    หรือจะลงโทษเฉพาะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ 
    มีสิ่งหนึ่งที่พรรคการเมืองทุกพรรคต้องพึงตระหนัก นั่นคือ....
    "พระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ทรงดำรงสถานะอยู่เหนือการเมือง" 
    การนำพระนามไปเพื่อ "การเมือง" นั้นกระทำมิได้
    ทีนี้เริ่มมีคนตั้งตนเป็นศาสดา เธอคือ น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง บอกว่า
    "หากจะมีใครนำพระราชโองการมาอ้างอิงใช้เสมือนเป็นกฎหมาย จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อหลักการนิติรัฐของประเทศไทย 
    พฤติการณ์ของคดียุบพรรคไทยรักษาชาติ ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยเลย 
    การเสนอชื่อใครเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคใด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ระบุไว้ชัดเจน ถ้าขาดคุณสมบัติเสมือนไม่ได้เสนอชื่อ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นปฏิปักษ์กับการปกครอง"
    เป็นการแสดงความเห็นที่ขาดความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง 
    และคำพูดนี้จะถูกเครือข่ายพวกเดียวกันไปขยายต่อว่า พระราชโองการ ไม่ใช่กฎหมาย จะนำมาใช้มิได้ 
    จริงอยู่ พระราชโองการ นี้ไม่มีผู้รับสนองพระราชโองการ ตามที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตไว้ 
    แต่....พระราชโองการ, พระบรมราชโองการ นั้นมีความหมายที่สัมพันธ์กับบริบททางประวัติศาสตร์ ประเพณีการปกครองประเทศไทย
    ถ้าตีความโดยไม่สนใจรากเหง้าของประเทศ ก็จะเป็นอย่างที่ น.ส.ณัฏฐา ตีความ 
    จารีตหรือธรรมเนียมปฏิบัติ มีผลเป็นตัวเสริมให้กฎหมายมีความสมบูรณ์ขึ้น
    ให้ศึกษาจากการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยในกรณีเหตุการณ์วิกฤตการณ์ทางการเมือง 
    คือการแต่งตั้ง "สัญญา ธรรมศักดิ์" เป็นนายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
    ลองเทียบเคียงดูแล้วจะเข้าใจ 
    และเมื่อพระราชโองการ วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า 
    "การนำสมาชิกชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์มาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง ไม่ว่าจะโดยทางใดก็ตาม  จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อโบราณราชประเพณี ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของชาติ ถือเป็นการกระทำที่มิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง"
    จึงไม่ควรมีผู้ใดละเลย และกระทำการที่มิบังควรซ้ำอีก.