PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

ประมวลข่าว27/3/56


@@"ทักษิณ"สไกป์ขู่ส.ส.ทำสภาฯล่มถูกเชิญมาพบแน่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมพรรคเพื่อไทยวานนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สไกป์เข้ามาในที่ประชุมพรรค ใช้เวลาสั้นๆไม่ถึง 10 นาที จนส.ส.ตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะเป็นผลมาจากการที่กลุ่ม 40 ส.ว.ขู่จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกรณีพ.ต.ท.ทักษิณสไกป์เข้ามาในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณต้อง
ระมัดระวังในการพูดมากขึ้น

โดยการสไกป์ของพ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณได้กำชับให้ส.ส.ไปอ่านร่างพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทให้เข้าใจ จะได้ช่วยชี้แจงในสภาฯ เชื่อว่า หลังจากนี้ การเมืองจะร้อนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทั้งในสภาและนอกสภาฯ จึงขอให้ส.ส.ช่วยกันเข้าร่วมประชุมสภาฯ อย่าให้สภาฯ ล่มอีก ให้ช่วยกันประคับประคองรัฐบาลให้ผ่านไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงคนที่เป็นกรรมาธิการต่างๆก็ต้องมาร่วมประชุมด้วย อย่าให้องค์ประชุมขาดเป็นอันขาด ใครเป็นสาเหตุให้องค์ประชุมล่ม ต้องมีมาตรการดำเนินการ ถ้าเป็นส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ มีคนต่อคิวอีกมาก ก็ให้เปลี่ยนคนอื่นมาทำหน้าที่แทน เพราะเป็นมาจะ 2 ปีแล้ว ส่วนส.ส.เขต ถ้าไม่ลงพื้นที่แล้วยังขาดประชุมอีก ก็ต้องเปลี่ยนตัว มีคนรอเสียบอีกเยอะ ทั้งนี้ถ้าการพิจารณาเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท และการแก้รัฐธรรมนูญเกิดเหตุสภาฯ ล่มอีก จะเชิญส.ส.ที่ไม่อยู่ประชุมมาพบ ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์เล่นการเมืองอย่างเดียว ไม่ช่วยทำงานพัฒนาประเทศ ดังนั้นต้องไม่ทำอะไรให้เข้าทางพรรคนั้น ส่วนที่กลุ่ม 40 ส.ว.จะไปร้องศาลรัฐธรรมนูญเรื่องที่ตนสไกป์นั้น ก็ปล่อยไป เพราะพวกเขาคงไม่มีอะไรทำ

@@สมศักดิ์มั่นใจสภาถกพรบ.เงินกู้ไม่ล่ม

นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลในวันที่ 28-29 ม.ค.ว่า การดูแลการประชุมจะเป็นไปตามปกติ
และเชื่อว่าบรรยากาศน่าจะดีเพราะทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ แม้ว่าส.ส.รัฐบาลจะมีการเตรียมประเด็นพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องโครงการไทยเข้มแข็งและมิยาซาว่า แต่ทุกอย่างก็ต้องอยู่ภายใต้
ข้อบังคับการประชุม ซึ่งตนเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาหากทุกฝ่ายยึดข้อบังคับ และคัดค้านด้วยเหตุผล อภิปรายอย่างสร้างสรรค์ และเห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาเรื่ององค์ประชุมไม่ครบ เหมือนที่เกิดขึ้นใน
สัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากเป็นญัตติสำคัญเช่นเดียวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราที่จะมีขึ้นในวันที่ 1-2 เม.ย. โดยสาเหตุที่มั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาองค์ประชุมไม่ได้เป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
สไกป์ผ่านที่ประชุมส.ส.พรรคเพื่อไทยกำชับให้ร่วมประชุมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาองค์ประชุมไม่ครบแต่เรื่องนี้เป็นหน้าที่ที่ส.ส.ทุกคนต้องมีความรับผิดชอบอยู่แล้ว ที่ผ่านมาวาระที่ไม่สำคัญอาจมีปัญหาบ้างแต่ถ้าเทียบกับสภาสมัยที่แล้วก็ถือว่าเป็นหนังคนละเรื่อง

ส่วนร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทนั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้ดูรายละเอียด แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าออกเป็นพระราชกำหนด ส่วนที่ไม่ได้ใช้ระบบงบประมาณปกติแต่ใช้การออกกฎหมายกู้เงิน
แทนเป็นการหลีกเลี่ยงระบบตรวจสอบหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องชี้แจงเอง และฝ่ายที่เห็นต่างก็ต้องฟังเหตุผลด้วย

@@"เฉลิม"ปัดตั้งวอร์รูม รับมือ พ.ร.บ.เงินกู้2

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงรายงานข่าวพรรคเพื่อไทยมีการตั้งวอร์รูมรับมือตอบโต้พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท โดยใช้ห้อง 3301 ที่รัฐสภา ว่า ไม่เป็นความจริง เป็นแต่เพียงตนพูดในพรรควานนี้(26มี.ค.) ซึ่งตนหายหน้าหายตาไป 3-4 ครั้ง ห้องที่เคยนั่งนั้นซ่อม ตนก็ต้องไปนั่งตรงนู้นตรงนี้ จึงบอกว่าเมื่อห้องเสร็จในช่วงวันที่ 28-29 มี.ค. ตนจะนั่งห้อง 3301 เท่านั้นเอง ไม่มีใครไปตั้งวอร์รูม และนายกฯ ท่านมีความมั่นใจและมีความพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะชี้แจง ที่เป็นข่าวออกมาเนื่องจากว่านายกฯได้มอบหมายตนเพราะหากมีคนบอกขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ก็บอกว่าถึงว่านั้นรองฯเฉลิม ช่วยชี้แจงหน่อย แต่หลักกการนั้นท่านนายกฯ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม รับผิดชอบ ไม่มีอะไร และตนก็วิเคาระห์ว่ากฎหายฉบับนี้ผ่านด้วยความเรียบร้อยฝ่ายค้านสุดท้ายต้องเห็นด้วย เป็นอื่นไม่ได้ ทั้งนี้ตนอ่านคำให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ขอชม ซึ่งพูดมา 3 ประเด็นก็ถูกหลัก เป็นฝ่ายค้านต้องวิเคราะแบบนี้

เมื่อถามว่ามีรายงานว่าจะมีการให้นายโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา ไปช่วยนั่งอยู่ในห้องที่ระบุว่าเป็นวอร์รูม ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่มีวานนี้นายโภคิน ก็นั่งอยู่ด้วย ทั้งนี้นายโภคิน มักเป็นผู้แทนของพรรคและนักการเมืองก็มักจะถามไถ่อยู่เรื่อย

ผู้สื่อข่าวถามถึงการที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐนตรี สไกป์มาในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยกำชับให้ส.ส.ทุกคน ไม่ให้ขาดประชุมสภา ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ท่านคงพูดเล่น ตนไม่ได้อยู่ในที่ประชุม

เมื่อถามว่าวันที่28-29 จะอยู่ที่สภาทั้งสองวันหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า อยู่สิ ปกติก็ประจำอยู่แล้ว แต่เข่าตนไม่ค่อยดีตอนลงคะแนนตอนลงคะแนนไม่ได้วิ่งขึ้นวิ่งลง ซึ่งตนอยู่สภาประจำถึงร้อยละ 95 ไม่ได้ไปไหน ชอบตั้งแต่เด็ก โตมาได้เพราะสภา นักข่าวก็เขียนไม่ใช่เหรอไปทะเลเจอฉลาม มาสภาเจอเฉลิม

@@76 ส.ว. - ส.ส. เตรียมยื่นปธ.สอบพรบ.ขัดรธน.ม.169 

76 ส.ว. - ส.ส. เตรียมยื่น ประธานรัฐสภา ส่งศาลรัฐธรรมนูญ ตีความร่าง พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พรุ่งนี้ ชี้ ขัด ม.169 และ ม.75

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สายสรรหา และ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันรวบรวมรายชื่อสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 76 คน เพื่อเตรียมยื่นต่อ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่า ร่าง พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.นี้ ที่ผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภานั้น ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 และาตรา 75

นอกจากนี้ยังเปิดช่องให้การดำเนินการโครงการต่างๆ โดยใช้เงินของรัฐเป็นไปอย่างง่ายดาย สามารถเลี่ยงการประมูลได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเชื่อว่าร่างกฎหมายนี้ เป็นการรองรับการใช้จ่ายเงินกู้ 2 ล้านล้าน ของรัฐบาล ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นหากศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณาและวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ ก็จะทำให้การใช้จ่ายเงินกู้ 2 ล้านล้าน ทำได้ลำบากขึ้น และอาจไม่ผ่านการพิจารณาของวุฒิสภา

@@ระดม๓กองร้อยรับมือป่วนพรบ.กู้

นครบาล เตรียมกำลัง 3 กองร้อย ดูแลประชุมร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน พบมีเพียงกลุ่มสนับสนุนรวมตัว ยันไม่มีเหตุป่วน

พล.ต.ต.วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงการเตรียมมาตรการรักษาความสงบเรียบร้อย บริเวณรัฐสภา ประชุมสภาร่างพระราชบัญญัติ กู้เงิน
2 ล้านล้านบาท ว่าจากการประเมินสถานการณ์เบื้องต้นพบว่า จะมีกลุ่มผู้ชุมนุมฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล มารวมตัวเพียงกลุ่มเดียว แต่ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด ส่วนฝ่ายต่อต้านและกลุ่มอื่นๆ นั้น ยังไม่
มีรายงานข่าวเข้ามาว่าจะมารวมตัวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้เตรียมกำลังควบคุมฝูงชนไว้ดูแล จำนวน 3 กองร้อย เพื่อดูแลความสงบในพื้นที่ ส่วนการข่าวเรื่อง

เหตุป่วนหรือเหตุรุนแรงนั้นยังไม่มีการแจ้งเข้ามาเชื่อว่าน่าจะเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย
////////////
@@สมศักดิ์ยันแก้รธน.ไม่บานปลายเมษาเดือด

นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราว่า ไม่น่าจะทำให้เกิดบรรยากาศที่ทำให้เดือนเม.ย.เป็นเดือนเดือดทางการเมือง เพราะ
สาระที่แก้ไม่มีอะไรมากจึงไม่น่าจะส่งผลอะไร ไม่ว่าจะเป็นประเด็น 190 หรือ 237 แต่ที่อาจจะมีการมองต่างมุมก็คือมาตรา 68 และเรื่องของ ส.ว. และการลงชื่อเพื่อยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญราย
มาตราครั้งนี้ก็ไม่มีใครถูกหลอกให้ร่วมลงชื่อ เพราะทุกคนมีวุฒิภาวะและมีความคิดเป็นของตัวเอง การยื่นแก้ไขมาตรา 68 ก็ไม่ใช่การยัดไส้เข้ามาแต่เป็นสิทธิของสมาชิก และการปิดช่องทางไม่ให้
ประชาชนยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้นก็ไม่ใช่การตัดสิทธิของประชาชน เนื่องจากยังมีสิทธิยื่นต่ออัยการสูงสุดได้ จึงไม่ใช่การปูทางที่จะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่ค้างการพิจารณา

วาระสามในรัฐสภาเพราะเรื่องนี้เป็นแนวทางที่เขาจะทำอยู่แล้ว ดังนั้นอะไรที่เป็นเรื่องถูกต้องตามรัฐธรรมนูญก็สามารถทำได้ แต่ถ้าไม่ถูกต้องก็ทำไม่ได้
อย่างไรก็ตามการแก้ไขมาตรา 68 เป็นปัญหาเล็กน้อยไม่ใช่สาระสำคัญที่จะทำให้เกิดปัญหาการเดินขบวน เพราะประเด็นนี้ตนไม่คิดว่าเป็นการตัดสิทธิประชาชนเป็นเพียงขั้นตอนการตรวจสอบเท่า

นั้น คือแทนที่จะให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งรับเรื่องเอง ตรวจสอบเอง ชงเอง กินเอง สอบเอง คงไม่ได้ ต้องมีการคานอำนาจ เป็นเรื่องการคานอำนาจไม่ใช่การตัดสิทธิประชาชน

เพราะยังมีสิทธิยื่นได้ตลอดเหมือนเดิมผ่านอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นการถ่วงดุลดีกว่าจะให้องค์กรเดียวไปรับผิดชอบทุกเรื่อง เพราะจะยิ่งไปกันใหญ่

เมื่อถามว่าหากเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 50 หากประชาชนพบปัญหาการล้มล้างรัฐธรรมนูญหรือล้มการปกครองสามารถที่จะยื่นได้สองช่องทางคือ อัยการสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อแก้ไข
แล้วจะทำให้เหลือเพียงช่องทางเดียวคือยื่นต่ออัยการสูงสุดจะถือเป็นการมัดมือชกประชาชนหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าว
คงทำไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นการคานอำนาจ

เมื่อถามว่าจะเกิดปัญหาอัยการสูงสุดดองเรื่องจนไม่มีการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า เชื่อในการคานอำนาจ


@@"นิคม"ประธานวิปรัฐสภา เรียก วิป 3 ฝ่าย ถกอภิปรายแก้รธน.พรุ่งนี้

นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภาและประธานวิปรัฐสภา เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตั้งตนเองเป็นประธานวิป 3 ฝ่าย หรือ วิปรัฐสภา เพื่อหาข้อยุติในการ

ประชุมร่วมให้กับ ทั้ง 3 ฝ่าย คือ วิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าน และวิปวุฒิสภา เพราะแต่ละวิปมีจำนวนที่เท่ากันคือ ฝ่ายละ 6 คน อาจมีการโต้เถียง หรือ จำนวนเสียงเท่ากันได้ โดยในวันพรุ่งนี้จะมีการ

ประชุมกับวิปทั้ง 3 ฝ่าย ในเวลา 14.00 น. เพื่อกำหนดจำนวนวันและเวลาในการอภิปรายแก้ไขรัฐธรรมนูญ  คาดว่า ในวันประชุมจริง จะใช้เวลา 10 -12 ชั่วโมง ในการพิจารณาและเริ่ม ในเวลา 10.00

-22.00 น.

นอกจากนี้ นายนิคม ยังกล่าวถึงรายละเอียดของการแก้รัฐธรรมนูญว่า จะแบ่งออกเป็น 3 วาระ  โดยในการรับหลักการที่ 1 จะไม่ใช้เสียงส่วนใหญ่ แต่จะเป็นการขานชื่อ เพื่อให้เสียงผ่านเกินกึ่งหนึ่ง

ด้านวาระที่ 2 จะใช้เสียงส่วนใหญ่ แล้วเว้นไว้ 15 วัน แล้วจึงมาลงวาระที่ 3 โดยการขานชื่อ  โดยยืนยัน จะต้องกรรมาธิการ หลังรับหลักการวาระที่ 1 เรียบร้อยแล้ว

@@ปชป.ยันขวางรัฐแก้ ม.68เตือนดึงดันระวังสภาล่ม

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา และทีมกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ยืนยันทางพรรคเห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ แต่เมื่อมีการแก้แล้ว อำนาจของรัฐต้องลดลง

อำนาจของประชาชนต้องเพิ่มขึ้น เพราะเจตนารมณ์ของรัฐบาลในขณะนี้ ต้องการแก้มาตรา 68 ที่อาจทำให้ระบบล่มได้ เพราะหากไปยื่นผ่านอัยการสูงสุดแล้ว มีการเพิกเฉย ไม่นำเรื่องไปส่งต่อศาล

รัฐธรรมนูญ ก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้ แม้ศาลจะรับทราบว่ามีพฤติกรรมล้มล้างทั้งฉบับก็ตาม อีกทั้ง การแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราในครั้งนี้ อาจมีการแอบโหวตวาระ 3 ที่ค้างอยู่ เพื่อตั้ง สสร. ได้ โดยใน

เรื่องนี้ ทางพรรคได้เตรียมข้อร้องเรียน และแนววินิจฉัยเดิม ไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญ แต่ขอปรึกษากับผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าวก่อน ส่วนเรื่องเวลาในการอภิปรายนั้น
ยืนยันว่าไม่เพียงพอ เพราะแต่ละคนมีข้อมูล

@@เลขาฯสมช.ปิดรายชื่อปชช.ร่วมคณะเจรจาบีอาร์เอ็น

วันนี้(27 มี.ค.56) พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงการเจรจากับตัวแทนของกลุ่มบีอาร์เอ็นในวันที่ 28 มี.ค.นี้ว่า สำหรับคณะที่จะเดินทางไปประเทศ

มาเลเซียทั้งหมด 15 คนนั้น ในส่วนของข้าราชการ ประกอบด้วยตน พล.ต.ท.สฤษฏ์ชัย เอนกเวียง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล, พล.ท.นิพัทธ์ ทองเล็ก รองปลัดกระทรวงกลาโหม, . พล.ต.นักรบ บุญ

บัวทอง รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พล.ท.สุรวัฒน์ บุตรวงษ์ รองผู้อำนวยการศูนย์ประสาน

งานข่าวกรอง สำนักข่าวกรองแห่งชาติ, ตัวแทนกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ, พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า

ขณะที่ภาคประชาสังคม และภาคประชาชนนั้นตัวแทนเหล่านี้ได้แจ้งความประสงค์เอาไว้ว่าไม่ต้องการเปิดเผยรายชื่อเพื่อความปลอดภัย จึงไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้

เลขาฯสมช.กล่าวว่า ทั้งนี้ รูปแบบการเจรจาบนโต๊ะยังไม่สามารถกำหนดหัวข้อและตัวบุคคลได้ เพราะต้องรอดูฝั่งตัวแทนของบีอาร์เอ็นก่อนว่ามีจำนวนเท่าใด และมีใครบนโต๊ะเจรจาบ้าง จึงจะ

กำหนดหัวข้อและตัวบุคคลเพื่อให้มีความสมดุลกันได้ ส่วนที่มีข่าวว่านายฮัสซัน ตอยิบ แสดงความไม่พอใจที่สมช.นำภาคประชาชนไปร่วมโต๊ะเจรจาในครั้งนี้นั้น เป็นเพียงกระแสข่าวที่ออกมาจาก

ฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับการเจรจาครั้งนี้ ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง แล้วการเดินทางไปในครั้งนี้ก็ยังนำภาคประชาสังคมและภาคประชาชนไปกับคณะด้วย ส่วนที่มีรายงานข่าวออกมาว่าบีอาร์เอ็นเตรียม

ยื่นข้อเสนอจำนวน 9 ข้อนั้น ก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน เป็นเพียงรายงานข่าวที่ปล่อยออกมาจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการเจรจา และเป็นกลุ่มที่มีความเห็นต่าง รวมทั้งการเจรจาครั้งนี้จะไม่มีการพูดคุย

เรื่องเขตปกครองพิเศษ การไปพูดคุยครั้งนี้เพื่อต้องการให้มีการลดสถิติการก่อเหตุลง

@@"เอกชัย" คาด กรอบเจรจากับกลุ่ม BRN เป็นการกำหนดโครงสร้างเจรจาเพื่ออนาคต ย้ำ กลุ่มประชาสังคมส่วนใหญ่เห็นด้วย

พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส  ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า เปิดเผยกับสำนัก ข่าว.ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่าการเตรียมการเจรจากับกลุ่ม BRN ในวันที่ 28 มีนาคมนี้ ตนยังไม่ทราบ

ถึงรายละเอียดของกรอบการเจรจาพูดคุย คาดว่าน่าจะเป็นไปตามที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วางไว้  คือตัวแทนหลักจากฝ่ายรัฐบาล 5 คน ซึ่งเป็นการ

พูดคุยกันในเรื่องของการวางโครงสร้างของกรอบแนวทางของการพูดคุยในอนาคต ส่วนรายละเอียดของการตั้งตัวแทนคณะเจรจา 15 คนของไทย ขณะนี้ยังไม่เปิดเผยชื่อว่า ใครบ้าง และไม่แน่นอน

ว่าเป็นการกำหนดรายชื่อแบบถาวร หรือมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งทางฝ่าย BRN นั้น ก็อาจมีการเพิ่ม หรือเปลี่ยนเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ พล.อ.เอกชัย ยังกล่าวเพิ่มว่า ปฏิกิริยาของภาคประชาสังคมต่าง ๆ และกลุ่มคนในพื้นที่มีเพียงบางกลุ่มที่ติดป้ายแสดงความไม่พอใจในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยและออกมาขับ

เคลื่อน โดยเสนอส่งตัวแทนของกลุ่มตนเข้าร่วมในการพูดคุยเจรจาทั้งนี้ ไม่ว่ากลุ่มผู้หญิง หรือ กลุ่มสภาประชาชน มีการเสนอประเด็นขอให้ลดความรุนแรงสำหรับผู้บริสุทธิ์ที่เป็นสตรีและเด็ก
ส่วนกลุ่มสภาประชาสังคมอื่นจะส่งตัวแทนคอยสังเกตการณ์ในขั้นต้น

@@ถวิล ยันคุยBRN ผิดขั้นตอน

นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ในฐานะอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า การที่จะพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็น ในวันพรุ่งนี้

เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่คิดว่าผิดขั้นตอน สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสีย เพราะมีการยกระดับ และให้ค่ากับกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลไทยมากเกินไป ทั้งนี้ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ กล่าวด้วย

ความเป็นห่วงว่า หากมีข้อเสนอที่ไม่อยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญไทย ทางรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร

นอกจากนี้ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่า ตนไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ คนปัจจุบัน หรือกับใครแต่อย่างใด แต่ติดตาม

ข่าวด้วยความเป็นห่วง พร้อมให้กำลังใจกับคณะพูดคุย

@@ยะลา ตรึงกำลังเข้มระวังคาร์บอมบ์วันเจรจาBRN

บรรยากาศทั่วไปในพื้นที่ จ.ยะลา ก่อนที่จะการพูดคุยสันติภาพที่เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย ในวันที่ 28 มีนาคม นี้ เพื่อเป็นการป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ทางเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ได้มีการแจ้งเตือนให้เฝ้าระวังสถานที่ราชการ ย่านชุมชนภายในเขตเทศบาลนครยะลา อย่างเข้มงวด เพราะกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ไม่เห็นด้วยกับการพูด

คุยสันติภาพ จะออกมาสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นได้ในช่วงนี้

ด้าน พล.ต.ต.พีระ บุญเลี้ยง ผบก.ภ.จว.ยะลา ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าระวังรถยนต์ รถจักรยานยนต์ต้องสงสัย ตามที่ได้มีแหล่งข่าวแจ้งเข้ามา ว่า เป็นรถที่กลุ่มคนร้ายได้ประกอบวัตถุระเบิด

และเตรียมนำเข้ามาก่อเหตุในเขตเทศบาลนครยะลา ดังนั้น เพื่อไม่ประมาท ได้สั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอด 24 ช.ม.

@@ศาลอ่านคำสั่ง ลุงคิม นปช.ตายจากโรคประจำตัว

ศาลอาญากรุงเทพใต้ อ่านคำสั่งในคดีที่พนักงานอัยการ ฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนการเสียชีวิตของ นายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง หรือ ลุงคิม อายุ 55 ปี แนวร่วม

ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ที่ถูกยิงเข้าที่หลังด้านซ้าย กระสุนทะลุไขสันหลังและปอดขวา กระสุนไปฝังที่สะบักขวา บาดเจ็บสาหัสและเป็นอัมพาต เหตุเกิดบริเวณหน้าโรง

รับจำนำ น่ำเลี้ยง ถนนพระราม 4 บ่อนไก่ ในช่วงกระชับวงล้อมผู้ชุมนุมเสื้อแดง เมื่อวันที่ 14 พ.ค.2553

โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายฐานุทัศน์ เสียชีวิตจากโรคปอดอักเสบ ระบบไหลเวียนโลหิต และการหายใจล้มเหลว ด้วยโรคมะเร็ง ที่ท่อน้ำดี ระยะลุกลาม ส่วนกระสุนที่ฝังอยู่บริเวณสะบักขวา ก็

ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตดังกล่าว เนื่องจากกระสุนที่ฝังอยู่ ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ดังนั้น การเสียชีวิตของ นายฐานุทัศน์ จึงไม่ใช่สาเหตุหลักมาจากการถูกยิง

@@"นพดล"เตรียมสู้ หลังปปช.ฟ้องศาลฎีกาเซ็นต์เขาวิหาร

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ชี้แจงข่าว ป.ป.ช. ยื่นฟ้องตนเองต่อศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงแหน่งทางการเมือง กรณี

เซ็นคำแถลงการณ์ร่วมโดยไม่ขอความเห็นชอบจากสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม มาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ในสมัยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรี

ว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยระบุว่า ความจริงในเรื่องดังกล่าว สำนักงานอัยการสูงสุด ไม่สั่งฟ้องตนเอง เพราะเห็นว่าไม่มีความผิด แต่ทาง ป.ป.ช. กลับขอตั้ง กรรมการร่วมที่มาจาก ป.ป.ช. 5

คน และสำนักงานอัยการสูงสุด 5 คน แต่กรรมการก็ไม่ฟ้องอีกเช่นกัน จนท้ายที่สุด ป.ป.ช. ตัดสินใจฟ้องเอง โดยจ้างทนายจากสภาทนายมาดำเนินการ  ซึ่งการฟ้องในประเด็นดังกล่าวไม่เกี่ยวกับ

เรื่องดินแดน แต่เป็นการกล่าวหาในประเด็นการลงนาม เพราะ กระทรวงการต่างประเทศ โดยผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายเห็นว่า คำแถลงการณ์ร่วมไม่เป็นหนังสือสัญญา และไม่มีบทบัญญัติเปลี่ยน

แปลงอาณาเขต จึงไม่ใช่หนังสือสัญญาตาม มาตรา 190 ของ รัฐธรรมนูญ ตนเองและรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช จึงไม่เอาเข้าสภา และส่วนตัวย้ำมาตลอดว่า คำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว คือ
เอกสารที่ทำขึ้นเพื่อปกป้องพื้นที่ทับซ้อนไม่ให้กัมพูชานำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก ทางกัมพูชา จึงยอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น จึงจะถือโอกาสนี้

นำความจริงไปเสนอต่อศาล เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศต่อไป
\

27 มี.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีมติเสียงข้างมาก 4 ต่อ 1 ประกาศรับรอง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแล้ว หลังชนะการเลือกตั้ง

ทั้งนี้ กกต.ระบุไม่สามารถสอบสวนคำร้องให้เสร็จภายใน 30 วันได้

@@"สุขุมพันธุ์"ทวิตขอบคุณ

ต่อมาเมื่อเวลา 17.30 น. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ @Sukhumbhandp ความว่า "กกต. มีมติ 4 ต่อ 1 รับรองผมเป็นผู้ว่าฯ กทม. แล้วครับ ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามข่าวและ

เป็นกำลังใจให้ผม ขอบคุณมากครับ"

@@คาด"สุขุมพันธุ์"เข้ากทม.ทำงานวันแรก29มี.ค.นี้

ทั้งนี้เมื่อเวลา 15.00 น. รายงานข่าวจากศาลาว่าการกทม.ว่า หากวันนี้ กกต.มีมติรับรอง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นผู้ว่าฯกทม. กำหนดการเบื้องต้นที่คาดว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะดำเนินการนั้น ในวันที่ 28

มี.ค.ที่ผ่านมา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะเดินทางไปรับหนังสือรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ จากนั้นในวันที่ 29 มี.ค. จะเข้าทำงานที่ศาลาว่าการกทม. โดยจะมาทำงานตามเวลาราชการ แต่อาจจะมาก่อน

เวลาทำงานเล็กน้อย เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประจำศาลาว่าการกทม. โดยสาเหตุที่เลือกเข้าทำงานในวันที่ 29 มี.ค.นั้น เนื่องจากเป็นวันศุกร์ ซึ่งตามความหมายแล้ว วันศุกร์ถือว่าเป็นวันดี

พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน


ชำแหละ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน มี 4 หน้า 19 มาตรา จบโครงการสิ้นปี 2563 ให้อำนาจ ก.คลัง ปรับโครงสร้างหนี้ ดึง สศช.-สำนักงบฯ กรองโครงการก่อนอนุมัติ พร้อมรายงานรัฐสภา ทุกสิ้นปีงบประมาณ

วันที่ 22 มี.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า หลังจาก นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เตรียมบรรจุวาระเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ในวันที่ 27 มี.ค.นั้น ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมีเนื้อหา 4 หน้า รวม 19 มาตรา โดยมีมาตราที่สำคัญ ได้แก่ หมวด 1 การกู้เงินและบริหารจัดการเงินกู้ มาตรา 5 ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกู้เงินบาท หรือเงินตราต่างประเทศ เพื่อนำไปใช้จ่ายในการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ตามยุทธศาสตร์และแผนงาน และภายในวงเงินที่กำหนดไว้ในบัญชีท้าย พ.ร.บ.นี้ โดยวงเงินกู้ รวมกันไม่เกิน 2 ล้านล้านบาท ภายในกำหนดเวลาไม่เกินวันที่ 31 ธ.ค.2563

มาตรา 6 บัญญัติให้ไม่ต้องนำเงินที่กู้ส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง มาตรา 9 ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ดังกล่าว โดยดำเนินการกู้เงินรายใหม่ เพื่อชำระหนี้เดิมแปลงหนี้ ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดชำระ ขยายหรือย่นระยะเวลาการชำระหนี้ ต่ออายุซื้อคืน หรือไถ่ถอนตราสารหนี้ของรัฐบาลหรือทำธุรกรรมทางการเงินอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้

ขณะที่มาตรา 10 กำหนดว่าการปรับโครงสร้างหนี้จะกระทำได้เฉพาะเพื่อเป็นการประหยัด ลดความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน หรือกระจายภาระการชำระหนี้ โดยจะกู้เป็นสกุลเงินแตกต่างจากหนี้เดิมก็ได้ แต่ทั้งนี้ไม่ให้นับรวมเข้าไปวงเงิน 2 ล้านล้านบาท และต้องไม่เกินจำนวนเงินกู้ที่ยังค้างชำระ

อย่างไรก็ตาม หากหนี้เงินกู้ที่จะทำการปรับโครงสร้างหนี้มีจำนวนเงินมาก และกระทรวงการคลังเห็นว่า ไม่สมควรกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ในคราวเดียวกัน อาจทยอยกู้เงินเป็นการล่วงหน้าได้ไม่เกิน 12 เดือน ก่อนถึงกำหนดวันชำระหนี้ได้ โดยมาตรา 11 กำหนดให้กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศทำหน้าที่บริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ส่วนมาตรา 12 กำหนดให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ทำหน้าที่บริหารและจัดการการกู้เงินการเบิกจ่าย การชำระหนี้ที่เกี่ยวกับการกู้เงิน

สำหรับหมวด 2 การเสนอและการบริหารจัดการโครงการ มาตรา 14 ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดของโครงการ เสนอให้ ครม.อนุมัติ ทั้งนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลังก่อน มาตรา 18 กำหนดให้กระทรวงเจ้าสังกัดของโครงการต้องจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลโครงการและแผนงาน และรายงานผลต่อกระทรวงการคลังด้วย และมาตรา 19 กำหนดว่าให้ ครม.ต้องรายงานผลการกู้เงินและการดำเนินงานต่อสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาเพื่อทราบภายใน 120 วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ

กบฏทหารนอกราชการ 9 ก.ย.



... กบฏทหารนอกราชการ หรือ กบฏ 9 กันยา เป็นความพยายามก่อรัฐประหารเมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 ของนายทหารนอกประจำการคณะหนึ่ง ประกอบด้วย พันเอกมนูญ รูปขจร พล
เอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พลเอกเสริม ณ นคร พลเอกยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ร่วมด้วยทหารประจำการอีกส่วนหนึ่ง และพลเรือนบางส่วนซึ่งเป็นผู้นำแรงงาน โดยได้ความสนับสนุนทางการเงิน
จากนายเอกยุทธ อัญชันบุตร การกบฎครั้งนี้พยายามจะยึดอำนาจการปกครองที่นำโดยนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ กบฏครั้งนี้มีขึ้นในช่วงที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปราชการที่ประเทศ
อินโดนีเซีย ส่วนพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น อยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจในทวีปยุโรป
"ในภาพ" : รถถังกำลังทำการยิง จากบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม .

... การก่อการเริ่มต้นเมื่อเวลา 3.00 น. โดยรถถังจำนวน 22 คัน จากกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน.4 รอ.) พร้อมด้วยกำลังทหารกว่า 400 นาย จากกองกำลังทหารอากาศโยธิน เข้าควบคุม
กองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า กรมประชาสัมพันธ์ และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย และอ่านแถลงการณ์ของคณะปฏิวัติ ระบุนาม พลเอกเสริม ณ นคร เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ

... ในส่วนของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ได้นำกำลังทหารส่วนหนึ่ง และผู้นำสหภาพแรงงาน เข้าไปยึดองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และควบคุมตัวนายพิเชษฐ สถิรชวาล ผู้อำนวยการ
ขสมก. ในขณะนั้น เพื่อนำรถขนส่งมวลชนไปรับกลุ่มผู้ใช้แรงงานเข้ามาร่วมด้วย

... ต่อมาทหารฝ่ายรัฐบาล ประกอบด้วยพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ รองผบ.ทบ. รักษาการตำแหน่ง ผบ.ทบ. พลโทชวลิต ยงใจยุทธ รองเสนาธิการทหารบก, พลโทพิจิตร กุลละวณิชย์ ประสานกับ
ฝ่ายรัฐบาลซึ่งพลเอกประจวบ สุนทรางกูร รองนายกรัฐมนตรี อยู่ในตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งกองอำนวยการฝ่ายต่อต้านขึ้นที่ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) บางเขน
และนำกองกำลังจาก พัน.1 ร.2 รอ. เข้าต่อต้าน และออกแถลงการณ์ตอบโต้ในนามของ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก กองกำลังหลักของฝ่ายรัฐบาลคุมกำลังโดยกลุ่มนายทหาร จปร. 5 ประกอบด้วย พล
โทสุจินดา คราประยูร พลโทอิสระพงศ์ หนุนภักดี พลอากาศโทเกษตร โรจนนิล

... เมื่อเวลาประมาณ 9.50 น. รถถังของฝ่ายกบฏ ที่ตั้งอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เริ่มระดมยิงเสาอากาศวิทยุ และอาคารของสถานีวิทยุกระจายเสียงกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และยิงปืนกลเข้า
ไปในบริเวณวังปารุสกวัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ทำให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศเสียชีวิตสองคน คือ นายนีล เดวิส ชาวออสเตรเลีย และนายบิล แรตช์ ชาวอเมริกัน

... ทั้งสองฝ่ายปะทะกันรุนแรงขึ้น และมีการเจรจาเมื่อเวลา 15.00 น. โดยพลโทพิจิตร กุลละวณิชย์ เป็นตัวแทนฝ่ายรัฐบาล และพลเอกยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นตัวแทนฝ่ายกบฏ และทั้งสองฝ่าย
ตกลงกันได้ และถอนกำลังกลับที่ตั้งเมื่อเวลา 17.30 น.

... ส่วนพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อคืนวันที่ 9 กันยายน แล้วเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส ในคืนนั้น

... เมื่อการกบฏล้มเหลว ผู้ก่อการ คือ พันเอกมนูญ รูปขจร และนาวาอากาศโทมนัส รูปขจร ได้ลี้ภัยไปสิงคโปร์และเดินทางไปอยู่ในประเทศเยอรมนีตะวันตก ส่วนคณะที่เหลือให้การว่าถูกบังคับ
จากคณะผู้ก่อการกบฏ มีผู้ถูกดำเนินคดี 39 คน หลบหนี 10 คน

... มีข่าวลือเกี่ยวกับการยึดอำนาจครั้งนี้ว่า พันเอกมนูญ รูปขจร ทำหน้าที่เพียงเป็นหัวหอกออกมายึด เพื่อคอยกำลังเสริมของผู้มีอำนาจที่จะนำกำลังออกมาสมทบในภายหลัง และการกบฏครั้งนี้ล้ม
เหลวเนื่องจาก "นัดแล้วไม่มา" ...

ที่มา : th.wikipedia.


(ย้อนหลัง2554)น้ำท่วม..ล้างบาง


น้ำท่วม..ล้างบาง
บทความ วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ.2554 12:16น.
352428
ห้วงเวลานี้ของ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" มีวาระสำคัญหลายเรื่อง ที่ถูกจับตาการทำงานและพิสูจน์ทราบฝีมือจากหลายฝ่าย ไม่แต่เฉพาะสถานการณ์ความเดือดร้อนของผู้คนทั่วประเทศ จากภัยน้ำท่วมที่ถือเป็นความสำคัญจำเป็นเร่งด่วน ที่ต้องเข้าไปจัดการ หรือ ปรากฏการณ์ตลาดหุ้นไทยร่วง จากสถานการณ์เศรษฐกิจในสหรัฐฯ ยุโรป จากการแก้ปัญหาวิกฤติหนี้ของกรีซ ที่กำลังหวั่นวิตกจากห้วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ที่ดัชนีปรับตัวลดลงต่ำ จากระดับ ๑,๐๐๐ จุด ในวันพฤหัส (๒๒ ก.ย.) และยังต่ำลงเรื่อยในวันรุ่งขึ้น (๒๓ ก.ย.) กระทั่ง เปิดทำการวันจันทร์ (๒๖ ก.ย.) ที่แดงทั้งกระดาน ร่วงลงไปและทำท่าจะต่ำกว่า ๙๐๐ จุด กระทั่งเกิดความโกลาหลกับเหตุขัดข้องการซื้อขาย ท่ามกลางข่าวลือ "หยุดพักการซื้อขาย" เนื่องจาก หุ้นตกเกิน ๑๐% คือ ต่ำกว่า ๙๐๐ จุด ทั้งที่เป็นเพราะระบบคอมพิวเตอร์ขัดข้อง ที่วันนี้ ยังต้องลุ้นว่า จะทานไว้ที่ ๙๐๐ จุด ได้หรือไม่? …. และยังมีสถานการณ์การแต่งตั้งโยกย้ายในหลายส่วน ที่ลุ้นจดจ่อ ทั้ง กระทรวงมหาดไทย กลาโหม และตำรวจ โดยเฉพาะในส่วนของมหาดไทย ที่หลายฝ่ายโฟกัสไปที่การแต่งตั้งโยกย้าย ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่มีสัญญาณมาแล้วว่า มีจังหวัดใดบ้าง ที่ถูกหมายตาจากฝ่ายการเมือง โดยหลายจังหวัด กำลังมีผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม ที่จะกลายเป็น "เหตุผล" ข้ออ้างจากฝ่ายการเมือง หลังจากนี้

ขณะเดียวกัน ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารและด้วยการรายงานของสื่อมวลชน ทำให้หลายคนได้เห็นภาพของความเดือดร้อนชาวบ้าน ในหลายจังหวัดที่ถูกน้ำท่วม กระทั่ง นำมา ซึ่งการออกมาแสดงความไม่พอใจกับการที่ฝ่ายทางการ ดูเทอะทะ ชักช้า ไม่ทันการกับการเข้าไปให้ความช่วยเหลือ และตามมาด้วยการลุกฮือ เคลื่อนไหวช่วยเหลือตัวเอง ด้วยการพังพนังกั้นน้ำ และเกิดกระทบกระทั่งระหว่างชุมชนเขตเมืองกับรอบเมือง และลุกลามเป็นระดับชุมชนข้ามจังหวัดกับจังหวัด ขยายตัวไปตั้งแต่เหตุการณ์ชาวบ้าน ในชุมชนวัดสิงห์ จ.ชัยนาท ลามมาถึง จ.สุพรรณบุรี จ.ลพบุรี และ จ.นครสวรรค์ ไล่เรียงลงมายังภาคกลางหลายจังหวัด อาทิ อยุธยา ปทุมธานี นครนายก...ที่ต่างออกมาไม่ยอมให้มีการปล่อยน้ำลงมาอีก ขณะที่ เขื่อนใหญ่ ๆ หลายแห่งก็เหลืออีกเพียงไม่ถึง ๑๐% จนต้องเร่งระบายน้ำออกและกระทบกับพื้นที่ แน่นอนสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่นับรวมอิทธิพล "พายุไห่ถาง" จากเวียดนาม ที่เข้าไทย (27ก.ย.) ซึ่งจะตามมาด้วยฝนอีกหลายพื้นที่อีสานและภาคตะวันออก

โดยเหตุการณ์ดังกล่าว "ผู้ว่าราชการจังหวัด" ต่าง ๆ "กรมชลประทาน" ในฐานะข้าราชการฝ่ายปฏิบัติ ที่ต้องรับผิดชอบกับ "การจัดการน้ำ" รวมถึง รัฐบาลเองในฐานะ "ฝ่ายบริหาร" จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้กับสถานการณ์เฉพาะหน้า จากน้ำท่วมที่เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้าของชาวไทย ไม่แต่เฉพาะคนเมือง หรือ คนชนบท ที่ย่อมจะรู้สึก "ไม่พอใจ" และกำลังปะทุไปสู่ "เงื่อนไขอื่น" ที่ถึงที่สุด จะนำไปสู่ผลกระทบกับ การจะอยู่หรือไปของรัฐบาลในบรรทัดถัดไป หากสถานการณ์ไม่พอใจ บานปลายมากกว่าที่เห็นจาก "วัดสิงห์ โมเดล" 

ไม่แปลกที่สถานการณ์ "กระแส" แบบนี้ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ถึงขนาดต้องลงมา "บัญชาการ" เอง แบบ "เกาะติด" (แม้จะผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์) ให้ทุกฝ่าย รวมถึง "ชาวบ้าน" ได้เห็นภาพ แม้ลึกในใจคือ เขา "ยังไม่พอใจ" ที่ยังต้องเผชิญชะตากรรมถูกน้ำท่วม ที่ไม่มีหลักประกันใด ๆ ในชีวิต จากความล่าช้าในการจัดการ รวมถึง การไม่สามารถ "รวมศูนย์" ได้อย่างเป็นระบบของรัฐบาล ในการจัดการกับภัยพิบัติ ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายปฏิบัติงานหลายส่วน ไม่เฉพาะ แต่"กรมชล" ควรมี "บทเรียน" ประสบการณ์จากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ใน "รัฐบาลอภิสิทธิ์" มาแล้ว

ไม่แปลกที่ ฝ่ายการเมือง ไม่ว่าฝ่ายค้าน หรือ รัฐบาล ที่ผ่านมา มักจะใช้เงื่อนไขนี้ "โยนภาระ" ให้กับ "ข้าราชการ" ว่า ไม่ร่วมมือ หรือ ขาดศักยภาพ ดังอาการที่ปรากฏของนายกฯ ต่อความไม่พอใจการทำงานของหลายจังหวัด ทั้งที่เหตุผลแท้จริงเป็นเรื่อง "งูกินหาง" ระหว่าง "ข้าราชการ" กับ "นักการเมือง" ที่ฝ่ายหนึ่งควรอ้างได้เช่นกันว่า ที่เขาขาดพร่อง เพราะ "นักการเมือง" เข้ามาแล้วก็ย้าย ๆ จนไม่มีใครที่เชี่ยวชาญกับ "ปัญหา" ที่จะสามารถรับมือได้ ขณะที่ อีกฝ่ายก็อ้างว่า "ข้าราชการ" เกียร์ว่างกับสถานการณ์น้ำท่วม ที่สร้างความเสียหายต่อชีวิตผู้คนและทรัพย์สิน รวมถึง เศรษฐกิจหนนี้

เป็นสถานการณ์ปัญหาน้ำท่วม ที่ถึงนาทีนี้ ควรยอมรับว่า การทำงานของ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" กับสถานการณ์นี้ ยังไม่เข้าตา "ประชาชน" อันไม่ต่างจากรัฐบาลชุดที่แล้วของ "รัฐบาลอภิสิทธิ์" เป็นไปตามผลของโพลสำรวจ

เป็นสถานการณ์ "ความรู้สึก" ที่ในทางหนึ่งอาจต้องยอมรับในความ "ใหม่" ของรัฐบาล ที่เพิ่งเข้ามาบริหารประเทศ ที่ยังไม่เข้าขากับฝ่ายปฏิบัติ อย่าง "ข้าราชการ" ที่นำมา ซึ่ง "ท่าที" ของฝ่ายราชการที่ "รับไม่ได้" กับการเข้ามาโยกย้ายพวกเขา...ทันทีที่เข้ามาสู่อำนาจ อันนำมาซึ่งท่าทีของฝ่ายการเมือง

เป็นการ "โยกย้ายข้าราชการ" ที่ถูกมองว่า เป็นการ "ล้างบาง" ที่มิอาจปฏิเสธว่า มี "หลักคิด" ในเรื่องของ "การเมือง"เข้ามาเจือปนเกี่ยวข้องที่อาจจะมากกว่า "เหตุผล" ในการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายราชการ อันพิสูจน์ทราบตั้งแต่กรณีการแต่งตั้งโยกย้าย ในแวดวงสีกากี จากหัวยันหาง ที่อ้างจากเรื่อง "อบายมุข-บ่อน" หรือ กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งโยงไปสู่เรื่องนโยบายต่างประเทศกับเขมร ที่อาจจะเว้นวรรคบ้าง สำหรับแวดวงกองทัพที่ "ฝ่ายการเมือง" เผชิญกับ"เงื่อนไข" จากฝ่ายทหารและยังไม่กล้า "หักด้ามพร้าด้วยเข่า" ระยะนี้

น่าสนใจว่า ทั้งหมดทั้งมวล ถึงที่สุดที่ควรจะเป็นอย่างยิ่ง คือ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันแก้ไขสถานการณ์ให้ได้รวดเร็วอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ไม่ใช่มัวแต่มาจัดทัพ เพื่อ "อำนาจ" หรือ "ตั้งแง่" ไม่ว่าจะเป็น ฝ่าย "ข้าราชการประจำ" หรือ"นักการเมือง" ก็ควรต้อง "ทำงานร่วมกัน" ในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างสำนึกในอุดมการณ์-หน้าที่ ว่า "ประชาชน" ถือเป็น "เจ้านาย" ที่เป็นเจ้าของเงินภาษี หรือ "เงินเดือน" ที่จ้าง ทั้ง "ข้าราชการ" และ "นักการเมือง" โดยเฉพาะ "นักการเมือง" ที่ทุกคนไม่ว่า "รัฐบาล" หรือ "ฝ่ายค้าน" ต่างก็ถูกเลือกเข้ามาเป็น "ผู้แทนราษฎร" ทั้งสิ้น

ที่สำคัญ หาก "ประชาชน" ไม่พอใจที่เขาได้รับความเดือดร้อน เขาก็มีสิทธิเช่นกันที่จะ "ไม่จ่ายเงินเดือน" (ภาษี) ให้ หรือ "ไม่เลือก" ซึ่งก็เหมือนกัน คือ เป็นการ "ล้างบาง" ทั้งข้าราชการ และนักการเมือง "ไม่ทำงาน" ได้เช่นกัน

(ย้อนหลัง2555)สัญญาณร้าย 'ฮิซบุลลอฮ์'


สัญญาณร้าย 'ฮิซบุลลอฮ์'
บทความ วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ.2555 9:02น.
353668
แม้หลายฝ่าย รวมถึง ทูตทหารสหรัฐ ภายใต้การเรียกร้องจากรัฐบาลไทยให้สหรัฐ ถอนคำเตือนให้ระวังการก่อการร้าย วินาศกรรมในกรุงเทพฯ และประเทศไทยของกลุ่ม "ฮิซบุลลอฮ์" จะบอกว่า ไม่มีประเด็นเชื่อมโยงที่การวินาศกรรมก่อการร้ายจะเกิดขึ้นในประเทศไทย...แต่ก็ได้ทำให้หลายฝ่าย ไม่กล้ามองข้ามการเข้ามาของ "มอสสาด" - "CIA"อย่างเปิดเผยหนนี้เป็น "มอสสาด" หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล และ CIA หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐ ที่ "ฮิซบุลลอฮ์" ปักใจว่า มีความเกี่ยวข้องกับการสังหารแกนนำสำคัญของพวกเขา เมื่อหลายปีก่อน รวมถึง นักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ มือหนึ่งของอิหร่าน ที่เพิ่งถูกระเบิดแม่เหล็กสังหารไปล่าสุด โดยก่อนหน้าคำเตือนนี้ มีการอ้างถึงแหล่งข่าวด้านกลาโหมอิสราเอล  ซึ่งเปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ฮาอาเรตซ์ ว่า ทางการไทย กำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อยับยั้งการก่อเหตุร้าย โดยคาดว่า อาจเกิดขึ้นก่อน วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันครบรอบการลอบสังหาร อิหมัด มุกห์นิเยห์ (Imad Mughniyeh) แกนนำระดับสูง และหัวหน้าชุดปฏิบัติการของ ฮิซบุลลอฮ์  ทั้งนี้ มุกห์นิเยห์ เสียชีวิตจากเหตุคาร์บอมบ์ในซีเรีย เมื่อปี ๒๕๕๑  หลังตกเป็นเป้าการลอบสังหารของ "มอสสาด" (Mossad)  หน่วยสืบราชการลับของอิราเอล มานานหลายปี
คำเตือนดังกล่าว แม้จะส่งผลกระทบภาพความเชื่อมั่น ความมั่นคงปลอดภัย ของประเทศไทยในสายตาต่างประเทศ และส่งผลกระทบในหลายด้าน แต่ในทางกลับกัน ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ให้เข้าสู่ "โหมดระวัง" ป้องกันมากกว่าปล่อยปละให้เกิดขึ้นแล้วค่อยป้องกัน...
ขณะเดียวกัน "คำเตือน" ดังกล่าว ได้เปิด "เงื่อนไข" ว่า สถานการณ์ดังกล่าว พร้อมที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย...จากกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้และอาจเป็น "เงื่อนไข" ให้กลุ่มหวังผลทางการเมืองอื่น ทั้ง "ภายใน" และ "ภายนอก" สามารถสร้างสถานการณ์ซ้อนได้เช่นกัน...
แต่ที่สำคัญคือการทำให้เกิด "เงื่อนไข" อันชอบธรรมมากขึ้นของการเข้ามาอย่าง "เปิดเผย" ของ "หน่วยข่าวลับ" จากประเทศ "คู่ขัดแย้ง" ของสถานการณ์อย่าง สหรัฐ-อิสราเอล และ อีกหลายๆ ประเทศ ที่อ้างถึงการเข้ามาปักหลักแทรกแซงกิจการภายในประเทศได้มากขึ้น เช่น เหตุการณ์เมื่อ ปี ๒๕๔๗ กับข่าวการเข้ามาเปิดศูนย์ข่าวเพิ่มของ CIA ในพื้นที่ด้ามขวานของไทย... ก่อนที่ถัดจากนั้นจะเกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย...ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ (จวบจนบัดนี้) และห้วงเวลานั้นขยายผล นำมาสู่สถานการณ์ความไม่สงบ ทั้งความมั่นคงการเมือง  ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ณ "ศูนย์กลางอำนาจรัฐ" กรุงเทพฯ ในปีถัดๆ มา รวมถึงชายแดนรอบประเทศ พม่า-เขมร
และยิ่งดูจะสอดคล้องรับกับแนวทางนี้ เมื่อย้อนกลับไปดูถ้อยแถลงของผู้นำสหรัฐ "โอบามา" เมื่อเร็วๆ นี้ กับการวางยุทธศาสตร์ให้กองทัพสหรัฐ พุ่งเป้าหมายมาที่เอเชีย จากเดิมที่ ตะวันออกกลาง...พร้อมๆ กับปรากฏการณ์ ชูบทบาทของ "ออง ซาน ซูจี" สัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ทั้งใน "ทางการ" และทางภาพยนตร์ที่กำลังจะฉายเร็วๆ นี้  อันเป็นบทหนึ่งของการเตรียมเปิดประเทศของพม่า สู่โลกภายนอก กับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ภายใต้การเข้าๆ ออกๆ ของบุคคลสำคัญจากสหรัฐ...ในประเทศพม่า...ท่ามกลางท่าที...ไม่พอใจของจีน...
ภายใต้จังหวะก้าวของกลุ่มประเทศอาเซียน การเปิดเสรีการค้าอาเซียน ที่ภูมิภาคอันอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติและอาหาร แห่งนี้ จะเป็นดั่ง "โอเอซิส" ของโลก ในอีก ๑๐ ปีข้างหน้า...และจะกลายเป็นพื้นที่การแย่งชิงผลประโยชน์จากบรรดามหาอำนาจซีกโลกตะวันตก ที่มี "สหรัฐ" เป็นผู้นำ และมหาอำนาจซีกโลกตะวันออก ที่มี "จีน" เป็นผู้นำ ที่กำลังฉายภาพซ้ำ ยุค "ล่าอาณานิคม" ในอดีต แทนที่ภูมิภาคตะวันออกกลาง...ที่น้ำมันกำลังจะหมดไป...หลังจากถูกหลายประเทศเข้าไปวุ่นวายก่อสงคราม...แย่งชิงน้ำมัน...
ไม่แปลกที่ "สัญญาณ" ที่ถูกจุดพลุ และตามมาด้วยฉากต่างๆ เป็นชุดๆ โดยสถานทูตสหรัฐ หนนี้  ไทยมีแต่สภาพ"เสียมากกว่าได้"  ไม่ว่าจะทั้งระยะสั้น กับ "เงื่อนไข" ของสถานการณ์ก่อการร้าย จากฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง ที่พร้อมใช้สิ่งเหล่านี้เป็น "ข้ออ้าง" ในการสร้างสถานการณ์ และ "ระยะยาว" กับการเข้ามาแทรกซึมและแทรกแซง อันนำมาซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นอันวุ่นวาย ติดตามมาในบ้านเรา และภูมิภาคอาเซียน ที่เคยสงบสบายๆ และกำลังเข้าสู่โซนเปิดเสรีการค้า ก็จะไม่สงบ สบาย ปลอดภัย ไร้กังวล  แบบที่เหล่าบรรดาประเทศตะวันออกกลาง เคยเจอในห้วง ๒ ทศวรรษ ที่ผ่านมา...

(ย้อนหลัง2555)กับดัก..ครม.ยิ่งลักษณ์ # ๒


กับดัก..ครม.ยิ่งลักษณ์ # ๒
บทความ วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ.2555 10:20น.
354651
การปรับคณะรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์๒" จำนวน ๑๖ ตำแหน่ง (๑๘ ม.ค.๕๕) ถูกระบุจากหลายฝ่ายว่า นอกจากจะมีสไตล์ไม่ต่างจาก "รัฐบาลทักษิณ" ในอดีตแล้ว ยังอาจมีเงาร่างของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการผ่านทางไกลให้กับน้องสาว ไม่ว่าจะเป็น"รูปแบบ" วิธีการ ที่กระทำอย่างรวบรัดตัดความ โดยรู้กันเพียงกลุ่มพี่น้องเครือญาติใกล้ชิด ภายใต้เหตุผล "ทางการเมือง" เพื่อผลสัมฤทธิ์ ตามความต้องการในรูปแบบ"บริษัทจำกัด" มากกว่าที่จะดำเนินไปตามขั้นตอนกระบวนการแบบราชการตามระบบ
ไม่แปลกที่ถัดไปจากนี้ไม่นานจะได้เห็น "การปรับ ครม. ยิ่งลักษณ์๓" ในอีกประมาณ ๕ เดือนข้างหน้า เพื่อลงล็อคเงื่อนเวลาการกลับมาของ สมาชิก "บ้านเลขที่ ๑๑๑"  ซึ่งถือเป็น"แถวหนึ่ง" อดีตรัฐมนตรีพรรคไทยรักไทย รัฐบาลทักษิณ ในอดีต
กระนั้น แม้ในรัฐมนตรี ๑๖ ตำแหน่ง ที่ถูกมองว่า บางคนผิดฝาผิดตัว เช่น ทีมเศรษฐกิจ อย่าง "สุชาติ ธาดาดำรงเวช"ไปดู กระทรวงศึกษาธิการ หรือ บางคน ติดแบล็คลิสต์สหรัฐฯ ขณะบางคนถูกมองว่า เป็นการ"ตอบแทน"เอาใจ"คนเสื้อแดง...และบางคน ก็ถูกมองว่าเพื่อรักษาสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาล
แต่โดยองค์รวม กลับมีภาพของการนำเหล่าบรรดารัฐมนตรี ที่เป็น"คนใกล้ชิด" ที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจในการทำงานว่า เป็นมืออาชีพ ที่เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ รวมถึง รัฐมนตรี มีเครือข่ายคอนเน็กชั่น ทั้งจากคนในเครือข่ายบริษัทชินวัตร และ เพื่อนร่วมรุ่น ตท.๑๐ มาดำรงตำแหน่งที่"โฟกัสเป้า" มากขึ้น...
ที่ทำให้เห็นว่า ครม.ยิ่งลักษณ์ ๒ หนนี้ มิอาจมองข้าม ใน"เจตนา"ที่จะกอบกู้สถานะที่สูญเสียสภาพไปใน ครม. ยิ่งลักษณ์ ๑ ที่ผลงานออกมาไม่น่าพอใจ ทั้งในมิติ"เศรษฐกิจ-การเมือง-ความมั่นคง-สังคม" โดยเฉพาะ ปมปัญหาความอ่อนด้อย ด้าน"การบริหารจัดการ" ทั้งตัว "ผู้นำ"และคณะรัฐมนตรี ที่สะท้อนผ่านภาพความเดือดร้อนของประชาชน จากสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ช่วงปลาย ปี ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา แม้กระทั่งปัญหาด้านพลังงาน..ที่กำลังกลายเป็น"ระเบิดเวลา"กับรัฐบาลถัดจากนี้  มิพักรวมไปถึงปัญหา "นโยบายประชานิยม" ที่ซื้อใจประชาชนช่วงก่อนการเลือกตั้ง ก็กำลังเกิดอาการสวิงกลับ เพราะเกิดปัญหา"การจัดการ" การสื่อสารทำความเข้าใจ
กระนั้น แม้ในภาพการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยดึงมือไม้ที่มีความเชี่ยวชาญมาเติม เพื่อรับมือและประคองสถานการณ์ ไปจนกว่า "รัฐมนตรีแถวที่ ๑" ตัวจริงจะกลับมาในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ก็ยังปรากฏ "สัญญาณเข้มๆ" ที่หลายฝ่ายกังวล กับการขยับ "พล.อ.อ.สุกัมพล สุวรรณทัต" เพื่อนร่วมรุ่น ตท.๑๐ ของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" มาเป็น "รมว.กลาโหม" แทน "พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา" ... ที่มีบุคลิกนายทหารใจดี ไม่แข็งกร้าวกับน้อง ๆ ภายใต้ ๒-๓ ภารกิจสำคัญ อาทิ พ.ร.บ.สภากลาโหม และการเขาไปเกี่ยวข้องกับโครงสร้างระดับคุมกำลังของกองทัพ...
ที่แม้ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ผบ.ทบ. (ตท.๑๒) จะไม่แสดงปฏิกริยาอะไรเด่นชัดกับ รมว.กลาโหม คนใหม่ ที่เป็น รุ่นพี่ ตท.๑๐ ด้วยการยืนยันว่า ยังไง ทหาร ก็จะไม่มีการปฏิวัติ...และแม้จะปรากฏภาพความชื่นมื่น ระหว่าง"พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" องคมนตรี กับ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" นายกฯ...แต่ใน "เงื่อนไข" หลายประการที่จะเกิดขึ้นห้วง ๔-๕ เดือน ถัดจากนี้ และรวมถึงหลังการกลับมาของ บ้านเลขที่ ๑๑๑ ก็ยังไม่มีหลักประกันอะไรว่า สถานการณ์จะ"สุกงอม" ถึงขั้นต้องทบทวน คำยืนยันของ ผบ.ทบ. หรือไม่
ทั้งหมดทั้งมวล การปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ ๒ เอาเข้าจริง มีความ"ไม่ธรรมดา" กับการ"วางหมากกล" ซ่อนเงื่อนไข ทั้ง รับ-รุก กับสถานการณ์ ๕ เดือนนี้ ที่ว่ากันว่า จากต้นเดือนกุมภาพันธ์ เป็นต้นไป จะเข้าสู่ เฟส ๒ ถัดจาก เฟสแรก คือ ปฏิบัติการ ๓ เดือน ดับฝันรัฐบาลของฝ่ายปฏิปักษ์ ก่อนหน้านี้...
สถานการณ์ ๕ เดือนของรัฐมนตรี แถวสุดท้าย ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เพื่อการกลับคืนเวทีการเมืองของ แถว ๑ จึงน่าจับตา การเมืองนอกสภา บนท้องถนน ว่าจะปะทุขึ้นมาได้หรือไม่อย่างไร และจะสามารถขยายผลรุนแรงไปสู่การงัดเอากองกำลังในกองทัพ...ภายใต้การเป็น "ตัวแปร" และ "เงื่อนไข" แบบ "ขออภัยในความไม่สะดวก" ออกมาใช้หรือไม่...และหากเป็นไปเช่นนั้น "มวลชนแดง" จะออกมาร่วมด้วยช่วยกัน แบบห้วงเดือนที่ ๕ ของ ปี พ.ศ.๒๕๕๓ หรือไม่ ...
ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นกับ การดำเนินไปของ "ครม. ยิ่งลักษณ์ ๒" ที่จะสามารถเร่งสปีดคืนความเชื่อมั่น วางฐาน ปูทางให้กับ "แถวหนึ่ง" โดยไม่สะดุด หรือ ติด "กับดักอำนาจ"... ภายใต้สถานการณ์ถัดไปจากนี้...ได้หรือไม่..?

(ย้อนหลัง2555)สัญญาณปะทะ


สัญญาณปะทะ
บทความ วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ.2555 17:49น.
355516
มีความน่าสนใจใน "รายละเอียด" ที่ลึกลงไปในโฉมหน้า "ครม.ยิ่งลักษณ์ ๒" หลังชิมลางประชุมครั้งแรก (๒๔ ม.ค. ๕๕) ไม่แต่เฉพาะบรรดารัฐมนตรี คนที่เคยเป็นมือไม้ใกล้ชิด "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ในเครือบริษัทชินวัตร หรือ รัฐมนตรีตัวแทนจาก "มวลชนคนเสื้อแดง" ที่เข้ามา..
เป็นรายละเอียดที่อาจเป็นการสะท้อนภาพความเป็นไป ที่จะเกิดขึ้นถัดไปจากนี้ ก่อนถึงไทม์มิ่งสำคัญทางการเมือง กับการกลับมาอีกครั้งของรัฐมนตรีบ้านเลขที่ ๑๑๑ ในเดือนพฤษภาคม ปีนี้ ที่หาได้มีแต่ "ปฏิกริยาตกกระทบ" มาจากฝ่ายกองทัพ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ จากกรณีข้อเสนอประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ยิ่งนานวันยิ่งลึกซึ้ง กินวงเข้าไปแตะกับประเด็นหมิ่นเหม่ และน่าเสียวไส้มากขึ้นของ"กลุ่มนิติราษฎร์" เท่านั้น..
หากแต่ยังมีรายละเอียดที่ "ลุ่มลึก" ในบริบทของ "ฝ่ายบริหาร" ภายใต้พรรคเพื่อไทย อันมีส่วนผสมทั้ง ทุน + พรรค + มวลชน + กองกำลังอำนาจรัฐ ที่ดูจะมีนัยแฝงเร้นในการ "ขับเคลื่อน" เพื่อเอาชนะการเมือง กับ "ขั้วอำนาจฝ่ายตรงข้าม" แบบไม่กระโตกกระตาก เหมือนปี ๒๕๕๑
น่าสนใจในอาการให้สัมภาษณ์แบบเข้มมากขึ้นเรื่อยๆ ของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ผู้นำฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวของ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ที่เป็นที่พูดกันใน "วงใน" หลายวงสนทนาการเมือง ทั้งฝ่ายค้าน - รัฐบาล ว่า กำลังถูก "ล็อกเป้า" เพื่อเข้าจัดการ.. ภายใต้การหยิบยกสถานการณ์เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ มาเป็นบูมเมอแรงสะท้อนกลับ..
และการจะทำให้สถานการณ์จบลงที่ข้อสรุปเหล่านั้น แน่นอน ย่อมมีทั้งยุทธการแบบลับลวงพราง แยกกันเดิน ร่วมกันตีแบบ "โอบล้อม" ก่อคลื่นกระแสให้สับสน.. ของทั้งพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง โดยโฟกัสไปที่ "จุดเปราะบาง"ของฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้ไม่ทันตั้งตัว ดังการเข้าไปแตะแก้ไขประเด็นการเอาผิดเอาโทษ ด้วยการแก้ มาตรา ๓๐๙ ภายใต้การรุกเร้าอำพรางผ่าน มาตรา ๑๑๒ หรือ แม้กระทั่งประเด็นที่มาของคณะที่จะเข้ามายกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ..ที่ถึงบางจังหวะก็จะมีการออกมาจุดพลุในประเด็น..เหล่านี้
ที่ไม่แปลกว่าพอมีการแตะ จะเกิดปฏิกิริยาจากบรรดาผู้เกี่ยวข้องในสถานการณ์ห้วงเวลานั้น ที่ไม่แต่เพียงฝ่ายการเมืองอดีตรัฐบาล พันธมิตรฯ หากแต่ยังมีฝ่ายกองทัพอย่าง "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ผบ.ทบ. ที่ห้วงเวลาก่อนการเปลี่ยนผ่านอำนาจ จาก "พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา" "พล.อ.ประยุทธ์" เสธ.ทบ. ห้วงเวลารัฐบาลพลังประชาชนขณะนั้น เป็น เสธ.ทบ. ที่มีบทบาทสำคัญยิ่ง
ยิ่งเมื่อ ครม.ยิ่งลักษณ์ ๒ จัดหนัก กับการมอบเก้าอี้ "รมว.กลาโหม" คนใหม่ให้ "พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต" ตท.๑๐ ผู้มีลูกพี่ลูกน้องอีกคนอย่าง "พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต" ตท.๑๐ ที่ล้วนมีร่องรอยประวัติศาสตร์ทีลืมกันไม่ลงของคนกองทัพใน ห้วง ๕ ปีที่ผ่านมา กับความพลิกผันเปลี่ยนแปลงหลังการจบเฟสงานของ "พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน" ผู้ทำการรัฐประหาร และส่งไม้ต่อไปยัง "พล.อ.อนุพงษ์ เผ่านจินดา" จนมาถึงยุคของ "พล.อ.ประยุทธ์" ที่เป็นการขึ้นมาสู่แผงอำนาจของ ตท.๑๒ และทหารสาย "บูรพาพยัคฆ์" ..ภายใต้การล่มสลายหายไปจากหน้าปัดของ ตท.๑๐ ที่ไปปรากฏเป็น "กุนซือ" ด้านความมั่นคงของพรรคเพื่อไทยในห้วง๑ - ๒ ปีที่ผ่าน.. จึงไม่แปลกที่ฝั่งกองทัพจึงจะเริ่มมีการขยับกรุ่นๆ.. จากคนที่ยังอยู่ จนทำให้ "บิ๊กทหาร" บางคน ออกมากระแทกท็อปบูทส่งสัญญาณกันตรงๆ ไปถึงใครบางคน.. ความหมายทำนอง.. อาจมี "ขออภัยในความไม่สะดวก(อีกครั้ง)" ที่แม้จะยืนยัน ย้ำว่า "ไม่มีแน่" จาก"พล.อ.ประยุทธ์" แต่ในอาการกระเพื่อมกลับ "ไม่ปกติ" ยิ่ง..เป็นที่ทราบ และ "พล.อ.อ.สุกำพล" ก็ยอมรับเองว่า การเข้ามาจัดกำลังในกองทัพ เป็นหนึ่งในภารกิจ..ก็ยิ่งทำให้แนวรบด้านนี้ น่าจับตาเช่นกัน
ขณะที่หันมาทางด้าน "รัฐมนตรีช่วยเกษตร" .. "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ในความธรรมดาที่สื่อสารไปถึงความเป็น "รัฐมนตรีแดง" นั้น กลับมี "ความไม่ธรรมดา" ในการวางหมากยุทธ์ โยนหินถามทาง ยิ่งกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัว เพื่อเข้าจัดการทางการเมืองกับพื้นที่ ภาคใต้ตอนบน ภายใต้อิทธิพลของ "กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ" ที่จะมีการเชื่อมต่อไปถึงปัญหา "ราคายางพารา" ตกต่ำ และเรื่องราวอัน "ลึกซึ้ง" ของน้ำปัญหามันปาล์ม ในห้วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่ทั้งหมดทั้งมวล ถูกต่อเชื่อมสายสัมพันธ์อันโยงใยไปถึง "กลุ่มทุน" ของพรรคในพื้นที่จังหวัดอันดามัน ของพรรคประชาธิปัตย์ หลายๆ คน ..ภายใต้สถานะ "ลูกเขย" ที่ทำให้ "ณัฐวุฒิ" มีแบ็คอัพในการเข้าจัดการกับเรื่องเหล่านี้แบบ "เจาะฐานที่มั่น" ทางการเมืองของอีกฝ่าย ที่ไม่แปลกกับปฏิกริยาตกกระทบ แบบ "รับน้อง" ... "รัฐมนตรีใหม่" จะปรากฏผ่าน โรงเรียนมัธยมกัลยาณี จ.นครศรีธรรมราช ที่ "ณัฐวุฒิ" เคยเรียน
ขณะเมื่อหันมาทางด้านตำแหน่ง "เชื่อมประสาน" ข้ามประเทศระหว่างรัฐบาล กับคนแดนไกล มติ ครม. วันแรกที่ออกมา ทั้งการแบ่งงานรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ แบบเต็มแม็กซ์ ให้ "นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" ทั้งคุมสื่อ คุมสำนักปลัด สคบ. และอีกหลายๆหน่วยงาน เช่นเดียวกับภาพของการสลับ "อารีย์ ไกรนรา" ไปเป็น ผช.เลขาฯรมต.เกษตรฯ โดยให้ "คนผมขาว" ที่เคยทำงานใกล้ชิด "พ.ต.ท.ทักษิณ" อย่าง "ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์" มาเป็นเลขาฯ มท.๑ ที่จะนำไปสู่การเข้าไปช่วยดูแล จัดการภาพร่าง การปกครองส่วนภูมิภาค ของกระทรวงมหาดไทย ให้ละเอียดมากขึ้น..
ขณะเดียวกัน เมื่อมาผนวกกับ "ปฏิกริยา" ที่กล่าวถึง "บุคคลที่สาม" อย่าง "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" ผู้ว่าฯกทม. คนของพรรคประชาธิปัตย์ ในที่ประชุม ครม. จากปมประเด็น "น้องน้ำ" และการจัดการหลังน้องน้ำไป ที่ปรากฏภาพความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับ กทม.และทำท่าว่า จะมีการ "จัดหนัก" กับ ผู้ว่าฯกทม. อีกคน
ทั้งหมดทั้งมวลจึงโทษไม่ได้ที่จะเกิดปฏิกิรยา "กระเพื่อม" จากทุกตัวละคร ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ ทั้งถูกอ้างกล่าวหาถึง...รวมถึงอาการโต้แรงหนักๆ เข้มๆ จาก "อภิสิทธิ์" ไปถึง "พ.ต.ท.ทักษิณ" ว่าเป็น "ปัญหา" ที่แท้จริงของทุกปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย ..อันเป็น "สัญญาณปะทะ" ที่น่าจับตาจุดตกกระทบถัดไปจากนี้ไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ตามหมุดหมายว่า จะทำให้ประเทศไทย บานปลายกันอีกไหม และขนาดไหน..?

(ย้อนหลัง2555)เร่งเกมจัดหนัก


เร่งเกมจัดหนัก
บทความ วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2555 17:46น.
356909
วันนี้ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ เป็นวันครบรอบ ๒๓ ปี ก้าวสู่ ปีที่ ๒๔ แห่งการก่อตั้ง สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. (๑ ก.พ.๒๕๓๒) ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก้าวผ่านกาลเวลา จากปี ๒๕๓๕ .... มาถึงปัจจุบัน  นอกจากขอบคุณในมิตรรักแฟนข่าวที่สนับสนุน ติดตามรับฟัง รับชม และรับข่าวมือถือของ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ด้วยดีเสมอตลอดมา....เรา ขอสัญญาด้วย สัจจะ-อุดมการณ์ และจรรยาบรรณวิชาชีพ ที่จะทำหน้าที่ "องค์กรสื่อมวลชน" รับใช้"ประชาชน" อย่างเข้มแข็งใน"จุดยืน"ที่"เป็นกลาง" ภายใต้สถานการณ์ ทั้งภายใน-ภายนอกประเทศ ที่ยังไม่น่าไว้วางใจ...ทั้งนี้ โดยยึดผลประโยชน์ของ"ประชาชน" เป็นสำคัญ ตลอดไป...
เข้าสู่โหมดสถานการณ์กันดีกว่า...
ทวีความเข้มข้นในการเคลื่อนไหวของภาคส่วนต่าง ๆ มากขึ้น...ท่ามกลางไทม์มิ่งที่นับถอยหลังไปสู่วันปลดแอกเหล่าบรรดา"แถวที่หนึ่ง" ที่อยู่ในกลุ่ม"บ้านเลขที่111" .....
ปรากฏการณ์ การขับเคลื่อนอย่างแหลมคม และน่าหวาดเสียวในความหมิ่นเหม่ ต่อการนำเสนอประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.112 ของ"กลุ่มนิติราษฎร์" กลุ่มอาจารย์หนุ่มด้านกฎหมาย...ที่ทำเอา พรรคเพื่อไทย และแม้แต่ กลุ่มเสื้อแดง ถอนทุ่นหนี แทบไม่ทัน ท่ามกลางกระแสที่เป็นจังหวะ"จุดติด"ในประเด็น"สถาบัน" ที่กรุ่น ๆ กลับมาสู่หน้าปัดข่าว มากขึ้น ๆ
ขณะเดียวกัน ก็น่าสนใจในจังหวะการเปิดเกมรุกของ "ฝ่ายค้าน" และกลุ่ม ส.ว.สรรหา ในปมการบริหารจัดการประเทศของรัฐบาล กรณี เคส พ.ร.ก. 4 ฉบับ (พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ , พ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ , พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย และ พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน)  ด้วยการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ ว่า พ.ร.ก.กู้เงินฯ และ พ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ขัดรัฐธรมนูญ หรือไม่...ซึ่งปมประเด็นนี้ อาจบานสะพรั่ง ส่งผลกระทบกับรัฐบาลในเส้นทางของกระบวนการ "ถ่วงดุลอำนาจ" จากฝ่ายตุลาการ โดยกระบวนการยุติธรรมแห่งศาลรัฐธรมนูญ.....
น่าสนใจในตัวละครที่ออกมาขับเคลื่อนบนบรรทัดข่าว ทั้ง"ทางเปิด"และ"ปิด" ที่ล้วนเป็น "คนเดิม หน้าเดิม" ที่บางท่านเปลี่ยนกลุ่มเปลี่ยนค่าย เปลี่ยนสถานะบทบาท แต่ไม่เปลี่ยนใจใน"จุดยืน" ที่เคย"สัประยุทธ์"กัน ในสถานะของ "คู่ขัดแย้ง" ที่ผลัดสลับกันเป็นฝ่าย"กุมอำนาจรัฐ" ในห้วง 5 ปีที่ผ่านมา...หลังการรัฐประหาร....
อย่าลืมว่า  ห้วงวันหยุดที่ผ่านมา แรงกระเพื่อมจากการนำเสนอของ "กลุ่มนิติราษฎร์" ที่ "น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ" ระบุว่า เชื่อมโยงกับ "คนเสื้อแดง" และ "พรรคเพื่อไทย" นั้น ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง...เริ่มตั้งแต่ มอนิเตอร์รับปฏิกริยาแรก จาก "ทหาร" โดย ผู้นำกองทัพ รวมถึง "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ผบ.ทบ. ที่ทำให้กระแสพาดผ่านไปถึง ข่าวการรัฐประหาร... และขยายต่อไปในหลายฝ่าย รวมทั้ง ท่าทีจากพรรคประชาธิปัตย์ กระทั่งมาถึง การออกมาของ "อ.ธีรยุทธ บุญมี" ที่ "จั่วหัว" ไว้ว่า สถานการณ์ถัดจากนี้...อาจจะลากถึงไปถึงระดับ"มิคสัญญี"
กระทั่งมาถึง บริบทของ สถาบันการศึกษา อย่าง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยหลัง ชมรมศิษย์เก่านิติศาสตร์ มธ.01 ที่มี "ชวน หลีกภัย" ร่วมอยู่ด้วย ยื่นร้องให้ ม.ธรรมศาสตร์ เอาเรื่อง กลุ่มอาจารย์หนุ่มใน"นิติราษฎร์" คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีมติเอกฉันท์ ห้ามกลุ่มนิติราษฎร์ ใช้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคลื่อนไหวล่ารายชื่อ แก้ไข ม.112 รวมถึง การทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดปฏิกริยา ทั้งหนุนและต้านจากหลายฝ่ายในสังคมทันที....
และแน่นอน เชื้อไฟที่ถูกเขี่ยให้คุโชนอีกครั้ง จากภายนอกสู่ภายในและจากภายในสู่ภายนอก ของ ม.ธรรมศาสตร์ ก็ยังคงความขลังเหมือนเช่นเหตุการณ์ในอดีต...ของมหาวิทยาลัยการเมืองแห่งนี้... เมื่อปรากฏว่า บรรดา "ศิษย์เก่า" ที่ความเห็นต่าง เริ่มกระเพื่อมเคลื่อนตัวออกมาเคลื่อนไหว ดั่งการนัดรวมพลใหญ่ของ "ศิษย์เก่าวารสาร" นำโดย "กนก รัตน์วงศ์สกุล" , "เสรี วงษ์มณฑา" , "ผาณิต พูนศิริวงศ์" ที่นัดรวมตัวกันต้าน "กลุ่มนิติราษฎร์" (๒ก.พ.) โดยจะยื่นหนังสือต่อ อธิการบดี "สมคิด เลิศไพฑูรย์" ให้เอาผิดกับ กลุ่มอาจารย์นิติศาสตร์.... ขณะเดียวกัน อีกฟากฝั่งก็เคลื่อนไหวคัดค้านการจำกัดสิทธิการแสดงออกของฝั่ง"กลุ่มนิติราษฎร์" เช่นกัน....
น่าจับตา ที่ปรากฏการณ์และกิจกรรม ที่จะเกิดขึ้นจากที่นี่ ม.ธรรมศาสตร์ จะเป็นการ "จุดปะทุ" ที่จะนำไปสู่ขยายวงของการ"อิน"ไปกับการปลุกปั่นยั่วยุอันหมิ่นเหม่ จาก ๒ ขั้วข้าง ที่ทุกฝ่ายรับรู้อยู่ว่า ในอดีต ทั้งย้อนกลับไป ปี ๒๕๑๙ ปี ๒๕๓๕ หรือ แม้กระทั่ง เมื่อปี ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ผลสุดท้ายจะนำไปสู่อะไร....
น่าสนใจว่า พลังงานแห่งการเปลี่ยนผ่านขึ้น-ลง จากอำนาจรัฐ ของทั้ง ๒ ขั้วข้าง ยิ่งนานวัน ยิ่งเพิ่มมากขึ้น...ที่แน่นอน ย่อมนำมาซึ่งความอันตราย...ในการสั่งสมเพื่อรอคอยการ"ปะทะ" ในเวลาอันไม่ช้าไม่นาน ภายใต้ไทม์มิ่งการแย่งชิงอำนาจระหว่างกันจากนี้.... โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยเปลี่ยนไปจาก "โฟกัส" เป้าหมาย อย่าง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"อดีตนายกฯ ที่ยังคงมี"บทบาท" อย่างเข้มข้น ทั้งทางเปิดและปิด
อย่าลืมว่า ห้วงวันหยุดที่ผ่านมา (๒๙ ม.ค.) ในงาน "ทีมงานพลังหนุ่ม" ที่จัดขึ้น ณ ศาลกลาง จ.นนทบุรี ที่ผสมกลมกลืนระหว่างงานของทางการกับงานของคนเสื้อแดง ภายใต้การชูบทบาท บรรดารัฐมนตรีหนุ่ม "พ.ต.ท.ทักษิณ"ได้โฟนอินสดขึ้นบนเวที งานนี้ พูดไปถึงวิธีการแก้ปัญหาบ้านเมือง และเอ่ยถึงบุคคลหัวหงอก หัวดำ ที่เป็นปัญหา....
ไม่แต่เท่านั้น ห้วงเวลาเดียวกันของวันหยุด ในท่ามกลางข่าวว่า มีการเตรียมยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญกลางสัปดาห์นี้ของพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง ยังมี รัฐมนตรี ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย ราวสิบกว่าคน และคนเสื้อแดงบางส่วน เดินทางไปพบกับ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ก่อนจะกลับมาพูดแทน ถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทย และ "ทักษิณ" ไม่เห็นด้วยกับ การแก้ไข ม.๑๑๒
ขณะเดียวกัน มีการออกมาปูดข้อมูลจากพรรคเพื่อไทย เพื่อตอบโต้การออกมาของ "น.ต.ประสงค์" ที่เชื่อมโยงพรรคเพื่อไทย กับ กลุ่มนิติราษฎร์ และคนเสื้อแดง ว่า มีวอร์รูมแถวพุทธมณฑล ที่มีทหารร่วมด้วย วางแผน เคลื่อนไหวล้มรัฐบาล โดยเชื่อมโยงไปถึงความพยายามก่อกระแสการปฏิวัติ....
ทั้งหมดทั้งมวล ที่ยังไม่นับรวมปรากฏการณ์เชื่อมจากประเด็นอื่น ๆ อันส่งผลกระทบต่อ "กองกำลัง" ของทั้งสองขั้วข้าง ในห้วงเวลาเหล่านี้...ปรากฏการณ์ "นิติราษฎร์" และ "ธรรมศาสตร์" อันเหมือน "ตัวเร่ง" หนนี้ จึงน่าจับตายิ่ง ในปฏิริยาตกกระทบที่จะติดตามมานับจากนี้ไปจนถึง เดือนพฤษภาคม อันเป็นเส้นตายของการ "ปลดแอก" ฟื้นคืนชีพของเหล่าบรรดา "รัฐมนตรีบ้านเลขที่ ๑๑๑" ว่า จะจัดหนักและแรง เพียงใด....

----------