PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2560

ก้าวไม่พ้นคนแดนไกล

ก้าวไม่พ้นคนแดนไกล

เรียกอารมณ์ร่วมพ่อค้า แม่ขายทั่วประเทศ

ข่าวร้ายรับเดือนกันยายน ในคิวร้อนล่าสุดที่ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) กระทรวงพลังงาน มีมติปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มหรือก๊าซแอลพีจีขึ้นเป็น 21.15 บาทต่อกิโลกรัม ตามราคาตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ส่งผลให้ราคาก๊าซหุงต้มถังขนาด 15 กิโลกรัม แพงขึ้นอีก 10 บาท ทะยานไปอยู่ที่ 353 บาทต่อถัง
มีผลไปสดๆร้อนๆ เมื่อวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา

พ่อค้า แม่ค้าแทบกระอักแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี หลังจากที่เคยขยับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มรอบแรกมาแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2560

คิวเขย่าขวัญ ราคาอาหารจ่อเพิ่มขึ้นราคามารออยู่ตรงหน้าทุกคน

ยังไม่นับรวมการทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซเอ็นจีวีในส่วนรถยนต์ส่วนบุคคลให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น 0.45 บาทต่อลิตร

อยู่ระหว่างให้ ปตท.ไปศึกษาจัดการเรื่องต้นทุนที่แท้จริง รอนำเข้าที่ประชุม ปตท.กลางเดือนกันยายนนี้
ราคาสินค้าอุปโภค บริโภคจ่อคิวขยับขึ้นต่อเนื่อง โดนผลกระทบกันทั่วหน้า ตั้งแต่พ่อค้า แม่ค้า ผู้ใช้รถยนต์ และชาวบ้านทั่วไป

กระทรวงพาณิชย์ต้องรีบเบรก ออกกฎคุมเข้มไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสโขกราคาสินค้าและอาหารจานด่วน โดยอ้างก๊าซหุงต้มขึ้นราคา

ปัญหาข้าวยากหมากแพง แต่รายได้หดหายในยุคปากกัดตีนถีบ ยังตามเล่นงานรัฐบาลต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องชวนเวียนหัว กรณีกระทรวงการคลังจ่อออกกฎกระทรวงว่าด้วยภาษีสรรพสามิต กำหนดอัตราภาษีสุราและยาสูบใหม่ มีผลบังคับใช้วันที่ 16 กันยายนนี้ เข้าทางพวกหัวหมอกักตุนสินค้าฟันกำไร

จน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ขู่เล่นงานหนักผู้ประกอบการที่มุ่งกอบโกยเอาเปรียบชาวบ้าน

ภาวการณ์ปากท้องสลับหมุนเวียนออกมาให้เห็นเรื่อยๆ มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่รัฐบาลทหารจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ เย้ยหยันเรื่องฝีมือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

ซ้ำเติมความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ตามผลโพลสถาบันพระปกเกล้าที่ตอกย้ำคนไทยยังให้ความนิยมในตัว “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี มาเป็นอันดับ 1 จากการจัดลำดับผู้นำ ที่ได้รับความเชื่อมั่นสูงสุดในช่วง 15 ปี

ทำคะแนนนำโด่ง แม้แต่ “บิ๊กตู่” เจ้าของอำนาจตัวจริง เสียงจริงในปัจจุบันก็มีแต้มเป็นรอง

เข้าทำนองประเทศไทยห่างเหินจาก “ทักษิณ” มา 10 กว่าปีแต่ยังก้าวไม่ข้ามแบรนด์ “คนแดนไกล”
ปลุกอาการของขึ้นจากผู้นำ คสช. หลุดอารมณ์หงุดหงิดปรี๊ดแตกใส่สื่อที่ยังคงวนเวียนให้ราคาและความสำคัญแก่อดีตผู้นำประเทศที่เป็นคู่ปรับ คสช.

เสียเครดิตอำนาจพิเศษที่บริหารประเทศย่างเข้าสู่ปีที่ 4 กุมความได้เปรียบทุกประตู แต่ยังกำจัดยี่ห้อ “ทักษิณ” ออกจากทางไม่สำเร็จ

ย่อมเป็นอะไรที่ท็อปบูตจะไม่รู้สึกแอบหวั่นไหวอยู่ลึกๆในใจ

ตามห้วงเวลาโรดแม็ปเลือกตั้งที่อยู่ในช่วงนับถอยหลังลงเรื่อยๆ จากการเร่งคิวของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประเมินโปรแกรมเข้าคูหาหย่อนบัตรเร็วขึ้นกว่าเดิม

จากปลายปี 2561 ร่นเป็นเดือนสิงหาคม 2561 กดดัน คสช.ไม่ให้ทอดเวลาอยู่ในอำนาจนานเกินเหตุ
สวนทางกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่เริ่มเห็นสัญญาณอาจไม่ได้เลือกตั้งตามโรดแม็ปเดิม

ในท่าทีล่าสุดของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่เริ่มออกลีลายึกยัก ตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ ยังไม่รู้นักการเมืองคืนสังเวียนทันปลายปี 2561 หรือไม่ เนื่องจากไม่รู้ว่ากฎหมายลูกจะเสร็จตามกำหนดหรือเปล่า

ตัวอย่างที่เห็นๆเส้นทางกฎหมายลูกแต่ละฉบับที่กว่าจะออกมามีผลบังคับใช้ได้ ต้องฝ่าด่านแก้ไขจาก สนช. บางฉบับต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมฯขึ้นมาทบทวนจนวุ่นวาย

ยื้อเวลากันทุกช็อต ยังไม่นับรวมกรณีร่างกฎหมายลูกสำคัญอาจถูก สนช.คว่ำกระดานที่ยังไม่มีความชัดเจนจะมีทางออกอย่างไร กลายเป็นตัวแปรสุ่มเสี่ยงการเบี้ยวโรดแม็ป

ไฟต์บังคับสำคัญที่มีอำนาจการคุมเกมประเทศเป็นเดิมพัน เพื่อบล็อกเครือข่ายนายใหญ่ไม่ให้กลับมาครองอำนาจได้อีก ก็จำเป็นต้องมีชั้นเชิง ลูกล่อลูกชน ไม่ผูกมัดตัวเองไว้ก่อน

ตั้งใจมาอยู่ยาว จะเลื่อนเลือกตั้งอีกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก.

ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: