PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560

คำต่อคำ! อ่าน”ชัชชาติ สิทธิพันธุ์”เตือนล่วงหน้า ว่าด้วยอนาคต-เทคโนโลยี และการรับมือ

คำต่อคำ! อ่าน”ชัชชาติ สิทธิพันธุ์”เตือนล่วงหน้า ว่าด้วยอนาคต-เทคโนโลยี และการรับมือ


เมื่อวันที่วันที่ 15 ธันวาคม 2560 “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ บรรยายพิเศษ หัวข้อ “เตือนคุณล่วงหน้า พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง” ในงานสัมมนา “เชียงใหม่ 2018 จุดเปลี่ยน…ประตูสู่โอกาส” จัดโดยประชาชาติธุรกิจ ณ ลานนา บอลรูม โรงแรมแชงกรี-ลา จ.เชียงใหม่ โดยรายละเอียดมีเนื้อหาในสามส่วน ดังนี้
1. อนาคต
2. เทคโนโลยี
3. การรับมือกับอนาคต

เรื่องอนาคต เวลาไปพูดตามที่ต่างๆ ก็จะมีคนถามว่าอนาคตเป็นอย่างไร อาชีพไหนจะตกงาน ผมชอบคำพูดของ William Gibson ที่เป็นนักเขียนนวนิยายวิทยาศาสตร์ เขาพูดไว้เมือปี 2003 ว่า “อนาคตอยู่ที่นี่แล้ว เพียงแต่มันยังไม่กระจายไปอย่างทั่วถึง” อนาคตไม่ใช่อยู่ดีๆมันจะหล่นมาจากฟ้า อนาคตมันอยู่ที่นี่แล้ว โดยจะมีคนบางกลุ่มที่ใช้มันก่อน ถ้าเราสังเกตุให้ดีๆ เราจะเห็นอนาคตและรับมือกับมันได้

อยู่กรุงเทพ เราเห็นรถไฟฟ้าเทสลาออกมาวิ่งแล้ว อนาคตเราหนี EV (Electric Vehicle) ไม่พ้น เชียงใหม่เองก็มีรถสามล้อที่ใช้ไฟฟ้ามาวิ่งแล้วสี่คัน เป็นแห่งแรกของประเทศไทย อนาคตอาจจะมีถึง 450 คัน เป็นสามล้อที่วิ่งเงียบ ไม่มีเสียง วิ่งได้ 120 กม. ความเร็ว 80 กม/ชม. เราเห็นคนที่หันมาสนใจสุขภาพมากขึ้น คนรุ่นใหม่ดูแลสุขภาพมากขึ้น งานสมัครวิ่งมาราธอนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ปีหน้า เปิดรับสมัคร ชั่วโมงเดียวเต็มสี่พันกว่าคน ต่อไปอุปกรณ์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจะมีตลาดมากขึ้น อาหารที่เกี่ยวกับสุขภาพจะมีความต้องการมากขึ้น เห็นได้จากซุปเปอร์มาร์เก็ตริมปิงที่เชียงใหม่ ออกสลากแบ่งผักที่ขายออกเป็น 5 สี อินทรีย์ ปลอดสารพิษ ปลอดภัย ไฮโดรโปนิกส์ และ ผักทั่วไป

อนาคตจะมีการใช้ระบบ automation มาแทนคนมากขึ้น เห็นได้จากที่เช็คอินสายการบิน บางที่ใช้คอมพิวเตอร์แทนคน เพราะคอมพิวเตอร์ไม่ต้องหยุดพัก ไม่ต้องเข้าห้องน้ำ ไม่มีความผิดพลาด ร้านค้ามีการใช้การจ่ายเงินผ่าน QR Code มากขึ้นทั้ง AliPay WeChatPay โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ในอนาคตร้านค้าไหนไม่รับการจ่ายเงินวิธีนี้ก็อาจจะเสียลูกค้าไป ในเมืองจีน ถึงขนาดการให้ของขวัญแต่งงาน หรือ ขอทาน ยังใช้ QR Code ในการจ่ายเงิน

เราจะเห็นการขายของทาง On-line มากขี้น ธุรกิจการส่งของจะเจริญเติบโตขึ้น เราเห็นกำไรของบริษัทที่ให้บริการส่งสินค้าด่วนเติบโตอย่างรวดเร็ว เราเห็นป้ายโฆษณาที่ว่างในหลายๆที่ในเมืองเชียงใหม่ ในขณะที่การโฆษณาทาง Online เพิ่มขึ้นอย่างมาก เราเห็นคนรุ่นใหม่กินข้าวแกงริมทางน้อยลง แต่ไปกินข้าวกล่องจากร้านสะดวกซื้อแล้วอุ่นไมโครเวฟ

สิ่งๆต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถ้าเราสังเกตุให้ดี คิดตาม เราจะคาดการณ์อนาคตได้

เรื่องต่อมาเป็นเรื่องของเทคโนโลยี สิ่งต่างๆที่เราเห็นเกิดการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน หลายๆอย่างมาจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น เทคโนโลยีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดเชียงใหม่ ผมสรุปมาได้สี่เรื่อง
1. Moore’s Law
2. Cloud Computing
3. Big Data
4. Platform

ทำไมเราจึงเห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา? เราอาจจะอธิบายปรากฎการณ์ดังกล่าวด้วย Moore’s Law ซึ่งเป็นข้อสังเกตุที่ Gordon Moore ผู้ก่อตั้ง Intel ได้กล่าวไว้ในปี 1965 เขาตั้งข้อสังเกตุว่า “ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม โดยจะเพิ่มเป็นเท่าตัวประมาณทุก ๆ สองปี” ซึ่งหมายความว่าพลังในการคำนวณ หรือ ความจุ ของคอมพิวเตอร์ชิปที่เราใช้ในอุปกรณ์ต่างๆจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากเมื่อเวลาผ่านไป ในช่วงแรกๆอัตราการเพิ่มจะยังไม่มาก เช่น 2 ไป 4 ไป 8 เท่า แต่พอเวลาผ่านไป การยกกำลังสองจะเพิ่มเร็วขึ้น ถ้าเราคำนวณจากปี 1970 ถึงปัจจุบัน พลังในการคำนวณของคอมพิวเตอร์ชิปเพิ่มขึ้นมาแล้วประมาณ แปดล้านเท่า และจะเป็น สิบหกล้านเท่าในอีกสองปี สามสิบสองล้านเท่าในสี่ปี สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีต่างๆรวดเร็วเพราะเรามีพลังในการคำนวณและมีความจุข้อมูลเพิ่มขึ้นและราคาถูกลง

การเปลี่ยนแปลงจาก Moore’s law ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ทำให้อาจจะมีบางคนที่ตามการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน ดังนั้น คำถามที่ตัวเรา ธุรกิจ หรือ แม้แต่ประเทศต้องคอยถามตัวเองอยู่เสมอคือ “Are you still relevant?” “คุณยังมีความหมายอยู่ไหม?” เนื่องจากโลกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ความเข้าใจที่เรามี มันยังมีความหมายหรือความสำคัญในสภาวะปัจจุบันหรือไม่ ถ้าไม่มีต้องปรับตัว หาความรู้เพิ่ม

เทคโนโลยีที่สำคัญอีกอย่างคือ Cloud Computing แต่ก่อนเราใช้คอมพิวเตอร์ จะเป็นแบบ Standalone หรือ เครื่องใครเครื่องมัน คอมพิวเตอร์มี ซอฟท์แวร์ หน่วยความจำ ฮาร์ดไดร์ฟ ของใครของมัน แบ่งกันไม่ได้ ซึ่งทำให้ไม่สามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่สะดวกในการแบ่งปันข้อมูล แต่พอเรามี Internet เราสามารถเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ต่างๆเข้าด้วยกัน และ เอาทรัพยากรต่างๆ เช่น โปรแกรม หน่วยความจำ ที่เก็บข้อมูล ไปไว้บน Cloud และ แต่ละคนสามารถเข้าไปใช้ทรัพยากรนี้บน Cloud ได้ ดังนั้น Cloud Computing ก็คือการที่เราใช้ทรัพยากรทางดิจิตอลที่ไม่ได้ติดตั้งอยู่บนอุปกรณ์ของเรา จริงๆแล้ว เราก็ใช้อยู่ประจำโดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัว เช่น Email ข้อมูลต่างๆก็เก็บอยู่บน Cloud เพราะไม่ว่าเราใช้อุปกรณ์อะไร อยู่ที่ไหน เราก็สามารถอ่าน Email ของเราได้ เพราะข้อมูลไม่ได้ถูกเก็บไว้ในอุปกรณ์ของเรา แต่ถูกเก็บไว้บน Cloud

Cloud Computing มีผลกับเชียงใหม่ เพราะทำให้ระยะทางไม่เป็นอุปสรรคในการทำงานด้านดิจิตัล เพราะอยู่ที่ไหนก็สามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันได้ ที่เชียงใหม่มีบริษัท ProSoft เป็นบริษัทที่ทำด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่ก่อนอยู่กรุงเทพ ตอนนี้มาเปิดสำนักงานที่เชียงใหม่ มีพนักงาน 137 คน ขณะที่สำนักงานที่กรุงเทพเหลือ 48 คน การให้บริการต่างๆกับลูกค้าในกรุงเทพ สามารถทำผ่าน Internet และ Cloud Computing ได้อย่างสะดวก พนักงานก็มีความสุข อยู่ที่เชียงใหม่มีคุณภาพชีวิตที่ดี อากาศดี
เทคโนโลยีอีกอย่างคือ Big Data หรือ การที่ข้อมูลต่างๆในโลกปัจจุบัน กลายมาเป็นข้อมูลดิจิตัลเกือบหมดแล้ว แต่ก่อนโลกเก็บข้อมูลในระบบ อนาลอก เช่น หนังสือ เทป แผ่นเสียง ในปี 1986 ประมาณว่ามีข้อมูลในโลกที่เป็นดิจิตัลเพียง 1% แต่พอมาถึงปี 2013 ข้อมูล 98% ของโลกอยู่ในรูปแบบดิจิตัลหรือที่เราเรียกว่า Big Data

Big Data มีลักษณะที่สำคัญสี่อย่างคือ มีขนาดใหญ่ มีหลายรูปแบบ มีความเร็ว และ มีความไม่แน่นอน ที่สำคัญเมื่อใช้ร่วมกับ Internet แล้ว มีลักษณะที่สำคัญคือ การส่งข้อมูล (เกือบ) ฟรี การทำ copy ข้อมูลแทบไม่มีต้นทุน การส่งข้อมูลทำได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งลักษณะดังกล่าวมีผลต่อเชียงใหม่ในอนาคตเป็นอย่างมาก

ในการทำภาคการผลิต (Manufacturing) เราขายสินค้าต่างๆ เราต้องมีระบบ Logistics ในการขนส่งสินค้าไปยังผู้บริโภค ซึ่งต้องมีต้นทุน logistics และ ใช้เวลาในการดำเนินการ ดังนั้นระยะทางเป็นเรื่องสำคัญและมีผลต่อต้นทุนมาก เราจึงเห็นอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆของไทย ไปอยู่ที่แถว Eastern Seaboard ส่วนหนึ่งเพราะต้องการลดต้นทุนด้าน Logistics เนื่องจากอยู่ใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง

แต่ในยุคดิจิตัลนั้น การส่งข้อมูลดิจิตัลแบบ Big Data นั้น เป็นการส่งผ่านระบบ Internet ซึ่งระยะทางไม่มีความหมายถ้าพื้นที่นั้น เชื่อมโยงด้วยโครงข่าย Internet ดังนั้นเชียงใหม่ไม่ได้เสียเปรียบกรุงเทพ หรือ ที่ไหนในโลก ในการส่ง Digital Content ผมได้ไปคุยกับผู้ก่อตั้งบริษัท CGSCAPE ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิต Digital Content ในรูปแบบของ computer graphics และ มีเดียต่างๆ อยู่ในอันดับต้นๆของประเทศไทย ก็มีสำนักงานอยู่ที่เชียงใหม่ และ ผลิตผลงานส่งไปยังลูกค้าที่กรุงเทพและอีกหลายๆแห่งทั่วโลก ผ่านเครือข่าย internet


เทคโนโลยีสุดท้ายคือ Platform หรือระบบตลาดทางอินเตอร์เนต แต่ก่อนเราทำธุรกิจแบบท่อ คือ มีการออกแบบ ผลิตสินค้า และ ขาย เป็นคล้ายๆกับท่อ มีคนควบคุมการเข้าออก แต่ระบบ Platform คือระบบที่มีผู้ซื้อ ผู้ขายจำนวนมาก เข้ามาซื้อขายผ่าน Platform ทำให้สามารถขยายธุรกิจได้เป็นอย่างมาก โดย Platform มีลักษณะสำคัญที่ดีกว่าระบบธุรกิจเดิมคือ ไม่มีผู้ควบคุมการเข้าออก สามารถขยายได้เร็ว ผู้ซื้อผู้ขายเข้ามาใช้บริการได้ง่าย และ มีระบบรับฟังความคิดเห็น (Feedback) ที่รวดเร็ว

Platform ช่วยให้ผู้ขายรายเล็กๆที่แต่ก่อนไม่มีช่องทางขาย เนื่องจากไม่ได้มีความต้องการมากพอที่จะไปวางขายสินค้าในร้านต่างๆได้ สามารถเสนอขายสินค้าผ่าน Platform ซี่งไม่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ ยกตัวอย่างเช่น AirBnB ซึ่งเป็น Platform ด้านที่พักอาศัย ให้คนที่มีห้องเช่า สามารถเอาห้องเช่ามาใส่บน Platform ให้คนทั่วโลกเห็น ถ้าเราเข้าไปดูก็จะเห็นห้องเช่าเล็กๆในเมืองเชียงใหม่ ที่แต่ก่อนไม่รู้จะไปโฆษณาที่ไหน มาปรากฎอยู่บน AirBnB ที่มีคนเห็นทั่วโลก มีคนมาพักและเขียนคำชมมากมาย อันนี้คือพลังของ Platform ที่จะช่วยผู้ผลิต ผู้ให้บริการ รายย่อยมีที่ยืนมากขึ้น

มีคนถามว่าเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนี้ สุดท้ายจะทำให้คนตกงาน มีงานน้อยลงไหม ผมเห็นกลับกันว่าเทคโนโลยีจะช่วยสร้างงานสร้างโอกาสมากขึ้น เพราะเทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพียงแต่งานจะเปลี่ยนรูปแบบและสถานที่ไป งานที่ทำซ้ำๆจะถูกทดแทนด้วยระบบ automation งานที่คนทำจะเป็นงานที่หลากหลายและเป็นการเพิ่มมูลค่า ดังนั้น แรงงานในอนาคตต้องมีการเตรียมปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบงานที่เปลี่ยนไป

การเตรียมตัวสำหรับอนาคตนั้น ผมชอบที่ Ray Dalio ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งกองทุน Bridgewater บริหารเงินลงทุนขนาดใหญ่อันดับต้นๆของอเมริการ เขาได้สรุปหลักการที่จะมีความสำเร็จและความมั่นคงทางการเงินไว้สามข้อง่ายๆคือ

1. อย่าให้หนี้เพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้
2. อย่าให้รายได้เพิ่มเร็วกว่าประสิทธิภาพในการผลิต
3. ทำให้ดีที่สุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต (Productivity)

ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเตรียมตัวสำหรับอนาคตคือ ต้องพยายามเพิ่ม Productivity ของเรา ของบริษัท ของประเทศ ให้ดีที่สุด และ ผมก็คิดว่า Thailand 4.0 หรือ เชียงใหม่ 4.0 ก็คือการเพิ่มประสิทธิภาพโดยใช้คน และ เทคโนโลยีที่เหมาะสม

การเพิ่มประสิทธิภาพต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อน สำคัญที่สุดคืออย่าหยุดหายใจ การดูแลสุขภาพให้ดี ให้แข็งแรงเป็นจุดเริ่มต้นของการเพิ่มประสิทธิภาพ ถ้าเราตาย ประสิทธิภาพเราเป็นศูนย์ ถ้าเราป่วยยิ่งติดลบ เพราะมีแต่ Input ไม่มี output

นอกจากสุขภาพแล้ว เราต้องอย่าหยุดหาความรู้ เพราะโลกเปลี่ยนเร็ว เราต้องหาความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ ต้องเป็นคนอยากรู้อยากเห็น อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ต้องมีความรู้เป็นรูปตัว T คือรู้ลึกในบางเรื่อง และ รู้กว้างในหลายๆเรื่อง ทั้งด้านสังคม ความเหลื่อมล้ำ เศรษฐศาสตร์ สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยให้เราตัดสินใจ และ เห็นภาพรวมได้ดีขึ้น

การเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนของธุรกิจนั้น ต้องเริ่มจากการเข้าใจความต้องการของลูกค้าให้ดี เลือกคนที่เหมาะ ก่อนเลือกเทคโนโลยี มีความเข้าใจเทคโนโลยี อย่าใช้เทคโนโลยีเพียงเพราะกลัวตกรถ นอกจากนี้ ธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้อยู่ที่ Business Model ซึ่งสำคัญกว่าเทคโนโลยี เราเลือกเทคโนโลยีที่มาสนับสนุน Business Model

ยกตัวอย่างธุรกิจที่เปลี่ยนชีวิตของคนเชียงใหม่อันหนึ่งคือ สายการบินต้นทุนต่ำ ธุรกิจนี้ ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีใหม่เลย เพราะเทคโนโลยีด้านการบินก็มีมานานแล้ว สายการบินต่างๆก็ใช้อยู่ แต่สายการบินต้นทุนต่ำประสบความสำเร็จเพราะ Business Model

สำหรับเมืองเชียงใหม่นั้น ผมถามตัวเองว่าการเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นกับอะไร ขึ้นกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ การดึงดูดนักท่องเที่ยว หรือ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว

แต่จริงๆแล้ว ผมคิดว่า หัวใจของเชียงใหม่ในอนาคต นั้น เหมือนที่ Edward Glaeser เขียนไว้ในหนังสือ “Triumph of the City” ที่เขาศึกษาความสำเร็จของเมืองต่างๆทั่วโลก และ สรุปว่า “เมืองที่จะพัฒนาได้ จะต้องสามารถดึงดูดคนเก่ง มีความสามารถ และ ช่วยให้เขาทำงานร่วมกันได้ ไม่มีเมืองไหนที่จะประสบความสำเร็จได้ถ้าเมืองนั้นขาดทรัพยากรบุคคลที่ดี”

อนาคตของเชียงใหม่ต้องดึงคนเก่งของเชียงใหม่ให้อยู่กับเรา และ ดึงคนเก่งๆมาจากทั่วโลก ในหลายๆสาขา ทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ด้านสังคม ศิลปะ สิ่งแวดล้อม ผมได้มีโอกาสพบคนเก่งๆของเชียงใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ แต่รู้สึกได้เลยว่านี่คืออนาคตของเชียงใหม่ หลายคนไม่ใช่คนที่เกิดที่เชียงใหม่ แต่รักเชียงใหม่ และ เลือกที่จะมาใช้ชีวิตที่นี่

ผมได้เจอคุณเมนโน่กับคุณนิกกี้ เจ้าของฟาร์มมะเขือเทศ Take Me Home ที่ใช้เทคโนโลยี Smart Farming ในการเพิ่มประสิทธิภาพของภาคเกษตร ได้พบคุณเขียว พี่ติ่ง ที่พัฒนาคุณภาพของสินค้าหัตถกรรมท้องถิ่นให้มีคุณภาพระดับโลก คุณลี อายุ จือ ปา กาแฟอาข่า อาม่า ที่ดูแลเกษตรกรปลูกกาแฟ ได้พบคุณวิโรจน์เจ้าของบริษัท Profsoft คุณเอ๋ คุณหนุ่ย คุณส้ม จาก CGSCAPE ที่ทำด้านธุรกิจดิจิตัล เชียงใหม่ในอนาคต ต้องมีทั้ง Smart Farming หัตถกรรมท้องถิ่น ธุรกิจด้านไอที ดิจิตัล

อนาคตเชียงใหม่ที่จะสร้างทรัพยากรบุคคลที่แข็งแกร่งได้นั้น เชียงใหม่ควรจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี ผมคิดว่าเราไม่ได้อยากให้เชียงใหม่ที่เป็นกรุงเทพแห่งที่สอง ไม่อยากให้คลองแม่ข่าของเชียงใหม่เป็นคลองที่มีแต่น้ำเน่าเสียเหมือนคลองบางคลองในกรุงเทพ สิ่งที่สำคัญในการพัฒนาเชียงใหม่คือเราจะก้าวไปด้วยกัน อย่าทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผมคิดว่าสิ่งที่วัดความก้าวหน้าของเชียงใหม่ในอนาคต อาจจะไม่ใช่รถไฟความเร็วสูง หรือ สนามบินใหม่ แต่เราอาจจะต้องวัดด้วย คุณภาพของชีวิตของคนที่อาศัยอยู่ในชุมชนริมคลองแม่ข่า คุณภาพของน้ำในคลองแม่ข่า ถ้าเราสามารถพัฒนาเมือง โดยพัฒนาสิ่งแวดล้อม และ คนในทุกภาคส่วน ให้ก้าวไปด้วยกันอย่างเหมาะสม สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคน อันนั้นน่าจะเป็นความความสำเร็จในการพัฒนาเมืองเชียงใหม่อย่างแท้จริง

รับฟังความเห็นปฏิรูปสื่อ

รับฟังความเห็นปฏิรูปสื่อ

โดย ซี.12

หลังจากประชุมกำหนดทิศทางการดำเนินงานมากว่า 20 ครั้ง คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ ก็ได้ประเด็นการปฏิรูปประเทศด้านนี้รวม 6 ประเด็นด้วยกัน

คณะกรรมการที่มี นายจิรชัย มูลทองโร่ย อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และ ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นเลขานุการ ได้กำหนดการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดทำแผนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศขึ้นในวันนี้
คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ ได้จัดทำร่างประเด็นการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ รวม 6 ประเด็น ซึ่งคณะกรรมการฯเห็นควรกำหนดให้มีโครงการสัมมนารับฟังความคิดเห็นการจัดทำแผนการปฏิรูปประเทศ ด้านสื่อสารมวลชนเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ประมวลผลเป็นข้อมูลประกอบในการจัดทำร่างแผนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเสนอตามขั้นตอนต่อไป

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประเด็นข้อเสนอการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับนำมาใช้จัดทำ (ร่าง) แผนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ ให้มีความครบถ้วนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายมีประมาณ 300 คน จากทั้งในกรุงเทพมหานครและในภูมิภาค ประกอบด้วย ผู้แทนภาคสื่อสารมวลชน ประมาณ 150 คน สถาบันวิชาการด้านสื่อสารมวลชน ประมาณ 30 คน หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 50 คน ภาคประชาชน ประมาณ 50 คน และคณะกรรมการและฝ่ายเลขานุการ 20 คน

การจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้จัดในวันนี้วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2560 ณ เวลา 09.30-16.30 น. ณ ศูนย์การประชุมวายุภักดิ์ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร

โดยเริ่มด้วยการเสนอกรอบแนวคิดการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศในภาพรวม

แล้วนำไปสู่ประเด็นข้อเสนอในการปฏิรูปรวม 6 ประเด็น ได้แก่

1.การปฏิรูปการรู้เท่าทันสื่อและการกำกับดูแลสื่อโดยภาคประชาชน 2.การปฏิรูปมาตรฐานวิชาชีพและระบบการกำกับดูแลสื่อมวลชน 3.การปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรมวิทยุโทรทัศน์/ทีวีดิจิตอล/NBT/Thai PBS 4.การปฏิรูปแนวทางการกำกับสื่อออนไลน์ 5.การปฏิรูปการบริหารจัดการความปลอดภัยไซเบอร์ กิจการอวกาศ และระบบและเครื่องมือด้านการสื่อสารมวลชนและโทรคมนาคมเพื่อสนับสนุนภารกิจการป้องกันบรรเทาสาธารณภัย 6.การปฏิรูประบบการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ

การรับฟังความคิดเห็นนี้แบ่งกลุ่มออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มประชาชน กลุ่มสื่อ และกลุ่มภาครัฐ เพื่อพิจารณาข้อเสนอทั้ง 6 ประเด็น ทั้งในช่วงสายและช่วงบ่าย และมาสรุปกันในที่ประชุมใหญ่ช่วงเย็น
ผลสรุปอันนี้ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ จะได้นำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะไปเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำร่างแผนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศต่อไป

การประชุมวันนี้จึงสำคัญมากกับสื่อทุกประเภทถ้าไม่ไปเป็นปากเสียงแสดงเหตุผลให้ชัดเจนในการควบคุมกันเองแล้วก็ยากที่จะสลัดหลุดจากโซ่ตรวนที่ผูกมัดปิดกั้นเสรีภาพมายาวนาน.

“ซี.12”

ลุยเต็มสตีม

ลุยเต็มสตีม


ห้ามไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ ในเมื่อนายกฯ บิ๊กตู่ทุบโต๊ะจะสร้างซะอย่างเดียวก็ต้องได้สร้างแน่นอน
เป็นอันว่าโครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย–จีน กรุงเทพฯ–หนองคาย ระยะทาง 608 กม. จะเริ่มเดินหน้าก่อสร้างเฟสแรก โคราช–กรุงเทพฯ ระยะทางรวมทั้งสิ้น 253 กม.
วันที่ 21 เดือนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หน.คสช. จะเดินทางไปเป็นประธานพิธีตอกเสาเข็มด้วยตัวเอง ที่สถานีกลางดง อำเภอปากช่อง โคราช เป็นการเอาฤกษ์เอาชัย
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าการก่อสร้างเฟสแรก 253 กม. จะใช้เงินลงทุน 179,413 ล้านบาท โดยแยกซอยเป็น 4 ช่วง เริ่มจากสถานีกลางดงไปปากช่อง จากปากช่องไปแก่งคอย จากแก่งคอยขึ้นไปโคราช และจากกรุงเทพฯขึ้นไปจบครบวงจรที่แก่งคอย จังหวัดสระบุรี
โดยใช้วิธีทยอยออกแบบประมูลไปก่อสร้างไปเพื่อให้เสร็จรวดเร็วทันใจ
สำหรับปัญหารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือ “อีไอเอ” ที่บรรดาเอ็นจีโอทวงถามกันจัง
ล่าสุดก็ได้รับไฟเขียวผ่านฉลุยอย่างสะดวกโยธินตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน
หากไม่ติดขัดปัญหาการเวนคืนที่ดิน (ใช้งบอัดฉีด 13,000 ล้านบาท) ทำให้แผนการก่อสร้างต้องล่าช้าออกไป
โครงการรถไฟด่วนไทย–จีน เฟสแรก กรุงเทพฯ–โคราช 253 กม. จะสร้างสำเร็จเสร็จสมบูรณ์เปิดหวูดวิ่งรับส่งผู้โดยสารได้ภายในปี 2564 แน่นอน
รถไฟความเร็วสูงสายนี้จะวิ่งตะบึงด้วยสปีดความเร็ว 250 กม.ต่อชั่วโมง จะย่นเวลา
เดินทางจากกรุงเทพฯ–โคราช เหลือเพียง 1 ชั่วโมง 17 นาที
แถมตั้งราคาค่าโดยสารจิ๊บๆเพียง 535 บาทต่อเที่ยวต่อคน
แต่เพราะโครงการนี้ เป็นนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาล คสช. ถึงแม้จะรู้ว่าขาดทุนยาวๆ ก็จำเป็นต้องลงทุน เพื่อลากเส้นทางรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ–หนองคาย ไปเชื่อมโครงการรถไฟความเร็วสูงลาว–จีน สายเวียงจันทน์–คุนหมิง ระยะทางรวมกันทั้งสิ้น 1,035 กม.
จากต้นทางคุนหมิงถึงปลายทางกรุงเทพฯจะใช้เวลาสปรินต์ไม่เกิน 6 ชั่วโมง
แถมสามารถขนสินค้าจากจีนตอนใต้มาลงทะเลที่ท่าเรือแหลมฉบังของไทยได้อย่างสบายแฮ
“แม่ลูกจันทร์” สรุปว่ารถไฟความเร็วสูงเฟสแรก กรุงเทพฯ–โคราช ระยะทาง 253 กม. จะใช้วงเงินลงทุน 1.7 แสนล้านบาท
หรือเฉลี่ยกิโลละ 709 ล้านบาท โดยประมาณ
ขั้นต่อไปยังต้องเร่งก่อสร้างเฟสที่ 2 “โคราช– หนองคาย” ระยะทางอีก 355 กม. ให้เสร็จภายใน 5 ปี เพื่อให้เชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงสายเวียงจันทน์–คุนหมิง ซึ่งจะเริ่ม
เปิดหวูดในปี 2565 พอดี
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าปัญหาใหญ่คือโครงการเฟสที่ 2 จากโคราชถึงหนองคาย ระยะทางยาวกว่าเส้นกรุงเทพฯ–โคราช ถึง 102 กม.
ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่ารัฐบาล คสช.จะควักกระเป๋าลงทุนเอง 100 เปอร์เซ็นต์เหมือนเฟสแรกหรือไม่??
และจะต้องใช้วงเงินลงทุนเฟส 2 อีกมากเท่าใด??
อนึ่ง ระหว่างที่รอคำชี้แจงให้กระจ่างแจ้งจาก นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ผู้รับหน้าเสื่อโครงการรถไฟด่วนไทย–จีน
“แม่ลูกจันทร์” ลองเอาค่าก่อสร้างเฉลี่ย 709 ล้านบาทต่อ 1 กม. ไปคูณกับระยะทางก่อสร้างเฟส 2 โคราช–หนองคาย 355 กม.
ปรากฏว่าเคาะวงเงินลงทุนเฟส 2 ออกมาได้ 251,745 ล้านบาท
หรือ 2.5 แสนล้านบาทโดยประมาณ
เมื่อเอาวงเงินลงทุนเฟสแรก 1.7 แสนล้านบาท และเฟส 2 2.5 แสนล้านบาท มาขยํารวมกันจะต้องใช้งบลงทุนมหาศาลถึง 4.3 แสนล้านบาททีเดียว
เงินเยอะขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ “ป.ประยุทธ์” ทำไม่ได้นะโยม.

“แม่ลูกจันทร์”

เดดล็อกเลือกตั้ง : ผวาวิธีสรรหากกต.ติดกับดักกฎเหล็ก

เดดล็อกเลือกตั้ง : ผวาวิธีสรรหากกต.ติดกับดักกฎเหล็ก


ลุ้นระทึก...! โรดแม็ปจะขยับเลื่อนออกไปหรือไม่
หากแก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมืองหรือการสรรหา กกต.สะดุด
ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการเลือกตั้งระดับต้นๆของเมืองไทย นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง ได้แย้มมุมอีกมุมต่อเรื่องนี้ ผ่านการให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง
เริ่มเปิดฉากกระเทาะเปลือกถึงการออกแบบโครงสร้างใหญ่ทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้นำไปสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะมีกลไกทำให้วุฒิสภาเข้ามากำหนดทิศทางของประเทศ 5 ปีข้างหน้า
ถ้ามีเหตุผลต้องการประคับประคองระบอบประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง ผ่าน ส.ว.ซึ่งมีคุณวุฒิ มีความรู้ความสามารถ เป็นกลไกถ่วงดุลกับสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากฝ่ายการเมือง เพราะยังไม่ไว้วางใจการเมืองในระยะแรก ก็เป็นเหตุผลที่รับได้
หากการออกแบบโครงสร้างใหญ่ เพื่อต้องการสืบทอดอำนาจ โดยวางหมากกลทางการเมือง เปิดช่องให้รัฐบาลชุดปัจจุบันที่ประสงค์จะสนับสนุนพรรคการเมืองใดลงสู่สนามเลือกตั้ง หวังกวาดเสียงข้างมากในรัฐสภา เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี แบบนี้ไม่เหมาะสม
การออกแบบกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้งก็เช่นเดียวกัน ประกอบด้วย พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส.
โครงสร้างย่อยของกฎหมายลูกแต่ละฉบับมีสาระน่าพิจารณาหลายอย่าง เช่น พ.ร.บ.พรรคการเมืองมุ่งส่งเสริมให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง กำหนดให้มีสมาชิกพรรคอย่างแท้จริง เจตนาการออกกฎหมายฉบับนี้ดี แต่สุดท้ายพรรคเล็กที่ไร้ศักยภาพจะล้มหายไปจากระบบ คาดเหลือไม่ถึง 10 พรรค เดิมเรามี 79 พรรคการเมือง ซึ่งอาจจะมีผลดีทำให้พรรคการเมืองพัฒนาสู่การเป็นสถาบันมากขึ้น
แต่ผลกระทบที่ตามมาถือเป็น “ยาขม” ต่อพรรคการเมืองในระยะแรก
ขอย้ำว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการสร้างพรรคการเมืองให้เข้มแข็ง แต่ คสช.กลับไม่ยกเลิกคำสั่งห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง
มันสวนทางกัน หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อพรรคการเมือง ไม่เข้มแข็งพอเป็นพิธี ไม่เข้มแข็งจริง
ฉะนั้นถ้า คสช.ต้องการให้พรรคเข้มแข็ง ควรเปิดโอกาสให้ทำกิจกรรมทางการเมืองได้
อย่าหวั่นกลัวจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เพราะบ้านเมืองที่เกิดความวุ่นวายเกิดจากปัจจัยอื่นด้วย ไม่ได้เกิดจากพรรคการเมืองเพียงอย่างเดียว
ถามว่าถ้าปลดล็อกแล้วพรรคการเมืองจะปฏิบัติตามกรอบของกฎหมายทันหรือไม่ พรรคที่พร้อมย่อมทำทัน พรรคที่บ่นทำไม่ทันจะทัน แต่พรรคที่คิดว่าทำทันอาจจะไม่มีชื่อพรรคที่ท่านประสงค์ให้ลงเลือกตั้งก็ได้
และประเด็นที่สังคมวิตกว่าถ้าแก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมืองจะทำให้การเลือกตั้งยืดออกไป ขอบอกว่าทันทีที่ร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.บ.การได้มาซึ่ง ส.ว.ผ่าน สนช. และมีผลบังคับใช้ ไม่มีใครหยุดได้ จะต้องดำเนินการเลือกตั้งให้เสร็จภายใน 150 วัน
ยกเว้นแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 โดย สนช.3 วาระรวด ง่ายกว่าการใช้มาตรา 44
ส่วน พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการออกกฎหมายไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการที่ดี ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบและอีกฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบ เช่น กำหนดให้หมายเลขผู้สมัคร ส.ส.แตกต่างกันในแต่ละเขต เพื่อให้ประชาชนคุ้นเคยกับผู้สมัคร ส.ส.มากกว่าพรรคการเมือง แสดงให้เห็นว่าไม่สนับสนุนให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง พรรคไม่สามารถหาเสียงได้โดยสะดวก
พรรคการเมืองใหญ่ก็จะถูกทำลาย อ่อนแอลง ขัดแย้งกับเจตนารมณ์การออก พ.ร.บ.พรรคการเมือง
เช่นเดียวกับการออกแบบ พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง อยู่บนพื้นฐานของความหวาดระแวง ไม่ให้เกียรติ กกต. อาทิ การประชุมพิจารณาเรื่องสำคัญ กกต.ขาดประชุมไม่ได้ ต้องลงคะแนน ถ้าไม่ลงคะแนนให้ลาออก
วิธีคิดเช่นนี้ไม่ให้เกียรติการตัดสินใจของ กกต.
ยังมีข้อปลีก ย่อยอีกหลายข้อที่ตลก เช่น ตลอดระยะ เวลา 7 ปี กกต.ไม่สามารถไปเรียนหลัก สูตรใดๆ ได้ยกเว้นหลักสูตรที่ กกต.จัดขึ้นเอง เพราะหวาดระแวงว่าการไปพบปะผู้คน ไปตีกอล์ฟ จะทำให้ กกต.เอนเอียง ทั้งๆที่การพบปะผู้คนอาจได้ความรู้ใหม่มากขึ้น
บทเฉพาะกาลให้เซ็ตซีโร่ กกต.ชุดปัจจุบันก็เหมือนกัน อ้างเหตุผลว่าคุณสมบัติของ กกต.สูงขึ้น ขอบอกว่าคนที่ออกแบบกฎหมายมีอคติ ขาดความเป็นมาตรฐาน ขัดต่อหลักนิติธรรม เพราะกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นกรรมการองค์กรอิสระแต่ละองค์กรไม่เหมือนกัน
กกต.ชุดนี้สั่งสมการทำงานมา 4 ปี รู้ประเด็นข้อกฎหมาย ประเด็นข้อปลีกย่อยต่างๆเกี่ยวกับการเลือกตั้งมองเห็นปัญหาการจัดการเลือกตั้งทั้งระบบ ปัญหาการทุจริตการเลือกตั้ง
ถึงเวลาเอาคนใหม่มาเรียนรู้งาน แล้วคนเหล่านั้นจะจัดการเลือกตั้งได้ดีหรือไม่ หรือตกอยู่ภายใต้การครอบงำของสำนักงาน กกต.
ยุคที่ผ่านมา กกต.บางคนติดคุก ส่วนหนึ่งมาจากเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงาน กกต.บางคน จึงเป็นห่วง กกต.ชุดใหม่ ถ้าไม่แม่นข้อกฎหมาย ตามไม่ทันกลโกงการเลือกตั้ง ตามไม่ทันเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงาน กกต.บางคน ย่อมมีโอกาสลำบากได้
ทีมข่าวการเมือง ถามว่า ขณะนี้กระบวนการสรรหา กกต.ถูกวิจารณ์ในทางลบและคุณสมบัติของผู้สมัคร กกต.กำหนดสเปกไว้สูงมาก หรือ “สเปกขั้นเทพ” ทำให้มีตัวเลือกน้อย นายสมชัย บอกว่า ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการสรรหาดีหรือไม่ คนที่ได้มาเหมาะสมหรือไม่
ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากตัวกฎหมาย ออกแบบโดยนักกฎหมายใหญ่ระดับประเทศ จึงเกิดปัญหาตามมา ตั้งแต่กรรมการสรรหา กกต. คุณสมบัติสเปกสูงเท่ากับ กกต.และเหนือกว่า กกต. ซึ่งจะได้คนเกษียณเท่านั้นเข้ามาเป็น
คุณสมบัติของผู้สมัคร กกต.ก็จำกัดคนกลุ่มหนึ่งและเปิดให้คนกลุ่มหนึ่ง เช่น ต้องเป็นหัวหน้าส่วนราชการ 5 ปี ทำให้ชาตินี้ทั้งชาติจะไม่ได้ระดับ ผบ.เหล่าทัพต่างๆ รวมถึง ผบ.ตร. มาเป็น กกต.แม้แต่คนเดียว เพราะไม่มีใครอยู่ในตำแหน่งถึง 5 ปี
เอ็นจีโอ 20 ปีพอมีคนเข้ามาได้ ศาสตราจารย์ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคมศาสตร์ก็ยาก แต่เปิดกว้างองค์กรวิชาชีพ ทนายความ ครูสอนหนังสือ แพทย์ วิศวกรรม เภสัชกร สถาปัตย์ ในอนาคตคนกลุ่มนี้จะมาเป็นองค์กรอิสระ
การสรรหาคราวนี้จึงแปลกใจที่ระดับรอง ผบ.ตร.สอบตก แต่ได้ผู้อำนวยการโรงเรียนเข้ามา เพราะคุณสมบัติไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนกี่ปี แต่เป็นครูมา 20 ปีคุณสมบัติครบครัน
กฎหมายฉบับนี้เป็นปัญหาและปัญหายังลามไปถึงที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
เดิมกำหนดให้ลงคะแนนลับ แต่กฎหมายฉบับใหม่กำหนดลงคะแนนโดยเปิดเผย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เนื่องจากปกติอยู่กันอย่างสงบ สามัคคี
แต่เมื่อกำหนดให้ลงคะแนนโดยเปิดเผย จะรู้ว่าใครเลือกใคร อาจจะเกิดแตกแยกในหมู่ตุลาการ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจึงใช้วิธีการลงคะแนนแบบเดิม
เมื่อการสรรหา กกต.หรือการเลือก กกต.ขัดต่อ พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง ถ้าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกายังยืนยันว่าการลงคะแนนโดยเปิดเผยและ สนช.เดินหน้าลงมติเห็นชอบตามรายชื่อที่ได้รับการสรรหา
ในอนาคตย่อมกลายเป็นปัญหาใหญ่ ขอยืนยันเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ
จะส่งผลเสียต่อเกียรติภูมิ สนช.และที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
เห็นใจศาลฎีกา แต่เมื่อเป็นกฎหมายก็ต้องดำเนินการตาม ไม่มีใครใหญ่กว่ากฎหมาย ทางออกที่ดีน่าจะจัดประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือกใหม่ แม้ล่าช้าแต่ก็ไม่เกิดความเสียหายตามมา
ทีมข่าวการเมือง ถามว่า ถ้าไม่มี กกต.ชุดใหม่ย่อมมีโอกาสทำให้การเลือกตั้งยืดออกไปอีก นายสมชัย บอกว่า ถ้ามีการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ส.ส. การสรรหา ส.ว. ในจังหวะที่ กกต.ชุดใหม่ยังไม่มา กกต.ชุดนี้ก็ทำหน้าที่ไป
ยกเว้น กกต.ชุดนี้ไม่พอใจจะทำหน้าที่ต่อไป
อาจขอลาออกแล้วค่อยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ไม่ขอพูดดีกว่ากลัวตื่นเต้นกันทั้งประเทศ.
ทีมการเมือง

เกมโลกเอื้อการเมืองแบบไทย : ผ่าสถานการณ์อำนาจพิเศษ “บิ๊กตู่” เสียใน-ได้นอก

เกมโลกเอื้อการเมืองแบบไทย : ผ่าสถานการณ์อำนาจพิเศษ “บิ๊กตู่” เสียใน-ได้นอก


ช่วงเวลาหนาวสุดในรอบปีนี้ ตามที่กรมอุตุนิยม วิทยาประกาศอุณหภูมิช่วงวันที่ 16-18 ธันวาคมนี้ บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศเย็นลงโดยทั่วไปกับมีลมแรง
อุณหภูมิลดลง 4-6 องศาเซลเซียส
โดยเริ่มจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคมเป็นต้นไป ส่วนภาคเหนือ ภาคกลางภาคตะวันออก กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะได้รับผลกระทบตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม ส่งผลทำให้ในสัปดาห์นี้มวลอากาศจะเย็นลงต่อเนื่องถึงวันที่ 22 ธันวาคม
และอาจเห็นพื้นที่สูงทางภาคเหนือและอีสานอุณหภูมิลดลงเหลือเลขตัวเดียว
อากาศหนาวเยือกปลายปี ขณะที่ปฏิทินเวลาก็กำลังเข้าโหมดนับถอยหลังสู่เทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ในอารมณ์ที่ประชาชนทั่วไปเริ่มเตรียมตัวเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด วางแผนท่องเที่ยว นัดจัดงานฉลองกันคึกคัก
ถึงโอกาสพักเรื่องหนักๆเครียดๆจากการทำงานมาตลอดทั้งปี
นี่คือจังหวะที่บรรยากาศทางการเมืองจะลดโทนความร้อนแรง กระแสแรงเสียดทานซาลงไปโดยอัตโนมัติ เป็นโอกาสดีที่รัฐบาลจะได้พักหายใจหายคอ
โดยเฉพาะสถานการณ์ของ “สายล่อฟ้า” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่โดนแรงกระแทกต่อเนื่องมาตลอดทั้งปี
จังหวะนี้แหละที่ปมแหวนเพชร ประเด็นนาฬิกาหรูจะซาลงชั่วคราว
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่กำลังไหล “เข้าเหลี่ยม” ของขบวนการตามไล่ล่าขุมทรัพย์ จัดหนักปฏิบัติการ “เซตฉาก” ประจาน “พี่ใหญ่” ผู้มากบารมีในทุกวงการ
เขี่ยหัวเชื้ออันตราย ยั่ว “จุดตาย” ปมทุจริต
โดยสถานการณ์ต่อเนื่องมาจากคิวปรับ ครม.ที่เขย่าแล้วเขย่าอีก ยังไง “บิ๊กป้อม” ก็ไม่ร่วง
ภายนอกมองเหมือนเป็น “ตัวถ่วง” แต่ภายในก็แบบที่ “น้องเล็ก” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ออกหน้ามาเคลียร์แทน “พี่ใหญ่” ประเด็นแหวนเพชรกับนาฬิกา
กฎหมายว่าอย่างไรก็ไปว่ากันตามขั้นตอน อย่าไปมองในทางที่แย่ทั้งหมด ไปดูข้อกฎหมายก่อน
“สื่อนั่นแหละ หลายคนก็จ้องอยู่เช่นกัน เขาต้องการตีให้แตกออกจากผมก็รู้อยู่”
ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์พูดด้วยว่า “ผมเองก็แข็งแรงเยอะ ถ้ายิ่งไม่มีคนอยู่ด้วยก็จะยิ่งดุกว่าเดิม จะใช้อำนาจอย่างเต็มที่” เหมือนสื่อเป็นนัย การมี “พี่ใหญ่” อย่าง พล.อ.ประวิตร มาคอยประคองรัฐบาล จะทำให้การบริหารอำนาจพิเศษเป็นอย่างประนีประนอม ตามสไตล์ “บิ๊กป้อม” ที่กว้างขวางทุกวงการ
นี่คือความจำเป็นที่ทำยังไง “พี่ใหญ่” ก็ไม่หลุดวงโคจรรัฐบาล
“เสี้ยม” ยังไงก็ไม่แตกไม่แยกกัน
3 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์กอดคอมาตั้งแต่ต้น ก็ต้องแท็กทีมไปจนจบ
และตามรูปการณ์ที่ฝ่ายคุมอำนาจพิเศษยังล็อกกันแน่น ล้อกับการเดินแผนข้ามชอตไปถึงการคุมเกมอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่านอีกอย่างน้อย 5 ปี ตามเงื่อนไขที่วางไว้ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน
นั่นก็ทำให้ “นักเลือกตั้งอาชีพ” รุ่นเก๋าลายคราม ระดับนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ต้องขยับออกจากมุมที่ซุ่มโป่งมาหลายปี
ประเดิมด้วยมุกร่อนจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จี้จุดปมเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช.บริหารประเทศมา 3 ปี ทำให้รายได้ต่อครัวเรือนของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้และภาคอื่นลดลง
“ตีธง” ให้ลูกข่ายได้รับรู้สัญญาณ การเคาะสนิม หวนคืนเวที
ภายใต้ลีลาเก๋าๆของยี่ห้อ “ชวน หลีกภัย” จับทางได้ เป้าหมายแรกอยู่ที่การทิ่มหมัดตรงเข้าใส่ “จุดแข็ง” แฝงความเปราะบางของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลภายใต้การนำของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ผลิตซ้ำวาทกรรม ย้ำปมปัญหาปากท้องชาวบ้าน

ตามเหลี่ยมดิสเครดิต ประจานทีมงาน “สมคิด” บ้อท่า
ในสถานการณ์อีกมุมก็เป็นจังหวะเตะตัดขา “สมคิด” ที่กำลังติดลมบน กับการผลักดันภาพรวมทางเศรษฐกิจในระดับมหภาค ตามสัญญาณเชิงบวกทั้งในมุมของตัวเลขจีดีพี ตัวเลขการส่งออกที่สูงขึ้น รวมถึงล่าสุด เวิลด์แบงก์ได้ประเมินประเทศไทยจะทำให้ฐานคนจนลดลง
เป็นตัวเลขที่มาจากฐานข้อมูล ไม่ใช่แค่ลมปากลอยๆของนักการเมือง
เรื่องของเรื่อง ถ้าปล่อยให้ “สมคิด” เดินหน้าได้ตามเป้ายุทธศาสตร์ โอกาสที่แต้มจะไหลไปทาง “นายกฯลุงตู่” เดินหมากเบิ้ลอำนาจพิเศษช่วงเปลี่ยนผ่านได้สะดวกขึ้น
และจะทำให้นักการเมืองอาชีพทวงเวทีคืนยากไปกันใหญ่
ประกอบกับสถานการณ์ในพรรคประชาธิปัตย์ก็กำลังตกที่นั่งลำบาก ตามสภาวะการกั๊กเหลี่ยมอำนาจชิงการนำพรรคระหว่างทีมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค กับ “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่ม กปปส.ที่ส่อเค้าซ้ำรอยประวัติศาสตร์ “กลุ่ม 10 มกรา” ทำพรรคแตก
ยี่ห้อ “ชวน หลีกภัย” เลยต้องกระโดดออกมา “ขัดตาทัพ”
การกลับมาของโคตรเซียนวัยดึก ก็ต้องมีลีลากระตุกเรตติ้งกันตามฟอร์ม
ช็อตเดียวได้หลายเด้ง อีกทั้งการขยับของอดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย ยังเป็นการนำร่องนักการเมืองอาชีพให้เดินหมากอย่างเป็นระบบในการวัดเชิงกับทหาร
แบบที่นายชวนกดดันเป็นเชิงสอนมวยอย่าเรียกร้องให้ คสช.ปลดล็อก เพราะจะทำให้ชาวบ้านเบื่อนักการเมือง ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของ คสช.ที่จะพิจารณาตามความเหมาะสม แต่หากการปลดล็อกช้า เกิดปัญหา คสช.ห้ามบอกปัดความรับผิดชอบ
เหมือนจะหมอบ แต่ขู่ กดดัน วัดใจกันในที
ตามเงื่อนสถานการณ์ที่ “นายกฯลุงตู่” ไม่ตอบโต้ แค่ยอมรับในความหวังดีของนายชวน
นั่นก็เพราะไม่รู้จะมีเหลี่ยมแฝงอะไรสวนมา
ที่แน่ๆในสถานการณ์ต่อเนื่องกับการที่มวยรุ่นเก๋า มวยรุ่นใหญ่ เริ่มขยับออกมาเคลื่อนไหว เปิดเกมวัดใจกับรัฐบาลทหาร คสช. ก็เป็นจังหวะต่อเนื่องกัน

กับประเด็นการ “เซ็ตซีโร่” พรรคการเมืองไปเริ่มนับหนึ่งกันใหม่หมด
ตามรูปการณ์ที่มีการเสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เพื่อโละสมาชิก เริ่มต้นการตั้งพรรคใหม่กันทั้งหมด ไม่ให้เกิดปมเหลื่อมล้ำพรรคใหม่ พรรคเก่า
ส่อเค้าทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป
ว่ากันตามกระบวนการ ไม่น่าจะทันตามปฏิทินที่ พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำสัญญาณประชาคม จะประกาศวันเลือกตั้งในเดือนมิถุนายน 2561 และเข้าคูหากาบัตรปลายปี
วนไปวนมา ก็หนีไม่พ้นเข้าเหลี่ยมยื้อเวลาของ คสช.
โดยจังหวะสถานการณ์ เหมือน คสช.ตั้งท่าไปต่อ ท่ามกลางสภาวะ “ขาเดี้ยง” จากการโดน “เจาะยาง” ทั้ง “ขาหลัก” ด้านความมั่นคงคือ “บิ๊กป้อม” และ “ขาค้ำยัน” ด้านเศรษฐกิจอย่าง “สมคิด”
เสี่ยงติดหล่ม ยางแตกได้ทุกขณะ
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ภายในประเทศ รัฐบาลทหาร คสช.ต้องเสียอาการทรงตัวเป็นพักๆ
แต่นั่นกลับสวนทางกับเงื่อนไขสถานการณ์ภายนอก เพราะล่าสุดสหภาพยุโรป (อียู) มีมติเห็นพ้องให้ฟื้นคืนการติดต่อทางการเมือง “ทุกระดับ” กับประเทศไทย หลัง จากระงับมานาน 3 ปี เพื่อแซงก์ชั่นกดดันกองทัพที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้ง
นั่นหมายถึงยุโรปไม่สนสภาวะภายใต้รัฐบาลทหารไทยอีกต่อไป
ตามจังหวะไหลตามเกมของ “พี่เบิ้ม” อย่างสหรัฐอเมริกา ที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” เปิดทำเนียบขาวต้อนรับ “นายกฯลุงตู่” ผู้นำรัฐบาลทหารของไทย
เจรจาความทางการเมือง ธุรกิจการค้า ความมั่นคง กันอย่างชื่นมื่น
แน่นอน ยุโรปก็ต้องการผลประโยชน์ตรงส่วนนี้เหมือนกัน
ทั้งหมดทั้งปวงนั่นก็เพราะชัยภูมิที่ตั้งของประเทศไทย เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญต่อการถ่วงดุลสถานการณ์การเมืองโลกในปัจจุบัน
ชาติมหาอำนาจทั้งตะวันตกและเอเชียจำเป็นต้องพึ่งพาไทยเป็นฐานขับเคลื่อนเชิงยุทธศาสตร์
นี่คือสถานการณ์ที่เกมอำนาจโลกเอื้อต่อการเมืองแบบไทยๆ
“เสียใน” แต่ “ได้นอก” ถึงตรงนี้มันก็อยู่ที่กึ๋นของรัฐบาล “ลุงตู่” โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจภายใต้การนำของ “สมคิด” จะหยิบฉวยโอกาสทองได้มากน้อยแค่ไหน
เพราะนั่นจะแปรผันโดยตรงกับสภาวะสู้แรง เสียดทานภายใน
เรื่องของ “เก่งบวกเฮง” ที่มาพร้อมๆกัน มันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ.
“ทีมการเมือง”

ดิ้นต้านหมาก 'แย่งแต้ม'

ดิ้นต้านหมาก 'แย่งแต้ม'


ถึงแม้ข้อเสนอของรุ่นเก๋าอย่าง “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ที่ออกมาแนะให้ใช้มาตรา 44 แก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้มีแค่ ส.ส.เขต 400 คน และไม่ต้องสังกัดพรรค เพื่อสลายขั้วสลายสีสร้างความปรองดอง จะเป็นปมเรียกแขก

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงไม่เห็นด้วยมาเต็ม แต่ “สมศักดิ์” ก็ไม่มีอะไรเสีย ได้จุดพลุขายไอเดีย โดยเฉพาะเมื่อชื่อเข้าตาในห้วงที่รัฐบาล คสช.มีคิวเตรียมลงพื้นที่จ.สุโขทัย

อำนาจพิเศษ ไม่มองเมินเจ้าถิ่นดีกรีเก๋าอย่าง “สมศักดิ์” แน่

ยิ่งถ้ามีลูกฟลุก ไอเดีย “ปล่อยผี ส.ส.” เข้าทางอำนาจพิเศษ หยิบไปปรับใช้ก็ได้เฮ

เพราะไม่เฉพาะรายนี้ แต่นักการเมืองที่ผูกติดต้นสังกัด หากคลายล็อกปล่อยฟรีให้ขยับสะดวก

มีรายการ “ตลาดแตก” ชัวร์

ในห้วงที่อ่านทาง “อำนาจพิเศษ” เดินหน้าเฟสต่อไป หนึ่งในแนวทางก็น่าจะเป็นแยกย่อยป้อมค่าย
หมาก “แย่งแต้ม” กำลังคืบหน้า

เมื่อมีคนที่ถูกมองว่าอยู่ในเครือข่ายออกมาเขี่ยลูกทั้งนายไพบูลย์ นิติตะวัน ว่าที่ผู้ก่อตั้งพรรคประชาชนปฏิรูป ประกาศตัวเป็นเสลี่ยงหาม “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.

เสนอ สนช.ให้แก้กฎหมายพรรคการเมือง ในปมจดทะเบียนสมาชิกพรรคกันใหม่ ด้วยสูตร “เซ็ตซีโร่”

อีกทาง “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ แฟนคลับตัวจริงของ “ลุงตู่” ก็โผล่มาในจังหวะเดียวกัน ชูข้อเสนอไม่แตกต่าง ด้วยเหตุผลทำให้พรรคเก่า–ใหม่ เท่าเทียม เป็นธรรม

แล้วเกมก็ชักจะเข้าเค้า ถึงแม้ไม่อ้าซ่า แต่คนรัฐบาล คสช.ก็แบะท่ารับลูกไอเดีย

หินถูกโยนแล้ว หากทางสะดวกก็คงลุย

แล้วคิวนี้ก็น่าสังเกต ที่โวยหนักไม่ใช่คนในพรรคเพื่อไทยที่น่าจะเป็น “เป้าหลัก” หลังโดนโค่นจากอำนาจรัฐ ในคิวรัฐประหารปี 2557 เพียงแต่เอาเข้าจริง สารพัดสูตรรื้อโละนั้น “นายใหญ่” อ่านหมาก “วางแผน” รับไว้แล้ว

ด้วยสูตรแก้ไข “แตกตัว” เอง ก่อนจะถูก “ทำให้แตก”

แว่วว่ามีพรรคเครือข่ายสำรองไว้หลายหัว “แตกตัวก่อน” หลังเลือกตั้งค่อยกลับมา “ประกอบร่าง”

ต่างจากคนพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกมาโวยแหลก พุ่งโฟกัสไอเดียรื้อกฎหมายพรรคการเมือง ในเกมโละ “รีเซ็ต-เซ็ตซีโร่” จวกแรงทำให้กฎหมายที่ยังไม่บังคับใช้เต็มร้อยต้องแท้ง “ตายทั้งกลม”

หรือที่มาวิเคราะห์เป็นฉากๆ เห็นภาพ “ประมวล เอมเปีย” รองโฆษกพรรค ชี้เปรี้ยง ไอเดียสารพัดที่เสนอ อดีต ส.ส.ทุกคนเข้าเงื่อนไขต้องมาสมัครสมาชิกใหม่ เท่ากับเป็นเกม “สลายพรรค”

เปิดทางทุนใหม่-ค่ายใหม่ “ตกปลาในบ่อเพื่อน” และอาจนำไปสู่การ “ยืดเลือกตั้ง”

ตามรูปการณ์ก็คงห้ามหวั่นไหวไม่ได้เหมือนกัน เพราะอีกธงของอำนาจพิเศษ ที่น่าจะมีสูตร “แยกกันเดิน” ก่อนรวมตัว “ประกอบร่าง” หลังเลือกตั้ง ในแผนปั้น “ผู้นำคนนอก”

วางหมากไม่ต่างจากลูกไม้ “ค่ายนายใหญ่”

แน่นอน อีกทางก็คือต้อง “ทอนแต้ม” ค่ายหลักอย่างประชาธิปัตย์ ลดความเฮี้ยว “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรค ปชป.ที่ “นายหัวชวน หลีกภัย” ปรมาจารย์กลับมาเดินลมปราณ เติมกำลังภายในให้ศิษย์รัก
โดยผู้กล้าท้าความขลังนายหัว ก็คงไม่พ้น “ลุงกำนันสุเทพ” ดีกรี “อดีตแกนนำ กปปส.”

ถ้าเปิดหัวตั้งพรรคใหม่ ก็น่าจะได้ลูกทีมพื้นที่ต่างๆมาเข้าทัพพอสมควร

แย่งแต้มภาคใต้อาจยาก แต่ถ้าได้แค่ “แบ่ง” บ้างก็เฮแล้ว

โดยเฉพาะถ้ามีปัจจัยหนุน “เซ็ตซีโร่” สมาชิกพรรคมาเป็นตัวช่วย ก็คงจะ “ตกปลา” กันสนุกยิ่งขึ้น

ปชป.ที่ “อภิสิทธิ์” ถือธงนำ ใต้ร่มเงาความขลัง “นายหัวชวน” ก็นิ่งไม่ได้ เมื่ออำนาจพิเศษเริ่มส่อแววกลับลำยูเทิร์นหักศอกสู่ธงเดิม ก็ต้องดิ้นแก้เกม ยื้อคิวแย่งแต้มทอนกำลัง

ประคองพวงมาลัยไม่ให้รถยี่ห้อเก่าแก่ “แหกโค้ง”.

ทีมข่าวการเมือง