PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สตีเว่น ฮอวกิง :ตอนนี้เป็นห้วงเวลาที่อันตรายที่สุดสำหรับโลกของเรา

The MATTER

ในฐานะที่เป็นนักฟิสิกส์เชิงทฤษฎีที่อยู่ในเมืองเคมบริดจ์ (Cambridge) ผมใช้ชีวิตอยู่ในฟองอากาศแห่งสิทธิพิเศษ เคมบริดจ์เป็นเมืองที่แตกต่างจากเมืองทั่วๆ ไป เป็นเมืองที่มีศูนย์กลางเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในเมืองนั้นเองที่ผมได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ตอนผมอายุได้ 20 ปี สังคมที่มีแค่คนจำนวนน้อยได้สัมผัส
.
ในประชาคมวิทยาศาสตร์ที่ว่าประกอบด้วยกลุ่มนักทฤษฎีฟิสิกส์นานาชาติกลุ่มเล็กๆ กลุ่มคนที่ผมทำงานด้วยและเป็นกลุ่มที่ถือตัวว่าเป็นแกนกลางของวงการ ในภาวะแวดล้อมนี้ ความเป็นคนดังเลยติดมากับหนังสือที่ผมเขียน และด้วยความเจ็บป่วยของผมก็ยิ่งโดดเดี่ยวตัวผมมากขึ้น ผมรู้สึกได้ว่า หอคอยงาช้างของผมกำลังก่อตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ
.
ท่ามกลางกระแสต่อต้านชนชั้นนำทั้งในอเมริกาและสหราชอาณาจักรส่วนหนึ่งย่อมโยงมาที่ตัวผมพอๆ กับคนอื่นๆ ไม่ว่าเราจะคิดถึงผลการตัดสินใจของปวงชนในการออกจากสหภาพยุโรปและการที่สาธารณชนเลือกรับโดนัล ทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดี ในสายตาของผู้วิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไปของสังคม ผลลัพท์เหล่านั้นคือเสียงร้องของผู้คน ผู้คนที่รู้สึกว่าตนเองถูกผู้นำของตนทอดทิ้ง
.
และนี่คือสิ่งที่ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกัน ว่านี่คือห้วงเวลาของผู้ที่ถูกลืมได้ส่งเสียง เป็นการส่งเสียงเพื่อปฏิเสธ พวกเขากำลังปฏิเสธคำแนะนำและแนวทางของพวกผู้เชี่ยวชาญและชนชั้นนำทั้งหลาย
.
ผมเองก็ไม่ได้อยู่นอกข่ายจากสิ่งที่ผมพูดหรอก ผมเคยเตือนไว้ตั้งแต่ก่อนการลงประชามติ Brexit แล้วว่าผลของมันเป็นอันตรายต่อการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในสหราชอาณาจักร การออกเสียงนั้นจะนำไปสู่การก้าวถอยหลังลงคลอง และผลการออกเสียง – หรือสัดส่วนจำนวนเสียงที่มีนัยสำคัญทั้งหลาย ไม่ได้สนใจเสียงเตือนของผมเหมือนๆ กับที่ไม่ได้สนใจเสียงของทั้งผู้นำทางการเมือง สมาชิกสมาคมการค้า ศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ นักธุรกิจ รวมไปถึงคนดังทั้งหลายที่ต่างให้คำแนะนำกับคนที่เหลือในประเทศนี้ คำแนะนำที่คนไม่แยแสสนใจ
.
สิ่งสำคัญยิ่งกว่าชัยชนะของ Brexit และทรัมป์ คือท่าทีของพวกชนชั้นนำทั้งหลาย ท่าทีว่าหรือเราควรที่จะปฏิเสธการออกเสียงที่มากมายนั้นเพื่อบอกว่าประชานิยมแค่อย่างเดียวไม่สามารถรองรับข้อเท็จจริงต่างๆ ได้ เพราะมันเป็นแค่อุบายและข้อจำกัดของทางเลือกที่ถูกนำเสนอขึ้นมาเท่านั้น ผมต้องบอกว่าการปฏิเสธนั้นจะเป็นข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวง
.
ข้อคำนึงสำคัญที่ซุกซ่อนอยู่ในเสียงโหวตคือผลต่อเนื่องทางเศรษฐกิจของโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ทบทวีขึ้น โรงงานอุตสาหกรรมล้ำสมัยที่ใช้จักรกลกำลังแย่งงานจากโรงงานอุตสาหกรรมแบบที่เราคุ้นเคย และการเฟื่องฟูขึ้นของปัญญาประดิษฐ์ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้ตำแหน่งที่หดหายที่ขยายตัวไปสู่ชนชั้นกลาง เหลือแค่งานดูแลที่พิเศษ การสร้างสรรค์ และงานเชิงควบคุมสอดส่องที่เหลือรอด
.
ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้เองจะยิ่งเร่งให้ความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจที่มีอยู่แล้วทั่วโลกยิ่งถ่างขยายขึ้น โลกอินเตอร์เน็ตและแพล็ตฟอร์มต่างๆ ทำให้คนกลุ่มเล็กๆ สามารถสร้างผลกำไรใหญ่โตนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ซึ่งผลคือการจ้างงานนั้นก็ใช้เพียงคนจำนวนไม่มาก และนี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่เป็นทั้งความก้าวหน้า และพร้อมกันนั้นก็เป็นความพังพินาศของสังคม
.
เราต้องพิจารณาปัญหาเข้าไปการล่มสลายทางการเงิน กิจการที่ให้ประโยชน์แค่กับคนจำนวนหยิบมือที่ทำงานในภาคการเงินที่สามารให้ผลตอบแทนมหาศาลให้กับคนบางส่วน ในขณะที่คนที่เหลืออย่างพวกเราๆ คือพวกที่ผิดพลาดจากความโลภ ทั้งหมดนี้เมื่อรวมกันเข้า เราทั้งหมดต่างใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่คอยแต่จะถ่างขยายความไม่เท่าเทียมทางการเงิน ที่ๆ ไม่ใช่แค่มาตรฐานในการใช้ชีวิต แต่เป็นความสามารถได้คุณภาพชีวิตมานั้น หายไปสิ้น ดังนั้นเลยไม่น่าแปลกใจเลยว่า คนทั้งหลายต่างก็มองหาข้อตกลงหรือหนทางใหม่ๆ หนทางที่ดูเหมือนทรัมป์และ Brexit จะเสนอให้ได้
.
นอกจากนี้ยังมีกรณีผลกระทบจากการแพร่กระจายของอินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียร์ที่ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นอีก คือทำให้เปลือกของความไม่เสมอภาคยิ่งปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าที่เคย สำหรับผม ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารเป็นประสบการณ์ที่ให้อิสระกับผมและเป็นประสบการณ์แง่บวก ถ้าไม่มีเทคโนโลนี ผมเองก็ไม่สามารถทำงานต่อไปได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้
.
แต่เทคโนโลยีเองก็ยังเป็นช่องทางสำหรับแสดงชีวิตของพวกเศรษฐีจากส่วนที่มั่งคั่งที่สุดบนโลกนี้ เผยให้ชีวิตที่ร่ำรวยได้ปรากฏทิ่มแทงสายตาให้คนอื่นๆ ได้เห็น ผู้คนที่ยากจนหรือผู้คนจำนวนมากที่มีโทรศัพท์ในมือแต่ไม่มีน้ำสะอาดจะบริโภคในทวีปอัฟริกา และนี่คือห้วงเวลาที่เกือบจะทุกคนในโลกไม่อาจหนีจากความไม่เท่าเทียมกันได้
.
ผลต่อเนื่องดังกล่าวมันง่ายที่จะมองเห็น ชาวชนบทที่ยากไร้ต่างพากันเข้ามาในเมืองใหญ่ มาสู่บ้านช่องโกโรโส มาด้วยความหวัง และในที่สุดแล้วก็พบว่านิพพานในอินสตราแกมไม่ได้มีอยู่จริง พวกเขาก็ค้นหาต่อไปยังที่อื่นๆ ไปร่วมกับผู้อพยพเพื่อความร่ำรวยจำนวนมากมายเพื่อค้นหาชีวิตที่ดีกว่าเดิม ผู้อพยพเหล่านี้ก็ได้สร้างความต้องการโครงสร้างพื้นฐานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศที่พวกเขาก้าวเข้าไป การมาถึงนี้บ่อนเซาะความอดกลั้นและยิ่งไปโหมกระพือแนวคิดแบบประชานิยม
.
สำหรับผมแล้วสิ่งที่ควรจะคำนึงก่อนสำหรับในห้วงเวลานี้ ที่ควรคำนึงยิ่งกว่าช่วงเวลาไหนๆ ในประวัติศาสตร์ของเรา เผ่าพันธุ์ของเราต้องกลับมาร่วมมือกันอีกครั้ง เรากำลังเผชิญหน้าความท้าทายทางสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ เช่นการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ การผลิตอาหาร จำนวนประชากรที่ล้นเกิน การทำลายล้างสายพันธุ์อื่นๆ โรคระบาด รวมถึงภาวะที่ท้องทะเลกลายสภาพเป็นกรด
.
ทั้งหมดควรจะเป็นเครื่องเตือนใจว่า เราต่างอยู่ในห้วงเวลาที่อันตรายที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยเผชิญมา เราในตอนนี้มีเทคโนโลยีระดับทำลายโลกของเราได้ แต่เรายังไม่ได้พัฒนามันไปจนถึงจุดที่เราสามารถหนีออกไปจากโลกนี้ได้ จริงอยู่ที่อาจเป็นไปได้ว่าในอีกไม่กี่ร้อยปีมนุษย์เราจะสามารถไปตั้งรกรากในดาวดวงอื่นได้ แต่ตอนนี้เรามีดาวเคราะห์อยู่แค่ดวงเดียว และเราจำเป็นยิ่งที่จะต้องร่วมมือกันเพื่อปกป้องมัน
.
และเพื่อที่จะทำเช่นนั้น เราจะต้องสลายกำแพงไม่ใช่ก่อกำแพง กำแพงทั้งหลายทั้งภายในและกำแพงระหว่างชาติต่างๆ ถ้าเรายืนหยัดที่จะทำเช่นนั้น ผู้นำของโลกนี้จะต้องรับรู้ว่าพวกเขาจะเผชิญความผิดพลาด ครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยทรัพยากรที่อยู่ในมือของคนไม่กี่คน เราจะต้องได้เรียนรู้ที่จะแบ่งปันยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
.
ไม่ใช่แค่ตำแหน่งงานที่หายไปแต่เป็นอุตสาหกรรมทั้งระบบที่หายไปด้วย เราต้องช่วยฝึกฝนผู้คนในการรับมือกับโลกใหม่ ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่พวกเขา ถ้าประชาคมและระบบเศรษฐกิจไม่อาจรองรับการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานได้ เราก็ต้องเร่งการพัฒนาในระดับโลกอันเป็นหนทางเดียวที่จะนำผู้อพยพนับล้านได้กลับไปมีอนาคตของตนที่บ้านเกิดเมืองนอน
.
เราสามารถทำได้ ผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีอย่างสุดซึ้งสำหรับสายพันธุ์ของผม แต่มันต้องมีบทเรียน บทเรียนที่เหล่าชนชั้นนำทั้งจากลอนดอนถึงฮาร์วาร์ด จากเคมบริดจ์ถึงฮอลลีวูด บทเรียนที่เราต้องเรียนรู้จากปีที่ผ่านมา บทเรียนที่รู้ถึง การถ่อมตน
.
.
ที่มา https://www.theguardian.com/…/stephen-hawking-dangerous-tim…

