PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สถานการณ์ข่าว27/11/57

Jab27Nov14
ตำรวจ

พล.อ.ประวิตร ระบุ คดี "พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์" เป็นเรื่องส่วนบุคคล ขออย่าเหมารวมทั้งองค์กรตำรวจ ชี้ ต้องเป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุถึงการปฏิรูปองค์กรตำรวจภายหลังการดำเนินคดีกับอดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางพร้อมพวก ว่า

เป็นเรื่องของบุคคล อย่าเหมารวมทั้งองค์กร เพราะทุกหน่วยงานมีทั้งคนดีและคนไม่ดี รวมทั้งต้องเป็นไปตามการสอบสวนทางกฎหมาย ขณะที่การปฏิรูปองค์กรตำรวจก็กำลังดำเนินการอยู่แล้ว

รวมไปถึงการแก้ปัญหาการซื้อขายตำแหน่ง โดยเน้นการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจที่ต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่ผู้บังคับบัญชาเสนอขึ้นมา พร้อมย้ำจะทำหน้าที่กำกับดูแลองค์กรตำรวจให้ดีที่สุด แต่ไม่ได้

ให้นโยบายเพิ่มเติมเป็นพิเศษ รวมถึงไม่ทราบว่ามีการแอบอ้างเรียกรับผลประโยชน์ในหน่วยงานอื่นอีกหรือไม่ โดยมั่นใจว่าตำรวจมีศักดิ์ศรีในการทำหน้าที่

//////////
สนช.ถอดถอน

สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เตรียมพิจารณาสำนวนถอดถอน "นิคม-สมศักดิ์" ครั้งแรก เพื่อขอเพิ่มพยานและนัดวันแถลงเปิดคดี

บรรยากาศที่รัฐสภา เช้านี้ การรักษาความปลอดภัยทั้งในและนอกอาคารเป็นไปอย่างเข้มงวด เนื่องจาก นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นัดสมาชิกประชุมในเวลา 10.00 น.

โดยมีวาระสำคัญในการพิจารณาสำนวนถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มา ส.ว.

ทั้งนี้ ที่ประชุมจะพิจารณา 2 เรื่อง คือ ให้ความเห็นชอบว่าจะอนุญาตให้ นายนิคม และ นายสมศักดิ์ เพิ่มเติมพยานหลักฐานตามที่ขอมาหรือไม่ และจะให้ตัวแทนของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. แถลงว่า

จะคัดค้านหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับที่ประชุม สนช. ว่าจะตัดสินใจอย่างไร จากนั้น จึงพิจารณากำหนดวันแถลงเปิดสำนวนคดี ซึ่งในเบื้องต้น วิป สนช. กำหนดในวันที่ 8 - 9 มกราคม 2558
-----------
สมาชิก สนช. ทยอยเตรียมตัวประชุมแล้ว ขณะ อภิสิทธิ์ พบคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 10.00 น.

บรรยากาศก่อนการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ล่าสุด สมาชิก สนช. เริ่มทยอยเดินทางเตรียมตัวประชุมที่จะมีขึ้นในเวลา 10.00 น. แล้ว ซึ่งสมาชิกบางส่วนต้องประชุมกรรมาธิการชุดต่าง

ๆ อาทิ คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน คณะกรรมาธิการการกฎหมายกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ และคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการ

บริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

ขณะในเวลาเดียวกัน นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรม นัดประชุม โดยได้ประสานไปยังพรรคประชาธิปัตย์ ให้เข้าร่วมเสนอแนะข้อคิดเห็นเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการ

จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ตอบรับเข้าร่วมในวันนี้
---------------
"พีระศักดิ์" แจงพิจารณาถอดถอน "สมศักดิ์-นิคม" วันนี้ แค่ตรวจหลักฐาน กำหนดแถลงเปิดคดี ชี้ หากเป็นตามวิปเสนอ มั่นใจ ทุกขั้นตอน จบเดือน ม.ค.ปีหน้า

นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 2 เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN  ว่า ในการประชุมวันนี้ จะมีการพิจารณาคดีถอดถอน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธาน

สภาผู้แทนราษฎร และ นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา เป็นวาระแรก โดยขั้นตอนการพิจารณา จะให้ผู้ถูกกล่าวหาแถลงถึงหลักฐานที่ยื่นใหม่ ว่าเป็นอะไร มีลักษณะอย่างไร เคยยื่นใน

ชั้นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือไม่ และให้ผู้กล่าวหา ชี้แจงเกี่ยวกับหลักฐานดังกล่าวเช่นกัน จากนั้น สนช. จะลงมติว่าจะรับหลักฐานใหม่ไว้

พิจารณาหรือไม่ และหลังจากนั้น สนช. ก็จะมีการลงมติเพื่อกำหนดวันแถลงเปิดสำนวนต่อไป ส่วนหลักฐานใหม่ ก็จะส่งให้กับสมาชิกทุกคนศึกษา และหากมีข้อสงสัย ก็ให้ซักถามผ่าน กมธ.ซัก

ถามที่จะตั้งขึ้นมา ในการประชุมเพื่อพิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ นายพีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า หลังมีการกำหนดวันแถลงเปิดคดีแล้ว ขั้นตอนต่าง ๆ จะเดินหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งหากเป็นไปตามที่วิปเสนอ แถลงเปิดคดีวันที่ 8 ม.ค. 58 นั้น ก็น่าจะแถลงปิด

คดีได้ภายในเดือน ม.ค. เช่นกัน และลงมติถอดถอน หลังจากแถลงปิดคดีภายใน 3 วัน
-------
"นิคม" ยื่นพยานหลักฐาน เพิ่มสู้คดีถอดถอนกรณีแก้ไขที่มา ส.ว. พร้อมขอคัดค้านอดีต 16 ส.ว. ที่ปฏิบัติหน้าที่ สนช. หวั่นมีผลประโยชน์ทับซ้อน

นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้เดินทางมาใช้สิทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาในการเพิ่มเติมพยานหลักฐาน ตามข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช.

มาตรา 155 กรณีการถอดถอนตนเอง และ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ในประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ ส.ว. โดยได้นำหลักฐานเทปบันทึกการประชุมความ

ยาวกว่า 4 ชั่วโมง มายื่นต่อ สนช. เพื่อพิจารณา

นอกจากนี้ ยังขอคัดค้านผู้ที่ทำหน้า สนช. ทั้ง 16 คน ที่เคยเป็น ส.ว. เนื่องจากคาดว่าอาจจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน และส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่ สนช. นั้นไม่มีความเป็นกลาง พร้อมกันนี้ยังได้

ปฏิเสธการฟ้องกลับ สนช. ทั้ง 16 คน ถึงกรณีดังกล่าวด้วย

อย่างไรก็ตาม นายนิคม ยังกล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุม สนช. ว่า จะนำพยานดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาหรือไม่
-------------
ที่ประชุม สนช. พิจารณาการยื่นหลักฐานใหม่ของ "นิคม" และ คำคัดค้าน 16 อดีต ส.ส. ทำหน้าที่ในการลงมติ

บรรยากาศการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ทำหน้าที่ประธานการประชุม ล่าสุด ประธานได้แจ้งเรื่องที่ นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ทำ

หนังสือคัดค้านการพิจารณาสำนวนของสมาชิก สนช. 16 คนที่เคยเป็นอดีต ส.ว. และยื่นคำร้องถอดถอน นายนิคม เพราะถือเป็นคู่ขัดแย้ง จึงเปิดโอกาสให้สมาชิกได้อภิปราย

โดย นายตวง อันทะไชย หนึ่งใน 16 สนช. ที่เคยทำหน้าที่สมาชิกวุฒิสภา ยืนยันว่า ทั้ง 16 คนทำหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญครบถ้วน มีความเป็นกลาง บริสุทธิ์ใจในการทำหน้าที่ แต่เป็นเพราะ

ผู้ถูกร้องทำผิดจึงเข้าสู่กระบวนการถอดถอน ขณะที่ น.พ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ยืนยันด้วยว่า ตนเองมีอิสระในความคิดและการลงมติ ขออย่าคาดการณ์ล่วงหน้าว่ามีธงถอดถอนไว้แล้ว แต่ที่ผ่านมา
ต้องยอมรับการกระทำ เพราะไม่เคยมีประธานวุฒิสภาคนใดเข้าชื่อร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ
--------------
มติที่ประชุม สนช. ไม่ให้ "นิคม" เพิ่มพยานหลักฐานคดีถอดถอน นัดแถลงเปิดสำนวน 8 ม.ค. 58

การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมติ 82:96 เสียง งดออกเสียง 14 เสียง ไม่เห็นชอบให้ นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา เพิ่มเติมพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีถอดถอน ส่วน นาย

สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา ไม่ประสงค์ขอเพิ่มเติมพยานหลักฐาน แต่ขอยื่นเอกสารนำส่งการชี้แจง โดยก่อนหน้านี้ ภายหลังจาก นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานการประชุมได้เปิด

โอกาสให้สมาชิกอภิปรายถึงการคัดค้าน สนช. 16 คน ที่เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา และยื่นคำร้องถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา เพราะถือเป็นคู่ขัดแย้ง จากนั้น ประธานการ

ประชุม ได้วินิจฉัยให้ สนช. ทั้ง 16 คน ร่วมพิจารณาและลงมติได้ ตามอำนาจหน้าที่ของ สนช. ในมาตรา 5 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 ที่ระบุว่า ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการ

วินิจฉัยที่เกิดขึ้นในวงงาน สนช. ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติวินิจฉัยชี้ขาด ทั้งนี้ ที่ประชุมกำหนดวันแถลงเปิดสำนวนคดีของ ป.ป.ช. ในวันที่ 8 มกราคม 2558 เวลา 10.00 น.

