PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

บิ๊กโด่ง ยัน ไม่มีเด็กฝาก นั่งสภาขับเคลื่อนฯเผยมีทั้งทหารในราชการ และเกษียณแล้ว

บิ๊กโด่ง ยัน ไม่มีเด็กฝาก นั่งสภาขับเคลื่อนฯเผยมีทั้งทหารในราชการ และเกษียณแล้ว ยังไม่ตอบ"มีชัย"เป็นปธ.ร่างรธน.หรือไม่ แต่เป็นคนมีความสามารถ
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก/เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวว่า สัดส่วนของทหาร ทั้งในและนอกราชการ ที่จะเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)ว่า ในส่วนของทหาร ก็มีทั้งที่ยังรับราชการและผู้ที่ออกจากราชการไปแล้ว แต่จะต้องดูชื่อที่มีความเหมาะสม พลเอกประยุทธ์ ได้ระบุแล้วว่าจะต้องเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ เมื่อเข้ามาเป็น สปท.ต้องมีความสามารถในการทำงานได้ และสามารถดูแลเรื่องการปฏิรูปต่าง ๆ ได้ ไม่ใช่ว่ามีชื่อคนต่าง ๆ ฝากมาแล้วไม่มีความสามารถ นายกฯ ได้เน้นย้ำชัดแล้วว่ายิ่งฝากมาจะยิ่งไม่ได้ ซึ่งผู้ที่มีความรับผิดชอบ
โดยเฉพาะหัวหน้าส่วนราชการ ก็จะช่วยดูแลคัดเลือกชื่อที่จะให้ผู้ใหญ่ได้ดูอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความรอบคอบและเป็นที่ยอมรับ
ส่วนกรณีที่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ จะมาเป็นประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า นายมีชัย เป็นผู้มีความรู้ความสามารถดีอยู่แล้ว แต่ไม่ทราบว่าจะมาเป็นประธาน กรธ.หรือไม่ เพราะเป็นการคาดเดากันไป เนื่องจากผู้ใหญ่ยังไม่ได้บอกมาอย่างชัดเจนว่าเป็นอย่างไร ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงการคัดเลือกตัวบุคคล ซึ่งอีกไม่นานก็จะได้รับทราบกัน อย่างไรก็ตามชื่อของคนที่จะเข้ามาเป็น กรธ. และสปท.จะต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ รวมถึงเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และต้องได้รับการยอมรับ

พลเอกอุดมเดช" สั่งแม่ทัพภาค1-กกล.รส.พิจารณาจะให้จัดกิจกรรมครบรอบ9ปี19กย.หรือไม่



พลเอกอุดมเดช" สั่งแม่ทัพภาค1-กกล.รส.พิจารณาจะให้จัดกิจกรรมครบรอบ9ปี19กย.หรือไม่ ติงไม่อยากให้กระทบความสงบในระยะต่อไปและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก/เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีจะมีการเคลื่อนไหว เพื่อแสดงสัญลักษณ์ครบรอบวันรัฐประหาร 19 ก.ย.นี้ว่า ได้มอบหมายให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.)ของกองทัพภาคที่ 1 ดำเนินการดูแลและทำความเข้าใจ เจ้าหน้าที่จะติดตามในทุกเรื่องที่มีการเคลื่อนไหว หากพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เหมาะสมก็จะดำเนินการต่อไป
โดยในวันนี้ทาง กกล.รส.จะประเมินอีกครั้งว่าจะให้อยู่ในกรอบแค่ไหน เพื่อไม่ให้เกิดความไม่เรียบร้อยขึ้น
ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่มีความจำเป็นต้องดูแลให้เรียบร้อย ดังนั้นคงไม่สามารถจะให้ทำอะไรได้ทุกอย่างที่กระทบกระเทือนกับความสงบในระยะต่อไป และที่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ก็ไม่สามารถให้ทำได้
เมื่อถามว่าจะถึงขั้นห้ามไม่ให้จัดกิจกรรมหรือไม่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า วันนี้กำลังพิจารณาอยู่ ขอหารือกับส่วนที่เกี่ยวข้องก่อนในเรื่องของรายละเอียดที่จะจัดกิจกรรมต่าง ๆขึ้น

"บิ๊กป้อม” เผย EU มาตรวจประมงไทย 12กย. ชุดใหญ่ มา19-23 กย. คาดสรุปผล15พย.


"บิ๊กป้อม” เผย EU มาตรวจประมงไทย 12กย. ชุดใหญ่ มา19-23 กย. คาดสรุปผล15พย. เผย นายกฯ เร่งแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมายตามหลักสากล EU สั่งทำ กม.ให้แล้ว ขู่จนท.เรา ถ้าไม่พร้อมถูกเล่นงานแน่
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ร่วมการประชุมคณะกรรมการแก้ไขการค้ามนุษย์และการทำประมงผิดหมาย กับ พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล
พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า นายกฯได้เน้นย้ำให้มาตรการของไทยเป็นไปตามหลักสากล ยกระดับการทำประมงในประเทศไทยให้ดีขึ้น โดยต้องป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย เช่น อวนรุน อวนลาก จะทำไม่ได้ และต้องช่วยเหลือการประกอบอาชีพ
รวมถึงการพัฒนากฎหมายให้เป็นไปตามหลักสากล ซึ่งสหภาพยุโรป(EU)ให้เราพัฒนากฎหมายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้
ส่วนเรื่องการค้ามนุษย์ เราก็เร่งดำเนินการแก้ไข และหากพบว่ามีเจ้าหน้าเข้าไปเกี่ยวข้องจะถูกลงโทษอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้รัฐบาลยังเร่งพัฒนาเครื่องมือเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย
ทั้งนึ้ ในวันที่ 12 ตุลาคม เจ้าหน้าที่ของEU จะเข้ามาสังเกตการณ์ การแก้ไขปัญหาของประเทศไทย และวันที่ 19 -23 ตุลาคม ผู้บริหารระดับสูงจะเดินทางเข้ามาดูอีกครั้ง ซึ่งเรามีความพร้อม หากไม่พร้อมก็ต้องไปเล่นงานเจ้าหน้าที่ที่ทำให้ไม่พร้อม ถ้าเราไม่ทำ ต่อไปจะมีปัญหา หาปลาก็ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร

พลเอกประวิตร” แจง คสช. ไม่มีสเป็ก กรธ. ขอให้ “วิษณุ” ช่วยดูรายชื่อนักกฎหมาย เผย รอ“มีชัย” กลับจากตปท.มาแจงเอง

พลเอกประวิตร” แจง คสช. ไม่มีสเป็ก กรธ. ขอให้ “วิษณุ” ช่วยดูรายชื่อนักกฎหมาย เผย รอ“มีชัย” กลับจากตปท.มาแจงเอง นั่งปธ.กรธ. หรือไม่ ยันคสช.พร้อมเรียกเข้าค่ายอีก ใครพูดทำให้ขัดแย้งความไม่เข้าใจ ทัศนคติไม่ดีก็ต้องเรียกหมดเพื่อให้เข้าใจ แต่ไม่มีเฝ้าระวังใครเป็นพิเศษ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่านายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตอบรับนั่งเป็นประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)แล้วว่า ทราบว่านายมีชัย เดินทางไปต่างประเทศ และจะกลับในวันที่ 18 ก.ย.นี้ ส่วนตนยังไม่ได้พูดคุย และไม่ได้พบกับนายมีชัย

เมื่อถามว่าถ้านายมีชัยเป็นประธานกรธ.จริง จะทำให้การร่างรัฐธรรมนูญครั้งใหม่ราบรื่นและเกิดความสงบเรียบร้อยหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “สื่อมาถามว่า “ถ้า” แล้วหากผมบอกว่า “ถ้าผมไม่รู้” จะว่าอย่างไร ดังนั้นคำว่า “ถ้า” อย่ามาถามผม สำหรับผมอยากให้เกิดความเรียบร้อยทั้งหมด ให้ประเทศเดินหน้าไปได้ หากทำได้ใครก็ได้ที่ทำให้ประเทศเดินไปได้และหยุดตีกัน หยุดความขัดแย้งจะได้เจริญเสียที เพราะเราเสียเวลามา 8-9 ปีแล้ว ขณะที่สื่อเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ตีกันหรือไม่ ขอให้คิดดูว่าเราจะอยู่อย่างสงบเพื่อให้ประเทศเจริญไปข้างหน้าอย่างไร”พล.อ.ประวิตร กล่าว

ถามย้ำว่านายมีชัย ถือว่ามีคุณสมบัติตรงตามสเป็กที่คสช.ต้องการหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า คสช.ไม่มีสเป็ก แค่ต้องการให้ทำให้ดีและทำให้ได้ ซึ่งในจำนวน 20 คนก็ไปคัดเลือกกันเองว่าจะให้ใครเป็นประธาน ขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ อีกไม่นานคงทราบรายชื่อ

เมื่อถามว่าแล้วขณะนี้มีรายชื่อกรธ.ไม่เกิน 21 คนอยู่ในใจแล้วหรือยัง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยัง ตนยังไม่เห็นเพราะมีการทาบทามจำนวนมาก และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่รู้จักคนที่มีความรู้ด้านกฎหมาย ก็มีส่วนเข้ามาช่วยดูในเรื่องนี้ด้วย และเชื่อว่าจะพิจารณาคนที่ดีเข้ามาทำงาน

เมื่อถามว่าจากนี้จะเรียกบุคคลทางการเมืองเข้ามาปรับทัศนคติเพิ่มอีกหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า หากมีทัศนคติไม่ดีก็ต้องเรียกหมดเพื่อให้เข้าใจ และไม่มีเฝ้าระวังใครเป็นพิเศษ ต้องดูว่าใครพูดแล้วทำให้เกิดความขัดแย้งและความไม่เข้าใจบ้าง ก็จะเรียกมา

"บิ๊กตู่" เผย ยังไม่ได้ทาบ"มีชัย"นั่งประธานกรธ. ชี้ต้องดูสุขภาพด้วย


"บิ๊กตู่" เผย ยังไม่ได้ทาบ"มีชัย"นั่งประธานกรธ. ชี้ต้องดูสุขภาพด้วย ยอมรับอาจมีคนไปทาบ แต่ยังไม่เสนอมา เผยจะเลือก กรธ.หลังกลับจากประชุมUN ระหว่างนี้ให้"วิษณุ"ทาบทามคนแต่ละกลุ่ม บ่นเจ็บคอไม่โทษใคร พูดมากเอง
ที่อิมแพค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระแสข่าวว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ 1ใน15คณะกรรมการคสช. ได้ตอบรับที่เป็นประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ว่า “ผมยังไม่ได้ติดต่อท่านเลย ผมเห็นแต่ข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ใครติดต่อ ผมไม่ทราบ และผมยังไม่ได้ติดต่อใครสักคน”

เมื่อถามว่า ท่านได้มอบหมายให้ใครเป็นผู้ไปติดต่อหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนยังไม่เคยคุยกับใคร ยังไม่ได้คุยเลย ยังได้มอบหมายใคร แต่เขาไปคุยกันเองละมั้ง ใครไปคุยกันมา เดี๋ยวเขาก็ส่งมาที่ตน
เมื่อถามว่า ถือว่าคุณสมบัติของนายมีชัย ครบถ้วนสมบูรณ์ที่จะเป็นประธานกรธ.หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “สุขภาพท่านแข็งแรงหรือเปล่าไม่รู้ ก็ต้องดูสุขภาพของท่านด้วย”

เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีจะมีโอกาสได้พูดคุยกับ นายมีชัยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “เมื่อถึงเวลาก็ต้องคุยซิ แต่ไม่ใช่ว่านายมีชัย จะใช่คนที่จะเข้ามาเป็นประธานกรธ."

"ผมเองก็เห็นและทราบว่าท่านบอกผ่านมาทางนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ว่าท่านจะไม่รับ คือนายวิษณุท่านรู้จักฝ่ายกฎหมาย ท่านก็ไปถามคนรู้จักของท่าน ซึ่งทุกคนทุกฝ่ายก็จะไปถามคนของท่าน เมื่อได้แต่ละกลุ่ม ก็จะนำรายชื่อทั้งหมดมารวมกัน และพิจารณาร่วมกัน แล้วผมจะเป็นคนตัดสินใจ "

"วันนี้อย่าไปสนใจว่าจะตั้งใคร หรือตั้งอย่างไร ร่างอย่างไร ให้ดูว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ขอให้คิดกันไว้ด้วย อย่าคิดว่าจะเลือกตั้งให้เร็ว รัฐธรรมนูญมีประชาธิปไตยหรือเปล่า เรื่องแบบนี้ให้มันพอเสียทีได้หรือไม่ หรือจะเอาเพียงว่าใครก็ได้ที่จะเข้ามา ผมขอแค่นี้ได้หรือไม่”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในวันอังคารที่ 22 กันยายนนี้ จะมีการประชุมร่วมครม.-คสช. แต่ไม่ได้หมายความว่าภายในสัปดาห์นั้นจะได้ตัวประธานกรธ. ไว้รอผมกลับมาจากการเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติก่อน แล้วค่อยพิจารณาอีกครั้ง รอให้นำรายชื่อทั้งหมดมารวมกันก่อน ตนถึงจะพิจารณาอีกที ตนกลับมาเมื่อไหร่ก็ให้ส่งมาเมื่อนั้น โดยให้คณะทำงานในส่วนของรองนายกฯที่ตนได้มอบหมายไปแล้วได้คุยกันไปก่อน กลับมาแล้วตนถึงเป็นผู้ตัดสินใจ

เมื่อถามว่าในวันที่ 19 กันยายนนี้ จะมีหลายกลุ่มจัดกิจกรรมครบรอบ 9ปี 19กันยายนนั้นทางคสช.จะไม่อนุญาตใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จัดไม่ได้ จะผิดกฎหมายไม่ได้ทั้งนั้น เรื่องนี้ต้องไปถามคสช

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เวลาที่เหลืออยู่จากนี้มันน้อย เพราะตนต้องทำทั้งเรื่องการปฏิรูป การปรองดองขั้นต้น การเตรียมการขจัดความขัดแย้งในรัฐบาลต่อไป บางอย่างสามารถนำมาทำเป็นยุทธศาสตร์ชาติได้ก็ทำในวันนี้ จะได้เห็นว่ากระบวนการการปฏิรูป กระบวนการการปรองดอง และกระบวนการลดความขัดแย้งเขาทำอย่างไร ตนต้องทำให้สังคมเข้าใจ

“วันนี้พอพูดปฏิรูปปั๊บ ก็ไปกันใหญ่โต พอพูดถึงปรองดองก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง พอพูดถึงประชาธิปไตยก็บอกว่าผมจะมีอำนาจทับรัฐบาล สับสนอลหม่านไปทั้งหมด เพราะคนไม่เข้าใจ แต่ผมไม่โทษท่าน เพราะผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจคนเดียว ขอให้ผมเสนอก่อนได้หรือไม่ ว่ามันควรจะเป็นอย่างไร วันนี้ผมเป็นคนรักษากติกาอยู่ ถ้าให้ทุกคนอะไรก็ได้ แล้วจะเรียกว่าผมรักษากติกาหรือไม่ ไม่อยากให้บ้านเมืองสงบแบบนี้กันหรืออย่างไร ต้องให้เวลาผมได้ทำงาน”

เมื่อถามว่า ที่บ่นว่าเจ็บคอวันนี้หายแล้วหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวทีเล่นทีจริงว่า “เจ็บมากเลย แต่พอเจอหน้าพวกสื่อก็ดีขึ้นเลย ส่วนที่พูดในห้องว่า อยากจะชกปากใครนั้น จริงๆ แล้วอยากจะชกปากตัวเอง มันลงโทษใครไม่ได้หรอก เพราะเราทำตัวเอง ที่เจ็บคอก็เพราะว่าพูดมากไง”

"บิ๊กตู่"เหน็บ ยุคก่อนหน้า ตอบ Yes รับปากทำฝรั่งงง

"บิ๊กตู่"เหน็บ ยุคก่อนหน้า ตอบ Yes รับปากทำฝรั่งงง แต่ไม่เคยทำน่าโมโห ย้ำไม่อยากเป็นอำนาจใหม่ ยั้วะพวกบอกไม่ต้องมีทหาร เพราะ"ทหารไม่ทำอะไรปฏิวัติอย่างเดียว แล้วพวกมึงทำเลวกันรึเปล่าเล่า ถ้าทำดีแล้วใครจะทำ ทำดีแล้วผมจะมายืนตรงนี้ทำไม ผมเองอายเขา เสี่ยงทุกอย่างเข้ามา แล้วมาพูดกันอย่างนี้มาชกปากกันมั้ย"/ ไอเดียกระฉูด สร้างแบรนด์ของรัฐบาล ยาสีฟันยี่ห้อ “สมคิด” /ระบุ เป็นนายกฯที่เหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนี้ ใจร้อน เร่งแก้ปัญหาชาติ

ที่ อิมแพค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวปาฐกถา หัวข้อ "ขับเคลื่อน SMEs ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย" ที่จัดขึ้นโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
นายกรัฐมนตรี บ่นเจ็บคอพูดมาก แต่พูดยาวกว่าชม. โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ผมเป็นคนใจร้อน แต่วันนี้ดีขึ้นมาก เพราะเห็นทุกคนมีรอยยิ้ม ในฐานะที่ผมมายืนอยู่ตรงนี้ก็พยายามที่จะทำทุกอย่าง ตั้งใจที่จะทำประโยชน์ให้กับประชาชนทุกคน มีความเจริญเติบโตอย่างเข้มแข็งโดยเร็วที่สุด ที่ผ่านมาเราเสียเวลาไปมากแล้ว ไม่ค่อยขยับเขยื้อนเท่าไร
"แต่ก็อาจจะเหมาะกับสถานการณ์ก็ได้ ที่ได้คนใจร้อนอย่างผมมายืนตรงนี้ ไม่เช่นนั้นก็ไปกันอย่างเรื่อยเปื่อย "
"ผมก็พยายามลดบทบาทตัวเองให้มากที่สุด พยายามที่จะเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคน เพราะไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ทำไม่ได้หากเรามีความพยายามจะได้มากได้น้อยก็ได้ แต่ถ้าไม่ทำเลย มัวแต่นั่งและนอนบ่นรอโชคชะตา แล้วมันจะเกิดได้อย่างไร "
ยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมที่จะดูแลทุกฝ่ายไม่ได้เลือกกลุ่มไหนเพราะผมไม่ได้เป็นรัฐบาลที่เป็นพรรคการเมือง พยายามเร่งรัดทุกอย่างให้เร็วที่สุด วันนี้ตนพยายามใช้คนที่มีความรู้มาทำงานให้กับทุกคน ซึ่งร่วมทั้งตนที่เป็นพวกอยู่ข้างล่างด้วย และทุกคนต้องรู้ว่าประเทศเราจะเดินต่อไปอย่างไร มีกลไกอย่างไรบ้าง ไม่เช่นนั้นแต่ละคนก็ต้องการได้ในสิ่งที่ตนเองทำอย่างเดียว ทำให้ประเทศไทยติดกับอยู่แค่ตรงนี้ ถ้าเราไม่รวมพลังกันปัญหาทุกอย่างไม่มีทางผ่านพ้นไปได้

ยายกฯแนะว่า วันนี้ต้องคิดผลิตสินค้าภายใต้แบรนของตัวเอง และผู้ผลิตต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตัวเองในการผลิตสินค้า เวลานี้กำลังให้คิดดูว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่รัฐบาลจะสร้างแบรนด์ที่มีคุณภาพเป็นของรัฐบาลเอง

"อาจจะมียาสีฟันยี่ห้อ “สมคิด” ขึ้นมา ใช้แล้วฟันขาว เพื่อขายประชาชนในราคายุติธรรม แต่อย่าไปมีผลกระทบกับธุรกิจขนาดใหญ่"

"ต้องเรียนรู้ให้มาก เหมือนผมที่เป็นทหาร เข้ามาก็ต้องหาความรู้กับพวกพี่ๆ ทุกวันนี้หลายกองทุนมีการสนับสนุนไปก็ยังมีปัญหา เพราะเรามีปัญหาเรื่องงบประมาณ แต่ยังสู้ไหว ตราบใดที่ได้รับรอยยิ้มจากท่าน ผมสู้เสมอ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ใครที่ทำให้ท่านมากที่สุด จะดีหรือไม่ดี ก็ยังดีกว่าไม่แสดงออกมาเลย "

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่จิตใจมีแต่ให้ คิดถึงคนอื่นมากกว่า ทรงตรัสว่าต้องคิดถึงคนอื่นให้มาก ตลอเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชามาโดยตลอด ซึ่งถือเป็นความสำคัญที่สถาบันมีต่อพวกเรา วันนี้ท่านก็ทรงแข็งแรงน้อยลงก็ต้องช่วยกันดูแล อย่าให้ท่านมีภาระไปมากกว่านี้เลย

เราต้องนึกถึงอนาคตว่าจะเดินอย่างไรต่อไป ใช้เวลาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ใช้เวลาที่มีโต้แย้ง ขัดแย้ง จะเอานี้เอาโน่นไม่มีใครทำได้ และจะเป็นบ่อเกิดของการทุจริต ซึ่งแบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าเป็นการแบ่งแยกการปกครอง วันนี้ผมไม่ได้แบ่งใครเลย ไม่ใช่เพื่อคนใดคนหนึ่ง ต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน และปี 58-59 ต้องขับเคลื่อนให้ได้ ไม่ต้องรอปี 60-61หรือ 10 ปีข้างหน้า เพราะแค่วันนี้ยังไม่เกิดเลย

“สมัยก่อนมีคนเล่าให้ผมฟัง เวลาประชุมต่างประเทศ พูดภาษาอังกฤษ เขาพูดอะไรก็ตอบรับว่า Yes yes พอถึงเวลาก็ไม่ทำ ฝรั่งก็ถามว่าแล้วตอบรับว่า yes ทำไม แล้วก็ไม่ทำ ตรงนี้คือส่ิงที่เกิดขึ้นมาแล้ว ก่อนหน้าที่ผมเข้ามานี่แหละ ว่าจะไม่พูดแล้ว แต่ก็พูดจนได้ เวลาไปประชุมก็ไม่รู้เรื่องอะไรเขาหรอก พอเขาถามอะไรก็ตอบไม่ได้ มันน่าโมโหไหม

ผมไม่ได้เก่ง แต่อะไรที่ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่เหมือนไอ้พวกปากเก่งหรอก ซึ่งเรื่องมันเยอะ ผมต้องพูด

" วันนี้กลับก็ต้องไปเตรียมตัวต่อสู้ จะช่วยผมไหม ขอกำลังใจ ผมไม่ต้องการเป็นอำนาจใหม่ อย่าตีกันอีก พอได้แล้วทุกอย่างต้องเข้ากระบวนการปรองดองด้วยกฎหมาย
วันนี้รักใครชอบใคร ผมไม่ว่า แต่ส่ิงที่สำคัญสุดคือประเทศชาติ ขอโทษที่เอาทุกคนมาเสี่ยงกับความล้มเหลว ความสำเร็จ”นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้เรามีการขาดแรงงานเพราะคนเรียนจบปริญญาตรีกันเยอะแล้วไม่มีงานทำ แต่เรายังขาดกลุ่มนักเรียนอาชีวะที่ไม่ค่อยมีพ่อแม่ส่งไปเรียนนัก เพราะกลัวตาย ตนก็ไม่รู้ว่าทำไมเก่งกาจกันนัก ชาติก่อนเป็นทหารกันหรือไง ผมจะลงโทษก็ไม่ได้ไปละเมิดสิทธิเขา สรุปคุมกันไม่ได้ซักเรื่อง

ประเทศไหนที่เจริญแล้วต้องมีวินัยคนในชาติก่อนจะได้ไม่มีเรื่องเหล่านี้ ประเทศอื่นไม่มีเอาปืนยิงกัน ไม่มีเอาระเบิดขวางกันเพราะเขามีวินัย รัฐบาลไม่ต้องทำอะไร สู้กันให้ตาย พอจบเลือกตั้งเสร็จก็เลิก แต่บ้านเราไม่เลิก พอสู้กันเสร็จก็เรียกพวกมา เอาอาวุธมา สุดท้ายก็ประชาชนตายทั้งนั้น อย่าให้เกิดขึ้นอีกแล้วกัน

" ยิ่งมีเรื่องร้ายทำให้เรารักกัน ไม่ใช่ยิ่งร้ายแล้วต้องทะเลาะกันมันไปไม่ได้ ทุกอย่างจะแย่ไม่แย่อยู่ที่เราไม่ตระหนกไม่ขวัญเสียไม่พูดจาให้ด้อยค่ากันเอง ถึงมันจะเป็นเรื่องอย่างนี้แต่บางอย่างมันเป็นเรื่องที่ต้องแก้กันให้ได้ เกิดตรงนี้ต้องแก้ตรงนี้ไม่ใช่ด่ากันทั้งหมด ไม่รู้จะแก้อย่างไรของใหม่ก็ต้องแก้กันอีก เศรษฐกิจก็ตกความเชื่อมั่นการลงทุนก็ตก ตนไม่เห็นจะได้อะไรขึ้นมา มันไม่มีอะไรสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์

ทั้งนี้ในช่วงท้าย พล.อ.ประยุทธ์ ได้สอบถามว่าใครมีอะไรสงสัยหรือไม่ โดยหันไปถาม 
พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ผบ.ช.น.1 ว่า “ พี่นวย มีปัญหาอะไรหรือไม่ ตอนนี้ตำรวจดีๆมีเยอะ ถ้าไม่มีตำรวจน่ะยิ่งกว่านี้ ทุกอย่างมันอยู่ที่คนสั่ง อย่าไปเกลียดชังเขาเลย ถ้าไม่มีตำรวจไปจ้างยามเอามั้ย
"มีคนเสนอว่าไม่ต้องมีตำรวจ ไม่ต้องมีทหาร มีมาทำไม ทหารไม่ทำอะไรปฏิวัติอย่างเดียว แล้วพวกมึงทำเลวกันรึเปล่าเล่า ถ้าทำดีแล้วใครจะทำ ทำดีแล้วผมจะมายืนตรงนี้ทำไม ผมเองอายเขา เสี่ยงทุกอย่างเข้ามา แล้วมาพูดกันอย่างนี้มาชกปากกันมั้ย"

เหตุผลที่แท้จริงเบื้องหลังของสหรัฐฯและพันธมิตรบุกซีเรีย

เหตุผลที่แท้จริงเบื้องหลังของสหรัฐฯและพันธมิตรบุกซีเรีย แฉโดยอดีตวุฒิสมาชิกชาวอเมริกันเองเลยนะครับ
-----------
Ron Paul และ Daniel McAdams อธิบายว่าทำไมนาง Samantha Power เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำยูเอ็นถึงพยายามสร้าง propaganda ตบตาประชาชนชาวอเมริกันด้วยนิทานที่แต่งขึ้นเอง (fabricated tales) เกี่ยวกับการดำเนินการทางกองทัพของรัสเซียในซีเรีย
ด็อกเตอร์ Ron Paul อดีตสมาชิกสภาคองเกรสพรรครีพับลิกันของสหรัฐฯ และนาย Daniel McAdams ผู้อำนวยการสถาบัน Ron Paul Institute for Peace and Prosperity ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ยุทธศาสตร์ต่างๆของสหรัฐฯในตะวันออกกลางเกี่ยวกับนัยสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศต่างๆเช่น ลิเบีย อัฟกานิสถาน และซีเรีย
McAdams กล่าวว่า "แถลงการของนาง Samantha Power เกี่ยวกับซีเรียในตอนหนึ่งซึ่เธอกล่าวว่า 'มันไม่ใช่ยุทธศาสตร์เพื่อชัยชนะ (it’s not a winning strategy)' นั้นช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขัน (comical ตลกรับประทานเหลือหลาย) เพราะว่าหล่อนไม่เคยสร้างยุทธศาสตร์เพื่อชัยชนะเลย หล่อนเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญหลายคน (big voices) ที่ชอบนำระบบประชาธิปไตยไปสู่ลิเบียและมันก็ไม่ได้ผลเป็นอย่างมากซะด้วย" (นี่นักวิชการของสหรัฐฯเขาออกมาวิจารณ์เกี่ยวกับความล้มเหลวในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯที่มีต่อลีเบียนะ)
MaAdams กล่าวต่ออีกว่า "รายงานที่มีการเปิดเผยเมื่อเดือนกรกฎาคมจากคณะกรรมการด้านข่าวกรองของสหรัฐฯบอกว่าการโจมตีของสหรัฐฯต่อผู้ก่อการร้ายไอซิสมีประสิทธิ์ผลน้อยมาก (had very little effect) หลังจากมีการเผยแพร่รายงานฉบับนี้ออกมา หลายคนได้ออกมากล่าวอ้าง (แก้ตัว) ว่าสหรัฐฯถูกดิสเครดิต เช่นอัสซาดรมแก๊สประชาชนของตัวเองตามที่มีการกล่าวหา"
"ในปี 2013 สหัฐฯเกือบจะโจมตีอัสซาดโดยตรงสำหรับข้อกล่าวหานี้ แต่มันกลับกลายเป็นว่าข้อกล่าวหา (ที่ใส่ความอัสซาด) ไม่เป็นความจริงซักแอะเดียว แต่นาง Samantha Power ก็ยังพูดย้ำๆอยู่ว่าหากมันเป็นความจริง มันก็เป็นการสร้าง propaganda จริงๆ" (กรรม! นี่เขาปั้นเรื่องสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อที่จะโค่นล้มรัฐบาลอัสซาดตั้งแต่ปี 2013 แล้วหรือนี่? จำได้ว่าตอนนี้ทั้งสื่อฯสหรัฐฯและสื่อฯตะวันตกมีการประโคมข่าวว่ารัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีทำร้ายประชาชนเสียชีวิตไปมากมาย แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดๆว่าเป็นฝีมือของใครกันแน่ ตอนนี้มีการตั้งคณะกรรมการกลางจากยูเอ็นเข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว รัสเซียก็ส่งคนของตนเองเข้าไปร่วมพิจารณาด้วย เพราะไม่ไว้ใจสหรัฐฯและพรรคพวก นี่เป็นเรื่องการเมืองที่ใช้ชีวิตประชาชนชาวซีเรียเป็นเครื่องมือ ก็คล้ายกับกรณีของเครื่องบิน MH317 ของมาเลเซียที่ตกในยูเครนตะวันออกเมื่อวันที่ 17 ก.ค.2557 นั่นแหละ มีการกล่าวหารัสเซียมาโดยตลอดเพื่อจะดึงมาสู่เกมการเมืองในความขัดแย้งของยูเครนให้ได้ และเพื่อที่จะได้ประนานและแซงชั่นรัสเซีย แต่จนบัดนี้คณะกรรมการที่พิสูจน์หลักฐานก็ยังไม่กล้าชี้ชัดออกมาซักที)
ส่วนดร. Ron Paul ได้กล่าวว่า "ข้อกล่าวหาเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นข้ออ้าง (pretext) ในการตำหนิรัสเซีย และสร้างความเป็นปรปักษ์ (animosity) ระหว่างนาโต้กับรัสเซียขึ้นมา ซึ่งมันก็ได้ผลและขยายความรุนแรงต่อไปยังส่วนต่างๆของยุโรป เช่นยูเครนและลัตเวีย ซึ่งเป็นประเทศที่สหรัฐฯกำลังจะเอาขีปนาวุธแบบ cruise missiles เข้าไปติดตั้งไว้ มันเป็นส่วหนึ่งของโครงการ" (เป็นไงครับ พฤติกรรมพระเอกหนังฮอลลิวูดกับโลกแห่งความเป็นจริง สุดๆ สุดจะพรรณาครับท่าน!)
McAdams กล่าวเกี่ยวกับการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ (US airstrikes) ในซีเรียว่า "มีปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเฉพาะในซีเรียประเทศเดียวถึง 2,500 ครั้ง พวกเขาได้ทำลายโรงงานต่างๆ และระบบสาธารณูปโภค และสถานที่ทางธุรกิจต่างๆ นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ประชาชน (ชาวซีเรีย) พากันหลบหนีออกไปเนื่องจากความสิ้นหวังโดยสิ้นเชิงทางเศรษฐกิจ" (กรรม! พฤติกรรมแบบนี้สหรัฐฯและนาโต้เคยใช้มาก่อนในการถล่มโคโซโว ( Kosovo War : 28 ก.พ.1998-11 มิ.ย.1999) ในยุคบิล คลินตันเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ซึ่งโคโซโวเละพอๆกับเมือง Kobani ของซีเรียนั่นแหละ กลายเป็นป่าช้าซากปรักหักพังคอนกรีดที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้อีกต่อไป ให้โอบาม่ายกทำเนียบขาวไปอยู่ที่นั่นเอาไหม?)
McAdams กล่าวต่ออีกว่า "ถ้าคุณฟังนัง Samantha Power (พูด) คุณก็จะชี้ชัดออกมาได้ว่าหากสหรัฐฯไม่หนุนหลังการเปลี่ยนแปลงระบบนี้ (โค่นประธานาธิบดีอัสซาด) มากพอแล้วหละก่อ มันก็จะกลายเป็นว่าประเทศนี้ได้เข้าสู่ความวุ่นวายถึงที่สุด" (ฮึ่ม! นี่ยังไม่วุ่ยวายหายนะพออีกหรือไง? ยังจะมีที่สุดของที่สุดกว่านี้อีกรึ? นักการเมืองอเมริกันพวกนี้ที่ชอบออกมาเรียกร้องเรื่องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพตอนทางการของประเทศต่างๆจับโจรได้เขาเห็นชีวิตพลเมืองของประเทศอื่นเป็นผักปลาไปหมดหรือไง?)
Ron Paul ตั้งข้อสังเกตว่า "ผลประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติของซีเรียอาจจะเป็นเหตุผลที่แท้จริงของการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯในกิจการต่างๆของประเทศนั้น" (นั่นไง! ความจริงเริ่มปรากฎออกมาแล้ว ผู้ก่อการร้ายไอซิสก็แค่ตัวละครตัวหนึ่งที่จักรวรรดิเฮเกยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการยึดพื้นที่บางส่วนของซีเรียและรุกรานซีเรียเท่านั้นเอง)
Ron Raul กล่าวต่ออีกว่า "มันกลายเป็นยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯเพื่อพยายามลดอิทธิพลด้านภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซียและวิธีหนึ่งที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ก็คือลดความสำคัญของท่อน้ำมันของรัสเซียที่จะส่งไปยังยุโรปตะวันตก ซีเรียถือว่าเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในแนวเส้นท่อเหล่านี้ ดังนั้น นี่จึงเป็นการแยกรัสเซียและอิหร่านในระดับหนึ่ง" (ย่อหน้าต่อไปเด็ดกว่านี้อีก แฉให้หมดเปลือก ปอกให้เกลี้ยงกันไปเลย โดยคนอเมริกันด้วยกัน)
อดีตวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯที่ชื่อ Ron Paul คนนี้กล่าวต่อไปอีกว่า "เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาก็คือน้ำมัน (Their real goals are oil) แนวท่อ (แก๊ส) และภูมิรัฐศาสตร์หลังจากที่กำจัดอัสซาดออกไปได้แล้ว หากคุณมองไปที่ภูมิภาคทั้งหมด (ก็จะเป็นว่า) นโยบายของพวกเรา (รัฐบาลอเมริกัน) ไม่ได้ผล ขบวนการผู้ก่อการร้ายไอซิสเป็นผลมาจากสิ่งที่สหรัฐฯได้ก่อไว้ในตะวันออกกลาง" (นี่เขาพูดแบบรักษาหน้าประเทศของเขาเองอยู่นะ โดยไม่บอกว่าใครสร้างไอซิสขึ้นมา บอกแต่ว่ามันเป็นผลจากการกระของสหรัฐฯที่ไปทำไว้ในตะวันออกกลาง แล้วสหรัฐฯไปทำอะไรไว้ในตะวันออกกลางหรือถึงได้มีไอซิสโผล่ขึ้นมามากมายขนาดนั้น คุณเอาเม็ดพันธุ์ข้าวโพดฝังลงไปในดินจากนั้นก็รดน้ำใส่ปุ๋ยดูแลอยู่ประจำ แล้วมันจะงอกและเติบโตขึ้นเป็นต้นแอ็ปเปิลได้หรือเปล่า? ผู้มีสติปัญญาย่อมเข้าใจว่า Ron Paul หมายถึงอะไร)
The Eyes
เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
18/09/2558
----------
http://sputniknews.com/…/us-syria-regime-interest-oil-pipel…

ทหารเบรกด่วน!ชุมนุมรำลึก19ก.ย. อ้างรอ คสช.ไฟเขียวแถมห้ามเดินขบวน - แกนนำยันจัดแน่!

ที่มา : มติชน

กกล.รส. ทำหนังสือถึง กลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ระบุกิจกรรม "9ปีก้าวไม่พ้นรัฐประหาร19ก.ย." จะเกิดขึ้นได้ต้องได้รับอนุญาต คสช. พร้อมห้ามเดินขบวนรณรงค์ ด้านแกนนำ ระบุ พรุ่งนี้ จัดแน่

เมื่อวันที่ 18 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ทหาร พร้อมทำหนังสือถึงกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ถึงแนวทางการ จัดเสวนาและกิจกรรมแสดงสัญลักษณ์ระลึกถึงเหตุการณ์ 9 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันเสาร์ที่ 19 กันยายนนี้ ภายหลังได้ประชุมหารือเมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา โดยในหนังสือดังกล่าวมีเนื้อหาชี้แจงว่า การจัดกิจกรรมใดๆก็ตามให้เป็นไปตามข้อตกลงที่ได้ตกลงกันไว้กับทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ว่าการจัดกิจกรรมทางการเมือง ต้องทำหนังสือชี้แจงรายละเอียดการจัดกิจกรรม เพื่อขอนุญาต คสช. โดยการจัดงานดังกล่าวต้องไม่กระทบต่อความมั่นคงและสร้างความวุ่นวาย  และต้องเกิดขึ้นภายหลังการทำหนังสือขออนุญาต คสช. แล้วเท่านั้น ซึ่งในหนังสือขออนุญาตต้องระบุรายละเอียดการจัดงาน กิจกรรมในงานว่ามีอะไรบ้าง และถ้า คสช.อนุญาต ก็จะให้จัดภายใน ม.ธรรมศาสตร์ ไม่ให้ออกมารณรงค์นอก พื้นที่ ทั้งนี้นักศึกษา ควรทราบดีว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยหลักแล้วไม่ควรจัดดังกล่าว

ด้าน รังสิมันต์ โรม แกนนำกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ได้ยื่นหนังสือขออนุญาต คสช.แล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ทั้งนี้ยืนยันว่า ในวันที่ 19 กันยายน เวลา 13.00น. จะมีการจัดงานอย่างแน่นอน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยจะเชิญวิทยากรมาร่วมเสวนา ในหัวข้อ "9ปีก้าวไม่พ้นรัฐประหาร 19 ก.ย." เช่น อ.พวงทอง ภวัครพันธุ์ นาง เยาวลักษณ์ อนุพันธุ์ นายสมบัตร บุญงามอนงค์ นายปกรณ์ อารีวงศ์ เป็นต้น   หลังจากนั้นในเวลา 17.00-22.00 จะตั้งขบวนและเดินมาบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนแยกย้ายกลับ

ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจันทนา คดีครอบครองอาวุธ 27 ปี 9 เดือน ปรับ 6,000 บาท



ที่มา : มติชน


http://www.matichon.co.th/online/2015/09/14425696621442569702l.jpg

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า วันนี้ (18 ก.ย. 2558) เมื่อเวลา 09.00 น.  ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีที่จันทนา วรากรสกุลกิจ ตกเป็นจำเลยในข้อหาครอบครองอาวุธสงครามและยุทธภัณฑ์ที่เจ้าพนักงานไม่สามารถอนุญาตไว้ให้ครอบครองได้ และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 27 ปี 9 เดือน ปรับ 6,000 บาท แต่จำเลยให้การรับสารภาพ จึงลดโทษ 1 ใน 3 เหลือโทษจำคุก 17 ปี 18 เดือน ปรับ 4,000 บาท และสั่งริบอาวุธปืน เสื้อเกราะ และวิทยุคมนาคมของกลาง

ทั้งนี้ จันทนาถูกเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจจับกุมที่ห้องเช่าใน ต.สวนหลวง อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2557

“อภิสิทธิ์” ติง “วิษณุ”อย่าชี้นำร่างรัฐธรรมนูญ


17 ก.ย.58 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าในร่างรัฐธรรมนูญใหม่จำเป็นต้องมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) ว่า อยากให้นายวิษณุให้เกียรติผู้ที่จะมาร่างรัฐธรรมนูญก่อน เพราะขณะนี้ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร
.
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากพยายามทำในรูปแบบเดิมคือการมี คปป. ที่มีอำนาจรัฐซ้อนรัฐจะสร้างปัญหาและความขัดแย้งมากกว่าจะแก้ไขปัญหา จึงอยากให้ใจเย็นๆ ให้ กรธ.คุยกันก่อน อยากขอว่าเราอย่าสร้างปัญหาแต่ต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้มีรัฐธรรมนูญที่ดีมีการปฏิรูป เปิดกว้างในการสร้างกลไกที่จะเดินหน้าเรื่องนี้ แต่พอพูดถึง คปป.ก็กลับมาสู่เรื่องเดิม กล่าวหากันไปมาว่า ประชาธิปไตย เผด็จการ สืบทอดอำนาจ เผด็จการรัฐสภา
ขอบคุณข่าวจาก มติชน

ดิ้นรนหาเงิน โดย วีรพงษ์ รามางกูร


มติชน17/9/58


เศรษฐกิจของจีนชะลอตัวเร็วกว่าที่คาด กำลังเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจไปทั่วโลก เป็นที่รู้กันไปทั้งโลกว่าเศรษฐกิจของจีนนั้นเปราะบางเพียงไร ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของจีนก็กำลังปักหัวลง ทั้งที่ตลาดเซี่ยงไฮ้และตลาดฮ่องกง ทางการต้องทุ่มเงินเป็นแสนล้านหยวนเพื่อพยุงเอาไว้ด้วยการจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้น แต่ก็คงจะเอาไม่อยู่ ถ้าภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงหรือ real sector ยังคงหดตัวอยู่ ภาคการเงินหรือ financial sector ก็ต้องปรับตัวตามเป็นของธรรมดา

สาเหตุหลักที่เป็นเหตุให้เศรษฐกิจของจีนปักหัวลงก็เป็นที่รู้กันคือ การหดตัวของมูลค่าการส่งออกที่หดตัวถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เศรษฐกิจที่นำด้วยการส่งออกอย่างจีนหดตัว เมื่อเศรษฐกิจหดตัว การนำเข้าก็ย่อมหดตัวลงไปด้วย มูลค่าการนำเข้าของจีนหดตัวถึง 15 เปอร์เซ็นต์

ในขณะที่เศรษฐกิจของจีนขยายตัวในอัตราที่สูง ราคาสินค้าขั้นปฐมและสินค้าเกษตรกรรม เช่น น้ำมัน ถ่านหิน แร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก ทองแดง อะลูมิเนียม ทองคำ ราคาสินค้าเกษตรที่สามารถผลิตพลังงานทดแทนได้ เช่น อ้อย น้ำตาล ข้าวโพด ข้าว ข้าวสาลี ถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม รวมถึง ถั่วลิสง ถั่วเขียว ราคาก็ถีบตัวสูงขึ้นไปหมด

ขณะที่จีนนำเข้าสินค้าขั้นปฐมเหล่านั้นเป็นจำนวนมากจนมีราคาสูงขึ้น จีนก็ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของตน โดยการตั้งราคาที่ต่ำกว่าราคาอุตสาหกรรมอย่างเดียวกันที่ผลิตจากโรงงานในยุโรปและสหรัฐอเมริกา จนทำให้ยุโรปและอเมริกาขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างหนัก เศรษฐกิจชะลอตัวลง อัตราการว่างงานสูงขึ้น เป็นเวลานานกว่า 10-15 ปีมาแล้ว



บัดนี้เกิดเหตุการณ์ตรงกันข้ามกับที่เคยเป็น กล่าวคือเศรษฐกิจของจีนเริ่มชะลอตัว สถานการณ์ในด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เป็นคู่ค้ากับจีนก็เริ่มชะลอตัวลง ราคาสินค้าขั้นปฐมที่เคยทะยานตัวขึ้นก็ปักหัวลง ประเทศที่เป็นผู้ส่งออกสินค้าขั้นปฐมเหล่านี้ เช่น ซาอุดีอาระเบีย อิหร่านและประเทศอื่นในตะวันออกกลาง รวมถึงเวเนซุเอลา ในกรณีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ออสเตรเลียและอินโดนีเซีย ในกรณีของถ่านหิน เหล็ก ทองแดงและอื่นๆ ก็มีปัญหาเรื่องดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดทันที

การที่ราคาพลังงานลดลง ราคาสินค้าเกษตรที่สามารถผลิตพลังงานทดแทน เช่น อ้อยและน้ำตาล ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพด มันสำปะหลัง ข้าวและสินค้าประเภทแป้งก็มีราคาลดลงด้วย เพราะเกษตรกรก็ลดพื้นที่การปลูกอ้อย มันสำปะหลัง หันมาปลูกข้าวและข้าวโพดแทน

ราคาน้ำตาลที่เคยสูงถึง 15 เซ็นต์ต่อปอนด์ ขณะนี้ลดลงมาเป็น 10 เซ็นต์ต่อปอนด์ ซึ่งลงมาถึงจุดที่อาจจะเกิดปัญหาเพราะราคาประกันของอ้อยตามระบบ 70:30 ของโรงงานอยู่ที่ประมาณ 1,500 บาทต่อตันอ้อย ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก็อาจจะยังไม่มีปัญหาแต่ถ้าราคาน้ำตาลในตลาดโลกต่ำกว่า 10 เซ็นต์ต่อปอนด์เงินบาท หากธนาคารแห่งประเทศไทยปล่อยเงินบาทแข็งขึ้นเป็น 30-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปัญหาก็คงจะเกิดขึ้นแน่อย่างที่เคยเกิดขึ้น สมัยหลังวิกฤตการณ์น้ำมันคลังที่ 2 ราคาน้ำมันลดลง ทำให้ราคาน้ำตาลลดลงเหลือเพียง 4 เซ็นต์ต่อปอนด์ อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 21-23 บาทต่อดอลลาร์ ปัญหาการเมืองเกิดขึ้นทันที ทุกแห่งที่มีโรงงานน้ำตาล เช่น สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ถ้าคราวนี้ราคาน้ำตาลตกต่ำอีกซึ่งคงเกิดแน่ เพราะราคาน้ำมันปักหัวลงอย่างนี้ ปัญหาคงลุกลามไปหลายจังหวัดในภาคอีสานและภาคเหนือ ไม่จำกัดวงอยู่แต่ภาคกลาง 

รัฐบาลควรเตรียมการไว้ได้แล้ว อย่าปล่อยให้เหมือนกรณีราคายางพารา ข้าว และพืชไร่อย่างอื่น เพราะชาวไร่อ้อยนั้นมีการจัดตั้งเป็นองค์กรที่แข็งแรงกว่าชาวประมง ชาวสวนยาง ชาวนาและชาวเกษตรกรอื่นๆ



เมื่อเศรษฐกิจของจีนเริ่มชะลอตัวลง ทางการจีนก็พยายามทุ่มเทกำลังเงินและนโยบายต่างๆ นโยบายอันหนึ่งที่สำคัญก็คือ การทุ่มการลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น ระบบถนนหนทาง ระบบขนส่งทางราง สนามบิน และอื่นๆ

ระบบขนส่งทางรางเป็นโครงการที่ต้องลงทุนสูง จีนลงทุนเชื่อมทุกภาคด้วยระบบราง มีรถไฟฟ้าเชื่อมกับทุกมณฑล รวมถึงเมืองลาซาในมณฑลทิเบต เมื่อลงทุนเสร็จประธานบริษัทรถไฟฟ้าของจีนถูกตัดสินประหารชีวิต เพราะถูกจับได้ว่าทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นข่าวไปทั่วโลก หลังจากที่ได้เห็นผลงานของตนไม่นาน

ระบบขนส่งมวลชนและสินค้าทางรางของจีน ประสบกับปัญหาการขาดทุนมโหฬาร ทั้งในเรื่องก่อสร้าง การบำรุงรักษา การบริหารจัดการที่ยังไม่ได้มาตรฐานของโลก จีนใช้วิธีปราบทุจริตคอร์รัปชั่นโดยการลงโทษอย่างรุนแรง ทั้งการจำคุกและประหารชีวิต แต่การทุจริตคอร์รัปชั่นก็ไม่บรรเทาเบาบาง

บริษัทก่อสร้างของจีนจึงไม่ได้รับความไว้วางใจจากประเทศต่างๆ ที่บริษัทจีนเข้าไปร่วมประมูลงาน เพราะบริษัทของจีนได้ฝากผลงานที่ไม่ได้มาตรฐานไว้ในประเทศต่างๆ ที่อาจจะมีราคาถูกแต่คุณภาพต่ำ ระหว่างก่อสร้างก็มีปัญหา ไม่เป็นไปตามแบบที่ตกลงกันไว้ เมื่อจะถูกปรับก็ไม่ยอมให้ปรับ บริการหลังการขายก็ไม่รับผิดชอบ เพื่อนบ้านรอบประเทศไทยล้วนแต่มีประสบการณ์ที่ขมขื่น ในที่สุดโครงการต่างๆ เหล่านั้นก็ใช้ไม่ได้ แต่รัฐบาลต้องผ่อนชำระหนี้ระยะยาวไปเรื่อยๆ รัฐมนตรีที่เป็นผู้รับผิดชอบตัดสินใจก็พ้นจากตำแหน่งเกษียณอายุไปแล้ว ไม่ต้องรับผิดชอบ ในที่สุดโครงการที่จีนรับสัมปทานไปที่ว่าราคาถูกก็ถูกไม่จริง กลายเป็นของที่แพงที่สุดไป เพราะปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในจีนยังมีระบาดอยู่มาก มีภาษิตจีนแต้จิ๋วอยู่ประโยคหนึ่งว่า "ตายไม่กลัว กลัวไม่กำไร" จีนจึงทำสินค้าปลอมแปลงได้ทุกอย่างแม้แต่ข้าวสารก็ปลอมได้

เครื่องจักรเครื่องกล เช่น เครื่องกำเนิดไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็นกังหันไอน้ำ กังหันน้ำ กังหันก๊าซ ของจีนมีราคาถูกกว่าของเยอรมนีและญี่ปุ่นมาก หัวรถจักร รถยานเกราะ เรือรบ ก็ไม่มีใครกล้าใช้ถ้าต้องซื้อ ซื้อแล้วก็มีปัญหามาก ได้ไม่คุ้มเสีย เราจึงไม่ค่อยเห็นบริษัทเอกชนของเราที่ได้สัมปทานโรงไฟฟ้าก็ดี เครื่องกำเนิดไฟฟ้าติดตั้งที่เขื่อนก็ดี ยอมใช้ของจีนเพราะความต่ำกว่ามาตรฐานของสินค้าจีนในเกือบทุกด้าน



ขณะที่ระบบขนส่งทางรางของจีนขาดทุนอย่างมหาศาล ตัวผู้บริหารบริษัทที่ทำรางก็ดี ทำรถไฟความเร็วสูงก็ดี ทำหัวรถจักรความเร็วปานกลางก็ดี หรือแม้แต่หัวรถจักรรถไฟความเร็วธรรมดาก็ดี กำลังเดือดร้อน กำลังจะถูกเล่นงานกันเป็นแถว จึงออกมาวิ่งเต้นกับรัฐบาลของประเทศที่ระบบการตรวจสอบรัฐบาลของประชาชนอ่อนแอ เพื่อเสนอกดดันให้สัมปทานโครงการขนาดใหญ่กับบริษัทจีน เพื่อให้ผู้บริหารบริษัทขนาดใหญ่ของจีนซึ่งส่วนมากเป็นรัฐบาลจีน สามารถออกข่าวว่าตนได้โครงการที่ประเทศนั้นประเทศนี้แล้ว เพื่อมาชดเชยกับการขาดทุนของตน แต่เมื่อทำไปนานก็พบว่าประเทศผู้ลงทุนรับไม่ได้ ก็เลิกกันไป เช่น อินโดนีเซีย เมื่อเร็วๆ นี้

ถ้าใครเคยขับรถยนต์เข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านของเราทั้งทางตะวันออกและทางตะวันตก โดยใช้ทางหลวงที่สร้างด้วยเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย ก่อสร้างโดยบริษัทรับเหมาก่อสร้างของไทย กับทางหลวงที่สร้างด้วยเงินช่วยเหลือของรัฐบาลจีน ก่อสร้างโดยบริษัทรับเหมาของจีน จะเห็นความแตกต่างของมาตรฐานของทางหลวงที่ก่อสร้างโดยบริษัทไทยและทางหลวงที่ก่อสร้างโดยบริษัทจีน ทั้งมาตรฐานความปลอดภัย คุณภาพ ความทนต่างกันราวฟ้ากับดิน ทั้งๆ ที่ราคาค่าก่อสร้างเท่าๆ กัน เพราะออกกันคนละครึ่ง เห็นแล้วยังดีใจที่เห็นความแตกต่างในเรื่องมาตรฐานการก่อสร้างของไทยสูงกว่าจีนเป็นอันมาก คิดว่าประชาชนในประเทศที่รับความช่วยเหลือเขาก็คงคิด

พูดถึงมาตรฐานคุณภาพของรถยนต์ จักรยานยนต์ จักรยาน เครื่องปั่นไฟ มอเตอร์ของไทยกับของจีนที่วางขายในตลาดประเทศเพื่อนบ้านของไทยเรา ราคาแพงกว่าของจีนมากกว่าเท่าตัว แต่คนมีเงินจะซื้อของไทยไม่ยอมซื้อของจีน เพราะคุณภาพผิดกันมาก

บัดนี้รัฐบาลไทยกำลังคิดอ่าน จะให้สัมปทานบริษัทจีนมาพัฒนาการขนส่งระบบรางในไทย จะให้จีนต่อเรือดำน้ำมาขายให้ไทย จะใช้เงินกู้ดอกเบี้ยแพง 3-4 แสนล้านบาทจากจีน ใช้คืนเป็นหยวนหรือดอลลาร์ก็ยังไม่ชัด

ได้ยินแล้วใจหาย

ปูตินยุหูโทรศัพท์หารือกับคิงซาอุดิอาระเบียเพื่อข้อยุติปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์

ปูตินยุหูโทรศัพท์หารือกับคิงซาอุดิอาระเบียเพื่อข้อยุติปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์
-------------
เป็นไปได้ไง? ปัญหาอิสราเอล-ปาเลสไตน์เกี่ยวกับอะไรกับซาอุดิฯด้วย? นั่นสิ เมื่อวานนี้ (17 ก.ย.58) สำนักข่าว Sputnik news พาดหัวข่าวว่า "Putin, Saudi King Discuss Israeli-Palestinian Conflict Settlement" กรุงเครมลินแถลงข่าวว่า "ในวันพุธนี้ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินได้หารือข้อยุติปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์กับกษัตริย์ซาอุดิอาระเบียเกี่ยวกับการปะทะกันในเยรูซาเลม(เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา)"
แถลงการณ์จากโฆษกกรุงเครมลินกล่าวว่า "ทั้งสองฝ่ายได้กล่าวถึงแนวโน้มของการยุติ (ปัญหาความขัดแย้ง) ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการปะทะกันครั้งใหญ่ระหว่างชาวปาเลสไตน์และเจ้าหน้าที่ตำรวจอิสราเอลที่วิหาร Temple Mount และ Al-Aqsa Mosque"
คำถามที่เกิดขึ้นมาทันทีก็คือว่า แล้วซาอุดิอาระเบียไปเกี่ยวอะไรกับปัญหาความขัดแย้งในครั้งนี้ด้วย? ก็รู้กันโดยทั่วไปว่าซาอุดิอาระเบียเป็นเพันธมิตรที่เหนียวแน่นของอิสราเอลและสหรัฐฯรวมทั้งมหาอำนาจในยุโรปด้วย และที่สำคัญดูเหมือนว่ามหาอำนาจอย่างสหรัฐฯและตะวันตกจะไม่ค่อยให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั่งๆที่ยูเอ็นก็ออกมาเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูสันติภาพระหว่างสองรัฐนี้ แต่กลับกลายเป็นว่ารัสเซียที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรด้วยเป็นฝ่ายเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยให้ซะงั้น ยิ่งกว่านั้นแทนที่จะคุยกับผู้นำของอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ปูตินกลับไปเจรจากับซาอุดิฯ เพื่อระงับปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ หมากตานี้ซั่งซับซ้อนซ่อนเงื่อนจริงๆแฮะ
วันที่ 15 ก.ย.58 Sputnik news รายงานว่าเกิดการปะทะกันระหว่างคนหนุ่มชาวปาเลสไตน์กับตำรวจอิสราเอลติดต่อกันเป็นวันที่สามในวันอังคาร
รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียกล่าวในแถลงการณ์ว่า "พวกเราเรียกร้องหให้ทั้งฝ่ายปาเลสไตน์และอิสราเอลมีความอดทนอดกลั้นและดำเนินการทันทีเพื่อป้องกันการขยายสถานการณ์ออกไปมากกว่านี้ในเยรูซาเลมตะวันออก การทำให้ความตึงเครียดเลวร้ายลงโดยรอบวิหารศักดิ์สิทธิ์ในเยรูซาเลมเป็นการคุกคามเป็นข่มขู่ว่าจะมีการเลื่อนความยุติธรรม การแก้ไขปัญหาโดยกฎหมายต่อปัญหาชาวปาเลสไตน์ออกไป และเป็นการขยายสถานการณ์ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือออกไปด้วย"
แล้วปัญหาในครั้งนี้มันมาจากอะไรหละ? วันที่ 13 ก.ย.58 Sputnik news รายงานว่า เกิดการปะทะกันระหว่างชาวปาเลสไตน์กับตำรวจอิสราเอลที่มัสยิด al-Aqsa ในย่านที่พักอาศัย Temple Mount เยรูซาเลมตะวันออก อ้างคำพูดของตำรวจอิสราเอล
รายงานข่าวจาก Jerusalem Post ในวันเสาร์บอกว่าตำรวจอิสราเอลเข้าไปปฏิบัติการด้านการรักษาความปลอดภัยในตอนดึก ค้นหาวัตถุระเบิดที่ซ่อนอยู่ในเยรูซาเลมตะวันออก ตำรวจได้ไล่ล่ากลุ่มวัยรุ่นหลายคนซึ่งสงสัยว่าเป็นชาวอาหรับที่หลบหนีเข้าไปในมัสยิด al-Aqsa และหลบซ่อนอยู่ภายใน
ฝ่ายบังคับกฎหมาย (ของอิสราเอล) ได้ระเบิดสถานที่ศักดิ์ในช่วงเช้าวันจันทร์ (กรรม!) ผู้ต้องสงสัยชาวอาหรับที่สวมหน้ากากได้ตอบโต้ด้วยการขว้างปาก้อนหินใส่ตำรวจ สื่อฯอิสราเอลอ้างคำพูดของตำรวจ (เอ่อ… อันนี้ก็ต้องฟังหูไว้หูเช่นกันนะครับ) ต่อมากลุ่มวันรุ่นเหล่านั้นก็ถูกจับกุม และนักท่องเที่ยวได้รับอนุญาตให้เข้าไปในมัสยิดได้
นี่ปัญหามันก็มีอยู่แค่นี้เอง แล้วซาอุดิฯกับรัสเซียไปเอี่ยวตรงด้วยตรงไหน เรื่องรัสเซียเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยนี้พอจะเข้าใจได้ แต่ซาอุดิฯนี่สิไปเกี่ยวอะไรด้วย เพราะว่าซาอุดิฯอยู่ฝั่งอิสราเอล ส่วนอิหร่านหนุนปาเลสไตน์ตะวันตกบางประเทศก็หนุนปาเลสไตน์ แต่สู้อิทธิพลของอิสราเอลกับสหรัฐฯไม่ได้ และก็มีข่าวว่านายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูของอิสราเอลกำลังจะเดินทางเยือนรัสเซียด้วย คู่กรณีที่ปูตินควรจะคุยด้วยน่าจะเป็นบีบี้มากกว่าจะเป็นคิงซัลมาน หรือว่าปูตินรู้อะไรลึกๆมากกว่าที่เป็นข่าวปรากฎตามสื่อฯทั่วไป? และคิดว่าครั้งนี้ปูตินก็คงจะไม่ได้คุยกับซาอุดิฯเฉพาะเรื่องเยรูซาเลมเป็นแน่ อาจจะรวมถึงเรื่องซีเรียด้วย อันนี้ชัดเจน ซาอุดิฯมีเอี่ยวด้วยแหง็มๆ