PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2560

ราชกิจจาฯโปรดเกล้าฯ 3 ปลัดกระทรวง 5 อธิบดี 3 ผู้ตรวจการ

(ข้อมูล)
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ 6 กันยายน 2560 ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการพลเรือน มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายจรินทร์ จักกะพาก ข้าราชการพลเรือนสามัญ พ้นจากตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560
ประกาศ ณ วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560
มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงยุติธรรมพ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ดังนี้
1.พันตำรวจเอก ณรัชต์ เศวตนันทน์ พ้นจากตำแหน่ง อธิบดีกรมคุมประพฤติ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมราชทัณฑ์
2.นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต พ้นจากตำแหน่ง ที่ปรึกษาการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560
มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ พ้นจากตำแหน่ง อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นางกุลณี อิศดิศัย พ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
3. นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร พ้นจากตำแหน่ง อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการค้าภายใน
4. นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นไปประกาศ ณ วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. 2560
มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายธรรมยศ ศรีช่วย ข้าราชการพลเรือนสามัญ พ้นจากตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 ประกาศ ณ วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560
มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ข้าราชการพลเรือนสามัญ พ้นจากตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 ประกาศ ณ วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560
มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 6 ราย ดังนี้
1. นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ พ้นจากตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมสรรพสามิต
2. นายสุวิชญ โรจนวานิช พ้นจากตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
3. นายประภาศ คงเอียด พ้นจากตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
4. นายนรินทร์ กัลยาณมิตร พ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นางสาวบัณฑรโฉม แก้วสอาด พ้นจากตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง(เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
6. นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข พ้นจากตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการประเมินผลรัฐวิสาหกิจ (นักวิเคราะห์รัฐวิสาหกิจทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560
มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายกมล รอดคล้าย ข้าราชการพลเรือนสามัญ พ้นจากตำแหน่ง เลขาธิการสภาการศึกษา (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2560 ประกาศ ณ วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560
มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นางสาววิไลลักษณ์ ชุลีวัฒนกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ พ้นจากตำแหน่ง ปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 ประกาศ ณ วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560
มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ข้าราชการพลเรือนสามัญ พ้นจากตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการ สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 ประกาศ ณ วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560

นายกฯออกคำสั่งใหม่ "พ.ต.ท.พงศ์พร"

นายกฯออกคำสั่งใหม่ แก้ให้ พ.ต.ท.พงศ์พร ไปนั่งที่ใหม่ ช่วย จิระชัย และ ออมสิน ไม่ให้หน้าแตก โดยยังครองตำแหน่ง ผอ. สำนักพุทธ รับเงินเดือนสังกัดเดิม จนกว่าจะมีพระบรมราชโองการ แต่ต้องลงไปทำงานภาคใต้ตามคำสั่ง



เปิดข้อโต้แย้ง คำสั่งย้าย "พ.ต.ท.พงศ์พร" พ้น ผอ.พศ.

ถ้าจำกันได้ในยุค คสช.มีข้าราชการไม่กี่คนที่ถูกโยกย้าย แล้วจะมีปฏิกิริยาตอบกลับหรือโต้แย้งข้อกฎหมายแบบนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ต.ท.พงศ์พร มานั่ง ผอ.พศ.ด้วยอำนาจ มาตรา 44 มาแบบข้ามห้วยจาก ดีเอสไอ และเมื่อถูกย้ายกลับมีท่าทีที่ตีความได้ว่า ไม่เห็นด้วย
หากลำดับความเห็นกรณีการโยกยย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ไปเป็นผู้ตรวจราชการเขต 8 คือจังหวัด สงขลา สตูล ยะลา นราธิวาส และปัตตานี โดยเริ่มจากวันที่ 29 สิงหาคม ครม.มีมติย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร ไปเป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดนในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาแทบไม่มีความเคลื่อนไหวจาก ผอ.พงศ์พร
ทำให้หลายฝ่ายคิดว่าเรื่องดังกล่าวจบไปแล้ว รวมถึง ครม.ได้แต่งตั้ง ผอ.พศ.คนใหม่มาดำรงตำแหน่งแทน แต่เมื่อวานนี้ มีหนังสือราชการหลุดออกมา 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งเป็นหนังสือของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุให้ พ.ต.ท.พงศ์พร ไปเป็นผู้ตรวจราชการเขต 8 คือจังหวัด สงขลา สตูล ยะลา นราธิวาส และปัตตานี หนังสือฉบับนี้คาดการณ์ว่าอาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ พ.ต.ท.พงศ์พรเปิดหน้าชน และทำหนังสือโต้แย้ง นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
หนังสือฉบับดังกล่าว สรุปได้ 7 ข้อ คือ ข้อ 1. พ.ต.ท.พงศ์พร ไม่สมัครใจ ข้อ 2 คือ พ.ต.ท.พงศ์พร ยังอยู่ในตำแหน่ง ผอ.สำนักพุทธศาสนา เนื่องจากมติ ครม.ที่ให้ไปช่วยราชการ จะมีผลเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมฐ ข้อ 3 คำสั่งย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการทั้งที่ยังไม่โปรดเกล้าฯ อาจจะขัด มติ ครม. และอาจจะกระทบพระราชอำนาจ ข้อ 4 สำนักพุทธฯอาจเสียหายเนื่องจากขณะนี้เหลือรอง ผอ.คนเดียวซึ่งจะเกษียณอายุราชการในเดือน ต.ค.นี้ด้วย ข้อ 5. พ.ต.ท.พงศ์พร ตีความว่า คำสั่งไม่มีผลทางกฎหมายจึงยังไม่พ้นจากตำแหน่ง นำมาสู่ข้อ 6 ว่า ถ้าคำสั่งไม่มีอำนาจตามกฎหมายทำไปจะเกิดความเสียหายกับราชการ และข้อสุดท้าย นายออมสิน ในฐานะผู้บังคับบัญชา ยังไม่ได้สั่งเขาโดยตรง
นอกจากนี้ หนังสือที่ถูกมองว่าอาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายลงนามโดยนายจิระชัย มูลทองโร่ย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร ไปเป็นผู้ตรวจราชการเขต 8 อาจจะมีคำถามว่า เป็นการกลั่นแกล้งหรือเปล่า และเหตุใดต้องเจาะจงที่ ผอ.สำนักพุทธฯ
โครงสร้างของสำนักพุทธ ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี แต่ที่ผ่านอีดตนายกฯหลายคนมักที่จะมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายก ดูแลสำนักพุทธศาสนาเช่นเดียวกับยุคปัจจุบัน ที่รัฐมนตรีออมสิน ยืนยันว่า มีอำนาจย้าย ผอ.สำนักพุทธศาสนา
นอกจากนี้ยังมีความเห็นของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ยืนยันว่า พ.ต.ท.พงศ์พร มีสิทธิ์ในการอุทธรณ์คำสั่งโยกย้ายครั้งนี้ และจะจัดการปัญหานี้ให้เสร็จใน 24 ชม.
ที่มา:TPBS

dddd


เหรียญส่งเสริมวัฒนธรรมรศ.โศภณ นภาธร ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นำคณะร่วมแสดงความยินดีกับสิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดอุทัยธานี ในโอกาสได้รับพระราชทานเข็มเกียรติคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะผู้สนับสนุนส่งเสริมวัฒนธรรมของชาติ ในวันอนุรักษ์มรดกไทย เมื่อเร็วๆ นี้
ประชุมผาณิต พูนศิริวงศ์ ประธานมูลนิธิช่วยการศึกษา กรุงเทพมหานคร เป็นประธานประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ อาทิ อุไร คุณานันทกุล, รักษา แสงภู่, เพ็ญศรี สุขเจริญผล, ดวงใจ ตั้งสง่า, สุวิมล มหากิจศิริ ณ ห้องคองจู โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส เพื่อเตรียมจัดงานมอบทุนสนับสนุนการศึกษานักเรียนในสังกัด กทม.ประจำปี จำนวน 361 ทุน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ในวันที่ 11 กันยายน ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
เชื่อม3สนามบินภวัต เลิศมุกดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานเปิดการประชุมการมีส่วนร่วมของประชาชน ครั้งที่ 1 (ปฐมนิเทศโครงการ) งานศึกษา ทบทวน และวิเคราะห์ความเหมาะสม โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบินแบบไร้รอยต่อ (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ณ โรงแรมเอเชีย พัทยา จังหวัดชลบุรี เมื่อเร็วๆ นี้
เปิดโชว์รูม วิโรจน์ ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท บาเซโลนา มอเตอร์ จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหารบริษัท อาทิ กวิน ลีนุตพงษ์ ชาคริต ลีนุตพงษ์ และ ศศิวัณย์ เห็นพร้อม จัดงาน “เซเลเบรทติ้ง อะ นิว โชว์รูม” (Celebrating A New Showroom) ในโอกาสฉลองเปิดตัวโชว์รูมสาขาใหม่ โดยมี ณัฐ รวีพงศ์ และ ชาตินันท์ มิตรกูล มาร่วมแสดงความยินดี ณ บีเอ็มดับเบิลยู บาเซโลนา มอเตอร์ สาขาบางแค เมื่อเร็วๆ นี้
ประชุมวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว เป็นประธานในงาน “การประชุมสมาชิกประจำเดือนสิงหาคม สมัยที่ 37 ครั้งที่ 5” โดยมี พรทิพย์ หิรัญเกตุ อุปนายก, อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์เลขาธิการ, มิ่งขวัญ เมธเมาลี อุปนายก, เอกสิทธิ์ โชติกเสถียร เหรัญญิก และ คณะกรรมการสมาคมฯ ร่วมงาน ณ ห้องวอเตอร์เกท บอลรูม โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้
ร่วมทุนธนากร ธนวริทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) จัดงานแถลงข่าว “เซ็นสัญญาร่วมทุนโครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์” กับกลุ่มทุน ฮูซิเออร์ส โฮลดิ้งส์ นำโดย สึโตมุ อิคุมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน โดยมีผู้บริหารระดับสูงร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ออลล์ อินสไปร์ สำนักงานใหญ่ ชั้น 18 อาคาร ภิรัช ทาวเวอร์ แอท ไบเทค เมื่อเร็วๆ นี้
⦁…ไม่ว่าจะเป็น “นิด้าโพล” เมื่อเดือนที่ผ่านมา หรือ “พระปกเกล้าโพล” ในวันนี้ ภาพสะท้อนคะแนนนิยมทางการเมืองยังเทมาที่ “อำนาจที่มาจากการรัฐประหาร” และหมางเมินต่อ “นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง” เป็นการประกาศตอกย้ำว่า “ประชาชนไม่ไว้ใจตัวแทนที่พวกเขาเองเลือกขึ้นมา” แต่เชื่อมั่น “กลุ่มที่ชิงอำนาจมาจากตัวแทนประชาชน” มากกว่า ด้วยเหตุนี้เอง “เสียงของนักการเมืองจากการเลือกตั้ง” จึงไม่มีความหมายอะไรมากนัก แม้แต่เสียงเรียกร้องให้ “เร่งการเลือกตั้ง” อันเป็นการ “คืนอำนาจให้ประชาชน” ก็ยังห่างไกลความใส่ใจรับฟังของ “ประชาชนส่วนใหญ่”
⦁…ด้วยเหตุนี้เอง การเมืองไทยที่มีความพยายามจะอธิบายด้วย “ทฤษฎี 3 ก๊ก” จึงพบว่า “ก๊กนักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชน” ดูจะถอยห่างจากโอกาสเข้ามามีบทบาทในกลไกอำนาจเข้าทุกที เกมอำนาจ ณ ปัจจุบันขณะนี้กลายเป็นการต่อสู้ระหว่าง “2 ก๊ก” ที่ต่าง “ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” แม้จะมี “พรรคการเมือง” ที่พอจะมีบทบาทอยู่บ้าง ก็เป็น “พรรคที่มีภาพว่ามาจากการเลือกตั้ง” แต่โดยแท้จริงแล้ววางกลยุทธ์ให้เป็น “ตัวเลือกเพื่อเติมภาพประชาธิปไตยให้รัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” เท่านั้น
⦁…จะเห็นได้ว่า “เสียงเร่งวันเลือกตั้งให้เร็วขึ้น” ไม่ได้มาจาก “พรรคการเมือง” แต่เป็นการตะโกนของ “องค์กรที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเลือกตั้งของประชาชน” แถมยังเคยเป็น “กลไกที่ขัดขวางการเลือกตั้ง” ก่อการตอบโต้ของ “กลุ่มที่รับผิดชอบเขียนกติกากำหนดโครงสร้างอำนาจ” เป็นการโต้แย้งกันระหว่าง “2 ก๊ก” ที่ไม่เกี่ยวกับการยึดโยงกับประชาชน
⦁…ในอีกทางหนึ่ง เสียงถามถึงความชอบธรรมในการวาง “ยุทธศาสตร์ 20 ปี” แม้ที่จางไปคือ “เสียงนักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชน” ด้วยไร้คนที่จะใส่ใจฟัง แต่ที่ดังขึ้นและเป็นที่สนใจมากกลับกลายเป็น “คนในเครือข่ายที่ไม่เกี่ยวอะไรกับการเลือกตั้งของประชาชน” เคยเป็น “แนวร่วมที่แข็งแกร่ง” ของ “อำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน” สะท้อน “2 ก๊กที่ปะทะกัน” ไม่เกี่ยวโยงกับ “อำนาจที่มาจากประชาชน” เช่นกัน
⦁…ที่น่าสนใจยิ่งอยู่ที่ “การใช้ความเกลียดชังต่อตระกูลชินวัตรเป็นอาวุธ” ที่ประเดประดังกันเข้ามาหลัง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” หนีออกนอกประเทศ ก่อนหน้า “ความเกลียดชัง” นี้เป็น “อาวุธ” ที่หันปลายแหลมเข้าทิ่มแทง “นักการเมืองจากการเลือกตั้งฝ่ายที่ยืนข้างเดียวกับชินวัตร” ไม่ว่าใครก็ตามที่ “กลุ่มที่ไม่ได้อำนาจมาโดยไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน” ไม่ชื่นชอบ จะใช้วิธี “โยงผู้ที่ตัวไม่ชอบไปไว้ในฝ่ายชินวัตร” และใช้ “ความเกลียดชังเป็นอาวุธทำลายล้าง” มาวันนี้ “อาวุธที่สร้างจากความเกลียดชัง” เริ่มหันปลายแหลมเข้าหา “เครือข่ายที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งด้วยกันเอง” เป็น “2 ก๊ก” ที่เคยเป็นแนวร่วมพันธมิตรกันตอนไล่ล้าง “นักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชน” ที่หันมาเผชิญหน้ากันเอง
⦁…เมื่อไร้ “ศรัทธาประชาชน” มีแต่จำใจถอยห่างจาก “โอกาสแห่งอำนาจ” เพียงแต่การถอยให้เห็นกลับเป็น “โอกาสอีกทาง” นั่นคือ “โอกาสที่ไม่ถูกไล่ล้างทำลาย” แต่นั่นยังไม่เท่า “อีกโอกาส” นั้นคือ “โอกาสในฐานะผู้ชม” เมื่อเป็น “ผู้เล่นที่ไม่มีราคา” ความมุ่งมั่นของผู้ที่ต้องการชัยชนะ ย่อมโฟกัสไปที่จุดอื่น คนอื่น เป็นโอกาสของการได้เห็น “2 ก๊กที่ไม่เกี่ยวอะไรกับการยึดโยงประชาชน” ออกมาออกอาวุธใส่กันเอง “อาวุธที่สร้างขึ้นมาจากความเกลียดชังร่วมกัน” ย่อมมีอานุภาพทำลายล้าง “ผู้ถูกป้ายสีว่าทรยศต่อความเกลียดชัง” ได้สูงยิ่ง
⦁…ดูเหมือนว่านับจากนี้ไป “รัฐบาล คสช.” ภายใต้ศรัทธาและความนิยมสูงยิ่งจาก “ประชาชนผู้เกลียดชังนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง” ของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะต้องค่อยๆ เริ่มรับรู้ถึงอานุภาพแห่งการทำลายล้างของ “อาวุธที่ถูกสร้างจากความเกลียดชัง” นั้น เป็น “อาวุธในมือของคนที่เคยเป็นแนวร่วม” ที่ต้องการพิสูจน์ว่า ผู้ที่สถาปนาความเป็น “คนดี” ให้ตัวเองได้ ที่จะทำให้เข้ามาควบคุม “ศูนย์กลางอำนาจ” ที่แท้จริง “เป็นคนกลุ่มใดกันแน่”
ชโลทร


ณัฐวุฒิ ดักคอ ระวังคนมองไม่ดี ย้ายรองอธิบดี เพราะไม่สนองคำสั่งเร่งฟ้อง ‘โอ๊ค’

ณัฐวุฒิ ดักคอ ระวังคนมองไม่ดี ย้ายรองอธิบดี เพราะไม่สนองคำสั่งเร่งฟ้อง ‘โอ๊ค’


“ณัฐวุฒิ” ดักคอ ถ้าย้ายรองอธิบดีดีเอสไอเพราะไม่ตอบสนองคำสั่งให้เร่งคดี “พานทองแท้” ระวังถูกมองใช้อำนาจกดดันกระบวนการยุติธรรม

เมื่อวันที่ 8 กันยายน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. กล่าวว่า ถ้าเหตุผลแท้จริงในการสั่งย้ายพ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ คือไม่ตอบสนองต่อคำสั่งให้เร่งดำเนินคดีนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ทั้งที่พยานหลักฐานยังไม่สมบูรณ์ ตามที่เจ้าตัวร้องทุกข์คำสั่งกระทรวงยุติธรรม เรื่องนี้ก็ไม่ถือเป็นปัญหาส่วนตัวของรองอธิบดีคนหนึ่งในฐานะเจ้าพนักงาน และนายพานทองแท้ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาอีกต่อไป แต่เท่ากับมีการใช้อำนาจกดดันกระบวนการยุติธรรม เพื่อเล่นงานบุคคลที่ถือเป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของผู้มีอำนาจหรือไม่

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า หลักในการพิจารณาคดีของศาล หากเห็นว่าพยานหลักฐานยังมีข้อน่าสงสัยก็จะยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย แต่กรณีนายพานทองแท้แม้ยังมีข้อไม่สมบูรณ์ หรือบางข้อหากหมดอายุความไปแล้วก็ยังจะยัดเยียดให้เป็นจำเลย เรื่องแบบนี้ต้องระมัดระวัง เพราะอาจเป็นการตอกลิ่มความขัดแย้งได้ ทั้งนี้ แม้ยังไม่มีข้อมูลส่วนใดชี้ว่าเกี่ยวข้องกับคนสำคัญในรัฐบาล แต่น่าห่วงว่า พอเป็นข่าวสังคมอาจเกิดความเคลือบแคลงสงสัย ส่วนตัวเห็นว่าควรมีคำอธิบายที่ชัดเจนต่อคำร้องทุกข์ของพ.ต.ท.สมบูรณ์ และข้อสั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา อย่าให้บ้านเมืองเกิดวิธีคิดว่า ความอยุติธรรมเป็นมรดกตกทอดจากพี่สู่น้อง จากพ่อสู่ลูกได้

“สำหรับผม ถ้านายพานทองแท้ผิดก็ต้องถูกดำเนินคดี แต่ทุกขั้นตอนต้องสิ้นสงสัย ผิดถูกว่าไปตามหลักนิติธรรม ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามข้อมูลรองอธิบดีดีเอสไอ แล้วชาวบ้านตั้งคำถามว่า ลูกกระทิงแดงปล่อยให้อายุความค่อยๆ หมดไป แต่ลูกฝ่ายเสื้อแดงหมดอายุความแล้วก็ยังจะเอาให้ได้ จะอธิบายกันยังไง” นายณัฐวุฒิ กล่าว

อธิบดีดีเอสไอ ยันไม่ได้ ตั้งธง จ้องเล่นงาน “โอ๊ค พานทองแท้”

อธิบดีดีเอสไอ ยันไม่ได้ ตั้งธง จ้องเล่นงาน “โอ๊ค พานทองแท้” แค่จังหวะเวลาคดีใกล้ขาดอายุความ


อธิบดีดีเอสไอ ยันไม่ได้ ตั้งธง จ้องเล่นงาน “โอ๊ค พานทองแท้” แค่จังหวะเวลาของคดีใกล้ขาดอายุความ คาดว่าสัปดาห์มาร้อทุกข์กล่าวโทษ

เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวถึงการสอบสวนคดีฟอกเงินจากการทุจริตอนุมัติเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้กับกลุ่มกฤษดาธานนท์ ว่า ในสัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจนในเรื่องการร้องทุกข์กล่าวโทษ นายพานทองแท้ ชินวัตร กับพวก จากทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่จะมายื่นเรื่องอย่างเป็นทางการกับดีเอสไอในประเด็นวงเงิน 10 ล้านบาท และวงเงิน 26 ล้านบาท ว่าเกี่ยวข้องกับบุคคลใดอย่างไรบ้าง ซึ่งในที่ประชุมที่ผ่านมาทางปปง.ก็ได้มาประชุมร่วมและมีมติร่วมกันไปแล้ว

พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวด่วย ดีเอสไอขอยืนยันว่าทำคดีนี้ตามพยานหลักฐานไม่ได้กลั่นแกล้งหรือให้ร้ายใคร เพราะมีทำงานรูปแบบคณะกรรมการ มีอัยการ ร่วมเป็นคณะพนักงานสอบสวน พยานส่วนใหญ่เป็นพยานเอกสารที่ปรากฎชัดและได้มาอย่างถูกต้อง ดังนั้นทุกอย่างก็ว่ากันไปตามขั้นตอน

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการจตั้งข้อสังเกตช่วงเวลาที่ทำคดีดังกล่าวทำไมมาเร่งรัดในช่วงนี้กับครอบครัวนี้ พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ดีเอสไอไม่ได้เฉพาะเจาะจงเร่งรัดว่าเป็นนายพานทองแท้ ชินวัตร หรือบุคคลใด เพราะคดีนี้ก็ทำตามตลอด หลังจากได้ข้อมูลจากทางปปง. ดีเอสไอก็สืบสวนสอบสวนขยายผล สอบปากคำแจ้งข้อหาผู้เกี่ยวข้องบ้างส่วนไปแล้ว แต่ที่ต้องรีบทำก็เพราะว่าคดีจะขาดอายุความปี 2561 ถ้าพนักงานสอบสวนปล่อยให้คดีขาดอายุในช้ันพักงานสอบสวนก็ไม่ได้ จึงต้องเข้าไปเร่งรัด ให้ทันเวลาต่อการทำงานคดี ซึ่งเป็นขั้นตอนการทำงานปกติ

“ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่มีการสั่งการหรือตั้งธงจ้องเล่นงานใคร ในคดีแน่นอน ทุกอย่างว่ากันไปตามพยานหลักฐาน และไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอดีตรองอธิบดีดีเอสไอ ที่ถูกโยกย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถึงทำไมคิดว่าเป็นเพราะเรื่องทำคดีนี้ เพราะเมื่อถูกโยกย้ายออกไป คดีก็ไม่ได้หยุดนี้ก็ยังดำเนินต่อพนักงานสอบสวนก็ชุดเดิม เปลี่ยนแค่หัวหน้าพนักงานสอบสวนมาเป็นอธิบดีเอสไอ ทุกอย่างก็เดินไปคืบหน้า”อธิบดีดีเอสไอกล่าว

ไม่ยุ่งคดี"โอ๊ค"

ไม่ยุ่งคดี"โอ๊ค"
"บิ๊กป้อม" ปัด คสช.แทรกแซง กระบวนการยุติธรรม. ไม่รู้เป็นเกม พรรคเพื่อไทย ให้"ปู"ใช้อ้างขอลี้ภัยการเมืองหรือไม่ ยันไม่เกี่ยว DSI เดินหน้า คดีฟอกเงิน "โอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร"
"บิ๊กป้อม" พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม และรองหัวหน้า คสช. ตอบโต้ พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์ ให้รัฐบาล-คสช.ยุติการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
"เราไปแทรกแซงที่ไหน เราไม่เคยทำอะไรเลย เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ก็ว่าไป เป็นไปตามพยานหลักฐานทั้งหมด" พลเอกประวิตร กล่าว
เมื่อถามว่า เป็นเกมที่จะใช้เรื่อง คสช.แทรกแซง ในการให้ นส.ยิ่งลักษณ์ ขอลี้ภัยทางการเมือง หรือไม่นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ว่า เขาคิดอะไร แต่เราไม่เคยทำ ไม่เคยแทรกแซง
ส่วนคดี ฟอกเงินของนายพานทองแท้ ชินวัตร กรณีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย นั้ย พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็เป็นเริ่องของ DSI ดำเนินการ เราไม่ได่ไปเกี่ยวข้องด้วย

เขตปลอดการคุย เขาพระวิหาร!!

เขตปลอดการคุย เขาพระวิหาร!!
"บิ๊กป้อม" ยัน ไม่ได้คุย "เขาพระวิหาร"กับ"ฮุนเซน-เตียบันห์" นอกรอบก็ไม่ได้คุย ยังไม่ควรคุย เดินหน้าปักปันเขตแดน อีก5หลัก ที่เหลือ ไม่เกี่ยวเขาพระวิหาร/ พอใจ ไปเขมรมา /คุย"ฮุนเซน" ก็กอดผมเหมือนกัน
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า พอใจบรรยากาศดี ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ชื่นมื่น หลัง นายกฯนำครม.ไปประชุมร่วม ที่พนมเปญ
เมื่อถามว่า เห็นภาพ สมเด็จฯฮุนเซน กอด พลเอกประยุทธ์ นายกฯ ตอนนั้น แล้วเป็นไง พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็ดี และท่านก็กอดผมด้วย แต่ไม่มีภาพออกมา
พลเอกประวิตร ชี้คุยกันทุกเรื่อง โดยเฉพาะในด้านความมั่นคง คุยเรื่องการเปิดจุดผ่านแดน ปักปันเขตแดน การปราบปรามยาเสพติด
ส่วนการเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มเติม นั้น จุดใด เรื่องใด ที่ไท่ติดขัด และถูกต้อง หรือปักปันเขตแดนแล้ว ก็สามารถดำเนินการได้ทันที. แต่หากยังปักปันเขตแดนไม่เสร็จ ก็เอาไว้ก่อน ซึ่งที่ผ่านมา เราสามารถปักปันได้แล้ว73 หลักเขต ยังเหลืออีก5 หลักเขต ไม่มีในพื้นที่เขาพระวิหาร
ส่วนกรณีปัญหาเขาพระวิหาร นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่ได้มีการพูดคุย นอกรอบ กับ พลเอกเตียบันห์. รองนายกฯและ รมว.กลาโหม. ส่วนนายกฯกับ สมเด็จฮุนเซน ก็ไม่ได้คุยเริ่องเขาพระวิหารกัน คุยแต่เรื่องความร่วมมือเศรษฐกิจ
เมื่อถามว่า ควรจะมีการคุยกันเริ่องการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน หรือ การท่องเที่ยวร่วมกัน หริอไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า เริ่องเขาพระวิหาร ยังไม่ควรคุยกันหรอก

"บิ๊กป้อม" เผย "ฮุนเซน" ก็กอดผมเหมือนกัน ไม่ใช่กอดแต่ นายกฯ.

"บิ๊กป้อม" เผย "ฮุนเซน" ก็กอดผมเหมือนกัน ไม่ใช่กอดแต่ นายกฯ....พอใจ ไปเขมรมา บรรยากาศสัมพันธ์ดี
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า พอใจบรรยากาศดี ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ชื่นมื่น หลัง นายกฯนำครม.ไปประชุมร่วม ที่พนมเปญ
เมื่อถามว่า เห็นภาพ สมเด็จฯฮุนเซน กอด พลเอกประยุทธ์ นายกฯ ตอนนั้น แล้วเป็นไง พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็ดี และท่านก็กอดผมด้วย แต่ไม่มีภาพออกมา
พลเอกประวิตร ชี้คุยกันทุกเรื่อง โดยเฉพาะในด้านความมั่นคง คุยเรื่องการเปิดจุดผ่านแดน ปักปันเขตแดน การปราบปรามยาเสพติด
ส่วนการเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มเติม นั้น จุดใด เรื่องใด ที่ไม่ติดขัด และถูกต้อง หรือปักปันเขตแดนแล้ว ก็สามารถดำเนินการได้ทันที. แต่หากยังปักปันเขตแดนไม่เสร็จ ก็เอาไว้ก่อน ซึ่งที่ผ่านมา เราสามารถปักปันได้แล้ว73 หลักเขต ยังเหลืออีก5 หลักเขต ไม่มีในพื้นที่เขาพระวิหาร
ส่วนกรณีปัญหาเขาพระวิหาร นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่ได้มีการพูดคุย นอกรอบ กับ พลเอกเตียบันห์. รองนายกฯและ รมว.กลาโหม. ส่วนนายกฯกับ สมเด็จฮุนเซน ก็ไม่ได้คุยเริ่องเขาพระวิหารกัน คุยแต่เรื่องความร่วมมือเศรษฐกิจ
เมื่อถามว่า ควรจะมีการคุยกันเริ่องการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน หรือ การท่องเที่ยวร่วมกัน หริอไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า
เริ่องเขาพระวิหาร ยังไม่ควรคุยกันหรอก

"บิ๊กป้อม"สั่ง การบ้านหนัก ผช.ทูตทหารอธิบายไทยไม่ได้ปฏิวัติ

ยากแระ!! จะอธิบายยังไง.."บิ๊กป้อม"สั่ง การบ้านหนัก ผช.ทูตทหาร
"บิ๊กป้อม" สั่ง27 ผช.ทูตทหาร แจง ตปท 22พค.57 ไม่ใช่ปฏิวัติ บอกแค่ทหาร มาแยก ไม่ให้คน2พวกทะเลาะกันตีกัน ยัน เราไม่ใช่เผด็จการ มี ม.44 เหมือน ม.17 แต่ ไม่เคยใช้ฆ่าคน ทำร้ายใคร ยันยึดปชต. แต่แค่ยังไม่มีเลือกตั้ง

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เปิดโอกาสให้ผู้ช่วยทูตทหารและรองผู้ช่วยทูตทหารทั้ง3 เหล่าทัพ จำนวน 27 นาย ที่จะไปปฎิบัติหน้าที่ในต่างประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกา ยุโรปและในอาเซียน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2560 นี้เป็นต้นไป. เป็นระยะเวลา3 ปี

พลเอกประวิตร กล่าวแสดงความยินดี ที่ ทั้ง27 นาย ได้สอบ และได้รับการคัดเลือก ไปทำหน้าที่สำคัญ ในต่างประเทศ ถือว่าเป็นผู้แทนเพื่อไปปฎิบัติหน้าที่ยังต่างประเทศ เมื่อไปปฎิบัติหน้าที่แล้วต้องตระหนักไว้เสมอว่ามีภารกิจอะไรที่ต้องไปทำและภารกิจนั้น ถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ และ ต่อกองทัพ ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการป้องกันประเทศและเสริมสร้างความสัมพันธ์ความร่วมมือทางด้านความมั่นคงกับมิตรประเทศ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและมี มิตรภาพอันแน่นแฟ้นและส่งผลดีต่อประเทศไทยในระดับเวทีนานาชาติ

เพราะฉะนั้นทุกคน เมื่อไปอยู่ที่นั่นแล้วจะต้องรู้ว่าเราควรทำตัวอย่างไร เพื่อให้เป็นที่รู้ว่าประเทศไทยนั้นมีศักยภาพอย่างไรให้กับนานามิตรประเทศได้รับรู้รับทราบถึงความก้าวหน้าต่างๆในการดำเนินการของรัฐบาลทางด้านยุทธศาสตร์ของความมั่นคงในเรื่องการป้องกันประเทศ ให้ประเทศต่างๆได้รับทราบไม่ใช่ว่าเราไปแล้วอยู่เฉยๆ เราต้องคุยเราต้องบอกว่าประเทศเรานั้นมีความก้าวหน้าไปในอย่างไร
"รัฐบาลยังต้องการให้ประเทศ เป็นประชาธิปไตยอย่างแน่นแฟ้น
เพราะฉะนั้นผู้ช่วยทูตหรือรองผู้ช่วยทูตทหาร จะต้องไปอธิบายให้กับประเทศของเราได้ ให้รับรู้รับทราบให้ตระหนักถึงความสำคัญในภารกิจดังกล่าวใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการปฎิบัติหน้าที่อันทรงเกียรตินี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ทำหน้าที่ ทางฝ่ายยุโรป ในการเฝ้ารับเสด็จฯ
"
ที่สำคัญต้องบอกกับ ประเทศต่างๆว่า
ประเทศไทยเรายังยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย มีพันธกรณี ตามกฎกติกาของประชาคมโลกอย่างเดิมเสมอมา
ขอให้ทุกท่านสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ ให้กับมีประเทศต่างๆได้รับทราบด้วย
เพราะฉะนั้นทุกท่านจะต้องให้ความเข้าใจกับในประเทศของเรา ที่เราออกแบบว่าเราควรจะทำอย่างไรให้มีประเทศเข้าใจว่าเราเป็นประชาธิปไตย ไม่ให้เข้าใจผิดว่าเป็นประเทศเผด็จการ เนื่องจากมีการทำรัฐประหาร

"การทำรัฐประหารที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่การรัฐประหาร แต่เป็นการยุติความขัดแย้งของกลุ่มบุคคล 2 พวกที่ ทะเลาะกัน ตีกัน และทำให้บ้านเมืองไม่สงบและรัฐบาลไม่สามารถ ปกครองประเทศได้เราต้องยุติเหตุการณ์นั้น และดำเนินการต่อ

"เราไม่ได้ปฏิวัติ แต่เป็นการใช้อำนาจในการปกครองประเทศโดยการทำปฏิวัติ เท่านั้น ฉะนั้นจึงต้องเข้าใจตามนี้ "

พลเอกประวิตร กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการปกครองภายใต้การบริหารของรัฐบาล คสช. เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพียงแค่ไม่มีการเลือกตั้งเท่านั้น

ส่วนการมีมาตรา 44 ของหัวหน้า คสช.ก็ ไว้ ก็เพิ่อแก้ปัญหาในเรื่องราวต่างๆที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนเท่านั้นไม่ใช่นำมาทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล

"มาตรา 44 ออกมา 300 คนก็มีเรื่องมีราวที่ถูกฟ้องร้องและให้มีการตรวจสอบถ้าไม่ผิด ก็กลับมาไปในที่เดิม หรือในตำแหน่งเดิม ฝ่ายทหารเราไม่มีเพราะเราไม่ได้สัมผัสกับประชาชนจึงไม่ได้ถูกฟ้องร้อง
มาตรา 44 ไว้แก้ปัญหาเรื่องของรถไฟหรือแก้ปัญหา เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม

"ซึ่งรัฐบาล คสช. มี มาตรา 44 ไว้ แต่ไม่ใช่มีไว้เพื่อสั่งฆ่าคน หรือทำร้ายคน ไม่เหมือนมาตรา 17 แม้จะอำนาจเท่ามาตรา 17 ก็ตาม แต่รัฐบาลชุดนี้ ยืนยันทำแบบประชาธิปไตย ฝากไปชี้แจง ประเทศต่างๆด้วย"

ไปหา"ปู"?

"บิ๊กป้อม" เตรียมไป อังกฤษ พบ รมว.กลาโหม 12-15กย.นี้. ร่วมงานDefence and Security Equipment International : DSEL 2017...คาดถูกจับตา ไปหาข่าว "ปู" ด้วย

พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พร้อมด้วย พลเอกขัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหมและผู้แทนเหล่าทัพ มีกำหนดการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักร ระหว่าง 12 - 15 ก.ย. 2560
โดยมีกำหนดเข้าพบหารือกับ เซอร์ ไมเคิล ฟอลลอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สหราชอาณาจักร และ นายมาร์ค ฟีลด์ รัฐมนตรีช่วยว่าการต่างประเทศด้านเอเชียและแปซิฟิก เพื่อกระชับความสัมพันธ์ รวมทั้งขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงและการทหารระหว่างกัน และร่วมงาน Defence and Security Equipment International : DSEL 2017
ทั้งนี้. แม้จะเป็นกำหนดการเดิม แต่ก็คาดว่าการเดินทางไปอังกฤษ ของพลเอกประวิตร จะถูกจับตามองว่า ไปหาข้อมูลเรื่องการหลบหนี และการขอลี้ภัยของอดีตนายกฯ"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"ด้วยหรือไม่

"กอด" ใครคิดว่าไม่สำคัญ?

ใน ๑๐ ประเทศ "กลุ่มอาเซียน" คนที่อยู่ในอำนาจได้ยาวนานที่สุด
ต้องยกให้...........
"จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน" แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
เป็นนายกฯ มาตั้งแต่อายุ ๓๓ ปี
ตอนนี้ อายุ ๖๕
หมายความว่า "ครึ่งหนึ่ง" ของอายุ สมเด็จฮุน เซน ตูดติดเก้าอี้นายกรัฐมนตรีตลอด!
หนังสือชุด "สามก๊กฉบับนายทุน" ของหม่อมคึกฤทธิ์ เล่มหนึ่ง ท่านตั้งชื่อว่า "โจโฉนายกฯ ตลอดกาล"
เดือนกรกฎา ปีหน้า เขมรมีเลือกตั้งใหญ่.....
ถ้าไม่มีพรรคไหนโค่นสมเด็จฮุน เซน ลงได้ ตอนนั้น ไม่เรียก ก็ต้องเรียก
"ฮุน เซน นายกฯ ตลอดกาล"?
พูดถึงเลือกตั้ง เขมรกำหนดวันแล้ว แต่ของเรา ที่ กกต.โยนขนมปังที่ท่าน้ำวัด ดูปลาแขยงแย่งกันฮุบ ว่า "สิงหา.๖๑ เลือกตั้ง" นั้น
ดูแค่ปลาไปก่อนเหอะ!
เรื่อง "เข้าคูหา" นั้น อยากจะบอกว่า ตามโรดแมป ตามรัฐธรรมนูญ ปักหมุด ปีหน้า "๒๕๖๑" ต้องมีเลือกตั้ง
ผมก็เชื่อว่าต้องมี.............
แต่ที่ว่ามี คือมี "นายกรัฐมนตรี" นั้น มีแน่ จะเป็นเหล้าเก่า ในขวดใหม่ หรือขวดใหม่-เหล้าใหม่ แต่ฉลากเก่า
จะแบบไหน ยังไงๆ ก็ต้องมี ในลักษณะนี้?
ส่วนเลือกตั้ง...........
อย่าเพิ่งปักใจไปข้างใด-ข้างหนึ่ง จนเกิดภาพ "หมาเห็นเงาเนื้อในน้ำ" จากหมู่นักเลือกตั้ง
ผมประเมินว่า มี-ไม่มี เป็นได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่ยังมองไม่เห็นในขณะนี้-ตอนนี้
บ้านเรา เป็นเมืองร้อน การเมืองก็เหมือนกัน ฉะนั้น อย่าไปคิดยาว-มองยาว มันจะบูด
ดูไปทีละ "ไตรมาส" นั่นละ ชัวร์!
ไหนๆ ก็คุยเรื่องเลือกตั้งแล้ว มาดูกันดีกว่า ว่าจะได้เลือกตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ ๕ เมษา.๖๐ หรือไม่?
จะดูให้มีหลัก ก็ต้องดูตาม "กรอบกฎหมาย"
"กฎหมายลูก" ที่รัฐธรรมนูญกำหนดกรอบเวลาในการร่าง มี ๑๐ ฉบับ ภายใต้เวลา ๒ ปี
มี ๔ ฉบับ ในจำนวน ๑๐ ที่ต้องร่างให้เสร็จภายใน ๒๔๐ วัน นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
- พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
- พ.ร.บ.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
- พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง
- พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง
เนี่ย....จะมีเลือกตั้งหรือไม่มี อยู่ที่กฎหมายลูก ๔ ฉบับนี้
ถ้ายกร่างเสร็จ ส่ง สนช.พิจารณาให้ความเห็นชอบ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย
ประกาศใช้วันไหน ก็นับจากวันนั้นไป ภายใน ๑๕๐ วัน ต้องมีเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๘
แล้วทั้ง ๔ ฉบับ คณะยกร่างของอาจารย์มีชัย จะยกกันเสร็จวันไหน?
กำหนดไว้ว่า ภายใน ๒๔๐ วัน นับแต่วันรัฐธรรมนูญประกาศใช้
ก็ประกาศใช้ ๕ เมษายน ๒๕๖๐
จะครบกำหนด ๒๔๐ วัน ต้นเดือนธันวา.ที่จะถึงนี้!
อีกตั้ง ๒ เดือน เหมือนปฏิสนธิเมื่อคืน จะด่วนฝากท้อง-ฝากครรภ์ กำหนดวันคลอด
ไม่เห่อผ้าอ้อมไปหน่อยหรือ?
เพราะทั้ง ๔ ฉบับ ถึงผ่านด่าน กรธ.ของอาจารย์มีชัยแล้ว ยังต้องไปด่าน สนช.ของท่านพรเพชรอีก ๖๐ วัน
เสร็จจาก สนช.ก็ยังคลอดไม่ได้
ยังต้องไปเข้ากรรมวิธีบ่มครรภ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญอีก ยังต้องตั้งกรรมาธิการพิจารณาทวนทบ-ทบทวนอีก
สรุปว่า กว่าจะได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย
และกว่าจะได้ประกาศลงใน "ราชกิจจานุเบกษา" เพื่อเข้าสู่เงื่อนไขเวลา ๑๕๐ วัน เลือกตั้ง
๑๕๐ วันน่ะ ไม่ไกลหรอก........
แต่ที่กว่าจะมาถึง ๑๕๐ วันสุดท้ายนี่ซี ถึงถีบท้อง มดลูกบีบตัว หัวลงแล้วก็เหอะ
ถ้า "ปากมดลูก" ไม่เปิด มันคลอดยาก!
กลับไปคุยเรื่อง "คนกอดกัน" ที่กัมพูชา เมื่อวาน (๗ ก.ย.๖๐) ชื่นอารมณ์ดีกว่าคุยเรื่องเลือกตั้ง
คือนายกฯ ลุงตู่ ยกคณะ ครม.ไทย ไปกระสันไมตรีกับสมเด็จฮุน เซน พร้อมคณะ ครม.กัมพูชา
เนื้อหาสาระที่คุย-ที่ตกลงกัน คงไม่มีคนสนใจเท่าภาพเต็มจอ เต็มหน้ากระดาษและหน้าโซเชียลมีเดีย
"๒ นายกฯ กอดกัน" นั่นแหละ!
ดูเหมือนไม้ตายของนายกฯ ฮุน เซน คือ "ลูกกอด" และเคยใช้ลูกกอดสยบฝ่ายตรงข้ามราบคาบมาแล้วเป็นที่ประจักษ์
"กอดกับทักษิณ"........
ลงท้าย ผลปรากฏ มนต์กอดเขมรขลังกว่า ทำเอาทักษิณคู่กอดแทบมอดม้วยมรณา ดังประจักษ์
กับอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็ยกคณะไปเขมร แต่ฮุน เซน คงไม่กล้ากอดอย่างที่เคยกอดพี่ชาย
แค่จับไม้-จับมือ ก็ยังไม่พ้นอาถรรพณ์มนต์เขมร เกนเก้ตามพี่ชายไปอีกราย!
มานายกฯ ประยุทธ์ ไปกับหลวงพ่อเต็มคอ และอยากให้สังเกตตามภาพที่ปรากฏ
ไม่ใช่นายกฯ ไทย-นายกฯ เขมร "กอดกัน"
อย่างเมื่อครั้ง "ฮุน เซน-ทักษิณ" แบบถึงเรียก "สวมกอดกัน"!
ตามภาพเมื่อวาน..........
เป็นสมเด็จฮุน เซน โผกอดนายกฯ ประยุทธ์ฝ่ายเดียว โดยที่อีกฝ่าย ยืนนิ่งๆ ให้กอด โดยไม่โอบกอดตอบอีกฝ่าย
แบบนี้ ใช้คำว่า "กอดกัน" ดูจะไม่ถูกตามท่า
ใช้ได้เพียง "ประยุทธ์ถูกกอด" หรือ "ฮุน เซน กอดประยุทธ์" เท่านั้น!
ผมเดาว่า ไม่ใช่ประยุทธ์ไม่ต้องการ "กอดสนองกอด" หากแต่สมเด็จฮุน เซน เข้ากอด "ผิดท่า-ผิดตำแหน่ง" เอง
แทนที่จะวิ่งกางมือ โผเข้ากอดกันตรงหน้า แล้วเอาแก้มชนแก้มกันอย่างในหนัง
แต่ตอนนั้น ทั้งฮุน เซน และประยุทธ์ อยู่ในท่ายืนเรียงแถว สมเด็จฮุน เซน พูดอะไรก็ไม่ทราบ
นายกฯ ประยุทธ์ฟังแล้ว กล่าวตอบว่า "ออกุน เจริญ" ซึ่งแปลว่า ขอบคุณ
สมเด็จฮุน เซน ได้ยินนายกฯ ประยุทธ์พูดภาษาเขมร รักสุดใจขึ้นจี๊ดสุดกลั้น
จึงโผกอดจากด้านข้าง........
อีกฝ่ายไม่ทันรู้เนื้อ-รู้ตัว เลยไม่ได้หันมากอดตอบเป็นมัดข้าวต้มเหมือนทักษิณ!
ใจจริง ผมอยากให้สวมกอดกันมากกว่า เพราะตอนหน้าชนกัน จะได้กระซิบซอกหูนายกฯ ฮุน เซน
"ปูอยู่ไหน?"
ภาษาเขมรนั้น ฟังสำเนียงแล้วจะเพราะมาก จะมีเสียงสูง-เสียงต่ำไล่เรียงไปในประโยค ในคำ
อย่าง "ออกุน เจริญ" เวลาอ่าน ก็เฉยๆ แต่ถ้าฟังสำเนียงคนเขมรพูด จะอ่อนช้อย เชิดปลาย เหมือนตวัดลายกนก
ซัวซไดย สบายดี, สุขะเพียบละออ ขอให้สุขภาพดี
ตอนผมทำข่าวเขมรใกล้แตกที่กรุงพนมเปญ ราวๆ ปี ๒๕๑๓ ไปสัมภาษณ์อดีตนายกฯ อินตัม
ตอนนั้น หมดอำนาจแล้ว บ้านของท่านในพนมเปญ เหมือนค่ายอพยพ "อนาถา"
ระก่าย-ระเกะด้วยชาวบ้านที่หนีสงครามจากบ้านนอกเข้ามาขออาศัย
ความจริงตอนนั้น ถ้าท่านคิดเอาตัวรอด ไปอยู่สหรัฐฯ หรือที่ไหนก็ได้
แต่ท่านไม่ไป........
ไม่ทิ้งชาวบ้าน อยู่ร่วมทุกข์-ร่วมยากด้วยกัน ทั้งที่มีโอกาสไป ก็ไม่ฉวยโอกาส
ขณะนั้น สหรัฐฯ เชิด "นายพลลอนนอล" ขึ้นเป็นนายกฯ แทนแล้ว
พวกผมเดินแหวกๆ กองชาวบ้านเข้าไป.......
คนกรมประชาสัมพันธ์ที่สถานทูตไทยไปเป็นล่ามให้ เขาใช้ศัพท์ชั้นสูงกล่าวนำกับนายกฯ อินตัม
ขนาดคนไทยพูด เราเองฟังแล้วเสนาะหู ชื่นใจ พอกล่าวนำเสร็จ อดีตนายกฯ อินตัม ถึงกับเอ่ยปากชมว่า
"พูดภาษาเขมรได้ดีกว่าคนเขมรซะอีก" ท่านซักไซ้ไล่เลียง ด้วยถูกอก-ถูกใจอยู่พักใหญ่
คนกรมประชาสัมพันธ์ท่านนั้น เช้าๆ-ค่ำๆ ต้องคอย "ขึงลวด" ใต้ถุนบ้าน เป็นสายอากาศ คอยดักฟังข่าว ผมพลอยอาศัยไปด้วย
ต่อมา ได้เป็น "อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์"
แต่มีเรื่อง-มีคดีอะไร ผมก็ลืมไปแล้ว จำได้แต่ว่า ท่านจบอายุราชการแบบเจ็บปวด!
เอาละมัง นอกเรื่องไปตามเรื่องนอก จนไม่เป็นเรื่อง-เป็นราวอะไร พรุ่งนี้ ค่อยคุยกันใหม่ละกัน.

ก้าวไม่พ้นคนแดนไกล

ก้าวไม่พ้นคนแดนไกล

เรียกอารมณ์ร่วมพ่อค้า แม่ขายทั่วประเทศ

ข่าวร้ายรับเดือนกันยายน ในคิวร้อนล่าสุดที่ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) กระทรวงพลังงาน มีมติปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มหรือก๊าซแอลพีจีขึ้นเป็น 21.15 บาทต่อกิโลกรัม ตามราคาตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ส่งผลให้ราคาก๊าซหุงต้มถังขนาด 15 กิโลกรัม แพงขึ้นอีก 10 บาท ทะยานไปอยู่ที่ 353 บาทต่อถัง
มีผลไปสดๆร้อนๆ เมื่อวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา

พ่อค้า แม่ค้าแทบกระอักแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี หลังจากที่เคยขยับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มรอบแรกมาแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2560

คิวเขย่าขวัญ ราคาอาหารจ่อเพิ่มขึ้นราคามารออยู่ตรงหน้าทุกคน

ยังไม่นับรวมการทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซเอ็นจีวีในส่วนรถยนต์ส่วนบุคคลให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น 0.45 บาทต่อลิตร

อยู่ระหว่างให้ ปตท.ไปศึกษาจัดการเรื่องต้นทุนที่แท้จริง รอนำเข้าที่ประชุม ปตท.กลางเดือนกันยายนนี้
ราคาสินค้าอุปโภค บริโภคจ่อคิวขยับขึ้นต่อเนื่อง โดนผลกระทบกันทั่วหน้า ตั้งแต่พ่อค้า แม่ค้า ผู้ใช้รถยนต์ และชาวบ้านทั่วไป

กระทรวงพาณิชย์ต้องรีบเบรก ออกกฎคุมเข้มไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสโขกราคาสินค้าและอาหารจานด่วน โดยอ้างก๊าซหุงต้มขึ้นราคา

ปัญหาข้าวยากหมากแพง แต่รายได้หดหายในยุคปากกัดตีนถีบ ยังตามเล่นงานรัฐบาลต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องชวนเวียนหัว กรณีกระทรวงการคลังจ่อออกกฎกระทรวงว่าด้วยภาษีสรรพสามิต กำหนดอัตราภาษีสุราและยาสูบใหม่ มีผลบังคับใช้วันที่ 16 กันยายนนี้ เข้าทางพวกหัวหมอกักตุนสินค้าฟันกำไร

จน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ขู่เล่นงานหนักผู้ประกอบการที่มุ่งกอบโกยเอาเปรียบชาวบ้าน

ภาวการณ์ปากท้องสลับหมุนเวียนออกมาให้เห็นเรื่อยๆ มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่รัฐบาลทหารจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ เย้ยหยันเรื่องฝีมือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

ซ้ำเติมความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ตามผลโพลสถาบันพระปกเกล้าที่ตอกย้ำคนไทยยังให้ความนิยมในตัว “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี มาเป็นอันดับ 1 จากการจัดลำดับผู้นำ ที่ได้รับความเชื่อมั่นสูงสุดในช่วง 15 ปี

ทำคะแนนนำโด่ง แม้แต่ “บิ๊กตู่” เจ้าของอำนาจตัวจริง เสียงจริงในปัจจุบันก็มีแต้มเป็นรอง

เข้าทำนองประเทศไทยห่างเหินจาก “ทักษิณ” มา 10 กว่าปีแต่ยังก้าวไม่ข้ามแบรนด์ “คนแดนไกล”
ปลุกอาการของขึ้นจากผู้นำ คสช. หลุดอารมณ์หงุดหงิดปรี๊ดแตกใส่สื่อที่ยังคงวนเวียนให้ราคาและความสำคัญแก่อดีตผู้นำประเทศที่เป็นคู่ปรับ คสช.

เสียเครดิตอำนาจพิเศษที่บริหารประเทศย่างเข้าสู่ปีที่ 4 กุมความได้เปรียบทุกประตู แต่ยังกำจัดยี่ห้อ “ทักษิณ” ออกจากทางไม่สำเร็จ

ย่อมเป็นอะไรที่ท็อปบูตจะไม่รู้สึกแอบหวั่นไหวอยู่ลึกๆในใจ

ตามห้วงเวลาโรดแม็ปเลือกตั้งที่อยู่ในช่วงนับถอยหลังลงเรื่อยๆ จากการเร่งคิวของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประเมินโปรแกรมเข้าคูหาหย่อนบัตรเร็วขึ้นกว่าเดิม

จากปลายปี 2561 ร่นเป็นเดือนสิงหาคม 2561 กดดัน คสช.ไม่ให้ทอดเวลาอยู่ในอำนาจนานเกินเหตุ
สวนทางกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่เริ่มเห็นสัญญาณอาจไม่ได้เลือกตั้งตามโรดแม็ปเดิม

ในท่าทีล่าสุดของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่เริ่มออกลีลายึกยัก ตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ ยังไม่รู้นักการเมืองคืนสังเวียนทันปลายปี 2561 หรือไม่ เนื่องจากไม่รู้ว่ากฎหมายลูกจะเสร็จตามกำหนดหรือเปล่า

ตัวอย่างที่เห็นๆเส้นทางกฎหมายลูกแต่ละฉบับที่กว่าจะออกมามีผลบังคับใช้ได้ ต้องฝ่าด่านแก้ไขจาก สนช. บางฉบับต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมฯขึ้นมาทบทวนจนวุ่นวาย

ยื้อเวลากันทุกช็อต ยังไม่นับรวมกรณีร่างกฎหมายลูกสำคัญอาจถูก สนช.คว่ำกระดานที่ยังไม่มีความชัดเจนจะมีทางออกอย่างไร กลายเป็นตัวแปรสุ่มเสี่ยงการเบี้ยวโรดแม็ป

ไฟต์บังคับสำคัญที่มีอำนาจการคุมเกมประเทศเป็นเดิมพัน เพื่อบล็อกเครือข่ายนายใหญ่ไม่ให้กลับมาครองอำนาจได้อีก ก็จำเป็นต้องมีชั้นเชิง ลูกล่อลูกชน ไม่ผูกมัดตัวเองไว้ก่อน

ตั้งใจมาอยู่ยาว จะเลื่อนเลือกตั้งอีกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก.

ทีมข่าวการเมือง