อย่างไรก็ตาม ในการประชุมวันนี้ ยังมีวาระพิจารณาร่างกฎหมายหลายฉบับในวาระ 2 และ 3 ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว
-----------
พรเพชร ยันกระบวนการถอดถอน นิคม-สมศักดิ์ ยึดตามขั้นตอน พร้อมเผย 9 มกราคม 2558 กำหนดแถลงเปิดคดียิ่งลักษณ์

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. กล่าวว่า ขั้นตอนการพิจารณากระบวนการถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และ นายสมศักดิ์ เกียรติสุ

รนนท์ อดีตประธานรัฐสภา เป็นไปตามขั้นตอน ส่วนมติที่ประชุมไม่เห็นชอบให้ นายนิคม เพิ่มเติมพยานหลักฐาน ได้ข้อเท็จจริงว่า แผ่นดีวีดี 2 แผ่นมีการตัดต่อย่อส่วนจากดีวีดี 91 แผ่น ซึ่งมีอยู่แล้ว

ในสำนวน ส่วนวันแถลงเปิดคดีก็เป็นวันที่ 8 มกราคม ปี 2558 ส่วนการพิจารณาคดีถอดถอนของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีกำหนดนัดประชุมในวันพรุ่งนี้ ต้องดูว่าทีมทนาย

ความ นางสาวยิ่งลักษณ์ จะมีการเสนอเพิ่มเติมเอกสารหรือไม่ เพราะหากมีการเพิ่มเอกสารก็ต้องใช้เวลาในการศึกษารายละเอียด ทั้งนี้ ที่ประชุม สนช. จะพิจารณา 2 เรื่อง คือ การกำหนดวันแถลง

เปิดคดี เบื้องต้นกำหนดเป็นวันที่ 9 มกราคม ปี 2558 และการพิจารณาคำขอพยานหลักฐานเพิ่มเติม

///////////
กมธ.รธน.

"อภิสิทธิ์" พบกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ถกปฏิรูป หนุนนายกฯ มาจากการเลือกตั้ง แนะประชามติ เพื่อลดการโต้แย้ง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวก่อนเข้าพบคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญว่า วันนี้มาร่วมให้ข้อเสนอแนะในนามส่วนตัว ไม่ใช่ในนามพรรค ซึ่งตนเองอยากเห็นรัฐ

ธรรมนูญ สู่การปฏิรูป จึงขอเสนอใน 3 ข้อหลัก คือ รัฐธรรมนูญต้องมีความยั่งยืน จึงควรทำประชามติ ให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน จะได้ไม่เกิดข้อโต้แย้งในภายหลัง รัฐธรรมนูญ ต้องมี

ประชาธิปไตยที่ไม่ควรลดทอนสิทธิเสรีภาพของประชน และรัฐธรรมนูญตัองแก้ปัญหาหลักของระบบการเมือง โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชันที่มีเป้าหมายเพิ่มกลไกการตรวจสอบถ่วงดุล นอก

จากนี้จะเสนอแนวคิดที่แตกต่าง และการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด เช่น การเลือกตั้งจะแก้ไขป้องกันอย่างไร ซึ่งต้องมีทั้งบัญญัติในรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูก นอกจากนี้ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

ยังระบุอีกว่า นายกรัฐมนตรี ต้องมาจากการเลือกตั้ง
------------
กมธ.ยกร่าง รธน. แถลง "อภิสิทธิ์" เสนอความเห็น 3 ประเด็น พร้อมตั้งคำถามทำอย่างไรให้รัฐธรรมนูญมีความยั่งยืน

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวภายหลัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายธนา ชีรวินิจ อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เข้าเสนอ

ความเห็นต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ได้เสนอมา 3 ประเด็นหลัก ทั้งนี้ ต้องมีการตั้งคำถามว่าทำอย่างไรให้รัฐธรรมนูญมีความยั่งยืน ซึ่งการทำประชามติถือเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้

ประชาชนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และเป็นการซ้อมเลือกตั้งไปในตัว รวมถึงไม่ควรลดทอนสิทธิเสรีภาพของประชาลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน

นอกจากนี้ ส.ส. และ ส.ว. ต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้ง ส.ว. ต้องมีความแตกต่างจากเลือกตั้ง ส.ส. ขณะที่องค์กรอิสระควรมีการกำหนดระยะเวลาในการทำงาน 6 เดือน และเลือกทำสิ่งที่

สำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้า และไม่ต้องการให้ฝ่ายรัฐบาลแทรกแซงการทำหน้าขององค์อิสระ

อย่างไรก็ตาม เป็นเพียงความคิดเกี่ยวกับโครงสร้างระบบการเมืองในภาพรวมเท่านั้น สำหรับรายละเอียดอื่น ๆ เช่น ปัญหาการจัดการเลือกตั้ง การป้องกันการทุจริต ตลอดจนข้อเสนอเกี่ยวกับการ

ปฏิรูปด้านต่าง ๆ เช่น การปฏิรูปสื่อ สามารถนำเสนอเป็นลายอักษรได้
/////////////
ไทย-ลาว ย้ำเจตนารมณ์ ส่งเสริมความสัมพันธ์ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ในทุกด้าน มั่นใจการเชื่อมทางรถไฟระหว่างกันจะปูทาง
ไปสู่การพัฒนาทั้งสองประเทศ

ภายหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางถึงสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ได้เข้าเยี่ยมคารวะ พล.ท.จูมมาลี ไซยะสอน ประธานประเทศแห่ง

สปป.ลาว ในโอกาสเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการ ซึ่งหลังเสร็จสิ้นการหารือ ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ประธานประเทศแห่ง สปป.ลาว กล่าวต้อนรับพร้อม
ถามถึงพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และมีความยินดีที่ทราบว่า ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง และขอถวายพระพรมา ณ โอกาสนี้

ทั้งนี้ ประธานประเทศแห่ง สปป. ลาว ยินดีที่ นายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศ ได้มีการหารือถึงความก้าวหน้าในความร่วมมือ และการลงทุนระหว่างสองประเทศ พร้อมเชื่อว่า การพัฒนาเส้นทาง

รถไฟที่จะเชื่อมต่อกันระหว่างไทยและลาว นั้น จะปูทางไปสู่การพัฒนาของทั้งสองประเทศร่วมกัน

ด้าน นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความประทับใจต่อประธานประเทศแห่ง สปป.ลาว ถือเป็นแบบอย่างของผู้นำประเทศที่มีบทบาทสำคัญยิ่ง ต่อการส่งเสริมความมั่นคงและการพัฒนา ส่วนการ

หารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย และนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว นั้น ก็ประสบความสำเร็จ โดยมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ 2 ฉบับ และ 1 สัญญา

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้ย้ำเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทย ที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์และร่วมมือกับ สปป.ลาว อย่างใกล้ชิดในทุกๆ ด้าน บนพื้นฐานของสังคมวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน ไทยให้

ความสำคัญแก่ความร่วมมือ โดยเฉพาะการส่งเสริมความเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมระหว่างไทย และ สปป.ลาว ซึ่งจะอำนวยความสะดวกต่อการไปมาหาสู่ระดับประชาชนและความร่วมมือทาง

เศรษฐกิจพร้อมยินดีที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์การแปรรูปรัฐวิสาหกิจอีกด้วย
-------------
นายกฯ อยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจเยือน ลาว-เวียดนาม ขณะที่ทำเนียบ "ยงยุทธ" เตรียมต้อนรับ คณะนักวิชาการชั้นนำด้านนาโนเทคโนโลยี เข้าเยี่ยมคารวะ

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาล ในช่วงเช้าวันนี้ยังคงเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ส่วนวาระการปฏิบัติของรองนายกรัฐมนตรี ในเวลา 11.30 น. คณะนักวิชาการชั้นนำด้านนาโนเทคโนโลยี จะ

เดินทางเข้าเยี่ยมคารวะ นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านสังคม ที่ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ขณะที่มาตรการในการรักษาความปลอดภัย ยังเป็นไปด้วยความเข้มงวด มีเจ้าหน้าที่
ตำรวจประจำตามจุดตรวจทางเข้า-ออก เพื่อตรวจตราบุคคลและยานพาหนะที่ผ่านเข้าไปด้านในอย่างละเอียด

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ยังคงอยู่ระหว่างการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2557
-------
รองโฆษกฯ เผย นายกฯ เตรียมมอบของขวัญปีใหม่ ให้ ปชช. สั่ง รองนายกฯ เตรียมชี้แจงรายละเอียด ในการแถลงผลงาน 3 เดือน 25 ธ.ค. นี้

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความ

สงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีแต่ละด้านกำหนดมาตรการเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน พร้อมให้แต่ละด้านกล่าวชี้แจงรายละเอียดเอง พร้อมกับการแถลงผลงาน

ครบรอบ 3 เดือนของรัฐบาลในวันที่ 25 ธันวาคมนี้ ซึ่งจะมีรายละเอียดชัดเจนในมาตรการต่าง ๆ อาทิ การเปิดค่ายทหารขายสินค้าราคาถูก การแจกที่ดินทำกินให้กับคนยากไร้ ทั้งนี้ ยืนยันว่าเป็น

มาตรการช่วยเหลือประชาชน ไม่ได้เป็นรูปแบบการแจกของ

นอกจากนี้ สำหรับกระแสข่าวการแต่งตั้ง นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล อดีตนักการเมืองท้องถิ่น พรรคประชาธิปัตย์ เป็นรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น ทางทีมโฆษกประจำสำนัก

นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เป็นเพียงการให้เข้ามาร่วมงานเป็นทีมโฆษกฯ ของ ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ และช่วยประสานงานด้านเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ได้เป็นการแต่งตั้งเป็นรองโฆษกฯ แต่อย่างใด
------------------
นายกฯ พอใจเยือน สปป.ลาว หารือเชื่อมโยงทางรถไฟทางคู่ เปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษเพิ่ม สนับสนุนเงินทุนสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 5-6

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเยือนสาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาวในครั้งนี้ ว่า ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี

ซึ่งไทยและลาวเป็นประเทศที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด มีความใกล้เคียงทั้งภาษาและวัฒนธรรม ทั้ง 2 ประเทศเห็นพ้องที่จะสานความร่วมมือด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะความเชื่อมโยงระหว่างกัน

ทั้งนี้ เรื่องสำคัญที่ต้องเร่งผลักดันคือผลการพูดคุยที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เป็นการต่อยอดจากการประชุมในเวทีต่าง ๆ ที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแนวชายแดน เช่น เรื่องค่าผ่านแดน การ

สร้างถนนและเส้นทางต่าง ๆ โดยไทยจะสนับสนุนแหล่งทุนและเงินกู้ในการสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 5 (บึงกาฬ-ปากซัน) และพร้อมพิจารณาให้ความร่วมมือและศึกษาก่อสร้างสะพานมิตรภาพ

แห่งที่ 6 (อุบล-แขวงสาละวัน) นอกจากนี้ จะเพิ่มมิติการค้าการลงทุน เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ที่มีแนวคิดจะเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มที่จังหวัดหนองคาย

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า ได้หารือกับลาวเรื่องการเชื่อมโยงทางรถไฟทางคู่ กรุงเทพฯ- หนองคาย และลาวจะสร้างต่อ โดยจีนสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้าง คาดว่าดำเนินการได้

ในปีหน้า นอกจากนี้ไทยต้องการขยายตลาดทุนตลาดหลักทรัพย์ โดยให้ต่างประเทศตั้งบริษัทเงินทุนในไทย โดยไทยจะพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
------------
นายกฯ พบนักธุรกิจไทยในลาว ชื่นชมเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ระหว่าง 2 ประเทศ ก่อนบินไปเวียดนาม

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้หารือกับนักธุรกิจไทยในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มีโอกาสพบปะกับนักธุรกิจไทยในวันนี้

โดยนักธุรกิจเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับ สปป.ลาว บนพื้นฐานของความร่วมมือกันด้านเศรษฐกิจ โดยสร้างความตระหนักถึงผลประโยชน์ร่วมกัน

และผลักดันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกัน ไทยพร้อมสนับสนุนการซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ตามเพดานเดิมที่ได้มีการตกลง และสนับสนุนการซื้อขายไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ผ่านไทยไป

มาเลเซียและสิงคโปร์ ส่วนการส่งเสริมการลงทุน ได้เสนอให้ BOI ร่วมมือกับหน่วยงานส่งเสริมการลงทุน ปรับระเบียบของลาว เพื่อดึงดูดนักลงทุน

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ไทยต้องการขยายการนำเข้าแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย สำหรับเข้ามาทำงานในพื้นที่ตอนในของประเทศไทย  ส่วนของแรงงานประเภทไปเช้า-กลับเย็นและ

ตามฤดูกาลที่เข้ามาทำงานตามแนวชายแดน รัฐบาลต้องการปรับปรุงให้การเดินทางผ่านเข้า-ออกสะดวกยิ่งขึ้น รัฐบาลจึงมีแนวคิดที่จะจัดทำบัตรผ่านแดนในลักษณะ Smart Card ซึ่งจะทำให้การ

เดินทางของทั้งสองฝ่ายสะดวกขึ้น เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว รองรับการเปิดตลาดการค้าและเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดนได้อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ำแก่ภาคเอกชนไทยให้ความสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งหลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีและ

ภริยา พร้อมคณะ จะเดินทางออกจากท่าอากาศยานวัดไต โดยเครื่องบินพิเศษ RTAF 211 เพื่อเดินทางไปกรุงฮานอย ในโอกาสเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามอย่างเป็นทางการ
////////////
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมมอบนโยบายการดำเนินงานยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมแห่งชาติ

สำหรับความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในวันนี้ ช่วงเช้า มีกำหนดการเป็นประธานการมอบนโยบายการดำเนินงาน

ยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมแห่งชาติ ณ ห้องฉัตรทอง สโมสรทหารบก เทเวศร์ ถนนศรีอยุธยา เขตดุสิต กรุงเทพฯ

จากนั้น ในช่วงบ่ายจะเข้าปฏิบัติงานภายในกระทรวงกลาโหม โดยในเวลา 13.30 น. จะให้การต้อนรับ พล.ท.แสงนวน ไชยะลาด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ สาธารณรัฐ

ประชาธิปไตยประชาชนลาว ในการเข้าเยี่ยมคำนับ ภายในศาลาว่าการกลาโหม จากนั้น จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ครั้งที่ 4/2557
-------------------
พล.อ.ประวิตร ยัน คุมคลื่นใต้น้ำได้ ขออย่าสร้างความแตกแยก เดินหน้าตามโรดแมป ลั่น ปราบทุจริตคอร์รัปชั่นเต็มที่

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุถึงการเคลื่อนไหวต่อต้านการทำงานของรัฐบาลและ คสช. ว่า ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจการดำเนินของ

รัฐบาล และ คสช. ซึ่งสถานการณ์ภาพรวมยังสามารถควบคุมได้ ส่วนการที่มีนักวิชาการบางคนเสนอให้ผ่อนคลายประกาศกฎอัยการศึกนั้น เป็นการเสนอความคิดเห็นได้ แต่ยืนยันว่า รัฐบาล
และ คสช. ได้พยายามขับเคลื่อนการทำงานและแก้ปัญหาประเทศตามแนวทางประชาธิปไตยและกรอบรัฐธรรมนูญ โดยไม่ได้มีการกดดัน หรือข่มเหงใคร ดังนั้นจึงขอให้หยุดการเคลื่อนไหวที่จะ

สร้างความแตกแยก เพื่อให้รัฐบาลได้เดินหน้าแก้ปัญหาประเทศตามโรดแมปที่ได้กำหนดไว้ในช่วง 1 ปี จึงขอทุกฝ่ายให้เวลารัฐบาลทำงาน พร้อมย้ำว่ารัฐบาลนี้มีความจริงจังในการปราบปรามการ

ทุกจริตคอร์รัปชั่นโดยถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ
--------
พล.อ.ประวิตร ประชุม กอ.รมน. รับทราบแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ที่นายกฯ ลงนามแล้ว

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ
อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ครั้งที่ 4/2557 ณ ห้องภาณุรังษี ภายในศาลาว่าการกลาโหม

ทั้งนี้ การประชุมครั้งนี้จะเสนอเรื่องเพื่อให้คณะกรรมการอำนวยการฯ ทราบ จำนวน 1 เรื่อง คือ แผนรักษาความมั่นคงภายใน
ราชอาณาจักร ประจำปี 2558-2560 ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และ นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในแผนดังกล่าว
แล้ว

นอกจากนี้ มีเรื่องเสนอเพื่อพิจารณาคือ โครงสร้างการจัดและอัตรากำลังของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ประจำปี 2558 และ
แผนปฏิบัติการสงขลา 58 กับแผนปฏิบัติการแม่ลาน 58 ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 พ.ย. 57 ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจาก
คณะกรรมการอำนวยการฯ ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มาตรา 26 และมาตรา 16(2)
ตามลำดับ




//////////////////

"รายงานลับ" ส่วยน้ำมันเถื่อนใต้ "5กลุ่ม-4สี" ร่วมรับผลประโยชน์

"รายงานลับ" ส่วยน้ำมันเถื่อนใต้ "5กลุ่ม-4สี" ร่วมรับผลประโยชน์

เขียนวันที่
วันพุธ ที่ 26 พฤศจิกายน 2557 เวลา 21:00 น.
เขียนโดย
ทีมข่าวอิศรา
พลันที่มีการทลายอาณาจักรสอบสวนกลาง หรือ บช.ก. ของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ที่ถูกเด้งฟ้าผ่า และถูกคุมตัวพร้อมแจ้งข้อหาฉกรรจ์ ทั้งหมิ่นสถาบัน เรียกรับผลประโยชน์ ฟอกเงิน 
doc
          ข้อกล่าวหาหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การรับส่วยน้ำมันเถื่อนจากภาคใต้ โดยอ้างถึงคำรับสารภาพของลูกน้อง ซึ่งเป็นนายพลจากหน่วยตำรวจน้ำ (บก.รน.) ที่ถูกจับกุมและดำเนินคดีในคราวเดียวกัน
          จากนั้นก็มีการขยายความผ่านสื่อบางแขนงว่า ส่วยสายนี้น่าจะเชื่อมโยงกับ "เสี่ย จ." ผู้กว้างขวางแห่งดินแดนภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างหลบหนีโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลปัตตานี และไม่มีใครพบเห็นตัวเขาตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.57
          อย่างไรก็ดี มีประเด็นที่น่าสังเกตก็คือ ท่าทีและข่าวสารที่อ้างว่ามาจากฝ่ายที่ดำเนินการจับกุม ดูประหนึ่งกำลังด่วนสรุปว่า"ส่วยน้ำมันเถื่อน" มีผู้เข้าไปเกี่ยวข้องเพียงกลุ่มเดียว คือ นายตำรวจกลุ่มนี้ หนำซ้ำยังมีความพยายามเชื่อมโยงไปสู่การสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
          ท่าทีและข่าวสารดังกล่าวทำให้หลายคนที่อาจเรียกได้ว่า "รู้เรื่อง" หรือ "รู้ข้อมูลดีพอสมควร" ไม่ค่อยสบายใจ เพราะหากจริงใจที่จะจัดการขบวนการจ่ายส่วย (แถมจุดไฟใต้) กันจริงๆ แล้ว ก็น่าจะจัดการกันให้ถึงรากถึงโคน
          ไม่ใช่จับโจรได้คนหนึ่ง ก็ยัดๆ ความผิดกรณีอื่นๆ เข้าไปด้วย จะได้ปิดคดีได้เร็วๆ เหมือนที่มีบางหน่วยนิยมทำกัน
          ข้อมูลจาก "รายงานลับ" ฝ่ายความมั่นคงเองที่ส่งถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงตั้งแต่ปี 55 และส่งซ้ำอีกหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจการปกครอง ระบุชัดว่าเครือข่ายที่รับผลประโยชน์จากน้ำมันเถื่อนไม่ได้มีเฉพาะ "สีกากี"
          ข้อมูลชุดที่ 1 เครือข่าย "เสี่ย จ." ซึ่งเป็นเครือข่ายใหญ่ที่สุด และเป็นรายใหญ่ที่สุดที่ทำธุรกิจมืดนี้ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง "รายงานลับ" ก็ชี้ให้เห็นว่ามีบุคคลเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ผู้นำในพื้นที่ชายแดนใต้ และภาคใต้ตอนล่าง รวมไปถึงบุคคลผู้ทรงอิทธิพลในประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย
          1.นาย ส. (เสี่ย จ.) เป็นเครือข่ายใหญ่ที่สุด เป็นตัวกลางออกหน้าเชื่อมโยงกับเครือข่ายอื่นๆ
          2.นาย น. นักการเมืองท้องถิ่นของ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
          3.นาย ม. จากบริษัท อ./ฟ. มีฐานอยู่ใน จ.ปัตตานี เคยถูกทหารและดีเอสไอเข้าตรวจค้นเมื่อหลายปีก่อน
          4.นาย ม. เจ้าของบริษัท อ. ในอำเภอพื้นที่สีแดงของ จ.นราธิวาส
          5.เครือข่ายนายมะ เชื่อมโยงกับยาเสพติด
          6.เครือข่ายนาย จ. เจ้าของกิจการเกี่ยวกับน้ำมัน มีเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่
          7.บริษัท ก. กับ บริษัท ต. ตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย
          8.สหกรณ์ออมทรัพย์แห่งหนึ่งในพื้นที่ชายแดนใต้
          (หมายเหตุ : ชื่อย่อบุคคลและบริษัท ย่อโดยศูนย์ข่าวภาคใต้)
          ทั้งนี้ บริษัท อ./ฟ. ที่มีฐานอยู่ใน จ.ปัตตานี มีความเกี่ยวโยงกับบริษัท ต.ที่ตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน เพราะผู้บริหารบริษัทบางส่วนเป็นชุดเดียวกัน บางคนเป็นเครือญาติกัน โยงถึงครอบครัวของ "คนมีสี" ที่เคยดำรงตำแหน่งระดับสูงใน จ.ปัตตานีด้วย
          ข้อมูลชุดที่ 2 พื้นที่รับส่งน้ำมันหลบเลี่ยงภาษี พบจุดรับส่งน้ำมันริมฝั่งอ่าวไทยตั้งแต่ จ.นราธิวาส ถึง จ.เพชรบุรี
          วิธีการ คือ ส่งเรือประมงดัดแปลงให้สามารถบรรทุกน้ำมันได้ลำละ 30,000 ถึง 200,000 ลิตรไปรับถ่ายน้ำมันจากเรือใหญ่บริเวณรอยต่อน่านน้ำประเทศเพื่อนบ้าน (ซึ่งมีราคาน้ำมันเชื้อเพลิงถูกกว่าประเทศไทยกว่าครึ่ง โดยเฉพาะน้ำมันช่วยเหลือกิจการประมง) เพื่อนำไปส่งตามจุดนัดหมายบริเวณชายฝั่ง แล้วมีรถบรรทุกน้ำมันรับช่วงต่อ ตั้งแต่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ยาวไปจนถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.เพชรบุรี สมุทรสาคร และบางครั้งไปถึงรอยต่อน่านน้ำไทยในเขต จ.ระยอง
          จุดที่เจ้าหน้าที่มีหลักฐานว่าเป็นจุดขนถ่ายน้ำมัน คือ ในอ่าวไทยใกล้ทะเลสงขลา ใกล้ จ.นครศรีธรรมราช เหนือเกาะสมุยและเกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี ใกล้ทะเลชุมพร ใกล้ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และทะเลใกล้ จ.ระยอง กับ จ.ตราด
          นอกจากนั้น ยังมีเรือประมงดัดแปลงลอยลำขายน้ำมันให้กับเรือประมงที่ผ่านไป-มาในทะเลอ่าวไทยตั้งแต่ จ.ปัตตานี ถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ที่ปรากฏข้อมูลมากที่สุดคือบริเวณอ่าวปัตตานี
          จากจุดขนถ่ายน้ำมันดังกล่าว ทั้งในทะเลและบนบกซึ่งเป็นเครือข่ายถนนหนทาง คงพอนึกภาพออกว่าหากจะนำน้ำมันผิดกฎหมายหรือหลบเลี่ยงภาษีเหล่านี้ผ่านไปได้ ต้องจ่ายผลประโยชน์ให้ใครบ้าง
          ข้อมูลชุดที่ 3 ผู้เกี่ยวข้องรับผลประโยชน์ "รายงานลับ" ระบุว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เครือข่ายค้าน้ำมันหลบเลี่ยงภาษีดำรงอยู่ได้ เนื่องจากมีการจ่ายสินบนในลักษณะ "ส่วยรายเดือน" ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วย เกือบทุกระดับ
          เงินส่วยส่วนใหญ่จ่ายให้กับ "คนมีสี" ตั้งแต่ระดับสูงถึงระดับปฏิบัติ ทั้งในน้ำและบนบก ทุกพื้นที่ตั้งแต่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นไปจนถึง จ.ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี มูลค่าเงินส่วยเท่าที่มีการยืนยันประมาณ 25 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ไม่นับการจ่ายเงินในลักษณะ "อำนวยความสะดวก" หรือ "ดูแล" เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจระดับสูงอีกต่างหาก
          หลังการค้นสำนักงานของผู้กว้างขวางในพื้นที่ชายแดนใต้ เมื่อ 18 ต.ค.55 พบบัญชีจ่ายรายการ (ส่วย) เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งน้ำมันหลบเลี่ยงภาษี บัญชีบางส่วนถูกเผาทำลายหลักฐาน แต่เผาไม่หมด จึงยังเหลือร่องรอย กับบัญชีอีกบางส่วนถูกเก็บเป็นข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์ที่ตรวจยึดได้
          "รายงานลับ" ที่ฝ่ายความมั่นคงเสนอหน่วยเหนือ พบเจ้าหน้าที่รัฐรับผลประโยชน์หลายกลุ่ม ได้แก่ 
          - ตำรวจน้ำ ทั้งระดับสูงและระดับปฏิบัติ
          - สีกากีที่ดูแลเส้นทางผ่าน เช่น สงขลา ปัตตานี นราธิวาส สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช
          - ชุดปราบปรามทางทะเลของหน่วยงานที่ดูแลด้านภาษีนำเข้า ในพื้นที่ จ.ตราด ระยอง ชลบุรี 
          - สีเขียวในพื้นที่บังคับใช้กฎหมายพิเศษที่สีเขียวสามารถตั้งด่านตรวจด่านสกัดได้
          - หน่วยพิเศษพลเรือนชื่อดังที่มีอำนาจสืบสวนจับกุมทั่วราชอาณาจักร
          ทั้งนี้ เอกสารและข้อมูลที่ยึดได้ ระบุจำนวนเงินที่จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยงานหลายส่วน บางรายมีชื่อ นามสกุล ตำแหน่งชัดเจน บางส่วนเป็นหมายเลขบัญชีธนาคาร มีหมายเลขโทรศัพท์ และระบุวันเวลาที่จ่ายเอาไว้ด้วย เป็นลักษณะค่าใช้จ่ายประจำ มีวงเงินประมาณ 20-25 ล้านบาทต่อเดือน!

บ่อน รอทลาย

คดีจับกุม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก. หรือ บิ๊กกิ๊ก พร้อมพวก รวม 12 ราย ท่าจะยืดยาวไปกันใหญ่ ดูแล้วงานนี้นอกจากหมดอนาคตแล้ว โอกาสจะออกมาเดินดินกินข้าวข้างถนนคงเลิกฝัน
เที่ยวนี้หนาวกันทั้ง กองปราบปราม ผกก.แต่ละกองเก็บตัวเงียบเชียบ คดีนี้คงจะลากไส้กันหมดทุกขด เพราะขุมประโยชน์ในหน่วยงานแห่งนี้มากมหาศาล คนวงในรู้ดีว่าตำรวจกองปราบฯ มีอำนาจปฏิบัติการได้ทั่วประเทศไทย...ถึงกับขนานนามเก้าอี้ ผกก.กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ (ปพ.) ว่า ผู้กำกับประเทศไทยงานนี้ใครแอบอ้างชื่อใครไม่รู้ แต่มูลค่าแต่ละรายการที่ ...พี่น้องชาวไทยถึงกับร้อง
ความอื้อฉาวใน บช.ก. เป็นแค่หนึ่งในหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถ้า คสช.ฉวยโอกาสนี้ล้างบางปัดเป่าความโสมมในแวดวงตำรวจน่าจะได้คะแนนนิยมพุ่ง
ไม่อยากเปลืองตัว...ก็ลองส่ง ผกก.ปพ. ไปเปิดประตูบ่อนในกรุงเทพฯ ก็พอ...บ่อนพระราม 9 ว่ากันว่าเหนาะๆ เดือนละ 30 ล้านบาท ในซอยเพชรบุรี 5-7 นั้นก็มีอยู่หนึ่ง บ่อนลอยฟ้าปิ่นเกล้า บ่อนเตาปูน บ่อนนกเขาภายในชุมชนตลาด กม.11 ไม่รวมบ่อนเล็กบ่อยน้อยอีกเพียบ
ปิดบ่อนแล้วค่อยขยับไปดูธุรกิจสีเทาอื่นๆ รับรอง คสช.มีงานทำจนถึงวันเลือกตั้ง

น้ำมันเถื่อนต้องเล่นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

พลันที่มีการทลายอาณาจักรสอบสวนกลาง หรือ บช.ก. ของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ที่ถูกย้ายฟ้าผ่า และถูกคุมตัวพร้อมแจ้งข้อหาฉกรรจ์ ทั้งหมิ่นสถาบัน เรียกรับผลประโยชน์ ฟอกเงิน
ข้อกล่าวหาหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การรับส่วยน้ำมันเถื่อนจากภาคใต้ โดยอ้างถึงคำรับสารภาพของลูกน้อง ซึ่งเป็นนายพลจากหน่วยตำรวจน้ำ (บก.รน.) ที่ถูกจับกุมและดำเนินคดีในคราวเดียวกัน
จากนั้นก็มีการขยายความผ่านสื่อบางแขนงว่าส่วยสายนี้น่าจะเชื่อมโยงกับ "เสี่ย จ." ผู้กว้างขวางแห่งดินแดนภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างหลบหนีโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลปัตตานี และไม่มีใครพบเห็นตัวตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2557
อย่างไรก็ดี มีประเด็นที่น่าสังเกตก็คือ ท่าทีและข่าวสารที่อ้างว่ามาจากฝ่ายที่ดำเนินการจับกุม ดูประหนึ่งกำลังด่วนสรุปว่า "ส่วยน้ำมันเถื่อน" มีผู้เข้าไปเกี่ยวข้องเพียงกลุ่มเดียว คือ นายตำรวจกลุ่มนี้ หนำซ้ำยังมีความพยายามเชื่อมโยงไปสู่การสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
ท่าทีและข่าวสารดังกล่าวนี้ทำให้หลายคนที่อาจเรียกได้ว่า "รู้เรื่อง" หรือ "รู้ข้อมูลดีพอสมควร" ไม่ค่อยสบายใจ เพราะหากจริงใจที่จะจัดการขบวนการจ่ายส่วย (แถมจุดไฟใต้) กันจริงๆ แล้ว ก็น่าจะจัดการกันให้ถึงรากถึงโคน
ไม่ใช่จับโจรได้คนหนึ่ง ก็ยัดความผิดกรณีอื่นๆ เข้าไปด้วย จะได้ปิดคดีได้เร็วๆ เหมือนที่มีบางหน่วยนิยมทำกัน
ข้อมูลจาก "รายงานลับ" ฝ่ายความมั่นคง ส่งถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูง ตั้งแต่ปี 2555 และส่งซ้ำอีกหลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจการปกครอง ระบุชัดว่าเครือข่ายที่รับผลประโยชน์จากน้ำมันเถื่อนไม่ได้มีเฉพาะ "สีกากี"
ข้อมูลชุดที่ 1 เครือข่าย "เสี่ย จ." ซึ่งเป็นเครือข่ายใหญ่ที่สุด และเป็นรายใหญ่ที่สุดที่ทำธุรกิจมืดนี้ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง "รายงานลับ" ก็ชี้ให้เห็นว่ามีบุคคลเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ผู้นำในพื้นที่ชายแดนใต้ และภาคใต้ตอนล่าง รวมไปถึงบุคคลผู้ทรงอิทธิพลในประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย
1.นาย ส. (เสี่ย จ.) เป็นเครือข่ายใหญ่ที่สุด เป็นตัวกลางออกหน้าเชื่อมโยงกับเครือข่ายอื่นๆ
2.นาย น. นักการเมืองท้องถิ่นของ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
3.นาย ม. จากบริษัท อ./ฟ. มีฐานอยู่ใน จ.ปัตตานี เคยถูกทหารและดีเอสไอเข้าตรวจค้นเมื่อหลายปีก่อน
4.นาย ม. เจ้าของบริษัท อ. ในอำเภอพื้นที่สีแดงของ จ.นราธิวาส
5.เครือข่ายนายมะ เชื่อมโยงกับยาเสพติด
6.เครือข่ายนาย จ. เจ้าของกิจการเกี่ยวกับน้ำมัน มีเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่
7.บริษัท ก. กับ บริษัท ต. ตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย
8.สหกรณ์ออมทรัพย์แห่งหนึ่งในพื้นที่ชายแดนใต้
ทั้งนี้ บริษัท อ./ฟ. ที่มีฐานอยู่ใน จ.ปัตตานี มีความเกี่ยวโยงกับบริษัท ต. ที่ตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน เพราะผู้บริหารบริษัทบางส่วนเป็นชุดเดียวกัน บางคนเป็นเครือญาติกัน โยงถึงครอบครัวของ "คนมีสี" ที่เคยดำรงตำแหน่งระดับสูงใน จ.ปัตตานี ด้วย
ข้อมูลชุดที่ 2 พื้นที่รับส่งน้ำมันหลบเลี่ยงภาษี พบจุดรับส่งน้ำมันริมฝั่งอ่าวไทยตั้งแต่ จ.นราธิวาส ถึง จ.เพชรบุรี
วิธีการ มีการส่งเรือประมงดัดแปลงให้สามารถบรรทุกน้ำมันได้ลำละ 30,000-200,000 ลิตร ไปรับถ่ายน้ำมันจากเรือใหญ่บริเวณรอยต่อน่านน้ำประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีราคาน้ำมันเชื้อเพลิงถูกกว่าประเทศไทยกว่าครึ่ง โดยเฉพาะน้ำมันช่วยเหลือกิจการประมง เพื่อนำไปส่งตามจุดนัดหมายบริเวณชายฝั่ง แล้วมีรถบรรทุกน้ำมันรับช่วงต่อ ตั้งแต่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ยาวไปจนถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.เพชรบุรี จ.สมุทรสาคร และบางครั้งไปถึงรอยต่อน่านน้ำไทยในเขต จ.ระยอง
จุดที่เจ้าหน้าที่มีหลักฐานว่าเป็นจุดขนถ่ายน้ำมัน คือ ในอ่าวไทยใกล้ทะเลสงขลา ใกล้ จ.นครศรีธรรมราช เหนือเกาะสมุยและเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ใกล้ทะเลชุมพร ใกล้ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และทะเลใกล้ จ.ระยอง กับ จ.ตราด
นอกจากนั้น ยังมีเรือประมงดัดแปลงลอยลำขายน้ำมันให้แก่เรือประมงที่ผ่านไป-มาในทะเลอ่าวไทยตั้งแต่ จ.ปัตตานี ถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ที่ปรากฏข้อมูลมากที่สุดคือบริเวณอ่าวปัตตานี
จากจุดขนถ่ายน้ำมันดังกล่าว ทั้งในทะเลและบนบกซึ่งเป็นเครือข่ายถนนหนทาง คงพอนึกภาพออกว่าหากจะนำน้ำมันผิดกฎหมายหรือหลบเลี่ยงภาษีเหล่านี้ผ่านไปได้ ต้องจ่ายผลประโยชน์ให้ใครบ้าง
ข้อมูลชุดที่ 3 ผู้เกี่ยวข้องรับผลประโยชน์ "รายงานลับ" ระบุว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เครือข่ายค้าน้ำมันหลบเลี่ยงภาษีดำรงอยู่ได้ เนื่องจากมีการจ่ายสินบนในลักษณะ "ส่วยรายเดือน" ให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วย เกือบทุกระดับ
เงินส่วยส่วนใหญ่จ่ายให้แก่ "คนมีสี" ตั้งแต่ระดับสูงถึงระดับปฏิบัติ ทั้งในน้ำและบนบก ทุกพื้นที่ตั้งแต่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นไปจนถึง ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี มูลค่าเงินส่วยเท่าที่มีการยืนยันประมาณ 25 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ไม่นับการจ่ายเงินในลักษณะ "อำนวยความสะดวก" หรือ "ดูแล" เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจระดับสูงอีกต่างหาก
หลังการค้นสำนักงานของผู้กว้างขวางในพื้นที่ชายแดนใต้ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2555 พบบัญชีจ่ายรายการ (ส่วย) เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งน้ำมันหลบเลี่ยงภาษี บัญชีบางส่วนถูกเผาทำลายหลักฐาน แต่เผาไม่หมด จึงยังเหลือร่องรอย กับบัญชีอีกบางส่วนถูกเก็บเป็นข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์ที่ตรวจยึดได้
"รายงานลับ" ที่ฝ่ายความมั่นคงเสนอหน่วยเหนือ พบเจ้าหน้าที่รัฐรับผลประโยชน์หลายกลุ่ม ได้แก่
- เจ้าหน้าที่รัฐในส่วนปฏิบัติการทางน้ำ ทั้งระดับสูงและระดับปฏิบัติ
- สีกากีที่ดูแลเส้นทางผ่าน เช่น สงขลา ปัตตานี นราธิวาส สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช
- ชุดปราบปรามทางทะเลของหน่วยงานที่ดูแลด้านภาษีนำเข้า ในพื้นที่ ตราด ระยอง ชลบุรี
- สีเขียวในพื้นที่บังคับใช้กฎหมายพิเศษที่สีเขียวสามารถตั้งด่านตรวจด่านสกัดได้
- หน่วยพิเศษพลเรือนชื่อดังที่มีอำนาจสืบสวนจับกุมทั่วราชอาณาจักร
ทั้งนี้ เอกสารและข้อมูลที่ยึดได้ ระบุจำนวนเงินที่จ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่หน่วยงานหลายส่วน บางรายมีชื่อ นามสกุล ตำแหน่งชัดเจน บางส่วนเป็นหมายเลขบัญชีธนาคาร มีหมายเลขโทรศัพท์ และระบุวันเวลาที่จ่ายเอาไว้ด้วย เป็นลักษณะค่าใช้จ่ายประจำ มีวงเงินประมาณ 20-25 ล้านบาทต่อเดือน
ที่สมาคมสนใจคือส่วนนี่ครับ....
วิธีการ มีการส่งเรือประมงดัดแปลงให้สามารถบรรทุกน้ำมันได้ลำละ 30,000-200,000 ลิตร ไปรับถ่ายน้ำมันจากเรือใหญ่บริเวณรอยต่อน่านน้ำประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีราคาน้ำมันเชื้อเพลิงถูกกว่าประเทศไทยกว่าครึ่ง โดยเฉพาะน้ำมันช่วยเหลือกิจการประมง เพื่อนำไปส่งตามจุดนัดหมายบริเวณชายฝั่ง แล้วมีรถบรรทุกน้ำมันรับช่วงต่อ ตั้งแต่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ยาวไปจนถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.เพชรบุรี จ.สมุทรสาคร และบางครั้งไปถึงรอยต่อน่านน้ำไทยในเขต จ.ระยอง
คำถาม......
ทำไมน้ำมันในมาเลย์ถูกกว่าไทยครึ่งหนึ่ง แล้วทำไมไทยถึงขายน้ำมันแพงกว่ามาเลย์ฯ แล้วชอบอ้างว่าให้ราคาเดียวกับตลาดโลก สรุปราคาเบนซินบ้านเรา(ไทย) 35 บาท/ลิตร แต่ที่มาเลย์ฯ 17.5 บาท/ลิตร ใช่ไมครับ ช่วยตอบทีครับภาษีเท่าไร ค่าการตลาดเท่าไร จ่ายให้นายทหารเท่าไร แล้วนี่คือสิ่งที่คนไทยได้รับใช่ไมครับ น่าสงสารนะครับ ขายแพงเพราะอ้างภาษี เพื่อเอามาให้คนใหญ่โตในบ้านเมืองล้างพลาญ

ฎีกายืนจำคุกตลอดชีวิต อดีตรอง ผกก.ค้ายาบ้า 1 ล้านเม็ด

ฎีกายืนจำคุกตลอดชีวิต อดีตรอง ผกก.ค้ายาบ้า 1 ล้านเม็ด
Cr:ผู้จัดการ
ที่ห้องพิจารณา 913 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (27 พ.ย.) ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อย.4063/2550 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด 2 เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ท.อภิวุฒิ หรือนายอภิวุฒิ งามสมบัติ หรือนายเพชร นนทะภา เป็นจำเลยในความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และเป็นข้าราชการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างเดือน พ.ค. 2541 - 14 มี.ค. 2542 ต่อเนื่องกัน ขณะเกิดเหตุจำเลยรับราชการเป็น รอง ผกก.แห่งหนึ่งใน บช.น.กับพวกที่หลบหนี ร่วมกันครอบครองและจำหน่ายยาเสพติดเมทแอมเฟตามีน หรือยาบ้า ให้แก่ลูกค้า ต่อมาวันที่ 14 มี.ค. 2542 เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาค้ายาเสพติด 2 ราย ได้ของกลางยาบ้ารวม 1,016, 400 เม็ด เมื่อสอบสวนขยายผลทราบว่าจำเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นกับกลุ่มค้ายาเสพติดดังกล่าว จึงเข้าจับกุมได้ที่ ห้องพักเลขที่ 811 อาคารไนซ์แมนชั่น 2 ถนนประชาอุทิศ แขวงและเขตห้วยขวาง กทม. ขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2553 เห็นว่าจำเลยมีความผิดจริงตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม และตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษประหารชีวิต ริบของกลาง จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องด้วย
ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ แต่คำให้การของจำเลยประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม จึงพิพากษาแก้ ฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และเป็นข้าราชการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตและริบของกลาง
ต่อมาจำเลยยื่นฎีกาขอให้พิพากษายกฟ้องด้วย
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ ที่มีตำรวจชุดจับกุมเบิกความสอดคล้องกันในข้อเท็จจริง สมเหตุผล พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ พยานหลักฐาน และข้อต่อสู้ของจำเลยมีน้ำหนักน้อยไม่อาจหักล้างได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนจำคุกตลอดชีวิต

จับนาเสพติดห้าแสนเม็ด

ส้มจ๊าด จี๊ดจี๊ด ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 2 รูป
ดูการซ่อนของมัน..5แสนเม็ด โอ้ๆ
จับสองหนุ่มมีพิรุธ ซุกยาบ้า 500,000 เม็ด ใต้รถกระบะ
เมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 27 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจประจำจุดตรวจฯ บ้าน.ผาหงษ์ อ.ไชยปราการ เชียงใหม่ ตั้งด่านตรวจเข้มยาเสพติด พบรถยนต์ต้องสงสัย ท่าทางมีพิรุธขับผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการเรียกตรวจค้นรถกระบะ ยี่ห้อโตโยต้า ไมตี้เอ็กซ์ สีเขียว หมายเลขทะเบียน ผบ 4015 เชียงใหม่ ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปตัวเมืองเชียงใหม่
เจ้าหน้าที่ประจำ จุดตรวจฯ บ.ผาหงษ์ ได้เข้าไปตรวจบุคคลและสิ่งของที่นำมากับรถคันดังกล่าว ระหว่างการตรวจค้นพบนายเอก ถนอมวิทยา อายุ 28 ปี อยู่ ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นคนขับ และมี นายดวงจันทร์ ถนอมวิทยา อายุ 25 ปี อยู่ ต.แม่แรม อ.แม่ริม เป็นผู้โดยสารท่าทางมีพิรุธ ผลการตรวจค้นพบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 5 แสนเม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณใต้กระบะรถคันดังกล่าว
ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ให้ผู้ต้องหาทั้งสองลงจากรถและเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจค้นอย่างละเอียด โดยทำการยกท้ายกระบะขึ้น พบยาเสพติดซุกซ่อนวางไว้บริเวณคัสซีของรถที่ได้ดัดแปลงสำหรับวางยาเสพติดได้จำนวนถึง 500,000 เม็ด โดยผู้ต้องหาทั้งสองรับสารภาพว่า ได้รับการว่าจ้างให้ขนยาเสพติดจากนายทุน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ทำการขยายผลการจับกุมต่อไป

แฉความลับ ตำรวจ คสช.จับแหลกบิ๊กตำรวจ รับสินบนน้ำมันเถื่อนก่อการร้ายชายแดนใต้

วันที่ 23 พ.ย.57 โอ้ว..ตำรวจ คสช.จับแหลกบิ๊กตำรวจ รับสินบนน้ำมันเถื่อนก่อการร้ายชายแดนใต้ แถมแอบอ้างให้เสื่อมเสียพระเกียรติ

ภายหลังจากที่ พล.ต.อ.สมยศ ผบ.ตร. ได้ลงนามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โยกย้ายนายตำรวจระดับสูง จำนวน 4 ราย จำนวน 2 ครั้งติดกัน ให้ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) โดยขาดจากตำแหน่งเดิม คือ
- พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.
- พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก.
- พล.ต.ต.ชัยทัต บุญขำ ผู้บังคับการปราบปราม (ผบก.ป.)
- พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ ผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม (ผบก.1 ป.)
และแล้วฟ้าก็ผ่าอีกครั้ง สร้างความช็อคตาค้างให้วงการสีกากี เมื่อ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 631/2557 ลงวันที่ 21 พ.ย. 2557 ให้พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น.ขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับบิ๊กตำรวจ จำนวนมาก
ศาลได้ตรวจสอบพยานหลักฐานแล้ว พบว่าเพียงพอ จึงได้อนุมัติหมายจับบุคคลทั้งหมดตามคำร้องของ ผบช.น.แล้วเมื่อ 22 พ.ย.57 รายนามดังนี้
1.พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. ข้อหาผิดประมวลกฎหมายอาญา หลายกระทง คือ
- ม.112 (หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทฯ)
- ม.148 (เจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ)
- ม.149 (เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ)
- ม.157 (เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ)
- พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ
2.พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. ข้อหาผิดประมวลกฎหมายอาญา หลายกระทง คือ
- ประมวลกฎหมายอาญา ม.112 (หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทฯ)
- ม.148 (เจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ)
- ม.149 (เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ)
- ม.157 (เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ)
- พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ
3. พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผบก.รน. (เคยถูกเด้ง บกพร่องเรื่องการปราบปรามน้ำมันเถื่อนเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2557 ) หมายจับครั้งนี้ข้อหา
- ป.อาญา ม.149 (เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ)
- ม.157 (เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ)
4. พ.ต.อ.โกวิทย์ ม่วงนวล ผกก.ตม.สมุทรสาคร ( เพิ่งถูกคำสั่งย้ายเมื่อ 18 พ.ย. 57) หมายจับครั้งนี้ข้อหา
- ร่วมกันก่นสร้างแผ้วถางหรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าฯ หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ พ.ศ.2484 ม.54, 55
- ร่วมกันปลูกสร้างอาคารฝายล่วงล้ำในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำหรือทะเลสาบ ที่ประชาชนใช้ร่วมกันโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 ม.117,183
5. พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ ผกก.4 บก.ปคม. ข้อหา
- ม.148 (เจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ)
- ม.149 (เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์)
- ม.157 (เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ)
6. ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา (เจ้าหน้าที่ขับรถ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์) ข้อหา
- ม.148 (เจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ)
- ม.149 (เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์)
- ม.157 (เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ)
7. ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง (เจ้าหน้าที่ขับรถ พล.ต.ต.โกวิทย์) ข้อหา
- ม.148 (เจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ)
- ม.149 (เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ)
- ม.157 (เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ)
และมีประชาชนอีก 3 ราย คือ
8.นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล (ภรรยา พ.ต.อ.โกวิทย์ ม่วงนวล ) ข้อหา
- ร่วมกันก่นสร้างแผ้วถางหรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าฯ หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ พ.ศ.2484 ม.54, 55
- ร่วมกันปลูกสร้างอาคารฝายล่วงล้ำในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำหรือทะเลสาบ ที่ประชาชนใช้ร่วมกันโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 ม.117,183
9. นางสวงค์ มุ่งเที่ยง ข้อหา ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ม.19, 47
10.นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช ข้อหา ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ม.19, 47
--------------------------->
หน่วยข่าวกรอง มีรายงานว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ต.ค.2553 – 11 พ.ย. 2557 ขณะที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ขณะดำรงตำแหน่ง ผบช.ก. มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ได้สมรู้ร่วมคิดกับ พล.ต.ต.บุญสืบ ผบก.รน., พ.ต.อ.อัครวุฒิ หลิ่มรัตน์ อดีต ผกก.1 ป. และ พ.ต.อ.วุฒิชาติ อดีต ผกก.4 บก.ปคบ.
เรียกรับเงินจากข้าราชการตำรวจ ที่ประสงค์จะไปดำรงตำแหน่งสำคัญๆ รายละ 3-5 ล้านบาท เพื่อที่จะไปรับตำแหน่ง โดยจะมีการส่งเงินให้กับกลุ่มผู้ต้องหาเป็นรายเดือน รวมแล้วเป็นเงินกว่า 50 ล้านบาท
--------------------------->
เมื่อระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.2554 – 18 ก.ค. 2557 พล.ต.ต.บุญสืบ ขณะที่ดำรงตำแหน่ง ผบก.รน.ได้เรียกรับเงินจากผู้ค้าน้ำมันเถื่อน ทางจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยแอบอ้างสถาบันฯ มีการเรียกเก็บเงินค่าส่วยน้ำมันเดือนละ 1-2 ล้านบาท
ให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย เพื่อสร้างความวุ่นวายในจังหวัดชายแดนใต้ เป็นภัยคุกคามต่อประเทศ เปิดช่องให้สะดวกให้กลุ่มก่อการร้ายทำผิดกฎหมาย (เรื่องนี้เคยเขียนแฉ ที่เพจนี้ไปแล้ว ใครสนใจลองอ่านตอนเก่า)
** ไขปริศนา..ใคร คือ ผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มติดอาวุธภาคใต้ ศัตรูคนมุสลิม ที่https://www.facebook.com/topsecretthai/posts/256795914510443
คำสารภาพ ที่สุดอึ้ง ในส่วนของผู้ต้องหา พล.ต.ต.บุญสืบ ที่เป็นตำรวจน้ำ คือ มีความเกี่ยวข้องกับปัญหาความมั่นคง 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดย ยอมรับว่ารับส่วยจากขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน หลายรายด้วยกัน เช่น เสี่ยโจ้ ฯลฯ ที่ DSI เคยจับและริดสีดวง ตบทรัพย์และปล่อยตัวในเวลาต่อมา
ส่วยจากขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ช่วงปีที่ผ่านมา เขารับประมาณเดือนละ 2-3 ล้านบาทต่อราย แต่เมื่อไปเคลียร์กับทุกราย จะมีรายได้ทุจริตเดือนละ 12-15 ล้านบาท เงินดังกล่าว นำแบ่งให้เครือข่ายอิทธิพลตำรวจสอบสวนกลางในขณะกระทำผิด
แล้วส่งเงินให้กับ พล.ต.ต.โกวิทย์ อดีตรอง ผบช.ก. จำนวน 35 ล้านบาท และรวบรวมเงินอีกหลายครั้ง ส่งเงินให้กับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ จำนวน 118 ล้านบาท ทหารมีรายชื่อจ่ายส่วยในสมุดเสี่ยโจ้หมดแล้ว ว่าจ่ายให้ใคร เท่าไรบ้าง และยังมีข้อมูลส่วยผู้ค้าน้ำมันเถื่อนรายอื่นๆ
--------------------------->
พล.ต.ต.โกวิทย์ ยังเปิดบ่อนการพนัน ใช้สถานบริการอบอบนวดโคลอนเซ่ ติดกับถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กทม. โดยร่วมกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ร่วมหุ้นกับ เสี่ยโจ้ บางนา , เสี่ยถ่อ ประตูน้ำ, เจ๊ฮุ้ง ช่วงนั้นบ่อน โคลอนเซ่ หรูหราทันสมัย และใหญ่โตที่สุดเท่าที่เคยมีกาสิโนในประเทศไทย
โด่งดังเปิดบริการเล่นกันอย่างโจ๋งครึ่ม มีรายได้ทุกโต๊ะรวมกันตลอดวันตลอดคืน ราว 50 ล้านบาทต่อวัน ปล่อยข่าวแอบอ้างถึงบุคคลสำคัญ แอบอ้างว่าจะนำเงินไปให้สถาบัน เพื่อไม่ให้ใครกล้าเข้ามายุ่ง
พอเป็นข่าวดังช่วงปี 2554 ก็ย้ายไปเปิดใหม่อยู่ระหว่างซอยรัชดาฯ 14-16 เรียกว่าบ่อนรัชดา และมีพฤติกรรมแอบอ้างเหมือนเดิม ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาร้ายแรง เป็นความผิดบ่อนทำลายสถาบันหลักของชาติ
ต่อมาออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 2 ราย และจับกุมได้แล้ว คือ นายชอบ และ นางติยาพรรณ ชินนะประภา สองผัวเมีย ร่วมกระทำผิดกับกลุ่ม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ในความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
โดยเป็นนอมินี นำเงินที่ได้จากการกระทำผิดไปฟอกเป็นเงินบริสุทธิ์ ส่วน นางสวงค์ และ นายเริงศักดิ์ นั้นทำร้านค้าของเก่า งาช้าง สัตว์ป่า ซึ่งพัวพันกับของกลางที่ยึดได้จำนวนมาก
--------------------------->
โดยเฉพาะการค้นคฤหาสน์บ้านพัก 11 หลังของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ค้น พบเงินสดเป็นแบ๊งค์ดอลลาร์รวมทั้งสิ้นหลายสิบล้านดอลลาร์ กับทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ เครื่องประดับเพชรพลอย อีกจำนวนมาก นับพันล้านบาท พร้อมทรัพย์สินอื่น
เช่น พระเครื่องชื่อดังราคาแพงจำนวนหลายพันองค์ พระพุทธรูปบูชาหายาก รวมมีมากมายกว่า 1 แสนชิ้น โฉนดที่ดินจำนวนมาก ทรัพย์สินเป็นบ้านพร้อมที่ดินอีกจำนวนหนึ่งรวมทั้งหมด 11 หลัง แต่ใส่ชื่อญาติ และคนใก้ลชิดเป็นเจ้าของ ตู้เซฟกระจายอยู่ตามบ้านต่างๆ ตำรวจจึงรวบรวมอายัดไว้
คนเก็บกุญแจ และรู้รหัส ตู้เซพคือ ร.ต.ท. คนสนิทนายหนึ่ง ซึ่งในขณะนี้ส่งไปอมรมหลักสูตรตำรวจที่สหรัฐอเมริกา และกำลังเดินทางกลับมาด่วน ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 02.00 น.วันที่ 25 พ.ย.57 นี้
เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบที่มาที่ไปของโฉนดที่ดินเหล่านี้ รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ยึดได้ ร่วม 10,000 ล้านบาท , เช่นเดียวกับ พล.ต.ต.โกวิท ที่พบว่ามีการซุกซ่อนแบ๊งค์ และทองคำในบ้านพักจำนวนมากเช่นกัน และยังพบวัตถุโบราณล้ำค่าอีกจำนวนมาก
ประเมินว่าทรัพย์สินทั้งหมดนั้นมีมูลค่ากว่า 1 พันล้านบาทเลยเหมือนกัน , ส่วนสองนายดาบตำรวจที่เป็นคนขับรถประจำตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ และ พล.ต.ต.โกวิท วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก.มีทรัพย์สินคนละกว่า 50 ล้านบาท..แม่จ้าวว
---------------------------->
เมื่อคืนที่ผ่านมา ตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 8 คนสอบปากคำ ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งโดยกำลังทหารกระจายอยู่รอบๆ และแยกกันสอบปากคำ จากการสืบสวนสอบสวนมีพยานหลักฐานว่าผู้ถูกหมายจับ มีการกระทำแอบอ้างอันทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ
เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ แอบอ้างบุคคลสำคัญสร้างอิทธิพลให้กับตนกับพวกพ้อง จนหน่วยงานประหนึ่งเป็นรัฐอิสระไม่มีใครกำกับดูแลได้ ตำรวจยังจะต้องสอบปากคำพยานกว่า 50 ปาก รอผลการตรวจประวัติผู้ต้องหา
สำหรับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ หลังสอบปากคำเสร็จได้ถูกตำรวจอรินทราชนำตัวมาที่ สน.เตาปูน เมื่อกลางดึก โดยสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงขายาวสีกากี มีท่าทางอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมด ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
จึงแยกควบคุมตัวไว้ตามสถานีตำรวจต่างๆ เพื่อเตรียมนำตัวขออำนาจศาลฝากขังในวันที่ 24 พ.ย.57 นี้ ตำรวจชุดสืบสวน ได้ทำการตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหาทั้ง 8 คน พบพยานหลักฐานมากมาย จึงจำนนต่อพยานหลักฐานที่ถูกค้นพบ ส่วนใหญ่ที่เป็นรายการทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล และไม่สามารถอธิบายถึงความเป็นไปได้
บิ๊กอ็อด จึงมีคำสั่งให้ “ตำรวจทุกคนออกจากราชการ” ไว้ก่อน ขั้นตอนต่อจากนี้เมื่อสอบสวนดำเนินคดีในข้อหาต่างๆ แล้วจะมีความผิดฐานฟอกเงิน เพื่อยึดทรัพย์ทั้งหมดตกเป็นของแผ่นดินต่อไป
---------------------------->
ก่อนหน้านี้นายตำรวจทั้งหมด ถูกคำสั่งย้ายพ้นตำแหน่งไปประจำที่ ศปก.ตร. รวมทั้ง พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ ผกก.1 ป.ที่ถูกสั่งย้ายไป ศปก.ตร.จากการสืบสวนพบว่าอยู่ในขบวนการเดียวกันร่วมกระทำความผิดหมิ่นมาตรา 112 และปฏิบัติหน้าที่มิชอบด้วย
ก่อนหน้านี้มีการเชิญตัวเขามาให้ข้อมูลแล้ว ให้ความร่วมมืออย่างดี ให้การเป็นประโยชน์ แต่ขณะนั้นยังไม่มีการขออนุมัติหมายจับ จึงยังไม่ควบคุมตัวไว้ กระทั่งต่อมา เมื่อเขาให้ข้อมูลแล้ว เกิดความเครียดมากและ พยายามฆ่าตัวตายถึง 3 ครั้ง
มีการเขียนและส่งข้อความลาตายถึงครอบครัว และเพื่อนไว้ จากนั้นจึง ด้วยความเครียด และเกรงกลัวถูกดำเนินคดี (ยิ่งสูงยิ่งหนาว) จึงกระโดดจากที่สูงเมื่อกลางดึก วันที่ 20 พ.ย.2557 และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า หนังสือรับรองการเสียชีวิต เลขที่ 1085/2557
และถัดจากวันที่เสียชีวิตเพียง 1 วัน คือในวันที่ 21 พ.ย.2557 ครอบครัว และญาติ ได้ย้ายศพ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ ออกจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ไปประกอบพิธีที่วัดหลักสี่ โดยจัดพิธีอย่างเงียบๆ ก่อนจะทำการฌาปนกิจ ในช่วงบ่าย ที่วัดหลักสี่ มีญาติและเพื่อนไปร่วมงานแค่ 6-7 คน
---------------------------->
ครั้งนี้ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์จารึก ในวงการตำรวจไปอีกตราบนานเท่านาน เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ บิ๊กอ็อด ผบ.ตำรวจ ให้ประชาชนมั่นใจว่า ภายใต้ยุค คสช.ไม่ว่าตำรวจชั้นยศใดกระทำผิดกฎหมาย ก็จะต้องถูกดำเนินคดีเหมือนประชาชนทั่วไป
ส่วนคนที่ยังไม่ถึงคิวนั้น เช่น ขบวนน้ำมันเถื่อนภาคใต้ ฝ่ายความมั่นคงของทหารมีข้อมูลทั้งหมดแล้ว , แถวในกรุงเทพฯ เอื้อประโยชน์ป้ายอีก 30 กว่าคน หรือ คนที่โดนทหารจับกุมสิ่งผิดกฎหมาย , บ่อน ฯลฯ ตามกฎอัยการศึก ก็คงต้องนั่งรอรับหมายจับเหมือนกัน !!
@ เสธ น้ำเงิน2
https://www.facebook.com/topsecretthai
"กติกา" โปรดงดออกความเห็นในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในตอนนี้ /นำข่าวลือเขาว่ามาโพส / ลิ้งใดๆ ทุกชนิด / คำหยาบ / ป่วน / ข้อความจากแหล่งอื่นที่ทำให้เกิดความสับสนในเนื้อหา / ภาพ / การให้ร้ายดูหมิ่นเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกพิจารณาบล็อกเข้าเพจนี้

เส้นทางแผนผังเครือข่าย เดอะกิ๊ก

อินโฟ + กราฟฟิค เครือข่าย "พงศ์พัฒน์" และพวก


จาก ข้อมูล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุ แผนผังเครือข่ายการกระทำความผิดของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ที่มี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ หรือกิ๊ก แสดงตัวเสมือนเป็นสัญลักษณ์สถาบันเพื่อหวังผลประโยชน์ ร่วมกันวางแผนกับ พล.ต.ต.โกวิทย์ หรือ โก ที่มีพฤติกรรมเรียกร้องเงินหรือทรัพย์สิน เปิดบ่อน แอบอ้างเบื้องสูง โดยมี พล.ต.ต.บุญสืบเรียกรับเงินจากผู้ค้าน้ำมันเถื่อน เก็บรวบรวมส่วยรายเดือนให้ พล.ต.ต.โกวิทย์ เช่นเดียวกับ พ.ต.อ.วุฒิชาติ ที่เรียกรับเงิน หรือทรัพย์สิน เก็บรวบรวมส่งส่วยรายเดือนที่ พล.ต.ต.โกวิทย์ ขณะที่ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หรืออั้ม เรียกร้องเงินหรือทรัพย์สิน และรวบรวมเงินที่ได้จากการซื้อตำแหน่ง ส่งให้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ มี ด.ต.สุรศักดิ์ เรียกร้องเงินหรือทรัพย์สินส่งให้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ส่วน ด.ต.ฉัตรินทร์ ทำหน้าที่พลขับให้ พล.ต.ต.โกวิทย์ เรียกร้องเงินหรือทรัพย์สิน เก็บรวบรวม ส่งส่วยรายเดือนให้ พล.ต.ต.โกวิทย์ โดยมีนางปิยพรรณ และนายชอบ ชินนะประภา เป็นนอมินี ถือทรัพย์สินแทน พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์

ooo

ออกหมายจับเพิ่มอีก 5 คดีแอบอ้างเบื้องสูงทวงหนี้-กรรโชกทรัพย์ เอี่ยว ‘พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์’

Wed, 2014-11-26 18:05
ที่มา ประชาไท

โฆษกสตช. เผยสืบสวนพบว่ามีกลุ่มที่แอบอ้างสถาบัน ทำการทวงหนี้หาประโยชน์โดยมิชอบ โดยศาลได้ออกหมายจับทั้ง 5 คนแล้ว ระบุมีความเกี่ยวข้องกับ ‘พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์’ ถอดยศ ‘ว่าที่พ.ต.ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา’ หนึ่งในผู้ต้องหาแล้ว หลังวานนี้พระราชทานเครื่องราชฯ

26 พ.ย.2557 ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากการสืบสวนพบว่ามีกลุ่มบุคคลที่แอบอ้างสถาบัน ทำการทวงหนี้ หน่วงเหนี่ยวกักขัง และกรรโชกทรัพย์ เพื่อหาประโยชน์โดยมิชอบ ตรวจสอบแล้วพบว่ามีผู้ร่วมกระทำความผิดปรากฏรายชื่อ ดังนี้ 1. นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา 2. นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา 3. นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา 4. นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และ 5.นายชากานต์ ภาคภูมิ

พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า สำหรับบุคคลดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. โดยมีส่วนร่วมในการกระทำผิด ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยื่นคำร้องขออนุมติหมายจับต่อศาล ศาลได้ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายหรือเสรีภาพ โดยมีอาวุธโดยร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป

และหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น และร่วมกันลักทรัพย์ เหตุเกิดในเขตรับผิดชอบของ สน.พระโขนง และขณะนี้กลุ่มผู้ร่วมกระทำความผิดทั้งหมดได้ถูกจับกุมแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินคดีตามกฎหมาย

ทั้งนี้ เวลา 16.00 น. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะนำของกลางคดี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ไปแสดงที่ ร.1 พัน.3

ต่อมา เมื่อเวลา 15.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีการจับกุมตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กับพวก ร่วมกันกระทำความผิดเรียกรับผลประโยชน์ทั้งบ่อนการพนันและส่วยน้ำมันเถื่อนว่า ล่าสุดสามารถออกหมายจับผู้ต้องหา ซึ่งเป็นเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เพิ่มเติมได้อีก 5 รายมีทั้งทหารและพลเรือน ขณะนี้กลุ่มผู้ร่วมกระทำความผิดทั้งหมดถูกจับกุมแล้วและอยู่ระหว่างดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยหลังจากนี้จะทำการสืบสวนต่อไป หากสืบสวนพบว่าบุคคลใดมีส่วนเกี่ยวข้องก็จะออกหมายจับทั้งหมด อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถบอกจำนวนที่แน่ชัดว่ามีผู้ร่วมขบวนการอีกกี่ราย

“กลุ่มคนพวกนี้มีการแอบอ้างสถาบันฯ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทุกๆ ด้าน ซึ่งคดีนี้ตำรวจคงจะมีการขออกหมายจับเรื่อยๆ ไม่สามารถเร่งได้ หากพยานหลักฐานเกี่ยวข้อง หรือเชื่อมโยงไปถึงใครก็ต้องดำเนินการ ทุกอย่างว่ากันตามพยานหลักฐาน เป็นไปตามข้อเท็จจริง และยังตอบไม่ได้ว่ามีจำนวนกี่คน เพราะในการสอบสวน การจะออกหมายจับใครต้องมีพยานหลักฐานรองรับ” ผบ.ตร.กล่าว

ถอดยศ ‘ว่าที่พ.ต.ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา’ หลังวานนี้พระราชทานเครื่องราชฯ

ทั้งนี้ 1 ในผู้ที่ถูกออกหมายจับมีชื่อพ้องกับ ว่าที่ พ.ต. ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา ที่พึ่งมีราชกิจจานุเบกษา วานนี้ (25 พ.ย.) ที่เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 57 ให้แก่นายทหารสัญญาบัตรและนายทหารประทวนหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ กระทรวงกลาโหม

ซึ่ง โพสต์ทูเดย์ รายงานว่า พล.ต.ต.ประวุฒิ โฆษกสตช. เปิดเผยว่า ว่าที่พ.ต.ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา เป็นคนเดียวกับ นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา ซึ่งศาลได้อนุมัติออกหมายจับข้อหา“ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใดไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายหรือเสรีภาพ โดยมีอาวุธโดยร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายและให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น และร่วมกันลักทรัพย์” กรณีมีส่วนพัวพันกับแก๊งพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผบช.ก. และได้ถูกถอดยศพ้นจากตำแหน่งทางราชการแล้ว