PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

พรรคเปิดซิง

พรรคเปิดซิง



นายสายัณห์ อินทรภักดิ์ หัวหน้าพรรคคลองไทย
เหลืออีกแค่ 7 เดือน ศึกเลือกตั้ง ใหญ่จะระเบิดเถิดเทิง
บรรดาพรรคการเมืองใหม่ป้าย แดง จึงต้องทยอยเปิดตัว จัดประชุมก่อตั้งพรรค เลือกตั้งหัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย
ล่าสุด เมื่อวานซืน มีพรรคใหม่เปิดซิงชื่อ “พรรคคลองไทย” จัดประชุมใหญ่ที่จังหวัดตรัง มีสมาชิกก่อตั้งเข้าประชุมอย่างคึกคักกว่า 500 คน
พร้อมลงมติเลือก นายสายัณห์ อินทรภักดิ์ อดีตรองผู้ว่าฯจังหวัดตรัง ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคลองไทย
ประกาศจะส่งผู้สมัคร ส.ส.ทุกเขตทั่วประเทศ และถ้าหากได้ ส.ส.มากพอเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หัวหน้าพรรคคลองไทยก็พร้อมที่จะนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามกติกา
มาฟอร์มยักษ์อีกแล้วโยม
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า เหตุผลที่ตั้งชื่อว่า...“พรรคคลองไทย” เพื่อสืบสานแนวพระราชดำริ “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช” ยุคกรุงศรีอยุธยา ที่ทรงสนพระทัยให้ขุดคลองเชื่อมสองฝั่งทะเลภาคใต้ ของไทย
แต่จนถึงบัดนี้ ผ่านไปแล้ว 380 ปี ยังไม่มีรัฐบาลใดดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง
พรรคคลองไทย ต้องการเข้าไปผลักดันนโยบายนี้ในสภาฯ
มั่นใจว่าโครงการขุดคลองเชื่อมทะเล 2 ฝั่ง ผ่านพื้นที่จังหวัดกระบี่ ตรัง นครศรี-ธรรมราช พัทลุง สงขลา เกิดขึ้นสำเร็จเป็นรูปธรรม
ประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งใหม่ของโลก การส่งออกจะพุ่งกระฉูด การท่องเที่ยวจะเฟื่องฟู
เศรษฐกิจไทยจะเติบโตก้าวกระโดด เห็นทันตา
สรุปว่า “พรรคคลองไทย” ตั้งขึ้นมาเพื่อผลักดันนโยบายขุดคลองใหม่โดยตรง
ทั้งๆที่โครงการนี้เป็นโครงการเก่าค้างสต๊อกมานานเต็มที
น่าสังเกตว่าในยุครัฐบาล คสช.มีกลุ่มเคลื่อนไหวสนับสนุนโครงการขุดคลองเชื่อม 2 ฝั่งทะเลกันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
แต่ติดอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ หน.คสช.ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้
และจะไม่อนุมัติให้มีการขุดคลองลัดเชื่อม 2 ฝั่งทะเล ทุกกรณี
“แม่ลูกจันทร์” สรุปย่อๆว่าโครงการนี้จะใช้งบลงทุนราว 2 ล้านล้านบาท ขุดคลองยักษ์ ขนาดกว้าง 400 เมตร ลึกไม่ต่ำกว่า 30 เมตร ตัดผ่าน 5 จังหวัดภาคใต้ ระยะทางยาว 135 กม.
เพื่อให้เรือสินค้าขนาดใหญ่ใช้คลองนี้เป็นทางลัด ไม่ต้องอ้อมช่องแคบมะละกา ช่วยลดเวลาเดินทางจากเอเชียไปยุโรปได้อีก 2 วัน
ดินจำนวนมหาศาลที่เกิดจากการ ขุดคลอง จะนำไปถมสร้างเป็นเกาะขนาด 1 แสนไร่ ด้านฝั่งอ่าวไทย เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวครบวงจร
ส่วนพื้นที่ทั้ง 2 ฟากฝั่งคลองจะพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรมใหญ่ เพื่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีก 2 ล้านคน
คาดว่ารายได้จากเรือสินค้าที่ผ่านคลอง จะเป็นเงินราว 1.5 แสนล้านบาทต่อปี
โดยมีกลุ่มทุนยักษ์จากจีนพร้อมอัดฉีดงบลงทุนทันที...
ถ้าหากรัฐบาลไทยเปิดไฟเขียวให้ดำเนินการ
“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่า โครงการขุดคลองยักษ์เชื่อม 2 ฝั่งทะเลภาคใต้ มีความเป็นไปได้ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์
ยกเว้น...ถ้า “พรรคคลองไทย”... สามารถกวาด ส.ส.เข้าสภาฯได้เกิน 100 คน
โอกาสผลักดันโครงการขุดคลองยักษ์ อาจมีความเป็นไปได้ซัก 20 เปอร์เซ็นต์
แต่ถ้าพรรคคลองไทยได้ ส.ส.ไม่ถึง 20 คน ยังมีโอกาสได้ร่วมรัฐบาล
และอาจได้โควตารัฐมนตรีแถมอีก 1 คน
แต่โครงการขุดคลองเชื่อม 2 ฝั่งทะเล คงต้องเก็บเข้ากรุต่อไป
เพราะเรื่องมันไม่ง่าย...อย่างที่ฉายหนังโฆษณา.
“แม่ลูกจันทร์”

โทษคนอื่นยิ่งเข้าเนื้อ

โทษคนอื่นยิ่งเข้าเนื้อ



โชว์ฟอร์มเตะตา ขึ้นชั้น “มวยหลัก” ของ “นายใหญ่” ตั้งแต่เริ่มเลย
กับช็อตที่นายนคร มาฉิม อดีตผู้แทนฯเมืองพิษณุโลก ว่าที่ลูกแถวพรรคเพื่อไทยคนใหม่แสดงอาการ “สำนึกบาป”
ย้อนอดีตฟื้นความหลัง เปิดปฏิบัติการแฉขบวนการ “สมคบคิด”
โค่นล้มรัฐบาลสองพี่น้องตระกูลชิน ทั้งอดีตนายกฯทักษิณและอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
โดยตัวการสำคัญก็คือค่ายประชาธิปัตย์ ต้นสังกัดเก่าของนายนครเอง
เล่นเอาคนยี่ห้อประชาธิปัตย์เกิดอาการ “ดิ้นพล่าน” นั่งไม่ติดกันทั้งพรรค รุ่นใหญ่รุ่นเล็กดาหน้าออกมารุมถล่มนายนครผู้ทรยศแปรพักตร์ ถึงขั้นจะลากขึ้นโรงขึ้นศาลเอาผิดทางกฎหมาย
กลายเป็นฝ่ายที่เจ็บตัวสุดจากเรื่องเก่าเล่าใหม่ อดีตคนในค่ายออกมาตอกย้ำประจาน
คน ปชป.พังบ้านประชาธิปัตย์ ผลงานประเดิมโชว์ “นายใหญ่”
และไม่ใช่แค่นายนครเท่านั้นที่พังบ้านเก่าเข้าบ้านใหม่ ตามข่าวที่ปรากฏตามสื่อยังมีชื่อของ “เสี่ยอ๊อด” นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไปโผล่อยู่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในห้วงเบิร์ธเดย์ “นายใหญ่” เปิดดีลเข้าร่วมพรรคเพื่อไทย
พิจิตร พิษณุโลก “นายใหญ่” บวกเพิ่ม “ตัวเก๋า” ภาคเหนือตอนล่าง
กลบตัวเลขที่หายไปจากอาการเลือดไหลในภาคอีสาน
และตามฟอร์มก็อย่างที่เห็นลีลา ถ้าเป็นอดีต ส.ส.ที่ออกจากพรรคเพื่อไทยไปเข้าค่ายพลังประชารัฐ
โดน “นายใหญ่” กับลูกหาบตามด่าไล่หลังว่าถูกดูด ไม่มีอุดมการณ์
แต่พอดูดคนอื่นไหลเข้าพรรคเพื่อไทย กลับได้รับการอวยเพราะศรัทธาในประชาธิปไตย
อารมณ์แบบที่ “เสี่ยเต้น” นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำพรรคเพื่อไทยสายเสื้อแดง นปช. รีบออกมา “ยกหาง” นายนครทันที ชื่นชมผลงานการตอกย้ำคนประชาธิปัตย์คือไส้ศึกฝ่ายเผด็จการ
โชว์เหลี่ยมการตลาดนำการเมืองอย่างเป็นระบบ “ครบวงจร”
เรื่องของเรื่องกรณีของนายนคร ถ้าย้อนไปดูข้อมูลจริงๆเจ้าตัวออกจากประชาธิปัตย์มาสังกัดพรรคชาติพัฒนาตั้งแต่ปลายปี 2556 ห้วงที่การเลือกตั้งเป็นโมฆะแล้ว และแสดงท่าทีเปิดหน้าโซ้ยกับทหาร คสช.มาตลอดในการลุยแฉทุจริตโครงการขุดลอกบึงในจังหวัดพิษณุโลกร่วมกับทีมงานเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย
ช็อตนี้ก็แค่ย้ำ “แผลเป็น” ให้ประชาธิปัตย์สะดุ้งทุกที
ที่เซอร์ไพรส์ก็คือคิวของนายประดิษฐ์ที่เงียบมาพักใหญ่หลังหลบไปบวชที่วัดป่าในจังหวัดเชียงราย หลายฝ่ายนึกว่าจะวางมือ แต่โผล่อีกทีไปป้วนเปี้ยนที่ลอนดอนห้วงวันเกิด “นายใหญ่”
ในจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อ “ทักษิณ” กำลังมีปัญหาเรื่องท่อน้ำเลี้ยงโดนบล็อกหมด
“เสี่ยอ๊อด” จึงอยู่ในโหมดถูกจับตาเป็น “หัวจ่าย” ใหม่
แต่เช็กข้อมูลวงการนักเลือกตั้งขาใหญ่ วันนี้ “เสี่ยอ๊อด” ก็ไม่ได้จัดอยู่ในข่าย “หน้าตักหนา” สักเท่าไหร่
ประเมินตามแนวโน้มเงื่อนไขสถานการณ์การเมืองห้วงเปลี่ยนผ่าน เซียนเขี้ยวการเมืองส่วนใหญ่มองตรงกัน ในบรรยากาศที่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนเลือกตั้ง
อยู่ฝั่งไหนก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊า แตะมือ “เหยียบตีน” กันเล่น ต่างฝ่ายต่างไม่เข้าเนื้อดีกว่า
ในมุมนี้ “เสี่ยอ๊อด” ก็คงหวังกินบุญเก่ายี่ห้อ “ทักษิณ” เกาะขบวนเข้าป้าย
ภายใต้โจทย์ยากๆ “นายใหญ่” ยังต้องคิดหนัก จะสู้จริงจังแค่ไหน
แต่ที่ลำบากยิ่งกว่าก็คือคนยี่ห้อประชาธิปัตย์จะกู้สถานการณ์ยังไง ถูกอดีตคนกันเองพังบ้านยับเยิน
โดยอาการคิดอะไรไม่ออกบอกไม่ถูก นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค ก็โทษรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกฯหัวหน้า คสช. ทำเสียของ เพราะคิดสืบทอดอำนาจ ไปดูด ส.ส.เพื่อไทยทำให้ความน่าเชื่อถือหมดลง
ทำให้ผลสวิงกลับมาอยู่กับฝ่ายยึดอำนาจ
เตะลูกกลับไปเข้าเหลี่ยม “ทักษิณ” ได้โอกาสกลับมายึดประเทศรอบใหม่
แต่พูดไปก็ “เข้าเนื้อ” คนกันเอง เจ็บแปลบๆแสบลึกๆ
ในเมื่อภาพมันฟ้องอยู่หลัดๆ ประชาธิปัตย์ได้รับโอกาสเต็มๆมาแล้ว กับการตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร อุ้ม “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ขึ้นเป็นนายกฯ ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ก่อนปล่อยเลือกตั้งแพ้ “ทักษิณ” ยับเยิน
นั่นต่างหากที่ชัดเจนว่าทำ “เสียของ”
อะไรไม่ว่า มาถึงตรงนี้ ประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของ “เดอะมาร์ค” ก็ยังออกอาการยึกยัก ทำท่าจะขี่คอทหารกลับมาคุมอำนาจเป็นใหญ่ ส่อพฤติการณ์ให้ฝ่ายคุมเกมไม่ไว้วางใจ
ต้องตั้งค่าย “พลังประชารัฐ” มาเป็นฐานส่วนตัวของ “นายกฯลุงตู่”
เบียดประชาธิปัตย์รูดไปอยู่อันดับสามตามโพล นับวันยิ่งลุ้นไม่ขึ้น
เสียงต่อรองขอเกาะขบวน “ลุงตู่” เบาลงทุกที.
ทีมข่าวการเมือง

ผ่าอนาคตการเมืองหัวเลี้ยวหัวต่อคนเสื้อแดง : สถานการณ์เป็นตัวกำหนด

ผ่าอนาคตการเมืองหัวเลี้ยวหัวต่อคนเสื้อแดง : สถานการณ์เป็นตัวกำหนด



ปิดฉากงานฉลองเบิร์ธเดย์ 69 ปี “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี นับจากวันนี้จะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อต้องจับตาดู
ภายใต้สถานการณ์พรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญหน้า 3 เรื่องใหญ่ คือ ประเด็นแรก “การนำของพรรค” ก่อให้เกิดปัญหาภายใน และการนำเคลื่อนไหวทางการเมืองขาดประสิทธิภาพ
ประเด็นที่สอง “ระบบพรรค” จะต้องรีบจัดระบบพรรคโดยเร็วที่สุด ทั้งการบริหารพรรค การวางตัวผู้สมัคร ส.ส. การรับสมัครสมาชิกพรรค
โดยเฉพาะการไม่มีคณะกรรมการกลั่นกรองรับข้อมูลจากพื้นที่ ทำให้นักการเมืองหลายคนในพรรคมองว่า ก่อให้เกิดปัญหาการย้ายพรรคหรือออกจากพรรค
เช่น ในภาคอีสานเดิมมี ส.ส.126 ที่นั่ง การเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เหลือแค่ 116 ที่นั่ง ลดลง 10 ที่นั่ง ทำให้เกิดปัญหาแย่งชิงลงสมัคร ส.ส.อย่างน้อย 10 จังหวัดแน่นอน
ขณะนี้เกิดปัญหาในการบริหารจัดการคัดเลือกผู้สมัคร ก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่าง “สุพล ฟองงาม” อดีต ส.ส.อุบลราชธานี กับ “เกรียง กัลป์ตินันท์” รักษาการรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
โดยผู้ใหญ่ในพรรคมอบหมายให้ “เกรียง กัลป์ตินันท์” ดูแลพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร อาจกินพื้นที่ไปถึงศรีสะเกษ เป็นการสั่งการโดยบุคคล ไม่มีระบบพรรครองรับ ทำให้เกิดปัญหาตามมาทันที
ยิ่ง “สุพล ฟองงาม” เคยอธิบายเหตุผลเอาไว้ชัดเจนทำนองว่า กลัวไม่ได้รับเกียรติให้ลงสมัคร ส.ส. และต้องการผลักดัน “สุทธิชัย เจริญเนตร” แม้สอบตกครั้งที่แล้ว ส่งลงสมัคร ส.ส.เพื่อแก้มือ
แต่ “กลุ่มเกรียง” ปฏิเสธและเสนอให้ผู้ใหญ่ในพรรคว่าต้องการสนับสนุนคนในกลุ่มของตัวเองเท่านั้น
เป็นอีกเหตุผลทำให้ “สุพล ฟองงาม” ตัดสินใจอาจตีจากพรรคเพื่อไทย
หรือกรณีในบางจังหวัดต้องการเอาอดีต ส.ส.ในพื้นที่เดิมขยับไปลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และต้องการเอาอดีต ส.ส.อีกคนมาเสียบลงแทน แต่ทางผู้ใหญ่ในพรรคยังทำท่าแทงกั๊ก ไม่ตัดสินเด็ดขาด
เจ้าของพื้นที่เดิมย่อมดิ้นสู้ เพราะตอนนี้ในพรรคประเมินกันเอาไว้ว่าตามกติกาบัตรเลือกตั้งใบเดียว ทุกคะแนนมีความหมาย ถ้าลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับเกิน 20 มีโอกาสสูงมากที่จะอดเป็น ส.ส.
ยังไม่รวมบทบาทของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะปล่อยให้ถูกดูด หรือแยกไปตั้งพรรคใหม่ หรือทิ้งระยะห่างให้พอเหมาะพอควรกับพรรคเพื่อไทย ไม่ตกเป็นเป้าของฝ่ายคุมเกม ท่าทีของ นปช.และคนเสื้อแดงนับจากนี้ไปจะเคลื่อนไหวอย่างไร
นายนิสิต สินธุไพร ผู้อำนวยการโรงเรียน นปช. บอกกับ ทีมข่าวการเมือง ว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อาจจะมั่นใจว่าชนะการเลือกตั้ง
เพราะพรรคเพื่อไทยเคลื่อนไหวไม่สะดวก ยิ่งเคลื่อนก็ตกเป็นเป้า กติกาต่างๆสกัดนายทักษิณ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เข้าประเทศได้ยากขึ้น แถมตอกหมุดผ่านเงื่อนไขทางกฎหมายให้คนเสื้อแดงหมอบหมด ทำให้การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงไม่คึกคัก และเปิดให้บางกลุ่มการเมืองดูดได้เต็มที่
พฤติการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การแปรเปลี่ยนเป็นคะแนน กระแสไม่เอาทหารในพื้นที่แรงมาก อาจจะแรงกว่าการเลือกตั้งปี 2554 ด้วยซ้ำ
ขอให้พรรคเพื่อไทยอย่าไปกลัวทหารมากนัก ไม่มีอะไรหรอก คสช.ก็รู้ว่าตามปกติพรรคการเมืองมีการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ เริ่มเคลื่อนไหวเบาๆ หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.จะลงเลือกตั้ง แต่เขาก็ปล่อย ไม่ทำอะไร
และจากที่เราได้คุยในวงเล็กๆพบว่า พรรคเพื่อไทยไร้ขวัญกำลังใจ เพราะปล่อยให้นักการเมืองต่อสู้โดยลำพัง ขวัญกำลังใจไม่ใช่ต้องเอาเงินเอาทองไปให้ ขอแค่เปิดให้มีกระบวนการพูดคุย สื่อสารถึงกันอย่างสม่ำเสมอ
และพรรคจะต้องขยับเขยื้อนการเคลื่อนไหวทางพื้นที่ ให้นักการเมืองขยับเขยื้อนในพื้นที่กับมวลชนและฐานเสียง เพื่อดูดซับข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายประชารัฐ นโยบายไทยนิยมยั่งยืน นำมาประเมินเป็นระบบส่งข้อมูลแต่ละเขตให้พรรคว่า นโยบายของรัฐบาลเป็นอย่างไร ก่อนทำการบ้านสรุปเป็นเอกสารเป็นรายเขตเลือกตั้ง ตอนนี้นักการเมืองต่างลงพื้นที่ เพื่อตรึงสถานการณ์ในพื้นที่เอาไว้
ในส่วนของ นปช.ที่เจอกับแรงดูด เท่าที่พูดคุยมองเป็นเพียงแค่ภาพการปั่นข่าว แต่ในแง่ของมวลชนคนเสื้อแดงไม่หวั่นไหว ทุกคนมีประสบการณ์และสรุปบทเรียนมาแล้ว มีวุฒิภาวะทาง การเมืองสูง เจอข่าวลือก็ไม่กระโตกกระตาก
เช่น กรณีนายภิรมย์ พลวิเศษ อดีต ส.ส.นครราชสีมา หนึ่งในกลุ่มสามมิตร ประสานนายเทพพนม นามดี แกนนำ นปช.จังหวัดสุรินทร์ ไปอยู่ด้วย เจ้าตัวได้มาขออนุญาตว่าจะไปก็ไม่ได้ห้ามอะไร และแกนนำ นปช.จังหวัดสุรินทร์ก็มีประมาณ 10 แกนนำ ไม่ได้มีเฉพาะนายเทพพนม
ขณะเดียวกันกลุ่ม นปช.ก็ได้ประเมินสถานการณ์การเมืองเป็นระยะๆ แล้วส่งข้อมูลเข้าไลน์กลุ่มว่า
สถานการณ์การเมืองของ นปช.ยังสงบนิ่งอย่างมั่นคงแข็งแรงไม่แปรเปลี่ยน
และสถานการณ์การเมืองของประชาชนก็ตัดใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
คสช.รู้ดีว่าสถานการณ์การเลือกตั้งไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทหารจะชนะ
แต่พวกเขาก็ต้องเดินหน้าดูดนักการเมืองต่อไป สุดท้ายเชื่อว่าจะมีนักการเมืองย้ายพรรคน้อยมาก เพราะปัญหาของพรรคพลังประชารัฐ กลุ่มสามมิตรและ คสช. ยิ่งเคลื่อนไหวหนักยิ่งไม่เป็นคะแนน วันนี้ประชาชนเห็นชัดเจนเป็นการเคลื่อนไหวชักชวนนักการเมืองเข้าพรรค โดยไม่มีนโยบายอะไรที่เป็นประโยชน์ เป็นความหวังของประชาชน
ยิ่งเพิ่มพลังดูดยิ่งเละเทะไปใหญ่ ถูกตีความเอาคดีไปแลก เอาเงินไปซื้อยิ่งหนัก
ล่าสุดเห็น พล.อ.ประยุทธ์ไม่กล้าทักทายนักการเมืองระหว่างไปรอรับช่วงประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.อุบลราชธานี อาจมองได้ว่าหากทักแล้วท่านจะเสียหาย จึงวางตัวอยู่ห่างๆ
สะท้อนให้เห็นว่ากระแสการเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตร พรรคพลังประชารัฐ และ คสช.มันไปไม่ได้ กระแสลบสุดๆ ทำให้คะแนนความนิยมของพรรคเพื่อไทยยังนำอยู่
ฝ่ายยุทธศาสตร์ทหารก็ปวดหัวในเรื่องนี้ ปัญหาการเลือกตั้งที่มันล่าช้า เพราะฝ่ายกุมอำนาจไม่พร้อม คำว่าไม่พร้อมหมายถึงหลังการเลือกตั้งอาจจะไม่ชนะพรรค การเมืองใดก็ได้ถ้าไม่ใช่พรรคเพื่อไทยรวมเสียงแล้วก็ไม่ถึง 250 ที่นั่งขึ้นไป ถ้าเป็นเช่นนี้หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ยกมือให้ การจัดตั้งรัฐบาลก็กลายเป็นปัญหาใหญ่
ทีมข่าวการเมือง ถามว่า นปช.และพรรคเพื่อไทยจะเดินการเมืองร่วมกันอย่างไร นายนิสิต บอกว่า ระยะหลังเริ่มมีระยะห่างพอสมควร เพราะแกนนำ นปช.ติดคดีเข้าคุกหลายคน พรรคเพื่อไทยก็เป็นเป้าตกอยู่ในอันตราย
สุดท้ายเชื่อว่าคนของ นปช.จะลงเลือกตั้งน้อย ส่วนใหญ่ไม่มีอนาคตที่จะลงเลือกตั้งได้ ฉะนั้น นปช.จะต้องจัดทำนโยบายของกลุ่ม ปรับปรุงองค์กรภายในใหม่ เพื่อรักษา องค์กรของประชาชนเอาไว้
บทบาทในอนาคตอาจจะไม่เข้มข้น คึกคัก เพราะสถานการณ์การต่อสู้ของภาคประชาชนเปลี่ยนไป บนความผูกพันแน่นหนา มีการประสานงานกันอยู่ตลอด และยังสนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่เป็นแนวทางประชาธิปไตยเหมือนเดิม
แม้มีจำนวนหนึ่งแยกตัวไปสนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ เนื่องจากมองว่ามีแนวทางต่อต้านเผด็จการชัดเจนกว่าพรรคเพื่อไทย ในอนาคตถ้าพรรคเพื่อไทยมีแนวทางไม่เข้มข้น ชัดเจนกับการต่อต้านเผด็จการ เชื่อว่าจะเกิดการไหลตัวไปอยู่กับพรรคอนาคตใหม่มากขึ้น
แต่เพื่อไทยเป็นพรรคขนาดใหญ่ของฝ่ายประชาธิปไตย ก็จำเป็นต้องรักษาเอาไว้ แม้คนเสื้อแดงส่วนหนึ่งเห็นด้วยกับแนวทางของพรรคอนาคตใหม่ แต่มองว่าโอกาสจะมานำในการต่อสู้คงเป็นไปได้ยาก
ทั้งหมดตอกย้ำให้เห็นว่ากลุ่ม นปช.ไม่หวั่นไหวพลังดูด หรือการใช้อำนาจของ คสช. นายนิสิต บอกว่า คนเสื้อแดงฉลาดมากขึ้น ไม่สะทกสะท้านกับเหตุการณ์การเมือง ทั้งกรณีนายกฯยิ่งลักษณ์ติดคุกก็ช็อกแบบเสียใจ หรือมีคนแต่งกายคล้ายทหารไปคุกคามที่บ้านตลอด 3-4 ปี ก็กลายเป็นความชินชาและดื้อยา
สุดท้ายจะรอแสดงออกอย่างทรงพลังในสนามทางการเมือง ซึ่งเป็นสนามที่เล่นแล้วไม่เป็นอันตราย
การชุมนุมไม่ใช่สนามของคนเสื้อแดง เพราะอันตราย
มีสนามเดียวที่เราชนะแน่นอน คือ สนามเลือกตั้ง.
ทีมการเมือง