PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2562

การเมืองไทยเริ่มผันแปรแล้ว

การเมืองไทยเริ่มผันแปรแล้ว
โดย สิริอัญญา 
วันอังคารที่ 12 มีนาคม 2562

สภาพการต่อสู้ทางการเมืองในการเลือกตั้งทั่วไปเป็นที่รู้กันว่าได้เกิดสภาพสามก๊กขึ้น คือก๊กเพื่อไทยก๊กหนึ่ง ก๊กประชาธิปัตย์ก๊กหนึ่ง และก๊กพลังประชารัฐอีกก๊กหนึ่ง ซึ่งแต่ละก๊กก็มีพันธมิตรพรรคเดียวบ้างหรือหลายพรรคบ้าง ยกเว้นก็แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ได้จัดตั้งพรรคย่อยไว้เป็นพรรคสำรองหรือเป็นพรรคพันธมิตร 

ภายใต้สภาพสามก๊กดังกล่าวนั้น พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศให้แกนนำของพรรคเป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรค โดยพรรคเพื่อไทยได้ประกาศให้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นนายกรัฐมนตรีส่วนพรรคประชาธิปัตย์ประกาศให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี 

สำหรับก๊กพลังประชารัฐนั้น เดิมมีมติให้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรครวม 3 คน คือพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายอุตตม สาวนายน และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แต่หลังจากมีการยื่นคำเชิญพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาแล้ว ต่อมาภายหลังได้มีการถอนชื่ออีกสองคนที่เหลือ จึงทำให้พรรคพลังประชารัฐมีนายกรัฐมนตรีคือพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพียงคนเดียว

ในระดับพรรคพันธมิตรนั้น ก็เป็นที่รู้กันว่าพรรคตระกูลเพื่อทั้งหลาย รวมทั้งพรรคไทยรักษาชาติ และพรรคอนาคตใหม่ ล้วนเป็นพันธมิตรของก๊กเพื่อไทย ในขณะที่พรรครวมพลังประชาชาติไทยและพรรคประชาชนปฏิรูป รวมทั้งพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา และพรรคภูมิใจไทย โดยพรรคภูมิใจไทยและพรรคอนาคตใหม่นั้นได้เสนอหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี 

ครั้นระยะเวลากำหนดการเลือกตั้งทั่วไปเหลือเพียงอีกไม่กี่วันก็ปรากฏผลโพลยืนยันผลโพลก่อนหน้านี้ตรงกันในลักษณะทั่วไปว่า คนส่วนใหญ่สนับสนุนให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่คนส่วนใหญ่กลับสนับสนุนให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล ตามมาด้วยพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนพรรคพลังประชารัฐตกไปเป็นลำดับที่สาม 

ในขณะที่พรรคพันธมิตรทั้งหลายที่ไม่ได้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้แผ่วเสียงลงโดยลำดับ โดยเฉพาะพรรคที่สนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา คะแนนเสียงตกไปจนแทบหากระแสไม่ได้ สาเหตุสำคัญก็เพราะว่าผู้ที่นิยมชื่นชมพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หันไปเทคะแนนเสียงให้พรรคพลังประชารัฐแทน เพราะไม่ต้องเสียเวลาลงคะแนนโดยอ้อมให้กับพรรคอื่น 

ทำให้พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคประชาชนปฏิรูป และพรรคอื่น ๆ ที่ประกาศสนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี มีกระแสแผ่วลงจนน่าตกใจ 

ยกเว้นก็แต่พรรคพันธมิตรสองพรรค คือพรรคภูมิใจไทยซึ่งเป็นพรรคพันธมิตรของพรรคพลังประชารัฐมาแต่เดิมและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราดเพราะประกาศนโยบายเสรีกัญชา ทำให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องและมีส่วนได้เสียกับผลประโยชน์ดังกล่าวพากันเทเสียงสนับสนุน จนแกนนำพรรคภูมิใจไทยมีความมั่นใจว่าจะได้รับเลือกตั้งถึง 70 ที่นั่ง 

ในขณะที่พรรคอนาคตใหม่ซึ่งกำหนดเป้าหมายไปที่คนรุ่นใหม่ที่มีอายุ 18-25 ปี กว่า 7 ล้านคน และประสบผลสำเร็จในการรณรงค์เลือกตั้งแบบใหม่ชนิดที่เข้าถึงใจคนรุ่นใหม่ กระแสจึงพุ่งแรงแซงทางโค้งขึ้นมาจนเป็นที่ตื่นตกใจของหลายพรรค จึงเกิดกระบวนการโจมตีทำลายพรรคอนาคตใหม่อย่างครึกโครม ถึงขั้นเกิดกระแสว่ามีคนหาทางที่จะยุบพรรคอนาคตใหม่ให้ได้ 

ซึ่งต้องไม่ลืมว่านี่เป็นเรื่องของการเมือง อาจจะหาเรื่องยุบพรรคบางพรรคได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะสงคราม เพราะผลแท้จริงอาจจะเกิดขึ้นตรงกันข้าม ดังเช่นความพยายามโจมตีพรรคอนาคตใหม่ที่ใช้สื่อหลักหลายสำนักและใช้นักวิชาการมือเก๋าหลายคนรุมกันตีรุมกันกระหน่ำ แต่กลับกลายเป็นว่าบรรดาคนแก่คนเก๋าทั้งหลายที่รับจ๊อบมาทำงานนี้ล้วนหน้าแตกหงายท้องตาม ๆ กัน เพราะนอกจากไม่ได้ผลแล้ว กลับถูกคนรุ่นใหม่รุมกันถอนหงอกอย่างน่าเวทนา ดังนี้เป็นต้น

และที่น่าจับตามากที่สุดก็คือ ผลโพลล่าสุดที่พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐได้คะแนนเสียงเรียงลำดับกันมาหนึ่ง สอง สาม จนเห็นได้ชัดว่าคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยถ้ารวมกับพรรคประชาธิปัตย์แล้วก็จะเกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร 

และถ้ารวมกับผลโพลคะแนนของพรรคภูมิใจไทยกับพรรคอนาคตใหม่แล้วก็อาจมีคะแนนเสียงรวมกันเกิน 376 เสียง ซึ่งเพียงพอที่จะเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้นจึงทำให้ความคาดหมายเดิมที่เสียง ส.ว. 250 เสียง เป็นฐานเสียงใหญ่ โดยพรรคพลังประชารัฐทำคะแนนเสียงเพียง 126 เสียง ก็สามารถเลือกพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีได้ถูกท้าทายครั้งสำคัญ 

และล่าสุดนี้ทั้งหัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรคภูมิใจไทยซึ่งได้กลายเป็นตัวแปรและเป็นผู้ถือดุลทางการเมืองที่สำคัญไปแล้วก็ได้ประกาศท่าทีทางการเมืองครั้งใหม่ว่า ส.ว. ไม่ควรออกคะแนนเสียง เพราะควรเปิดโอกาสให้ผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากประชาชนเป็นผู้สรรหานายกรัฐมนตรีกันเอง 

ถัดมาก็มีการประกาศท่าทีเสริมเข้าไปอีกว่า ถ้าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้คะแนนเสียงข้างมาก พรรคภูมิใจไทยก็จะไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วย 

ถ้าถือเอาก๊กเพื่อไทยและก๊กพลังประชารัฐเป็นคู่แข่งในการจัดตั้งรัฐบาล มาถึงวันนี้สถานการณ์มีความชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยได้กลายเป็นผู้ถือดุลที่เด็ดขาดแล้ว สองพรรคนี้รวมกันสนับสนุนก๊กไหนก๊กนั้นก็จัดตั้งรัฐบาลได้ 

แต่อย่ามองข้ามที่ก๊กเพื่อไทยจะเทคะแนนเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคภูมิใจไทยให้เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อกันพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ออกจากวงอำนาจไปก่อน จากนั้นก็จะเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองทั้งหลายจะขับเคี่ยวกันด้วยเชิงชั้นทางการเมืองต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องน่าจับตาอย่างยิ่ง.

สองขั้วข้องใจ'มาร์ค' พท.ถามเอาพปชร.หรือไม่'เทือก'ทวงบุญคุณ

    “อภิสิทธิ์” ตั้งโต๊ะแถลงย้ำอีกรอบไม่เอา “ประยุทธ์-ระบอบทักษิณ” แน่ ลั่นพร้อมเป็นฝ่ายค้าน ยันพรรคไม่มีงูเห่า “หญิงหน่อย” สวนหมัดไม่ร่วม ปชป.เช่นกัน ยังข้องใจตัดตอนแค่ “ลุงตู่” แต่เอาพรรคพลังประชารัฐใช่หรือไม่ อนาคตใหม่มองทางเดียวกันแน่จริงต้องไม่เอาทั้งบิ๊กตู่และพรรคสนับสนุน “จตุพร” ชี้เหตุมาร์คเลือกข้างเพราะได้กลิ่นไม่ดี “กำนัน” เดือดทวงบุญคุณใครดันให้นั่งนายกฯ ประกาศไม่เกรงใจเช่นกันหนุน “ประยุทธ์” 
    เมื่อวันจันทร์ยังคงมีความต่อเนื่องกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)  ได้ประกาศจุดยืนว่าจะไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นนายกฯ ต่อ 
โดยที่ทำการพรรค ปชป. นายอภิสิทธิ์พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรคได้แถลงจุดยืนอีกครั้งว่า ตามที่ได้ประกาศจุดยืนไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์เพราะการสืบทอดอำนาจนั้น หลายฝ่ายยังตั้งคำถาม  ซึ่งก็ขอชี้แจงในประเด็นต่างๆ ประการแรกยืนยันเป็นการพูดในฐานะหัวหน้าพรรคและเป็นไปตามอุดมการณ์ของพรรค ดังนั้นจึงไม่ควรมีคำถามว่าเป็นจุดยืนของพรรคหรือไม่ ซึ่งการออกมาแสดงจุดยืนครั้งนี้ เพราะเราคิดว่าเป็นสิทธิ์ของผู้เลือกตั้งที่จะได้รับทราบจุดยืนของแต่ละพรรคการเมืองให้ชัดเจน ไม่ใช่ให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเลือกบนความเข้าใจแบบหนึ่ง แล้วสุดท้ายพรรคที่เลือกกลับไม่ได้ทำตามที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเข้าใจหรือคิด
    “หากสิ่งที่ผมประกาศทำให้เสียคะแนน ผมยินดี เพราะคิดว่ามันคือความเป็นธรรมสำหรับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งซึ่งสำคัญกว่า โดยประชาชนมี 3 ทางเลือก คือ ปชป., พรรคเพื่อไทย และพรรค พปชร. เพราะเรื่องที่สำคัญที่สุดในการเป็นรัฐบาลของ ปชป. ซึ่งขณะนี้เรามุ่งสู่การเป็นแกนนำรัฐบาลไม่ใช่พรรคร่วม  จึงต้องจัดตั้งรัฐบาลบนพื้นฐานของอุดมการณ์และนโยบาย และสิ่งที่แสดงจุดยืนออกไป 2 ครั้งชัดเจนว่าเราต้องการจัดตั้งรัฐบาลแบบไม่มีทุจริตและสืบทอดอำนาจ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
    นายอภิสิทธิ์ยอมรับว่า การประกาศจะมีปฏิกิริยาจากทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งกลับไปสู่การสร้างวาทกรรมเดิมๆ คือหากไม่เลือก พล.อ.ประยุทธ์ หมายถึงต้องจับมือกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งต้องขออนุญาตให้ทุกคนย้อนหลังดู เคยพูดแล้วว่าตราบเท่าที่พรรค พท.ไม่สามารถออกมาจากการครอบงำของกลุ่มคนเล็กๆ ที่มีผลประโยชน์กับประเทศ พรรคก็ไม่อาจร่วมงานด้วยได้ ที่สำคัญจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงการทำงานทางการเมืองของกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายนี้ และอีกด้านหนึ่งก็ไม่ตกหลุมพรางของเครือข่ายระบอบทักษิณ ที่พยายามบีบเพื่อให้เราไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เขาถามว่าจะร่วมกับ พปชร.หรือไม่ ขอตอบให้ชัดอีกครั้งว่าหาก พปชร.ต้องการสืบทอดอำนาจ ปชป.ไม่ร่วมด้วย
    “ผมรู้สึกแปลกใจที่ยังมีกองเชียร์บอกว่าผมตอบไม่ได้ ตอบไม่ชัด ดังนั้นผมขอเปรียบเทียบกับคำตอบของพรรคอนาคตใหม่ที่ขึ้นเวทีดีเบตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และถูกถามว่าจะร่วมกับ พปชร.ได้ไหม  พรรคอนาคตใหม่ตอบว่าถ้า พปชร.จะบอกว่าโอเค เราไม่สืบทอดอำนาจ คสช. ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ เรายังร่วมกับ พปชร.ได้เลย ทำไมเวลาผมพูดบอกว่าผมกั๊ก ถ้าเป็นเช่นนั้นผมก็มีอนาคตใหม่เป็นเพื่อน เพราะเป็นคำตอบเดียวกันบนเวทีดีเบต” นายอภิสิทธิ์กล่าว

หัวหน้าพรรค ปชป.ยังกล่าวว่า ความขัดแย้งทางการเมืองในอนาคตที่จะทำให้เกิดมากที่สุด คือ การสืบทอดอำนาจ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จึงกลายเป็นศูนย์กลางเงื่อนไขความขัดแย้งที่ง่ายที่สุดหลังการเลือกตั้ง ซึ่งสิ่งที่ต้องบริหารจัดการประเทศต่อไปที่ต้องเอาอยู่ให้ได้คือฝ่ายการเมือง วันนี้น่าเป็นห่วง เพราะเส้นทางการดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อไปของ พล.อ.ประยุทธ์พึ่งพาอยู่กับนักการเมือง เห็นชัดจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในเส้นทางที่ตัวเองต้องการได้ ทั้งกรณี ส.ป.ก.ทองคำ,  นโยบายข้าว เคยบอกว่าไม่ควรทำ ทำไม่ได้ แต่วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์กลับต้องพึ่งพาสิ่งเหล่านั้น ขัดกับความเชื่อและจุดยืนของท่าน

ลั่นพร้อมเป็นฝ่ายค้าน
    

เมื่อถามว่าหากพรรค พท.หรือ พปชร.ได้เป็นรัฐบาล ตำแหน่งในรัฐสภาของ ปชป.จะคืออะไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "ไม่สนับสนุนคนโกงนำประเทศ และไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ซึ่งแน่นอนว่า ปชป.ก็ไม่ร่วม เป็นฝ่ายค้าน ยืนยันว่าพรรค ปชป.เป็นพรรคประชาธิปไตยสุจริต"
       และเมื่อถามว่า ปชป.ไม่ร่วมกับทั้งพรรค พท.และ พปชร. จะเป็นแกนนำในการรวบรวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างไร นายอภิสิทธิ์แจงว่า "ขอให้ฟังให้ดี ประกาศเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลโดยจะเลือกพรรคที่ไม่ทุจริตและไม่สืบทอดอำนาจเช่น พปชร. ถ้า ปชป.เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลไม่มี พล.อ.ประยุทธ์แน่นอน เพราะไม่ได้เป็นทั้งสมาชิกพรรคและเป็น ส.ส. เป็นเพียงผู้ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ  ซึ่งเท่ากับว่าถ้า ปชป.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลนายกฯ ไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งก็ต้องพิจารณาว่า พปชร.มีอะไรที่สืบทอดอำนาจหรือไม่ หรือขัดกับอุดมการณ์กับเราหรือไม่ ถ้ายังสืบทอดอำนาจก็ไม่ให้มาร่วม  โดยนิยามของการสืบทอดอำนาจคือตัวบุคคลและมรดกที่ขัดกับประชาธิปไตย ซึ่ง ปชป.ต้องเข้าไปจัดการอยู่แล้ว เช่น ประกาศ คสช., คำสั่ง คสช. เป็นต้น"
    ถามถึงวิธีการบริหารจัดการกับ ส.ส.ของพรรคหากไม่ปฏิบัติตามมติหรืออุดมการณ์ของพรรค นายอภิสิทธิ์กล่าวอย่างมั่นใจว่า พวกเขาจะรักษาจุดยืนของพรรคและสนับสนุนสิ่งที่ประกาศไว้กับประชาชน  และถึงแม้ไม่ได้อยู่ในฐานะหัวหน้าพรรค พรรคก็ควรต้องยังทำแบบนั้น เพราะเป็นเรื่องอุดมการณ์ของพรรค ใครที่ไม่รักษาอุดมการณ์ของพรรคถือว่าขัดข้อบังคับของพรรค ซึ่งก็ต้องดำเนินการ 
    ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธที่จะตอบคำถามกรณีนายอภิสิทธิ์ประกาศไม่สนับสนุน โดยได้โบกมือและมีสีหน้ายิ้มแย้มกับสื่อ และเมื่อถามถึงกรณีเผยแพร่ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ในหลายอิริยาบถที่แสดงความเป็นกันเองนั้นต้องการสื่อสารอะไร พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า "ต้องการแสดงถึงตัวตนของฉันจริงๆ"  และเมื่อถามย้ำว่า คิดว่าภาพที่ออกมาใช่ตัวตนของตัวเองหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ยกนิ้วทำท่าสัญลักษณ์เก๊กหล่อ พร้อมกล่าวทันทีว่า "ใช่สิ ฉันทะเลาะกับเธอเท่านั้นแหละ ไม่ทะเลาะกับคนอื่น" 
    ต่อมาในช่วงเย็น พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์อีกครั้งหลังเดินทางมารับฟังการบรรยายของผู้แทนพิเศษระหว่างประเทศ เรื่องการเปลี่ยนแปลงโลก บรรยายโดย Mr.Salim Ismail ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า สัญญาว่าจากนี้ต่อไปไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่คิดว่าต้องมีคนที่ต้องนำพาประเทศชาติไปตรงโน้น ไปด้วยความรับผิดชอบ ด้วยจิตสำนึก ด้วยเป็นหน้าที่ ไม่ใช่เข้ามาทำอะไรต่างๆ สักอย่างด้วยวัตถุประสงค์อื่น
เมื่อถามว่าคำสัญญาของนายกฯ หมายความว่า ถ้าวันข้างหน้าได้กลับมาเป็นนายกฯ แสดงว่าจะมีทีมรัฐมนตรีที่คัดสรรมาอย่างดี พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า พยายามบอกว่าถ้าอยากทำต้องทำให้สำเร็จ ทีมที่จะมาทำงานก็ต้องคัดสรรหา ไม่ใช่เอาทีมเดิมทั้งหมดได้ที่ไหน ต้องคัดสรรมาใหม่ ต้องมาจากการเมือง  ก็ต้องว่ากันมา อาจต้องมองเก่าผสมใหม่บ้าง เพราะต้องการให้คนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ไปด้วยกัน
ถามว่านายกฯ พูดว่าในสนามรบต้องชนะเท่านั้น แพ้ไม่ได้ในเวทีหมายถึงอะไร นายกฯ กล่าวว่า ต้องทำให้สำเร็จ ต้องขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้กลับหรือไม่ ถ้าผู้บังคับบัญชาดูแล้วไม่คุ้มค่า แต่ถ้าอยู่แนวรบข้างหน้า ภารกิจแรกถ้าไม่สำเร็จก็ต้องทำให้สำเร็จ แต่ถ้าเขาเสี่ยงแล้ว ผู้บังคับบัญชาข้างหลังพิจารณาแล้วว่าเป็นการเสี่ยงที่ไม่คุ้มค่า เขาอาจสั่งถอนก็ได้ ตนเองก็ต้องถอน เชื่อมั่นในตรงนี้ในสายบังคับบัญชาที่ชัดเจน ลูกน้องต้องปลอดภัยให้มากที่สุด
    เมื่อถามว่า นายกฯ คิดอย่างไรที่ตอนนี้นักการเมืองให้เลือกจุดยืนระหว่างฝั่งเผด็จการกับประชาธิปไตย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าธรรมดาๆ ปล่อยเขาเถอะ และเมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรที่นักการเมืองใช้ยุทธศาสตร์หาเสียงไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ กล่าวว่า "ผมไม่สนใจ"
    พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวเรื่องนี้สั้นๆ ว่า "ไม่เป็นไรก็ว่าไป" 
    ขณะที่นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้า พปชร.มองว่า เป็นเพียงวาทกรรมทางการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งเพื่อหวังคะแนนจากประชาชน และเป็นคำพูดที่ใจแคบ เพราะหากต้องการสืบทอดอำนาจก็ไม่จำเป็นจะต้องให้มีการเลือกตั้งหรือเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยอย่างวันนี้ 
    นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษก พปชร.กล่าวว่า ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนหลายสำนักสะท้อนว่าความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์เหนือกว่าผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ของพรรคอื่นๆ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ และที่สำคัญผู้ที่จะตัดสินว่าจะให้ใครเป็นนายกฯ คือเสียงของประชาชนในการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค.นี้ ดังนั้นนายอภิสิทธิ์ไม่ควรไปคิดแทนประชาชน
'ตระกูลเพื่อ-อนค.' ยังข้องใจ
    ด้านคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรค พท.ระบุว่า ต้องถามนายอภิสิทธิ์ว่าที่ไม่เอาพรรค พท.เด็ดขาด หมายความว่าจะเอาพรรค พปชร.ใช่หรือไม่ ซึ่งนายอภิสิทธิ์และพรรค ปชป.ต้องเลือกเพราะมันไม่มีฝ่ายเป็นกลางในสภา 
    “คุณอภิสิทธิ์ต้องตอบให้ชัดถ้าพลังประชารัฐชนะจัดตั้งรัฐบาลได้ คุณอภิสิทธิ์จะร่วมกับพลังประชารัฐใช่หรือไม่ เพราะคุณอภิสิทธิ์บอกว่าไม่ร่วมกับเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ต้องตอบให้ชัดอย่ากั๊ก เพราะมันเสียโอกาสประชาชน พอไม่ชัดเจนประชาชนไม่เข้าใจ คิดว่าคุณไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แต่เอาพลังประชารัฐร่วมกับพลังประชารัฐได้ใช่หรือไม่ จึงขอให้ประชาธิปัตย์ตอบให้ชัดอย่าหวังเพียงแค่คะแนนก่อนเลือกตั้ง บอกว่าไม่ร่วมกับเพื่อไทยเราขอบคุณ เพราะเราก็ไม่ร่วมกับคุณ" คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว
    นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกฯ พท.กล่าวทำนองเดียวกันว่า หัวใจไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์  ซึ่งนายอภิสิทธิ์ควรมีจุดยืนว่าจะร่วมกับ พปชร.หรือไม่ ไม่ใช่อยู่ที่ตัวบุคคล ควรเน้นที่ตัวพรรคมีอุดมการณ์ว่าเป็นอย่างไร แต่ก็เป็นสิทธิ์ของนายอภิสิทธิ์ที่จะไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แต่จะสนับสนุน พปชร.หรือไม่เป็นสิ่งที่ประชาชนจะตั้งคำถาม 
    น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวว่าได้ฟังการแถลงข่าวของ ปชป.แล้วยังมีคำถามที่น่าสนใจว่า 1.พรรค ปชป.จะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับ พปชร.เท่านั้นใช่หรือไม่ และ 2.ในการจับมือกับพรรค พปชร.ก็เพื่อที่จะให้ พปชร.สนับสนุนเป็นนายกฯ โดยอาศัยกระแสการต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ใช่หรือไม่ จึงพยายามตัดตอนเรื่องสืบทอดอำนาจ คสช.เท่ากับ พล.อ.ประยุทธ์คนเดียวเท่านั้น  โดยไม่พูดถึง พปชร. ซึ่งสำหรับ อนค.เราย้ำชัดเจนว่าการปฏิเสธการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร ไม่ใช่เพียงปฏิเสธ พล.อ.ประยุทธ์ แต่หมายถึงปฏิเสธพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง ระบบการเมืองและกลไกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ 2560 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือแม้แต่ ส.ว. 250 คนด้วย
     นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ (พ.ช.) กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์เป็นนักการเมืองมานาน เขาย่อมได้กลิ่นอายว่าประชาชนขณะนี้คิดอย่างไรต่อ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะฉะนั้นเขาคงชั่งน้ำหนักแล้ว แต่ว่าพรรค พ.ช.อยู่ในซีกฝ่ายประชาธิปไตย ได้ตัดสินใจมาตั้งแต่ต้นและก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยคือว่าไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ 
    นายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป กล่าวว่า เป็นเรื่องของพรรคการเมืองอื่นที่จะแสดงความคิดเห็น แต่จุดยืนของพรรคยืนยันว่าสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ต่อไป
'กำนัน' ไม่เกรงใจเช่นกัน
    ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) โพสต์เฟซบุ๊กตอนหนึ่งว่า "หมดเวลาเกรงใจกันแล้ว ก็เป็นที่ชัดเจนกันซะทีหลังได้เห็นคลิปและจดหมายของหัวหน้าพรรค ปชป. ที่ประกาศออกมาแบบไม่แทงกั๊กแล้ว ว่าจะไม่ขอสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อแน่นอน ซึ่งเคารพในการตัดสินใจครั้งนี้ แต่ก็เสียดายในฐานะคนคุ้นเคยที่เคยร่วมในอุดมการณ์เดียวกันมาอย่างยาวนาน 
    เมื่อพรรค ปชป.เลือกข้างแล้ว  ผมก็เห็นข้อดี คือจะทำให้พี่น้องมวลมหาประชาชนที่เคยออกมาชุมนุมที่เคยเสียสละ เสียเลือด เสียเนื้อ บาดเจ็บล้มตาย เพราะมีอุดมการณ์ร่วมกัน คนที่เคยเลือกประชาธิปัตย์มาตลอดชีวิตเหมือนผม ตัดสินใจชัดเจน ประกาศหนุน พล.อ.ประยุทธ์แบบไม่ต้องเกรงใจด้วยเช่นกัน” 
    ก่อนหน้านี้ในช่วงค่ำวันที่ 10 มี.ค. นายสุเทพได้ปราศรัยที่สวนพระนารายณ์ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงาถึงกรณีนี้ว่า นายทักษิณประกาศว่าฝ่ายประชาธิปไตยต้องมารวมพลังกันต่อสู้เผด็จการทหาร นี่คือวาทกรรมทางการเมือง มันไม่ใช่ นี่คือการต่อสู่ระหว่างพวกเอาทักษิณกับไม่เอาทักษิณ ตนเองอยู่ในพรรค  ปชป. 37 ปี เป็นเลขาธิการพรรค เป็นผู้บริหารพรรคคนสำคัญคนหนึ่ง และบอกกับพี่น้องตรงว่าเป็นคนทำให้นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ ถ้าไม่ใช่ตนเองไม่รู้ว่าชาติหน้าจะได้เป็นนายกฯ หรือไม่ 
    “วันนี้อภิสิทธิ์มาประกาศแล้วเขาไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ผมก็ข้องใจ อยากจะถามอภิสิทธิ์ว่า ตกลงยืนข้างเดียวกับทักษิณเต็มตัวแล้วใช่มั้ย นี่แสดงว่าถ้าฝ่ายทักษิณเทคะแนนให้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ  เอาทันทีใช่มั้ย นี่แสดงว่าอาจอยากจะเป็นนายกฯ มึงลืมพวกกูที่ถูกฆ่าไปแล้วใช่มั้ย” นายสุเทพปราศรัย
    นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค ปชป.ยอมรับว่า เป็นความสำเร็จของนายสุเทพในการผลักดันนายอภิสิทธิ์จริง แต่เมื่อสถานการณ์เดินมาขนาดนี้สิ่งที่หัวหน้าพรรค ปชป.ทำก็เป็นหลักและอุดมการณ์ของพรรค ซึ่งถ้านายสุเทพยังอยู่ในพรรคก็คงพูดเหมือนหัวหน้าพรรค ดังนั้นเราไม่ขอตอบโต้
    นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ตั้งข้อสังเกตว่า คำพูดของนายอภิสิทธิ์เป็นความเห็นของคนทั้งพรรคและเป็นมติหรือไม่ เพราะหากถึงเวลาต้องร่วมรัฐบาลจริงๆ หากพรรคมีมติไม่ตรงกับนายอภิสิทธิ์ก็ต้องออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคก็ได้ ทำให้คำพูดนายอภิสิทธิ์ขาดความน่าเชื่อถือไปมาก
    นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพรรค ทษช.กล่าวเช่นกันว่า ปชป.ต้องการปลุกกระแสพรรคช่วงโค้งสุดท้าย จึงประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แต่การที่รับว่าพร้อมร่วมมือกับพรรค พปชร.เป็นเรื่องย้อนแย้ง เพราะพรรคนี้เป็นของ พล.อ.ประยุทธ์ตั้งขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจ จึงไม่รู้แปลว่าอะไร ถ้าจะให้ตีความง่ายๆ คือไม่ยอมให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ แต่อยากให้อำนาจเผด็จการอุ้มตัวเองเป็นนายกฯ ใช่หรือไม่ การเดินแต้มนี้ถือว่าไม่ธรรมดา กะว่าจะได้ทุกมุม ไม่เห็นแก่เสียเลย เห็นแก่ได้อย่างเดียว.


