PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ถ้าเลือกได้ ผมเองก็อยากตายในสนามรบเป็นนักเรียนทหาร ต้องเตรียมใจ

ถ้าเลือกได้ ผมเองก็อยากตายในสนามรบเป็นนักเรียนทหาร ต้องเตรียมใจ
"บิ๊กป้อม"ยั้วะ โดน นักข่าวรุมซัก นักเรียนเตรียมทหาร เสียชีวิต ยันไม่ได้เสีย ชีวิตถูก"ซ่อม" หรือลงโทษ เผย เรียนเตรียมทหาร ผมก็โดนซ่อม เหมือนกัน เพียงแต่ไม่ตายเท่านั้นเอง เผย ถ้าเกินกำลังก็สลบไป ยันไม่เกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน
ชี้คนที่จะมาเป็นนักเรียนทหารต้องพร้อมสำหรับการสูญเสียและการถูก"ธำรงวินัย"/ ข้องใจทำไมเข้ามาเรียนได้ หากสุขภาพไม่แข็งแรง เผยที่ผ่านมาไม่ค่อยมีเหตุการณ์ที่นักเรียนทหารเสียชีวิต/เผยหากเลือกได้ผมเองก็อยากตายในสนามรบ
พลเอกประวิตร ยืนยันว่า การเสียชีวิต ไม่ได้เกิดจากการถูกลงโทษ ถูกซ่อมหรือ การซ้อม ใดๆทั้งสิ้น
และเชื่อว่า รร.เตรียมทหาร ไม่ได้ปิดบังข้อมูล จะปิดได้ยังไง ไม่มีใครอยากมา ทำให้เสียชีวิตหรอก
เมื่อถามว่าเมื่อมีโรคประจำตัวหรือไม่แข็งแรงทำไมถึงมาเป็นนักเรียนเตรียมทหารได้พลเอกประวิตร กล่าวว่า ผมก็สงสัยอยู่เนี่ยช่วยตอบผมหน่อยสิว่ามาเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ได้อย่างไร
"ผมก็อยากรู่ ตอบเราหน่อยสิ"
ส่วนการที่ ไดอารี่ ของ น้องเมย ระบุว่าโดนซ่อมนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็โดนซ่อมทุกคนล่ะ ผมก็โดนมา โดนทั้งนั้น เช่นโดนมายึดพื้นอะไรพวกนี้ สก๊อตจั๊มพ์ วิ่ง ยึดพื้น ไม่มีการโดนตัว ไม่มีอะไรหรอก
เมื่อถามว่าหากมีการซ่อมจนเกินกำลังของนักเรียนที่จะรับไหวจะทำอย่างไร. เอกประวิตร กล่าวว่า ถ้าเกินกำลัง ผมก็สลบไปแค่นั้น ตอนผมโดน. คุณไม่มาดูนี่ แต่ผมรอดมา ผมมันไม่ตายไง
เมื่อถามว่าแสดงว่าถ้าเข้ามาเรียนเป็นนักเรียนทหารจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับการสูญเสียใช่หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่าใช่ ถ้ามาเรียนทหารก็ต้องพร้อม แต่ส่วนใหญ่นักเรียนเตรียมทหารจะต้องผ่านการตรวจร่างกาย การตรวจโรค ปกติ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมี เพราะจะแข็งแรงทุกคน
สำหรับเรื่องการลงโทษหรือถูกซ่อมในโรงเรียนเตรียมทหารนั้นไม่ได้ซ่อมอะไรมากมายเป็นการให้ออกกำลังกาย เช่น วิ่ง วิดพื้น สก๊อตจั๊มพ์
เมื่อถามว่าจะต้องมีการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนของโรงเรียนเตรียมทหารหรือไม่พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็มีการปรับปรุงกันอยู่แล้ว. ส่วนเรื่องการซ่อม หรือลงโทษไม่ได้ซ่อมอะไรมากมาย
ส่วนการที่นักเรียนเตรียมทหาร คนนี้ เคยถูกซ่อมจนหยุดหายใจไปนั้นพลเอกประวิตรกล่าวว่า อาจมีปัญหาเรื่องสุขภาพ บางครั้งการฝึกกลางแดด ก็อาจทำให้เกิด heat stroke. เพราะมันร้อน
"คุณจะมาซักผม แล้วได้ประโยชน์อะไรขึ้น
มา"
ทั้งนี้เรื่องการเรียนการสอนในโรงเรียนเตรียมทหารหรือการลงโทษต่างๆเป็นคนเดินเรื่องและไม่เกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน
แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นในโรงเรียนเตรียมทหาร
ส่วนเรื่องอวัยวะภายในที่หายไปนั้นพลเอกประวิตร กล่าวว่า ทางรร.เตรียมทหาร และแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ได้ชี้แจงแล้ว และคุยกับ พ่อแม่แล้ว ช่วยดูแล จัดงานศพ
เมื่อถามว่าทำไม ไม่แจ้งพ่อแม่ก่อนที่จะมีการนำเอาอวัยวะภายในไปตรวจพิสูจน์
พลเอกประวิตร กล่าวว่าเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวนที่ไม่ได้แจ้งพ่อแม่ก่อนเพราะตามกฏหมายในการชันสูตรศพ ไม่ต้องบอก พ่อแม่
เมื่อถามว่าควรจะต้องใบอกพ่อแม่ ก่อนเอา อวัยวะไป หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่าเป็นเรื่องของทางพนักงานสอบสวน
" พ่อแม่ ไม่เผาศพ ก็ไม่บอกเราเหมือนกัน"
ทั้งนี้เพราะสาเหตุการตาย ยังไม่รู้แน่ชัดพนักงานสอบสวนจึงต้องส่งให้แพทย์ชันสูตร ใครจะไปรู้ว่า เพราะหัวใจล้มเหลว เฉียบพลันใครจะไปรู้
"เป็นเรื่องของพนักงานสอบสวนไป คุณอย่ามาสอบสวนผมเลย"
เมื่อถามว่าจะทำอย่างไร ไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็ไม่ต้องเข้ามา ไม่ต้องมาเรียนเป็นทหาร หาเอาคนที่เต็มใจ
เมื่อ ถามว่าหากใครจะเข้ามาเป็นนักเรียนทหาร ก็จะต้องเตรียมใจ สำหรับการถูก"ธำรงวินัย" แบบนี้ ใช่หรือไม่. พลเอกประวิตรกล่าวว่า อ๋อ ใช่ ถูกต้อง
เมื่อถามว่า เขา ควรจะตายกับการรบกับข้าศึกในสนามรบ มากกว่า มาตายในโรงเรียนทหารแบบนี้หรือไม่. พลเอกประวิตร กล่าวสวนอย่างมีอารมณ์ว่า อ้าวก็เค้าไม่สบายอ่ะ ถ้าเลือกตาย ได้ผมก็เลือกตายในสนามรบเหมือนกัน
"เรื่องมันเกิดขึ้น มาเป็นเดือนแล้ว คุณจะมาสอบสวนอะไรกับผม จะเอายังไง" พลเอกประวิตรกล่าวตบท้าย ก่อนยุติการแถลงข่าว แล้วเดินเข้าไปหยอกสื่อ คนที่ตั้งคำถามด้วยเสียงหัวเราะว่า. จะเอายังไง

คนนี้มาแรง

คนนี้มาแรง



ผลการสรรหา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คนใหม่ แทน นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการ สตง.คนดัง ซึ่งมีผู้ประสงค์อยากเป็น รวมทั้งสิ้น 18 คน

ปรากฏว่า นายประจักษ์ บุญยัง รองผู้ว่าการ สตง.คนปัจจุบัน สะง่อมเก้าอี้ผู้ว่าการ สตง.คนใหม่ไปได้อย่างสะดวกโยธิน

โดยคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งมี พล.อ.ชนะทัพ อินทามระ เป็นประธานได้ลงมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ให้เสนอชื่อ “นายประจักษ์” ไปให้ที่ประชุม สนช.ลากตั้ง ลงมติเห็นชอบต่อไป

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าผลการสรรหาผู้ว่าการ สตง.คนใหม่ ออกมาพลิกล็อกระเบิดเถิดเทิง

เพราะมีสายแข็งลงสมัครแข่งขันชิงเก้าอี้ ผู้ว่าการ สตง.คนใหม่หลายคน

หนึ่งในนั้นคือ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการ สตง.คนเก่า ซึ่งที่ผ่านมาได้สนองนโยบาย คสช.อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู

อีกหนึ่งคือ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม

อีกหนึ่งคือ นายประยงค์ ปรียาจิตต์ อดีตเลขาธิการ ปปง.

แถมยังมีรองผู้ว่าการ สตง. และอดีตรองผู้ว่าการ สตง. ลงชิงดำพร้อมกันถึง 4 คน

ดังนั้น การที่ นายประจักษ์ เป็นม้ามืดแซงเข้าป้ายทิ้งม้าตัวเก็งฝุ่นกระจายย่อมไม่ธรรมดา

ยิ่งการได้รับเสียงสนับสนุนเป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ยิ่งเพิ่มความไม่ธรรมดาขึ้นอีกเท่าตัว

เหตุใด คณะกรรมการสรรหา 7 คน จึงเทคะแนนเลือกนายประจักษ์เป็นผู้ว่าการ สตง.คนใหม่กันอย่างพร้อมเพรียงไม่มีเสียงแตกแม้แต่เสียงเดียว

ทั้งๆที่มีผู้เข้าประกวดชายงามให้เลือกได้ตั้ง 18 คน

ตรงนี้แหละทำให้การสรรหาผู้ว่าการ สตง.คนใหม่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าที่ควร

“แม่ลูกจันทร์” มองแง่ดีว่าแม้งวดนี้ “ม้ามืดจะเข้าวิน”

แต่การเลือก “คนใน” ขึ้นเป็นผู้ว่าการ สตง.คนใหม่ น่าจะทำให้การทำงาน มีความต่อเนื่องมากกว่าเอา “คนนอก” เข้าไปเสียบแทน

ประกอบกับผลงานของ “นายประจักษ์” ในฐานะรองผู้ว่าการ สตง.ก็มีความโดดเด่นกว่ารองผู้ว่าการ สตง.ทุกคน

เนื่องจากนายประจักษ์ เป็นพยานปากสำคัญที่ไปเบิกความคดีโครงการจำนำข้าวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง

จนทำให้ อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี

ตรงนี้น่าจะเป็นผลงานชิ้นโบแดงที่ทำให้นายประจักษ์ แซงคู่แข่งเบอร์ใหญ่ๆขึ้นเป็นผู้ว่าการ สตง.คนใหม่แบบหักปากกาเซียน

“แม่ลูกจันทร์” มองว่าการสืบทอดอำนาจ คสช.ระยะยาวจำเป็นต้องใช้เครื่องมือหลายอย่างประกอบกัน
ไม่ใช่มี ส.ว.ลากตั้ง 250 คน หรือมีพรรคการเมืองของตัวเองแล้วจะทำให้ คสช.สืบทอดอำนาจต่อไปได้อย่างสบายๆ

ถ้าหวังให้การสืบทอดอำนาจมีความมั่นคงแข็งโป๊กไม่โยกไม่คลอน

ต้องมีองค์กรอิสระที่ไว้วางใจได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เช่น...

ต้องมี กกต. 7 คน ควบคุมการเลือกตั้ง และชี้ขาดผลการเลือกตั้งครบวงจร

ต้องมี ป.ป.ช. 9 คนที่มีอำนาจไล่บี้เช็กบิลนักการเมือง

และต้องมีผู้ว่าการ สตง.อีก 1

คนที่มีอำนาจตรวจสอบได้ครอบ จักรวาล

ใครจะได้เป็นผู้ว่าการ สตง.จึงมีความสำคัญ และต้องเลือกเฟ้นมาอย่างดี

ขืนตั้งคนผิดฝาผิดตัวเป็นผู้ว่าการ สตง.

ก็ยุ่งเป็นฝอยขัดหม้อน่ะซีโยม.

"แม่ลูกจันทร์"

ลุ้นเสี่ยงแค่พอถอยได้

ลุ้นเสี่ยงแค่พอถอยได้


“เรือแป๊ะ” มันดูโคลงเคลงไป ต้องใช้ “เรือรบ” ถึงจะแน่นปึ้ก

ก็ถือว่าเป็นไปตามเป้าเข้าเหลี่ยมกระแส กับช็อต “ลงเรือรบลำเดียวกัน” ที่พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ ฉากไฮไลต์ที่ถูกจับตาคิวแรกที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ได้พบกับ “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม

นับตั้งแต่มีกระแสปรับ ครม.หลัง “นายกฯลุงตู่” บอกกลางวงประชุม ครม.ขอใช้อำนาจในการตัดสินใจแต่ผู้เดียว ท่ามกลางข่าวลือแหลมๆเสียวๆเกี่ยวกับการหักดิบระหว่างพี่ๆน้องๆ

อาการขุ่นข้องหมองใจที่เว้นระยะวัดใจกันอยู่หลายวัน

แล้วก็เป็น “บิ๊กตู่” ที่ออกมายืนยันว่า พล.อ.ประวิตร รวมถึง “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยังอยู่ในคณะรัฐมนตรี ไม่มีการขยับตามกระแสข่าวลือ

ต่อเนื่องกับจังหวะที่ “น้องเล็ก” ต้องขึ้นเวทียืนยันต่อหน้าขุนทหารและสื่อมวลชนในงานสวนสนามทางเรือนานาชาติ ประกาศให้รู้โดยทั่วกันเลยว่า “พี่ใหญ่” เป็นคนสั่งสอนให้เป็นคนดี

ถ้าไม่ดีเลิกคบกันไปนานแล้ว

ประเมินแนวโน้มตามรูปการณ์ ไม่ใช่แค่อวดผู้คนทั่วไป แต่ช็อตนี้ “น้องเล็ก” ยังต้องการโชว์ให้ “พี่ใหญ่” ได้สบายอกสบายใจด้วยว่า ยังไงก็ไม่เห็นขี้ดีกว่าไส้

สุดท้ายเลยพี่น้องก็กอดคอยืนยันสัมพันธ์ 40 ปี ไม่มีใครเสี้ยมให้แตกได้

สรุป ณ ห้วงนี้ ทีมอำนาจ “บูรพาพยัคฆ์” ยังแน่น คลื่นความถี่แค่ไหนก็แทรกยาก

และจากนี้ไปคงต้องลุ้นโฉม ครม. “ประยุทธ์ 5” จะออกมาหน้าตาอย่างไร ที่แน่ๆภายใต้ เงื่อนสถานการณ์ที่พี่น้องกอดคอกันลุยไฟ ท้าทายแรงเสียดทานที่น่าจะไม่ลดระดับลงไป

ตามเงื่อนไขที่ “บิ๊กตู่” ไม่ได้โอนอ่อนตามแรงบีบของกระแส

และอาจหมายรวมถึงสัญญาณคลื่นความถี่สูงที่ลือกันหนาหูว่า “ล็อกเป้า” 3 ชื่อ

ตอกย้ำข่าวลือ จับทางจากที่ “บิ๊กตู่” พูดถึงปมคนรอบข้าง “พี่ใหญ่” ที่ชอบอ้างชื่อ ไปหาผลประโยชน์ ทำให้ “บิ๊กป้อม” เสื่อมเสีย โดยขอให้คนที่มีข้อมูลส่งตรงมาที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมเคลียร์ให้

นั่นก็เป็นอะไรที่สะท้อนว่าหัวหน้า คสช.ก็รู้ “จุดเสี่ยงตาย”

พยายามผ่องถ่ายแรงกระแทกที่พุ่งตรงเข้าใส่ “พี่ใหญ่” โจทย์ยากสุดในการปรับ ครม.รอบนี้

และนั่นก็โยงไปถึงจุดที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดเป็นเชิงออกตัว ถึงเสียงเรียกร้องให้รับผิดชอบกับโฉมหน้าการปรับ ครม.ที่ออกมาเป็นนัยว่า ตนเองแบกรับภาระความรับผิดชอบมาตั้งแต่การตัดสินใจยึดอำนาจในเดือนพฤษภาคม 2557 แล้ว

นั่นหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ก็พร้อมรับผิดชอบกับผลที่ออกมาแต่ผู้เดียว

ภายใต้เงื่อนสถานการณ์ที่ยังมีแค่ “ลุงตู่” คนเดียวที่เหมาะสุดกับสภาวการณ์ประเทศยามนี้

และนั่นก็เป็นอะไรที่สังคมทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับเงื่อนไขความจำเป็นของ “นายกฯลุงตู่” ที่แม้โดยลำพัง
ส่วนตัวจะมีคะแนนต้นทุนหน้าตักสูง กระแสการยอมรับจากสังคมอยู่ในระดับติดลมบน แต่โดยเกมอำนาจที่เสี่ยงไปโดยลำพังไม่ได้ ในเมื่อมีแก๊งวางตะปูเรือใบดักอยู่สองข้างทาง

ไม่เว้นแม้แต่แนวร่วมข้างเดียวกันเองที่จ้องเสียบทุกจังหวะ

มันจึงจำเป็นอย่างที่เรียกว่า “ขาดไม่ได้” ต้องพึ่ง “พี่ใหญ่” อย่าง พล.อ.ประวิตร ผู้มากบารมี กว้างขวางในทุกวงการ คอนเน็กชั่นแน่นปึ้กทั้งในกองทัพและขุมข่ายเชื่อมโยงทางการเมือง และยังรวมไปถึง “พี่รอง” อย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย คนที่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นแท่น ผบ.ทบ.

แต่นอกจากเรื่องพี่ๆน้องๆ ต้องยอมรับว่า การขยับยกเครื่อง ครม.รอบนี้

“นายกฯลุงตู่” ก็ยอมใส่เกียร์ถอยในหลายๆจุด

อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์แบไต๋แล้วว่า การปรับ ครม.รอบนี้มีรัฐมนตรีสายทหารออกน้อยกว่าเข้า นั่นหมายถึงการทำตามกระแสสังคมที่เรียกร้องให้ลดโควตารัฐมนตรีทหารที่ไร้ผลงาน เพิ่มมือบริหารอาชีพเข้ามาช่วยเสริมงานรัฐบาล

หรือการจำใจขยับเพื่อนรักอย่าง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ออกจากจุดเดิม เปิดพื้นที่ให้กัปตันทีมเศรษฐกิจอย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ มีความคล่องตัวในการสั่งการเชื่อมประสานกับกระทรวงพาณิชย์ ในการเดินหน้าภารกิจแก้ปมพืชผลเกษตรราคาตกต่ำ แก้ลำขบวนการปลุกม็อบยางพารา ข้าว มันสำปะหลัง มาขย่มรัฐบาล

สถานการณ์ของคนกำลังโดนรุกไล่ “ลุงตู่” ต้องเดินเกมอย่างระมัดระวัง

ขืนถอยหลายก้าวพร้อมกันเดี๋ยวหงายท้อง.

ทีมข่าวการเมือง