PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558

"บิ๊กตู่"จัดเต็ม ลั่น ไม่กลัวใคร ไม่งั้นมาอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ไล่ พวกทำลายชาติ ไม่ควรอยู่ในแผ่นดินนี้

พลเอกประยทธ์ นายกฯ จัดแบบเต็มๆวันนี้...!!!
ลั่น ไม่กลัวใคร ไม่งั้นมาอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ไล่ พวกทำลายชาติ ไม่ควรอยู่ในแผ่นดินนี้ ต้องใช้ กม.จัดการ ผมทนไม่ได้ที่จะให้ทำลายประเทศต่อไป ในเมื่อไม่เกรงใจผม ผมก็จะไม่เกรงใจใคร เผย ตปท.เห็นบ้านเมืองเราสวยงามแต่ไม่รู้ว่าข้างในเป็นโพรง เรากำลังเติมอิฐทรายแต่มีคนเอาน้ำมาราดตอนยังไม่แห้ง คนพวกนี้ไม่ควรอยู่ในแผ่นดินนี้"แฉพวกต่อต้าน มีแผล มี เบื้องหลังทั้งนั้น ผมไม่เคยละเมิดใคร ตั้งแต่ใช้กฏอัยการศึก ม.44ไม่เคยมีคนตาย เตือนคนใช้อาวุธต่อสู้จนท.อย่าให้มากเกินไป...ยันไม่หลงระเริงในอำนาจ แต่ผมคิดว่ายิ่งมีอำนาจมาก ยิ่งต้องระวัง แต่ผมจำเป็นต้องมีอำนาจ แล้วแก้ปัญหา จะทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ได้บอกว่าต้องดีที่สุด แต่ต้องดีกว่าเดิม...เปยวันนี้ประเทศชาติเสียหาย เพราะทำงานด้วยปาก มีการเขียนแผน แต่ไม่ลงมือทำจริง รัฐบาลจึงต้องเข้ามาจัดระเบียบ บางคนทนไม่ได้ บอกไม่เป็นประชาธิปไตย...ลั่นวันนี้ผมจะไม่ใครเกรงใจ ตราบใดที่ยังมีการพูดให้กองทัพและประเทศเสียหาย เพราะผมต้องรับผิดชอบทุกอย่างอยู่แล้ว...ยันดูแลคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไร ผมไม่สนใจเพราะเวลาเรามีจำกัด ขอช่วยกันสวดมนต์ให้รัฐบาลใหม่สานต่อ... แฉ มีการล็อบบี้ให้เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล โดยใช้คำว่าประชาธิปไตย- "กฎอัยการศึก"คุกคามชีวิต ติงพาดหัวCNN ผมสั่งประหารนักข่าว จะใช้อำนาจเต็มตามมาตรา 44 จะสั่งประหารนักข่าว เลยจะให้สัมภาษณ์น้อยที่สุด เพราะไม่มีอะไรดีขึ้นมา ถ้าผมปรับปรุงตัวคนเดียว แต่คนอื่นไม่ปรับปรุงตัว แล้วก็มาบอกให้ใจเย็นๆ เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง... ขู่ หากคนเหล่านั้นยังมาปรามาส ผมก็จะพูดให้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทุกคนมีแผลไม่ควรออกมาพูดในสื่อด้วยซ้ำ...เตือน สมัยผมจะมาชุมนุมยืดเยื้อ 6-7 เดือนไม่ได้ อย่ามาใช้คำว่าประชาธิปไตย ตอนนี้ เราให้อยู่แล้ว มันเดือดร้อนอะไรตรงไหน ห้ามใช้ปชต.แบ่งพวก ยันเลือกตั้ง มีรัฐธรรมนูญตามroadmap ไม่เคยเลื่อน แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แค่ตอนนี้ก็จะแทบฆ่ากันตายอยู่แล้ว เตือนสื่อ ผมไม่เคยปิดปาก ไม่เคยปิดสักเล่ม ถ้าเขียนไม่ดีก็แค่เรียกมาคุย ต่อไปนี้ขอให้เขียนให้ดี ถ้าเขียนไม่ดีก็จำเป็น ผมไม่กลัวใครอยู่แล้ว ถ้าผมไม่กล้าก็ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้...เผย หลายคนไม่เข้าใจ เกรงกลัวต่ออำนาจทหาร ยันแม้ทหารมีอำนาจสั่งสู้รบ ผู้บังคับบัญชาปกครองคนถืออาวุธกว่า 3แสนคน ยันไม่ทำนอกกรอนายกฯ เผย ได้นำหลักสูตรทหารที่เน้นการมองให้ลึกมาใช้ ก็ถือว่าเพียงพอในการขับเคลื่อนทุกอย่าง มีทั้งคนพอใจและไม่พอใจ เชื่อว่าจะดีขึ้นกว่าเดิม ...ระบุหากรัฐบาลไม่มีธรรมาภิบาลก็จะดึงเอากลุ่มชนมาเป็นพวกตัวเองเหมือนที่ผ่านมา วันนี้รัฐบาลแก้ปัญหาทุกอย่าง ถ้ายังไม่แก้ต่อให้เลือกตั้งอีก10 ชาติก็เป็นอยู่แบบนี้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวในระหว่างการให้โอวาททหาร ที่ร่วมงานสถาปนา โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ครบ 106 ปี และพิธีเปิดอาคารโรงเรียนเสนาธิการทหารบกแห่งใหม่ ถนนพระรามที่ 5 เขตดุสิต ว่า มีหลายคนไม่เข้าใจและเกรงกลัวต่ออำนาจทหาร ซึ่งยืนยันว่าทหารมีอำนาจในการสั่งการสู้รบ ช่วยเหลือสงคราม และผู้บังคับบัญชาจะต้องปกครองคน กว่า 3 แสนคน ที่ถืออาวุธอยู่ ยืนยันว่าผู้บังคับบัญชา จะไม่ทำนอกกรอบ แต่จะต้องมีการหารือร่วมกันและหาข้อยุติให้ได้
"วันนี้ ผมนำหลักสูตรทหารที่เน้นการมองให้ลึกมาใช้ ก็ถือว่าเพียงพอในการขับเคลื่อนทุกอย่าง มีทั้งคนพอใจและไม่พอใจ แต่เชื่อว่าจะดีขึ้นกว่าเดิม"
" วันนี้รัฐบาลต้องแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ขับเคลื่อนประเทศ และการปฏิรูปประเทศที่ต้องใช้เวลา ขณะเดียวกันประชาชนจะอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ ต้องเป็นกลุ่มชน ซึ่งหากรัฐบาลไม่มีธรรมาภิบาลก็จะดึงเอากลุ่มชนเหล่านี้มาเป็นพวกตัวเองเหมือนที่ผ่านมา วันนี้รัฐบาลแก้ปัญหาทุกอย่าง ถ้ายังไม่แก้ปัญหาต่อให้เลือกตั้งอีก 10 ชาติก็คงเป็นอยู่แบบนี้ ขณะนี้เราไม่มีปัญหากับประเทศอื่น เว้นแต่มีปัญหากันเอง ทุกประเทศยังเดินทางมาท่องเที่ยวทุกวัน ไม่ว่าจะยังมีกฎอัยการศึก หรือการประกาศใช้มาตรา 44 ก็ตาม"
"หลายคนห่วงว่าเราจะหลงระเริงในอำนาจ แต่ผมคิดว่ายิ่งมีอำนาจมาก ยิ่งต้องระวัง คนที่ให้ความสำคัญกับอำนาจส่วนใหญ่เป็นแต่กลุ่มผลประโยชน์"
"คนที่สนใจแต่มาตราโน้นมาตรานี้ ทำไมไม่มอง ว่าจะทำให้คนสามัคคีกันอย่างไร ตอนนี้เรามองปัญหาไม่เหมือนกัน ผมจำเป็นต้องมีอำนาจ และจะแก้ปัญหาโดยทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ได้บอกว่าต้องดีที่สุด แต่ต้องดีกว่าเดิม จะอาศัยผู้นำ หรือรัฐมนตรีคนเดียวไม่ได้ ทุกคนต้องช่วยกันเพื่อให้ประเทศเดินหน้า"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ประเทศชาติเสียหาย เพราะทำงานด้วยปาก มีการเขียนแผน แต่ไม่ลงมือทำจริง รัฐบาลจึงต้องเข้ามาจัดระเบียบ บางคนทนไม่ได้ บอกไม่เป็นประชาธิปไตย
"วันนี้ผมจะไม่ใครเกรงใจ ตราบใดที่ยังมีการพูดให้กองทัพและประเทศเสียหาย เพราะผมต้องรับผิดชอบทุกอย่างอยู่แล้ว แต่ขอให้คนไทยช่วยทำความเข้าใจ
"วันนี้รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลคนไทยทั้งหมด 60-70 ล้านคน ให้ได้ ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไร ผมไม่สนใจ เพราะเวลาของเรามีจำกัด และต้องช่วยกันสวดมนต์ให้รัฐบาลใหม่สานให้ได้ด้วย ทุกคนต้องทำตามรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ถ้าทำตามความต้องการของตัวเอง ต่อให้มีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย 300 กว่าฉบับ ก็แก้ไม่ได้ ยิ่งทำก็ยิ่งวุ่น บางประเทศไม่มีรัฐธรรมนูญ แต่ทำตามจารีตประเพณียังดีกว่า เพราะคนเขามีคุณภาพ มีตรรกะ และมีเหตุผล"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีการล็อบบี้ให้เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล โดยใช้คำว่าประชาธิปไตย และใช้คำว่ากฎอัยการศึกในการคุกคามชีวิต วันนี้อ่านข่าวพาดหัวของสำนักข่าว CNN ที่ระบุว่าตนใช้อำนาจเต็มตามมาตรา 44 จะสั่งประหารนักข่าว ชึ่งตนอยากให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และตนก็จะให้สัมภาษณ์น้อยที่สุด เพราะไม่มีอะไรดีขึ้นมา ถ้าตนปรับปรุงตัวคนเดียว แต่คนอื่นไม่ปรับปรุงตัว แล้วก็มาบอกให้ใจเย็นๆ เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากคนเหล่านั้นยังมาปรามาส ตนก็จะพูดให้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทุกคนมีแผลไม่ควรออกมาพูดในสื่อด้วยซ้ำ
"ที่ผ่านมาผมได้บอกกับต่างประเทศเสมอว่าขอเวลาให้คนไทย แต่พอเริ่มทำก็มีปัญหา เพราะเขาไม่รู้ เห็นเพียงว่าบ้านเมืองเราสวยงาม แต่ไม่รู้ว่าข้างในเป็นโพรงทั้งสิ้น ตอนนี้เรากำลังเติมอิฐเติมทราย แต่ก็มีคนเอาน้ำมาราดตอนที่ยังไม่แห้ง คนพวกนี้ไม่ควรอยู่ในแผ่นดินนี้ ต้องใช้กฎหมายดำเนินการ ผมทนไม่ได้ที่จะให้ทำลายประเทศต่อไป ในเมื่อไม่เกรงใจผม ผมก็จะไม่เกรงใจใคร เพราะผมทำให้ประเทศผม ฉะนั้นคนที่ต่อต้านลองไปดูมีเบื้องหลังทั้งนั้น
ผมไม่เคยละเมิดใคร และตั้งแต่ประกาศใช้กฏอัยการศึก หรือมาตรา 44 ก็ไม่เคยมีคนตาย มีแต่คนที่ใช้อาวุธต่อสู้เจ้าหน้าที่ ฉะนั้นอย่าให้มากเกินไป"
ส่วน สื่อก็ไม่เคยปิดปาก ไม่เคยปิดสักเล่ม ถ้าเขียนไม่ดีก็แค่เรียกมาคุยกัน ฉะนั้นต่อไปนี้ขอให้เขียนให้ดี ถ้าเขียนไม่ดีก็จำเป็น ผมไม่กลัวใครอยู่แล้ว ถ้าผมไม่กล้าก็ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ถ้าคิดว่าผมไม่ดีก็บอกผม ผมไปให้อยู่แล้ว พอพูดไปแล้วก็มีอารมณ์นิดหน่อย เพราะเหนื่อยแทบตาย แต่ยังวิจารณ์กันเยอะมาก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปมดูแลทั้งเสียงส่วนใหญ่และส่วนน้อย แต่จะเอาประชาธิปไตยมาแบ่งพวกกันไม่ได้ การต่อต้านเป็นเรื่องธรรมดาในประชาธิปไตย แต่ในสมัยตนจะมาชุมนุมยืดเยื้อ 6-7 เดือนไม่ได้ อย่ามาใช้คำว่าประชาธิปไตยตอนนี้ เราให้อยู่แล้ว มันเดือดร้อนอะไรตรงไหน
"สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือการเลือกตั้ง มีรัฐธรรมนูญตามโรดแม็พ ไม่เคยเลื่อน ก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่ตอนนี้ก็แทบฆ่ากันตายอยู่แล้ว ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะเกิดขึ้นต้องเน้นเรื่องปฏิรูปและธรรมาภิบาล ขอให้ส่งเสริมและอย่าทำร้ายกันและกัน"


กฎอัยการศึก - คำสั่งหัวหน้า คสช. อาศัยตาม มาตรา44

กฎอัยการศึก - คำสั่งหัวหน้า คสช. อาศัยตาม มาตรา44


บรรยง พงศ์พานิช:การบินไทย และICAO


มีคนเขียนตำหนิถึงขั้นด่าทอผมในเรื่องการบินไทย และICAO กระจายตามไลน์ทั่วไป (ไม่ระบุชื่อคนเขียน)
ตอนแรกผมไม่สนใจเลยครับ แต่มีการขยายผลค่อนข้างมาก จนมีหนังสือพิมพ์ที่ไม่รับผิดชอบบางฉบับนำไปลง
ประกอบกับมีเรื่องราวอันเป็นเท็จอยู่ด้วย จึงมีเพื่อนอยากให้ชี้แจง
ขอชี้แจงดังนี้นะครับ...
ผมไม่เห็นมีสาระเลยครับ สรุปท่านคิดว่า ควรสงวนน่านฟ้าไว้เพื่อการบินไทยจะได้สบายๆเหมือนแต่ก่อน ซึ่งผมรับรองว่าถ้าทำอย่างนั้น วันนี้เราไม่มีTourist 25 ล้านคน ประชาชนต่างจังหวัดคงยังต้องแออัดอยู่ในรถทัวร์ ในรถไฟ การพัฒนาภูมิภาคสะดุด
ส่วนเรื่องAccentureที่เขียน เป็นเท็จแน่ๆ เพราะเราจ้างเขามาปรับปรุงการจัดซื้อจัดจ้าง และเขาได้ค่าจ้าง 20%ของส่วนที่พิสูจน์ได้ชัดเจนว่าประหยัดได้ (ไม่ใช่กินหัวคิวจัดซื้อใดๆ) และเพียงเดือนเดียวก็ประหยัดได้กว่าสามร้อยล้านจากการจัดซื้อ In Flight Entertainment (IFE)อย่างเดียว เลยได้ค่าจ้าง 60 ล้านเต็มเพดาน แล้วก็ถูกสั่งให้หยุดทำงาน(เสียดายครับไม่งั้นอาจประหยัดได้อีกเยอะ) ...ไม่ทราบเรื่องนี้ไปเหยียบตาปลาใครเข้า เลยปั้นเรื่องเท็จมาดิสเครดิตผม
การบินไทยบินอยู่ 60 เส้นทาง มีกำไรแค่ 16 ขาดทุนมาหกไตรมาสติด ไม่ให้หด จะให้ขยายหรือครับ เงินทุนจากห้าหมื่นกว่าล้าน เหลือไม่ถึงสามหมื่น ถ้าไม่หด ก็ต้องเอาภาษีมาอุด แล้วไปขอให้ท่านสมหมายขึ้นภาษี เอาไหมครับ เอาแต่ด่า หามีข้อเสนอไม่
ถ้าไม่ซื้อเครื่องบินช่วงที่ผมอยู่ วันนี้ฝูงบินจะมีอายุเฉลี่ยเกิน 20 ปี ไม่ต้องโดน ICAO คนก็อาจจะไม่นั่ง แล้วก็ที่ซื้อก็เพราะมีกำไรเกือบสองหมื่นล้านในสองปี กับไปเพิ่มทุนได้เงินมาอีกหมื่นห้าพันล้าน
เรื่อง"Open Sky Policy"เป็นประโยชน์แน่ๆ แต่การที่ใครจะมาเอาประโยชน์มิชอบนั้นก็ต้องว่าไปตามกม. กับเรื่องไร้ประสิทธิภาพของกรมการบินพลเรือนเป็นเรื่องต่างหาก แต่เอามาผูกเพื่อด่าผม ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย สงสัยมีคนกลัวว่าจะมาคุมเข้มเรื่องจัดซื้อจัดจ้างอีก เลยต้องเตะสกัดไว้ก่อน
ไม่ต้องกลัวเลยครับ มีคนขอให้ผมกลับไปเป็นกรรมการ เป็นประธานฯ ซึ่งก็ได้ปฏิเสธไปแล้ว แต่เรื่องจัดซื้อ ยังไงก็ต้องแก้ถ้าไม่อยากเจ๊ง
ท่านอ้างตัวเป็นตัวแทนคนการบินไทย ผมก็ขออ้างตัวเป็นตัวแทนประชาชนไทย เรียกร้องให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง จะมาขอแค่"Close Sky for THAI" คงไม่มีใครเขายอมหรอกครับ
ส่วนบทความที่ไร้คนรับผิดชอบก็อยู่ข้างล่างนี้นะครับ.......
เมื่อวาน นำบทความ "คุณบรรยง พงษ์พานิช" ที่โพสต์ fb เรื่อง ICAO กับการบินของไทยเผยแพร่ ทำให้วันนี้ ได้รับอีเมล์จาก "กัปตันโยธิน ภมรมนตรี" ด้วยข้อมูลอีกด้านหนึ่ง
การรักษาโรคชนิด "ตัดรากต้องใช้ยาขม" ฉันใด การปฏิวัติระบบราชการ โดยเฉพาะธุรกิจการบินของไทย ก็ฉันนั้น
ดังนั้น อีเมล์จากกัปตันโยธิน ถือเป็น "ยาขม" ที่ซูเปอร์บอร์ด รวมทั้งท่านนายกฯ ควรกลั้นใจดื่ม ถ้าต้องการให้ประเทศไทยพ้นสภาพ "คนป่วยถาวร"
Jothin Pamon-Montri
เรียน คุณเปลว สีเงิน
ผมได้อ่านข้อความของคุณในหัวข้อ ระบบราชการ ถ้าไม่ล้าง ประเทศล้ม พอดีใน Line ผม ได้อ่านข้อความและเห็นอีกมุมมองจึงถือโอกาสส่งมาให้คุณเปลวได้อ่านด้วย
ด้วยเคารพ
กัปตันโยธิน ภมรมนตรี
อุทาหรณ์เรื่องการตรวจสอบของ ICAO และแผนปฏิรูปการบินไทย "หดตัวเพื่อการเติบโต" ของนายบรรยง พงษ์พานิช FB 13 ก.พ. 14 มี.ค. และ 29 มี.ค.58
ต้นเหตุของการตรวจสอบเข้มข้นของ ICAO ที่เป็นปัญหาในปัจจุบันนั้น คือต้องมองย้อนกลับไปศึกษาสิ่งที่ทุกรัฐบาลในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาได้ดําเนินนโยบาย "Open Sky Policy" (ที่นายบรรยงไม่เคยกล่าวถึง) สนับสนุนให้เกิดสายการบินของเอกชนรายย่อยๆ โดยเฉพาะสายการบินต้นทุนตํ่า Low Cost Airlines ขึ้นมาใหม่
พร้อมใบอนุญาตประกอบการบินมากมายตั้งแต่ปี 2548 ทําให้ขาดความน่าเชื่อถือในมุมมอง ICAO ในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยของประเทศไทยโดยรวม
นโยบาย "Open Sky Policy" เปิดน่านฟ้าเสรีดังกล่าว ได้เริ่มขึ้นในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่ได้เอาเรื่อง "Open Sky Policy" เป็นข้ออ้างเพื่อการลงทุนกับ AirAsia ในขณะนั้น
รัฐบาลทักษิณได้เปลี่ยนกฎหมายการร่วมทุนการจัดตั้งสายการบินของประเทศไทยจาก % สัดส่วนเดิม 70/30 สมัย TG/SAS มาเป็น 51/49 เพื่อรองรับการลงทุนใน AirAsia
โดยมี "บริษัท กุหลาบแก้ว" ที่มี คุณพงศ์ สารสิน เป็นประธานอยู่ไม่กี่วัน เป็นผู้ถือส่วนต่าง 2% นอกเหนือจากสัดส่วน 49/49 ระหว่างทักษิณและ AirAsia
ท่าน "ลาออก" เพราะคงเห็นแล้ว "อาจผิดกฎหมาย" และอาจเห็นประเด็นการขายชาติ จากการใช้เครื่องบิน B737 ธงชาติมาเลเซีย และนักบินสัญชาติมาเลเซียมาบินภายในประเทศไทย
ทุกรัฐบาลในรอบ 10 ปี ได้ให้การสนับสนุนการเกิดของสายการบินต้นทุนตํ่าของเอกชน ทําให้ "กรมการบินพลเรือนไทย" ขาดประสิทธิภาพในการควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยตามหลักสากล ICAO
ประกอบกับเป็นช่วงที่มีกลุ่ม "ข้าราชการระดับสูง" ที่รับใช้อดีตนักการเมืองหลายคน เช่น ประธานบอร์ด นายอําพน กิตติอําพน, นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม และนายคณิศ แสงสุพรรณ ได้บริหารนโยบายการบินไทยผิดพลาด ขาดทุนในช่วง 2551-2557 เสียหายมหาศาล "ค่อนแสนล้านบาท" แล้ว
แต่รัฐบาลนี้ ก็ยังมอบหมายให้ "นายอารีพงศ์" นั่งเป็นประธานบริษัทต่อไป และยังเป็นประธานฟื้นฟูฯ ซึ่งถือเป็นตลกในการดําเนินธุรกิจ จึงหมดความน่าเชื่อถือ
โดยเฉพาะความเสียหายจากการซื้อเครื่องบินเกินความจําเป็น "ซื้อมาจอด" การดัดแปลงเครื่องบินคาร์โกจากคําแนะนําของบริษัทที่ปรึกษา LEK เดิม และการสนับสนุนจัดตั้งสายการบิน "ไทยสมายล์" ขึ้นมาใหม่ เพื่อหวังจะมาแทนที่การบินไทยในลักษณะ "แม่ตายได้ แต่ลูกห้ามตาย"..แตะต้องไม่ได้..
การบริหารผิดพลาดดังกล่าวได้สร้างภาระทางการเงินและหนี้สินสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากข่าวรอยเตอร์ปรากฏไปทั่วโลก ลดประสิทธิภาพในการแข่งขัน เจตนาลดบทบาทและความสําคัญของ "การบินไทย" ที่เคยมีผลประกอบการดี...เป็นสายการบินหลักของรัฐและสายการบินแห่งชาติ จนกลายเป็นเด็กพิการ ป่วยหนักในปัจจุบัน ถึงขนาดที่นายบรรยงได้เคยกล่าวเสียดสีใน FB 13 ก.พ.58 ไว้ว่า...
"เราไม่เห็นต้องมีสายการบินแห่งชาติเลย"...และ Voice TV เองก็เคยเปิดประเด็นในหัวข้อเดียวกัน เพราะนายบรรยงเป็นคน pro-สายการบินเอกชน แต่ไม่ pro-สายการบินรัฐ
การ "หดตัว" ลดขนาด ตัดเส้นทางของการบินไทย ตามที่นายบรรยง "ซูเปอร์บอร์ด" และบริษัทรับจ้างที่ปรึกษาใหม่ BAIN ที่ขาดการยอมรับจากพนักงานการบินไทย ได้กําหนดแผนการหดตัวต่างๆ ไว้แล้วนั้น ยิ่งจะทําให้การบินไทยอ่อนแอลง
เป็นการแก้ไขที่ผิดทาง สุดท้ายจะเป็นข้ออ้างในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นเอกชน เช่นเดียวกับ ปตท. (และนายบรรยงก็คงนั่งเป็นประธานบริษัท ซูเปอร์โฮลดิง แบบเดียวกับเทมาเส็ก ที่รวบรัฐวิสาหกิจเข้าไว้ทั้งหมด)
ปัญหา ICAO และแผน "หดตัว" การบินไทยกําลังจะเป็นบทพิสูจน์การดําเนินนโยบายที่ผิดพลาดทั้งหมด อาจมีผลกระทบในวงกว้างเสียหายกับประชาชนคนไทยและประเทศไทยในด้านการท่องเที่ยว การค้า การลงทุน ส่งออก และภาพลักษณ์ของประเทศ ในเมื่อสายการบินเอกชนของไทยจะถูกต่างประเทศแบน "ห้ามบิน" เพราะขาดความปลอดภัย
ส่วน "การบินไทย" ที่มีมาตรฐานสูงกว่า ต่างประเทศได้ให้ความเชื่อถือและมีภาพลักษณ์ที่ดีกับการบินไทยอยู่แล้ว แต่กลับถูกภาครัฐของไทยทําสิ่งที่ตรงกันข้ามคือ "ทุบตี" การบินไทยให้ "หดตัว" Shrink for Other Airlines to Grow
"หด" เพื่อให้สายการบินเอกชนโตแทน สุดท้ายแล้ว ประเทศไทยอาจสูญเสียทั้งขึ้น-ทั้งล่อง ถ้ารัฐบาลยังไม่รีบตระหนักในเรื่องนี้
ใน 10 ปีของการสนับสนุนนโยบาย "Open Sky Policy" เปิดน่านฟ้าเสรี (ที่นายบรรยงไม่เคยกล่าวถึง) กรมการบินพลเรือน ได้เร่งออกใบอนุญาตให้สายการบินสัญชาติไทยมากมายถึง 46 สาย ใครมีทุนหน่อยก็สามารถจัดตั้งสายการบินใหม่ได้ไม่ยาก ชวนต่างประเทศมาหุ้นหาประโยชน์ในประเทศไทยก็ยังทําได้
เช่น "นกสกู๊ต" ของนกแอร์ ที่มีต่างชาติสิงคโปร์ถือหุ้นอยู่ 49% และมีไลเซนพร้อมนักบินสัญชาติสิงคโปร์และเครื่องบินเก่าใช้แล้ว 14 ปี จากสิงคโปร์แอร์ไลน์ เป็นต้น
โดยเฉพาะ "กลุ่มทุนนักการเมือง" และ "ทุนสีเทา" ที่มีอิทธิพล จนกรมการบินพลเรือนต้อง "หลับหูหลับตา" ออกใบอนุญาตให้แถวดอนเมือง เพราะอิทธิพลกดดันในนาม "นโยบายสนับสนุนเอกชน" ของทุกรัฐบาลตามนโยบาย "Open Sky Policy"
"กรมการบินพลเรือน" จึงละเลยการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยสากลของ ICAO เพราะขาดงบประมาณและขาดกำลังคน ไม่สามารถตรวจสอบสายการบินต้นทุนตํ่าใหม่ๆ ที่มาขอใบอนุญาตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นที่มาและผลกระทบของปัญหา ICAO ในปัจจุบัน
หากรัฐบาลตั้งใจจะแก้ไขปัญหานี้จริง นอกเหนือจากการยกเครื่องกรมการบินพลเรือน โดยการเพิ่มงบกําลังคนและแก้กฎหมายอย่างที่ทราบกันในปัจจุบันแล้ว ควรจะ:
1.ทบทวนใบอนุญาตประกอบการบินของสายการบินที่ "บินบ้าง-ไม่บินบ้าง" มีประวัติทางด้านความปลอดภัย ปัญหาการเงิน และในช่วงทบทวนนี้ "ห้ามเพิ่มเที่ยวบินและจุดบิน"
สําหรับสายการบินที่ไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมการบินแบบ CAT II และ ETOPS ให้ถอนใบอนุญาตในการทําการบินเช่นนี้
2.รัฐบาลต้องทบทวนและลดความเสี่ยงจากนโยบายเปิดน่านฟ้าเสรี "Open Sky Policy" โดยคํานึงถึงประโยชน์สูงสุดและหาจุดสมดุลของประเทศเป็นหลัก มิใช่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง "โดยเฉพาะ"...แถวดอนเมือง
3.ต้องทบทวนนโยบาย "หดตัว" การบินไทย ปรับทัศนคติเกี่ยวกับสายการบินแห่งชาติที่มีคุณภาพและศักยภาพอยู่แล้ว ให้หันมา "สร้างการบินไทยให้แข็งแรง"
ใช้คนมีความรู้ "มืออาชีพ" อย่างแท้จริงมาบริหาร อย่าใช้บริษัทที่ปรึกษาที่ "ขาดความน่าเชื่อถือ" และมีเจตนาแอบแฝงตัดเส้นทางบินต่างๆ และ "นักฉวยโอกาส" ที่หาผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องโดยการ "ไม่พูดความจริงทั้งหมด" ในสื่อสาธารณะ
และที่สําคัญคือ การใช้บริษัทที่ปรึกษา เช่น BAIN หรือ LEK ต้องถือว่าเป็นความรับผิดชอบของผู้รับคําปรึกษาและผู้อนุมัติให้ดําเนินการ เช่นประธานบอร์ดและกรรมการ คือผู้รับผิดชอบตามกฎหมายในกรณีที่เกิดความเสียหาย
4.หยุดใช้บริการของ "กลุ่มข้าราชการที่รับใช้นักการเมืองในอดีต" ที่ทําให้การบินไทยเสียหายมหาศาลในปัจจุบัน คือ นายอำพน, นายอารีพงศ์, นายคณิศ
5.นายบรรยง พงษ์พานิชเอง เคยมีประวัติในการบินไทยที่ไม่สวยงาม เนื่องจากเป็น "ผู้ร่วมอนุมัติซื้อเครื่องบิน" สร้างภาระหนี้ล่วงหน้าสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์
และมีส่วนอนุมัติการดัดแปลง "เครื่องบินคาร์โก" จนล้มเหลวต้องหยุดบินเอาเครื่องไปขายต่อ และ
สุดท้าย เป็นผู้เสนอบริษัท Accenture นายหน้าจัดซื้อจัดจ้างเข้ามาในบริษัทการบินไทย กินหัวคิว 30% ในสมัยที่ท่านนั่งเป็นกรรมการบริษัทอยู่ 30 เดือน ระหว่างปี 2552-2554
ท่านเป็นคนโม้ ออกสื่อเก่ง เขียนเก่ง แต่พนักงานการบินไทยไม่อาจรับฟังความคิดเห็นโม้ๆ ของท่านได้ เพราะท่านได้เคยเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายในการบินไทยและรัฐวิสาหกิจอื่น
วันนี้ การตรวจสอบของ ICAO กําลังย้อนศรคําพูดนายบรรยง พงษ์พานิช FB 13 ก.พ.58 ที่เหน็บการท่องเที่ยวไว้ว่า..
"แต่ที่ผมงง...ก็คือกระทรวงท่องเที่ยว ที่ออกมาต้านไปด้วย ไม่อยากให้การบินไทยงดมาดริด กับมอสโก กลัวนักท่องเที่ยวไม่สะดวก...."
ซึ่ง "รมต.คมนาคม" ท่านก็เคยกล่าวถึงท่องเที่ยวก่อนหน้านั้น 4 ก.พ.58 แบบเดียวกันว่า...
"เรื่องยกเลิกเส้นทางบินมาดริดและมอสโกนั้น การท่องเที่ยวอาจมองผิวเผินในประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว แต่ในเชิงลึกแล้ว บริษัทการบินไทยมีผู้เชี่ยวชาญและวางแผนมาอย่างดีแล้ว จึงขอให้การบินไทยเดินหน้าตามแผนที่กําหนดไว้ คือให้ยกเลิกทั้ง 2 เส้นทางบิน ที่ทําให้การบินไทยประสบปัญหาการขาดทุน..."
แต่..วันนี้ คนไทยมองเห็นชัดแล้วว่า การยกเลิกเส้นทางบินคือการทําลายอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ...ตรงกันข้ามกับที่นายบรรยงเคยเขียนโอ้อวดไว้ว่าเป็นเรื่องเล็ก..
ทั้งหมดจึงเป็นที่มาของ อุทาหรณ์ ICAO ด้วยประการทั้งปวง
ด้วยความห่วงใยในนโยบายการบินของชาติโดยรวม...
31 มีนาคม 2558
อืมมมม....สงกรานต์นี้ ทำผมร้อนไปด้วยซะล่ะมั้ง กับอีเมล์ "เช็ดทุกเม็ด" ฉบับนี้.

ผอ.ทัณฑสถานหญิงเผยปล่อยตัว 99 ตัวนักโทษหญิง มีป้าเช็งน้ำหมักด้วย


ผอ.ทัณฑสถานหญิงเผยปล่อยตัว 99 ตัวนักโทษหญิง มีป้าเช็งน้ำหมักด้วย

เมื่อวันที่ 3 เม.ย. นางสิริพร ชุติกุลัง ผอ.ทัณฑสถานหญิงกลาง กล่าวว่า หลังจากราชกิจจานุเบกษาได้ลงประกาศพระราชกฤษฎีกาลงวันที่ 30 มี.ค.58 พระราชทานอภัยโทษ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 58 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยหลักเกณฑ์ผู้ต้องขังที่มีสิทธิได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว กรณีผู้หญิงซึ่งต้องโทษจำคุกเป็นครั้งแรกไม่ว่าความผิดเดียวหรือหลายคดี ซึ่งต้องรับโทษจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 2 ของโทษตามกำหนด เป็นคนที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 60 ปี ซึ่งเหลือโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือคนที่มีอายุเกิน 70 ปีขึ้นไป เป็นผู้ต้องโทษจำคุกครั้งแรกและมีอายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ โดยต้องได้รับโทษจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 2 เป็นผู้ต้องขังเด็ดขาดชั้นดีเยี่ยมซึ่งมีโทษจำคุกเหลือไม่เกิน 2 ปี ทั้งนี้ทัณฑสถานหญิงกลาง มีผู้ต้องขังหญิงที่เข้าหลักเกณฑ์ได้รับการอภัยโทษ ในวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา จำนวน 99 ราย

"หนึ่งในนั้นมีน.ส.ศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์ หรือป้าเช็ง อายุ 74 ปี ผู้ต้องโทษคดีศาลสั่งจำคุก 18 เดือน ฐานขายยาหยอดตาเจียรนัยเพชร โดยไม่ได้ขึ้นตำรับยา ทำให้ผู้ใช้ตาบอด แถมยังต้องขึ้นศาลอีก 3 คดี ฐานผลิต-จำหน่ายยาหยอดตาเจียรนัยเพชรและยาน้ำมหาบำบัด ผ่านทีวีดาวเทียมช่อง Super Cheng โดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาเมื่อปี 56 ได้รับการอภัยโทษด้วย ซึ่งระหว่างที่ ป้าเช็งได้รับโทษถูกคุมขังอยู่ในส่วนผู้ต้องขังสูงอายุ ทัณฑสถานหญิงกลางนั้น ปฎิบัติตัวดี และเป็นที่รักของผู้ต้องขังรายอื่นๆ เป็นคนอารมณ์ดีตลอด แต่ป้าเช็งไม่ได้สอนวิธีทำน้ำหมักให้เลย เนื่องจากได้รับโทษไม่นาน" นางสิริพร กล่าวต่อ

ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2556 เจ้าหน้าที่ บก.ปคบ.ดำเนินคดี ป้าเช็ง รวมเป็น 5 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล 3 คดี และศาลมีคำพิพากษาแล้ว 2 คดี โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. คดีอาญาที่ 15/2553 เป็นกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปคบ.ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกองการประกอบโรคศิลปะ เข้าตรวจค้นบ้านป้าเช็ง เมื่อ 21 ม.ค.2553 แล้วจับกุมตัวป้าเช็งกับพวกรวม 7 คน ไว้ดำเนินคดีข้อหาร่วมกันผลิตและขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับ ทั้งนี้ ผลการดำเนินการพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วโดยมีความเห็น ควรสั่งฟ้อง และพนักงานอัยการศาลจังหวัดธัญบุรีมีความเห็นสั่งฟ้องตามความเห็นของพนักงาน สอบสวน ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลจังหวัดธัญบุรี

2. คดีอาญาที่ 17/2553 เป็นกรณีเจ้าหน้าที่ อย. และกองการประกอบโรคศิลปะ ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. เมื่อ 26 ม.ค. 2553 ให้ดำเนินคดีกับป้าเช็งเพิ่มเติม จำนวน 4 ข้อหา คือ โฆษณาขายยาทางวิทยุ โทรทัศน์ โดยไม่ได้รับอนุมัติข้อความ เสียง หรือภาพที่ใช้ในการโฆษณาจากผู้อนุญาต, โฆษณาขายยาโดยแสดงสรรพคุณยาว่าสามารถบำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรค หรืออาการของโรคที่รัฐมนตรีประกาศ,ประกอบกิจการและดำเนินการสถานพยาบาลโดย ไม่ได้รับอนุญาต และประกอบโรคศิลปะโดยไม่ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต ซึ่งผลการดำเนินการพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วโดยมีความเห็น ควรสั่งฟ้อง และพนักงานอัยการศาลจังหวัดธัญบุรีมีความเห็นสั่งฟ้องตามความเห็นของพนักงาน สอบสวน ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลจังหวัดธัญบุรี

3.คดีอาญาที่ 21/2553 เป็นกรณีนายสมชาย เถื่อนศรี ผู้เสียหายได้ใช้ยาหยอดตาเจียรนัยเพชรของป้าเช็งไปทำการหยอดตาจนตาบอด ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. เมื่อ 12 ก.พ. 2553 ให้ดำเนินคดีกับป้าเช็ง ข้อหาขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับ

โดยล่าสุดผลการดำเนินการ พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วโดยมีความเห็น ควรสั่งฟ้อง และพนักงานอัยการศาลจังหวัดพัทยามีความเห็นสั่งฟ้องตามความเห็นของพนักงาน สอบสวน ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลจังหวัดพัทยา

4. คดีอาญาที่ 24/2553 กรณีนายสุทิน ชมกลิ่น ผู้เสียหายได้ใช้ยาหยอดตาเจียรนัยเพชรของป้าเช็งไปทำการหยอดตาจนตาบอด ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. เมื่อ 19 ก.พ.2553 ให้ดำเนินคดีกับป้าเช็ง ข้อหาขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับ

และ 5. คดีอาญาที่ 25/2553 กรณีนางทิพย์อุทัย ศุภบุญมี ผู้เสียหายได้ใช้ยาหยอดตาเจียรนัยเพชรของป้าเช็งไปทำการหยอดตาแล้วดวงตาพร่า มัว ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. เมื่อ 19 ก.พ. 2553 ให้ดำเนินคดีกับป้าเช็ง ข้อหาขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับ ซึ่งผลการดำเนินการพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วโดยมีความเห็น ควรสั่งฟ้อง และพนักงานอัยการศาลจังหวัดธัญบุรี มีความเห็นสั่งฟ้องตามความเห็นของพนักงานสอบสวน ต่อมาศาลจังหวัดธัญบุรีได้มีคำสั่งให้รวมคดีและมีคำพิพากษาทั้งสองคดีดัง กล่าวแล้ว โดยพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ให้จำคุกรวม 18 เดือน ริบของกลาง ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1360/2555 และที่ 1361/2555 ลง 18 มี.ค.2555

โปรดเกล้า กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม

03042558 โปรดเกล้าฯแต่งตั้ง 'กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม'
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 03 เมษายน 2558, 15:44
พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง "กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม" จำนวน 6 ราย
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ (3เม.ย.) ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี
เรื่อง แต่งตั้งกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม
ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๑ ตามประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี
ลงวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ จํานวน ๗ ราย นั้น
เนื่องจากกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม
ราย นางสุภาวดี เวชศิลป์ ได้ถึงแก่อนิจกรรม และ
ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง นายชั่งทอง โอภาสศิริวิทย์
เป็นกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมแทนแล้ว
ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕
โดยมีวาระการดํารงตําแหน่ง ๖ ปี ตามประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมที่เหลือ จํานวน ๖ ราย
ได้ดํารงตําแหน่งมาครบกําหนดตามวาระแล้ว
และคณะกรรมการคัดเลือกกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมได้คัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม จํานวน ๖ ราย ดังนี้
๑. นายวชิร สงบพันธ์ เป็นประธานกรรมการ
๒. นายพันธุ์เรือง พันธุหงส์ เป็นกรรมการ
๓. นายกิจสุวัฒน์ หงส์เจริญ เป็นกรรมการ
๔. นายทองทวี พิมเสน เป็นกรรมการ
๕. นายเจษฎา ประกอบทรัพย์ เป็นกรรมการ
๖. นางศิริพร กิจเกื้อกูล เป็นกรรมการ
และได้นําความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งต่อไปแล้ว
บัดนี้ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตามที่เสนอ ทุกราย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
- See more at:http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/642127

อัตราโทษใหม่ตามประกาศหัวหน้า คสช. 3/2558

อัตราโทษใหม่ตามประกาศหัวหน้า คสช. 3/2558
.
ตามที่หัวหน้า คสช. ออกประกาศฉบับใหม่นั้น มีประเด็นเกี่ยวกับอัตราโทษใหม่ ซึ่งมีทั้งเพิ่มขึ้นและลดลง ดังนี้
.
++ ข้อ 9 ผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยหรือผู้ช่วยเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
.
ถือเป็นการเพิ่มอัตราโทษ จากเดิมผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน หรือปรับไม่เกิน 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
.
++ ส่วนข้อ 10 ของประกาศหัวหน้า คสช. ความว่า ผู้ใดต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยหรือผู้ช่วยเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
.
เพิ่มอัตราโทษเช่นกัน จากเดิมในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 ระบุว่าผู้ใดต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
.
++ ข้อ 11 บุคคลที่ถูกควบคุมตัว แล้วถูกปล่อยตัวอย่างมีเงื่อนไข หากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
.
ซึ่งลดลงกึ่งหนึ่งจากอัตราโทษเดิมในประกาศคสช.ฉบับที่ 39/2557 และ 40/2557 ที่ระบุว่าผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ทำตามเงื่อนไขการปล่อยตัว มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
.
++ ขณะที่ความในข้อ 12 ของประกาศดังกล่าวมีอยู่ว่า ผู้ใดมั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
.
เมื่อเปรียบเทียบกับลักษณะความผิดเดียวกันในประกาศคสช.ฉบับที่ 7/2557 เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง พบว่า อัตราโทษลดลงกึ่งหนึ่ง ซึ่งกำหนดโทษไว้ว่า จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
.
นอกจากนี้ ประกาศหัวหน้า คสช. ข้อ 12 ยังเพิ่มเติมข้อยกเว้นการชุมนุมทางการเมืองว่า สามารถทำได้หากได้รับอนุญาตจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
อ่านประเด็นอื่นๆในร่างได้ที่ >> http://ilaw.or.th/node/3627

นายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐรัสเซีย มีกำหนดการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

นายดมิทรี เมดเวเดฟ นายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐรัสเซีย มีกำหนดการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๗ - ๘ เมษายน ๒๕๕๘ ในฐานะแขกของรัฐบาลไทย ตามคำเชิญของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือในสาขาต่างๆ บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน นับเป็นการเยือนประเทศไทยในระดับนายกรัฐมนตรีของสหพันธรัฐรัสเซียครั้งแรกในรอบ ๒๕ ปี
นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายมีกำหนดจะหารือทวิภาคีในวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๘ ซึ่งจะมีประเด็นครอบคลุมการขยายความร่วมมือในทุกมิติทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ พลังงาน การท่องเที่ยว วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การศึกษา และวัฒนธรรม รวมทั้งประเด็นระหว่างประเทศที่สองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่าย จะให้ความสำคัญต่อการเพิ่มพูนเศรษฐสัมพันธ์ ได้แก่ การเพิ่มพูนมูลค่าการค้า การขยายตลาดสินค้าเกษตร อาหาร ประมง และอุตสาหกรรม การส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน การส่งเสริมการดำเนินธุรกิจระหว่างรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งการอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนและการลดอุปสรรคด้านการค้าและการลงทุน
ภายหลังการหารือดังกล่าว นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายจะเป็นสักขีพยานในการลงนามความตกลงทวิภาคี อาทิ ความร่วมมือด้านพลังงาน การส่งเสริมและแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐรัสเซียและคณะด้วย
อนึ่ง ในระหว่างการเยือนประเทศไทยของนายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐรัสเซีย ภาคเอกชนไทยและรัสเซีย มีกำหนดจะร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อเป็นกรอบความร่วมมือในการดำเนินธุรกิจร่วมกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับรัสเซียโดยรวมต่อไป

"ไพบูลย์ คุ้มฉายา" ประชุมหาข้อสรุป ส่งรายชื่อข้าราชการเอี่ยวทุจริต ถึงนายก ใช้ม.63 ดำเนินการทางวินัย




"ไพบูลย์ คุ้มฉายา" ประชุมหาข้อสรุป ส่งรายชื่อข้าราชการเอี่ยวทุจริต ถึงนายก ใช้ม.63 ดำเนินการทางวินัย

  ( 2 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้( 3 เม.ย.)ตนเรียกประชุมศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(ศอตช.) เพื่อเร่งรัดการใช้อำนาจตามมาตรา 69 เรื่องการมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ โดยเฉพาะการดำเนินการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการทุจริต โดยจะมีการเสนอรายชื่อข้าราชการทุกระดับที่มีชื่อพัวพันกับการทุจริตให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคสช. รับทราบ โดยการเสนอชื่อจะแบ่งกลุ่มข้าราชการออกเป็น 2 ระดับคือ ระดับสูงรายชื่อทั้งหมดจะถูกเสนอโดยตรงไปที่หัวหน้าคสช . ส่วนข้าราชการระดับล่างตั้งแต่ซี 8 ลงมาจะเสนอชื่อไปยังหน่วยงานต้นสังกัดให้ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้พิจารณา สำหรับการพิจารณารายชื่อข้าราชการกลุ่มเหล่านี้จะมีการพิจารณาร่วมระหว่างศอตช. ซึ่งการเสนอรายชื่อครั้งนี้ไม่ใช่การให้ออกหรือปลดออกตำแหน่งราชการเพราะเป็นขั้นตอนการดำเนินคดีตามกฎหมาย ในชั้นนี้เป็นเพียงการใช้คำสั่งที่ 69 เอาผิดทางปกครอง เพื่อให้ดำเนินการทางวินัย รวมถึฃการย้ายกลุ่มคนเหล่านี้ออกจากตำแหน่งเดิมไม่ให้มีผลประโยชน์หรือมีอำนาจบังคับบัญชา

          ด้านนายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) ในฐานะเลขานุการศอตช. กล่าวว่า ป.ป.ท.จะนำเสนอรายชื่อข้าราชการที่พัวพันกับผลประโยชน์ไม่ชอบเพื่อให้มีการจัดการด้านวินัย ในส่วนป.ป.ท.ซึ่งมีอำนาจตรวจสอบความผิดของเจ้าหน้าที่ระดับล่างจะแยกการเสนอเป็น 2 ส่วนคือ ข้าราชการที่คณะกรรมการมีมติชี้มูลว่ามีความผิดเกี่ยวข้องกับการทุจริต และข้าราชการในกลุ่มที่ป.ป.ท.เข้าไปตรวจสอบพบความผิดและส่งรายชื่อไปให้หน่วยงานต้นสังกัดดำเนินการทางวินัย
           ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการนำเสนอรายชื่อข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในวันพรุ่งนี้( 3 เม.ย.) อาจมีการนำเสนอรายชื่อข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับกรณีการบุกรุกป่าของสนามกอล์ฟและสนามแข่งรถโบนันซ่า ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง 10 ราย แบ่งเป็นผู้ที่ร่วมกันออกน.ส.3 ก. จำนวน 4 คน และเจ้าหน้าที่ที่ร่วมกันออกโฉนดที่ดิน จำนวน 6 คน

นายกฯ เปิดใจกลางวงขุนทหาร น้อยใหญ่ ฮึ่ม! ไล่ พวกทำลายชาติ ไม่ควรอยู่ในแผ่นดินนี้

นายกฯ เปิดใจกลางวงขุนทหาร น้อยใหญ่ ฮึ่ม! ไล่ พวกทำลายชาติ ไม่ควรอยู่ในแผ่นดินนี้ ต้องใช้กม.จัดการ ผมทนไม่ได้ที่จะให้ทำลายประเทศต่อไป ในเมื่อไม่เกรงใจผม ผมก็จะไม่เกรงใจใคร เผย ตปท.เห็นบ้านเมืองเราสวยงามแต่ไม่รู้ว่าข้างในเป็นโพรง เรากำลังเติมอิฐทรายแต่มีคนเอาน้ำมาราดตอนยังไม่แห้ง คนพวกนี้ไม่ควรอยู่ในแผ่นดินนี้"แฉพวกต่อต้าน มีแผล มี เบื้องหลังทั้งนั้น ผมไม่เคยละเมิดใคร ตั้งแต่ใช้กฏอัยการศึก ม.44ไม่เคยมีคนตาย เตือนคนใช้อาวุธต่อสู้จนท.อย่าให้มากเกินไป...ยันไม่หลงระเริงในอำนาจ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.เป็นประธานงานสถาปนา โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ครบ 106 ปี และพิธีเปิดอาคารโรงเรียนเสนาธิการทหารบกแห่งใหม่ กองคลังยุทโธปกณ์สรรพาวุธ ถนนพระรามที่ 5 เขตดุสิต
นายกรัฐมนตรี ทำพิธีเปิดอาคารโรงเรียน และมอบประกาศเกียรติคุณศิษย์เก่าดีเด่น จำนวน 8 ราย ดังนี้ 1.พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2.พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน 3.พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4.พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 5.พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม 6.พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม 7.พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ผู้บัญชาการสูงสุด (ผบ.สส.) 8.พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษา วันนี้ต้องเดินหน้าปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ รวมทั้งเรื่องอื่นๆ เพราะปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นมีความซับซ้อน มีปัญหาเล็กน้อยซ้อนอยู่หลายชั้นยากต่อการแก้ปัญหา ซึ่งการศึกษาของทหารนั้นเราเน้นเรความเป็นระเบียบวินัย ทำให้สามารถคิดได้อย่างลึกซึ้ง และรู้จักใช้ข้อมูลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดวนการตัดสินใจในการใช้อำนาจการบังคับบัญชานั้นจำเป็นต้องมีข้อมูลที่ครบถ้วน และผ่านหลายขั้นตอนซึ่งผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ในการตัดสินใจ ระหว่างนั้นจะมีการประสานงานและบูรณาการ
"วันนี้สิ่งที่ผมได้จำมาใช้เป็นแนวคิดทางการทหารทั้งสิ้นที่เป็นพื้นฐานให้ผมในการมาใช้ในการทำงาน แต่สิ่งที่เรามีปัญหามากที่สุดในการบริหารราชการแผ่นดินคือการประสานงานและบูรณาการ การทำงานร่วมกัน ต่างคนยังต่างทำงานตามภารกิจกกระทรวงกันอยู่เหมือนเดิมมพันธกิจและภารกิจ งบประมาณก็ยังแยกกันอยู่เหมือนเดิมจึงไม่มีอะไรสำเร็จได้ เพราะต่างคนต่างทำออกมาเป็นคนละชิ้น"
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลเข้ามาทำงานแล้ว 6 เดือน ซึ่งระยะแรก 4-5 เดือนแรกทำอะไรไม่ได้มากนัก 6 เดือนเข้ามาวางพื้นฐานแก้ไขปัญหาที่มีความทับซ้อนต้องใช้เวลาการเดินหน้าตามโรดแม็พที่มีอยู่วันนี้กระบวนการคิดของแต่ละคนมีหลากหลายไม่เหมือนกัน แต่ควรต้องมีหลักการและเหตุผล ต้องมีความรู้มีการศึกษาเพิ่มเติม ถ้าข้อมูลไม่ครบความคิดทุกคนจะไปคนละทิศคนละทางไม่มีจุดมุ่งหมายร่วม ต่างก็คิดที่จะทำงานเฉพาะของตัวเอง ดังนั้นวันนี้ต้องคิดใหม่ เพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ต้องคิดว่าประเทศต้องการและยังขาดอะไร
หลายคนที่ไม่ใช่ทหารอาจไม่เข้าใจและเกรงกลัวต่ออำนาจ ซึ่งอำนาจของทหารคืออำนาจในการปกครองและบังคับบัญชา และอำนาจในการทำศึกสงครามและการสู้รบ รวมทั้งการช่วยเหลือประชาชนทั้งในยามปกติและยามสงคราม ซึ่งทหารยึดถือว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยืนยันว่าการมีอำนาจของทหารเป็นอำนาจแห่งการปกครองของผู้บังคับบัญชาในการปกครองบุคลากร 3 -4 แสนคนที่ถืออาวุธอยู่ทั้งสิ้น จึงไม่ต้องกลัวว่าผู้บังคับบัญชาหรือใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ไม่สามารถทำอะไรนอกกรอบได้มากมาย ดังนั้นจึงต้องมีการหารือร่วมกันและหาข้อยุติได้ก่อนที่จะมีการสั่งการ
"สังคมเป็นห่วงว่าอำนาจต่างๆที่ผ่านมา จะทำให้หลงระเริงในอำนาจ แต่ผมคิดว่ายิ่งมีอำนาจมากยิ่งต้องระวัง ดังนั้นใครที่ให้ความสำคัญกับอำนาจมากนัก ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเป็นผลประโยชน์ และเกี่ยวข้องกับการกระทำกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราถึงต้องระวังเรื่องของอำนาจ จึงอยากให้ทุกคนเข้าใจ ใครที่สนใจแต่มาตราโน้นมาตรานี้ ทำไมไม่สนใจว่าทำอย่างไรที่จะใจจะให้คนในชาติสามัคคีกันได้อย่างไร มองว่าประเทศมีปัญหาอยู่ตรงไหน ปัญหาของเราวันนี้คือคนในประเทศมองปัญหาไม่เหมือนกัน ถ้ามายืนอยู่ในจุดที่ผมือแต่ละกระทรวงอยู่จะรู้ว่ามันเป็นอย่างไร นี่คือเหตุผลและความจำเป็นในการต้องมีอำนาจ ใช้ในการทำสิ่งที่ดี ถูกต้องกว่าเดิม ดีกว่าเดิม
ไม่ได้บอกว่าต้องดีที่สุด แต่ต้องดีกว่าเดิม จะอาศัยผู้นำ หรือรัฐมนตรีคนเดียวทำไม่ได้ ทุกคนในชาติต้องช่วยกันเพื่อให้ประเทศเดินหน้า"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต่างประเทศได้ข้อมูลจากเราทั้งสิ้นทุกเรื่อง จากสื่อเป็นส่วนใหญ่เกิดความเข้าใจผิดจำนวนมากอกถึงขนาดว่าผมจะใช้อำนาจในการประหารชีวิตสื่อ มันอะไรกันนักหนา สื่อมีหน้าที่สองอย่างซึ่ง ผมไม่ต้องการไปอะไรมาก เหมือนกับกลุ่มสิทธิมนุษยชนเองก็ต้องทำหน้าที่สองอย่าง คือหน้าที่พันธกรณีที่ทำไว้กับต่างชาติ ผมไม่ได้ไปคัดค้าน หน้าที่คือเพื่อชาติของท่านในการทำงานของสื่อรัฐบาลและ ผมไม่ได้ขอให้ปกปิดสามารถตรวจสอบได้ทุกอย่าง แต่ต้องให้ความเป็นธรรมก่อนเพราะถ้านำเสนอไปแล้วก็จะผิดไปเลย ทุกอย่างต้องมีเหตุและผลในการตัดสินใจใคร่ครวญ เพราะการกล่าวหาใดๆจะต้องมีหลักฐาน อย่าพูดปากเปล่า วันนี้ประเทศชาติเสียหาย เพราะทำงานด้วยปาก มีการเขียนแผนแต่ไม่ลงมือทำจริงหรือทำไม่ถึงครึ่ง รัฐบาลจึงต้องเข้ามาจัดระเบียบวินัย จัดระเบียบบ้านเมือง บางคนทนไม่ได้บอกไม่เป็นประชาธิปไตย
"ผมถามว่าใช่หรือไม่ ว่างๆต้องถามมิตรประเทศด้วยว่าเขามีสถานการณ์แบบเราหรือไม่ ทั้งการใช้อาวุธสงครามและการใช้ระเบิดเราต้องอธิบายให้เข้าใจ และจากวันนี้ผมจะไม่เกรงใจตราบใดที่ยังมีการพูดให้กองทัพและประเทศเสียหาย เพราะผมมายืนตรงนี้ผมต้องรับผิดชอบทุกอย่างอยู่แล้ว แต่ทุกคนต้องร่วมมือกับผมในการสร้างความเข้าใจ ทุกคนในชาติถ้าเป็นคนไทยต้องช่วยกันเพื่อประเทศไม่ต้องมาช่วยผม การเป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง คือประชาธิปไตยที่ไม่ละเมิดคนอื่นและไม่ทำให้คนอื่นลำบาก เสียชีวิต รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลคนไทยทั้งหมดจะเป็นสีไหน พรรคไหน ผมไม่สนใจ แต่จะดูแลคนทั้ง 60-70 ล้านคนให้ได้โดยเร็ว เพราะเวลาของเรามีจำกัด าเข้ามาเพื่อทำแผนไว้ให้อะไรทำได้ก็ต้องทำ ก็ต้องช่วยกันสวดมนต์ไหว้พระให้รัฐบาลใหม่ทำให้ได้ ซึ่งขณะนี้ได้แก้ไขปัญหาทุกหน่วยงาน ทุกกระทรวง สิ่งที่แก้ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย เพราะทุกคนต้องทำตามรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ถ้าทำตามความต้องการของตัวเอง็จะมีปัญหาตลอด มีคดีรกศาลไม่ว่าจะมีศาลเพิ่มอีกกี่ศาลหรือกฎหมายอีกกี่ฉบับ ดังนั้นการมีกฎหมาย มีรัฐธรรมนูญ 300 กว่าฉบับก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น เพราะทุกคนเอารัฐธรรมนูญมาต่อสู้กันเอากฎหมายมาต่อสู้มาตีความกัน ยิ่งทำก็ยิ่งวุ่นย บางประเทศไม่มีรัฐธรรมนูญ เพราะมีแล้ววุ่นวาย แต่ทำตามจารีตประเพณีก เพราะคนเขามีคุณภาพ มีตรรกะในการคิด มีเหตุผล และรับฟังคนอื่น ไม่ใช่ตั้งเข็มทิศอย่างเดียว "นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขอให้เข้าใจว่าหลักสูตรทางทำให้เรามองได้ลึกซึ้ง วันนี้นมีความรู้จากโรงเรียนทหารมาทั้งสิ้นนำมาบริหารก็มั่นใจว่าเพียงพอที่จะนำพาขับเคลื่อนทั้งเศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยาได้ผลสัมฤทธิ์
ซึ่งมีทั้งคนพอใจและไม่พอใจ แต่เชื่อว่าจะดีขึ้นกว่าเดิม วันนี้รัฐบาลต้องแก้ใน 3 เรื่อง คือ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน การขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
การปฏิรูปประเทศที่ต้องใช้เวลาอาจเป็น 10 ปี เพราะปัญหาหมักหมมมานาน ประชาธิปไตยไทยเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ถึงจะใช้เวลา เท่าไหร่ก็ต้องทำ ขณะเดียวกันประชาชนจะอยู่เฉยๆไม่ได้ แต่ต้องรวมตัวกันเป็นกลุ่มชนและถ้ารัฐบาลประชาธิปไตยที่ไม่มีธรรมาภิบาลก็จะพยายามดึงเอากลุ่มชนเหล่านี้มาเป็นพวกตัวเองเหมือนที่ผ่านมา
"วันนี้รัฐบาลแก้ปัญหาทุกอย่าง แต่ทุกคนก็สนใจแต่การเมือง จะเลือกตั้งอย่างไร ต่อให้อีก 10 ชาติ ถ้ายังเลือกเหมือนเดิม คนแบบเดิมมา มันก็เป็นแบบนี้ วันข้างหน้าก็จัดการกันเองแล้วกันผมก็ไปแล้ว ขณะนี้เราไม่มีปัญหากับประเทศอื่น เว้นแต่มีปัญหากันเอง ทุกประเทศยังมาพบทุกวัน ไม่ว่าจะยังมีกฎอัยการศึก หรือการประกาศใช้มาตรา 44 ก็ตาม แต่เวลาที่เขาแสดงความเห็นเขาไม่ได้พูดที่นี่ ที่สำคัญมีการล็อบบี้การเคลื่อนไหว ต่อต้านรัฐบาลโดยใช้คำว่าประชาธิปไตยมาบีบ มีการใช้คำว่าบังคับขู่เข็นใช้กฎอัยการศึก
อย่างวันนี้อ่านข่าวพาดหัวของสำนักข่าว CNN ที่ระบุว่าผมใช้อำนาจเต็มตามมาตรา 44 จะสั่งประหารนักข่าว ชึ่งผมอยากให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และผมก็จะให้สัมภาษณ์น้อยที่สุด ถ้ายังไม่มีการปรับปรุงตัว แล้วก็มาบอกให้ใจเย็นๆ เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากคนเหล่านั้นยังมาปรามาส ผมก็จะพูดให้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทุกคนต่างมีแผลเหมือนกัน
"ที่ผ่านมาผมได้บอกกับต่างประเทศเสมอว่าขอเวลาให้คนไทย จะทำให้ทุกองค์กร ทุกหน่วยงาน แต่พอเริ่มทำก็มีปัญหา เพราะเขาไม่รู้ เห็นเพียงว่าบ้านเมืองเราสวยงาม แต่ไม่รู้ว่าบ้านเราเป็นโพรง ตอนนี้เรากำลังเติมอิฐเติมทรายแต่ก็มีคนเอาน้ำมาราดตอนที่ยังไม่แห้ง คนพวกนี้ไม่ควรอยู่ในแผ่นดินอีกต่อไป ผมเองบังคับไม่ได้ว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบ
ผมผมทนไม่ได้ที่จะให้ทำลายประเทศต่อไป วันนี้ผมพูดไม่เกรงใจใคร ในเมื่อไม่เกรงใจผมผมก็ไม่เกรงใจ เพราะผมทำให้ประเทศผม ดังนั้นคนที่ต่อต้าน ลองลงไปดูมีเบื้องหลังทั้งนั้น ผมไม่เคยละเมิดใคร และตั้งแต่ประกาศใช้กฏอัยการศึกหรือมาตรา 44 ก็ไม่มีคนตายสักคนจะมีก็แต่คนที่ใช้อาวุธมาต่อสู้เจ้าหน้าที่ ส่วนสื่อก็ไม่ได้ปิด ไม่เคยปิดสักเล่มหนึ่ง ต่อไปนี้ขอให้เขียนให้ดี ถ้าเขียนไม่ดีก็จำเป็นต้องเรียกมาพูดคุย เพราะผมไม่เคยกลัวใครอยู่ ถ้ากลัวคงไม่กล้าก็ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ถ้าคิดว่าผมไม่ดีก็บอกผม ผมไปให้อยู่แล้ว
"ที่พูดนี่มีใครสงสัยอะไรไหม พอพูดไปแล้วก็มีอารมณ์นิดหน่อยเพราะวิจารณ์ผมเยอะมาก มาถามเรื่องเศรษฐกิจผมคนเดียวจะรู้ทุกเรื่องไม่ได้ ผมนี่รู้มากกว่าคนเศรษฐกิจอีก อะไรที่เป็นนโยบาย เป็นหลักการก็กำลังทำอยู่ วันนี้คนที่ทำเศรษฐกิจเขาไม่ได้ปกป้องอะไร ถามว่าวันนี้อะไรแพงขึ้นในรัฐบาลทหารถ้าบอกมะนาวแพง เดี๋ยวไปรับที่บ้านผม ถ้าอยากกินมะนาวเยอะๆ วันละสัก 20 ลูกหรือจะเอาไปปลูกก็ใส่กระถางไป นี่เรียกว่าพูดเปรียบเทียบให้ฟังว่าทุกคนต้องช่วยตัวเองได้ ไม่ใช่ตื่นมาก็เป็นพญาธิปากขอ ผมสอนลูกน้องผมแบบนั้น
ผมดูแลทั้งเสียงส่วนใหญ่และส่วนน้อย ที่เขาเรียกว่าประชาธิปไตย ให้ได้รับความพึงพอใจแต่จะเอาประชาธิปไตยมาแบ่งพวกกันไม่ได้ เพราะเมื่อแบ่งแล้วต้องแก้ปัญหาให้ได้ การต่อต้านเป็นเรื่องธรรมดาในประชาธิปไตย แต่เมื่อต่อต้านแล้วรัฐบาลต้องแก้ให้ได้ แต่จะมาชุมนุมยืดเยื้อ 6-10 เดือน และขอประกาศไว้เลยจะเกิดในสมัยผมไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "อย่ามาทำให้ประเทศเดือดร้อน อย่ามาใช้คำว่าประชาธิปไตยตอนนี้ เพราะผมให้อยู่แล้ว มันเดือดร้อนอะไรตรงไหน มาเดือดร้อนกับคำว่าประชาธิปไตยอีกหรือ และประชาธิปไตยเดิมๆ วันหน้าท่านก็ไปอยู่กับเขาอีก เพราะฉะนั้นวันหน้าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือการเลือกตั้ง มีรัฐธรรมนูญ ผมก็ทำตามโรดแมปไม่เคยเลื่อน ก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าเมื่อไรที่มีรัฐธรรมนูญประมาณเดือนกันยายน ถ้ามันออกได้ แต่ตอนนี้ก็แทบฆ่ากันตายอยู่แล้ว ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะเกิดขึ้นต้องเน้นเรื่องการปฏิรูปและธรรมาภิบาล ไม่ใช่ใช้แต่จินตนาการเท่านั้น แบบนั้นไม่ได้ อะไรที่เคยเป็นปัญหาในอดีตต้องแก้ได้ อะไรดีๆ ในรัฐธรรมนูญปี 2540-2550 เอามาใส่ถ้าแก้ปัญหาได้ และต้องแก้ไขได้ อะไรที่จะอยู่จนตายมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมาเขียนมาไม่เคยได้ใช้เพราะบังคับตัวเองกันไม่ได้ เสียดายโอกาส เวลาการเป็นศูนย์กลางอาเซียนแต่ไม่เคยทำได้ ผมจะทำให้ได้ไม่ได้ลอกใครแต่ปัญหาคือทำจริงหรือเปล่า ไม่ใช่แค่ทำรายงาน 3-4 แผ่นว่าทำไปและจบ อะไรที่ต้องตรวจสอบผมสั่งให้ตรวจทั้งหมด ผิดคือผิด อย่าบอกว่าไม่รู้ไม่ทราบ ทำผิดกฏหมายก็ต้องผิด เงินที่มันผิดกฎหมายก็คือผิดกฎหมาย จะมาบอกว่าคืนแล้วจบไปมันไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง หากใครเดือดร้อนก็ส่งเรื่องมาทำเนียบฯ ได้ผมรับหมด
ส่วนข้าราชการผมสั่งการไปบางครั้งก็สับสน บางคนชอบก็ดีไปตั้งใจทำงาน ส่วนใครที่ไม่ชอบบอกเป็นรัฐบาลทหารไม่รู้เรื่องอะไร แต่พอไล่เรียงรายละเอียดไปๆ มาๆ ทหารรู้เรื่องกว่าคุณอีก รู้ว่าจะทำอย่างไรให้เกิดผลไม่ใช่เอาแต่ในตำรา สุดท้ายนักเรียนโรงเรียนเสนาธิการทุกคน ขอช่วยให้ประเทศพัฒนา มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังกล่าวจบนายกรัฐมนตรีร่วมถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึก และเยี่ยมชมอาคารเรียน
ก่อนเดินทางกลับทำเนียบรัฐบาล นายกฯปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์พร้อมกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "ไม่ได้โกรธหรอกนะ"