ศาลรัฐธรรมนูญปัดวินิจฉัยสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์
ร้อนตับแตก อุณหภูมิทะลักปรอท
สถานการณ์แบบที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดสถิติความต้องการใช้ไฟฟ้าพีกเป็นรอบที่ 2 ต่อเนื่อง ห่างกันแค่ 4 วัน คือวันที่ 20 เมษายน อยู่ที่ 29,680.3 เมกะวัตต์ และทำ new high ใหม่ ในวันที่ 24 เมษายน อยู่ที่ 30,120.2 เมกะวัตต์
เนื่องจากประชาชนเปิดเครื่องปรับอากาศคลายร้อน ตามอุณหภูมิที่สูงถึง 32.6 องศาเซลเซียสใน กทม. และบางจังหวัดร้อนปรอททะลักไปถึง 34 องศาเซลเซียส
แถมแนวโน้มยังสูงขึ้นต่อเนื่อง คาดอาจเห็นตัวเลขพีกเกิดขึ้นอีก
คนไทยต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนตับแลบจนกว่าจะเข้าฤดูฝนในกลางเดือนพฤษภาคม
ในห้วงสถานการณ์การเมืองที่ร้อนระอุต่อเนื่องเหมือนกัน นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง 24 มีนาคม ถึงตรงนี้ครบ 1 เดือนเต็มแล้ว ยังตั้งรัฐบาลไม่ได้
เป็นความแปลกใหม่ของการเมืองไทย จากเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ
นั่นก็เพราะตัวเลขเสียง ส.ส.ที่ก้ำกึ่งสูสี ไม่มีฝั่งไหนชิงตั้งรัฐบาลได้แบบชนะเด็ดขาด อีกทั้งตัวเลขที่ยังไม่ชัวร์ โดยเฉพาะในส่วนของการคำนวณ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ
ไม่รู้จะยึดถือสูตรไหน แม้แต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ภายใต้การนำของนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ก็ยังลังเลๆ
แต่ล่าสุดก็มองได้ในมุมที่เกิดความชัดเจนขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้องกรณีที่ กกต.ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับปัญหาการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
โดยระบุ กรณีดังกล่าวเป็นหน้าที่และอำนาจของ กกต. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 128 ซึ่งต้องกระทำหลังจากมีการประกาศผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว
แต่ข้อเท็จจริงตามคำร้องยังไม่ปรากฏว่า กกต.ได้ใช้หน้าที่และอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญ และกฎหมายบัญญัติ จึงยังไม่ถือว่ามีปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของ กกต.เกิดขึ้นแล้ว คำร้องของ กกต.ในส่วนนี้จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 44 ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาวินิจฉัยได้
ในมุมหนึ่งคือศาลรัฐธรรมนูญปัด ไม่รับเผือกร้อนที่ กกต.โยนให้
แต่อีกมุมก็ตอกย้ำกันเป็นนัย มันคืออำนาจของ กกต.
ในเมื่อรัฐธรรมนูญมอบสิทธิให้เป็นผู้บริหารจัดการเลือกตั้งตามอำนาจหน้าที่
ศาลรัฐธรรมนูญผลักอำนาจกลับมาอยู่ในกำมือของ กกต.
ในจังหวะที่พอดีกับ “ใบส้ม” ใบแรกที่ กกต.แจกให้กับนายสุรพล เกียรติไชยากร ว่าที่ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย โดน กกต.สั่งเพิกถอนสิทธิสมัครไว้เป็นการชั่วคราว 1 ปี เพราะพฤติการณ์เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 73 (2) ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด
สั่งเลือกตั้งใหม่ ส.ส.เขต 8 เชียงใหม่ ประเดิมแจ็กพอตพรรคเพื่อไทย
ดาบอาญาสิทธิ์ กกต.เริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์
และจุดที่เป็นไฮไลต์จริงๆก็อยู่ที่คิว 7 เสือมีมติแจ้ง
ข้อกล่าวหานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กรณีถูกร้องเรียนว่า ถือครองหุ้นบริษัท วี–ลัค มีเดีย จำกัด เข้าข่ายเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 98 (3) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 42 (3)
ตามเอกสารหลักฐานที่มีมูลพอให้เกิดข้อสงสัย
โดยนายธนาธรมีสิทธิที่จะไม่ให้ถ้อยคำ หรือมีหนังสือชี้แจงแสดงพยานหลักฐานแก้ข้อกล่าวหา และมีสิทธิจะให้ทนายความหรือบุคคลซึ่งไว้วางใจเข้าร่วมฟังการชี้แจงแสดงหลักฐานแก้ข้อกล่าวหาได้ใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งข้อกล่าวหา
ทำให้ “พ่อน้องฟ้า” ต้องรีบแจ้นบินด่วนกลับจากโรดโชว์ประชาธิปไตย จัดฉากเดินหมากโลกล้อมประเทศไทยอยู่ที่ยุโรป กลับมารับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
และก็ตามฟอร์ม “ไพร่หมื่นล้าน” ประกาศลั่นกลางวงกองเชียร์ลุง ป้า น้า อา น้องฟ้าที่ไปรับถึงสนามบิน
สบายใจมาก มั่นใจไม่ได้ทำผิด ใบส้มใช้กับตนเองไม่ได้
แต่ในอาการของการแสดงความมั่นอกมั่นใจต่อหน้าผู้สนับ
สนุน มันก็แฝงไว้ด้วยเหลี่ยมการต่อสู้ที่จับทางได้ กับมุกที่หัวหน้า พรรคอนาคตใหม่ประกาศ งานนี้ไม่ได้สู้เพื่อตัว “ธนาธร”
แต่เป็นการสู้เพื่อประชาธิปไตย ล้มล้างอำนาจเผด็จการที่ไม่เป็นธรรม
“พ่อน้องฟ้า” ยกตัวเองเป็นสัญลักษณ์ “ประชาธิปไตย”
นั่นก็เป็นอะไรที่ “ธนาธร” เองก็รู้เกมดี ถ้าสู้ด้วยหลักทางกฎหมาย โอกาสรอดยาก
ตามรูปการณ์ที่ถึงขั้นใช้มือระดับ “ด็อกเตอร์อังดัวร์”
นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เป็นทนายแก้ต่างทางกระแสสื่อมวลชน
ลงลึกแบบที่งัดหลักฐาน “อีซี่ พาส” ทางด่วนมายืนยัน
แต่ด้วยความเป็นอาจารย์ที่เก่งทฤษฎี อ่อนเชิงในทางปฏิบัติ ตามรูปการณ์มันก็เลยเหมือนยิ่งดิ้นยิ่งมัด
โดนดักทางจับ “โป๊ะแตก” พูดขัดแย้งขัดลำกันเอง
โดยรูปการณ์ที่เซียนกฎหมายฟันธง เบาสุด กกต.แจก “ใบส้ม” ปมคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้ามสมัคร ส.ส.
แต่ถ้าลามเป็นคดีอาญา ฐานที่รู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติในการลงสมัครแต่ยังมาลงสมัคร ส.ส. นั่นก็ส่อพัฒนา
ถึงขั้นอาจโดน “ยุบพรรค” เพราะนายธนาธรมีตำแหน่งหัวหน้าพรรคใช้ตำแหน่งรับรองผู้สมัคร เข้าข่ายรู้เห็นเป็นใจส่งตัวเองและสมาชิกลงสมัคร ส.ส.ทั้งที่ขาดคุณสมบัติ
นั่นยังไม่ว่ากันในฐานปลอมเอกสารหลักฐาน ช่วยกันปกปิดความผิด ไฟจุดติดจนเสี่ยงลามถึงมารดานาย
ธนาธรที่อ้างว่าเป็นผู้รับโอนหุ้น มันก็จะ “โก โซ บิ๊ก” ไปกันใหญ่
นั่นเลยทำให้ได้เห็นยุทธศาสตร์การต่อสู้ เจ้าตัวประกาศไม่ได้สู้เพื่อตัว “ธนาธร”
พลิกเหลี่ยมสู้เพื่อประชาธิปไตย ปลุก “6 ล้านเสียง” กดดันวัดใจ กกต.
แต่จับทาง “7 เสือ” กกต.ก็ไม่ได้ลนลานตามเสียงขู่เกมมวลชนแต่อย่างใด ในมุมอย่างที่นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต. ยืนยันก่อนวันรับสมัครเลือกตั้ง กกต.มีอำนาจเพียงตรวจสอบลักษณะต้องห้าม ที่มีข้อมูลอยู่ในหน่วยงานของรัฐจำนวน 23 หน่วยเท่านั้น
แต่ถ้าเป็นลักษณะต้องห้าม ที่มีข้อมูลอยู่ในหน่วยงานเอกชนยังไม่สามารถตรวจสอบได้ จึงต้องให้ผู้สมัครรับรองตนเองไว้ว่าเป็นผู้ไม่มีลักษณะต้องห้ามก่อน หากภายหลังปรากฏว่ามีลักษณะต้องห้ามอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และพรรคการเมือง กกต.ก็จะดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังเลือกตั้ง หรือประกาศผลเลือกตั้ง
หักลำ “ปิยบุตร-ธนาธร” กกต.มีอำนาจแจกใบส้ม “ล้านเปอร์เซ็นต์”
กกต.แสดงอิทธิฤทธิ์ดาบอาญาสิทธิ์
ตามจังหวะที่ กกต. “เครื่องติด” แล้ว ไม่ใช่แค่ปมร้อนๆ แหลมๆของ “ธนาธร” ที่จ่อ “ใบส้ม”
แต่ในปมปัญหาใหญ่กว่า นั่นคือการคำนวณคะแนน ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญไม่รับตีความ ยัดอำนาจกลับมาอยู่ในมือ “7 เสือ กกต.”
“สอนมวย” ต้องทำหน้าที่ตามกฎหมาย
นายแสวงก็แถลงทันที กกต.จะดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจในการคำนวณจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ภายหลังการประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.แล้ว โดยจะคำนึงถึงวิธีการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 ที่สำนักงาน กกต.เสนอให้ กกต.พิจารณา หรือวิธีการคำนวณอื่นๆอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้จำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดไว้
โดยเฉพาะในส่วนการคำนวณตามแบบของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่งของ กกต. เพราะวิธีการนี้ได้เสนอมาตลอด 2 ปี ไม่เคยมีการโต้แย้ง รวมทั้งได้มีการเผยแพร่ พรรคการเมืองที่ได้ติดตามก็น่าจะทราบสูตรอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่มีผลคะแนนการเลือกตั้งออกมา
อ่านตามรูปการณ์ กกต.มีแนวโน้มเดินตาม กรธ.ยึดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ไม่ให้คะแนนตกน้ำ
โอกาสอานิสงส์ตกกับพรรคเล็กได้แต้มกันถ้วนหน้า
และโดยรูปการณ์ก็มีแนวโน้มเข้าทางขั้วพลังประชารัฐได้ “เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน” รวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล แต่สมการ
ตัวเลขจะไม่เข้าเหลี่ยมขั้ว “ทักษิณ” มีโอกาสจัดได้แค่ “รัฐบาลลม”
แน่นอน มันก็ก่อแรงกระเพื่อม ตามรูปเกมหนีไม่พ้นโดนร้องศาลรัฐธรรมนูญ พึ่งศาลปกครอง วิ่งฟ้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ไปยันกระบวนการล้มกระดานให้เลือกตั้งโมฆะ
ตามฟอร์มของผู้พลาดหวัง เดิมพันเกมชิงพลิกขั้วอำนาจพัง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่ากระแสมวลชน เสียงขู่ระดมม็อบกดดัน มันก็แค่เกมวัดใจ ตราบใดที่ยึดตามรัฐธรรมนูญ กกต.แสดงถึงการใช้อำนาจอย่างรอบคอบ ใช้ดาบอาญาสิทธิ์อย่างชอบธรรมไม่ต้องเสี่ยงคุก
การเมืองเดินหน้าต่อได้ ไม่มีทางตัน
ต่อให้พลังกองหนุน 6 ล้านเสียง หรือกี่สิบล้านเสียง มันไม่มีอะไรอยู่เหนือกฎหมาย
เหนืออื่นใด ในห้วงเวลาประวัติศาสตร์ สัปดาห์สำคัญที่เข้าสู่โหมดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ภาพความสวยงาม บรรยากาศความศักดิ์สิทธิ์ ความภาคภูมิใจในอารยธรรมของไทย จะปรากฏสู่สายตาโลก
พวกผิดคิวก่อความวุ่นวายในเกมชิงอำนาจโดยไม่ดูกาลเทศะ จ้องก่อชนวนม็อบปลุกมวลชน
ตัวอย่างมีให้เห็นแล้ว บางคนติดคุกบางคนไม่มีแผ่นดินอยู่.
“ทีมการเมือง”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น