รับรองทหารมีอำนาจควบคุมตัวเต็มที่ ศาลอาญาวางโทษจำคุกคดีหมิ่นประมาทกรณี ฮ.กองทัพภาค 3 ตก

รับรองทหารมีอำนาจควบคุมตัวเต็มที่ ศาลอาญาวางโทษจำคุกคดีหมิ่นประมาทกรณี ฮ.กองทัพภาค 3 ตก

ธันวาคม 8, 2016
By 
8 ธ.ค. 2559 ศาลอาญาพิพากษาคดีหมิ่นประมาทผู้ตายของธนพร อุดมสิน ที่ถูกฟ้องจากการโพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นกรณีที่เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพภาคที่ 3 ตกที่ จ.พะเยา มีนายทหารเสียชีวิตรวม 9 นาย  ให้จำคุก 2 ปี ปรับ 100,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี โดยวินิจฉัยให้การควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกของทหารชอบด้วยกฎหมาย แม้ความผิดของธนพรจะไม่ใช่ความผิดตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.กฎอัยการศึกก็ตาม
Thanaphorn

เหตุแห่งคดี

17 พ.ย. 2557 เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพภาคที่ 3 ตกที่ จ.พะเยา มีนายทหารเสียชีวิตรวม 9 นาย ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อมวลชน และสำนักข่าวออนไลน์ ธนพร อุดมสิน พนักงานธนาคาร ซึ่งเคยอยู่ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 เคยเห็นทหารยิงใส่ผู้ชุมนุมเสียชีวิตจนเป็นภาพติดตา และตัวเข้าเองถูกกระสุนยางยิงใส่จนเป็นแผลเป็น ได้แชร์ข่าวจากไทยรัฐออนไลน์พร้อมแสดงความเห็นว่า “เสียดายตายแค่เจ็ดน่าจะตายสักห้าพันแผ่นดินจะได้สูงขึ้น” ทำให้มีคนเข้ามาแสดงความเห็นด่าทอ จนเขาต้องปิดบัญชีเฟซบุ๊ก

ควบคุมตัวโดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก

3 ธ.ค. 2557 ธนพรถูกทหารควบคุมตัวจากที่ทำงานไปที่ค่ายทหาร โดยอ้างอำนาจตามกฎอัยการศึก ยึดโทรศัพท์มือถือไม่ให้ติดต่อญาติ หรือบุคคลที่ไว้ใจ หลังจากธนพรถูกทหารควบคุมตัว มีนายทหารนำญาติของทหารที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ในวันที่ 6 ธ.ค. 2557
9 ธ.ค. 2557 หลังทหารควบคุมตัวธนพรครบ 7 วัน ทหารนำตัวเขาไปที่ บก.ปอท. เพื่อแจ้งข้อหาหมิ่นประมาทผู้ตายด้วยการโฆษณาฯ และข้อหาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ก่อนพนักงานสอบสวนจะปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข

คดีขึ้นสู่ศาล

29 ต.ค. 2558 คดีของธนพรถูกฟ้องขึ้นสู่ศาลในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้ตายโดยการโฆษณา หรือทำโดยการกระจายภาพ หรือโดยป่าวประกาศด้วยวิธีอื่นใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา  327, 328, และ 332 โดยเหลือเพียงข้อหาหมิ่นประมาทผู้ตายโดยการโฆษณาฯ ไม่มีข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในคำฟ้องแต่อย่างใด ก่อนศาลจะนัดสืบพยานวันที่ 11-13 ต.ค. 2559
ก่อนการสืบพยานจะเริ่มต้น ผู้พิพากษาได้เรียกธนพรเข้าไปพูคุยพร้อมทนายความเพื่อให้จำเลยรับสารภาพ แต่ธนพรยืนยันที่จะต่อสู้คดี อัยการจึงนำพยานผู้เสียหาย 6 ราย ได้แก่ นายสรสิช ทองจีน, นางพิมพ์สุรางค์ สุวรรณเจริญ, นางนิตยา เพื่อนฝูง, ร.ต.กุลภาณุ สุระเสนา, นางสาวพินันดา ชมเชียงคำ, และนายจิรัฎฐวัฒน์ มาลัยวงศ์ ซึ่งเป็นญาติของนายทหารที่เสียชีวิตในเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพภาคที่ 3 เกิดอุบัติเหตุตกที่ จ.พะเยา
พยานทั้งหกปากให้การในทำนองเดียวกันว่า ภายหลังเกิดเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์กองทัพบกตกขณะที่อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการเมื่อ 17 พ.ย. 2557 ทราบว่าเฟซบุ๊กของธนพรได้แชร์ข่าวอุบัติเหตุดังกล่าวจากเพจเฟซบุ๊กไทยรัฐออนไลน์ พร้อมแสดงความเห็นประกอบว่า “เสียดายตายแค่เจ็ดน่าจะตายสักห้าพันแผ่นดินจะได้สูงขึ้น” ซึ่งข้อความดังกล่าวตั้งค่าเป็นโพสต์สาธารณะที่คนทั่วไปสามารถเข้ามาอ่านได้ เมื่อบุคคลทั่วไปมาอ่านก็อาจเข้าใจไปว่าผู้ตายเป็นคนเลวและสมควรตาย
อย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายทั้งหกคนตอบคำถามค้านของทนายความว่า จนถึงปัจจุบันนายทหารที่เสียชีวิตต่างก็ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นนายทหารที่ปฎิบัติหน้าที่ด้วยดีเสมอมา ผู้เสียหายและครอบครัวไม่ได้ถูกดูหมิ่นหรือเกลียดชังจากบุคคลอื่น รวมถึงโพสต์ของธนพรมีแต่คนแสดงความเห็นเชิงต่อว่าธนพร และให้กำลังใจญาติผู้ตาย และบางความเห็นยังยกย่องให้ผู้ตายเป็นฮีโร่ นอกจากนี้ จำเลยยังได้พยายามติดต่อไปยังผู้เสียหายเพื่อแสดงความสำนึกผิด ขอขมา และขออโหสิกรรมต่อผู้ตายและครอบครัวของผู้ตายอีกด้วย

พยานนายทหารผู้ควบคุมตัว

จากนั้นอัยการจึงนำ ร.ต.ปรัชญา จันรอดภัย นายทหารที่เชิญตัวจำเลยไปกักตัวตามกฎอัยการศึก มาให้การต่อศาล
ร.ต.ปรัชญาให้การว่า 2 ธ.ค. 2557 ได้รับข้อมูลจากผู้บังคับบัญชา ว่ามีบุคคลโพสต์ข้อความเหยียดหยามเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกที่ จ.พะเยา ผู้บังคับบัญชาจึงมอบภาพถ่ายหน้าจอเฟซบุ๊กดังกล่าว ข้อมูลชื่อ ที่อยู่ ที่ทำงานของเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊ก แล้วนำไปคัดถ่ายทะเบียนราษฎร์พบว่าเป็นคนเดียวกัน
ร.ต.ปรัชญา พร้อมทหาร 5 นายในเครื่องแบบ เดินทางไปทำงานของธนพรในเวลาประมาณ 9.00 น. ของวันที่ 3 ธ.ค. 2557 ได้เชิญตัวธนพรมาซักถามที่กองพลทหารม้าที่ 2 สนามเป้า โดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก ก่อนจะยึดโทรศัพท์ของธนพรและไม่อนุญาตให้ติดต่อใคร ในตอนแรก ร.ต.ปรัชญา เบิกความว่า เขาและพวก 5 นายไม่มีอาวุธ แต่เมื่อทนายความจำเลยให้ดูภาพถ่ายจึงยอมรับว่ามีอาวุธปืนอยู่ในรถ
นอกจากนี้ เมื่อทนายความจำเลยให้ ร.ต.ปรัชญา ดูบัญชีท้ายกฎอัยการศึก และถามว่า กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจควบคุมตัวบุคคลในข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จหรือหมิ่นประมาทใช่หรือไม่ ร.ต.ปรัชญา ตอบว่าไม่ทราบ เนื่องจากได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาซึ่งเห็นว่าเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคง ซึ่งให้ ร.ต.ปรัชญาไปเชิญตัว ไม่ใช่การจับกุม ทั้งศาลยังไม่บันทึกคำให้การพยานในส่วนที่เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมในปี 2553 ด้วย

พนักงานสอบสวนให้การ

ต่อมา พ.ต.ท.สัณห์เพ็ชร หนูทอง พนักงานสอบสวน ปอท. ได้ให้การเป็นพยานต่อศาลว่า พนักงานสอบสวนกองบังคับการปรามปรามได้นำตัวธนพร และโทรศัพท์ของกลางมามอบให้พร้อมหนังสือส่งตัวจากเจ้าหน้าที่ทหารในวันที่ 9 ธ.ค. 2557 หลังจากมีการสอบปากคำผู้เสียหายทั้งหมด 7 ปาก ที่มาร้องทุกข์ในข้อหาหมิ่นประมาทผู้ตาย และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ไปแล้ว
หลังจากได้รับตัวธนพรแล้ว พ.ต.ท.สัณห์เพ็ชรได้แจ้งข้อกล่าวหา ข้อเท็จ และสิทธิของผู้ต้องหา แต่ธนพรให้การปฏิเสธ ไม่ประสงค์จะให้การในชั้นสอบสวน และขอปรึกษาทนายความก่อนจะมาให้การภายหลัง พ.ต.ท.สัณห์เพ็ชร จึงส่งโทรศัพท์ของกลางไปพิสูจน์ มอบหมายเจ้าหน้าที่ให้สืบสวนหาข้อมูลประกอบคดี และสอบปากคำพยานเพิ่มเติม เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดแล้ว จึงมีความเห็นควรสั่งฟ้องคดีในข้อหาหมิ่นประมาทผู้ตาย แต่ไม่ฟ้องในข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เนื่องจากธนพรแชร์ข่าวมาจากไทยรัฐออนไลน์โดยไม่ได้ปลอมแปลงข้อมูล
พ.ต.ท.สัณห์เพ็ชร ตอบคำถามค้านของทนายความจำเลยว่า พนักงานสอบสวน ปอท. มีอำนาจสอบสวนทั่วราชอาณาจักร และมีการแจ้งความในข้อหาที่เกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ แม้ในที่สุดจะมีความเห็นไม่สั่งฟ้องในข้อหาดังกล่าวก็ตาม และจากการรวบรวมพยานหลักฐาน พบว่ามีผู้มาแสดงความเห็นในทำนองไม่เห็นด้วย และสาปแช่งการกระทำของธนพร
นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนยังไม่ได้สอบปากคำผู้เสียหายเพิ่มเติมด้วยว่าได้รับความเสียหายอย่างไร ผู้เสียหายถูกดูหมิ่น หรือเกลียดชังจากใคร และอย่างไร รวมถึงข้อความของธนพรไม่มีข้อเท็จว่า ผู้ตายมีพฤติกรรมอย่างไร เป็นคนไม่ดีอย่างไร เมื่อตายแล้วแผ่นดินจึงจะสูงขึ้น แต่เห็นว่าเป็นการนำคำโบราณมาพูดใส่ความทหารว่าเป็นคนเลว

จำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน

ในส่วนของพยานจำเลย ธนพรอ้างตนเองเป็นพยานเพียงปากเดียว โดยให้การต่อศาลว่า ที่เขาโพสต์ข้อความ “เสียดายตายแค่เจ็ดน่าจะตายสักห้าพันแผ่นดินจะได้สูงขึ้น” เพราะเคยเข้าร่วมการชุมนุมในปี 2553 เจ้าหน้าที่ทหารสลสยการชุมนุมโดยใช้กระสุนจริงและกระสุนยาง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทำให้เขาคิดว่าความสูญเสียที่เกิดกับประชาชนในวันนั้นมากกว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ทหารในอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก
ธนพร ให้การว่า เขาอยู่ร่วมในเหตุการณ์การสลายชุมนุมวันที่ 10 เม.ย. 2553 บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา และได้เห็นภาพขณะนายวสันต์ ภู่ทองถูกยิงเสียชีวิตต่อหน้า และอยู่ในบริเวณเดียวกับที่นายฮิโรยูกิ นักข่าวรอยเตอร์ นายสยาม และนายจรูญ ไม่ทราบนามสกุล เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมของทหาร เพราะวันดังกล่าวเจ้าหน้าที่ทหารกับผู้ชุมนุมตั้งแนวคนละฝั่งกัน ส่วนตัวเขาเองนั้นถูกยิงด้วยกระสุนยางที่หน้าอกและสีข้าง ทำให้เนื้อบางส่วนหลุดหายไป ปัจจุบันยังเป็นแผลเป็นอยู่
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ธนพรรู้สึกเกลียด กลัว และอึดอัด เมื่อต้องพบเจอหรืออยู่ใกล้เจ้าหน้าที่ทหาร เพราะทำให้นึกถึงการตายของนายวสันต์ เป็นเหตุให้เขาพิมพ์และเผยแพร่ข้อความดังกล่าว หลังแสดงความเห็นไปแล้วบุคคลอื่นเกือบทั้งหมดแสดงความเห็นต่อว่าเขา เขารู้สึกกดดันจึงปิดบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวหลังจากเผยแพร่ข้อความไปแล้ว 1 วัน ก่อนจะมีผู้บันทึกภาพหน้าจอไปเผยแพร่ ซึ่งเขาไม่มีส่วนรู้เห็น
จากนั้น ธนพรถูกทหารควบคุมตัวเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2557 ไว้ที่กองร้อยสารวัตรทหารที่สนามเป้า และสโมสรตำรวจ โดยยึดโทรศัพท์และไม่ให้โอกาสติดต่อบุคคลที่ไว้วางเกี่ยวกับสถานที่ที่ถูกควบคุมตัว ระหว่างควบคุมไม่มีการสอบถาม มีเพียงการต่อว่าทำนองว่า คิดว่าเก่งนักหรือ คิดว่าแน่ใช่ไหม ซึ่งธนพรคิดว่าทหารควบคุมตัวไปเพื่อให้หลาบจำ
หลังเกิดเหตุ ธนพรได้พยายามติดต่อญาตินายทหารผู้เสียชีวิตทั้ง 7 นาย ซึ่งติดต่อได้เพียงบางท่าน เพื่อขอโทษและสำนึกในการกระทำที่ได้ทำไปแล้ว โดยได้เสนอไกล่เกลี่ยเกี่ยวกับการโฆษณาขอโทษ และบวชเพื่อขอขมา ญาติของผู้ตายบางคนขอให้ไปขอขมาผู้ตายในที่เกิดเหตุ ซึ่งเขาก็ได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว
จากนั้นอัยการได้ถามค้านธนพร โดยเขาไม่ทราบว่าทหารที่มาสลายการชุมนุมจะมาจากกองทัพภาคที่ 3 หรือไม่ และไม่ทราบว่าศาลพิพากษาเกี่ยวกับการตายของนายฮิโรยูกิว่าเกิดจากระสุนความเร็วสูง แต่ไม่ทราบว่าเป็นกระสุนของฝ่ายใด และเท่าที่ทราบ สื่อโดยทั่วไปลงข่าวในเชิตำหนิการกระทำของเขา
ธนพรยังเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารไม่มีอำนาจควบคุมตัวเขาตามกฎอัยการศึก แต่ที่ไม่ได้แจ้งความตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา เพราะอาจถูกปฏิเสธแจ้งความ หรือต่อให้รับแจ้งความก็เป็นที่ทราบกันดีว่าผลจะออกมาในทางเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ทหาร และเขาได้สำนึกว่าได้กระทำสิ่งที่ไม่สมควร ทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์

แถลงการณ์ปิดคดี

หลังการสืบพยานเสร็จสิ้นในวันที่ 13 ต.ค. 2559 ทนายความจำเลยได้ยื่นแถลงการณ์ปิดคดี โดยระบุว่า ข้อความของธนพรไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท เนื่องจากเป็นการกล่าวเปรียบเทียบที่เลื่อนลอย คาดคะเนเอาเองโดยไม่ยืนยันข้อเท็จจริง และคำว่า “แผ่นดินจะสูงขึ้น” เป็นคำเปรียบเปรยโบราณอันเป็น “ข้อความที่ไม่อาจเป็นจริงได้” ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายต่อญาติผู้เสียชีวิต เมื่อรวมกันตลอดข้อความแล้วเป็นเพียงข้อความในทำนองสมน้ำหน้า ซ้ำเติมผู้ตาย ซึ่เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมในทางศีลธรรมอัดีของประชาชน แต่ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามฟ้องโจทก์
พยานต่างก็เบิกความถึงข้อความของธนพรในทำนองว่า เป็นข้อความหยามเหยียดไม่ให้เกียรติผู้ตาย ย่อมเป็นไปตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 578/2550 ว่า ข้อความที่เป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่ไม่สุภาพ หรือเหยียดหยาม ไม่เป็นใส่ความ ไม่ผิดฐานหมิ่นประมาท
ธนพรยังไม่ได้มีเจตนาใส่ความผู้ตายและผู้เสียหาย เนื่องจากใจความที่เขาต้องการจะสื่อสารคือ เสียดายตายน้อยไป น่าจะตายมากกว่านี้ ส่วนคำว่า “แผ่นดินจะได้สูงขึ้น” เป็นเรื่องที่ธนพรคาดเดาเอาเองจากประสบการณ์เลวร้ายที่เคยถูกกระทำจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหาร จึงโพสต์ระบายความรู้สึกด้วยความคับแค้นใจในลักษณะดังกล่าว
แถลงการณ์ปิดคดียังระบุอีกว่า ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงให้ศาลรับฟังได้ว่า ข้อความของธนพรน่าจะเป็นเหตุให้ภรรยา หรือบุตร หรือบิดามารดาของผู้ตาย ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังหรือไม่ อย่างไร แต่กลับเห็นว่า ประชาชนทั่วไปและสื่อมวลชน นำเสนอข่าวไปในทางตำหนิ ว่ากล่าว ด่าทอ และประณามการกระทำของธนพร และพยานผู้เสียหายทุกปากให้การสอดคล้องกันว่า ไม่ได้ถูกดูหมิ่นเกลียดชังแต่อย่างใด
ทั้งนี้ คำพิพากษาฎีกาที่ 2777/2545 ชี้ให้เห็นว่า การที่จำเลยโพสต์ข้อความทำนองว่า ตายมากกว่านี้แผ่นดินจะได้สูงขึ้น ประชาชนทั่วไปไม่อาจเชื่อได้ว่าจะเป็นเช่นนั้น และโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานและพยานบุคคลที่เป็นประชาชนทั่วไปมาเบิกความต่อศาล เพื่อยืนยันว่าอ่านข้อความของธนพรแล้วเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ทหารเป็นคนเลว สมควรตาย ความคิดเห็นของคนทั่วไปในโพสต์ของจำเลยก็ไม่มีใครเชื่อเช่นนั้น รวมถึงเวบไซต์ข่าวก็ลงข่าวในทำนองต่อว่า และประณามจำเลย จึงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า วิญญูชนทั่ไปไม่ได้เชื่อ หรือเห็นว่าผู้ตายเป็นคนเลว สมควรตายตามที่จำเลยโพสต์
นอกจากนี้ ทนายความยังยื่นคำร้องคัดค้านหนึ่งในผู้พิพากษาคดีนี้ คือ นายเทวัญ รอดเจริญ ผู้ซึ่งไกล่เกลี่ยให้จำเลยรับสารภาพก่อนเริ่มสืบพยาน ไม่อนุญาตให้ทนายความถามค้านพยานโจทก์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในปี 2553 และไม่บันทึกคำให้การของพยานโจทก์เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวไว้ในสำนวน

พิพากษา

8 ธ.ค. 2559 ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษา โดยศาลวินิจฉัยว่า แม้ผู้เสียหายจะร้องทุกข์เพียงข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ แต่ก็ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนถึงรายละเอียดพฤติการณ์ของจำเลยที่โพสต์แสดงความดูหมิ่นผู้ตาย แสดงเจตนาให้จำเลยได้รับโทษตามกฎหมาย พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวน และโจทก์มีอำนาจฟ้องคดี
ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการหาเหตุใส่ร้ายผู้ตาย แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ยิ่งมีทหารตายมากเท่าใด แผ่นดินก็จะยิ่งสูงขึ้น แม้ไม่ให้รายละเอียดและยืนยันข้อเท็จจริง แต่การเปรียบเปรยว่า “น่าจะตายสักห้าพันแผ่นดินจะได้สูงขึ้น” เป็นการทำให้บุคคลทั่วไปทราบว่า นายทหารผู้เสียชีวิตและผู้เสียหายเป็นผู้ทรยศต่อแผ่นดิน เป็นเสนียดของสังคม
ศาลเห็นว่า ผู้เสียชีวิตเสียชีวิตขณะปฏิบัติราชการ ซึ่งอาชีพททารเป็นอาชีพที่มีเกียรติ เสียสละควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญ แต่ข้อความของจำเลยมีลักษณะเป็นการเหยียดหยามเกียรติ และใส่ความผู้ตาย โดยโพสต์ให้บุคคลทั่วไปเห็นและเข้าใจได้ว่าผู้ตายเป็นคนเลว เป็นเหตุให้ญาติผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง แม้ผู้เสียหายไม่อาจแสดงพยานหลักฐานหรือพยานบุคคลได้ว่า ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นหรือเกลียดชังอย่างไร แต่หากวิญญูชนทั่วไปเห็นว่าข้อความดังกล่าวเป็นเหตุให้ถูกดูหมิ่นได้ การกระทำของจำเลยก็ถือเป็นความผิดสำเร็จแล้ว
ศาลได้ยกข้อความแสดงความคิดเห็นต่อโพสต์ของจำเลย ที่เข้ามาต่อว่า ด่าทอจำเลย แสดงให้เห็นว่าวิญญูชนเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ผิด และครบองค์ประกอบความผิด
กรณีที่จำเลยจ่อสู้เรื่องที่จำเลยเคยเห็นเจ้าหน้าที่ทหารใช้กระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุมจนเสียชีวิต เป็นเหตุให้กระทำความผิดนั้น ศาลเห็นว่าจำเลยไม่ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ตายเป็นญาติสนิทกับจำเลย รวมถึงเหตุการณ์เกิดขึ้นนานกว่า 4 ปี จึงไม่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดความคับแค้นใจ นายทหารที่เสียชีวิตในเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุม จำเลยจึงควรใช้วิจารณญาณ ไม่ใช่ใช้อารมณ์ซ้ำเติมผู้เสียหาย
กรณีอำนาจควบคุมตัวของทหารตามกฎอัยการศึก ศาลเห็นว่าบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.กฎอัยการศึกเป็นเพียงความผิดที่อาจนำคดีขึ้นพิจารณาในศาลทหาร แต่มาตรา 8 ตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ถือว่าเจ้าหน้าที่ทหารมีอำนาจเต็มที่ที่จะตรวจค้น, ที่จะเกณฑ์, ที่จะห้าม, ที่จะยึด, ที่จะเข้าอาศัย, ที่จะทำายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่, และที่จะขับไล่ และตามมาตรา 15 ทวิ ถือว่าเจ้าหน้าที่ทหารมีอำนาจที่จะกักตัวบุคคลไว้เพื่อสอบถามตามความจำเป็นของทางราชการทหารได้ จึงถือว่าการควบคุมตัวของ ร.ต.ปรัชญาชอบด้วย พ.ร.บ.กฎอัยการศึก
ศาลเห็นว่าพยานโจทก์รับฟังได้โดยปราศจากความสงสัย แต่เนื่องจากจำเลยได้สำนึกผิดต่อการกระทำของตน มีความพยายามติดต่อผู้เสียหายหลังเกิดเหตุเพื่อขอโทษ การกระทำของจำเลยเกิดจากความหลงผิด จึงให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 100,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี

8 ธันวาคม 2484: “ญี่ปุ่น” ยกพลขึ้นแผ่นดินไทย โดยไม่สนใจว่า “ไทย” จะยินยอมหรือไม่


ใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่นเมื่อบุกประเทศไทย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เมื่อญี่ปุ่นส่งกำลังพลเข้ารุกรานไทยในหลายพื้นที่ชายทะเลของไทยได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยจำเป็นต้องเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเวลาถัดมา แม้ว่าเบื้องต้นเมื่อครั้งที่อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมนีในเดือนกันยายน พ.ศ. 2482 อันเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยจะประกาศ “วางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัด” ก็ตาม
อย่างไรก็ดี การวางตัวเป็นกลางของไทยมิได้หมายความว่าไทยปฏิเสธการใช้กำลัง เพราะเมื่อฝรั่งเศสเพลี่ยงพล้ำตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับเยอรมนี รัฐบาลชาตินิยมของไทยในสมัยนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อที่จะยึดเอาดินแดนลาวและกัมพูชาที่ตกอยู่ภายใต้ความครอบครองของฝรั่งเศสมาเป็นของไทย ทำให้ “ญี่ปุ่น” ซึ่งเข้ามามีอิทธิพลอยู่ในอินโดจีนเข้ามาไกล่เกลี่ย และฝรั่งเศสได้ยอมมอบดินแดนบางส่วนให้กับไทยในช่วงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2484
ล่วงเข้าปลายปี ในวันที่ 7 ธันวาคม ญี่ปุ่นที่เคยช่วยให้ไทยได้ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมาจากฝรั่งเศส ได้ส่งเอกอัครราชทูตเข้าพบนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อเวลา 23 นาฬิกา เพื่อขออาศัยดินแดนไทยเป็นทางผ่านในการเคลื่อนทัพ ก่อนการประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐฯ ในวันที่ 8 ธันวาคม เวลา 1 นาฬิกา แต่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อยู่ระหว่างเดินทางไปราชการที่ต่างจังหวัด ทำให้ขาดผู้มีอำนาจในการสั่งการ
ญี่ปุ่นไม่รอช้ายกพลขึ้นบกในพื้นที่ชายทะเลของไทย แม้ว่าทางการไทยจะยังมิได้ให้ความยินยอมจนนำไปสู่การสู้รบระหว่างกองทัพญี่ปุ่นกับเจ้าหน้าที่ไทย หลังจากที่เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นเดินทางไปขอพบนายกรัฐมนตรีไทยเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่ไทยจะออกประกาศให้ทหารและตำรวจหยุดยิง
ประกาศของรัฐบาล
ได้รับโทรเลขจากจังหวัดต่างๆ ตั้งแต่เวลา ๐๒.๐๐ น. ว่าเรือรบญี่ปุ่นได้ยกทหารขึ้นบกที่จังหวัดสงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร และบางปู ทางบกได้เข้าทางจังหวัดพิบูลสงคราม ทุกแห่งดังกล่าวแล้วได้มีการปะทะสู้รบกันอย่างรุนแรงสมเกียรติของทหารและตำรวจไทย ๐๗.๓๐ น. วันนี้ รัฐบาลไทยได้สั่งให้ทหารและตำรวจทุกหน่วยหยุดยิงชั่วคราวเพื่อรอคำสั่ง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังเจรจากันอยู่ ผลเสียหายทั้งสองฝ่ายยังไม่ปรากฏ
กรมโฆษณาการ
๘ ธันวาคม ๒๔๘๔
ต่อมาในวันที่ 9 ธันวาคม ได้มีการเรียกประชุมวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎรเป็นการด่วนเพื่อที่รัฐบาลจะได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ทางรัฐบาลได้ยินยอมให้ญี่ปุ่นผ่านประเทศไทย เพื่อไปมาเลเซีย สิงคโปร์ และพม่า  “เพราะไม่มีทางจะต่อสู้ต้านทานกำลังกองทัพญี่ปุ่นได้จึงยอมตามคำขอ”
มวลสมาชิกสภาได้รับทราบดังนั้นแล้ว เพราะเหตุที่ได้กล่าวแล้วว่า คนไทยทุกคนได้รับการปลุกใจให้รักชาติ ให้ทำการต่อสู้ศัตรู ตามกฎหมายกำหนดหน้าที่ของคนไทยในการรบเมื่อทราบว่ารัฐบาลยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านไป โดยไม่ได้มีการต่อสู้ตามที่เคยประกาศชักชวนปลุกใจไว้ อันตรงกันข้ามกับจิตใจคนไทยในขณะนั้น จึงทำให้การประชุมในครั้งนั้น เป็นการประชุมที่แสนเศร้าที่สุด ทั้งสมาชิกสภา รัฐมนตรี ได้อภิปรายซักถามโต้ตอบกันด้วยน้ำตานองหน้า ความรู้สึกของทุกคนในขณะนั้น คล้ายกับว่าเด็กถูกผู้ใหญ่ที่มีกำลังมหาศาลรังแก จะสู้ก็สู้ไม่ได้ ทั้งมีความวิตกว่า ประเทศไทยได้สูญเสียเอกราชอธิปไตยไปแล้ว” ประเสริฐ ปัทมะสุนธ์ อดีตเลขาธิการรัฐสภา กล่าว

อ้างอิง: รัฐสภาไทย ในรอบสี่สิบสองปี (๒๔๗๕-๒๕๑๗). ประเสริฐ ปัทมะสุนธ์ อดีตเลขาธิการรัฐสภา

ดูอีกรอบทรัพย์สิน สนช.ใหม่ “30 นายพล” รวยระดับมหาเศรษฐีหลักร้อยล้านบาท

ดูอีกรอบทรัพย์สิน สนช.ใหม่ “30 นายพล” รวยระดับมหาเศรษฐีหลักร้อยล้านบาท
        ดูอีกรอบทรัพย์สิน สนช. ใหม่ พบ “30 นายพล รวยระดับมหาเศรษฐี” เผย “ผบ.นสศ.” มี 13 ล้าน “เสนาธิการทหารอากาศ” รวยกว่า 40 ล้าน ผบ.พล.ร.9 ค่ายพรมโยธี มี 47 ล้าน รองแม่ทัพ 1 มีทรัพย์สิน 20 ล้าน ผช.ผบ.ทบ. มี 26 ล้าน อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก มีกว่า 56 ล้าน น้องชาย องคมนตรี - แม่ทัพภาค 4 รวย 92 ล้าน อดีตเจ้ากรมการทหารช่าง รวย 58 ล้าน ผบ.นาวิกโยธิน รวย 32 ล้าน ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รวย 165 ล้านบาท ส่วน “เสนาธิการทหารเรือ” มีทรัพย์สินกว่า 187 ล้านบาท - ผู้ช่วย ผบ.ทร. รวย 51 ล้าน ผู้ช่วย ผบ.ทอ. มี 161 ล้าน ด้านสองนายตำรวจใหญ่ “ผบช.น. รวย 93 ล้าน - ผบภ.1 มีทรัพย์สิน 282 ล้านบาท ตะลึง! นายพลสะสมพระเครื่อง - ปืน - นาฬิกาหรู - งาช้าง เพียบ!
       
       วันนี้ (8 ธ.ค.) ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงาน ป.ป.ช. โดยสำนักตรวจสอบทรัพย์สินภาคการเมือง เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน พร้อมเอกสารประกอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 จำนวน 31 ราย สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2559 จำนวน 2 ราย และ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติกรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2559 จำนวน 1 ราย ให้สาธารณชนทราบระหว่างวันที่ 8 - 22 ธันวาคม 2559 ที่ห้องแสดงบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน สำนักงาน ป.ป.ช. สนามบินน้ำ
       
       1. พลตรี เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 18,453,475.10 บาท
       
       2. นายเจริญศักดิ์ ศาลากิจ รองศาสตราจารย์ ภาควิชาเวชศาสตร์คลินิกสัตว์ใหญ่และสัตว์ป่า คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน จ.นครปฐม ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 29,152,677.81 บาท
       
       3. พลตรี เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ค่ายพรมโยธี จ.ปราจีนบุรี ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 47,797,418.17 บาท ทั้งนี้ พบว่า พลตรี เจริญชัย มีอาวุธปืนสั้นอัตโนมัติ - ลูกโม่ ที่ยื่นบัญชีจำนวน 8 กระบอก ขณะที่มีพระเครื่องและของที่ระลึก ที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้
       
       4. พลโท นิวัติ ศรีเพ็ญ อดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และอดีตเจ้ากรมพระธรรมนูญ ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 26,451,711 บาท ทั้งนี้ พบว่า พลโท นิวัติ ระบุว่า มีทรัพย์สินส่วนตัวเป็นนาฬิกาโรเล็กซ์ มูลค่า 2 แสนบาท
       
       5. นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย ประธานกรรมการ บจก.แฟคตอรี่ แอนด์ อีควิปเมนท์ กสิกรไทย ประธานกรรมการ บจก.ลิสซิ่งกสิกรไทย ประธานกรรมการ บ.หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 129,253,376.09 บาท
       
       6. พลโท ศิริชัย เทศนา ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 13,772,611.94 บาท พบว่า มีเงินลงทุนในทุนเรือนหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จำนวน 4 แสนหุ้น มูลค่ารวม 4,600,000 บาท ส่วนที่ดิน พบว่า มีที่ดินครอบครอง ใน จ.ลพบุรี 4 แปลง มูลค่า 4.5 ล้านบาท มีบ้านพักใน จ.ลพบุรี 2 หลัง มูลค่ารวม 2.5 ล้านบาท
       
       7. พลอากาศเอก สุรศักดิ์ ทุ่งทอง เสนาธิการทหารอากาศ คณะกรรมการบริหารบริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด และคณะกรรมการบริหารสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์กรมหาชน) กระทรวงกลาโหม ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 40,228,927.01 บาท พบว่าทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินฝาก และเงินลงทุน
       
       8. พลโท สุรใจ จิตต์แจ้ง ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 16,986,192 บาท ทั้งนี้ พบว่า มีบ้านพักที่ อ.เมือง ปทุมธานี มูลค่า 7 ล้านบาท
       
       9. พลอากาศเอก สุทธิพงษ์ อินทรียงค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ กองบัญชาการกองทัพอากาศ ตุลาการศาลทหารกรุงเทพ และกรรมการบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 18,639,183.01 บาท พบว่ามีทรัพย์สินอาทิ นาฬิกาหรู 9 เรือน พระพุทธชินราชทองคำ มูลค่า 8 หมื่นบาท ยังระบุว่า มีงาช้างในครอบครอง 1 คู่ น้ำหนักรวม 25 กิโลกรัม มูลค่า 875,000 บาท
       
       10. พลเรือเอก สุชีพ หวังไมตรี ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,302,186.93 บาท
       
       11. นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ กทม. ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 5,899,571.69 บาท พบว่า ทรัพย์สินสว่นใหญ่เป็นทองรูปพรรณ และทองคำโบราณ มีพระเครื่องนางพญาและสร้อยคอทองคำ มูลค่า 608,750 บาท พระเครื่องหลวงปู่ศุข และสร้อยคอทองคำ มูลค่า 308,750 บาท
       
       12. พลตรี สันติพงศ์ ธรรมปิยะ รองแม่ทัพภาคที่ 1 ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 20,238,125.86 บาท ส่วนใหญ่เป็นบัญชีเงินฝาก 14 บัญชี มูลค่า 11,901,387.62 บาท มีทรัพย์สิน อาทิ พระสมเด็จ มูลค่ารวม 1 แสนบาท ปืนพก 7 กระบอก มูลค่ากว่า 2 แสนบาท ขณะที่ภรรยารองแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นเจ้าของกิจการมณีรัตน์ไหมไทย และถือหุ้นในบริษัท 2 แห่ง โดยมีทรัพย์สินส่วนใหญ่ เป็นสร้อยคอทองคำ สร้อยมุก สร้อยระยา แบบต่างๆ จำนวนมาก
       
       13. พลโท สรรชัย อจลานนท์ รองเสนาธิการทหารบก ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 8,542,702.84 บาท มีทรัพย์สิน อาทิ พระเหลี่ยมทอง 22 รายการ มูลค่า 2.5 แสนบาท นาฬิกาหรู 3 เรือน มูลค่ากว่า 5 แสนบาท
       
       14. พลเอก สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ทบ.) ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 26,236,625 บาท ทั้งนี้ พบว่า มีทรัพย์สินส่วนตัวเพียง รถยนต์ฮอนด้าซีวิด มูลค่า 2 แสนบาท ขณะที่รถอีก 4 คันเป็นของคู่สมรส
       
       15. พลเอก ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธิ์ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก อดีตผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 56,528,678.77 บาท มีทรัพย์สิน อาทิ พระเครื่อง 16 องค์ที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้
       
       16. นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3 สถาบัน กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท เอเชียไฟเบอร์ จำกัด (มหาชน) บรริษัท เจน แอลจุล จำกัด บริษัท ศิริโฮลดิ้ง จำกัด ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 339,115,360.83 บาท เป็นบัญชีเงินฝาก 11 บัญชี มูลค่า 21,960,937.47 บาท เป็นเงินลงทุนใน 6 บริษัท 133,346,000 บาท มีที่ดิน 3 โฉนด มูลค่ารวม 82,897,224 บาท โดยเฉพาะที่ดินตำบลบ้านเก่า อ.พานทอง ชลบุรี จำนวน 99 ไร่ 3 งาน 24 ตร.ว. มีมูลค่าถึง 40 ล้านบาท นอกจากนั้น ยังมีห้องชุด 4 แห่ง และบ้านเดี่ยวใน กทม. มูลค่า 19.5 ล้านบาท
       

       17. พลตำรวจโท ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 93,231,353.44 บาท พบว่า ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นของคู่สมรสนางฉวีวรรณ มหถาวร ส่วนที่ดินส่วนใหญ่ ระบุว่า เป็นทรัพย์ที่มารดาและน้า ยกให้คู่สมรส รวมไปถึงบ้านพักที่ จ.แพร่ โดย พบบ้านพักของ ผบช.น. มี 1 แห่ง มูลค่า 1,167,480 บาท ตั้งอยู่ในเขตหลักสี่ กทม. ทั้งนี้ยังพบว่า รถยนต์หรู - จักรยานยนต์หรู เป็นของคู่สมรส ผบช.น. ทั้งหมด เช่น รถ LEXUX R200 มูลค่า 4.1 ล้านบาท เป็นต้น ยังพบว่า มีการแจ้งปืนพกสั้น 6 กระบอก ยังมีนาฬิกาหรู เรือนละ 139,000 บาท และนาฬิกาเรือนทอง มูลค่า 7 หมื่นบาท ครอบครองอยู่ด้วย
       
       18. พลตรี วุฒิชัย นาควานิช ผู้บัญชาการกองพลทหารราบ ที่ 9 กาญจนบุรี (น้องชาย พล.อ.ธีรชัย นครวานิช (องคมนตรี) และ พล.ท.ปิยะวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4) ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 92,669,132.785 บาท โดยระบุทรัพย์ส่วนตัว อาทิ พระสมเด็จเนื้อทองคำ มูลค่า 1 ล้านบาท ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ เป็นของคู่สมรส นางสาวอรพินธ์ สวัสดิ์สาลี
       
       19. นายวิทยา ผิวผ่อง อดีตผู้ช่วย รมว.เกษตรและสหกรณ์ ผู้ว่าฯหลายจังหวัด รวมถึงที่ปรึกษาบริษัทเอกชน 3 แห่ง ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 32,242,847.48 บาท พบว่า มีทรัพย์สิน อาทิ เหรียญทองคำ 8 เหรียญ พระเลี่ยมทอง 16 องค์ สร้อยคอทองคำ 3 เส้น มูลค่ารวม 850,000 บาท ยังมีทองคำแท่ง น้ำหนัก 125 บาท มูลค่า 3,125,000 บาท
       
       20. พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือ ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 187,610,307.90 บาท โดยส่วนใหญ่เป็นที่ดินมูลค่ากว่า 170 ล้านบาท ในเขตลาดกระบัง กทม. และ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ
       
       21. พลเรือโท รัตนะ วงษาโรจน์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อ.สัตหีบ ชลบุรี ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 32,155,366.2 บาท ส่วนใหญ่ทรัพย์สิน เป็นที่ดิน 13 แปลง หลายอำเภอใน จ.ชลบุรี มีพระเครื่องกว่า 568 องค์ มูลค่า 6.5 แสนบาท
       
       22. พลตรี พัลลภ เฟื่องฟู ผู้บัญชาการกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน กทม. ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 12,804,997.55 บาท พบว่าทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเป็นเงินฝาก และเครื่องประดับ ทองคำ เป็นของคู่สมรส
       
       23. พลเรือเอก พลเดช เจริญพูล อดีตรองผู้บัญชาการกองทัพเรือ ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 8,384,762.20 บาท พบว่า ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินฝาก
       
       24. พลเรือเอก นริส ประทุมสุวรรณ ผู้ช่วยผู้บัญชาการกองทัพเรือ ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 51,129,043.73 บาท โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินฝาก และที่ดิน
       
       25. พลตรี ธรรมนูญ วิถี รองแม่ทัพภาคที่ 1 ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 11,444,737.22 บาท มีทรัพย์สินเช่น พระพุทธรูป และรูปหล่อบูรพกษัตริย์ 57 องค์ นาฬิกาหรู 11 เรือน พระเลี่ยมทอง 41 องค์
       
       26. พลเอก ธนดล สุรารักษ์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก อดีตเจ้ากรมการทหารช่าง ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 58,987,394.40 บาท ยังพบว่า มีรายได้จากเบี้ยประชุมจากบริษัท บิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด มหาชน จำนวน 223,302.45 บาท เงินเดือนจากบริษัท บิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด มหาชน จำนวน 446,755.9 บาท ยังพบว่ามีทรัพย์สินอาทิ นาฬิกา 7 เรือน มูลค่ารวม 8,800,000 บาท พระเครื่อง 10 องค์ มูลค่ารวม 3,870,000 บาท
       
       27. พลเรือเอก ทวีชัย บุญอนันต์ ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพเรือ ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 23,500,915.29 บาท ส่วนใหญ่เป็นเงินฝาก เงินลงทุน ที่ดิน
       
       28. พลโท ณัฐพล นาคพาณิชย์ รองเสนาธิการมหารบก อดีตเจ้ากรมยุทธการทหารบก ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 27,445,941.94 บาท พบว่า ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินฝาก
       
       29. พลตรี ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 165,753,858.12 บาท พบว่า ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง เงินฝาก ที่ดินของคู่สมรส พอ.หญิงพิมพ์พิศา จิตต์แก้วแท้ นายทหารปฏิบัติการประจำ มทบ.11 โดยเฉพาะที่ดิน 16 โฉนด มูลค่ากว่า 96,460,500 บาท บ้านพักและห้องพัก ใน กทม. นนทบุรี ลพบุรี 11 แห่ง มูลค่ารวม 38 ล้านบาท และ เป็นเงินฝากให้บุตรสาว 1.2 ล้านบาท
       
       30. พลอากาศเอก ชูชาติ บุญชัย ผู้บัญชาการกรมควบคุมการปฏิบัติทางอากาศ พระองค์ ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 23,805,820 บาท พบว่าทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง
       
       31. พลตำรวจโท ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 พระองค์ ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 282,638,875.98 บาท พบว่า สว่นใหญ่เป็นเงินฝาก 14 บัญชี กว่า 60 ล้านบาท ยังมีทรัพย์สิน เป็นอาวุธปืน 45 กระบอก มูลค่า 2 ล้านบาท งาช้าง 6 กิ่ง มูลค่า 2 แสนบาท
       
       32. พลอากาศเอก ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผู้ช่วยผู้บัญชาการกองทัพอากาศ ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 161,717,520.67 บาท ส่วนใหญ่เป็นเงินฝาก 8 บัญชี 15 ล้านบาท ยังพบว่าบ้านพักในหมู่บ้านลัดดาวัลย์ ปทุมธานี มูลค่า 45 ล้านบาท (ร่วมกู้กับคู่สมรส) มีนาฬิกาหรู 33 เรือน มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท พระเครื่องสมเด็จจิตรลดา 2 องค์ มูลค่ารวม 5 ล้านบาท พระเครื่องสมเด็จวัดระฆัง 2 องค์ มูลค่า 4 ล้านบาท เป็นต้น
       
       33. พลอากาศโท จิรวัฒน์ มูลศาสตร์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน พระองค์ ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 8,214,232.14 บาท โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินฝาก 16 บัญชี
       
       34. พลโท กนิษฐ์ ชาญปรีชญา รองเสนาธิการทหารบก พระองค์ ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 44,864,046.76 บาท โดยทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนกว่า 13 ล้านบาท

เชิงบันไดทำเนียบ : ‘วงศ์เทวัญ’ Come Back มนต์ขลังบารมี ‘ป๋าเปรม’ ในวัน ‘บูรพาพยัคฆ์’ ผลัดใบ

เป็นอีกห้วงสัปดาห์ประวัติศาสตร์ ภายหลัง ‘ป๋าเปรม’ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เสร็จสิ้นภารกิจผู้สำเร็จราชการแทนฯ และได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นประธานองคมนตรี เป็นอีกประวัติศาสตร์ของ ‘ป๋าเปรม’ ที่ได้ดำรงตำแหน่งนี้ 2 แผ่นดิน
 ตลอดระยะเวลา 50 วันที่ พล.อ.เปรม เป็นผู้สำเร็จราชแทนฯนั้น ไม่ได้ออกงานใดๆเป็นพิเศษ ทำงานอยู่ในบ้านสี่เสาเทเวศร์เท่านั้น เว้นแต่งานพระราชพิธีในพระบรมมหาราชวัง การขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานองคมนตรีอีกครั้ง ก็สะท้อนถึง ‘บารมี’ พล.อ.เปรม ที่ได้สร้างมาตลอด 40-50ปี ที่ผ่านมา ครั้งเป็น ผบ.ทบ.-นายกรัฐมนตรี จนถึงวันนี้
ด้วยบุคคลิกของ พล.อ.เปรม ที่เป็นคนนิ่ง ไม่ชอบตอบโต้คู่ตรงข้าม พูดน้อย แต่ทุกครั้งที่พูดย่อมแฝงไปด้วยคำตอบที่สำคัญ และการทำงานในตำแหน่งปธ.องคมนตรีมานาน ย่อมทำให้รู้งานและข้อปฏิบัติ ธรรมเนียมต่างๆเป็นอย่างดี แม้ก่อนหน้านี้ พล.อ.เปรม ทราบถึงการถูกโจมตีทางการเมือง ว่าเกี่ยวข้องกับเหตุรัฐประหาร 2549
แต่ด้วยบุคลิกที่ “นิ่งสงบ สยบความเคลื่อนไหว” จึงทำให้ พล.อ.เปรม ยังคงเป็น “ผู้ใหญ่” ของบ้านเมืองเสมอมา และ ม็อตโต้ ‘ตอบแทนคุณแผ่นดิน’ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ พล.อ.เปรม ตระหนักถึงหน้าที่ ไม่ว่าจะสถานะใดก็ตาม
แต่ด้วยสถานะของ พล.อ.เปรม ในวันนี้ก็ทำให้กระแสข่าวที่มีการพูดถึงในสังคมสยบลง และเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า ‘บารมี’ บ้านสี่เสาเทเวศร์ ไม่เคยลดลง ไม่ว่าจะมีวิกฤติการเมืองโจมตี พล.อ.เปรม อย่างไร
‘บารมี’ ยิ่งมากขึ้นนับตั้งแต่ ‘บิ๊กเจี๊ยบ’พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท สายรบพิเศษ รุ่นน้อง ‘บิ๊กแอ๊ด’พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ลูกป๋าอีกคน ได้ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ซึ่ง ‘บิ๊กแอ๊ด’ เองก็ได้รับการแต่งตั้งเป็น องคมนตรี ต่ออีกด้วย
แต่ที่สร้างความสนใจมาก คือ การแต่งตั้ง 10 องคมนตรีใหม่ โดยมี ‘บิ๊กต๊อก’พล.อ.ไพบุลย์ คุ้มฉายาตท.15 อดีตรมว.ยุติธรรม ‘บิ๊กหนุ่ย’ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ตท.12 อดีตรมว.ศึกษาธิการ และ‘บิ๊กหมู’ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ตท.14 อดีตผบ.ทบ.
แสดงให้เห็นถึงการกลับมาของสายวงศ์เทวัญ ที่เป็นอดีตผบ.พล.1 รอ. และ เครือข่ายราบ11 (ร.11 รอ.) เพราะทั้ง ‘บิ๊กต๊อก-บิ๊กหนุ่ย’ ก็อยู่ในไลน์สายนี้ทั้งสิ้น โดย พล.อ.ไพบูลย์ เป็นอีกนายทหารคีย์แมนสำคัญของคสช. ครั้งก่อนรัฐประหาร2557 คอยทำงานให้ ‘บิ๊กตู่’พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่ครั้งเป็นผบ.ทบ. และมีบทบาทสูงในการจัดการคดี ม.112 ทั้งในและต่างประเทศ ในฐานะรมว.ยุติธรรม ซึ่ง พล.อ.ไพบูลย์ ก็ทำงานด้านการปกป้องสถาบันตั้งแต่เป็น ผบ.พล.1 รอ. มาแล้ว ถือเป็นเวลาหลายปีที่ทำงานด้านการติดตามกลุ่มคนหมิ่นสถาบัน
ด้าน พล.อ.ดาว์พงษ์ เป็นอีกนายทหารที่มีบทบาทนำตั้งแต่เหตุรัฐประหารปี2549 และเคยเป็นผู้ช่วยเลขานุการศูนย์อำนาจการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ช่วงเหตุการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มนปช.ปี2553 มาแล้ว ซึ่งมีนายทหารรุ่นน้องที่เติบโตมาด้วย คือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมาย คสช. และ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ เสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชาฝ่ายกฎหมาย เป็นทีมกฎหมายที่ทำคดีคนเสื้อแดงมาตั้งแต่รัฐประหารปี2549 สมัย พล.อ.ดาว์พงษ์ เป็น เสธ.ทบ. สมัย พล.อ.ประยุทธ์ เป็น ผบ.ทบ.มาแล้ว
เรื่อยมาถึง ‘บิ๊กแดง’ พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ สายวงศ์เทวัญ ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่1 ที่ได้เปรียบเพื่อน ตท.20 จ่อขึ้น 5 เสือทบ.ปี60 เป็นแคนดิเดทผบ.ทบ.ในอนาคต อีกทั้ง ‘บิ๊กโอ’ พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ รองแม่ทัพภาคที่1 สายวงศ์เทวัญ ที่ได้รับมอบหมายดูแลงานภาพรวมของกองอำนวยการร่วมฯที่สนามหลวง ทำให้กลับมาฉายแวว มีโอกาสชิงนั่ง แม่ทัพน้อยที่1 อีกครั้ง เพื่อขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่1 ในอนาคตได้เช่นกัน หลังก่อนหน้านี้คาดกันว่าจะได้ไปติดยศ ‘พลโท’ ที่ตำแหน่งรองเสธ.ทบ.
ในส่วนของ ‘บิ๊กหมู’พล.อ.ธีรชัย ถือเป็นนายทหารสายบูรพาพยัคฆ์ ที่ได้กลับมาอีกครั้ง หลังมีกระแสถูกทาบทามนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี แต่ก็เงียบหายไป บนเส้นทางที่รายล้อมด้วย ‘วงศ์เทวัญ’ ด้วยครั้งสมัยเป็นผบ.ทบ. ได้ทำการปกป้องสถาบันไม่ให้ใครมาแอบอ้างหาผลประโยชน์ได้ และมีบทบาทสำคัญในการรัฐประหาร2557 ในฐานะแม่ทัพภาคที่1 ที่คุมขุมกำลังปฏิวัติในเวลานั้นด้วย
ทั้งหมดนี้จึงสะท้อน ว่าเป็นการ COME BACK ของ ‘วงศ์เทวัญ’ และ บารมีที่ไม่เคยอับแสง มนต์ขลังบารมี ของ ‘บ้านสี่เสาฯ’ และเป็น 10 ปีของ ‘บูรพาพยัคฆ์’ ที่ถึงวันเวลาผลัดใบ
ที่ต้องติดตาม คือ การปรับครม.ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ จะเป็นการปรับใหญ่หรือเล็ก ทุกอย่างขึ้นกับนายกฯเท่านั้น เพราะยังคงมีกระแสว่าอาจมีรัฐมนตรีบางรายไปดำรงตำแหน่งองคมนตรีอีก เพราะยังว่างอยู่ 8 ที่นั่ง ตาม รธน. 2550 ที่ให้คณะองคมนตรีมีได้ไม่เกิน 19 คนรวมปธ.องคนมนตรี
จึงต้องติดตามกันต่อไป

"บิ๊กตู่" เยือน กรมปทุมวัน เยี่ยมสตช. บอกพอใจการทำงานของตำรวจ

"บิ๊กตู่" เยือน กรมปทุมวัน เยี่ยมสตช. บอกพอใจการทำงานของตำรวจ เปรย ขอโทษ ที่อาจทำหลายอย่างไม่ถูกใจ แต่ย้ำทำทุกอย่างเพื่อประชาชนและสถาบัน
(7ธ.ค.)ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พร้อมด้วย บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม เดินทางตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)
พร้อมรับฟังความคืบหน้าการปฏิรูปตำรวจ โดยมีพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และบิ๊กๆตำรวจระดับสูงให้การต้อนรับ
นายกรัฐมนตรี กล่าวในตอนต้นของการประชุมว่า การเดินทางมาตรวยเยี่ยมสำนักงานตำรวจแห่งชาติในครั้งนี้ เป็นการเดินทางมาแบบไม่เป็นทางการ เพื่อมาพูดคุย ให้กำลังใจ และทำความเข้าใจว่าจะทำอะไรเพื่อประเทศชาติ รวมทั้งการปฏิรูปประเทศที่ตำรวจจะต้องมีส่วนร่วมด้วย เพราะถือว่าได้ว่าเกี่ยวข้องกับประชาชน
ทั้งนี้พอใจการทำงานของตำรวจที่ผ่านมาและต้องขอโทษ ที่อาจทำหลายอย่างไม่ถูกใจ แต่ก็ไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์

ทรง อุ่นใจ และเชื่อมือ"ป๋าเปรม-องคมนตรี" ทำเพื่อชาติ-สถาบันฯ

ทรง อุ่นใจ และเชื่อมือ"ป๋าเปรม-องคมนตรี" ทำเพื่อชาติ-สถาบันฯ
(7ธ.ค.)"ป๋าเปรม"นำ 10 องคมนตรี เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ฯ ก่อนปฏิบัติหน้าที่ /ร.10 รับสั่ง "ป๋ามาเป็นประธาน ก็อุ่นใจแล้ว " มั่นใจทุกคน เพราะเคยปฏิบัติหน้าที่ถวายในรัชกาลก่อน หลายคน ก็เชื่อมือกัน และคิดจะทำให้ประเทศเรามีความสุข จะได้ตั้งใจทำงานได้ เผยมีงานมากมาย จะมอบหมายอีกที ทรงเผย คุยนอกรอบกันแล้ว
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร. ได้มีพระราชดำรัส แสดงความยินดี และขอบใจที่มีน้ำใจช่วยงาน
"คิดว่าคณะองคมนตรีในยุคนี้ปัจจุบันนี้ จะได้รับการมอบภารกิจ ตลอดจนได้รับโอกาส หรือหน้าที่ ที่จะให้คำแนะนำ ตลอดจนช่วยกันดำรงความมั่นคงของสถาบันและประเทศชาติ ตลอดจนมีการแบ่งงานกันให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ว่า ใครทำอะไร
ในบางเรื่องในความชำนาญก็จะขอคำแนะนำ ตลอดจนปรับความสำคัญในการทำงานให้สอดคล้องกับนโยบายเกี่ยวกับสถาบันและเกี่ยวกับประเทศชาติ เป็นเรื่องของแผ่นดิน เพราะว่ามีเรื่องต่างๆ ที่จะมอบให้ก็มาก อย่างที่เคยคุยกันนอกรอบแล้ว
ขอขอบคุณและได้ป๋ามาเป็นประธาน ก็อุ่นใจแล้ว ทุกคนก็เคยปฏิบัติหน้าที่ถวายในรัชกาลก่อน หลายคนก็เชื่อมือกัน และคิดจะทำให้ประเทศเรามีความสุข จะได้ตั้งใจทำงานได้ ขอบคุณ"
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี นำองคมนตรี ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดฯ แต่งตั้ง ใหม่จำนวน10 คน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณตน ก่อนเข้ารับหน้าที่
ประกอบด้วย 1. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
2. นายเกษม วัฒนชัย
3. นายพลากร สุวรรณรัฐ
4. นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ
5. นายศุภชัย ภู่งาม
6. นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ
7. พลอ.อ.ชลิต พุกผาสุข
8. พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ
9. พล.อ.ธีรชัย นาควานิช
10. พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ โดย วสิษฐ เดชกุญชร

(มติชน :6 ธ.ค.59)
เมื่อผมได้รับแต่งตั้งเป็นนายตำรวจราชสำนักประจำในปี พ.ศ.2513 นั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯทรงมีพระชนมายุได้ 18 พรรษา และมิได้ประทับอยู่ในประเทศไทย แต่เสด็จฯไปทรงศึกษาต่อในชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่ประเทศอังกฤษแล้ว และเสด็จฯกลับมายังประเทศไทยเป็นครั้งคราวเวลาโรงเรียนปิดภาคการศึกษา พอทรงสำเร็จการศึกษาที่ประเทศอังกฤษแล้ว ก็เสด็จฯไปทรงศึกษาวิชาทหารต่อที่ประเทศออสเตรเลีย จนกระทั่งปี 2521 จึงเสด็จฯกลับมายังประเทศไทย ผมจึงมีเวลาได้ทำหน้าที่ถวายเป็นเวลาเพียง 3 ปี ก่อนที่ผมจะย้ายกลับไปรับราชการในตำแหน่งอื่นที่กรมตำรวจในปี 2524
แต่แม้จะได้อยู่ใกล้พระยุคลบาทเพียง 3 ปี ผมก็ได้เห็นและรู้ว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯทรงมีพระนิสัยไม่ถือพระองค์ พระราชทานความสนิทสนมแก่ข้าราชบริพารอย่างเป็นกันเอง เราขานพระนามพระองค์ว่า ทูลกระหม่อมชายŽ เช่นเดียวกับ ทูลกระหม่อมหญิงใหญ่Ž (ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ) ทูลกระหม่อมน้อยŽ (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี) และ ทูลกระหม่อมเล็กŽ (สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ) ทูลกระหม่อมชายทรงใช้สรรพนามแทนพระองค์ว่า ผมŽ กับทุกคน ทรงเรียกผมว่า คุณวสิษฐŽ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ผมนั่งรับพระราชทานอาหารที่โต๊ะเสวยบ่อยๆ และเป็นที่เห็นได้ชัดว่าทรงมีพระอารมณ์ขัน โปรดที่จะตรัสเรื่องเบาๆ และชวนหัวเกือบตลอดเวลา
แต่ในขณะเดียวกันทูลกระหม่อมชายก็ทรงอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด และโปรดที่จะให้ข้าราชการทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือนที่ปฏิบัติหน้าที่ถวายอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน ทรงตรวจตราการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เหล่านั้นด้วยพระองค์เองเสมอ และหากปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดย่อหย่อนหรือละเมิดระเบียบวินัย ก็จะทรงลงพระราชอาญาด้วยพระองค์เอง เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่ในพระราชสำนักจึงต้องระวังตัวและรักษาระเบียบวินัยอยู่ตลอดเวลา ผมมีโอกาสได้ตามเสด็จฯเวลาทูลกระหม่อมชายเสด็จฯไปทรงประกอบพระราชกรณียกิจและทรงเยี่ยมประชาชนต่างจังหวัดไม่หลายครั้งนัก แต่ทุกครั้งที่โดยเสด็จฯก็เห็นว่าทูลกระหม่อมชายทรงปฏิบัติพระองค์เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับประชาชนอย่างใกล้ชิด และพระเนตรไว ทอดพระเนตรเห็นราษฎรที่เจ็บไข้โดยไม่ต้องให้มีใครกราบบังคมทูล และเมื่อทอดพระเนตรเห็นก็ทรงพระกรุณาพระราชทานความช่วยเหลือทันที เช่นเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงปฏิบัติ
ทูลกระหม่อมชายทรงเป็นนักรบทั้งในทางทฤษฎีและการปฏิบัติ ทรงสนพระราชหฤทัยในการปฏิบัติหน้าที่ของทหารและตำรวจมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงศึกษาวิชาทหารและทอดพระเนตรกิจการทหารในประเทศต่างๆหลายประเทศ ทรงรับการฝึกโดดร่มจากค่ายนเรศวร (กองกำกับการสนับสนุนทางอากาศ) กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนเป็นแห่งแรก และทรงสำเร็จการฝึกในปี พ.ศ.2514 ต่อจากนั้นจึงเสด็จฯไปทรงฝึกโดดร่มกับทั้งทหารบกและทหารเรือ ในปี 2523 หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ได้ถวายการฝึกหลักสูตรผู้ควบคุมการโดดร่มแด่ทูลกระหม่อมด้วย
ทูลกระหม่อมชายทรงกล้าหาญและไม่ทรงกลัวอันตราย ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2519 ได้เสด็จฯไปทรงเยี่ยมฐานปฏิบัติการที่บ้านหมากแข้ง อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ซึ่งเป็นฐานหนึ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีการสู้รบอยู่ตลอดเวลา ทูลกระหม่อมได้เสด็จฯออกลาดตระเวนร่วมกับทหาร เพื่อพิสูจน์ทราบจุดที่ผู้ก่อการร้ายอาจใช้ซุ่มยิง และประทับแรมที่ฐานนั้น รุ่งขึ้นยังเสด็จฯเยี่ยมราษฎร และรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ซ่อมแซมบ้านเรือนของราษฎรที่ได้รับความเสียหายจากการต่อสู้ ทำให้ทั้งราษฎรและเจ้าหน้าที่มีขวัญและกำลังใจมากขึ้น
ทูลกระหม่อมชายทรงบริหารพระวรกายเป็นพระนิสัยด้วยการวิ่งและบางครั้งก็ทรงกีฬาฟุตบอลร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร เพราะฉะนั้นจึงทรงมีพระวรกายแข็งแรง คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนั้น หายากที่ร่างกายจะแข็งแรงอย่างทูลกระหม่อมชาย ในโอกาสที่ทรงราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าตั้งแต่นี้ไปพระราชภาระในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์จะต้องหนักหนาสาหัสเช่นเดียวกับพระบรมราชชนก จึงเป็นหน้าที่ของข้าทูลละอองธุลีพระบาททุกคน ที่จะต้องพร้อมใจกันปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละคนถวายอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อช่วยแบ่งเบาพระราชภาระ

ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายชัยมงคล ขอให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

เปิดรายนามคณะองคมนตรีชุดเก่า-ชุดใหม่

(6 ธ.ค.) มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่คณะองคมนตรีได้กราบบังคมลาออกจากตำแหน่งองคมนตรีและทรงพระราชดำริเห็นเป็นการสมควรแต่งตั้งองคมนตรี นั้น
ทั้งนี้ องคมนตรี ชุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ประกอบด้วย
1.พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี โปรดเกล้าฯแต่งตั้งเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2531
2.พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์
3.นายเชาวน์ ณ ศีลวันต์
4.นายธานินทร์ กรัยวิเชียร
5.พล.ร.ต.ม.ล.อัศนี ปราโมช
6.นายจุลนภ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
7.พล.อ.อ.กำธน สินธวานนท์
8.ม.ร.ว.เทพ เทวกุล
9.นายพลากร สุวรรณรัฐ
10.นายอำพล เสนาณรงค์
11.พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
12.นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ
13.นายเกษม วัฒนชัย
14.นายศุภชัย ภู่งาม
15.นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ
16.พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข
ขณะที่องคมนตรี ชุดสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร

1.พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี โปรดเกล้าฯแต่งตั้งเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2559
2.พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
3.นายเกษม วัฒนชัย
4.นายพลากร สุวรรณรัฐ
5.นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ
6.นายศุภชัย ภู่งาม
7.นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ
8.พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข
9.พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ
10.พล.อ.ธีรชัย นาควานิช
11.พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา เป็นองคมนตรี

บทวิเคราะห์: ทรัมป์จะเข้ามาป่วนนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ

บทวิเคราะห์: ทรัมป์จะเข้ามาป่วนนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มที่จะทำให้นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ปั่นป่วน และอาจเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย คิวบาและคาบสมุทรเกาหลี
ทรัมป์ทำให้ทั่วโลกตกตะลึงในเดือนที่แล้ว เมื่อเขาสามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง ที่มีคู่แข่งเป็นฮิลลารีคลินตัน และได้เข้ามาสู่ทำเนียบขาว ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าผลลัพธ์ของโพลและความคิดของผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าคลินตันจะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป เป็นเรื่องที่ผิด
ขณะนี้ทีมงานของทรัมป์อยู่ในระหว่างการจัดสรรสมาชิกที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งต่างๆ ในคณะรัฐมนตรี ซึ่งรวมถึงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา โดยทรัมป์คาดว่าจะสร้างคณะรัฐมนตรีที่ประกอบไปด้วยสมาชิกที่เป็นผู้ยึดมั่นในหลักการเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเหล่าผู้เชี่ยวชาญต่างลงความเห็นว่าจะเป็นการสร้างสีสันใหม่ๆให้กับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในอีกสี่ปีข้างหน้า
ดาร์เรล เวสต์ นักวิชาการอาวุโสของสถาบัน Brookings ได้ให้สัมภาษณ์แก่สำนักข่าวซินหัวว่า ทรัมป์อาจกำลังหาทางที่จะสร้างความสัมพันธ์สามทางกับรัสเซียและจีน ซึ่งทรัมป์ได้ระแวดระวังอย่างมากในเรื่องนโยบายการค้าและการทหารของจีนและอาจจะพยายามกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียมากยิ่งขึ้น เพื่อกดดันเรื่องนโยบายต่างประเทศของจีน โดยทรัมป์เคยกล่าวว่าเขาต้องการข้อเสนอทางการค้าที่ดีขึ้น และยังต้องการให้บรรดาบริษัทสหรัฐอเมริกา ดำเนินงานร่วมกับประเทศสหรัฐอเมริกาให้มากขึ้น เวสต์กล่าว
เวสต์กล่าวเสริมว่า ทรัมป์อาจยกเลิกการเดินหน้าสานสัมพันธ์กับคิวบา อดีตศัตรูของสหรัฐอเมริกา ที่บารัก โอบามา เพิ่งจะเริ่มเปิดฉากสร้างความสัมพันธ์ครั้งใหม่อีกครั้งได้เพียงสองปี ขณะที่ยังไม่มีใครรู้ว่าทรัมป์จะดำเนินการต่อไปอย่างไรกับเรื่องนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเขามีแนวโน้มที่จะยกเลิกนโยบายบางส่วนของโอบามาที่เกี่ยวข้องกับคิวบา อย่างไรก็ตาม ทรัมป์คงจะไม่ได้พาความสัมพันธ์ครั้งนี้ถอยหลังกลับไปสู่สถานะเช่นอดีตในสมัยสงครามเย็น
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังอาจกระตุ้นให้จีนกดดันเกาหลีเหนือเรื่องการทดสอบนิวเคลียร์อีกด้วย ซึ่งเวสต์กล่าวว่าเรื่องนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเอเชียตะวันออก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา