PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

"รายงานลับ" ส่วยน้ำมันเถื่อนใต้ "5กลุ่ม-4สี" ร่วมรับผลประโยชน์

"รายงานลับ" ส่วยน้ำมันเถื่อนใต้ "5กลุ่ม-4สี" ร่วมรับผลประโยชน์

เขียนวันที่
วันพุธ ที่ 26 พฤศจิกายน 2557 เวลา 21:00 น.
เขียนโดย
ทีมข่าวอิศรา
พลันที่มีการทลายอาณาจักรสอบสวนกลาง หรือ บช.ก. ของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ที่ถูกเด้งฟ้าผ่า และถูกคุมตัวพร้อมแจ้งข้อหาฉกรรจ์ ทั้งหมิ่นสถาบัน เรียกรับผลประโยชน์ ฟอกเงิน 
doc
          ข้อกล่าวหาหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การรับส่วยน้ำมันเถื่อนจากภาคใต้ โดยอ้างถึงคำรับสารภาพของลูกน้อง ซึ่งเป็นนายพลจากหน่วยตำรวจน้ำ (บก.รน.) ที่ถูกจับกุมและดำเนินคดีในคราวเดียวกัน
          จากนั้นก็มีการขยายความผ่านสื่อบางแขนงว่า ส่วยสายนี้น่าจะเชื่อมโยงกับ "เสี่ย จ." ผู้กว้างขวางแห่งดินแดนภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างหลบหนีโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลปัตตานี และไม่มีใครพบเห็นตัวเขาตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.57
          อย่างไรก็ดี มีประเด็นที่น่าสังเกตก็คือ ท่าทีและข่าวสารที่อ้างว่ามาจากฝ่ายที่ดำเนินการจับกุม ดูประหนึ่งกำลังด่วนสรุปว่า"ส่วยน้ำมันเถื่อน" มีผู้เข้าไปเกี่ยวข้องเพียงกลุ่มเดียว คือ นายตำรวจกลุ่มนี้ หนำซ้ำยังมีความพยายามเชื่อมโยงไปสู่การสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
          ท่าทีและข่าวสารดังกล่าวทำให้หลายคนที่อาจเรียกได้ว่า "รู้เรื่อง" หรือ "รู้ข้อมูลดีพอสมควร" ไม่ค่อยสบายใจ เพราะหากจริงใจที่จะจัดการขบวนการจ่ายส่วย (แถมจุดไฟใต้) กันจริงๆ แล้ว ก็น่าจะจัดการกันให้ถึงรากถึงโคน
          ไม่ใช่จับโจรได้คนหนึ่ง ก็ยัดๆ ความผิดกรณีอื่นๆ เข้าไปด้วย จะได้ปิดคดีได้เร็วๆ เหมือนที่มีบางหน่วยนิยมทำกัน
          ข้อมูลจาก "รายงานลับ" ฝ่ายความมั่นคงเองที่ส่งถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงตั้งแต่ปี 55 และส่งซ้ำอีกหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจการปกครอง ระบุชัดว่าเครือข่ายที่รับผลประโยชน์จากน้ำมันเถื่อนไม่ได้มีเฉพาะ "สีกากี"
          ข้อมูลชุดที่ 1 เครือข่าย "เสี่ย จ." ซึ่งเป็นเครือข่ายใหญ่ที่สุด และเป็นรายใหญ่ที่สุดที่ทำธุรกิจมืดนี้ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง "รายงานลับ" ก็ชี้ให้เห็นว่ามีบุคคลเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ผู้นำในพื้นที่ชายแดนใต้ และภาคใต้ตอนล่าง รวมไปถึงบุคคลผู้ทรงอิทธิพลในประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย
          1.นาย ส. (เสี่ย จ.) เป็นเครือข่ายใหญ่ที่สุด เป็นตัวกลางออกหน้าเชื่อมโยงกับเครือข่ายอื่นๆ
          2.นาย น. นักการเมืองท้องถิ่นของ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
          3.นาย ม. จากบริษัท อ./ฟ. มีฐานอยู่ใน จ.ปัตตานี เคยถูกทหารและดีเอสไอเข้าตรวจค้นเมื่อหลายปีก่อน
          4.นาย ม. เจ้าของบริษัท อ. ในอำเภอพื้นที่สีแดงของ จ.นราธิวาส
          5.เครือข่ายนายมะ เชื่อมโยงกับยาเสพติด
          6.เครือข่ายนาย จ. เจ้าของกิจการเกี่ยวกับน้ำมัน มีเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่
          7.บริษัท ก. กับ บริษัท ต. ตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย
          8.สหกรณ์ออมทรัพย์แห่งหนึ่งในพื้นที่ชายแดนใต้
          (หมายเหตุ : ชื่อย่อบุคคลและบริษัท ย่อโดยศูนย์ข่าวภาคใต้)
          ทั้งนี้ บริษัท อ./ฟ. ที่มีฐานอยู่ใน จ.ปัตตานี มีความเกี่ยวโยงกับบริษัท ต.ที่ตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน เพราะผู้บริหารบริษัทบางส่วนเป็นชุดเดียวกัน บางคนเป็นเครือญาติกัน โยงถึงครอบครัวของ "คนมีสี" ที่เคยดำรงตำแหน่งระดับสูงใน จ.ปัตตานีด้วย
          ข้อมูลชุดที่ 2 พื้นที่รับส่งน้ำมันหลบเลี่ยงภาษี พบจุดรับส่งน้ำมันริมฝั่งอ่าวไทยตั้งแต่ จ.นราธิวาส ถึง จ.เพชรบุรี
          วิธีการ คือ ส่งเรือประมงดัดแปลงให้สามารถบรรทุกน้ำมันได้ลำละ 30,000 ถึง 200,000 ลิตรไปรับถ่ายน้ำมันจากเรือใหญ่บริเวณรอยต่อน่านน้ำประเทศเพื่อนบ้าน (ซึ่งมีราคาน้ำมันเชื้อเพลิงถูกกว่าประเทศไทยกว่าครึ่ง โดยเฉพาะน้ำมันช่วยเหลือกิจการประมง) เพื่อนำไปส่งตามจุดนัดหมายบริเวณชายฝั่ง แล้วมีรถบรรทุกน้ำมันรับช่วงต่อ ตั้งแต่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ยาวไปจนถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.เพชรบุรี สมุทรสาคร และบางครั้งไปถึงรอยต่อน่านน้ำไทยในเขต จ.ระยอง
          จุดที่เจ้าหน้าที่มีหลักฐานว่าเป็นจุดขนถ่ายน้ำมัน คือ ในอ่าวไทยใกล้ทะเลสงขลา ใกล้ จ.นครศรีธรรมราช เหนือเกาะสมุยและเกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี ใกล้ทะเลชุมพร ใกล้ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และทะเลใกล้ จ.ระยอง กับ จ.ตราด
          นอกจากนั้น ยังมีเรือประมงดัดแปลงลอยลำขายน้ำมันให้กับเรือประมงที่ผ่านไป-มาในทะเลอ่าวไทยตั้งแต่ จ.ปัตตานี ถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ที่ปรากฏข้อมูลมากที่สุดคือบริเวณอ่าวปัตตานี
          จากจุดขนถ่ายน้ำมันดังกล่าว ทั้งในทะเลและบนบกซึ่งเป็นเครือข่ายถนนหนทาง คงพอนึกภาพออกว่าหากจะนำน้ำมันผิดกฎหมายหรือหลบเลี่ยงภาษีเหล่านี้ผ่านไปได้ ต้องจ่ายผลประโยชน์ให้ใครบ้าง
          ข้อมูลชุดที่ 3 ผู้เกี่ยวข้องรับผลประโยชน์ "รายงานลับ" ระบุว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เครือข่ายค้าน้ำมันหลบเลี่ยงภาษีดำรงอยู่ได้ เนื่องจากมีการจ่ายสินบนในลักษณะ "ส่วยรายเดือน" ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วย เกือบทุกระดับ
          เงินส่วยส่วนใหญ่จ่ายให้กับ "คนมีสี" ตั้งแต่ระดับสูงถึงระดับปฏิบัติ ทั้งในน้ำและบนบก ทุกพื้นที่ตั้งแต่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นไปจนถึง จ.ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี มูลค่าเงินส่วยเท่าที่มีการยืนยันประมาณ 25 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ไม่นับการจ่ายเงินในลักษณะ "อำนวยความสะดวก" หรือ "ดูแล" เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจระดับสูงอีกต่างหาก
          หลังการค้นสำนักงานของผู้กว้างขวางในพื้นที่ชายแดนใต้ เมื่อ 18 ต.ค.55 พบบัญชีจ่ายรายการ (ส่วย) เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งน้ำมันหลบเลี่ยงภาษี บัญชีบางส่วนถูกเผาทำลายหลักฐาน แต่เผาไม่หมด จึงยังเหลือร่องรอย กับบัญชีอีกบางส่วนถูกเก็บเป็นข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์ที่ตรวจยึดได้
          "รายงานลับ" ที่ฝ่ายความมั่นคงเสนอหน่วยเหนือ พบเจ้าหน้าที่รัฐรับผลประโยชน์หลายกลุ่ม ได้แก่ 
          - ตำรวจน้ำ ทั้งระดับสูงและระดับปฏิบัติ
          - สีกากีที่ดูแลเส้นทางผ่าน เช่น สงขลา ปัตตานี นราธิวาส สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช
          - ชุดปราบปรามทางทะเลของหน่วยงานที่ดูแลด้านภาษีนำเข้า ในพื้นที่ จ.ตราด ระยอง ชลบุรี 
          - สีเขียวในพื้นที่บังคับใช้กฎหมายพิเศษที่สีเขียวสามารถตั้งด่านตรวจด่านสกัดได้
          - หน่วยพิเศษพลเรือนชื่อดังที่มีอำนาจสืบสวนจับกุมทั่วราชอาณาจักร
          ทั้งนี้ เอกสารและข้อมูลที่ยึดได้ ระบุจำนวนเงินที่จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยงานหลายส่วน บางรายมีชื่อ นามสกุล ตำแหน่งชัดเจน บางส่วนเป็นหมายเลขบัญชีธนาคาร มีหมายเลขโทรศัพท์ และระบุวันเวลาที่จ่ายเอาไว้ด้วย เป็นลักษณะค่าใช้จ่ายประจำ มีวงเงินประมาณ 20-25 ล้านบาทต่อเดือน!

ไม่มีความคิดเห็น: