PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

(ย้อนหลัง2555)สุขุมวิท 71 - สงครามโลก?


สุขุมวิท 71 - สงครามโลก?
บทความ วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2555 11:50น.
360535
ในท่ามกลางสถานการณ์การเมืองไทย กับศึกแย่งชิงอำนาจภายในของ ๒ ขั้วอำนาจ ที่เริ่มเล่นทุกกระบวนท่า ทั้งใต้ดิน บนดิน แม้กระทั่งไปถึง เรื่อง ว.๕ โฟร์ซีซันส์ ..ปรากฏการณ์ระเบิด ๓ จุด ในซอยสุขุมวิท ๗๑ กรุงเทพฯ ประเทศไทย (๑๔ ก.พ. ๕๕) อันซ่อนเร้นด้วยเกมสงครามมหาอำนาจซีกโลกตะวันตก - ตะวันออก (สหรัฐฯ - จีน) ที่มีตัวแปรคู่ขัดแย้งระหว่าง "ยิว" ประเทศอิสราเอล กับ มุสลิมชีอะฮ์ อิหร่าน กลายเป็น "ประเด็นไม่ธรรมดา" อันลุกลามบานปลาย ที่นักการข่าวทั่วโลกหันมาให้ความสนใจติดตาม ไม่แต่เฉพาะหน่วยข่าวความมั่นคง หรือฝ่ายอำนาจในประเทศไทย
เป็นความไม่ธรรมดาอันควรที่ทุกฝ่ายในบ้านเมืองควรผนึกกำลังช่วยกัน เพื่อสกัดความบานปลาย จากการขยายประเด็นสงครามการก่อการร้าย วินาศกรรม อันตรายจากภัยเหล่านี้ ให้ปกคลุมพื้นที่ของประเทศไทย ไม่นับรวมการเริ่ม "สัญญาณร้าย" จั่วหัวสถานการณ์อันตรายจากการก่อการร้าย ในภูมิประเทศนี้ ตั้งแต่เดือนที่แล้ว ของสหรัฐฯ และอิสราเอล ในการเตือนพลเมืองของตนในการเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ของไทย
มีความน่าสนใจที่ในขณะที่ฝ่ายทางการ ทั้งการข่าวความมั่นคง ทหาร ตำรวจ รัฐบาล พยายามที่จะชี้แจงว่า ประเด็นระเบิดที่สุขุมวิท ๗๑ ไม่ใช่ "การก่อวินาศกรรม" และไม่ใช่ "การก่อการร้าย" รวมถึงไม่มีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์วินาศกรรมก่อการร้ายในประเทศอินเดีย และจอร์เจีย ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน และไม่เกี่ยวข้องกับอิหร่าน หรือกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน อันสอดรับกับการออกมาของผู้นำสูงสุดกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ "ไซย์เอ็ด ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์" ที่ออกมาปฏิเสธโดยการปราศรัยไปถึงกลุ่มผู้สนับสนุนที่อยู่ทางตอนใต้ของกรุงเบรุต เลบานอน ว่า ไม่ได้ปฏิบัติการในอินเดีย จอร์เจีย และไทย รวมถึงประเทศอินเดียเอง ก็ระบุว่า ระเบิดเป็นคนละชนิดกัน..
ในขณะที่ฝ่ายสหรัฐฯ และอิสราเอล และบางฝ่ายในประเทศไทย ยังคงพยายามที่จะตอกย้ำว่าเกี่ยวข้องสัมพันธ์เชื่อมโยงของเหตุการณ์ ว่า อิหร่านอยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะการพุ่งเป้าไปยังประเด็นการลอบสังหาร นายเอฮุด บารัค รมว.กลาโหมของอิสราเอล ที่อยู่ระหว่างการเยือนสิงคโปร์ (๑๓ ก.พ.) ที่สิงคโปร์ ออกมาปฏิเสธแล้ววันก่อน แม้กระทั่งล่าสุด (๑๘ ก.พ.) มีการฟันธงจากอิสราเอล อีกครั้งว่า นายพลทหารที่อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนกองกำลังในอิหร่าน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งการปฏิบัติการในกรุงเทพฯ...
น่าสนใจในอีกชุดข้อมูล จาก "ทอม โดนิลอน" ที่ปรึกษารัฐบาลสหรัฐฯ ด้านความมั่นคง (๑๘ ก.พ.) ซึ่งกำลังจะพบกับ"เบนจามิน เนทันยาฮู" นายกฯอิสราเอล ที่ระบุว่า เพื่อหารือในประเด็นความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลาง และมาตรการรับมือโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน.. ที่สอดรับกับท่าทีของอังกฤษ "วิลเลียม เฮก" รมว.ต่างประเทศ ที่แถลง (๑๘ ก.พ.) ว่า อิหร่านมีความทะเยอทะยานในด้านนิวเคลียร์ อาจทำให้เกิด "สงครามเย็น" รอบใหม่ ที่ล่อแหลมต่อสันติภาพโลกมากกว่าครั้ง "สงครามเย็น" ระหว่างโลกตะวันตกกับสหภาพโซเวียตในอดีต เพราะจะทำให้ชาติตะวันออกกลางอื่นๆ จะหันมาพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เหมือนอิหร่านเช่นกัน..
นี่นับเป็นการ "จั่วหัว" ส่งสัญญาณ..กันอีกระลอก จากมหาอำนาจซีกโลกตะวันตก ที่อย่าลืมว่า ถ้าหากจัดแยก "ตัวละคร" และความสัมพันธ์ของ "ตัวละคร" ระดับโลก เหล่านี้ออกมา จะพบว่า ฟากฝ่ายตะวันตก ที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ นอกจาก "อิสราเอล" เบี้ยที่ใช้เดินแทน "อิรัก" และ "ซาอุดีอาระเบีย" แล้ว สหรัฐฯ ยังมีอังกฤษ และอีกหลายประเทศในกลุ่มประเทศอาหรับ ที่พร้อมร่วมมือ ในขณะที่ "อิหร่าน" ที่กลายเป็น "ศัตรู" และกำลังเข้าไปสู่โหมดประเทศของ "ผู้ก่อการร้าย" ผ่าน "กลุ่มฮิซบอลเลาะห์" ที่ถูกตั้งค่าจากโลกตะวันตก ไม่ต่างจากกรณี "อัลกออิดะฮ์"ของ "อุซามะฮ์ บิน ลาดิน" หัวหน้าผู้ก่อการร้ายอันดับ ๑ ที่สหรัฐฯ ต้องการตัวก่อนหน้านี้ ซึ่งถูกระบุเกี่ยวข้องกับวินาศกรรมเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ทั้งที่อดีต "บิน ลาดิน" เคยเป็นคนของ CIA สหรัฐฯ ที่เข้าไปทำงานต่อต้านอำนาจของโซเวียตรัสเซีย ในอัฟกานิสถานกับ "กลุ่มมูจาฮีดีน" ภายใต้ กองทัพมุสลิมอาสาสมัครที่เรียกว่า "ญิฮาด" หรือ "นักรบศักดิ์สิทธิ์" ที่ถูกฝึกขึ้น และเข้าไปร่วมกับ "มูจาฮีดีน" ในการต่อต้านกองทัพรัสเซีย ในอัฟกานิสถาน กระทั่งรัสเซียยอมถอนทหารออกไป และสหรัฐฯ ก็ยุติบทบาทในพื้นที่
ดังกล่าว และทิ้งให้อัฟกานิสถาน กลายเป็นดินแดนมิคสัญญีแห่งการเข่นฆ่าแย่งชิงอำนาจกันเอง มีผู้คนเสียชีวิตนับแสนคน..
ส่วนกรณีของ "อิหร่าน" นั้น มีชุดข้อมูลที่น่าสนใจเช่นกัน ว่า การเข้าไปแทรกแซงกลุ่มประเทศอาหรับ ที่มีผลประโยชน์ด้านน้ำมันของสหรัฐฯ จนเกิด "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" ระหว่างอิรัก - อิหร่าน กระทั่งเสร็จศึก สหรัฐฯ มีการฆ่าโคถึกอย่าง "ซัดดัม" ด้วยข้อกล่าวหา "นิวเคลียร์นิยม" เฉกเช่นที่กำลังมีกล่าวหา "อิหร่าน" และประเทศพันธมิตรกับ "จีน" ในภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น เกาหลีเหนือ หรือแม้กระทั่ง พม่า
น่าสนใจในชุดข้อมูลสำคัญ ที่เชื่อมโยงมาเกี่ยวข้องกับประเทศไทย ล่าสุด กับการเข้ามาของกลุ่มคนร้าย ที่ถูกระบุว่าเป็น "ชาวอิหร่าน" โดยยึดโยงย้อนหลังไปถึงเหตุการณ์ในปี พ.ศ.๒๕๓๗ ระหว่างเหตุการณ์สงครามอิรัก - อิหร่าน ยังไม่สงบดี.. น่าสนใจในชุดข้อมูลที่กำลังมีการค้นหาคำตอบใน ๓ คำถามของ "หน่วยข่าว" ในประเทศไทย เวลานี้ ที่ว่า ๑. กรณีระเบิด ๓ จุด สุขุมวิท ๗๑ นอกจากฝ่ายพันธมิตรสหรัฐฯ และสหรัฐฯ ไม่มีใครยืนยันว่าเป็นฝีมืออิหร่าน ๒. ขณะเดียวกันในทางการข่าว กลับมีการยืนยันว่า อาจเป็นปฏิบัติการของสหรัฐฯ
กับอิหร่าน และ ๓. ปฏิบัติการปี ๒๕๓๗ ที่กรุงเทพฯ บนนถนนพระรามสี่ ท้องที่ สน.ลุมพินี ไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่ใช่ฝีมือการปฏิบัติการของอิหร่าน.. แต่เคสนั้นไม่มีใครถูกจับกุม กรณีที่สวนลุม เมื่อปี ๒๕๓๗ มีการระบุจาก "นักการข่าว" ที่ติดตามสถานการณ์นี้ ว่า ในรถบรรทุกระเบิดซีโฟร์ ที่มีปุ๋ยยูเรียเต็มคัน (ที่หากจุดชนวนจะมีรัศมีการทำลายโดยรอบ ๕ ก.ม.) ที่เกิดเฉี่ยวชนกับมอเตอร์ไซค์ และมีการไปพบนั้น ลึกไปกว่าที่ปรากฏเป็นข่าวเวลานั้น เกี่ยวข้องไปถึงสงครามอ่าว ที่สหรัฐฯ ใช้ "ซัดดัม" แห่งอิรัก เข้าจัดการกับ "อิหร่าน" ซึ่งหนึ่งในแพลน
ปฏิบัติการ มีการดำเนินการคล้ายให้ CIA ขับเครื่องบินบรรทุกยุทโธปกรณ์เข้าไปในนิการากัว เมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อน โดยมีการระบุว่า ในปี ๒๕๓๗ มีความพยายามขอใช้สนามบินอูตะเภา ของไทย.. ในการใช้เครื่องบินไปทิ้งระเบิดในอิหร่าน (เนื่องจากไม่สามารถหาฐานอื่นในประเทศอาหรับได้) ที่เป็นที่มาของการปฏิบัติการปกป้องความเป็นตายประเทศของตนในประเทศไทย โดยการสกัดแผนมหาอำนาจตะวันตก อันเป็นที่มาของการขู่รัฐบาลไทยเวลานั้น ว่า ยังมีรถบรรทุกปุ๋ยยูเรียอีกคัน.. พร้อมปฏิบัติการ หากไทยยังยืนยันในการให้สหรัฐฯ ใช้สนามบินดังกล่าว
นี่เป็นประวัติศาสตร์ย้อนหลัง ที่ไทยเข้าไปเกี่ยวกับเขา ยังไม่นับรวมการเข้ามาเกี่ยวข้องในสงครามเวียดนามของสหรัฐฯ ที่กลายเป็นบาดแผลประวัติศาสตร์มาจนถึงทุกวันนี้..
น่าสนใจไปกว่านั้น คือ ข่าวการชิงนำบทบาท "สันติภาพ" ของอิหร่าน ในการเสนอแนวทางการเจรจากับสหรัฐฯ ในกรณีสถานการณ์เหล่านี้.. ในห้วงเวลาเหล่านี้.. ที่อาจส่งผลกับสหรัฐฯ อย่างไร.. ในทางการเมืองโลก
น่าสนใจในความเป็นไปอันง่อนแง่นของสหรัฐฯ กับภาวะผู้นำจักรวรรดิ ที่แบ่งเป็น ๓ ขั้วอำนาจแห่งทวีปอเมริกา - ยุโรป - เอเชีย ที่กำลังถูกท้าทายในภาวะการแข่งขันกันเดินหน้าทางเศรษฐกิจ ยุคศตวรรษที่ ๒๑ ที่ เอเชียกำลังผนึกรวมภายใต้การนำของ "จีน", อินเดีย ไม่นับรวม ญี่ปุ่น ที่คิด "ปลดแอก" จากสหรัฐฯ ดังการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในประเทศแถบนี้ ที่ยังอุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งอาหาร พลังงาน ภายใต้แนวรบที่เคยถูกสร้างโดยโลกตะวันตก ที่กำลังเปลี่ยนเป็นสนามการค้าในอีก ๔ - ๕ ปีข้างหน้า กับเขตการค้าเสรีอาเซียน ที่กลับกลายเป็น"ปฏิกิริยาเร่ง" ให้สหรัฐฯ และชาติตะวันตก พากันเข้ามาปฏิบัติการทั้ง "บนดิน" และ "ใต้ดิน" ในประเทศแถบนี้ รวมถึงไทย
ปรากฏการณ์ในข้อกล่าวหา "ก่อการร้าย" และ "นิวเคลียร์นิยม" ที่ซัดทอดไปยัง "อิหร่าน" ของอิสราเอล (ทั้งที่อิสราเอล ถูกระบุเช่นกันว่ามีการพัฒนาอาวุธดังกล่าว โดยการสนับสนุนจากพันธมิตรตะวันตก) อันเชื่อมโยงไปถึงศักยภาพของ "ฮิซบอลเลาะห์" หนนี้ จึงไม่ธรรมดาในสัญญาณ "สงคราม" ระดับโลก ที่มีรูปแบบแตกต่างจากสงครามโลก ครั้งที่ ๑ หรือ ๒ แต่อาจคล้าย "สงครามเย็น" ที่มีขึ้นกระทั่งโซเวียตล่มสลายพ่ายแพ้ทุนนิยม อันมีปฏิบัติการจากมหาอำนาจซีกโลกตะวันตกอยู่เบื้องหลัง เมื่อหลายปีก่อน..
นี่อาจเป็นเป็น "สัญญาณสงคราม" ที่ถูกกำลังถูกจุดประทุขึ้นอีกครั้ง ภายใต้การดิ้นรนให้รอดพ้นจากการเสื่อมทรุดสลายหายไปจากบทบาทอำนาจ ๓ ทวีป ของมหาอำนาจฝั่งตะวันตก ในยุคศตวรรษที่ ๒๑ ที่โลกกำลังผละจากพื้นที่พลังงาน เข้าสู่โหมดการแย่งชิงพื้นที่ทางเศรษฐกิจ และแหล่งอาหารทรัพยากร.. ที่รัฐบาลประเทศไทย ซึ่งถูกดึงเข้าไปในแผนการเดินเกมเหล่านี้ ควรระมัดระวังการก้าวข้ามผ่านสถานการณ์นี้เช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น: