PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2562

ศาลสั่งถอนชื่อ'ภูเบศวร์ เห็นหลอด'ขาดคุณสมบัติผู้สมัครส.ส.อนาคตใหม่

ศาลสั่งถอนชื่อ'ภูเบศวร์ เห็นหลอด'ขาดคุณสมบัติผู้สมัครส.ส.อนาคตใหม่
29 เม.ย.62 นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม ได้เปิดเผยถึงผลคำวินิจฉัยของศาลฎีกาเเผนกคดีเลือกตั้ง ที่ 1706/2562 ระหว่าง ผอ.การเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งที่ 2 จ.สกลนคร ยื่นคำร้องว่า นายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง หรือเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ.2561

เนื่องจากผู้คัดค้านเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของ หจก.มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์และออกหนังสือพิมพ์ ดังนั้น ผู้คัดค้านจึงเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ผู้ร้องจึงขอให้ถอนชื่อผู้คัดค้านออกจากประกาศรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่2 จ.สกลนครว่า
คดีนี้ นาย ภูเบศวร์ ผู้คัดค้านได้ยื่นคำคัดค้านอ้างว่า หจก. มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส ประกอบกิจการก่อสร้างอาคารสถานที่ไม่ใช่ที่พักอาศัยที่ระบุในวัตถุประสงค์ข้อที่ 43 ว่าประกอบกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์รับจัดทำสื่อโฆษณาสปอร์ตโฆษณาเผยแพร่ข้อมูล แต่เป็นเพียงแบบวัตถุประสงค์สำเร็จรูปแนบคำขอจดทะเบียนเท่านั้นอีกทั้ง หจก.ดังกล่าวได้สิ้นสภาพนิติบุคคลไปตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค.62 แล้ว จึงขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาฯ ได้ตรวจพยานหลักฐานคู่ความทั้งสองฝ่ายที่เสนอต่อศาลแล้วเห็นว่าเบื้องต้นคดีนี้ไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานหลักฐานจึงให้งดการไต่สวน และหลังจากตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลฎีกาฯเห็นว่าข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องประกาศรายชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 2 จ.สกลนคร พรรคอนาคตใหม่
โดย นายภูเบศวร์ ผู้คัดค้านเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของ หจก.มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์และออกหนังสือพิมพ์
ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มี.ค.62 ผู้คัดค้านจดทะเบียนเลิกหจก.มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.หรือไม่
ศาลฎีกาฯ เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 98 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. .... โดย(3) บัญญัติว่า เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ..." พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มาตรา42 บัญญัติเช่นเดียวกันว่าบุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้เป็น "บุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. .... โดย(3) บัญญัติว่า เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ..." ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.จึงเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆมิได้
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้คัดค้านเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของหจก. มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง เเอนด์ เซอร์วิส ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์และออกหนังสือพิมพ์ ดังนั้นผู้คัดค้านจึงเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญแห่งรัชนจากไทยมาตรา 98(3) และพรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มาตรา42(3)
ส่วนที่ผู้คัดค้านอ้างว่า หจก.มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส มีวัตถุประสงค์ดังกล่าวแต่ไม่ได้ประกอบกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์และออกหนังสือพิมพ์จึงฟังไม่ขึ้น แม้ต่อมาวันที่ 6 มี.ค.62 ผู้คัดค้าน จะจดทะเบียนเลิกหจก.ดังกล่าวแล้วแต่เป็นระยะเวลาหลังจากผู้คัดค้านยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้วจึงต้องถือว่าในวันที่ผู้คัดค้านยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ผู้คัดค้านยังเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน ถือได้ว่าผู้คัดค้านเป็นบุคคลอันมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ตามบทบัญญัติดังกล่าวและไม่มีสิทธิรับสมัครเลือกตั้งเป็น ส.ส.
ศาลฎีกาฯ เห็นว่า คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น จึงมีคำสั่งให้ถอนชื่อ นายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้คัดค้าน ออกจากประกาศรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 2 จ.สกลนคร พรรคอนาคตใหม่

ส้ม(ไม่)หวาน?



ส้ม(ไม่)หวาน? 26/4/62

วันนอร์ ยืนยันไม่หักหลังประชาชน ไม่ฉีกสัตยาบันที่ทำร่วมกับ 7 พรรคแนวร่วมต่อต้านการสืบทอดอำนาจ คสช.

วันนอร์ ยืนยันไม่หักหลังประชาชน ไม่ฉีกสัตยาบันที่ทำร่วมกับ 7 พรรคแนวร่วมต่อต้านการสืบทอดอำนาจ คสช.เพราะเป็นสัญญาประชาชน ยืนยันไม่มีการหารือร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ยืนยันว่า ไม่ได้มีการหารือ หรือ พบปะ กับใครในการร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ และไม่มีการติดค่อพูดคุยจากใครมาถึงตนเอง รวมถึง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ซึ่งได้รับมอบหมายโดยตรงในการหารือในการจัดตั้งรัฐบาลก็ไม่ได้หารือกับใคร หรือหากมีก็ต้องแจ้งในที่ประชุมพรรค ซึ่งขณะนี้ยังไม่มี เพราะพรรคยังต้องรอการประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจาก กกต.ในวันที่ 9 พ.ค. และในการประชุมพรรควันพรุ่งนี้จะมีการพูดคุยกัน
หัวหน้าพรรคประชาชาติ ยืนยันว่า ไม่ได้ฉีกสัตยาบันที่ทำไว้กับ 7 พรรคแนวร่วมในการต่อต้านการสืบทอดอำนาจ คสช. เพราะถือเป็นสัญญาประชาชน สัตยาบัณ ที่ทำนั้นไม่ได้ทำกับพรรคการเมือง แต่ทำกับประชาชนด้วย
"พรรคประชาชาชาติ จึงไม่หักหลังประชาชนเด็ดขาด และยังเป็นพรรคที่ยึดมั่นในประชาธิปไตย ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ คสช." นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว
ด้านพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าวว่า พรรคประชาชาติได้มีการประชุมคณะทำงานที่มีหัวหน้าพรรค เป็นประธาน เกือบทุกสัปดาห์ ยืนยันว่าจะเคารพเสียงประชาชนและนโยบายพรรคที่ใช้หาเสียง ที่ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ คสช และไม่เคยมีท่านใดในฝ่าย พปชร. หรือ คสช. ติดต่อกับ หน.พรรค หรือเลขาธิการพรรคแต่อย่างใด พรรคประชาชาติตระหนักว่าในระบอบประชาธิปไตย ต้องอยู่ข้างประชาชนและต้องศรัทธาต่อเสียงของประชาชน ซึ่งก่อนและหลังการเลือกตั้งได้รวมตกลงและประกาศให้ประชาชนทั้งประเทศและสื่อมวลชนต่างประเทศ ว่าจะสนับสนุนพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยในการจัดตั้งรัฐบาล
“หาดูคะแนนทั้ง 7 พรรค Popular vote มากกว่า 16.4 ล้านเสียง ส่วนพรรคที่สนับสนุน หน.คสช. เป็นนายก 3 พรรคที่ทราบกันดี รวมกันเพียงประมาณ 8.8 ล้านเสียงเท่านั้น คะแนน popular vote นี้ยังไม่ร่วมถึงพรรคการเมืองอื่นที่ในช่วงหาเสียงที่หัวหน้าพรรคพูดผ่านสื่อสารมวลชนทั้งประเทศว่าไม่สนับสนุน หน.คสช เป็นนายก ถ้าจำไม่ผิด หน.พรรค ที่ได้ที่ 4และที่5 ได้ประกาศเป็นนโยบายหาเสียงด้วย ซึ่งหากรวมกันแล้วมีมากกว่า 24 ล้านเสียง ซึ่งการตัดสินใจหลังการเลือกตั้ง พรรคการเมืองต่างๆจะรอผลจาก กกต ประกาศประมาณช่วงวันที่ 9 พฤษภาคม ก่อน” พันตำรวจเอกทวี กล่าว

แถลงการณ์ พรรคอนาคตใหม่ การนับคะแนนนครปฐม



แถลงการณ์ พรรคอนาคตใหม่ กรณีผลการนับคะแนนเลือกตั้งครั้งที่ 2 เขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดนครปฐม
#ขอให้จัดการเลือกตั้งใหม่ เขต 1 นครปฐม ทั้งเขต หลังมีข้อเท็จจริงในหลายประการว่าการเลือกตั้ง มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือการนับคะแนนเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง
หลังจากนางสาวสาวิกา ลิมปสุวัณณะ ผู้สมัครส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดนครปฐม พบความผิดพลาดในการรวมคะแนนเลือกตั้งของกกต. จากเดิมที่กกต.ประกาศให้ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ ชนะผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่ 147 คะแนน แต่เมื่อนางสาวสาวิกานำคะแนนที่ได้จากกกต.รายหน่วยมาตรวจสอบใหม่ กลับพบว่าคะแนนอนาคตใหม่ชนะประชาธิปัตย์ 4 คะแนน ทำให้กกต.มีมติให้มีการนับคะแนนใหม่ทั้งเขต เมื่อวันที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ผลคะแนนของเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดนครปฐม ถือเป็นกรณีที่มีปัญหาอย่างมาก โดยมีการแสดงคะแนนเปลี่ยนไปมาถึง 5 ครั้ง ได้แก่
24 มีนาคม กกต.ประกาศให้พรรคอนาคตใหม่แพ้ประชาธิปัตย์ 147 คะแนน ด้วยคะแนน 35,615 ต่อ 35,762
1 สัปดาห์หลังเลือกตั้ง ผู้สมัครอนาคตใหม่ขอคะแนนรายหน่วยจากกกต. มาตรวจสอบเอง พบว่าพรรคอนาคตใหม่ ชนะพรรคประชาธิปัตย์ 4 คะแนน ด้วยคะแนน 35,766 ต่อ 35,762
28 เมษายน พรรคประชาธิปัตย์ประกาศชัยชนะ ได้คะแนนมากกว่าพรรคอนาคตใหม่ 4 คะแนน ด้วยคะแนน 35,707 ต่อ 35,711
นายฉัตรชัย จันทร์พรายศรี กรรมการกกต. ให้สัมภาษณ์ว่าพรรคอนาคตใหม่ชนะ
พรรคประชาธิปัตย์ 62 คะแนน ด้วยคะแนน 35,707 ต่อ 35,645
29 เมษายน นายจรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกกต. แถลงว่าพรรคอนาคตใหม่แพ้พรรคประชาธิปัตย์ 4 คะแนน 35,707 ต่อ 35,711
คะแนนที่เปลี่ยนไปมาเช่นนี้ ทำให้ไม่สามารถหาข้อยุติอันชอบธรรมได้เลยว่าผลการเลือกตั้งครั้งใดถือว่าเป็นครั้งที่ถูกต้อง
นอกจากนี้ ยังเกิดเหตุไฟดับนานถึง 20 วินาทีในระหว่างการนับคะแนน และผู้สังเกตการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ได้ตรวจสอบพบเหตุผิดปกติหลายกรณี มากเกินกว่าจำนวนคะแนนที่พรรคอนาคตใหม่แพ้พรรคประชาธิปัตย์
ข้อเท็จจริงดังกล่าว เป็นกรณีปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1 ของจังหวัดนครปฐมมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือการนับคะแนนเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง พรรคอนาคตใหม่จึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสั่งให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ทั้งเขต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 124เพื่อให้ได้มาซึ่งผลการเลือกตั้งที่โปร่งใสเป็นธรรม สะท้อนเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชน และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย

ดาบผ่านทางตันอำนาจกกต.

ศาลรัฐธรรมนูญปัดวินิจฉัยสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์

ร้อนตับแตก อุณหภูมิทะลักปรอท

สถานการณ์แบบที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดสถิติความต้องการใช้ไฟฟ้าพีกเป็นรอบที่ 2 ต่อเนื่อง ห่างกันแค่ 4 วัน คือวันที่ 20 เมษายน อยู่ที่ 29,680.3 เมกะวัตต์ และทำ new high ใหม่ ในวันที่ 24 เมษายน อยู่ที่ 30,120.2 เมกะวัตต์

เนื่องจากประชาชนเปิดเครื่องปรับอากาศคลายร้อน ตามอุณหภูมิที่สูงถึง 32.6 องศาเซลเซียสใน กทม. และบางจังหวัดร้อนปรอททะลักไปถึง 34 องศาเซลเซียส

แถมแนวโน้มยังสูงขึ้นต่อเนื่อง คาดอาจเห็นตัวเลขพีกเกิดขึ้นอีก

คนไทยต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนตับแลบจนกว่าจะเข้าฤดูฝนในกลางเดือนพฤษภาคม

ในห้วงสถานการณ์การเมืองที่ร้อนระอุต่อเนื่องเหมือนกัน นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง 24 มีนาคม ถึงตรงนี้ครบ 1 เดือนเต็มแล้ว ยังตั้งรัฐบาลไม่ได้

เป็นความแปลกใหม่ของการเมืองไทย จากเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ

นั่นก็เพราะตัวเลขเสียง ส.ส.ที่ก้ำกึ่งสูสี ไม่มีฝั่งไหนชิงตั้งรัฐบาลได้แบบชนะเด็ดขาด อีกทั้งตัวเลขที่ยังไม่ชัวร์ โดยเฉพาะในส่วนของการคำนวณ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ

ไม่รู้จะยึดถือสูตรไหน แม้แต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ภายใต้การนำของนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ก็ยังลังเลๆ

แต่ล่าสุดก็มองได้ในมุมที่เกิดความชัดเจนขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้องกรณีที่ กกต.ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับปัญหาการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ

โดยระบุ กรณีดังกล่าวเป็นหน้าที่และอำนาจของ กกต. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 128 ซึ่งต้องกระทำหลังจากมีการประกาศผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว

แต่ข้อเท็จจริงตามคำร้องยังไม่ปรากฏว่า กกต.ได้ใช้หน้าที่และอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญ และกฎหมายบัญญัติ จึงยังไม่ถือว่ามีปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของ กกต.เกิดขึ้นแล้ว คำร้องของ กกต.ในส่วนนี้จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 44 ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาวินิจฉัยได้

ในมุมหนึ่งคือศาลรัฐธรรมนูญปัด ไม่รับเผือกร้อนที่ กกต.โยนให้

แต่อีกมุมก็ตอกย้ำกันเป็นนัย มันคืออำนาจของ กกต.

ในเมื่อรัฐธรรมนูญมอบสิทธิให้เป็นผู้บริหารจัดการเลือกตั้งตามอำนาจหน้าที่

ศาลรัฐธรรมนูญผลักอำนาจกลับมาอยู่ในกำมือของ กกต.

ในจังหวะที่พอดีกับ “ใบส้ม” ใบแรกที่ กกต.แจกให้กับนายสุรพล เกียรติไชยากร ว่าที่ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย โดน กกต.สั่งเพิกถอนสิทธิสมัครไว้เป็นการชั่วคราว 1 ปี เพราะพฤติการณ์เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 73 (2) ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด

สั่งเลือกตั้งใหม่ ส.ส.เขต 8 เชียงใหม่ ประเดิมแจ็กพอตพรรคเพื่อไทย

ดาบอาญาสิทธิ์ กกต.เริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์

และจุดที่เป็นไฮไลต์จริงๆก็อยู่ที่คิว 7 เสือมีมติแจ้ง

ข้อกล่าวหานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กรณีถูกร้องเรียนว่า ถือครองหุ้นบริษัท วี–ลัค มีเดีย จำกัด เข้าข่ายเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 98 (3) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 42 (3)


ตามเอกสารหลักฐานที่มีมูลพอให้เกิดข้อสงสัย

โดยนายธนาธรมีสิทธิที่จะไม่ให้ถ้อยคำ หรือมีหนังสือชี้แจงแสดงพยานหลักฐานแก้ข้อกล่าวหา และมีสิทธิจะให้ทนายความหรือบุคคลซึ่งไว้วางใจเข้าร่วมฟังการชี้แจงแสดงหลักฐานแก้ข้อกล่าวหาได้ใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งข้อกล่าวหา

ทำให้ “พ่อน้องฟ้า” ต้องรีบแจ้นบินด่วนกลับจากโรดโชว์ประชาธิปไตย จัดฉากเดินหมากโลกล้อมประเทศไทยอยู่ที่ยุโรป กลับมารับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

และก็ตามฟอร์ม “ไพร่หมื่นล้าน” ประกาศลั่นกลางวงกองเชียร์ลุง ป้า น้า อา น้องฟ้าที่ไปรับถึงสนามบิน

สบายใจมาก มั่นใจไม่ได้ทำผิด ใบส้มใช้กับตนเองไม่ได้

แต่ในอาการของการแสดงความมั่นอกมั่นใจต่อหน้าผู้สนับ

สนุน มันก็แฝงไว้ด้วยเหลี่ยมการต่อสู้ที่จับทางได้ กับมุกที่หัวหน้า พรรคอนาคตใหม่ประกาศ งานนี้ไม่ได้สู้เพื่อตัว “ธนาธร”

แต่เป็นการสู้เพื่อประชาธิปไตย ล้มล้างอำนาจเผด็จการที่ไม่เป็นธรรม

“พ่อน้องฟ้า” ยกตัวเองเป็นสัญลักษณ์ “ประชาธิปไตย”

นั่นก็เป็นอะไรที่ “ธนาธร” เองก็รู้เกมดี ถ้าสู้ด้วยหลักทางกฎหมาย โอกาสรอดยาก

ตามรูปการณ์ที่ถึงขั้นใช้มือระดับ “ด็อกเตอร์อังดัวร์”

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เป็นทนายแก้ต่างทางกระแสสื่อมวลชน

ลงลึกแบบที่งัดหลักฐาน “อีซี่ พาส” ทางด่วนมายืนยัน


แต่ด้วยความเป็นอาจารย์ที่เก่งทฤษฎี อ่อนเชิงในทางปฏิบัติ ตามรูปการณ์มันก็เลยเหมือนยิ่งดิ้นยิ่งมัด

โดนดักทางจับ “โป๊ะแตก” พูดขัดแย้งขัดลำกันเอง

โดยรูปการณ์ที่เซียนกฎหมายฟันธง เบาสุด กกต.แจก “ใบส้ม” ปมคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้ามสมัคร ส.ส.

แต่ถ้าลามเป็นคดีอาญา ฐานที่รู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติในการลงสมัครแต่ยังมาลงสมัคร ส.ส. นั่นก็ส่อพัฒนา

ถึงขั้นอาจโดน “ยุบพรรค” เพราะนายธนาธรมีตำแหน่งหัวหน้าพรรคใช้ตำแหน่งรับรองผู้สมัคร เข้าข่ายรู้เห็นเป็นใจส่งตัวเองและสมาชิกลงสมัคร ส.ส.ทั้งที่ขาดคุณสมบัติ

นั่นยังไม่ว่ากันในฐานปลอมเอกสารหลักฐาน ช่วยกันปกปิดความผิด ไฟจุดติดจนเสี่ยงลามถึงมารดานาย

ธนาธรที่อ้างว่าเป็นผู้รับโอนหุ้น มันก็จะ “โก โซ บิ๊ก” ไปกันใหญ่

นั่นเลยทำให้ได้เห็นยุทธศาสตร์การต่อสู้ เจ้าตัวประกาศไม่ได้สู้เพื่อตัว “ธนาธร”

พลิกเหลี่ยมสู้เพื่อประชาธิปไตย ปลุก “6 ล้านเสียง” กดดันวัดใจ กกต.

แต่จับทาง “7 เสือ” กกต.ก็ไม่ได้ลนลานตามเสียงขู่เกมมวลชนแต่อย่างใด ในมุมอย่างที่นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต. ยืนยันก่อนวันรับสมัครเลือกตั้ง กกต.มีอำนาจเพียงตรวจสอบลักษณะต้องห้าม ที่มีข้อมูลอยู่ในหน่วยงานของรัฐจำนวน 23 หน่วยเท่านั้น

แต่ถ้าเป็นลักษณะต้องห้าม ที่มีข้อมูลอยู่ในหน่วยงานเอกชนยังไม่สามารถตรวจสอบได้ จึงต้องให้ผู้สมัครรับรองตนเองไว้ว่าเป็นผู้ไม่มีลักษณะต้องห้ามก่อน หากภายหลังปรากฏว่ามีลักษณะต้องห้ามอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และพรรคการเมือง กกต.ก็จะดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังเลือกตั้ง หรือประกาศผลเลือกตั้ง

หักลำ “ปิยบุตร-ธนาธร” กกต.มีอำนาจแจกใบส้ม “ล้านเปอร์เซ็นต์”


กกต.แสดงอิทธิฤทธิ์ดาบอาญาสิทธิ์

ตามจังหวะที่ กกต. “เครื่องติด” แล้ว ไม่ใช่แค่ปมร้อนๆ แหลมๆของ “ธนาธร” ที่จ่อ “ใบส้ม”

แต่ในปมปัญหาใหญ่กว่า นั่นคือการคำนวณคะแนน ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญไม่รับตีความ ยัดอำนาจกลับมาอยู่ในมือ “7 เสือ กกต.”

“สอนมวย” ต้องทำหน้าที่ตามกฎหมาย

นายแสวงก็แถลงทันที กกต.จะดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจในการคำนวณจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ภายหลังการประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.แล้ว โดยจะคำนึงถึงวิธีการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 ที่สำนักงาน กกต.เสนอให้ กกต.พิจารณา หรือวิธีการคำนวณอื่นๆอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้จำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดไว้

โดยเฉพาะในส่วนการคำนวณตามแบบของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่งของ กกต. เพราะวิธีการนี้ได้เสนอมาตลอด 2 ปี ไม่เคยมีการโต้แย้ง รวมทั้งได้มีการเผยแพร่ พรรคการเมืองที่ได้ติดตามก็น่าจะทราบสูตรอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่มีผลคะแนนการเลือกตั้งออกมา

อ่านตามรูปการณ์ กกต.มีแนวโน้มเดินตาม กรธ.ยึดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ไม่ให้คะแนนตกน้ำ

โอกาสอานิสงส์ตกกับพรรคเล็กได้แต้มกันถ้วนหน้า

และโดยรูปการณ์ก็มีแนวโน้มเข้าทางขั้วพลังประชารัฐได้ “เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน” รวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล แต่สมการ

ตัวเลขจะไม่เข้าเหลี่ยมขั้ว “ทักษิณ” มีโอกาสจัดได้แค่ “รัฐบาลลม”


แน่นอน มันก็ก่อแรงกระเพื่อม ตามรูปเกมหนีไม่พ้นโดนร้องศาลรัฐธรรมนูญ พึ่งศาลปกครอง วิ่งฟ้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ไปยันกระบวนการล้มกระดานให้เลือกตั้งโมฆะ

ตามฟอร์มของผู้พลาดหวัง เดิมพันเกมชิงพลิกขั้วอำนาจพัง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่ากระแสมวลชน เสียงขู่ระดมม็อบกดดัน มันก็แค่เกมวัดใจ ตราบใดที่ยึดตามรัฐธรรมนูญ กกต.แสดงถึงการใช้อำนาจอย่างรอบคอบ ใช้ดาบอาญาสิทธิ์อย่างชอบธรรมไม่ต้องเสี่ยงคุก

การเมืองเดินหน้าต่อได้ ไม่มีทางตัน

ต่อให้พลังกองหนุน 6 ล้านเสียง หรือกี่สิบล้านเสียง มันไม่มีอะไรอยู่เหนือกฎหมาย

เหนืออื่นใด ในห้วงเวลาประวัติศาสตร์ สัปดาห์สำคัญที่เข้าสู่โหมดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ภาพความสวยงาม บรรยากาศความศักดิ์สิทธิ์ ความภาคภูมิใจในอารยธรรมของไทย จะปรากฏสู่สายตาโลก


พวกผิดคิวก่อความวุ่นวายในเกมชิงอำนาจโดยไม่ดูกาลเทศะ จ้องก่อชนวนม็อบปลุกมวลชน

ตัวอย่างมีให้เห็นแล้ว บางคนติดคุกบางคนไม่มีแผ่นดินอยู่.

“ทีมการเมือง”