'ประยุทธ์'ลั่นลงสนามรบถ้าแพ้คือตาย บอกเปลี่ยนลุคเพราะอยากหล่อ

11 มี.ค.62 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.30.น. ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางรับฟังการบรรยายของผู้แทนพิเศษระหว่างประเทศ เรื่องการเปลี่ยนแปลงโลก ซึ่งบรรยายโดย Mr Salim Ismail นักพูด นักเขียน การพัฒนาธุรกิจแบบก้าวกระโดด โดยไม่กำหนดการแจ้งแต่อย่างใด 

ทั้งนี้ เมื่อนายซาลิม ( Mr Salim Ismail ) บรรยายจบ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขึ้นกล่าวบนเวทีว่า วันนี้ขึ้นมาพูด เพราะเป็นสัญญา ที่จะทำให้ทุกอย่าง ตนจะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงนี้ให้ได้ ถ้ามีโอกาสที่จะทำต่อไป ไม่ใช่หาเสียงทางการเมือง สิ่งที่ตนทำมา 4-5 ปีกำลังจะผลิดอกออกผล สิ่งที่ลงทุนจะเกิดอีก 5 ปีข้างหน้า ถ้าเริ่มต้นใหม่หรือกลับไปที่เดิมทั้งหมด ไม่มีทางอย่างที่คุณซาลิมพูด

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวแซวนาย
ซาลิมว่า สิ่งที่คุณซาลิมพูดมีบางคำล่อแหลม โดยเฉพาะที่พูดว่า จำเป็นต้องเปลี่ยนผู้นำ เปลี่ยนฮิตเลอร์ ซึ่งตนเห็นว่าบางอย่างไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมาก เพราะอยู่ตรงนี้ต้องมีอำนาจที่เด็ดขาด แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง และต้องทำงานแบบพลังประชารัฐ ซึ่งไม่เกี่ยวกับพรรคใดทั้งสิ้น เพราะประชารัฐเกิดมาก่อน สิ่งสำคัญในวันนี้คือความร่วมมือของเราทุกคน และที่อยากกราบเรียนในสิ่งที่เรากังวลคือเศรษฐกิจระดับล่างที่ต้องมีความเป็นห่วงเท่าๆกัน ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ ยอมรับว่ายังไม่ดี แต่มันก็อยู่ที่ทรงสภาพ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า พวกเราระดับแกน ระดับหัวทั้งหมด ต้องช่วยกันขับเคลื่อน สร้างความเข้าใจให้ทุกคนพยายามเดินไปข้างหน้า ถ้าเราไม่สตาร์ทก้าวแรก ก้าวต่อไปก็ไปไม่ได้ อาจหกล้ม วันนี้เดินมาหลายอย่างแล้ว เราจะกลับไปที่เดิมหรือ ตนคิดว่าไม่ใช่ ตนไม่ได้ว่าทุกอย่างดีหมด 

"แต่ผมสัญญาว่า ถ้าเรามีโอกาสได้ทำต่อไป เช่นใน 3-4 เดือนข้างหน้า ผมจะทำให้มากและให้ดีที่สุด นั่นคือสัญญาของผม อย่าไปทวงสัญญา เรื่องโน้นเรื่องนี้ พอได้แล้ว ยังไงผมก็อยู่มา 5 ปีแล้ว สิ่งที่ผมพูดวันนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง พอแตะไปหน่อย ก้อเอาเชียว หัวเราะ เดี๋ยวผมก็โดนเขาด่าอีก"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ทุกอย่างจำไว้ ต้องเดินก้าวแรกเสมอ ซึ่งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ถือเป็นสิ่งสำคัญในทุกกิจกรรม วันนี้ตนทำอนาคตให้พวกท่าน เพื่อให้ทุกคนได้มีอนาคต

"ผมอาจจะเป็นคนแบบนี้ เสียงดังโวยวาย แต่ผมทำและรับผิดชอบ เพราะผมเป็นทหาร ก็เป็นอย่างนี้และต้องทำให้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จกลับบ้านไม่ได้ คำว่ากลับบ้านไม่ได้ คือถ้าอยู่สนาม อยู่ชายแดน ถ้ามีรบ มีปะทะ ถ้าแพ้ก็กลับมาไม่ได้ ก็ตายอย่างเดียว นั้นคือสิ่งที่ตั้งมั่นมาตลอด วันนี้ไม่ได้สู้กับใคร เราต้องหยุดความขัดแย้งให้ได้ อย่าไปใช้อารมณ์ อย่าใช้ความรู้สึก หลายคนบอกว่า ช่วงนี้นายกฯเปลี่ยนไป ผมไม่เคยเปลี่ยน ผมทะเลาะกับนักข่าวเท่านั้น เพราะคำถามของเขา ผมไม่เคยทะเลาะกับใคร อย่ารังเกียจผมนักเลย บางครั้งคนเรามีตัวตน อย่าไปบิดเบือนตัวเองมาก บางครั้งผม ก็มีอารมณ์ศิลปินบ้าง โมโหบ้าง เป็นอารมณ์ทหารบ้าง คือสิ่งในตัวผม แต่วันนี้พอลุคออกมาใหม่ ก็มองว่านี่ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งบางครั้งผมก็อยากจะหล่อเหมือนกัน หลายคนก็แต่งเนื้อแต่งตัวให้สบายๆ ผมก็อยากเป็นบ้าง ให้อภัยผมเถอะ ช่วงนี้สำคัญอย่างยิ่ง เราอย่าไปเสียอารมณ์หงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือตอบคำถามที่ไม่เกิดประโยชน์ผมก็ไม่ตอบ ผมนิสัยเสียชอบตอบ นี่คือข้อเสียมีอย่างเดียวชอบตอบคำถาม และอดไม่ได้ที่จะโมโห ผมต้องแก้อีกมาก แต่ผมมาแบบนี้ผมหยุดไม่ได้ หยุดคิด หยุดทำงานไม่ได้ ซึ่งก็แล้วแต่ประเทศไทย ก็ไม่รู้เหมือนกันแล้วแต่พวกท่าน"พล.อ.ประยุทธ์กล่าว 

พล.อ.ประยุทธ์ ถามผู้รับฟังด้วยว่า ในนี้สังเกตมีคนไม่ยิ้ม ตนไม่เข้าใจว่าเป็นอะไร ไม่ชอบตนหรือเปล่าแต่อยากรู้สาเหตุว่าทำไมไม่ยิ้ม เวลาคนอื่นพูดยิ้มกัน ชีวิตไม่ได้ยาวเกินไป ต้องหาความสดชื่นดูบ้าง ยิ้มไว้เมื่อภัยมา ยิ้มไปเถอะยิ้มสยาม อย่าให้เป็นยิ้มสยอง ต้องยิ้มให้ทุกคนมีความสุข เราจะอดกลั้นอย่างไรก็ต้องฝืนยิ้มไว้ ตนพยายามเต็มที่ ถ้ามันมีคำถามที่กวนใจทุกครั้ง ตนไม่ใช่ศัตรู แต่วันนี้ลุคตนออกมาอย่างนั้น เป็นคนอารมณ์รุนแรง ขี้โมโห ตนพูดไม่เสียตังค์ ไม่ต้องมาจ้าง แต่ขอถามคุณซาลิมว่าเชื่อมั่นตนหรือไม่ ซึ่งนายซาลิม ตอบว่า จะพยายามเชื่อ 

ไม่มีทางเลือกทีสาม?


    มองการเมืองวันนี้ไม่ง่าย 
    แค่ตาเห็นยังไม่พอ 
    ต้องใช้ใจด้วย 
    ก็อย่างที่กล่าวถึงไปหลายครั้งว่านี่คือยุค ประชาธิปไตยสีเทา กับ เผด็จการหน่อมแน้ม
    เรามีประชาธิปไตยแค่ชื่อ เพราะการกระทำ อยู่ภายใต้การกำกับของคนโกง 
    เรามีเผด็จการที่ถูกทำให้เห็นว่า เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่กลับถูกกลุ่มต่อต้านสาปแช่ง ขุดโคตรเหง้าศักราชมาก่นด่าสามเวลาหลังอาหาร 
    การจะขีดเส้นแบ่งว่า นี่คือประชาธิปไตย นี่คือเผด็จการ จึงยากเย็นแสนเข็ญ
    ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่หมากการเมืองของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ได้ผลลัพธ์ในมุมกลับ 
    ถูกด่ามากกว่าชื่นชม 
    การเป็นทางเลือกที่สาม เป็นแนวคิดที่ดี แต่ด้วยการโหมกระแส ประชาธิปไตย-เผด็จการ จึงไม่มีที่ว่างให้คนที่อยู่ตรงกลาง 
    และนี่คือการส่งสัญญาณให้เห็นถึงความขัดแย้งที่จะมีขึ้นแน่นอนอีกครั้งในอนาคตอันใกล้
    ฝ่ายประชาธิปไตยสีเทา มีเพื่อไทย อนาคตใหม่ ไทยรักษาชาติ เป็นตัวยืน ประกาศกร้าวยุติการสืบทอดอำนาจ  
    สุดารัตน์ ธนาธร จตุพร พูดทุกเวที "ฆ่าเผด็จการ"
    นั่นคือสิ่งที่ประชาชนซึมซับ
    ราวกับว่าทุกเสียงที่พลังประชารัฐ หรือพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีได้จากประชาชนคือเสียงเผด็จการ 
    กลับกัน เสียงที่ เพื่อไทย อนาคตใหม่ ไทยรักษาชาติ ได้มาคือเสียงประชาชน 
    จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม นอกจากเป็นการไม่เคารพเสียงประชาชนแล้ว ยังเพาะเชื้อความขัดแย้งให้เติบโตหลังการเลือกตั้ง
    เราจะได้เห็นพรรคตระกูลเพื่อ ไม่เคารพเสียงของประชาชนที่เลือกพรรคการเมืองฝั่งตรงข้าม เพราะหากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาเมื่อไหร่ ประชาชนที่เลือกพรรคพลังประชารัฐจะเป็นประชาชนของเผด็จการไปในทันที
    ฉะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีทางที่จะอยู่ตรงกลางในสงครามการไม่เคารพเสียงของประชาชนได้ 
    การชูยุทธศาสตร์เป็นพรรคทางเลือกที่สาม จึงผิดที่ผิดเวลา 
    และหากประชาชนไม่คล้อยตาม ประชาธิปัตย์จะลำบาก
    เพราะการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ ยังคงเป็นการต่อสู้ของคนที่เอาทักษิณ กับไม่เอาทักษิณ 
    "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" มาไม่ถูกเวลาจริงๆ 
    เพราะการประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ หลังที่ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ประกาศ พาทักษิณกลับบ้านรื้อคดีโกงใหม่นั้น กลุ่มต่อต้านทักษิณไม่ได้ต้องการทางเลือกที่สาม
    แต่ต้องการให้ พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ จับมือกันเพื่อสลายอำนาจของทักษิณ 
    ในทางการเมืองไม่ผิดที่ "อภิสิทธิ์" จะประกาศไม่สนับสนุน "บิ๊กตู่" เป็นนายกฯ เพราะตัวเองก็เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 
    แต่ที่ผิดพลาดคือ การประกาศว่าไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ นั่นเท่ากับว่า ประชาธิปัตย์จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพลังประชารัฐทุกกรณี
    นอกจากไม่เคารพเสียงของประชาชนที่เลือกพรรคพลังประชารัฐแล้ว ยังเป็นแนวร่วมมุมกลับให้ระบอบทักษิณกลับเข้าสู่อำนาจ 
    สุดท้ายประชาธิปัตย์จึงไม่มีอะไรในมือสักอย่าง 
    ไม่ว่าจะต้านคนโกง 
    หรือต้านเผด็จการ. 

หน้าไพ่ฝ่ายเอาไม่เอาทหาร

    "เลือกตั้ง" มันก็ดีอย่างนี้.........
    มีนักการเมืองชาย-หญิงมายืนแก้ผ้าตัวเองบ้าง ผ้าของคนอื่นบ้าง โชว์ให้ดู
    อีกอย่าง เป็นการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ เงินทองลงถึงรากหญ้าโดยตรงทั่วประเทศ หลายหมื่นล้าน
    พ่อค้า-แม่ขายบอก ขอปีละครั้งได้มั้ย...ที่รัก
    "เลือกตั้ง" น่ะ?!
    พูดถึงการโชว์ ชุด "หมดเวลาเกรงใจ" กับชุด "เลือกผมเถอะครับ..ผมรักคุณ" ของอภิสิทธิ์ "ประมุขพรรคประชาธิปัตย์" เมื่อวันเสาร์ 
    แฟนๆ กรี๊ดสลบ ยังไม่ฟื้น!
    มาเมื่อวาน "กำนันสุเทพ" แห่งพรรค "รวมพลังประชาชาติไทย" โชว์ในชุด "หมดเวลาเกรงใจกันแล้ว" บ้าง 
    แฟนที่กรี๊ดอภิสิทธิ์ ฟื้นขึ้นมาแป๊บ
    พอ "กำนันโชว์" เท่านั้นแหละ ที่ฟื้น สลบต่อ!
    โชว์ชุดเดียวกันก็จริง แต่นัยว่า ลีลาลุงกำนัน "วาบหวิว-สยิวกึ๋น" ยิ่งกว่า เรียกว่าขาจร-ขาประจำถึงขั้น "เลือดกำเดาทะลัก"
    นี่ไง ที่ลุงกำนันโชว์ผ่าน fb เมื่อวาน (๑๑ มี.ค.๖๒)
    “หมดเวลาเกรงใจกันแล้ว" 
    ก็เป็นที่ชัดเจนกันซะทีครับ หลังจากได้เห็นคลิปและจดหมายของท่านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 
    ที่ประกาศออกมา “แบบไม่แทงกั๊ก” แล้วว่า.......
    จะไม่ขอสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อแน่นอน โดยให้เหตุผลว่า 
    การสืบทอดอำนาจจะสร้างความขัดแย้ง และขัดกับอุดมการณ์ที่ว่าประชาชนเป็นใหญ่ รวมทั้งเมื่อ 5  ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจได้เสียหายมาก
    ผมเคารพในการตัดสินใจครั้งนี้ของท่าน แต่ก็เสียดายในฐานะคนคุ้นเคย ที่เคยร่วมในอุดมการณ์เดียวกันมาอย่างยาวนาน 
    เคยร่วมสร้างปาฏิหาริย์ครั้งที่ 1
    โดยการออกมาเดินบนท้องถนนท่ามกลางมวลมหาประชาชนเรือนแสนเรือนล้าน เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณและคว่ำกฎหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่ง
    วันนี้ ท่านคงบวก ลบ คูณ หาร เรียบร้อยแล้ว ถึงเลือกข้างชัดเจน และเลือกที่จะยืนอยู่ในฝ่าย “ไม่เอาทหาร”
    โดยมองข้ามต้นสายปลายเหตุของความขัดแย้งที่แท้จริงไปหมดสิ้น
    ทำให้ผมนึกถึงเมื่อครั้งที่ 2 พรรคใหญ่ ทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ ต่างพร้อมใจประกาศ ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญปี 2560     และครั้งนั้น.........
    ก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นบนแผ่นดินไทยอีกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อพี่น้องประชาชนจำนวนถึง สิบหกล้านแปดแสนคน พร้อมใจกัน ออกมา ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ 
    จนทำให้ได้ชื่อว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เพราะเป็นวิธีการที่ชาติสากลยอมรับมากที่สุด 
    เนื่องจากสามารถสะท้อนความต้องการของประชาชนได้ทางตรง โดยไม่ผ่านตัวแทนในสภา
    แต่เสียดายที่ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ กำลังถูกนักการเมืองบิดเบือนที่มา โดยยัดเยียดคำว่าเผด็จการสืบทอดอำนาจให้ 
    แต่แท้จริง มันคือฉบับที่ทำให้ประเทศเดินอย่างมีทิศทาง เป็นฉบับปราบโกง ที่นักการเมืองเขาเกลียดกันนักหนา “ถึงกับจ้องจะแก้กัน” 
    และที่สำคัญ เป็นไปตามเจตนารมณ์ปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศของมวลมหาประชาชน
    ในเมื่อพรรคประชาธิปัตย์เขาเลือกข้างมาแล้ว 
    ผมเห็น “ข้อดี” ก็คือ 
    จะทำให้พี่น้องมวลมหาประชาชนที่เคยออกมาชุมนุมในครั้งนั้น
    คนที่เคยเสียสละ เสียเลือด เสียเนื้อ บาดเจ็บล้มตายเพราะมีอุดมการณ์ร่วมกันในครั้งนั้น 
    คนที่เคยเลือกประชาธิปัตย์มาตลอดชีวิตเหมือนผม 
    ตัดสินใจชัดเจน ประกาศหนุน "พลเอกประยุทธ์"
    แบบ "ไม่ต้องเกรงใจ" ด้วยเช่นกัน.
    อันที่จริง หลังคุณอภิสิทธิ์โชว์ ลุงกำนันปราศรัยอยู่ตะกั่วป่า พังงา ฟังแล้ว ก็ "มินิโชว์" เวทีแทบแตกไปรอบ
    “ผมอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ ๓๗ ปี ผมเป็นเลขาธิการพรรค เป็นผู้บริหารพรรคคนสำคัญคนหนึ่ง และผมบอกกับพี่น้องตรง ๆ 
    ผมนี่เป็นคนทำให้อภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี....
    ถ้าไม่ใช่เพราะผม ผมไม่รู้ว่า 'ชาติหน้า' มันจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นี่แหลงกันตรง ๆ
    แต่วันนี้ อภิสิทธิ์มาประกาศแล้ว ออกทีวีแล้ว ประกาศแล้วว่า เลือกตั้งคราวนี้ เขาประกาศจุดยืนเลย  เขาไม่สนับสนุนประยุทธ์ จันทร์โอชา แน่นอน 
    เขาไม่เอา..ผมก็ข้องใจ อยากจะถามอภิสิทธิ์ว่า....
    'ตกลงอภิสิทธิ์ยืนข้างเดียวกับทักษิณเต็มตัวแล้วใช่มั้ย?'     
    นี่แสดงว่า ถ้าฝ่ายทักษิณเทคะแนนให้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ เอาทันทีใช่มั้ย?
    นี่แสดงว่า..........
    'มึงอาจอยากจะเป็นนายกฯ มึงลืมพวกกูที่ถูกฆ่าไปแล้วใช่มั้ย?'
อ่านจากตัวหนังสือไม่แซ่บ ถ้าได้ฟังลุงกำนันแหลงใต้ จะต้องร้อง "ด่ายแหร่งอ็อก"
ทีนี้ลองมาฟัง "พ่อสังข์ทอง" ที่แฟนๆ แย่งกันถึงขั้นต้องตบกันโครมครามบ้าง    
    "นายกฯ ประยุทธ์" ท่านไปฟังการบรรยายของผู้แทนพิเศษระหว่างประเทศที่ตลาดหลักทรัพย์เมื่อวาน
ฟังแล้ว ดาลใจ    ขึ้นเวทีจับไมค์ทันที    
    "วันนี้ที่มาฟัง เพราะผมเป็นแฟนคลับ ติดตามตลอดช่องทางต่างๆ ขณะที่ทุกวันที่ทำงานมา ไม่ได้คิดเองทั้งหมด บางอย่างต้องอ่านหนังสือ บางอย่างก็ฟังจากกูเกิลมา และมีการแปลบ้าง ต้องใช้เวลา ตาต้องใช้มากในแต่ละวัน ไม่อย่างนั้น เกิดความคิดไม่ได้ที่ต้องประมวลบางสิ่งที่เกิดมาแล้ว สิ่งที่เป็นอนาคตที่ต้องไปด้วยกัน 
    วันนี้ เท่าที่ผมคุยกับเขาก่อนที่จะเข้ามาในห้อง เขาชื่นชมประเทศไทย เขาเห็นหลายๆ อย่างที่พร้อมที่จะเดินหน้า อย่างที่บอก ระบบการเงินก็เข้มแข็ง กองทุนสำรองก็มี เกษตรก็มีจำนวนมาก ที่ดินมีเยอะแยะ 
    เพียงแต่เราต้องจัดระบบให้ดี ซึ่งผมกำลังจัดอยู่เรื่องเกษตรแปลงใหญ่ 
    ถ้าเกษตรกรทุกคนลงทุนแค่ ๑๐ ไร่ อย่างไรก็ไม่คุ้ม เพราะต้นทุนการผลิตสูง 
    วันนี้ ทำเกษตรแปลงใหญ่ได้รายได้เพิ่มขึ้น พัฒนาคุณภาพและผลผลิตได้มากขึ้น เราต้องเดินไปแบบนี้ 
    เพราะฉะนั้น...........
    เรื่องผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร ผู้ยากจน หรือผู้ยากจนที่พูดๆ กัน ผมไม่เคยสบายใจ ที่เข้ามาวันนี้ ก็เพราะเรื่องนี้ด้วย 
    เรื่องสำคัญที่สุด คือเรื่องคนจน จะทำอย่างไรกับเขา? ถึงได้มีนโยบายแก้ปัญหาหนี้นอกระบบมาโดยตลอด ค่อยๆ เดินไป ค่อยๆ ดีขึ้น ถ้าเราไม่ก้าวแรก ก็ไม่มีก้าวสอง
    แล้วเราทำงานมา ๔-๕ ปี คงไม่ใช่ว่าไม่สำเร็จเลยซักอย่าง ปลดล็อกหลายๆ อย่างไป 
    กฎหมายสำคัญที่สุด ถ้าเราเดินนอกกรอบกฎหมายกันหมด ทุกคนคิดนอกกรอบอยากได้ แต่ไม่ดูกฎหมาย กฎระเบียบ การเงินการคลังก็จะไปไม่ได้ทั้งหมด 
    ผมมาวันนี้ ก็อยากมาคุย........
    เมื่อกี้ก็ไม่ได้ตั้งใจขึ้นไปพูด แต่ก็มีอารมณ์ขึ้นมา ฟังเขาพูดแล้ว ก็ได้รู้ว่าเขาเห็นศักยภาพประเทศไทย เขาถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา และตรงกับที่เราเริ่มไว้หลายๆ อย่าง เริ่มจาก ๑ ไป ๒ และ ๓ 
    แต่วันนี้ เรามีหลากหลายมาก เพราะเริ่มใหม่ทั้งหมด เราจึงต้องพูดถึงการบริหารจัดการด้วย ซึ่งผมกำลังเร่งในเรื่องนี้ว่า 
    การเงินการคลัง กองทุนจะเข้าหาอย่างไร เอสเอ็มอี จะเป็นอย่างไร ทั้งหมดคือ การเดินหน้าสู่อนาคต 
    ผมสัญญาว่า จากนี้ต่อไป ผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ผมคิดว่า จะต้องมีคนที่ต้องนำพาประเทศชาติไปตรงโน้น ไปด้วยความรับผิดชอบ ด้วยจิตสำนึก ด้วยเป็นหน้าที่ 
    ไม่ใช่เข้ามาทำอะไรต่างๆ สักอย่างด้วยวัตถุประสงค์อื่น ผมไม่เคยคิดอย่างนั้น 
    ฝากพวกเราทุกคนช่วยกันด้วยก็แล้วกัน สำคัญที่สุด คนรุ่นใหม่ รุ่นกลาง และคนรุ่นเก่า ทั้ง ๓ รุ่น ต้องเดินไปด้วยกัน 
    เราฐานะคนรุ่นเก่า ต้องสร้างอนาคต สร้างชีวิตที่ดีกว่า วันนี้คนจน และภาคเกษตรเขาลำบากอยู่  เราต้องสร้างตรงนี้ให้ได้ 
    ผมอยากให้ทุกคนที่เป็นนักการเมืองคิดทำนองนี้ออกมาบ้าง นโยบายพูดออกมาบ้างแบบนี้ 
    สมมุติไปพูดเรื่องจะให้..จะไม่ให้ อะไรต่างๆ ผมก็ว่ามันจนใจ ผมก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เขาอาจจะคิดของเขาก็ได้ ผมไม่ว่าอะไร"
    พอมีช่อง นักข่าวเสียบจึ๊ก..........
    "หมายความว่าวันข้างหน้า ถ้าได้กลับมาเป็นนายกฯ จะมี 'ทีมรัฐมนตรี' ที่คัดสรรมาอย่างดี?"
    คำตอบจากพลเอกประยุทธ์ คือ
    "ผมพยายามบอกว่า ถ้าอยากทำต้องทำให้สำเร็จ ทีมที่จะมาทำงานก็ต้องคัดสรรหา ไม่ใช่เอา 'ทีมเดิมทั้งหมด' ได้ที่ไหน 
    ต้องคัดสรรมาใหม่ ต้องมาจากการเมือง แต่ผมก็ต้องเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจตามหน้าที่ในการขับเคลื่อนของผม นายกฯ ต้องมีแรงในการขับเคลื่อน และทำทุกอย่างให้อยู่ในกรอบให้ได้มากที่สุด ซึ่งหลายอย่างมีกฎหมายอยู่แล้ว เราก็ทำตามแค่นี้ 
    ในส่วนอื่นๆ เป็นเรื่องของการเมือง เขาก็ว่ากันไป ถ้าสมมุติผมอยู่ ก็ต้องดูแลตรงนี้ให้ได้ 
    แต่ไม่อยากให้มองใหม่ๆ อย่างเดียว อาจต้องมองเก่าผสมใหม่บ้าง เพราะผมต้องการให้คนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ไปด้วยกัน ต้องมีตัวประสานงาน กลไก ตรงนี้หรือเปล่า?
    วันนี้ ดีใจที่การเลือกตั้งของเราได้รับความสนใจ คาดว่าจะมีประชาชนมาใช้สิทธิ์จำนวนมากมาย  แม้ในต่างประเทศก็มาใช้สิทธิ์กันเป็นจำนวนมาก 
    แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง เป็นเรื่องที่ กกต.ต้องแก้ไขต่อไป ก็ต้องเห็นใจ มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแบบนี้ ที่คนไทยสนใจการเมืองขนาดนี้ 
    ถ้าโทษกันไป-ว่ากันมา มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาทั้งสิ้น ขอให้มันใสสะอาดก็แล้วกัน โปร่งใส เป็นธรรม ก็จบแล้ว" 
    นักข่าวสรรสาระต่อ......
    "มีคำพูดหนึ่งบนเวที นายกฯ พูดว่าในสนามรบต้องชนะเท่านั้น แพ้ไม่ได้?" 
    นายกฯ ไขรหัสลับ "ยุทธศาสตร์ซุนวู" ว่า
    "ต้องขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้กลับหรือไม่ ถ้าผู้บังคับบัญชาดูแล้วไม่คุ้มค่า แต่ถ้าผมอยู่แนวรบข้างหน้า ภารกิจแรกถ้าไม่สำเร็จ ผมก็ต้องทำให้สำเร็จ 
    แต่ถ้าเขาเสี่ยงแล้ว ผู้บังคับบัญชาข้างหลังพิจารณาแล้วว่า เป็นการเสี่ยงที่ไม่คุ้มค่า เขาอาจสั่งถอนก็ได้ ผมก็ต้องถอน 
    ผมเชื่อมั่นในตรงนี้ ในสายบังคับบัญชาที่ชัดเจน ลูกน้องต้องปลอดภัยให้มากที่สุด"
    ครับ....ในความเห็นผม........
    วันนี้ นายกฯ กับนักข่าว ดูจะถาม-ตอบสร้างสรรค์บ้านเมืองน่าชื่นใจ แถมประเล้า-ประโลมได้ถึงจุดไคลแมกซ์
    "ท่านคิดอย่างไรครับ..........
    ที่ตอนนี้ นักการเมืองให้เลือกจุดยืนระหว่างฝั่งเผด็จการกับประชาธิปไตย?"
    "ธรรมดาๆ ปล่อยเขาเถอะ" 
    "แล้วรู้สึกอย่างไร ที่นักการเมืองใช้ยุทธศาสตร์หาเสียงไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์?"
    คนรูปหล่อ "หลากสไตล์" เชิดหน้า ยักไหล่พองาม
    "ผมไม่สน"!
    เขาว่า "ทหาร จะไม่รบ ถ้าไม่มั่นใจ ๗๐-๘๐%"
    แต่นักการเมือง "อดีตทหาร" คนนี้ ผมว่า "เกินร้อย" ด้วยซ้ำ!


ลุ้นอีก13วัน

มีใบเสร็จยืนยันว่าการเลือกตั้งใหญ่ วันที่ 24 มีนาคม จะมีพี่น้องประชาชนแห่ไปใช้สิทธิมากเป็นประวัติการณ์

ดูได้จากการตื่นตัวไปใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีคนไทยลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้ง 4,139 คน

ปัญหาเกิดขึ้นเพราะสถานทูตไทยในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เปิดให้ใช้สิทธิเลือกตั้งเพียงวันเดียว แถมจัดคูหาลงคะแนนเพียง 3 คูหา

ซึ่งไม่เพียงพอกับจำนวนผู้ลงทะเบียนกว่า 4 พันคน

ทำให้ต้องยืนรอต่อคิวกันยาวเฟื้อยล้นทะลักสถานทูตไทย

จนสถานทูตต้องขยายเวลาใช้สิทธิเลือกตั้งเพิ่มอีก 1 วัน เพื่อให้ชาวไทยในมาเลเซียได้ใช้สิทธิเลือกตั้งครบถ้วนตามความตั้งใจ

“แม่ลูกจันทร์” กระชุ่น นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.เตรียมแผนรองรับคลื่นมหาชนกว่า 40 ล้านคน ที่จะไปใช้สิทธิเลือกตั้งใหญ่วันที่ 24 มีนาคม อย่างมืดฟ้ามัวดิน

อย่าให้เกิดปัญหาวุ่นวายขายปลาช่อนเป็นอันขาดเชียว!!

เพราะนี่คืองานใหญ่งานสำคัญที่จะพิสูจน์ “กึ๋น” กกต.ทั้ง 7 คน

ล่าสุด “กรุงเทพโพลล์” เปิดผลสำรวจความเห็นประชาชน 1,735 คน ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งใหญ่ 2 สัปดาห์

อันดับ 1, ประชาชน 24.8 เปอร์เซ็นต์ สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สืบทอดอำนาจเป็นนายกรัฐมนตรี

คะแนนเชียร์ “ลุงตู่” เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งแรกอีกเท่าตัว

อันดับ 2, ประชาชน 17.3 เปอร์เซ็นต์ สนับสนุน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นว่าที่นายกฯหญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย

อันดับ 3, ประชาชน 13.3 เปอร์เซ็นต์ สนับสนุน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใส่ตะกร้าล้างน้ำกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี

อันดับ 4, ประชาชน 11.3 เปอร์เซ็นต์ สนับสนุน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขวัญใจคนรุ่นใหม่ เป็นนายกฯเปิดซิง

และอันดับ 5, ประชาชน 6.5 เปอร์เซ็นต์ จะเทคะแนนให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ชิงดำเป็นนายกรัฐมนตรี

นายกฯลุงตู่มีคะแนนทิ้งห่างคู่แข่งอันดับ 2 ถึง 7.5 เปอร์เซ็นต์

กรุงเทพโพลล์ ยังเปิดโผสำรวจความเห็นประชาชนว่าจะลงคะแนนเลือกพรรคไหนให้เป็นรัฐบาล

อันดับ 1, ประชาชน 21.7 เปอร์เซ็นต์ ยืนยันจะเลือกพรรคเพื่อไทย

อันดับ 2, ประชาชน 19.0 เปอร์เซ็นต์ จะเลือกพรรคพลังประชารัฐ

อันดับ 3, ประชาชน 15.5 เปอร์เซ็นต์ จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์

อันดับ 4, ประชาชน 12.0 เปอร์เซ็นต์ จะเลือกพรรคอนาคตใหม่

และอันดับ 5, ประชาชน 3.9 เปอร์เซ็นต์ จะเลือกพรรคเสรีรวมไทย

ถ้าเอาผลสำรวจกรุงเทพโพลล์ไปผ่าแยกเป็น 2 ซีกเพื่อหาสูตรตั้งรัฐบาล

คือเอาเปอร์เซ็นต์เลือกพรรคพลังประชารัฐ กับเปอร์เซ็นต์เลือกพรรคประชาธิปัตย์ไปบวกกัน จะเท่ากับ 34.5 เปอร์เซ็นต์

จากนั้นเอาเปอร์เซ็นต์เลือกพรรคเพื่อไทย บวกพรรคอนาคตใหม่ บวกพรรคเสรีรวมไทย จะเท่ากับ 37.6 เปอร์เซ็นต์

แล้วเอาคะแนนรวม 2 ขั้วไปขึ้นตาชั่งวัดกัน

คะแนนขั้วลุงตู่จะน้อยกว่าขั้วเจ๊หน่อย 3.1 เปอร์เซ็นต์

แต่ถ้าเอาคะแนนพรรคภูมิใจไทย ของ “เสี่ยหนู” มาสยุมพรกับขั้วลุงตู่อีกพรรคเดียว

ขั้วลุงตู่จะพลิกกลับเป็นเสียงข้างมากทันที

ยังไม่รวม ส.ว.ลากตั้งที่ล้างจั๊กกระแร้รอชูมือให้ “ลุงตู่” อีก 250 คน

สรุปว่าถ้าผลสำรวจกรุงเทพโพลล์แม่นโป๊ะเชะ 100 เปอร์เซ็นต์

เก้าอี้นายกฯหลังเลือกตั้งอยู่ในกำมือลุงตู่ 99.99 เปอร์เซ็นต์

แม่นหรือไม่แม่น ต้องรอลุ้นพิสูจน์ของจริงอีก 13 วัน.

“แม่ลูกจันทร์”

สาบานไหมไม่หนุนจริง

คำเตือน พวกจิตอ่อนเสพข่าวการเมืองช่วงโค้งสุดท้ายเลือกตั้ง ต้องใจนิ่งๆอย่าขวัญอ่อน

เพราะมีแต่ฉากหักดิบ บทแตกหัก การเมืองแตกเป็นเสี่ยง

ไล่ตั้งแต่ฉากดุดันขึงขัง โชว์พลังไม่หมอบง่ายๆ กับช็อตทีมขาใหญ่อดีตพรรคไทยรักษาชาติ นำโดย “เดอะอ๋อย” นายจาตุรนต์ ฉายแสง “เสี่ยเต้น” นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแดงตัวพ่อ “เสี่ยแดง” นายพิชัย นริพทะพันธุ์ จอมเฮี้ยวขาประจำ แท็กทีมแถลงข่าวใหญ่โต โชว์บทห้าวหลังยุบพรรค ทษช.

ชูธง เดินหน้าเคลื่อนไหวปราศรัยทั่วประเทศ เพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจเผด็จการ

กระตุกอาการหลอน อารมณ์เหมือนตอนทีมดูไบกระตุกเกมมวลชนมาลุย ภายหลังรัฐบาลนอมินีของอดีตนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ตกเก้าอี้จากการทำกับข้าวออกทีวี ต่อเนื่องกับอดีตนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็กระเด้งกระดอน เพราะโดนยุบพรรคพลังประชาชน

“นายใหญ่” พ่ายผลทางกฎหมาย หันมาเปิดเกมม็อบแดงลุยยึดราชประสงค์ ป่วนรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ตั้งในค่ายทหาร ก่อนนำมาซึ่งสถานการณ์มิคสัญญีเผาบ้านเผาเมือง คนตายนับร้อยศพ

ผลจากการไม่ยอมจบที่กระบวนการยุติธรรม

ตามรูปการณ์ล่าสุด มันมีสัญญาณธงจากแดนไกลมากระตุกทีม ทษช.แน่

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าลืมว่าสถานการณ์วันนี้ “เปลี่ยนไป” ในอารมณ์แบบที่ “ตุ๊ดตู่” นาย จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. แกนนำแดงตัวพ่อ อาการสงบเสงี่ยมลงเยอะหลังเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำ

สำนึกรักประเทศชาติและประชาชนมาแทนบทเฮี้ยวท้าทาย

เช่นเดียวกันกับชะตากรรมของขาใหญ่มวลชนอีกฝ่าย แกนนำตัวพ่อทีมพันธมิตร นายสนธิ ลิ้มทองกุล “มหาจำลอง” พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสุริยะใส กตะศิลา ฯลฯ ก็กำลังใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ

รับผลกรรมจากวีรกรรมม็อบป่วนเมือง

ตามท้องเรื่องที่เห็นชะตากรรมกันอยู่ตรงหน้า จุดจบของเกมมวลชนขังคุกจริง ติดคุกจริง ใครจะกล้า
เผลอๆนี่อาจเป็น “กับดัก” ล่อตัวเฮี้ยวที่เหลืออยู่ไม่เท่าไหร่แล้ว

โดยแนวโน้มสถานการณ์ที่จับทางได้ อาการเฮี้ยวของทีมขาใหญ่อดีตพรรคไทยรักษาชาติก็น่าจะแค่การตีปี๊บ เลี้ยงเรตติ้ง หาช่องผ่องถ่ายคะแนนให้กองหนุน “ทักษิณ”

และก็ชัดเจนสุด เปิดไพ่กันโต้งๆแบบที่นางฐิติมา ฉายแสง น้องสาวนายจาตุรนต์ ผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรค ทษช. ขึ้นป้ายประกาศให้โลกรู้ ขอโอนคะแนนให้พรรคอนาคตใหม่

แบบไม่ต้องกลัวว่าเข้าเงี่ยงกฎหมาย “ฮั้ว”

ในจังหวะที่ “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็เพิ่งเปิดไพ่ หลุดเป้าหมายแฝง เอา “ทักษิณ” กลับบ้าน มาเคลียร์กระบวนการยุติธรรมกันใหม่

ตามจังหวะ “ธนาธร” เป็นช่องผ่องถ่ายคะแนน ทษช.ชัดกว่าพรรคสารพัด “เพื่อ”

แต่นั่นก็ต้องเสี่ยงกับสถานะของยี่ห้ออนาคตใหม่ที่ลูกผีลูกคน ตามเงื่อนไขส่วนตัวของ “ไพร่หมื่นล้าน” ที่เต็มไปด้วยชนักปักเต็มหลัง ทั้งปมประวัติมั่วในเว็บไซต์พรรค ประเด็นหมิ่นประมาท คสช.เรื่องซื้อขาย ส.ส. ไหนจะส่อหมิ่นศาล

รัฐธรรมนูญจากการออกแถลงการณ์วิจารณ์คำวินิจฉัยยุบพรรค ทษช.

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับภาพประทับ “ฟ้าเดียวกัน” อุดมการณ์ที่สลัดคราบยี่ห้อ “นิติราษฎร์” ไม่พ้น

ตามความแรงของทีมคนรุ่นใหม่ที่สุ่มเสี่ยงกับฝ่ายความมั่นคง

แถมพัวพันนัวเนียกับทีมดูไบ

“ธนาธร” ยังมีโอกาส “แหกโค้ง” ก่อนถึงเส้นชัย

สถานการณ์ต่างจากพวก “เร่งเครื่องไม่ขึ้น” ที่พยายามโหนซาก ทษช.ดึงแต้มเพิ่ม

ไม่ได้เมานโยบาย “กัญชาเสรี” แน่ แต่เป็นเหลี่ยมเขี้ยวๆที่ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าค่ายภูมิใจไทย รีบชิงประกาศ พรรคภูมิใจไทยอยู่คนละขั้วกับทหาร และพรรคพลังประชารัฐ

ย้ำนายกฯต้องมาจาก ส.ส.ที่ได้เสียงข้างมากในสภาเท่านั้น

โดยหวังดึงคะแนนจาก “นายใหญ่” ผ่องถ่ายคะแนน ทษช.มาให้อดีตลูกน้องเก่า เผื่อโอกาสเสียบเป็นนายกฯ หรืออย่างน้อยก็เป็นการ

“แบ่งแต้ม” ภูมิใจไทย ไปต่อรองในเกมจับขั้วรัฐบาล

แต่งานนี้จะมีปัญหาในภายหน้า เพราะแว่วๆว่า “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ขึ้นบัญชีกาหัวไว้ ถ้าเสียงพอเมื่อไหร่

“เสี่ยหนู” คือตัวเลือกแรกที่จะถูกเขี่ยเป็น “ส่วนเกิน”

ถือเป็นคนละออปชันกับคิวของ “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่อยู่ๆก็โชว์บทเปรี้ยว ประกาศดังๆย้ำโปรดฟังอีกครั้ง ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ สืบทอดอำนาจ

สามล้อฮา ขี้ยาฮือ แต่เซียนการเมืองอ่านไต๋จับทางไฟต์บังคับได้

มันเป็นจังหวะรุมยำตีกิน พวกตัวแปรที่ปั่นแต้มเองไม่ขึ้น ก็ต้องเตะสกัด “ลุงตู่” ที่แต้มนำ ใช้จังหวะโหนซาก ทษช.แยกตัวเป็น 3 ขั้ว สถาปนาตัวเองเป็นผู้ท้าชิงกับ “ลุงตู่” หากฟลุกก็จัดตั้งรัฐบาล รีเทิร์นนายกฯ

แต่หากไม่ได้ “อภิสิทธิ์” ก็ลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตามสปิริตที่ล็อกคอ เปลี่ยนหัวหน้าใหม่ไปดีลกับพลังประชารัฐ เพราะยังไงก็รู้ว่าทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” ต้องง้อประชาธิปัตย์เพื่อรวมคะแนน

ไม่ใช่แผนลึก แค่ไพ่แต้มตื้นๆที่บังคับตี โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน