PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อดีตทูตทหารสหรัฐฯเตือน'โอบามา'เร่งฟื้นสัมพันธ์'ไทย' ชี้กระทบยุทธศาสตร์ปักหมุดเอเชีย

อดีตทูตทหารสหรัฐฯเตือน'โอบามา'เร่งฟื้นสัมพันธ์'ไทย' ชี้กระทบยุทธศาสตร์ปักหมุดเอเชีย
Cr:ผู้จัดการ
วอลล์สตรีท เจอนัลด์ - อดีตผู้ช่วยทูตทหารสหรัฐฯเขียนบทความเตือนรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา ว่าความสัมพันธ์ที่เสื่อมทรามลงระหว่างอเมริกากับไทย กำลังคุกคามนโยบายปักหมุดเอเชียของผู้นำรายนี้ แนะวอชิงตันปรับท่าทีเล่นบทบาทเชิงสร้างสรรค์กับพันธมิตรเก่าแก่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งทางยุทธศาสตร์
บทความของพ.อ.เดสมอนด์ วอลตัน อดีตผู้ช่วยทูตทหารสหรัฐฯ ประจำกรุงเทพฯ และหัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางทหารสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย บนเว็บไซต์วอลล์สตรีท เจอนัลด์ ระบุว่าความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับไทย เสื่อมทรามลงอย่างมากนับตั้งแต่เหตุรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2014 และไม่เป็นที่แปลกใจที่วอชิงตันจะแสดงท่าทีหมางเมินใส่รัฐบาลรักษาการของไทยและเน้นย้ำให้คืนสู่ประชาธิปไตยในทันที ที่ก่อความเสียหายในแง่มุมอื่นๆของความสัมพันธ์ด้วย
พ.อ.วอลตัน ระบุว่าแนวทางนี้ไม่ได้แค่สั่นสะเทือนความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงเมื่อเร็วๆนี้ แต่มันยังคุกคามหนึ่งในความคิดริเริ่มทางนโยบายต่างประเทศที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของประธานาธิบดีโอบามา ในการคืนความสมดุลแก่เอเชีย-แปซิฟิก
ด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงกับไทยที่อ่อนแอลง ส่วนความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าก็หยุดนิ่ง พ.อ.วอลตัน จึงแนะนำว่าถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลสหรัฐฯจะทบทวนพิจารณาแนวทางใหม่
อดีตผู้ช่วยทูตทหารสหรัฐฯบอกต่อไปว่าเขาไม่ได้พูดว่าให้สหรัฐฯ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของกองทัพไทย แต่วอชิงตันสามารถเล่นบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในการสนับสนุนธรรมาภิบาล ในนั้นรวมถึงเคารพสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพลเรือน โดยไม่จำเป็นต้องโต้เถียงอย่างเปิดเผยกับเหล่านายพล ในแนวทางที่รังแต่สร้างความบาดหมางกับคนไทยต้องการเห็นการสิ้นสุดของการปกครองของทหารเช่นกัน ทั้งนี้รูปแบบทางการทูตที่ดีที่สุดคือต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและมีชั้นเชิง ไม่ประณามอย่างโต้งๆ
บทความของพ.อ.วอลตัน ระบุว่าปฏิกริยาตอบสนองของไทยเป็นไปตามความคาดหมาย เมื่อเหล่าผู้นำจำเป็นต้องบ่ายหน้าหนีสหรัฐฯอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ความร่วมมือทวิภาคีได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะในด้านการทหาร ผลกระทบจากมาตรการต่างๆของสหรัฐฯ กัดเซาะความเชื่อมั่นของไทยต่อคำสัญญาจะเป็นพันธมิตรระยะยาวของอเมริกา และไทยก็ตอบโต้ด้วยการกันไปกระชับความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับคู่หูอื่นๆ โดยเฉพาะจีนและประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คำถามที่ว่าทำไมเรื่องนี้ถึงเป็นความผิดพลาด บางคนในสหรัฐฯอาจบอกว่าไม่มีความจำเป็นต้องแสดงความนับถือต่อกัน ในเรื่องนี้ พ.อ.วอลตัน บอกว่าก็จริงที่ไทยเป็นประเทศขนาดกลาง มีประชากรราวๆ 70 ล้านคนและเป็นชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 22 ของโลก ขณะที่มูลค่าการค้าทวิภาคีแค่ 38,000 ล้านดอลลาร์ คงไม่ส่งผลกระทบเป็นหรือตายแก่เศรษฐกิจอเมริกา
แต่ พ.อ.วอลตัน ชี้ว่าอย่าลืมความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของไทย และในฐานะพันธมิตรที่ยาวนานของสหรัฐฯ อเมริกันชนควรคิดทบทวนเป็น 2 เท่าต่อการปล่อยให้ความสัมพันธ์นี้เสื่อมทรามลงไปมากกว่าเดิม โดยไทยไม่ใช่แค่จุดเข้าถึงเอเชียของกองกำลังอเมริกัน แต่ไทยยังมีแสนยานุภาพทางทหารอันสำคัญ ที่สามารถใช้เป็นตัวช่วยให้ภูมิภาคแห่งนี้ลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ในการตอบโต้ความท้าทายด้านความมั่นคงต่างๆ
บทความของพ.อ.วอลตัน ระบุต่อว่ายิ่งไปกว่านั้นอุตสาหกรรมกลาโหมของสหรัฐฯเองก็จะได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายด้านกลาโหมอันกำยำของไทย ซึ่งคาดหมายน่าจะอยู่ราวๆ 7,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2015 โดยในช่วง 5 ปีหลังสุดเหล่าบริษัทต่างๆของสหรัฐฯ ขายอาวุธยุทโธปกรณ์และการบริการด้านกลาโหมแก่ไทยเกือบๆ 2,000 ล้านดอลลาร์
พ.อ.วอลตัน บอกต่อไปว่าท่ามกลางยุทธศาสตร์คืนความสมดุลแก่เอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งขึ้นอยู่กับเครือข่ายความสัมพันธ์ทวิภาคีที่แข็งแกร่ง สหรัฐฯจะได้ประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ด้วยการคงและกระชับความเป็นพันธมิตรกับไทย และจากคำถามที่ว่าความเป็นพันธมิตรระหว่างสองฝ่ายจะเข้มแข็งได้อย่างไรในแนวทางไม่ประนีประนอมของสหรัฐฯ ที่ยึดถือและเชื่อมั่นในการส่งเสริมประชาธิปไตย ในเรื่องนี้ พ.อ.วอลตัน ตอบว่าหากดูจากปฏิกิริยาอย่างกว้างๆของเหล่าผู้นำกองทัพของไทย นักวิชาการและพลเมืองคนดัง เขาเชื่อว่าคำตอบของคำถามนี้คือ "ได้แน่"
อดีตผู้ช่วยทูตทหารสหรัฐฯระบุต่อไปว่า คนไทยคาดหมายอยู่แล้วว่าสหัฐฯคงพูดถึงประเด็นเกี่ยวกับประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพลเมือง อย่างไรก็ตามมีอยู่ 2 อย่างที่จะสามารถโน้มน้าวไทยให้มีพัฒนาการในประเด็นสำคัญต่างๆเหล่านี้ อย่างแรกคืออเมริกาต้่องมีส่วนร่วมโดยตรงกับเหล่าผู้นำระดับสูงของไทย บังคับตัวเองละเว้นจากการพูดคุยที่ไม่สร้างสรรค์ อย่างที่สองคือสหรัฐฯ ควรใช้ช่องทางที่หลากหลายมากขึ้นในการอำนวยความสะดวกแลกเปลี่ยนมุมมองอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งท่าทีถมึงทึงรังแต่จะนำมาซึ่งความเป็นปรปักษ์และความหมางเมินกับพันธมิตรเก่าแก่แห่งนี้


อดีตส.ส.เพื่อไทย ฟ้อง “บิ๊กตู่” ปมคำสั่งห้ามออกนอกประเทศ

อดีตส.ส.เพื่อไทย ฟ้อง “บิ๊กตู่” ปมคำสั่งห้ามออกนอกประเทศ
“วัฒนา เมืองสุข” บุกศาลปกครอง ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ ปมคำสั่งห้ามออกนอกประเทศ อ้างเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย
รายงานข่าวแจ้งว่า วานนี้ (22 ก.ค. 58) นายวัฒนา เมืองสุข อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย พร้อมทนายได้เดินทางไปยังศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนา เพื่อร้องทุกข์เอาผิดกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ในฐานความผิดกระทำการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และขัดต่อหลักการประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เนื่องจากมีคำสั่งออกมาไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากการที่ห้ามตนเดินทางไปต่างประเทศเพราะวิจารณ์นายกรัฐมนตรี ซึ่งการเดินทางออกนอกประเทศเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคนในการเดินทาง ถือเป็นสิทธิส่วนตัวที่สหประชาชาติเองก็รับรองไว้ การจะจำกัดสิทธิได้ต้องเป็นกรณีภัยต่อความมั่นคง เรื่องสุขอนามัย (โรคติดต่อ) แต่คำสั่งของ คสช. นั้นหวังผลทางการเมือง และตนถูกนำมาใช้ต่อรองทางการเมือง
ดังนั้นเพื่อความเป็นธรรมจึงได้มายื่นเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าศาลปกครองตั้งขึ้นมาเพื่อคุ้มครองสิทธิ จากคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตนจึงมาขอคำสั่งศาล ต่อไปหากใครเป็นใหญ่ก็คิดจะทำสิ่งใดก็ได้ แล้วใช้ปืนมาตัดสินนั้นไม่ถูกต้อง ส่วนศาลจะพิจารณาอย่างไรอยู่ที่ดุลพินิจของศาล ตนไม่ได้ขอไต่สวนฉุกเฉิน เพราะยังไม่มีภารกิจที่ต้องการเดินทาง จึงขอผ่านช่องทางปกติและให้ศาลคุ้มครองชั่วคราว
ทั้งนี้การจะเดินทางไปต่างประเทศของตนเป็นการเดินทางเพื่อไปติดต่อสถานที่เรียนของบุตร ไม่ได้มีการไปพบปะร่วมอวยพรวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามที่รัฐบาลได้ตั้งข้อสงสัยแต่อย่างใด
MThai News


บิ๊กตู่ เด้ง "พลโทพงศกร" พ้น สมช.

บิ๊กตู่ เด้ง "พลโทพงศกร" พ้น สมช.
พลเอกประยุทธ์ ใช้อำนาจ หัวหน้าคสช. ออกคำสั่ง หน.คสช. ที่21/2558เด้ง พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองเลขา สมช. ที่มาอยู่สมช. ในยุค พลโทภราดร พัฒนถาบุตร เป็นเลขาฯสมช. ยุครัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ออก ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ แล้วให้ นายปกรณ์ ศรีจันทร์งาม ผช.เลขา สมช. ขึ้นเป็นรองเลขาธิการ สมช. แทน คาดเตรียมรับ การตั้ง เลขาฯสมช.คนใหม่ แทน นาย อนุสิษฐ คุณากร ที่จะเกษียณ กย. นี้
โดยมี นางกนกทิพย์ รัชตะนันทน์ รองเลขาธิการ สมช. เป็นแคนดิเดทคนใน ที่ นาย อนุสิษฐ จะเสนอชื่อ แทนตนเอง แน่นอน โดยคำสั่ง เด้ง พลโท พงศกร ออกไปนี้ ทำให้ นางกนกทิพย์ มีอาวุโสสูงสุด
เดิมมีกระแสจะดันคนนอก มาชิง เช่น นาย ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษา พลเอกประวิตร และ นาย ภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาฯศอ.บต.
แต่คาดว่า นางกนกทิพย์ คือ เต็งหนึ่ง และจะเป็น เลขาฯสมช.หญิง คนแรก เพราะ นายอนุสิษฐ จะเสนอชื่อแทนตนเอง แน่นอน เพราะต้องเสนอคนใน ขึ้นแทน
สำหรับนางกนกทิพย์ ยังเป็น ภริยา พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ผู้ตรวจการแผ่นดินฯ และอดีตปลัดกลาโหม เป็นลูกหม้อ สมช. ด้วย


นายกฯ ยันไม่ปรับครม. แม้มีอำนาจเด็ดขาด

นายกฯ ยันไม่ปรับครม. แม้มีอำนาจเด็ดขาด
พล.อ.ประยุทธ์ ยันไม่ปรับครม. แม้มีอำนาจเด็ดขาด ลั่นไม่ติดใจ หม่อมอุ๋ย ปมวิจารณ์ ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ
วันนี้ (22 ก.ค. 58) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ได้วิพากษ์วิจารณ์นายกฯ ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะสื่อเขียนข่าวให้ปั่นป่วน ซึ่งหากพูดแบบนั้นจริง ตนก็ไม่จำเป็นต้องไปเคลียร์ใจ เพราะไม่ได้ติดใจอะไร
แต่อยากให้รู้ว่า ตนมีอำนาจเด็ดขาดทั้งหมด ไม่มีใครมีอำนาจเหนือตนสักคน ให้รู้บ้างว่าใครเป็นผู้บังคับบัญชา บทบาทผู้บังคับบัญชากับการเป็นพี่เป็นน้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อะไรก็ลบล้างตรงนี้ไม่ได้ แต่การทำงานก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งขอให้แยกบทบาทให้ออก ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีนั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และความเหมาะสม ขณะนี้ยังไม่มีการปรับ และถ้าหากจะปรับวันข้างหน้าก็จะรู้เอง
“ทำไมคุณสนใจมากนักหนากับการปรับ ครม.เอาง่าย ๆ ปรับนายกฯ คนเดียวจบ มันจะได้เลิกวุ่นวายสักที ใครอยากเป็นไปหามา ทำไมมันวุ่นเหลือเกิน มันอยู่ที่วิธีทำงาน หากสั่งแล้วไม่ทำตามวิธีการที่ผมว่า หรือทำแล้วไม่มีประสิทธิภาพ ผมก็ปรับ
วันนี้ผมหยิบเอาเรื่องที่คนอื่นไม่พูดมาพูดทั้งหมด หรือจะเอานายกฯ ที่พูดน้อย ๆ ไม่ค่อยตอบ นายกฯ ที่นิ่งเอาไหม นายกฯ คนนี้ เวลานี้ ไม่ใช่นายกฯ แบบนั้น สถานการณ์คนละเรื่อง ทุกคนผ่านกาลเวลา และสภาพแวดล้อมที่มีอยู่
มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศมาทั้งสิ้น ผมมันมาด้วยอำนาจพิเศษคนละเรื่อง วิจารณ์ผมมากก็ไม่ได้ ผมไม่ชอบ เพราะท่านไม่ได้เลือกผมมา และผมจะสร้างความเข้าใจไปเรื่อย ๆ จนตายจากกัน”


คาด "กนกทิพย์ รชตะนันทน์" เตรียมเป็น เลขาฯสมช.คนใหม่ และเป็น ผู้หญิง คนแรก หลังเด้ง "พลโทพงศกร"

คาด "กนกทิพย์ รชตะนันทน์" เตรียมเป็น เลขาฯสมช.คนใหม่ และเป็น ผู้หญิง คนแรก หลัง บิ๊กตู่ ออกคำสั่งเด้ง "พลโทพงศกร" พ้น สมช. เปิดทางอาวุโสสุด คาด"อนุสิษฐ"เสนอชื่อ "กนกทิพย" คนใน ขึ้นแทน
หลัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจ หัวหน้าคสช. ออกคำสั่ง หน.คสช. ที่21/2558เด้ง พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองเลขา สมช. ที่เข้ามาอยู่สมช. ในยุค พลโทภราดร พัฒนถาบุตร เป็น เลขาฯสมช. ในรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ออก ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ แล้ว ให้ นายปกรณ์ ศรีจันทร์งาม ผช.เลขา สมช. ขึ้นเป็นรองเลขาธิการ สมช. แทน นั้น
มีการ คาดว่าเป็นการเปิดทาง เตรียมรับ การตั้ง เลขาฯสมช.คนใหม่ แทน นาย อนุสิษฐ คุณากร ที่จะเกษียณ กย. นี้
โดยมี นางกนกทิพย์ รัชตะนันทน์ รองเลขาธิการ สมช. เป็นแคนดิเดทคนใน ที่ นาย อนุสิษฐ จะเสนอชื่อ แทนตนเอง แน่นอน โดยคำสั่ง เด้ง พลโท พงศกร ออกไปนี้ ทำให้ นางกนกทิพย์ มีอาวุโสสูงสุด
เดิมมีกระแสจะดันคนนอก มาชิง เช่น นาย ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษา พลเอกประวิตร และ นาย ภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาฯศอ.บต.
แต่คาดว่า นางกนกทิพย์ คือ เต็งหนึ่ง และจะเป็น เลขาฯสมช.หญิง คนแรก เพราะ นายอนุสิษฐ จะเสนอชื่อแทนตนเอง แน่นอน เพราะต้องเสนอคนใน ขึ้นแทน
สำหรับนางกนกทิพย์ ยังเป็น ภริยา พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ผู้ตรวจการแผ่นดินฯ และอดีตปลัดกลาโหม เป็นลูกหม้อ สมช. ด้วย


ธปท. ยอมรับเงินบาทผันผวน อ่อนค่าเร็ว ยันไม่พบการเก็งกำไร หวั่นกระทบภาคเศรษฐกิจ

ธปท. ยอมรับเงินบาทผันผวน อ่อนค่าเร็ว ยันไม่พบการเก็งกำไร หวั่นกระทบภาคเศรษฐกิจ
ธปท. ยอมรับ ค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ผันผวน และอ่อนค่าเร็ว โดยอ่อนค่าลงถึง 2% ขณะที่สกุลเงินในภูมิภาคอ่อนค่าในช่วง 0.3-1.5% หวั่นเป็นอุปสรรคต่อภาคเศรษฐกิจจริง ยันไม่พบการเก็งกำไร และเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า นับแต่ต้นปีการอ่อนค่าของเงินบาทยังสอดคล้องกับเงินสกุลภูมิภาคที่อ่อนค่าลงเช่นกัน แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินบาทอาจจะอ่อนค่ามากกว่าเงินสกุลอื่นๆ ไปบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่อ่อนค่าในช่วง 0.3-1.5%
“เราพบว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ ค่าเงินบาทอ่อนค่าไปค่อนข้างเร็ว ประมาณ 2% เมื่อเทียบกับอัตราปิดเมื่อสัปดาห์ก่อน จากปัจจัยทั้งภายนอกและภายในประเทศ”
สำหรับปัจจัยภายนอก ได้แก่ การคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) น่าจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้ภายในปีนี้ จากความเห็นของกรรมการของเฟดบางท่านและตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาดี นอกจากนี้ ยังมีผลของราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับลดลงมาต่ำกว่า 1,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำให้มีความต้องการซื้อทองคำเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อความต้องการซื้อดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน
ส่วนปัจจัยในประเทศนั้น คาดว่า มาจากความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ทั้งจากผลกระทบของภัยแล้ง และข่าวความล่าช้าของแผนการลงทุนภาครัฐ ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสำนักได้ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ลง และคาดการณ์ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะอ่อนลงกว่าที่คาดในช่วงครึ่งหลังของปี นักลงทุนต่างประเทศจึงมีการปรับฐานะการถือครองสินทรัพย์ในประเทศไทยออกไปบ้าง รวมทั้งมีแรงซื้อจากกลุ่มผู้นำเข้าที่เร่งขึ้นบ้างจากช่วงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดี ธปท. ไม่พบความผิดปกติของการเก็งกำไรค่าเงิน
อย่างไรก็ดี แม้ทิศทางการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงนี้จะยังมีความจำเป็นในการช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่การอ่อนค่าที่รวดเร็วเกินไป อาจสร้างความผันผวนและเป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวของภาคเศรษฐกิจจริง ในระยะนี้ ธปท. จึงติดตามภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด